Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๖. องฺคุลิมาลสุตฺตวณฺณนา

    6. Aṅgulimālasuttavaṇṇanā

    ๓๔๗. เอวํ เม สุตนฺติ องฺคุลิมาลสุตฺตํฯ ตตฺถ องฺคุลีนํ มาลํ ธาเรตีติ กสฺมา ธาเรติ? อาจริยวจเนนฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา –

    347.Evaṃme sutanti aṅgulimālasuttaṃ. Tattha aṅgulīnaṃ mālaṃ dhāretīti kasmā dhāreti? Ācariyavacanena. Tatrāyaṃ anupubbikathā –

    อยํ กิร โกสลรโญฺญ ปุโรหิตสฺส มนฺตาณิยา นาม พฺราหฺมณิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ พฺราหฺมณิยา รตฺติภาเค คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ ตสฺส มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนกาเล สกลนคเร อาวุธานิ ปชฺชลิํสุ, รโญฺญ มงฺคลสกุโนฺตปิ สิริสยเน ฐปิตา อสิลฎฺฐิปิ ปชฺชลิฯ พฺราหฺมโณ นิกฺขมิตฺวา นกฺขตฺตํ โอโลเกโนฺต โจรนกฺขเตฺตน ชาโตติ รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา สุขเสยฺยภาวํ ปุจฺฉิฯ

    Ayaṃ kira kosalarañño purohitassa mantāṇiyā nāma brāhmaṇiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ aggahesi. Brāhmaṇiyā rattibhāge gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. Tassa mātukucchito nikkhamanakāle sakalanagare āvudhāni pajjaliṃsu, rañño maṅgalasakuntopi sirisayane ṭhapitā asilaṭṭhipi pajjali. Brāhmaṇo nikkhamitvā nakkhattaṃ olokento coranakkhattena jātoti rañño santikaṃ gantvā sukhaseyyabhāvaṃ pucchi.

    ราชา ‘‘กุโต, เม อาจริย, สุขเสยฺยา? มยฺหํ มงฺคลาวุธํ ปชฺชลิ, รชฺชสฺส วา ชีวิตสฺส วา อนฺตราโย ภวิสฺสติ มเญฺญ’’ติฯ มา ภายิ, มหาราช, มยฺหํ ฆเร กุมาโร ชาโต, ตสฺสานุภาเวน น เกวลํ ตุยฺหํ นิเวสเน, สกลนคเรปิ อาวุธานิ ปชฺชลิตานีติฯ กิํ ภวิสฺสติ อาจริยาติ? โจโร ภวิสฺสติ มหาราชาติฯ กิํ เอกโจรโก, อุทาหุ รชฺชทูสโก โจโรติ? เอกโจรโก เทวาติฯ เอวํ วตฺวา จ ปน รโญฺญ มนํ คณฺหิตุกาโม อาห – ‘‘มาเรถ นํ เทวา’’ติฯ เอกโจรโก สมาโน กิํ กริสฺสติ? กรีสสหสฺสเขเตฺต เอกสาลิสีสํ วิย โหติ, ปฎิชคฺคถ นนฺติฯ ตสฺส นามคฺคหณํ คณฺหนฺตา สยเน ฐปิตมงฺคลอสิลฎฺฐิ, ฉทเน ฐปิตา สรา, กปฺปาสปิจุมฺหิ ฐปิตํ ตาลวณฺฎกรณสตฺถกนฺติ เอเต ปชฺชลนฺตา กิญฺจิ น หิํสิํสุ, ตสฺมา อหิํสโกติ นามํ อกํสุฯ ตํ สิปฺปุคฺคหณกาเล ตกฺกสีลํ เปสยิํสุฯ

    Rājā ‘‘kuto, me ācariya, sukhaseyyā? Mayhaṃ maṅgalāvudhaṃ pajjali, rajjassa vā jīvitassa vā antarāyo bhavissati maññe’’ti. Mā bhāyi, mahārāja, mayhaṃ ghare kumāro jāto, tassānubhāvena na kevalaṃ tuyhaṃ nivesane, sakalanagarepi āvudhāni pajjalitānīti. Kiṃ bhavissati ācariyāti? Coro bhavissati mahārājāti. Kiṃ ekacorako, udāhu rajjadūsako coroti? Ekacorako devāti. Evaṃ vatvā ca pana rañño manaṃ gaṇhitukāmo āha – ‘‘māretha naṃ devā’’ti. Ekacorako samāno kiṃ karissati? Karīsasahassakhette ekasālisīsaṃ viya hoti, paṭijaggatha nanti. Tassa nāmaggahaṇaṃ gaṇhantā sayane ṭhapitamaṅgalaasilaṭṭhi, chadane ṭhapitā sarā, kappāsapicumhi ṭhapitaṃ tālavaṇṭakaraṇasatthakanti ete pajjalantā kiñci na hiṃsiṃsu, tasmā ahiṃsakoti nāmaṃ akaṃsu. Taṃ sippuggahaṇakāle takkasīlaṃ pesayiṃsu.

    โส ธมฺมเนฺตวาสิโก หุตฺวา สิปฺปํ ปฎฺฐเปสิฯ วตฺตสมฺปโนฺน กิํการปฎิสฺสาวี มนาปจารี ปิยวาที อโหสิฯ เสสอเนฺตวาสิกา พาหิรกา อเหสุํฯ เต – ‘‘อหิํสกมาณวกสฺส อาคตกาลโต ปฎฺฐาย มยํ น ปญฺญายาม, กถํ นํ ภิเนฺทยฺยามา’’ติ? นิสีทิตฺวา มนฺตยนฺตา – ‘‘สเพฺพหิ อติเรกปญฺญตฺตา ทุปฺปโญฺญติฯ น สกฺกา วตฺตุํ, วตฺตสมฺปนฺนตฺตา ทุพฺพโตฺตติฯ น สกฺกา วตฺตุํ, ชาติสมฺปนฺนตฺตา ทุชฺชาโตติ น สกฺกา วตฺตุํ, กินฺติ กริสฺสามา’’ติ? ตโต เอกํ ขรมนฺตํ มนฺตยิํสุ ‘‘อาจริยสฺส อนฺตรํ กตฺวา นํ ภินฺทิสฺสามา’’ติ ตโย ราสี หุตฺวา ปฐมํ เอกเจฺจ อาจริยํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐํสุฯ กิํ ตาตาติ? อิมสฺมิํ เคเห เอกา กถา สุยฺยตีติฯ กิํ ตาตาติ? อหิํสกมาณโว ตุมฺหากํ อนฺตเร ทุพฺภตีติ มญฺญามาติฯ อาจริโย สนฺตเชฺชตฺวา – ‘‘คจฺฉถ วสลา, มา เม ปุตฺตํ มยฺหํ อนฺตเร ปริภินฺทถา’’ติ นิฎฺฐุภิฯ ตโต อิตเร, อถ อิตเรหิ ตโยปิ โกฎฺฐาสา อาคนฺตฺวา ตเถว วตฺวา – ‘‘อมฺหากํ อสทฺทหนฺตา อุปปริกฺขิตฺวา ชานาถา’’ติ อาหํสุฯ

    So dhammantevāsiko hutvā sippaṃ paṭṭhapesi. Vattasampanno kiṃkārapaṭissāvī manāpacārī piyavādī ahosi. Sesaantevāsikā bāhirakā ahesuṃ. Te – ‘‘ahiṃsakamāṇavakassa āgatakālato paṭṭhāya mayaṃ na paññāyāma, kathaṃ naṃ bhindeyyāmā’’ti? Nisīditvā mantayantā – ‘‘sabbehi atirekapaññattā duppaññoti. Na sakkā vattuṃ, vattasampannattā dubbattoti. Na sakkā vattuṃ, jātisampannattā dujjātoti na sakkā vattuṃ, kinti karissāmā’’ti? Tato ekaṃ kharamantaṃ mantayiṃsu ‘‘ācariyassa antaraṃ katvā naṃ bhindissāmā’’ti tayo rāsī hutvā paṭhamaṃ ekacce ācariyaṃ upasaṅkamitvā vanditvā aṭṭhaṃsu. Kiṃ tātāti? Imasmiṃ gehe ekā kathā suyyatīti. Kiṃ tātāti? Ahiṃsakamāṇavo tumhākaṃ antare dubbhatīti maññāmāti. Ācariyo santajjetvā – ‘‘gacchatha vasalā, mā me puttaṃ mayhaṃ antare paribhindathā’’ti niṭṭhubhi. Tato itare, atha itarehi tayopi koṭṭhāsā āgantvā tatheva vatvā – ‘‘amhākaṃ asaddahantā upaparikkhitvā jānāthā’’ti āhaṃsu.

    อาจริโย สิเนเหน วทเนฺต ทิสฺวา ‘‘อตฺถิ มเญฺญ สนฺถโว’’ติ ปริภิชฺชิตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘ฆาเตมิ น’’นฺติฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ ฆาเตสฺสามิ ‘ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย อตฺตโน สนฺติกํ สิปฺปุคฺคหณตฺถํ อาคเต มาณวเก โทสํ อุปฺปาเทตฺวา ชีวิตา โวโรเปตี’ติฯ ปุน โกจิ สิปฺปุคฺคหณตฺถํ น อาคมิสฺสติ, เอวํ เม ลาโภ ปริหายิสฺสติ, อถ นํ สิปฺปสฺส ปริโยสานุปจาโรติ วตฺวา ชงฺฆสหสฺสํ ฆาเตหีติ วกฺขามิฯ อวสฺสํ เอตฺถ เอโก อุฎฺฐาย ตํ ฆาเตสฺสตี’’ติฯ

    Ācariyo sinehena vadante disvā ‘‘atthi maññe santhavo’’ti paribhijjitvā cintesi ‘‘ghātemi na’’nti. Tato cintesi – ‘‘sace ghātessāmi ‘disāpāmokkho ācariyo attano santikaṃ sippuggahaṇatthaṃ āgate māṇavake dosaṃ uppādetvā jīvitā voropetī’ti. Puna koci sippuggahaṇatthaṃ na āgamissati, evaṃ me lābho parihāyissati, atha naṃ sippassa pariyosānupacāroti vatvā jaṅghasahassaṃ ghātehīti vakkhāmi. Avassaṃ ettha eko uṭṭhāya taṃ ghātessatī’’ti.

    อถ นํ อาห – ‘‘เอหิ ตาต ชงฺฆสหสฺสํ ฆาเตหิ, เอวํ เต สิปฺปสฺส อุปจาโร กโต ภวิสฺสตี’’ติฯ มยํ อหิํสกกุเล ชาตา, น สกฺกา อาจริยาติฯ อลทฺธุปจารํ สิปฺปํ ผลํ น เทติ ตาตาติฯ โส ปญฺจาวุธํ คเหตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา อฎวิํ ปวิโฎฺฐฯ อฎวิํ ปวิสนฎฺฐาเนปิ อฎวิมเชฺฌปิ อฎวิโต นิกฺขมนฎฺฐาเนปิ ฐตฺวา มนุเสฺส ฆาเตติฯ วตฺถํ วา เวฐนํ วา น คณฺหาติฯ เอโก เทฺวติ คณิตมตฺตเมว กโรโนฺต คจฺฉติ, คณนมฺปิ น อุคฺคณฺหาติฯ ปกติยาปิ ปญฺญวา เอส, ปาณาติปาติโน ปน จิตฺตํ น ปติฎฺฐาติ, ตสฺมา อนุกฺกเมน คณนมฺปิ น สลฺลเกฺขสิ, เอเกกํ องฺคุลิํ ฉินฺทิตฺวา ฐเปติฯ ฐปิตฎฺฐาเน องฺคุลิโย วินสฺสนฺติ, ตโต วิชฺฌิตฺวา องฺคุลีนํ มาลํ กตฺวา ธาเรสิ, เตเนว จสฺส องฺคุลิมาโลติ สงฺขา อุทปาทิฯ โส สพฺพํ อรญฺญํ นิสฺสญฺจารมกาสิ, ทารุอาทีนํ อตฺถาย อรญฺญํ คนฺตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ

    Atha naṃ āha – ‘‘ehi tāta jaṅghasahassaṃ ghātehi, evaṃ te sippassa upacāro kato bhavissatī’’ti. Mayaṃ ahiṃsakakule jātā, na sakkā ācariyāti. Aladdhupacāraṃ sippaṃ phalaṃ na deti tātāti. So pañcāvudhaṃ gahetvā ācariyaṃ vanditvā aṭaviṃ paviṭṭho. Aṭaviṃ pavisanaṭṭhānepi aṭavimajjhepi aṭavito nikkhamanaṭṭhānepi ṭhatvā manusse ghāteti. Vatthaṃ vā veṭhanaṃ vā na gaṇhāti. Eko dveti gaṇitamattameva karonto gacchati, gaṇanampi na uggaṇhāti. Pakatiyāpi paññavā esa, pāṇātipātino pana cittaṃ na patiṭṭhāti, tasmā anukkamena gaṇanampi na sallakkhesi, ekekaṃ aṅguliṃ chinditvā ṭhapeti. Ṭhapitaṭṭhāne aṅguliyo vinassanti, tato vijjhitvā aṅgulīnaṃ mālaṃ katvā dhāresi, teneva cassa aṅgulimāloti saṅkhā udapādi. So sabbaṃ araññaṃ nissañcāramakāsi, dāruādīnaṃ atthāya araññaṃ gantuṃ samattho nāma natthi.

    รตฺติภาเค อโนฺตคามมฺปิ อาคนฺตฺวา ปาเทน ปหริตฺวา ทฺวารํ อุคฺฆาเตติฯ ตโต สยิเตเยว มาเรตฺวา เอโก เอโกติ คเหตฺวา คจฺฉติฯ คาโม โอสริตฺวา นิคเม อฎฺฐาสิ, นิคโม นคเรฯ มนุสฺสา ติโยชนโต ปฎฺฐาย ฆรานิ ปหาย ทารเก หเตฺถสุ คเหตฺวา อาคมฺม สาวตฺถิํ ปริวาเรตฺวา ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา ราชงฺคเณ สนฺนิปติตฺวา – ‘‘โจโร, เต เทว, วิชิเต องฺคุลิมาโล นามา’’ติอาทีนิ วทนฺตา กนฺทนฺติฯ ภคฺคโว ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา พฺราหฺมณิํ อาห – โภติ องฺคุลิมาโล นาม โจโร อุปฺปโนฺน, โส น อโญฺญ, ตว ปุโตฺต อหิํสกกุมาโรฯ อิทานิ ราชา ตํ คณฺหิตุํ นิกฺขมิสฺสติ, กิํ กตฺตพฺพนฺติ? คจฺฉ สามิ, ปุตฺตํ เม คเหตฺวา เอหีติฯ นาหํ ภเทฺท อุสฺสหามิ, จตูสุ หิ ชเนสุ วิสฺสาโส นาม นตฺถิ, โจโร เม ปุราณสหาโยติ อวิสฺสาสนีโย, สาขา เม ปุราณสนฺถตาติ อวิสฺสาสนียา, ราชา มํ ปูเชตีติ อวิสฺสาสนีโย, อิตฺถี เม วสํ คตาติ อวิสฺสาสนียาติฯ มาตุ หทยํ ปน มุทุกํ โหติฯ ตสฺมา อหํ ปน คนฺตฺวา มยฺหํ ปุตฺตํ อาเนสฺสามีติ นิกฺขนฺตาฯ

    Rattibhāge antogāmampi āgantvā pādena paharitvā dvāraṃ ugghāteti. Tato sayiteyeva māretvā eko ekoti gahetvā gacchati. Gāmo osaritvā nigame aṭṭhāsi, nigamo nagare. Manussā tiyojanato paṭṭhāya gharāni pahāya dārake hatthesu gahetvā āgamma sāvatthiṃ parivāretvā khandhāvāraṃ bandhitvā rājaṅgaṇe sannipatitvā – ‘‘coro, te deva, vijite aṅgulimālo nāmā’’tiādīni vadantā kandanti. Bhaggavo ‘‘mayhaṃ putto bhavissatī’’ti ñatvā brāhmaṇiṃ āha – bhoti aṅgulimālo nāma coro uppanno, so na añño, tava putto ahiṃsakakumāro. Idāni rājā taṃ gaṇhituṃ nikkhamissati, kiṃ kattabbanti? Gaccha sāmi, puttaṃ me gahetvā ehīti. Nāhaṃ bhadde ussahāmi, catūsu hi janesu vissāso nāma natthi, coro me purāṇasahāyoti avissāsanīyo, sākhā me purāṇasanthatāti avissāsanīyā, rājā maṃ pūjetīti avissāsanīyo, itthī me vasaṃ gatāti avissāsanīyāti. Mātu hadayaṃ pana mudukaṃ hoti. Tasmā ahaṃ pana gantvā mayhaṃ puttaṃ ānessāmīti nikkhantā.

    ตํทิวสญฺจ ภควา ปจฺจูสสมเย โลกํ โวโลเกโนฺต องฺคุลิมาลํ ทิสฺวา – ‘‘มยิ คเต เอตสฺส โสตฺถิ ภวิสฺสติฯ อคามเก อรเญฺญ ฐิโต จตุปฺปทิกํ คาถํ สุตฺวา มม สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ฉ อภิญฺญา สจฺฉิกริสฺสติฯ สเจ น คมิสฺสามิ, มาตริ อปรชฺฌิตฺวา อนุทฺธรณีโย ภวิสฺสติ, กริสฺสามิสฺส สงฺคห’’นฺติ ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ ตํ สงฺคณฺหิตุกาโม วิหารา นิกฺขมิฯ เอตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อถ โข ภควา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Taṃdivasañca bhagavā paccūsasamaye lokaṃ volokento aṅgulimālaṃ disvā – ‘‘mayi gate etassa sotthi bhavissati. Agāmake araññe ṭhito catuppadikaṃ gāthaṃ sutvā mama santike pabbajitvā cha abhiññā sacchikarissati. Sace na gamissāmi, mātari aparajjhitvā anuddharaṇīyo bhavissati, karissāmissa saṅgaha’’nti pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā piṇḍāya pavisitvā katabhattakicco taṃ saṅgaṇhitukāmo vihārā nikkhami. Etamatthaṃ dassetuṃ ‘‘atha kho bhagavā’’tiādi vuttaṃ.

    ๓๔๘. สงฺกริตฺวา สงฺกริตฺวาติ สเงฺกตํ กตฺวา วคฺควคฺคา หุตฺวาฯ หตฺถตฺถํ คจฺฉนฺตีติ หเตฺถ อตฺถํ วินาสํ คจฺฉนฺติฯ กิํ ปน เต ภควนฺตํ สญฺชานิตฺวา เอวํ วทนฺติ อสญฺชานิตฺวาติ? อสญฺชานิตฺวาฯ อญฺญาตกเวเสน หิ ภควา เอกโกว อคมาสิฯ โจโรปิ ตสฺมิํ สมเย ทีฆรตฺตํ ทุโพฺภชเนน จ ทุกฺขเสยฺยาย จ อุกฺกณฺฐิโต โหติฯ กิตฺตกา ปนาเนน มนุสฺสา มาริตาติ? เอเกนูนสหสฺสํฯ โส ปน อิทานิ เอกํ ลภิตฺวา สหสฺสํ ปูเรสฺสตีติ สญฺญี หุตฺวา ยเมว ปฐมํ ปสฺสามิ, ตํ ฆาเตตฺวา คณนํ ปูเรตฺวา สิปฺปสฺส อุปจารํ กตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา นฺหายิตฺวา วตฺถานิ ปริวเตฺตตฺวา มาตาปิตโร ปสฺสิสฺสามีติ อฎวิมชฺฌโต อฎวิมุขํ อาคนฺตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโตว ภควนฺตํ อทฺทสฯ เอตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อทฺทสา โข’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    348.Saṅkaritvā saṅkaritvāti saṅketaṃ katvā vaggavaggā hutvā. Hatthatthaṃ gacchantīti hatthe atthaṃ vināsaṃ gacchanti. Kiṃ pana te bhagavantaṃ sañjānitvā evaṃ vadanti asañjānitvāti? Asañjānitvā. Aññātakavesena hi bhagavā ekakova agamāsi. Coropi tasmiṃ samaye dīgharattaṃ dubbhojanena ca dukkhaseyyāya ca ukkaṇṭhito hoti. Kittakā panānena manussā māritāti? Ekenūnasahassaṃ. So pana idāni ekaṃ labhitvā sahassaṃ pūressatīti saññī hutvā yameva paṭhamaṃ passāmi, taṃ ghātetvā gaṇanaṃ pūretvā sippassa upacāraṃ katvā kesamassuṃ ohāretvā nhāyitvā vatthāni parivattetvā mātāpitaro passissāmīti aṭavimajjhato aṭavimukhaṃ āgantvā ekamantaṃ ṭhitova bhagavantaṃ addasa. Etamatthaṃ dassetuṃ ‘‘addasā kho’’tiādi vuttaṃ.

    อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาสีติ มหาปถวิํ อุมฺมิโย อุฎฺฐเปโนฺต วิย สํหริตฺวา อปรภาเค อกฺกมติ, โอรภาเค วลิโย นิกฺขมนฺติ, องฺคุลิมาโล สรเกฺขปมตฺตํ มุญฺจิตฺวา คจฺฉติฯ ภควา ปุรโต มหนฺตํ องฺคณํ ทเสฺสตฺวา สยํ มเชฺฌ โหติ, โจโร อเนฺตฯ โส ‘‘อิทานิ นํ ปาปุณิตฺวา คณฺหิสฺสามี’’ติ สพฺพถาเมน ธาวติฯ ภควา องฺคณสฺส ปาริมเนฺต โหติ, โจโร มเชฺฌฯ โส ‘‘เอตฺถ นํ ปาปุณิตฺวา คณฺหิสฺสามี’’ติ เวเคน ธาวติฯ ภควา ตสฺส ปุรโต มาติกํ วา ถลํ วา ทเสฺสติ, เอเตนุปาเยน ตีณิ โยชนานิ คเหตฺวา อคมาสิฯ โจโร กิลมิ, มุเข เขโฬ สุสฺสิ, กเจฺฉหิ เสทา มุจฺจิํสุฯ อถสฺส ‘‘อจฺฉริยํ วต โภ’’ติ เอตทโหสิฯ มิคมฺปีติ มิคํ กสฺมา คณฺหาติ? ฉาตสมเย อาหารตฺถํฯ โส กิร เอกํ คุมฺพํ ฆเฎฺฎตฺวา มิเค อุฎฺฐาเปติฯ ตโต จิตฺตรุจิยํ มิคํ อนุพนฺธโนฺต คณฺหิตฺวา ปจิตฺวา ขาทติฯ ปุเจฺฉยฺยนฺติ เยน การเณนายํ คจฺฉโนฺตว ฐิโต นาม , อหญฺจ ฐิโตว อฎฺฐิโต นาม, ยํนูนาหํ อิมํ สมณํ ตํ การณํ ปุเจฺฉยฺยนฺติ อโตฺถฯ

    Iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāsīti mahāpathaviṃ ummiyo uṭṭhapento viya saṃharitvā aparabhāge akkamati, orabhāge valiyo nikkhamanti, aṅgulimālo sarakkhepamattaṃ muñcitvā gacchati. Bhagavā purato mahantaṃ aṅgaṇaṃ dassetvā sayaṃ majjhe hoti, coro ante. So ‘‘idāni naṃ pāpuṇitvā gaṇhissāmī’’ti sabbathāmena dhāvati. Bhagavā aṅgaṇassa pārimante hoti, coro majjhe. So ‘‘ettha naṃ pāpuṇitvā gaṇhissāmī’’ti vegena dhāvati. Bhagavā tassa purato mātikaṃ vā thalaṃ vā dasseti, etenupāyena tīṇi yojanāni gahetvā agamāsi. Coro kilami, mukhe kheḷo sussi, kacchehi sedā mucciṃsu. Athassa ‘‘acchariyaṃ vata bho’’ti etadahosi. Migampīti migaṃ kasmā gaṇhāti? Chātasamaye āhāratthaṃ. So kira ekaṃ gumbaṃ ghaṭṭetvā mige uṭṭhāpeti. Tato cittaruciyaṃ migaṃ anubandhanto gaṇhitvā pacitvā khādati. Puccheyyanti yena kāraṇenāyaṃ gacchantova ṭhito nāma , ahañca ṭhitova aṭṭhito nāma, yaṃnūnāhaṃ imaṃ samaṇaṃ taṃ kāraṇaṃ puccheyyanti attho.

    ๓๔๙. นิธายาติ โย วิหิํสนตฺถํ ภูเตสุ ทโณฺฑ ปวตฺตยิตโพฺพ สิยา, ตํ นิธาย อปเนตฺวา เมตฺตาย ขนฺติยา ปฎิสงฺขาย อวิหิํสาย สารณียธเมฺมสุ จ ฐิโต อหนฺติ อโตฺถฯ ตุวมฎฺฐิโตสีติ ปาเณสุ อสญฺญตตฺตา เอตฺตกานิ ปาณสหสฺสานิ ฆาเตนฺตสฺส ตว เมตฺตา วา ขนฺติ วา ปฎิสงฺขา วา อวิหิํสา วา สารณียธโมฺม วา นตฺถิ, ตสฺมา ตุวํ อฎฺฐิโตสิ, อิทานิ อิริยาปเถน ฐิโตปิ นิรเย ธาวิสฺสสิ, ติรจฺฉานโยนิยํ เปตฺติวิสเย อสุรกาเย วา ธาวิสฺสสีติ วุตฺตํ โหติฯ

    349.Nidhāyāti yo vihiṃsanatthaṃ bhūtesu daṇḍo pavattayitabbo siyā, taṃ nidhāya apanetvā mettāya khantiyā paṭisaṅkhāya avihiṃsāya sāraṇīyadhammesu ca ṭhito ahanti attho. Tuvamaṭṭhitosīti pāṇesu asaññatattā ettakāni pāṇasahassāni ghātentassa tava mettā vā khanti vā paṭisaṅkhā vā avihiṃsā vā sāraṇīyadhammo vā natthi, tasmā tuvaṃ aṭṭhitosi, idāni iriyāpathena ṭhitopi niraye dhāvissasi, tiracchānayoniyaṃ pettivisaye asurakāye vā dhāvissasīti vuttaṃ hoti.

    ตโต โจโร – ‘‘มหา อยํ สีหนาโท, มหนฺตํ คชฺชิตํ, น อิทํ อญฺญสฺส ภวิสฺสติ, มหามายาย ปุตฺตสฺส สิทฺธตฺถสฺส สมณรโญฺญ เอตํ คชฺชิตํ, ทิโฎฺฐ วตมฺหิ มเญฺญ ติขิณจกฺขุนา สมฺมาสมฺพุเทฺธน, สงฺคหกรณตฺถํ เม ภควา อาคโต’’ติ จิเนฺตตฺวา จิรสฺสํ วต เมติอาทิมาหฯ ตตฺถ มหิโตติ เทวมนุสฺสาทีหิ จตุปจฺจยปูชาย ปูชิโตฯ ปจฺจุปาทีติ จิรสฺสํ กาลสฺส อจฺจเยน มยฺหํ สงฺคหตฺถาย อิมํ มหาวนํ ปฎิปชฺชิฯ ปหาย ปาปนฺติ ปชหิตฺวา ปาปํฯ

    Tato coro – ‘‘mahā ayaṃ sīhanādo, mahantaṃ gajjitaṃ, na idaṃ aññassa bhavissati, mahāmāyāya puttassa siddhatthassa samaṇarañño etaṃ gajjitaṃ, diṭṭho vatamhi maññe tikhiṇacakkhunā sammāsambuddhena, saṅgahakaraṇatthaṃ me bhagavā āgato’’ti cintetvā cirassaṃ vata metiādimāha. Tattha mahitoti devamanussādīhi catupaccayapūjāya pūjito. Paccupādīti cirassaṃ kālassa accayena mayhaṃ saṅgahatthāya imaṃ mahāvanaṃ paṭipajji. Pahāya pāpanti pajahitvā pāpaṃ.

    อิเตฺววาติ เอวํ วตฺวาเยวฯ อาวุธนฺติ ปญฺจาวุธํฯ โสเพฺภติ สมนฺตโต ฉิเนฺนฯ ปปาเตติ เอกโต ฉิเนฺนฯ นรเกติ ผลิตฎฺฐาเนฯ อิธ ปน ตีหิปิ อิเมหิ ปเทหิ อรญฺญเมว วุตฺตํฯ อกิรีติ ขิปิ ฉเฑฺฑสิฯ

    Itvevāti evaṃ vatvāyeva. Āvudhanti pañcāvudhaṃ. Sobbheti samantato chinne. Papāteti ekato chinne. Naraketi phalitaṭṭhāne. Idha pana tīhipi imehi padehi araññameva vuttaṃ. Akirīti khipi chaḍḍesi.

    ตเมหิ ภิกฺขูติ ตทา อโวจาติ ภควโต อิมํ ปพฺพาเชโนฺต กุหิํ สตฺถกํ ลภิสฺสามิ, กุหิํ ปตฺตจีวรนฺติ ปริเยสนกิจฺจํ นตฺถิ, กมฺมํ ปน โอโลเกสิฯ อถสฺส ปุเพฺพ สีลวนฺตานํ อฎฺฐปริกฺขารภณฺฑกสฺส ทินฺนภาวํ ญตฺวา ทกฺขิณหตฺถํ ปสาเรตฺวา – ‘‘เอหิ ภิกฺขุ สฺวากฺขาโต ธโมฺม, จร พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยายา’’ติ อาหฯ โส สห วจเนเนว อิทฺธิมยปตฺตจีวรํ ปฎิลภิฯ ตาวเทวสฺส คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายิ, สมณลิงฺคํ ปาตุรโหสิฯ

    Tamehibhikkhūti tadā avocāti bhagavato imaṃ pabbājento kuhiṃ satthakaṃ labhissāmi, kuhiṃ pattacīvaranti pariyesanakiccaṃ natthi, kammaṃ pana olokesi. Athassa pubbe sīlavantānaṃ aṭṭhaparikkhārabhaṇḍakassa dinnabhāvaṃ ñatvā dakkhiṇahatthaṃ pasāretvā – ‘‘ehi bhikkhu svākkhāto dhammo, cara brahmacariyaṃ sammā dukkhassa antakiriyāyā’’ti āha. So saha vacaneneva iddhimayapattacīvaraṃ paṭilabhi. Tāvadevassa gihiliṅgaṃ antaradhāyi, samaṇaliṅgaṃ pāturahosi.

    ‘‘ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, วาสิ สูจิ จ พนฺธนํ;

    ‘‘Ticīvarañca patto ca, vāsi sūci ca bandhanaṃ;

    ปริสฺสาวเนน อเฎฺฐเต, ยุตฺตโยคสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ –

    Parissāvanena aṭṭhete, yuttayogassa bhikkhuno’’ti. –

    เอวํ วุตฺตา อฎฺฐ ปริกฺขารา สรีรปฎิพทฺธาว หุตฺวา นิพฺพตฺติํสุฯ เอเสว ตสฺส อหุ ภิกฺขุภาโวติ เอส เอหิภิกฺขุภาโว ตสฺส อุปสมฺปนฺนภิกฺขุภาโว อโหสิ, น หิ เอหิภิกฺขูนํ วิสุํ อุปสมฺปทา นาม อตฺถิฯ

    Evaṃ vuttā aṭṭha parikkhārā sarīrapaṭibaddhāva hutvā nibbattiṃsu. Eseva tassa ahu bhikkhubhāvoti esa ehibhikkhubhāvo tassa upasampannabhikkhubhāvo ahosi, na hi ehibhikkhūnaṃ visuṃ upasampadā nāma atthi.

    ๓๕๐. ปจฺฉาสมเณนาติ ภณฺฑคฺคาหเกน ปจฺฉาสมเณน, เตเนว อตฺตโน ปตฺตจีวรํ คาหาเปตฺวา ตํ ปจฺฉาสมณํ กตฺวา คโตติ อโตฺถฯ มาตาปิสฺส อฎฺฐอุสภมเตฺตน ฐาเนน อนฺตริตา, – ‘‘ตาต, อหิํสก กตฺถ ฐิโตสิ, กตฺถ นิสิโนฺนสิ, กุหิํ คโตสิ? มยา สทฺธิํ น กเถสิ ตาตา’’ติ วทนฺตี อาหิณฺฑิตฺวา อปสฺสมานา เอโตฺตว คตาฯ

    350.Pacchāsamaṇenāti bhaṇḍaggāhakena pacchāsamaṇena, teneva attano pattacīvaraṃ gāhāpetvā taṃ pacchāsamaṇaṃ katvā gatoti attho. Mātāpissa aṭṭhausabhamattena ṭhānena antaritā, – ‘‘tāta, ahiṃsaka kattha ṭhitosi, kattha nisinnosi, kuhiṃ gatosi? Mayā saddhiṃ na kathesi tātā’’ti vadantī āhiṇḍitvā apassamānā ettova gatā.

    ปญฺจมเตฺตหิ อสฺสสเตหีติ สเจ โจรสฺส ปราชโย ภวิสฺสติ, อนุพนฺธิตฺวา นํ คณฺหิสฺสามิฯ สเจ มยฺหํ ปราชโย ภวิสฺสติ, เวเคน ปลายิสฺสามีติ สลฺลหุเกน พเลน นิกฺขมิ ฯ เยน อาราโมติ กสฺมา อารามํ อคมาสิ? โส กิร โจรสฺส ภายติ, จิเตฺตน คนฺตุกาโม น คจฺฉติ, ครหาภเยน นิกฺขมิฯ เตนสฺส เอตทโหสิ – ‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธํ วนฺทิตฺวา นิสีทิสฺสามิ, โส ปุจฺฉิสฺสติ ‘กสฺมา พลํ คเหตฺวา นิกฺขโนฺตสี’ติฯ อถาหํ อาโรเจสฺสามิ, ภควา หิ มํ น เกวลํ สมฺปรายิเกเนว อเตฺถน สงฺคณฺหาติ, ทิฎฺฐธมฺมิเกนปิ สงฺคณฺหาติเยวฯ โส สเจ มยฺหํ ชโย ภวิสฺสติ, อธิวาเสสฺสติฯ สเจ ปราชโย ภวิสฺสติ ‘กิํ เต, มหาราช, เอกํ โจรํ อารพฺภ คมเนนา’ติ วกฺขติฯ ตโต มํ ชโน เอวํ สญฺชานิสฺสติ – ‘ราชา โจรํ คเหตุํ นิกฺขโนฺต, สมฺมาสมฺพุเทฺธน ปน นิวตฺติโต’ติ’’ ครหโมกฺขํ สมฺปสฺสมาโน อคมาสิฯ

    Pañcamattehiassasatehīti sace corassa parājayo bhavissati, anubandhitvā naṃ gaṇhissāmi. Sace mayhaṃ parājayo bhavissati, vegena palāyissāmīti sallahukena balena nikkhami . Yena ārāmoti kasmā ārāmaṃ agamāsi? So kira corassa bhāyati, cittena gantukāmo na gacchati, garahābhayena nikkhami. Tenassa etadahosi – ‘‘sammāsambuddhaṃ vanditvā nisīdissāmi, so pucchissati ‘kasmā balaṃ gahetvā nikkhantosī’ti. Athāhaṃ ārocessāmi, bhagavā hi maṃ na kevalaṃ samparāyikeneva atthena saṅgaṇhāti, diṭṭhadhammikenapi saṅgaṇhātiyeva. So sace mayhaṃ jayo bhavissati, adhivāsessati. Sace parājayo bhavissati ‘kiṃ te, mahārāja, ekaṃ coraṃ ārabbha gamanenā’ti vakkhati. Tato maṃ jano evaṃ sañjānissati – ‘rājā coraṃ gahetuṃ nikkhanto, sammāsambuddhena pana nivattito’ti’’ garahamokkhaṃ sampassamāno agamāsi.

    กุโต ปนสฺสาติ กสฺมา อาห? อปิ นาม ภควา ตสฺส อุปนิสฺสยํ โอโลเกตฺวา ตํ อาเนตฺวา ปพฺพาเชยฺยาติ ภควโต ปริคณฺหนตฺถํ อาหฯ รโญฺญติ น เกวลํ รโญฺญเยว ภยํ อโหสิ, อวเสโสปิ มหาชโน ภีโต ผลกาวุธานิ ฉเฑฺฑตฺวา สมฺมุขสมฺมุขฎฺฐาเนว ปลายิตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา ทฺวารํ ปิธาย อฎฺฎาลเก อารุยฺห โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ เอวญฺจ อโวจ – ‘‘องฺคุลิมาโล ‘ราชา มยฺหํ สนฺติกํ อาคจฺฉตี’ติ ญตฺวา ปฐมตรํ อาคนฺตฺวา เชตวเน นิสิโนฺน, ราชา เตน คหิโต, มยํ ปน ปลายิตฺวา มุตฺตา’’ติฯ นตฺถิ เต อิโต ภยนฺติ อยญฺหิ อิทานิ กุนฺถกิปิลฺลิกํ ชีวิตา น โวโรเปติ, นตฺถิ เต อิมสฺส สนฺติกา ภยนฺติ อโตฺถฯ

    Kuto panassāti kasmā āha? Api nāma bhagavā tassa upanissayaṃ oloketvā taṃ ānetvā pabbājeyyāti bhagavato parigaṇhanatthaṃ āha. Raññoti na kevalaṃ raññoyeva bhayaṃ ahosi, avasesopi mahājano bhīto phalakāvudhāni chaḍḍetvā sammukhasammukhaṭṭhāneva palāyitvā nagaraṃ pavisitvā dvāraṃ pidhāya aṭṭālake āruyha olokento aṭṭhāsi. Evañca avoca – ‘‘aṅgulimālo ‘rājā mayhaṃ santikaṃ āgacchatī’ti ñatvā paṭhamataraṃ āgantvā jetavane nisinno, rājā tena gahito, mayaṃ pana palāyitvā muttā’’ti. Natthi te ito bhayanti ayañhi idāni kunthakipillikaṃ jīvitā na voropeti, natthi te imassa santikā bhayanti attho.

    กถํ โคโตฺตติ? กสฺมา ปุจฺฉติ? ปพฺพชิตํ ทารุณกเมฺมน อุปฺปนฺนนามํ คเหตฺวา โวหริตุํ น ยุตฺตํ, มาตาปิตูนํ โคตฺตวเสน นํ สมุทาจริสฺสามีติ มญฺญมาโน ปุจฺฉิฯ ปริกฺขารานนฺติ เอเตสํ อตฺถาย อหํ อุสฺสุกฺกํ กริสฺสามีติ อโตฺถฯ กเถโนฺตเยว จ อุทเร พทฺธสาฎกํ มุญฺจิตฺวา เถรสฺส ปาทมูเล ฐเปสิฯ

    Kathaṃ gottoti? Kasmā pucchati? Pabbajitaṃ dāruṇakammena uppannanāmaṃ gahetvā voharituṃ na yuttaṃ, mātāpitūnaṃ gottavasena naṃ samudācarissāmīti maññamāno pucchi. Parikkhārānanti etesaṃ atthāya ahaṃ ussukkaṃ karissāmīti attho. Kathentoyeva ca udare baddhasāṭakaṃ muñcitvā therassa pādamūle ṭhapesi.

    ๓๕๑. อารญฺญิโกติอาทีนิ จตฺตาริ ธุตงฺคานิ ปาฬิยํ อาคตานิฯ เถเรน ปน เตรสปิ สมาทินฺนาเนว อเหสุํ, ตสฺมา อลนฺติ อาหฯ ยญฺหิ มยํ, ภเนฺตติ กิํ สนฺธาย วทติ? ‘‘หตฺถิมฺปิ ธาวนฺตํ อนุพนฺธิตฺวา คณฺหามี’’ติ อาคตฎฺฐาเน รญฺญา เปสิตหตฺถาทโย โส เอวํ อคฺคเหสิฯ ราชาปิ – ‘‘หตฺถีหิเยว นํ ปริกฺขิปิตฺวา คณฺหถ, อเสฺสเหว, รเถเหวา’’ติ เอวํ อเนกวารํ พหู หตฺถาทโย เปเสสิฯ เอวํ คเตสุ ปน เตสุ – ‘‘อหํ อเร องฺคุลิมาโล’’ติ ตสฺมิํ อุฎฺฐาย สทฺทํ กโรเนฺต เอโกปิ อาวุธํ ปริวเตฺตตุํ นาสกฺขิ, สเพฺพว โกเฎฺฎตฺวา มาเรสิฯ หตฺถี อรญฺญหตฺถี, อสฺสา อรญฺญอสฺสา, รถาปิ ตเตฺถว ภิชฺชนฺตีติ อิทํ สนฺธาย ราชา เอวํ วทติฯ

    351.Āraññikotiādīni cattāri dhutaṅgāni pāḷiyaṃ āgatāni. Therena pana terasapi samādinnāneva ahesuṃ, tasmā alanti āha. Yañhi mayaṃ, bhanteti kiṃ sandhāya vadati? ‘‘Hatthimpi dhāvantaṃ anubandhitvā gaṇhāmī’’ti āgataṭṭhāne raññā pesitahatthādayo so evaṃ aggahesi. Rājāpi – ‘‘hatthīhiyeva naṃ parikkhipitvā gaṇhatha, asseheva, rathehevā’’ti evaṃ anekavāraṃ bahū hatthādayo pesesi. Evaṃ gatesu pana tesu – ‘‘ahaṃ are aṅgulimālo’’ti tasmiṃ uṭṭhāya saddaṃ karonte ekopi āvudhaṃ parivattetuṃ nāsakkhi, sabbeva koṭṭetvā māresi. Hatthī araññahatthī, assā araññaassā, rathāpi tattheva bhijjantīti idaṃ sandhāya rājā evaṃ vadati.

    ปิณฺฑาย ปาวิสีติ น อิทํ ปฐมํ ปาวิสิฯ อิตฺถิทสฺสนทิวสํ สนฺธาย ปเนตํ วุตฺตํฯ เทวสิกมฺปิ ปเนส ปวิสเตว, มนุสฺสา จ นํ ทิสฺวา อุตฺตสนฺติปิ ปลายนฺติปิ ทฺวารมฺปิ ถเกนฺติ, เอกเจฺจ องฺคุลิมาโลติ สุตฺวาว ปลายิตฺวา อรญฺญํ วา ปวิสนฺติ, ฆรํ วา ปวิสิตฺวา ทฺวารํ ถเกนฺติฯ ปลายิตุํ อสโกฺกนฺตา ปิฎฺฐิํ ทตฺวา ติฎฺฐนฺติ ฯ เถโร อุฬุงฺคยาคุมฺปิ กฎจฺฉุภิกฺขมฺปิ น ลภติ, ปิณฺฑปาเตน กิลมติฯ พหิ อลภโนฺต นครํ สพฺพสาธารณนฺติ นครํ ปวิสติฯ เยน ทฺวาเรน ปวิสติ, ตตฺถ องฺคุลิมาโล อาคโตติ กูฎสหสฺสานํ ภิชฺชนการณํ โหติฯ เอตทโหสีติ การุญฺญปฺปตฺติยา อโหสิฯ เอเกน อูนมนุสฺสสหสฺสํ ฆาเตนฺตสฺส เอกทิวสมฺปิ การุญฺญํ นาโหสิ, คพฺภมูฬฺหาย อิตฺถิยา ทสฺสนมเตฺตเนว กถํ อุปฺปนฺนนฺติ? ปพฺพชฺชาพเลน, ปพฺพชฺชาพลญฺหิ เอตํฯ

    Piṇḍāya pāvisīti na idaṃ paṭhamaṃ pāvisi. Itthidassanadivasaṃ sandhāya panetaṃ vuttaṃ. Devasikampi panesa pavisateva, manussā ca naṃ disvā uttasantipi palāyantipi dvārampi thakenti, ekacce aṅgulimāloti sutvāva palāyitvā araññaṃ vā pavisanti, gharaṃ vā pavisitvā dvāraṃ thakenti. Palāyituṃ asakkontā piṭṭhiṃ datvā tiṭṭhanti . Thero uḷuṅgayāgumpi kaṭacchubhikkhampi na labhati, piṇḍapātena kilamati. Bahi alabhanto nagaraṃ sabbasādhāraṇanti nagaraṃ pavisati. Yena dvārena pavisati, tattha aṅgulimālo āgatoti kūṭasahassānaṃ bhijjanakāraṇaṃ hoti. Etadahosīti kāruññappattiyā ahosi. Ekena ūnamanussasahassaṃ ghātentassa ekadivasampi kāruññaṃ nāhosi, gabbhamūḷhāya itthiyā dassanamatteneva kathaṃ uppannanti? Pabbajjābalena, pabbajjābalañhi etaṃ.

    เตน หีติ ยสฺมา เต การุญฺญํ อุปฺปนฺนํ, ตสฺมาติ อโตฺถฯ อริยาย ชาติยาติ, องฺคุลิมาล, เอตํ ตฺวํ มา คณฺหิ, เนสา ตว ชาติฯ คิหิกาโล เอส, คิหี นาม ปาณมฺปิ หนนฺติ, อทินฺนาทานาทีนิปิ กโรนฺติฯ อิทานิ ปน เต อริยา นาม ชาติฯ ตสฺมา ตฺวํ ‘‘ยโต อหํ, ภคินิ, ชาโต’’ติ สเจ เอวํ วตฺตุํ กุกฺกุจฺจายสิ, เตน หิ ‘‘อริยาย ชาติยา’’ติ เอวํ วิเสเสตฺวา วทาหีติ อุโยฺยเชสิฯ

    Tena hīti yasmā te kāruññaṃ uppannaṃ, tasmāti attho. Ariyāya jātiyāti, aṅgulimāla, etaṃ tvaṃ mā gaṇhi, nesā tava jāti. Gihikālo esa, gihī nāma pāṇampi hananti, adinnādānādīnipi karonti. Idāni pana te ariyā nāma jāti. Tasmā tvaṃ ‘‘yato ahaṃ, bhagini, jāto’’ti sace evaṃ vattuṃ kukkuccāyasi, tena hi ‘‘ariyāya jātiyā’’ti evaṃ visesetvā vadāhīti uyyojesi.

    ตํ อิตฺถิํ เอตทโวจาติ อิตฺถีนํ คพฺภวุฎฺฐานฎฺฐานํ นาม น สกฺกา ปุริเสน อุปสงฺกมิตุํฯ เถโร กิํ กโรสีติ? องฺคุลิมาลเตฺถโร สจฺจกิริยํ กตฺวา โสตฺถิกรณตฺถาย อาคโตติ อาโรจาเปสิฯ ตโต เต สาณิยา ปริกฺขิปิตฺวา เถรสฺส พหิสาณิยํ ปีฐกํ ปญฺญาเปสุํฯ เถโร ตตฺถ นิสีทิตฺวา – ‘‘ยโต อหํ ภคินิ สพฺพญฺญุพุทฺธสฺส อริยาย ชาติยา ชาโต’’ติ สจฺจกิริยํ อกาสิ, สห สจฺจวจเนเนว ธมกรณโต มุตฺตอุทกํ วิย ทารโก นิกฺขมิฯ มาตาปุตฺตานํ โสตฺถิ อโหสิฯ อิมญฺจ ปน ปริตฺตํ น กิญฺจิ ปริสฺสยํ น มทฺทติ, มหาปริตฺตํ นาเมตนฺติ วุตฺตํฯ เถเรน นิสีทิตฺวา สจฺจกิริยกตฎฺฐาเน ปีฐกํ อกํสุฯ คพฺภมูฬฺหํ ติรจฺฉานคติตฺถิมฺปิ อาเนตฺวา ตตฺถ นิสชฺชาเปนฺติ, ตาวเทว สุเขน คพฺภวุฎฺฐานํ โหติฯ ยา ทุพฺพลา โหติ น สกฺกา อาเนตุํ, ตสฺสา ปีฐกโธวนอุทกํ เนตฺวา สีเส สิญฺจนฺติ, ตงฺขณํเยว คพฺภวุฎฺฐานํ โหติ, อญฺญมฺปิ โรคํ วูปสเมติฯ ยาว กปฺปา ติฎฺฐนกปาฎิหาริยํ กิเรตํฯ

    Taṃ itthiṃ etadavocāti itthīnaṃ gabbhavuṭṭhānaṭṭhānaṃ nāma na sakkā purisena upasaṅkamituṃ. Thero kiṃ karosīti? Aṅgulimālatthero saccakiriyaṃ katvā sotthikaraṇatthāya āgatoti ārocāpesi. Tato te sāṇiyā parikkhipitvā therassa bahisāṇiyaṃ pīṭhakaṃ paññāpesuṃ. Thero tattha nisīditvā – ‘‘yato ahaṃ bhagini sabbaññubuddhassa ariyāya jātiyā jāto’’ti saccakiriyaṃ akāsi, saha saccavacaneneva dhamakaraṇato muttaudakaṃ viya dārako nikkhami. Mātāputtānaṃ sotthi ahosi. Imañca pana parittaṃ na kiñci parissayaṃ na maddati, mahāparittaṃ nāmetanti vuttaṃ. Therena nisīditvā saccakiriyakataṭṭhāne pīṭhakaṃ akaṃsu. Gabbhamūḷhaṃ tiracchānagatitthimpi ānetvā tattha nisajjāpenti, tāvadeva sukhena gabbhavuṭṭhānaṃ hoti. Yā dubbalā hoti na sakkā ānetuṃ, tassā pīṭhakadhovanaudakaṃ netvā sīse siñcanti, taṅkhaṇaṃyeva gabbhavuṭṭhānaṃ hoti, aññampi rogaṃ vūpasameti. Yāva kappā tiṭṭhanakapāṭihāriyaṃ kiretaṃ.

    กิํ ปน ภควา เถรํ เวชฺชกมฺมํ การาเปสีติ? น การาเปสิฯ เถรญฺหิ ทิสฺวา มนุสฺสา ภีตา ปลายนฺติฯ เถโร ภิกฺขาหาเรน กิลมติ, สมณธมฺมํ กาตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺส อนุคฺคเหน สจฺจกิริยํ กาเรสิฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อิทานิ กิร องฺคุลิมาลเตฺถโร เมตฺตจิตฺตํ ปฎิลภิตฺวา สจฺจกิริยาย มนุสฺสานํ โสตฺถิภาวํ กโรตีติ มนุสฺสา เถรํ อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, ตโต ภิกฺขาหาเรน อกิลมโนฺต สมณธมฺมํ กาตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ อนุคฺคเหน สจฺจกิริยํ กาเรสิฯ น หิ สจฺจกิริยา เวชฺชกมฺมํ โหติฯ เถรสฺสาปิ จ ‘‘สมณธมฺมํ กริสฺสามี’’ติ มูลกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐาเน นิสินฺนสฺส จิตฺตํ กมฺมฎฺฐานาภิมุขํ น คจฺฉติ, อฎวิยํ ฐตฺวา มนุสฺสานํ ฆาติตฎฺฐานเมว ปากฎํ โหติฯ ‘‘ทุคฺคโตมฺหิ, ขุทฺทกปุโตฺตมฺหิ, ชีวิตํ เม เทหิ สามีติ มรณภีตานํ วจนากาโร จ หตฺถปาทวิกาโร จ อาปาถํ อาคจฺฉติ, โส วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ตโตว อุฎฺฐาย คจฺฉติ, อถสฺส ภควา ตํ ชาติํ อโพฺพหาริกํ กตฺวาวายํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ คณฺหิสฺสตีติ อริยาย ชาติยา สจฺจกิริยํ กาเรสิฯ เอโก วูปกโฎฺฐติอาทิ วตฺถสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๘๐) วิตฺถาริตํฯ

    Kiṃ pana bhagavā theraṃ vejjakammaṃ kārāpesīti? Na kārāpesi. Therañhi disvā manussā bhītā palāyanti. Thero bhikkhāhārena kilamati, samaṇadhammaṃ kātuṃ na sakkoti. Tassa anuggahena saccakiriyaṃ kāresi. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘idāni kira aṅgulimālatthero mettacittaṃ paṭilabhitvā saccakiriyāya manussānaṃ sotthibhāvaṃ karotīti manussā theraṃ upasaṅkamitabbaṃ maññissanti, tato bhikkhāhārena akilamanto samaṇadhammaṃ kātuṃ sakkhissatī’’ti anuggahena saccakiriyaṃ kāresi. Na hi saccakiriyā vejjakammaṃ hoti. Therassāpi ca ‘‘samaṇadhammaṃ karissāmī’’ti mūlakammaṭṭhānaṃ gahetvā rattiṭṭhānadivāṭṭhāne nisinnassa cittaṃ kammaṭṭhānābhimukhaṃ na gacchati, aṭaviyaṃ ṭhatvā manussānaṃ ghātitaṭṭhānameva pākaṭaṃ hoti. ‘‘Duggatomhi, khuddakaputtomhi, jīvitaṃ me dehi sāmīti maraṇabhītānaṃ vacanākāro ca hatthapādavikāro ca āpāthaṃ āgacchati, so vippaṭisārī hutvā tatova uṭṭhāya gacchati, athassa bhagavā taṃ jātiṃ abbohārikaṃ katvāvāyaṃ vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ gaṇhissatīti ariyāya jātiyā saccakiriyaṃ kāresi. Eko vūpakaṭṭhotiādi vatthasutte (ma. ni. 1.80) vitthāritaṃ.

    ๓๕๒. อเญฺญนปิ เลฑฺฑุ ขิโตฺตติ กากสุนขสูกราทีนํ ปฎิกฺกมาปนตฺถาย สมนฺตา สรเกฺขปมเตฺต ฐาเน เยน เกนจิ ทิสาภาเคน ขิโตฺต อาคนฺตฺวา เถรเสฺสว กาเย ปตติฯ กิตฺตเก ฐาเน เอวํ โหติ? คณฺฐิกํ ปฎิมุญฺจิตฺวา ปิณฺฑาย จริตฺวา ปฎินิวเตฺตตฺวา ยาว คณฺฐิกปฎิมุกฺกฎฺฐานํ อาคจฺฉติ, ตาว โหติฯ ภิเนฺนน สีเสนาติ มหาจมฺมํ ฉินฺทิตฺวา ยาว อฎฺฐิมริยาทา ภิเนฺนนฯ

    352.Aññenapi leḍḍu khittoti kākasunakhasūkarādīnaṃ paṭikkamāpanatthāya samantā sarakkhepamatte ṭhāne yena kenaci disābhāgena khitto āgantvā therasseva kāye patati. Kittake ṭhāne evaṃ hoti? Gaṇṭhikaṃ paṭimuñcitvā piṇḍāya caritvā paṭinivattetvā yāva gaṇṭhikapaṭimukkaṭṭhānaṃ āgacchati, tāva hoti. Bhinnena sīsenāti mahācammaṃ chinditvā yāva aṭṭhimariyādā bhinnena.

    พฺราหฺมณาติ ขีณาสวภาวํ สนฺธาย อาหฯ ยสฺส โข ตฺวํ, พฺราหฺมณ, กมฺมสฺส วิปาเกนาติ อิทํ สภาคทิฎฺฐธมฺมเวทนียกมฺมํ สนฺธาย วุตฺตํฯ กมฺมญฺหิ กริยมานเมว ตโย โกฎฺฐาเส ปูเรติฯ สตฺตสุ จิเตฺตสุ กุสลา วา อกุสลา วา ปฐมชวนเจตนา ทิฎฺฐธมฺมเวทนียกมฺมํ นาม โหติฯ ตํ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว วิปากํ เทติฯ ตถา อสโกฺกนฺตํ อโหสิกมฺมํ, นาโหสิ กมฺมวิปาโก, น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก, นตฺถิ กมฺมวิปาโกติ อิมสฺส ติกสฺส วเสน อโหสิกมฺมํ นาม โหติฯ อตฺถสาธิกา สตฺตมชวนเจตนา อุปปชฺชเวทนียกมฺมํ นามฯ ตํ อนนฺตเร อตฺตภาเว วิปากํ เทติฯ ตถา อสโกฺกนฺตํ วุตฺตนเยเนว ตํ อโหสิกมฺมํ นาม โหติฯ อุภินฺนมนฺตเร ปญฺจชวนเจตนา อปราปริยเวทนียกมฺมํ นาม โหติฯ ตํ อนาคเต ยทา โอกาสํ ลภติ, ตทา วิปากํ เทติฯ สติ สํสารปฺปวตฺติยา อโหสิกมฺมํ นาม น โหติฯ เถรสฺส ปน อุปปชฺชเวทนียญฺจ อปราปริยเวทนียญฺจาติ อิมานิ เทฺว กมฺมานิ กมฺมกฺขยกเรน อรหตฺตมเคฺคน สมุคฺฆาฎิตานิ, ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ อตฺถิ ฯ ตํ อรหตฺตปฺปตฺตสฺสาปิ วิปากํ เทติเยวฯ ตํ สนฺธาย ภควา ‘‘ยสฺส โข ตฺว’’นฺติอาทิมาหฯ ตสฺมา ยสฺส โขติ เอตฺถ ยาทิสสฺส โข ตฺวํ, พฺราหฺมณ, กมฺมสฺส วิปาเกนาติ เอวํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Brāhmaṇāti khīṇāsavabhāvaṃ sandhāya āha. Yassa kho tvaṃ, brāhmaṇa, kammassa vipākenāti idaṃ sabhāgadiṭṭhadhammavedanīyakammaṃ sandhāya vuttaṃ. Kammañhi kariyamānameva tayo koṭṭhāse pūreti. Sattasu cittesu kusalā vā akusalā vā paṭhamajavanacetanā diṭṭhadhammavedanīyakammaṃ nāma hoti. Taṃ imasmiṃyeva attabhāve vipākaṃ deti. Tathā asakkontaṃ ahosikammaṃ, nāhosi kammavipāko, na bhavissati kammavipāko, natthi kammavipākoti imassa tikassa vasena ahosikammaṃ nāma hoti. Atthasādhikā sattamajavanacetanā upapajjavedanīyakammaṃ nāma. Taṃ anantare attabhāve vipākaṃ deti. Tathā asakkontaṃ vuttanayeneva taṃ ahosikammaṃ nāma hoti. Ubhinnamantare pañcajavanacetanā aparāpariyavedanīyakammaṃ nāma hoti. Taṃ anāgate yadā okāsaṃ labhati, tadā vipākaṃ deti. Sati saṃsārappavattiyā ahosikammaṃ nāma na hoti. Therassa pana upapajjavedanīyañca aparāpariyavedanīyañcāti imāni dve kammāni kammakkhayakarena arahattamaggena samugghāṭitāni, diṭṭhadhammavedanīyaṃ atthi . Taṃ arahattappattassāpi vipākaṃ detiyeva. Taṃ sandhāya bhagavā ‘‘yassa kho tva’’ntiādimāha. Tasmā yassa khoti ettha yādisassa kho tvaṃ, brāhmaṇa, kammassa vipākenāti evaṃ attho veditabbo.

    อพฺภา มุโตฺตติ เทสนาสีสมตฺตเมตํ, อพฺภา มหิกา ธูโม รโช ราหูติ อิเมหิ ปน อุปกฺกิเลเสหิ มุโตฺต จนฺทิมา อิธ อธิเปฺปโตฯ ยถา หิ เอวํ นิรุปกฺกิเลโส จนฺทิมา โลกํ ปภาเสติ, เอวํ ปมาทกิเลสวิมุโตฺต อปฺปมโตฺต ภิกฺขุ อิมํ อตฺตโน ขนฺธายตนธาตุโลกํ ปภาเสติ, วิหตกิเลสนฺธการํ กโรติฯ

    Abbhā muttoti desanāsīsamattametaṃ, abbhā mahikā dhūmo rajo rāhūti imehi pana upakkilesehi mutto candimā idha adhippeto. Yathā hi evaṃ nirupakkileso candimā lokaṃ pabhāseti, evaṃ pamādakilesavimutto appamatto bhikkhu imaṃ attano khandhāyatanadhātulokaṃ pabhāseti, vihatakilesandhakāraṃ karoti.

    กุสเลน ปิธียตีติ มคฺคกุสเลน ปิธียติ อปฺปฎิสนฺธิกํ กรียติฯ ยุญฺชติ พุทฺธสาสเนติ พุทฺธสาสเน กาเยน วาจาย มนสา จ ยุตฺตปฺปยุโตฺต วิหรติฯ อิมา ติโสฺส เถรสฺส อุทานคาถา นามฯ

    Kusalena pidhīyatīti maggakusalena pidhīyati appaṭisandhikaṃ karīyati. Yuñjati buddhasāsaneti buddhasāsane kāyena vācāya manasā ca yuttappayutto viharati. Imā tisso therassa udānagāthā nāma.

    ทิสา หิ เมติ อิทํ กิร เถโร อตฺตโน ปริตฺตาณาการํ กโรโนฺต อาหฯ ตตฺถ ทิสา หิ เมติ มม สปตฺตาฯ เย มํ เอวํ อุปวทนฺติ – ‘‘ยถา มยํ องฺคุลิมาเลน มาริตานํ ญาตกานํ วเสน ทุกฺขํ เวทิยาม, เอวํ องฺคุลิมาโลปิ เวทิยตู’’ติ, เต มยฺหํ ทิสา จตุสจฺจธมฺมกถํ สุณนฺตูติ อโตฺถฯ ยุญฺชนฺตูติ กายวาจามเนหิ ยุตฺตปฺปยุตฺตา วิหรนฺตุฯ เย ธมฺมเมวาทปยนฺติ สโนฺตติ เย สโนฺต สปฺปุริสา ธมฺมํเยว อาทเปนฺติ สมาทเปนฺติ คณฺหาเปนฺติ, เต มนุชา มยฺหํ สปตฺตา ภชนฺตุ เสวนฺตุ ปยิรุปาสนฺตูติ อโตฺถฯ

    Disā hi meti idaṃ kira thero attano parittāṇākāraṃ karonto āha. Tattha disā hi meti mama sapattā. Ye maṃ evaṃ upavadanti – ‘‘yathā mayaṃ aṅgulimālena māritānaṃ ñātakānaṃ vasena dukkhaṃ vediyāma, evaṃ aṅgulimālopi vediyatū’’ti, te mayhaṃ disā catusaccadhammakathaṃ suṇantūti attho. Yuñjantūti kāyavācāmanehi yuttappayuttā viharantu. Ye dhammamevādapayantisantoti ye santo sappurisā dhammaṃyeva ādapenti samādapenti gaṇhāpenti, te manujā mayhaṃ sapattā bhajantu sevantu payirupāsantūti attho.

    อวิโรธปฺปสํสีนนฺติ อวิโรโธ วุจฺจติ เมตฺตา, เมตฺตาปสํสกานนฺติ อโตฺถฯ สุณนฺตุ ธมฺมํ กาเลนาติ ขเณ ขเณ ขนฺติเมตฺตาปฎิสงฺขาสารณียธมฺมํ สุณนฺตุฯ ตญฺจ อนุวิธียนฺตูติ ตญฺจ ธมฺมํ อนุกโรนฺตุ ปูเรนฺตุฯ

    Avirodhappasaṃsīnanti avirodho vuccati mettā, mettāpasaṃsakānanti attho. Suṇantu dhammaṃ kālenāti khaṇe khaṇe khantimettāpaṭisaṅkhāsāraṇīyadhammaṃ suṇantu. Tañca anuvidhīyantūti tañca dhammaṃ anukarontu pūrentu.

    น หิ ชาตุ โส มมํ หิํเสติ โย มยฺหํ ทิโส, โส มํ เอกํเสเนว น หิํเสยฺยฯ อญฺญํ วา ปน กิญฺจิ นนฺติ น เกวลํ มํ, อญฺญมฺปิ ปน กญฺจิ ปุคฺคลํ มา หิํสนฺตุ มา วิเหเฐนฺตุฯ ปปฺปุยฺย ปรมํ สนฺตินฺติ ปรมํ สนฺติภูตํ นิพฺพานํ ปาปุณิตฺวาฯ รเกฺขยฺย ตสถาวเรติ ตสา วุจฺจนฺติ สตณฺหา, ถาวรา นิตฺตณฺหาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย นิพฺพานํ ปาปุณาติ, โส สพฺพํ ตสถาวรํ รกฺขิตุํ สมโตฺถ โหติฯ ตสฺมา มยฺหมฺปิ ทิสา นิพฺพานํ ปาปุณนฺตุ, เอวํ มํ เอกํเสเนว น หิํสิสฺสนฺตีติฯ อิมา ติโสฺส คาถา อตฺตโน ปริตฺตํ กาตุํ อาหฯ

    Na hi jātu so mamaṃ hiṃseti yo mayhaṃ diso, so maṃ ekaṃseneva na hiṃseyya. Aññaṃ vā pana kiñci nanti na kevalaṃ maṃ, aññampi pana kañci puggalaṃ mā hiṃsantu mā viheṭhentu. Pappuyya paramaṃ santinti paramaṃ santibhūtaṃ nibbānaṃ pāpuṇitvā. Rakkheyya tasathāvareti tasā vuccanti sataṇhā, thāvarā nittaṇhā. Idaṃ vuttaṃ hoti – yo nibbānaṃ pāpuṇāti, so sabbaṃ tasathāvaraṃ rakkhituṃ samattho hoti. Tasmā mayhampi disā nibbānaṃ pāpuṇantu, evaṃ maṃ ekaṃseneva na hiṃsissantīti. Imā tisso gāthā attano parittaṃ kātuṃ āha.

    อิทานิ อตฺตโนว ปฎิปตฺติํ ทีเปโนฺต อุทกญฺหิ นยนฺติ เนตฺติกาติ อาหฯ ตตฺถ เนตฺติกาติ เย มาติกํ โสเธตฺวา พนฺธิตพฺพฎฺฐาเน พนฺธิตฺวา อุทกํ นยนฺติฯ อุสุการาติ อุสุการกาฯ นมยนฺตีติ เตลกญฺชิเกน มเกฺขตฺวา กุกฺกุเฬ ตาเปตฺวา อุนฺนตุนฺนตฎฺฐาเน นเมนฺตา อุชุํ กโรนฺติฯ เตชนนฺติ กณฺฑํฯ ตญฺหิ อิสฺสาโส เตชํ กโรติ, ปรญฺจ ตเชฺชติ, ตสฺมา เตชนนฺติ วุจฺจติฯ อตฺตานํ ทมยนฺตีติ ยถา เนตฺติกา อุชุมเคฺคน อุทกํ นยนฺติ, อุสุการา เตชนํ, ตจฺฉกา จ ทารุํ อุชุํ กโรนฺติ, เอวเมวํ ปณฺฑิตา อตฺตานํ ทเมนฺติ อุชุกํ กโรนฺติ นิพฺพิเสวนํ กโรนฺติฯ

    Idāni attanova paṭipattiṃ dīpento udakañhi nayantinettikāti āha. Tattha nettikāti ye mātikaṃ sodhetvā bandhitabbaṭṭhāne bandhitvā udakaṃ nayanti. Usukārāti usukārakā. Namayantīti telakañjikena makkhetvā kukkuḷe tāpetvā unnatunnataṭṭhāne namentā ujuṃ karonti. Tejananti kaṇḍaṃ. Tañhi issāso tejaṃ karoti, parañca tajjeti, tasmā tejananti vuccati. Attānaṃ damayantīti yathā nettikā ujumaggena udakaṃ nayanti, usukārā tejanaṃ, tacchakā ca dāruṃ ujuṃ karonti, evamevaṃ paṇḍitā attānaṃ damenti ujukaṃ karonti nibbisevanaṃ karonti.

    ตาทินาติ อิฎฺฐานิฎฺฐาทีสุ นิพฺพิกาเรน – ‘‘ปญฺจหากาเรหิ ภควา ตาที, อิฎฺฐานิเฎฺฐ ตาที, วนฺตาวีติ ตาที, จตฺตาวีติ ตาที, ติณฺณาวีติ ตาที, ตนฺนิเทฺทสาติ ตาที’’ติ (มหานิ. ๓๘; ๑๙๒) เอวํ ตาทิลกฺขณปฺปเตฺตน สตฺถาราฯ ภวเนตฺตีติ ภวรชฺชุ, ตณฺหาเยตํ นามํฯ ตาย หิ โคณา วิย คีวาย รชฺชุยา, สตฺตา หทเย พทฺธา ตํ ตํ ภวํ นียนฺติ, ตสฺมา ภวเนตฺตีติ วุจฺจติฯ ผุโฎฺฐ กมฺมวิปาเกนาติ มคฺคเจตนาย ผุโฎฺฐฯ ยสฺมา หิ มคฺคเจตนาย กมฺมํ ปจฺจติ วิปจฺจติ ฑยฺหติ, ปริกฺขยํ คจฺฉติ, ตสฺมา สา กมฺมวิปาโกติ วุตฺตาฯ ตาย หิ ผุฎฺฐตฺตา เอส อณโณ นิกฺกิเลโส ชาโต, น ทุกฺขเวทนาย อณโณฯ ภุญฺชามีติ เจตฺถ เถยฺยปริโภโค อิณปริโภโค ทายชฺชปริโภโค สามิปริโภโคติ จตฺตาโร ปริโภคา เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ทุสฺสีลสฺส ปริโภโค เถยฺยปริโภโค นามฯ โส หิ จตฺตาโร ปจฺจเย เถเนตฺวา ภุญฺชติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘เถยฺยาย โว, ภิกฺขเว, รฎฺฐปิโณฺฑ ภุโตฺต’’ติ (ปารา. ๑๙๕)ฯ สีลวโต ปน อปจฺจเวกฺขณปริโภโค อิณปริโภโค นามฯ สตฺตนฺนํ เสกฺขานํ ปริโภโค ทายชฺชปริโภโค นามฯ ขีณาสวสฺส ปริโภโค สามิปริโภโค นามฯ อิธ กิเลสอิณานํ อภาวํ สนฺธาย ‘‘อณโณ’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘อนิโณ’’ติปิ ปาโฐฯ สามิปริโภคํ สนฺธาย ‘‘ภุญฺชามิ โภชน’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Tādināti iṭṭhāniṭṭhādīsu nibbikārena – ‘‘pañcahākārehi bhagavā tādī, iṭṭhāniṭṭhe tādī, vantāvīti tādī, cattāvīti tādī, tiṇṇāvīti tādī, tanniddesāti tādī’’ti (mahāni. 38; 192) evaṃ tādilakkhaṇappattena satthārā. Bhavanettīti bhavarajju, taṇhāyetaṃ nāmaṃ. Tāya hi goṇā viya gīvāya rajjuyā, sattā hadaye baddhā taṃ taṃ bhavaṃ nīyanti, tasmā bhavanettīti vuccati. Phuṭṭhokammavipākenāti maggacetanāya phuṭṭho. Yasmā hi maggacetanāya kammaṃ paccati vipaccati ḍayhati, parikkhayaṃ gacchati, tasmā sā kammavipākoti vuttā. Tāya hi phuṭṭhattā esa aṇaṇo nikkileso jāto, na dukkhavedanāya aṇaṇo. Bhuñjāmīti cettha theyyaparibhogo iṇaparibhogo dāyajjaparibhogo sāmiparibhogoti cattāro paribhogā veditabbā. Tattha dussīlassa paribhogo theyyaparibhogo nāma. So hi cattāro paccaye thenetvā bhuñjati. Vuttampi cetaṃ ‘‘theyyāya vo, bhikkhave, raṭṭhapiṇḍo bhutto’’ti (pārā. 195). Sīlavato pana apaccavekkhaṇaparibhogo iṇaparibhogo nāma. Sattannaṃ sekkhānaṃ paribhogo dāyajjaparibhogo nāma. Khīṇāsavassa paribhogo sāmiparibhogo nāma. Idha kilesaiṇānaṃ abhāvaṃ sandhāya ‘‘aṇaṇo’’ti vuttaṃ. ‘‘Aniṇo’’tipi pāṭho. Sāmiparibhogaṃ sandhāya ‘‘bhuñjāmi bhojana’’nti vuttaṃ.

    กามรติสนฺถวนฺติ ทุวิเธสุปิ กาเมสุ ตณฺหารติสนฺถวํ มา อนุยุญฺชถ มา กริตฺถฯ นยิทํ ทุมฺมนฺติตํ มมาติ ยํ มยา สมฺมาสมฺพุทฺธํ ทิสฺวา ปพฺพชิสฺสามีติ มนฺติตํ, ตํ มม มนฺติตํ น ทุมฺมนฺติตํฯ สํวิภเตฺตสุ ธเมฺมสูติ อหํ สตฺถาติ เอวํ โลเก อุปฺปเนฺนหิ เย ธมฺมา สํวิภตฺตา, เตสุ ธเมฺมสุ ยํ เสฎฺฐํ นิพฺพานํ, ตเทว อหํ อุปคมํ อุปคโต สมฺปโตฺต, ตสฺมา มยฺหํ อิทํ อาคมนํ สฺวาคตํ นาม คตนฺติฯ ติโสฺส วิชฺชาติ ปุเพฺพนิวาสทิพฺพจกฺขุอาสวกฺขยปญฺญาฯ กตํ พุทฺธสฺส สาสนนฺติ ยํ พุทฺธสฺส สาสเน กตฺตพฺพกิจฺจํ อตฺถิ, ตํ สพฺพํ มยา กตํฯ ตีหิ วิชฺชาหิ นวหิ จ โลกุตฺตรธเมฺมหิ เทสนํ มตฺถกํ ปาเปสีติฯ

    Kāmaratisanthavanti duvidhesupi kāmesu taṇhāratisanthavaṃ mā anuyuñjatha mā karittha. Nayidaṃ dummantitaṃ mamāti yaṃ mayā sammāsambuddhaṃ disvā pabbajissāmīti mantitaṃ, taṃ mama mantitaṃ na dummantitaṃ. Saṃvibhattesu dhammesūti ahaṃ satthāti evaṃ loke uppannehi ye dhammā saṃvibhattā, tesu dhammesu yaṃ seṭṭhaṃ nibbānaṃ, tadeva ahaṃ upagamaṃ upagato sampatto, tasmā mayhaṃ idaṃ āgamanaṃ svāgataṃ nāma gatanti. Tisso vijjāti pubbenivāsadibbacakkhuāsavakkhayapaññā. Kataṃbuddhassa sāsananti yaṃ buddhassa sāsane kattabbakiccaṃ atthi, taṃ sabbaṃ mayā kataṃ. Tīhi vijjāhi navahi ca lokuttaradhammehi desanaṃ matthakaṃ pāpesīti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    องฺคุลิมาลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṅgulimālasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๖. องฺคุลิมาลสุตฺตํ • 6. Aṅgulimālasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๖. องฺคุลิมาลสุตฺตวณฺณนา • 6. Aṅgulimālasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact