Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๖. องฺคุลิมาลสุตฺตวณฺณนา

    6. Aṅgulimālasuttavaṇṇanā

    ๓๔๗. องฺคุลีนํ มาลํ ธาเรตีติ อิมินา อนฺวตฺถา ตสฺส สมญฺญาติ ทเสฺสติฯ ตตฺราติ ตสฺมิํ อาจริยวจเนน องฺคุลิมาลสฺส ธารเณฯ กรีสสหสฺสเขเตฺต เอกสาลิสีสํ วิย อปญฺญายมานสกกิโจฺจ โหตีติ อธิปฺปาโยฯ ตกฺกสีลํ เปสยิํสุ ‘‘ตาทิสสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปุคฺคหสมฺมาปโยเคน ทิฎฺฐธมฺมิเก สมฺปรายิเก จ อเตฺถ ชานโนฺต ภาริยํ น กเรยฺยา’’ติฯ พาหิรกา อเหสุํ อหิํสกสฺส วตฺตสมฺปตฺติยา อาจริยสฺส จิตฺตสภาวโต นิพฺพตฺตนติภาเวนฯ สิเนเหเนว วทเนฺตติ สิเนเหน วิย วทเนฺตฯ

    347.Aṅgulīnaṃmālaṃ dhāretīti iminā anvatthā tassa samaññāti dasseti. Tatrāti tasmiṃ ācariyavacanena aṅgulimālassa dhāraṇe. Karīsasahassakhette ekasālisīsaṃ viya apaññāyamānasakakicco hotīti adhippāyo. Takkasīlaṃ pesayiṃsu ‘‘tādisassa ācariyassa santike sippuggahasammāpayogena diṭṭhadhammike samparāyike ca atthe jānanto bhāriyaṃ na kareyyā’’ti. Bāhirakā ahesuṃ ahiṃsakassa vattasampattiyā ācariyassa cittasabhāvato nibbattanatibhāvena. Sineheneva vadanteti sinehena viya vadante.

    คณนมฺปิ น อุคฺคณฺหาตีติ คณนวิธิมฺปิ น สลฺลเกฺขติฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘ปกติยา’’ติอาทินาฯ ฐปิตฎฺฐาเนติ รุกฺขคจฺฉนฺตราทิเก ฐปิตฎฺฐาเน สกุนฺตสิงฺคาลานํ วเสน องฺคุลิโย วินสฺสนฺติฯ ภคฺคโวติ โกสลรโญฺญ ปุโรหิตํ โคเตฺตน วทติฯ โจโร อวิสฺสาสนีโย สาหสิกภาวโตฯ ปุราณสนฺถตา สาขา อวิสฺสาสนียา วิจฺฉิกาทีนํ ปเวสนโยคฺยตฺตาฯ ราชา อวิสฺสาสนีโย อิสฺสริยมเทน ธนโลเภน จ กทาจิ ชีวิเต สงฺกาภาวโตฯ อิตฺถี อวิสฺสาสนียา โลลสีลจิตฺตภาวโตฯ อนุทฺธรณีโย ภวิสฺสติ สํสารปงฺกโตฯ

    Gaṇanampi na uggaṇhātīti gaṇanavidhimpi na sallakkheti. Tattha kāraṇamāha ‘‘pakatiyā’’tiādinā. Ṭhapitaṭṭhāneti rukkhagacchantarādike ṭhapitaṭṭhāne sakuntasiṅgālānaṃ vasena aṅguliyo vinassanti. Bhaggavoti kosalarañño purohitaṃ gottena vadati. Coro avissāsanīyo sāhasikabhāvato. Purāṇasanthatā sākhā avissāsanīyā vicchikādīnaṃ pavesanayogyattā. Rājā avissāsanīyo issariyamadena dhanalobhena ca kadāci jīvite saṅkābhāvato. Itthī avissāsanīyā lolasīlacittabhāvato. Anuddharaṇīyo bhavissati saṃsārapaṅkato.

    ๓๔๘. สงฺกริตฺวาติ ‘‘มยํ เอกชฺฌํ สนฺนิปติตฺวา โจรํ มาเรตฺวา วา ปลาเปตฺวา คมิสฺสามา’’ติ สงฺกรํ กตฺวาฯ อิทฺธาภิสงฺขารนฺติ อภิสงฺขรณํ อธิฎฺฐานํฯ อภิสงฺขาสีติ อธิฎฺฐหิฯ สํหริตฺวาติ สํขิปิตฺวาฯ โอรภาเคติ โจรสฺส โอรภาเคฯ

    348.Saṅkaritvāti ‘‘mayaṃ ekajjhaṃ sannipatitvā coraṃ māretvā vā palāpetvā gamissāmā’’ti saṅkaraṃ katvā. Iddhābhisaṅkhāranti abhisaṅkharaṇaṃ adhiṭṭhānaṃ. Abhisaṅkhāsīti adhiṭṭhahi. Saṃharitvāti saṃkhipitvā. Orabhāgeti corassa orabhāge.

    ๓๔๙. ทโณฺฑติ ปหรณหตฺถเจฺฉทนาทิโก ทณฺฑนสงฺขาโต ทโณฺฑฯ ปวตฺตยิตโพฺพติ อาเนตโพฺพฯ อปเนตฺวาติ อตฺตโน สนฺตานโต สมุเจฺฉทวเสน ปหายฯ ปฎิสงฺขายาติ ปฎิสงฺขาเนนฯ อวิหิํสายาติ กรุณายฯ สารณียธเมฺมสูติ ฉสุปิ สารณียธเมฺมสุ, ฐิโต อฎฺฐิตานํ ปาปธมฺมานํ โพธิมูเล เอว สมุจฺฉินฺนตฺตาฯ ยถา อตีเต อปริมิตํ กาลํ สนฺธาวิตํ, เอวํ อิมาย ปฎิปตฺติยา อนาคเตปิ สนฺธาวิสฺสตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิทานี’’ติอาทิมาหฯ

    349.Daṇḍoti paharaṇahatthacchedanādiko daṇḍanasaṅkhāto daṇḍo. Pavattayitabboti ānetabbo. Apanetvāti attano santānato samucchedavasena pahāya. Paṭisaṅkhāyāti paṭisaṅkhānena. Avihiṃsāyāti karuṇāya. Sāraṇīyadhammesūti chasupi sāraṇīyadhammesu, ṭhito aṭṭhitānaṃ pāpadhammānaṃ bodhimūle eva samucchinnattā. Yathā atīte aparimitaṃ kālaṃ sandhāvitaṃ, evaṃ imāya paṭipattiyā anāgatepi sandhāvissatīti dassento ‘‘idānī’’tiādimāha.

    อิเตฺววาติ อิติ เอว, อิติ-สโทฺท นิทสฺสนโตฺถฯ เตนาห ‘‘เอวํ วตฺวา เยวา’’ติฯ อกิรีติ อากิริ, ปญฺจปิ อาวุธานิ วิกิริฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ขิปิ ฉเฑฺฑสี’’ติฯ

    Itvevāti iti eva, iti-saddo nidassanattho. Tenāha ‘‘evaṃ vatvā yevā’’ti. Akirīti ākiri, pañcapi āvudhāni vikiri. Tena vuttaṃ ‘‘khipi chaḍḍesī’’ti.

    ๓๕๐. เอโตฺตวาติ อโต เอว อาคตมเคฺคเนว สาวตฺถิํ คตาฯ อธิวาเสสฺสตีติ ‘‘โจรํ ปฎิเสเธตุํ คมิสฺสามี’’ติ วุเตฺต ตุณฺหี ภวิสฺสติ ฯ ทารุณกเมฺมน อุปฺปนฺนนามนฺติ ‘‘องฺคุลิมาโล’’ติ อิมํ นามํ สนฺธาย วทติฯ

    350.Ettovāti ato eva āgatamaggeneva sāvatthiṃ gatā. Adhivāsessatīti ‘‘coraṃ paṭisedhetuṃ gamissāmī’’ti vutte tuṇhī bhavissati . Dāruṇakammena uppannanāmanti ‘‘aṅgulimālo’’ti imaṃ nāmaṃ sandhāya vadati.

    ๓๕๑. หตฺถี อรญฺญหตฺถี โหนฺติ มนุสฺสานํ ตตฺถ คนฺตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา, เอวํ อสฺสาปิฯ กูฎสหสฺสานํ ภิชฺชนการณํ โหติ เถรสฺส อาคมนภเยน ฆเฎ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายเนนฯ คพฺภมูฬฺหายาติ พฺยากุลคพฺภายฯ ปพฺพชฺชาพเลนาติ วุตฺตํ, สตฺถุ เทสนานุภาเวนาติ ปน วตฺตพฺพํฯ โส หิ ตสฺสาปิ การณนฺติฯ อริยา นาม ชาติ ปพฺพชฺชา อริยภาวตฺถาย ชาตีติ กตฺวาฯ

    351.Hatthī araññahatthī honti manussānaṃ tattha gantuṃ asakkuṇeyyattā, evaṃ assāpi. Kūṭasahassānaṃ bhijjanakāraṇaṃ hoti therassa āgamanabhayena ghaṭe chaḍḍetvā palāyanena. Gabbhamūḷhāyāti byākulagabbhāya. Pabbajjābalenāti vuttaṃ, satthu desanānubhāvenāti pana vattabbaṃ. So hi tassāpi kāraṇanti. Ariyā nāma jāti pabbajjā ariyabhāvatthāya jātīti katvā.

    มหาปริตฺตํ นาเมตนฺติ มหานุภาวํ ปริตฺตํ นาเมตํฯ ตถา หิ นํ เถโร สพฺพภาเวน อริยาย ชาโต สจฺจาธิฎฺฐาเนน อกาสิฯ เตนาห ‘‘สจฺจกิริยกตฎฺฐาเน’’ติฯ คพฺภมูฬฺหนฺติ มูฬฺหคพฺภํฯ คโพฺภ หิ ปริปโกฺก สมฺปชฺชมาโน วิชายนกาเล กมฺมชวาเตหิ สญฺจาเลตฺวา ปริวตฺติโต อุทฺธํปาโท อโธสีโส หุตฺวา โยนิมุขาภิมุโข โหติ, เอวํ โส กสฺสจิ อลโคฺค โสตฺถินา พหิ นิกฺขมติ, วิปชฺชมาโน ปน วิปริวตฺตนวเสน โยนิมคฺคํ ปิทหิตฺวา ติริยํ นิปชฺชติ, ตถา ยสฺสา โยนิมโคฺค ปิทหติ, สา ตตฺถ กมฺมชวาเตหิ อปราปรํ ปริวตฺตมานา พฺยากุลา มูฬฺหคพฺภาติ วุจฺจติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘คพฺภมูฬฺห’’นฺติฯ

    Mahāparittaṃ nāmetanti mahānubhāvaṃ parittaṃ nāmetaṃ. Tathā hi naṃ thero sabbabhāvena ariyāya jāto saccādhiṭṭhānena akāsi. Tenāha ‘‘saccakiriyakataṭṭhāne’’ti. Gabbhamūḷhanti mūḷhagabbhaṃ. Gabbho hi paripakko sampajjamāno vijāyanakāle kammajavātehi sañcāletvā parivattito uddhaṃpādo adhosīso hutvā yonimukhābhimukho hoti, evaṃ so kassaci alaggo sotthinā bahi nikkhamati, vipajjamāno pana viparivattanavasena yonimaggaṃ pidahitvā tiriyaṃ nipajjati, tathā yassā yonimaggo pidahati, sā tattha kammajavātehi aparāparaṃ parivattamānā byākulā mūḷhagabbhāti vuccati, taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘gabbhamūḷha’’nti.

    สจฺจกิริยา นาม พุทฺธาสยํ อตฺตโน สีลํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา กตา, ตสฺมา สจฺจกิริยา เวชฺชกมฺมํ น โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ เถรสฺสปิ จาติอาทินา อุปสงฺกมิตพฺพการณํ วทติฯ อิเม เทฺว เหตู ปฎิจฺจ ภควา เถรํ สจฺจกิริยํ กาเรสิฯ ชาตินฺติ มูลชาติํฯ

    Saccakiriyā nāma buddhāsayaṃ attano sīlaṃ paccavekkhitvā katā, tasmā saccakiriyā vejjakammaṃ na hotīti daṭṭhabbaṃ. Therassapi cātiādinā upasaṅkamitabbakāraṇaṃ vadati. Ime dve hetū paṭicca bhagavā theraṃ saccakiriyaṃ kāresi. Jātinti mūlajātiṃ.

    ๓๕๒. ปริยาทาย อาหจฺจ ภิเนฺนน สีเสนฯ สภาคทิฎฺฐธมฺมเวทนียกมฺมนฺติ นิรเย นิพฺพตฺตนสกกมฺมสภาคภูตํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียกมฺมํฯ สภาคตา จ สมานวตฺถุกตา สมานารมฺมณตาเอกวีถิปริยาปนฺนตาทิวเสน สพฺพถา สริกฺขตา, สทิสมฺปิ จ นาม ตเทวาหรียติ ยถา ‘‘ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปาโก’’ติ จ ‘‘สา เอว ติตฺติรี ตาเนว โอสธานี’’ติ จฯ อิทานิ ตเมว สภาคตํ ทเสฺสตุํ ‘‘กมฺมํ หี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ กริยมานเมวาติ ปจฺจยสมวาเยน ปฎิปาฎิยา นิพฺพตฺติยมานเมวฯ ตโย โกฎฺฐาเส ปูเรติ, ทิฎฺฐธมฺมเวทนียอปราปริยายเวทนียอุปปชฺชเวทนียสงฺขาเต ตโย ภาเค ปูเรติ, เตสํ ติณฺณํ ภาคานํ วเสน ปวตฺตติฯ

    352. Pariyādāya āhacca bhinnena sīsena. Sabhāgadiṭṭhadhammavedanīyakammanti niraye nibbattanasakakammasabhāgabhūtaṃ diṭṭhadhammavedanīyakammaṃ. Sabhāgatā ca samānavatthukatā samānārammaṇatāekavīthipariyāpannatādivasena sabbathā sarikkhatā, sadisampi ca nāma tadevāharīyati yathā ‘‘tasseva kammassa vipāko’’ti ca ‘‘sā eva tittirī tāneva osadhānī’’ti ca. Idāni tameva sabhāgataṃ dassetuṃ ‘‘kammaṃ hī’’tiādi āraddhaṃ. Kariyamānamevāti paccayasamavāyena paṭipāṭiyā nibbattiyamānameva. Tayo koṭṭhāse pūreti, diṭṭhadhammavedanīyaaparāpariyāyavedanīyaupapajjavedanīyasaṅkhāte tayo bhāge pūreti, tesaṃ tiṇṇaṃ bhāgānaṃ vasena pavattati.

    ทิฎฺฐธโมฺม วุจฺจติ ปจฺจกฺขภูโต ปจฺจุปฺปโนฺน อตฺตภาโว, ตตฺถ เวทิตพฺพผลํ กมฺมํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํฯ ปจฺจุปฺปนฺนภวโต อนนฺตรํ เวทิตพฺพผลํ กมฺมํ อุปปชฺชเวทนียํฯ ทิฎฺฐธมฺมานนฺตรภวโต อญฺญสฺมิํ อตฺตภาวปริยาเย อตฺตภาวปริวเตฺต เวทิตพฺพผลํ กมฺมํ อปราปริยายเวทนียํฯ ปฎิปเกฺขหิ อนภิภูตตาย, ปจฺจยวิเสเสน ปฎิลทฺธวิเสสตาย จ พลวภาวปฺปตฺตา ตาทิสสฺส ปุพฺพาภิสงฺขารสฺส วเสน สาติสยา หุตฺวา ปวตฺตา ปฐมชวนเจตนา ตสฺมิํเยว อตฺตภาเว ผลทายินี ทิฎฺฐธมฺมเวทนียา นามฯ สา หิ วุตฺตากาเรน พลวติ ชวนสนฺตาเน คุณวิเสสยุเตฺตสุ อุปการานุปการวสปฺปวตฺติยา อาเสวนาลาเภน อปฺปวิปากตาย จ อิตรทฺวยํ วิย ปวตฺตสนฺตานุปรมาเปกฺขํ โอกาสลาภาเปกฺขญฺจ กมฺมํ น โหตีติ อิเธว ปุปฺผมตฺตํ วิย ปวตฺติวิปากมตฺตํ ผลํ เทติฯ

    Diṭṭhadhammo vuccati paccakkhabhūto paccuppanno attabhāvo, tattha veditabbaphalaṃ kammaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ. Paccuppannabhavato anantaraṃ veditabbaphalaṃ kammaṃ upapajjavedanīyaṃ. Diṭṭhadhammānantarabhavato aññasmiṃ attabhāvapariyāye attabhāvaparivatte veditabbaphalaṃ kammaṃ aparāpariyāyavedanīyaṃ. Paṭipakkhehi anabhibhūtatāya, paccayavisesena paṭiladdhavisesatāya ca balavabhāvappattā tādisassa pubbābhisaṅkhārassa vasena sātisayā hutvā pavattā paṭhamajavanacetanā tasmiṃyeva attabhāve phaladāyinī diṭṭhadhammavedanīyā nāma. Sā hi vuttākārena balavati javanasantāne guṇavisesayuttesu upakārānupakāravasappavattiyā āsevanālābhena appavipākatāya ca itaradvayaṃ viya pavattasantānuparamāpekkhaṃ okāsalābhāpekkhañca kammaṃ na hotīti idheva pupphamattaṃ viya pavattivipākamattaṃ phalaṃ deti.

    ตถา อสโกฺกนฺตนฺติ กมฺมสฺส ผลทานํ นาม อุปธิปโยคาทิปจฺจยนฺตรสมวาเยเนว โหตีติ ตทภาวโต ตสฺมิํเยว อตฺตภาเว วิปากํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตํฯ อโหสิกมฺมนฺติ กมฺมํเยว อโหสิ, น ตสฺส วิปาโก อโหสิ, อตฺถิ ภวิสฺสติ วาติ เอวํ วตฺตพฺพํ กมฺมํฯ อตฺถสาธิกาติ ทานาทิปาณาติปาตาทิอตฺถสฺส นิปฺผาทิกาฯ กา ปน สาติ อาห ‘‘สตฺตมชวนเจตนา’’ติฯ สา หิ สนฺนิฎฺฐาปกเจตนา วุตฺตนเยน ปฎิลทฺธวิเสสา ปุริมชวนเจตนาหิ ลทฺธาเสวนา จ สมานา อนนฺตเร อตฺตภาเว วิปากทายินี อุปปชฺชเวทนียกมฺมํ นามฯ เตนาห ‘‘อนนฺตเร อตฺตภาเว วิปากํ เทตี’’ติฯ สติ สํสารปฺปวตฺติยาติ อิมินา อสติ สํสารปฺปวตฺติยา อโหสิกมฺมปเกฺข ติฎฺฐติ วิปจฺจโนกาสสฺส อภาวโตติฯ

    Tathā asakkontanti kammassa phaladānaṃ nāma upadhipayogādipaccayantarasamavāyeneva hotīti tadabhāvato tasmiṃyeva attabhāve vipākaṃ dātuṃ asakkontaṃ. Ahosikammanti kammaṃyeva ahosi, na tassa vipāko ahosi, atthi bhavissati vāti evaṃ vattabbaṃ kammaṃ. Atthasādhikāti dānādipāṇātipātādiatthassa nipphādikā. Kā pana sāti āha ‘‘sattamajavanacetanā’’ti. Sā hi sanniṭṭhāpakacetanā vuttanayena paṭiladdhavisesā purimajavanacetanāhi laddhāsevanā ca samānā anantare attabhāve vipākadāyinī upapajjavedanīyakammaṃ nāma. Tenāha ‘‘anantare attabhāve vipākaṃ detī’’ti. Sati saṃsārappavattiyāti iminā asati saṃsārappavattiyā ahosikammapakkhe tiṭṭhati vipaccanokāsassa abhāvatoti.

    สมุคฺฆาฎิตานิ วิปจฺจโนกาสสฺส อนุปฺปตฺติธมฺมตาปาทเนนฯ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ อตฺถิ วิปาการหาภาวสฺส อนิพฺพตฺติตตฺตา วิปจฺจโนกาสสฺส อนุปจฺฉินฺนตฺตาฯ กตูปจิตญฺหิ กมฺมํ สติ วิปจฺจโนกาเส ยาว น ผลํ เทติ, ตาว อเตฺถว นาม วิปาการหภาวโตฯ ‘‘ยสฺส โข’’ติ อิทํ อนิยมาการวจนํ ภควตา กมฺมสริกฺขตาวเสน สาธารณโต วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ยาทิสสฺส โข’’ติฯ

    Samugghāṭitāni vipaccanokāsassa anuppattidhammatāpādanena. Diṭṭhadhammavedanīyaṃ atthi vipākārahābhāvassa anibbattitattā vipaccanokāsassa anupacchinnattā. Katūpacitañhi kammaṃ sati vipaccanokāse yāva na phalaṃ deti, tāva attheva nāma vipākārahabhāvato. ‘‘Yassa kho’’ti idaṃ aniyamākāravacanaṃ bhagavatā kammasarikkhatāvasena sādhāraṇato vuttanti āha ‘‘yādisassa kho’’ti.

    ปมาทกิเลสวิมุโตฺตติ ปมาทเหตุเกหิ สเพฺพหิ กิเลเสหิ วิมุโตฺตฯ

    Pamādakilesavimuttoti pamādahetukehi sabbehi kilesehi vimutto.

    ปาปสฺส ปิธานํ นาม อวิปากธมฺมตาปาทนนฺติ อาห ‘‘อปฺปฎิสนฺธิกํ กรียตี’’ติฯ พุทฺธสาสเนติ สิกฺขาตฺตยสงฺคเห พุทฺธสฺส ภควโต สาสเนฯ ยุตฺตปฺปยุโตฺต วิหรตีติ อกตฺตพฺพสฺส อกรณวเสน, กตฺตพฺพสฺส จ ปริปูรณวเสน ปวตฺตติฯ

    Pāpassa pidhānaṃ nāma avipākadhammatāpādananti āha ‘‘appaṭisandhikaṃ karīyatī’’ti. Buddhasāsaneti sikkhāttayasaṅgahe buddhassa bhagavato sāsane. Yuttappayutto viharatīti akattabbassa akaraṇavasena, kattabbassa ca paripūraṇavasena pavattati.

    ทิสฺสนฺติ กุชฺฌนฺตีติ ทิสา, ปฎิปกฺขาติ อาห ‘‘สปตฺตา’’ติฯ ตปฺปสํสปการนฺติ เมตฺตานิสํสกิตฺตนาการํฯ กาเลนาติ อาเมฑิตโลเปน นิเทฺทโสติ อาห ‘‘ขเณ ขเณ’’ติฯ อนุกโรนฺตูติ เยสํ กลฺยาณมิตฺตานํ สนฺติเก สุณนฺติ, ยถาสุตํ ธมฺมํ เตสํ อนุกโรนฺตุ ทิฎฺฐานุคติกรณํ อาปชฺชนฺตุ, อตฺตโน เวริปุคฺคลานมฺปิ ภควโต สนฺติเก ธมฺมสฺสวนํ สมฺมาปฎิปตฺติญฺจ ปจฺจาสีสติฯ

    Dissanti kujjhantīti disā, paṭipakkhāti āha ‘‘sapattā’’ti. Tappasaṃsapakāranti mettānisaṃsakittanākāraṃ. Kālenāti āmeḍitalopena niddesoti āha ‘‘khaṇe khaṇe’’ti. Anukarontūti yesaṃ kalyāṇamittānaṃ santike suṇanti, yathāsutaṃ dhammaṃ tesaṃ anukarontu diṭṭhānugatikaraṇaṃ āpajjantu, attano veripuggalānampi bhagavato santike dhammassavanaṃ sammāpaṭipattiñca paccāsīsati.

    ตสนฺติ คติํ ปตฺถยนฺตีติ ตสา ภวนฺตราทีสุ สํสรณภาวโตฯ เตนาห ‘‘ตสา วุจฺจนฺติ สตณฺหา’’ติฯ

    Tasanti gatiṃ patthayantīti tasā bhavantarādīsu saṃsaraṇabhāvato. Tenāha ‘‘tasā vuccanti sataṇhā’’ti.

    เนตพฺพฎฺฐานํ อุทกํ นยนฺตีติ เนตฺติกาฯ พนฺธิตฺวาติ ทฬฺหํ พนฺธิตฺวาฯ เตลกญฺชิเกนาติ เตลมิสฺสิเตน กญฺชิเกนฯ

    Netabbaṭṭhānaṃ udakaṃ nayantīti nettikā. Bandhitvāti daḷhaṃ bandhitvā. Telakañjikenāti telamissitena kañjikena.

    ยาทิโสว อนิเฎฺฐ, ตาทิโสว อิเฎฺฐติ อิฎฺฐานิเฎฺฐ นิพฺพิกาเรน ตาทีฯ เยสํ ปน กามามิสาทีนํ วนฺตตฺตา ราคาทีนํ จตฺตตฺตา กาโมฆาทีนํ ติณฺณตฺตา ตาทิภาโว ภเวยฺย, เตสํ ภควตา สพฺพโส วนฺตา จตฺตา ติณฺณา, ตสฺมา ภควา วนฺตาวีติ ตาที, จตฺตาวีติ ตาที, ติณฺณาวีติ ตาที, เยหิ อนญฺญสาธารเณหิ สีลาทิคุเณหิ สมนฺนาคตตฺตา ภควา ตาทิภาเวน อุกฺกํสปารมิปฺปโตฺต ตํนิเทฺทโส, เตหิ คุเณหิ ยาถาวโต นิทฺทิสิตพฺพโตปิ ตาทีฯ ยถา ยนฺตรชฺชุยา ยนฺตํ นียติ, เอวํ ยาย ตณฺหาย ภโว นียติ, สา ‘‘ภวเนตฺติ ภวรชฺชู’’ติ วุตฺตาฯ เตนาห ‘‘ตาย หี’’ติอาทิ, กมฺมานิ กุสลาทีนิ วิปจฺจยนฺติ อปจฺจยนฺติ เอตายาติ กมฺมวิปาโกฯ อปจฺจยภาโว นาม อริยมคฺคเจตนายาติ อาห ‘‘มคฺคเจตนายา’’ติฯ ยาว น กิเลสา ปหียนฺติ, ตาว อิเม สตฺตา สอิณา เอว อเสริวิหารภาวโตติ อาห ‘‘อณโณ นิกฺกิเลโส ชาโต’’ติฯ

    Yādisova aniṭṭhe, tādisova iṭṭheti iṭṭhāniṭṭhe nibbikārena tādī. Yesaṃ pana kāmāmisādīnaṃ vantattā rāgādīnaṃ cattattā kāmoghādīnaṃ tiṇṇattā tādibhāvo bhaveyya, tesaṃ bhagavatā sabbaso vantā cattā tiṇṇā, tasmā bhagavā vantāvīti tādī, cattāvīti tādī, tiṇṇāvīti tādī, yehi anaññasādhāraṇehi sīlādiguṇehi samannāgatattā bhagavā tādibhāvena ukkaṃsapāramippatto taṃniddeso, tehi guṇehi yāthāvato niddisitabbatopi tādī. Yathā yantarajjuyā yantaṃ nīyati, evaṃ yāya taṇhāya bhavo nīyati, sā ‘‘bhavanetti bhavarajjū’’ti vuttā. Tenāha ‘‘tāya hī’’tiādi, kammāni kusalādīni vipaccayanti apaccayanti etāyāti kammavipāko. Apaccayabhāvo nāma ariyamaggacetanāyāti āha ‘‘maggacetanāyā’’ti. Yāva na kilesā pahīyanti, tāva ime sattā saiṇā eva aserivihārabhāvatoti āha ‘‘aṇaṇo nikkileso jāto’’ti.

    เถยฺยปริโภโค (วิสุทฺธิ. ฎี. ๑.๙๑) นาม สามิปริโภคาภาวโตฯ ภควตาปิ หิ อตฺตโน สาสเน สีลวโต ปจฺจยา อนุญฺญาตา, น ทุสฺสีลสฺส, ทายกานํ สีลวโตเยว ปริจฺจาโค, น ทุสฺสีลสฺส อตฺตโน การานํ มหปฺผลภาวสฺส ปจฺจาสีสนโตฯ อิติ สตฺถารา อนนุญฺญาตตฺตา ทายเกหิ จ อปริจฺจตฺตตฺตา ‘‘ทุสฺสีลสฺส ปริโภโค เถยฺยปริโภโค นามา’’ติ วุตฺตํ ฯ อิณวเสน ปริโภโค อิณปริโภโคฯ ปฎิคฺคาหกโต ทกฺขิณาวิสุทฺธิยา อภาวโต อิณํ คเหตฺวา ปริโภโค วิยาติ อโตฺถฯ ยสฺมา เสกฺขา ภควโต โอรสปุตฺตา, ตสฺมา เต ปิตุสนฺตกานํ ปจฺจยานํ ทายาทา หุตฺวา เต ปจฺจเย ปริภุญฺชนฺตีติ เตสํ ปริโภโค ทายชฺชปริโภโค นามฯ กิํ ปน เต ภควโต ปจฺจเย ปริภุญฺชนฺติ, อุทาหุ คิหีหิ ทินฺนนฺติ? คิหีหิ ทินฺนาปิ เต ภควตา อนุญฺญาตตฺตา ภควโต สนฺตกา โหนฺติ อนนุญฺญาเตสุ สเพฺพน สพฺพํ ปริโภคาภาวโต อนุญฺญาเตสุเยว ปริโภคสมฺภวโตฯ ธมฺมทายาทสุตฺตเญฺจตฺถ (ม. นิ. ๑.๒๙ อาทโย) สาธกํฯ

    Theyyaparibhogo (visuddhi. ṭī. 1.91) nāma sāmiparibhogābhāvato. Bhagavatāpi hi attano sāsane sīlavato paccayā anuññātā, na dussīlassa, dāyakānaṃ sīlavatoyeva pariccāgo, na dussīlassa attano kārānaṃ mahapphalabhāvassa paccāsīsanato. Iti satthārā ananuññātattā dāyakehi ca apariccattattā ‘‘dussīlassa paribhogo theyyaparibhogo nāmā’’ti vuttaṃ . Iṇavasena paribhogo iṇaparibhogo. Paṭiggāhakato dakkhiṇāvisuddhiyā abhāvato iṇaṃ gahetvā paribhogo viyāti attho. Yasmā sekkhā bhagavato orasaputtā, tasmā te pitusantakānaṃ paccayānaṃ dāyādā hutvā te paccaye paribhuñjantīti tesaṃ paribhogo dāyajjaparibhogo nāma. Kiṃ pana te bhagavato paccaye paribhuñjanti, udāhu gihīhi dinnanti? Gihīhi dinnāpi te bhagavatā anuññātattā bhagavato santakā honti ananuññātesu sabbena sabbaṃ paribhogābhāvato anuññātesuyeva paribhogasambhavato. Dhammadāyādasuttañcettha (ma. ni. 1.29 ādayo) sādhakaṃ.

    อวีตราคานํ ตณฺหาปรวสตาย ปจฺจยปริโภเค สามิภาโว นตฺถิ, ตทภาเวน วีตราคานํ ตตฺถ สามิภาโว ยถารุจิ ปริโภคสมฺภวโตฯ ตถา หิ เต ปฎิกูลมฺปิ อปฺปฎิกูลากาเรน, อปฺปฎิกูลมฺปิ ปฎิกูลากาเรน ตทุภยํ วิวเชฺชตฺวา อุเปกฺขากาเรน จ ปจฺจเย ปริภุญฺชนฺติ, ทายกานญฺจ มโนรถํ ปริปูเรนฺติฯ เสสเมตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ วิสุทฺธิมเคฺค, ตํสํวณฺณนาสุ จ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ กิเลสอิณานํ อภาวํ สนฺธาย ‘‘อณโณ’’ติ วุตฺตํ, น ปจฺจเวกฺขิตปริโภคมตฺตํฯ เตนาห อายสฺมา จ พากุโล – ‘‘สตฺตาหเมว โข อหํ, อาวุโส, สรโณ รฎฺฐปิณฺฑํ ภุญฺชิ’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๒๑๑)ฯ

    Avītarāgānaṃ taṇhāparavasatāya paccayaparibhoge sāmibhāvo natthi, tadabhāvena vītarāgānaṃ tattha sāmibhāvo yathāruci paribhogasambhavato. Tathā hi te paṭikūlampi appaṭikūlākārena, appaṭikūlampi paṭikūlākārena tadubhayaṃ vivajjetvā upekkhākārena ca paccaye paribhuñjanti, dāyakānañca manorathaṃ paripūrenti. Sesamettha yaṃ vattabbaṃ, taṃ visuddhimagge, taṃsaṃvaṇṇanāsu ca vuttanayeneva veditabbaṃ. Kilesaiṇānaṃ abhāvaṃ sandhāya ‘‘aṇaṇo’’ti vuttaṃ, na paccavekkhitaparibhogamattaṃ. Tenāha āyasmā ca bākulo – ‘‘sattāhameva kho ahaṃ, āvuso, saraṇo raṭṭhapiṇḍaṃ bhuñji’’nti (ma. ni. 3.211).

    วตฺถุกามกิเลสกาเมหิ ตณฺหาย ปวตฺติอาการํ ปฎิจฺจ อตฺถิ รมณโวหาโรติ อาห – ‘‘ทุวิเธสุปิ กาเมสุ ตณฺหารติสนฺถว’’นฺติฯ มนฺติตนฺติ กถิตํฯ อุปฺปเนฺนหิ สตฺถุปฎิเญฺญหิฯ สํวิภตฺตาติ กุสลาทิวเสน ขนฺธาทีหิ อากาเรหิ วิภตฺตาฯ สุนฺทรํ อาคมนนฺติ สฺวาคตํฯ ตโต เอว น กุจฺฉิตํ อาคตํฯ โสฬสวิธกิจฺจสฺส ปริโยสิตตฺตา อาห ‘‘ตํ สพฺพํ มยา กต’’นฺติฯ มคฺคปญฺญายเมว ตติยวิชฺชาสมญฺญาติ อาห – ‘‘ตีหิ วิชฺชาหิ นวหิ จ โลกุตฺตรธเมฺมหี’’ติฯ

    Vatthukāmakilesakāmehi taṇhāya pavattiākāraṃ paṭicca atthi ramaṇavohāroti āha – ‘‘duvidhesupi kāmesu taṇhāratisanthava’’nti. Mantitanti kathitaṃ. Uppannehi satthupaṭiññehi. Saṃvibhattāti kusalādivasena khandhādīhi ākārehi vibhattā. Sundaraṃ āgamananti svāgataṃ. Tato eva na kucchitaṃ āgataṃ. Soḷasavidhakiccassa pariyositattā āha ‘‘taṃ sabbaṃ mayā kata’’nti. Maggapaññāyameva tatiyavijjāsamaññāti āha – ‘‘tīhi vijjāhi navahi ca lokuttaradhammehī’’ti.

    องฺคุลิมาลสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Aṅgulimālasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๖. องฺคุลิมาลสุตฺตํ • 6. Aṅgulimālasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๖. องฺคุลิมาลสุตฺตวณฺณนา • 6. Aṅgulimālasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact