Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā

    อนิยตกถาวณฺณนา

    Aniyatakathāvaṇṇanā

    ๕๔๒-๓. อิทานิ สงฺฆาทิเสสกถานนฺตรํ อนิยตกถํ ทเสฺสตุมาห ‘‘รโหนิสชฺชสฺสาเทนา’’ติอาทิฯ รหสิ นิสชฺชา รโหนิสชฺชา, ตสฺสา อสฺสาโท รโหนิสชฺชสฺสาโท, เตน รโหนิสชฺชสฺสาเทน, เมถุนธมฺมสนฺนิสฺสิเตน กิเลเสนาติ อโตฺถฯ วุตฺตญฺหิ อฎฺฐกถายํ ‘‘รโหนิสชฺชสฺสาโทติ เมถุนธมฺมสนฺนิสฺสิตกิเลโส วุจฺจตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๕๑)ฯ ‘‘รโห นาม จกฺขุสฺส รโห โสตสฺส รโหฯ จกฺขุสฺส รโห นาม น สกฺกา โหติ อกฺขิํ วา นิขณิยมาเน ภมุกํ วา อุกฺขิปิยมาเน สีสํ วา อุกฺขิปิยมาเน ปสฺสิตุํฯ โสตสฺส รโห นาม น สกฺกา โหติ ปกติกถา โสตุ’’นฺติ (ปารา. ๔๔๕) ปทภาชเน วุตฺตรเหสุ จกฺขุสฺส รโห เอว อิธาธิเปฺปโตฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘กิญฺจาปิ ปาฬิยํ ‘โสตสฺส รโห’ติ อาคตํ, จกฺขุสฺส รเหเนว ปน ปริเจฺฉโท เวทิตโพฺพ’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๔๔-๔๔๕)ฯ

    542-3. Idāni saṅghādisesakathānantaraṃ aniyatakathaṃ dassetumāha ‘‘rahonisajjassādenā’’tiādi. Rahasi nisajjā rahonisajjā, tassā assādo rahonisajjassādo, tena rahonisajjassādena, methunadhammasannissitena kilesenāti attho. Vuttañhi aṭṭhakathāyaṃ ‘‘rahonisajjassādoti methunadhammasannissitakileso vuccatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.451). ‘‘Raho nāma cakkhussa raho sotassa raho. Cakkhussa raho nāma na sakkā hoti akkhiṃ vā nikhaṇiyamāne bhamukaṃ vā ukkhipiyamāne sīsaṃ vā ukkhipiyamāne passituṃ. Sotassa raho nāma na sakkā hoti pakatikathā sotu’’nti (pārā. 445) padabhājane vuttarahesu cakkhussa raho eva idhādhippeto. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kiñcāpi pāḷiyaṃ ‘sotassa raho’ti āgataṃ, cakkhussa raheneva pana paricchedo veditabbo’’ti (pārā. aṭṭha. 2.444-445).

    จกฺขุสฺส รหตฺตา ‘‘ปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ อิมมฺปิ ปฎิจฺฉนฺนตฺตา เอว ‘‘อลํกมฺมนิย’’นฺติ อิมมฺปิ สงฺคณฺหาติฯ นิสชฺชสโทฺทปาทาเนน ‘‘อาสเน’’ติ อิทมฺปิ คหิตเมวฯ ‘‘มาตุคามสฺส สนฺติกํ คนฺตุกาโม’’ติ อิมินา ‘‘มาตุคาเมน สทฺธิ’’นฺติ อิทมฺปิ คหิตเมวฯ เอวํ สามตฺถิยา ลพฺภมานปโทปาทาเนน โย ปน ภิกฺขุ มาตุคาเมน สทฺธิํ เอโก เอกาย รโห ปฎิจฺฉเนฺน อาสเน อลํกมฺมนิเย นิสชฺชสฺสาเทนาติ วุตฺตํ โหติฯ จกฺขุสฺส รหภาเวน กุฎฺฎาทิปฎิจฺฉเนฺน เตเนว เมถุนเสวนกมฺมสฺส อนุรูเป อาสเน ตทหุชาตายปิ มนุสฺสิตฺถิยา สห นิสชฺชสฺสาทราเคน สมนฺนาคโต หุตฺวาติ อโตฺถฯ เอตฺถ ‘‘มาตุคามสฺสา’’ติ ตทหุชาตมฺปิ อิตฺถิํ คณฺหาตีติ กุโต ลพฺภตีติ? ‘‘มาตุคาโม นาม มนุสฺสิตฺถี, น ยกฺขี, น เปตี, น ติรจฺฉานคตา, อนฺตมโส ตทหุชาตาปิ ทาริกา, ปเคว มหตฺตรี’’ติ (ปารา. ๔๔๕) ปทภาชนโต ลพฺภติฯ

    Cakkhussa rahattā ‘‘paṭicchanna’’nti imampi paṭicchannattā eva ‘‘alaṃkammaniya’’nti imampi saṅgaṇhāti. Nisajjasaddopādānena ‘‘āsane’’ti idampi gahitameva. ‘‘Mātugāmassa santikaṃ gantukāmo’’ti iminā ‘‘mātugāmena saddhi’’nti idampi gahitameva. Evaṃ sāmatthiyā labbhamānapadopādānena yo pana bhikkhu mātugāmena saddhiṃ eko ekāya raho paṭicchanne āsane alaṃkammaniye nisajjassādenāti vuttaṃ hoti. Cakkhussa rahabhāvena kuṭṭādipaṭicchanne teneva methunasevanakammassa anurūpe āsane tadahujātāyapi manussitthiyā saha nisajjassādarāgena samannāgato hutvāti attho. Ettha ‘‘mātugāmassā’’ti tadahujātampi itthiṃ gaṇhātīti kuto labbhatīti? ‘‘Mātugāmo nāma manussitthī, na yakkhī, na petī, na tiracchānagatā, antamaso tadahujātāpi dārikā, pageva mahattarī’’ti (pārā. 445) padabhājanato labbhati.

    ‘‘นิวาเสตี’’ติ อิมินา ‘‘กายพนฺธนํ พนฺธติ, จีวรํ ปารุปตี’’ติ อิทํ ลกฺขียติฯ สพฺพตฺถาติ ยถาวุตฺตํ ปโยคโต ปุพฺพาปรปโยเค สงฺคณฺหาติฯ เตเนว ‘‘ปโยเค จ ปโยเค จา’’ติ วิจฺฉาปโยโค กโตฯ นิสีทโต จสฺส ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ ‘‘อุภินฺนมฺปิ นิสชฺชาย ปาจิตฺติย’’นฺติ วกฺขมานตฺตา ทุกฺกฎํ สนฺธาย เอกกสฺส นิสีทโตติ คเหตพฺพํฯ

    ‘‘Nivāsetī’’ti iminā ‘‘kāyabandhanaṃ bandhati, cīvaraṃ pārupatī’’ti idaṃ lakkhīyati. Sabbatthāti yathāvuttaṃ payogato pubbāparapayoge saṅgaṇhāti. Teneva ‘‘payoge ca payoge cā’’ti vicchāpayogo kato. Nisīdato cassa dukkaṭanti yojanā. ‘‘Ubhinnampi nisajjāya pācittiya’’nti vakkhamānattā dukkaṭaṃ sandhāya ekakassa nisīdatoti gahetabbaṃ.

    ๕๔๔. นิสชฺชาย อุภินฺนมฺปีติ เอตฺถ ‘‘สกิ’’นฺติ เสโส, อุภินฺนํ นิสชฺชาปูรณวเสน อญฺญมญฺญสฺส ปุเร วา ปจฺฉา วา เอกกฺขเณ วา มาตุคามสฺส วา ภิกฺขุสฺส วา เอกวารํ นิสชฺชายาติ วุตฺตํ โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ปาฬิยํ ‘‘มาตุคาเม นิสิเนฺน ภิกฺขุ อุปนิสิโนฺน วา โหตี’’ติอาทิ (ปารา. ๔๔๕)ฯ โหติ ปาจิตฺติยนฺติ โยชนาฯ ปโยคคณนาย จ โหนฺติ ปาจิตฺติยานีติ คเหตพฺพํ, มาตุคามสฺส วา ภิกฺขุโน วา อุภินฺนํ วา อุฎฺฐายุฎฺฐาย ปุนปฺปุนํ อุปนิสีทนปโยคคณนาย จาติ อโตฺถฯ ‘‘อาปตฺตีหิปิ ตีหิปี’’ติ วกฺขมานตฺตา ปาจิตฺติยคฺคหณํ ปาราชิกสงฺฆาทิเสสานํ อุปลกฺขณํ โหติ, ตีสุ เอกํ โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺถ ‘‘ปโยคคณนายา’’ติ อิทํ ปาราชิกาย น ลพฺภติ เอกปโยเคเนว สิชฺฌนโตฯ กายสํสคฺคสงฺฆาทิเสโส, ปน สรีรโต ปุนปฺปุนํ วิยุชฺชิตฺวา ผุสเนน ปาจิตฺติยญฺจ ยถาวุตฺตนเยเนว ลพฺภติฯ

    544.Nisajjāyaubhinnampīti ettha ‘‘saki’’nti seso, ubhinnaṃ nisajjāpūraṇavasena aññamaññassa pure vā pacchā vā ekakkhaṇe vā mātugāmassa vā bhikkhussa vā ekavāraṃ nisajjāyāti vuttaṃ hoti. Vuttañhetaṃ pāḷiyaṃ ‘‘mātugāme nisinne bhikkhu upanisinno vā hotī’’tiādi (pārā. 445). Hoti pācittiyanti yojanā. Payogagaṇanāya ca honti pācittiyānīti gahetabbaṃ, mātugāmassa vā bhikkhuno vā ubhinnaṃ vā uṭṭhāyuṭṭhāya punappunaṃ upanisīdanapayogagaṇanāya cāti attho. ‘‘Āpattīhipi tīhipī’’ti vakkhamānattā pācittiyaggahaṇaṃ pārājikasaṅghādisesānaṃ upalakkhaṇaṃ hoti, tīsu ekaṃ hotīti vuttaṃ hoti. Ettha ‘‘payogagaṇanāyā’’ti idaṃ pārājikāya na labbhati ekapayogeneva sijjhanato. Kāyasaṃsaggasaṅghādiseso, pana sarīrato punappunaṃ viyujjitvā phusanena pācittiyañca yathāvuttanayeneva labbhati.

    พหูสุปิ มาตุคาเมสุ พหุกานิ ปาจิตฺติยานิ โหนฺตีติ โยชนาฯ พหูสุ มาตุคาเมสุ นิสิเนฺนสุ นิสินฺนานํ คณนาย เอเกเนว ปโยเคน พหูนิ ปาจิตฺติยานิ จ สงฺฆาทิเสสา จ โหนฺติฯ ‘‘ปโยคคณนาย จา’’ติ อิมสฺส เอตฺถาปิ ยุชฺชมานตฺตา ตาสุ วิสุํ วิสุํ อุฎฺฐายุฎฺฐาย ปุนปฺปุนํ นิสีทนฺตีสุ, สยญฺจ อุฎฺฐายุฎฺฐาย ปุนปฺปุนํ นิสีทโต ตาสํ คณนาย อาปชฺชิตพฺพาปตฺติโย ปโยคคณนาย จ พหู โหนฺตีติ อิทํ ลพฺภติฯ เอตฺถาปิ ปน ปาราชิกํ น ลพฺภติ, สงฺฆาทิเสโส, ปาจิตฺติยญฺจ ลพฺภติฯ

    Bahūsupi mātugāmesu bahukāni pācittiyāni hontīti yojanā. Bahūsu mātugāmesu nisinnesu nisinnānaṃ gaṇanāya ekeneva payogena bahūni pācittiyāni ca saṅghādisesā ca honti. ‘‘Payogagaṇanāya cā’’ti imassa etthāpi yujjamānattā tāsu visuṃ visuṃ uṭṭhāyuṭṭhāya punappunaṃ nisīdantīsu, sayañca uṭṭhāyuṭṭhāya punappunaṃ nisīdato tāsaṃ gaṇanāya āpajjitabbāpattiyo payogagaṇanāya ca bahū hontīti idaṃ labbhati. Etthāpi pana pārājikaṃ na labbhati, saṅghādiseso, pācittiyañca labbhati.

    ๕๔๕. สมีเป ฐิโตปิ อโนฺธ อนาปตฺติํ น กโรตีติ โสตสฺส รหภาเว อสติปิ ปธานภูตสฺส ‘‘จกฺขุสฺส รโห’’ติ อิมสฺส องฺคสฺส วิชฺชมานตฺตา วุตฺตํ ‘‘อโนฺตทฺวาทสหตฺถเก’’ติ, อิมินา สวนูปจาเร วิชฺชมาเนปีติ วุตฺตํ โหติฯ อิตฺถีนํ ตุ สตมฺปิ จ น กโรติ อนาปตฺตินฺติ โยชนา, วิญฺญุโน ปุริสสฺส อสนฺนิหิตภาเวนาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อิตฺถีนมฺปิ สตมฺปิ จา’’ติ ลิขนฺติ, ตโตปิ อยเมว ปาโฐ สุนฺทโรฯ ปิ-สโทฺท วา ตุ-สทฺทเตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    545. Samīpe ṭhitopi andho anāpattiṃ na karotīti sotassa rahabhāve asatipi padhānabhūtassa ‘‘cakkhussa raho’’ti imassa aṅgassa vijjamānattā vuttaṃ ‘‘antodvādasahatthake’’ti, iminā savanūpacāre vijjamānepīti vuttaṃ hoti. Itthīnaṃ tu satampi ca na karoti anāpattinti yojanā, viññuno purisassa asannihitabhāvenāti adhippāyo. ‘‘Itthīnampi satampi cā’’ti likhanti, tatopi ayameva pāṭho sundaro. Pi-saddo vā tu-saddatthe daṭṭhabbo.

    ๕๔๖. นิปชฺชิตฺวาติ เอตฺถ ‘‘สมีเป’’ติ เสโส, ‘‘นิทฺทายโนฺตปี’’ติ เอตสฺส วิเสสเกน ‘‘นิปชฺชิตฺวา’’ติ อิมินา นิสีทิตฺวา นิทฺทายโนฺตติ อิมสฺส นิวตฺติตตฺตา สมีเป นิสีทิตฺวา นิทฺทายโนฺตปิ อนโนฺธ มนุสฺสปุริโส อนาปตฺติํ กโรตีติ ลพฺภติฯ ‘‘เกวล’’นฺติ วิเสสเนน พลวนิทฺทูปคโต คหิโตติ ตถา อหุตฺวา อนฺตรนฺตรา อาปนฺนาปเนฺน วินิจฺฉินิตฺวา ปวตฺตมานาย กปินิทฺทาย นิทฺทายโนฺตปิ อนาปตฺติํ กโรตีติ อยมโตฺถ ลพฺภติฯ ‘‘ปิหิตทฺวารคพฺภสฺสา’’ติ วตฺตเพฺพ มชฺฌปทโลปีสมาสวเสน ‘‘ปิหิตคพฺภสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ทฺวาเร’’ติ อิมินา ทฺวาเรกเทสภูตํ อุมฺมารํ วา ตํสมีปํ วา อุปจาเรน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สเจ คโพฺภ ปิหิตทฺวาโร น โหติ, อนาปตฺตีติ พฺยติเรกโต ทสฺสิตํฯ

    546.Nipajjitvāti ettha ‘‘samīpe’’ti seso, ‘‘niddāyantopī’’ti etassa visesakena ‘‘nipajjitvā’’ti iminā nisīditvā niddāyantoti imassa nivattitattā samīpe nisīditvā niddāyantopi anandho manussapuriso anāpattiṃ karotīti labbhati. ‘‘Kevala’’nti visesanena balavaniddūpagato gahitoti tathā ahutvā antarantarā āpannāpanne vinicchinitvā pavattamānāya kapiniddāya niddāyantopi anāpattiṃ karotīti ayamattho labbhati. ‘‘Pihitadvāragabbhassā’’ti vattabbe majjhapadalopīsamāsavasena ‘‘pihitagabbhassā’’ti vuttaṃ. ‘‘Dvāre’’ti iminā dvārekadesabhūtaṃ ummāraṃ vā taṃsamīpaṃ vā upacārena vuttanti daṭṭhabbaṃ. Sace gabbho pihitadvāro na hoti, anāpattīti byatirekato dassitaṃ.

    ๕๔๗. อิมสฺมิํ อนิยตสิกฺขาปเท ปาฬิยํ อนาปตฺติวาเร อสติปิ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ มาตุคาเมน สทฺธิํ รโห ปฎิจฺฉเนฺน อาสเน นิสชฺชํ กเปฺปยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๒๘๕) ปญฺจมสฺส อเจลกวคฺคสฺส จตุตฺถสิกฺขาปเท อนาปตฺติวาเร ‘‘อนาปตฺติ โย โกจิ วิญฺญู ปุริโส ทุติโย โหติ, ติฎฺฐติ น นิสีทติ, อรโหเปโกฺข, อญฺญวิหิโต นิสีทติ, อุมฺมตฺตกสฺส อาทิกมฺมิกสฺสา’’ติ (ปาจิ. ๒๘๘) วุเตฺต อนาปตฺติวาเร สงฺคเหตุมาห ‘‘อนเนฺธ สตี’’ติอาทิฯ ‘‘เอตสฺส สมีเป’’ติ ปกรณโต ลพฺภติฯ อิธ ปุลฺลิงฺคนิเทฺทเสน ปุริโส ลพฺภติ, ‘‘เตนาปิ อพาเลน ภวิตพฺพํ, มนุสฺสชาติเกน ภวิตพฺพ’’นฺติ อิทญฺจ ‘‘วิญฺญุสฺมิ’’นฺติ อิมินา ลพฺภติฯ อนฺธสทิสนิทฺทูปคตปฎิปกฺขวาจิอนนฺธปเทน ‘‘อนิทฺทายเนฺต’’ติ ลพฺภติ, มนาปามนาปํ ชานเนฺต อนิทฺทายเนฺต มนุสฺสปุริเส ทสฺสนูปจารสฺส อโนฺต วิชฺชมาเนติ อโตฺถฯ

    547. Imasmiṃ aniyatasikkhāpade pāḷiyaṃ anāpattivāre asatipi ‘‘yo pana bhikkhu mātugāmena saddhiṃ raho paṭicchanne āsane nisajjaṃ kappeyya, pācittiya’’nti (pāci. 285) pañcamassa acelakavaggassa catutthasikkhāpade anāpattivāre ‘‘anāpatti yo koci viññū puriso dutiyo hoti, tiṭṭhati na nisīdati, arahopekkho, aññavihito nisīdati, ummattakassa ādikammikassā’’ti (pāci. 288) vutte anāpattivāre saṅgahetumāha ‘‘anandhe satī’’tiādi. ‘‘Etassa samīpe’’ti pakaraṇato labbhati. Idha pulliṅganiddesena puriso labbhati, ‘‘tenāpi abālena bhavitabbaṃ, manussajātikena bhavitabba’’nti idañca ‘‘viññusmi’’nti iminā labbhati. Andhasadisaniddūpagatapaṭipakkhavācianandhapadena ‘‘aniddāyante’’ti labbhati, manāpāmanāpaṃ jānante aniddāyante manussapurise dassanūpacārassa anto vijjamāneti attho.

    ‘‘นิสชฺชปจฺจยา โทโส นตฺถี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธ, เอวรูเป รโห อาสเน มาตุคาเมน สทฺธิํ นิสินฺนปจฺจยา อาปตฺติ นตฺถีติ อโตฺถฯ ‘‘ฐิตสฺสา’’ติ อิมินาปิ ตเทว ปทํ โยเชตพฺพํฯ วิญฺญุมฺหิ ปฎิพเล มนุสฺสปุริเส อสนฺนิหิเตปิ ตถาวิเธ รโห อาสเน มาตุคาเม อาสเน นิสิเนฺนปิ สยาเนปิ ฐิเตปิ สยํ ฐิตสฺส นิสชฺชาย อภาวา ตปฺปจฺจยา อาปตฺติ น โหตีติ อโตฺถฯ อรหสญฺญิโน นิสชฺชปจฺจยา โทโส นตฺถีติ รโห อาสเน มาตุคาเมน สทฺธิํ นิสชฺชนฺตสฺสาปิ ‘‘รโห’’ติ สญฺญารหิตสฺส นิสีทโต นิสชฺชปจฺจยา อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ วิกฺขิตฺตเจตโส นิสชฺชปจฺจยา โทโส นตฺถีติ โยชนาฯ

    ‘‘Nisajjapaccayā doso natthī’’ti iminā sambandho, evarūpe raho āsane mātugāmena saddhiṃ nisinnapaccayā āpatti natthīti attho. ‘‘Ṭhitassā’’ti imināpi tadeva padaṃ yojetabbaṃ. Viññumhi paṭibale manussapurise asannihitepi tathāvidhe raho āsane mātugāme āsane nisinnepi sayānepi ṭhitepi sayaṃ ṭhitassa nisajjāya abhāvā tappaccayā āpatti na hotīti attho. Arahasaññino nisajjapaccayā doso natthīti raho āsane mātugāmena saddhiṃ nisajjantassāpi ‘‘raho’’ti saññārahitassa nisīdato nisajjapaccayā anāpattīti attho. Vikkhittacetaso nisajjapaccayā doso natthīti yojanā.

    ๕๔๘. เอตฺตาวตา ปาจิตฺติยาปตฺติมตฺตโต อนาปตฺติปฺปการํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส อนิยตโวหารเหตุภูตาหิ ตีหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺติปการํ ทเสฺสตุมาห ‘‘น โทโส’’ติอาทิฯ อาปตฺตีหิปิ ตีหิปีติ ‘‘นิสชฺชํ ภิกฺขุ ปฎิชานมาโน ติณฺณํ ธมฺมานํ อญฺญตเรน กาเรตโพฺพ ปาราชิเกน วา สงฺฆาทิเสเสน วา ปาจิตฺติเยน วา’’ติ (ปารา. ๔๔๔) ปาฬิยํ วุตฺตาหิ ‘‘ปฐมปาราชิกาปตฺติกายสํสคฺคสงฺฆาทิเสสาปตฺติปาจิตฺติยาปตฺตี’’ติ อิมาหิ ตีหิปิ อาปตฺตีหีติ วุตฺตํ โหตีติฯ

    548. Ettāvatā pācittiyāpattimattato anāpattippakāraṃ dassetvā idāni imassa sikkhāpadassa aniyatavohārahetubhūtāhi tīhi āpattīhi anāpattipakāraṃ dassetumāha ‘‘na doso’’tiādi. Āpattīhipi tīhipīti ‘‘nisajjaṃ bhikkhu paṭijānamāno tiṇṇaṃ dhammānaṃ aññatarena kāretabbo pārājikena vā saṅghādisesena vā pācittiyena vā’’ti (pārā. 444) pāḷiyaṃ vuttāhi ‘‘paṭhamapārājikāpattikāyasaṃsaggasaṅghādisesāpattipācittiyāpattī’’ti imāhi tīhipi āpattīhīti vuttaṃ hotīti.

    ปฐมานิยตกถาวณฺณนาฯ

    Paṭhamāniyatakathāvaṇṇanā.

    ๕๔๙. วตฺตพฺพภาเวนาธิกตทุติยานิยตวินิจฺฉยโต ปฐมานิยเต วุตฺตวินิจฺฉเยหิ สมํ วินิจฺฉยํ ปหาย ตตฺถ อวุตฺตํ อิมเสฺสว วินิจฺฉยวิเสสํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อนนฺธา’’ติอาทิฯ อิธ ทุฎฺฐุลฺลวาจาสงฺฆาทิเสสสฺสาปิ คหิตตฺตา ตโต อนาปตฺติกรํ ทเสฺสตุํ ‘‘อพธิโร’’ติ วุตฺตํฯ อนโนฺธ อพธิโรติ ‘‘ปุริโส’’ติ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘อิตฺถี’’ติ อิทํ สนฺธาย ‘‘อนนฺธาพธิรา’’ติ คเหตพฺพํฯ เอวมุปริปิฯ เตนาปิ สวนูปจารโนฺตคเธน ภวิตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อโนฺตทฺวาทสหตฺถโฎฺฐ’’ติ วุตฺตํฯ

    549. Vattabbabhāvenādhikatadutiyāniyatavinicchayato paṭhamāniyate vuttavinicchayehi samaṃ vinicchayaṃ pahāya tattha avuttaṃ imasseva vinicchayavisesaṃ dassetumāha ‘‘anandhā’’tiādi. Idha duṭṭhullavācāsaṅghādisesassāpi gahitattā tato anāpattikaraṃ dassetuṃ ‘‘abadhiro’’ti vuttaṃ. Anandho abadhiroti ‘‘puriso’’ti idaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Itthī’’ti idaṃ sandhāya ‘‘anandhābadhirā’’ti gahetabbaṃ. Evamuparipi. Tenāpi savanūpacārantogadhena bhavitabbanti dassetuṃ ‘‘antodvādasahatthaṭṭho’’ti vuttaṃ.

    ๕๕๐. ‘‘อโนฺธ อพธิโร อนาปตฺติํ น กโรตี’’ติ อิทํ กายสํสคฺคสงฺฆาทิเสสํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘พธิโร วาปิ จกฺขุมา, น กโรติ อนาปตฺติ’’นฺติ อิทํ ปน ทุฎฺฐุลฺลวาจาสงฺฆาทิเสสํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เอวเมตฺถ สนฺธาย ภาสิตโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    550.‘‘Andho abadhiro anāpattiṃ na karotī’’ti idaṃ kāyasaṃsaggasaṅghādisesaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Badhiro vāpi cakkhumā, na karoti anāpatti’’nti idaṃ pana duṭṭhullavācāsaṅghādisesaṃ sandhāya vuttanti evamettha sandhāya bhāsitattho veditabbo.

    ปุริมานิยตกถาย อวุตฺตวิเสสสฺส ทุติยานิยตกถาย วตฺตุมิจฺฉิตตฺตา อยมฺปิ วิเสโส อิธ วตฺตโพฺพฯ โกยํ วิเสโส, โย อิธ วตฺตโพฺพติ เจ? ตตฺถ ‘‘ปฎิจฺฉเนฺน อาสเน อลํกมฺมนิเย’’ติ (ปารา. ๔๔๔) วุตฺตํ อาสนงฺคทฺวยํ อิธ ‘‘น เหว โข ปน ปฎิจฺฉนฺนํ อาสนํ โหติ นาลํกมฺมนิย’’นฺติ (ปารา. ๔๕๓) นิเสเธตฺวา ‘‘อลญฺจ โข โหติ มาตุคามํ ทุฎฺฐุลฺลาหิ วาจาหิ โอภาสิตุ’’นฺติ (ปารา. ๔๕๓) อิทํ อปุพฺพงฺคํ วุตฺตํฯ ตตฺร มาตุคาโมติ อนฺตมโส ตทหุชาตาปิ ทาริกา คหิตา, อิธ ‘‘มาตุคาโม นาม มนุสฺสิตฺถี, น ยกฺขี, น เปตี, น ติรจฺฉานคตา, วิญฺญู ปฎิพลา สุภาสิตทุพฺภาสิตํ ทุฎฺฐุลฺลาทุฎฺฐุลฺลํ อาชานิตุ’’นฺติ (ปารา. ๔๕๔) วิญฺญู ปฎิพโล มาตุคาโมว วุโตฺตฯ ตตฺถ ‘‘ปาราชิเกน วา สงฺฆาทิเสเสน วา ปาจิตฺติเยน วา’’ติ (ปารา. ๔๔๔) ติโสฺส อาปตฺติโย วุตฺตา, อิธ ‘‘นิสชฺชํ ภิกฺขุ ปฎิชานมาโน ทฺวินฺนํ ธมฺมานํ อญฺญตเรน กาเรตโพฺพ สงฺฆาทิเสเสน วา ปาจิตฺติเยน วา’’ติ (ปารา. ๔๕๓) เทฺวเยว อาปตฺติโย วุตฺตาฯ สงฺฆาทิเสเสสุ จ ตตฺถ ‘‘สา เจ เอวํ วเทยฺย ‘อโยฺย มยา ทิโฎฺฐ นิสิโนฺน มาตุคาเมน สทฺธิํ กายสํสคฺคํ สมาปชฺชโนฺต’ติ, โส จ ตํ ปฎิชานาติ, อาปตฺติยา กาเรตโพฺพ’’ติ (ปารา. ๔๔๘) กายสํสคฺคสงฺฆาทิเสโสว วุโตฺต, อิธ โส จ วุโตฺต, ‘‘สา เจ เอวํ วเทยฺย ‘อยฺยสฺส มยา สุตํ นิสินฺนสฺส มาตุคามํ ทุฎฺฐุลฺลาหิ วาจาหิ โอภาเสนฺตสฺสา’ติ, โส จ ตํ ปฎิชานาติ, อาปตฺติยา กาเรตโพฺพ’’ติ (ปารา. ๔๕๕) ทุฎฺฐุลฺลวาจาสงฺฆาทิเสโส จ วุโตฺตฯ เอตฺตโก อุภินฺนมนิยตานํ วิเสโสฯ

    Purimāniyatakathāya avuttavisesassa dutiyāniyatakathāya vattumicchitattā ayampi viseso idha vattabbo. Koyaṃ viseso, yo idha vattabboti ce? Tattha ‘‘paṭicchanne āsane alaṃkammaniye’’ti (pārā. 444) vuttaṃ āsanaṅgadvayaṃ idha ‘‘na heva kho pana paṭicchannaṃ āsanaṃ hoti nālaṃkammaniya’’nti (pārā. 453) nisedhetvā ‘‘alañca kho hoti mātugāmaṃ duṭṭhullāhi vācāhi obhāsitu’’nti (pārā. 453) idaṃ apubbaṅgaṃ vuttaṃ. Tatra mātugāmoti antamaso tadahujātāpi dārikā gahitā, idha ‘‘mātugāmo nāma manussitthī, na yakkhī, na petī, na tiracchānagatā, viññū paṭibalā subhāsitadubbhāsitaṃ duṭṭhullāduṭṭhullaṃ ājānitu’’nti (pārā. 454) viññū paṭibalo mātugāmova vutto. Tattha ‘‘pārājikena vā saṅghādisesena vā pācittiyena vā’’ti (pārā. 444) tisso āpattiyo vuttā, idha ‘‘nisajjaṃ bhikkhu paṭijānamāno dvinnaṃ dhammānaṃ aññatarena kāretabbo saṅghādisesena vā pācittiyena vā’’ti (pārā. 453) dveyeva āpattiyo vuttā. Saṅghādisesesu ca tattha ‘‘sā ce evaṃ vadeyya ‘ayyo mayā diṭṭho nisinno mātugāmena saddhiṃ kāyasaṃsaggaṃ samāpajjanto’ti, so ca taṃ paṭijānāti, āpattiyā kāretabbo’’ti (pārā. 448) kāyasaṃsaggasaṅghādisesova vutto, idha so ca vutto, ‘‘sā ce evaṃ vadeyya ‘ayyassa mayā sutaṃ nisinnassa mātugāmaṃ duṭṭhullāhi vācāhi obhāsentassā’ti, so ca taṃ paṭijānāti, āpattiyā kāretabbo’’ti (pārā. 455) duṭṭhullavācāsaṅghādiseso ca vutto. Ettako ubhinnamaniyatānaṃ viseso.

    อยํ กสฺมา น วุโตฺตติ? อยํ สโมฺพธวตฺถุวิเสโส วตฺตุมิจฺฉิโต ปน อฎฺฐกถาคตวินิจฺฉยวิเสสโตติ ตสฺมา น วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ติสมุฎฺฐานเมวิทํ กายจิตฺตวาจาจิตฺตกายวาจาจิตฺตวเสน ตีณิ สมุฎฺฐานานิ เอตสฺสาติ กตฺวาฯ

    Ayaṃ kasmā na vuttoti? Ayaṃ sambodhavatthuviseso vattumicchito pana aṭṭhakathāgatavinicchayavisesatoti tasmā na vuttoti daṭṭhabbo. Tisamuṭṭhānamevidaṃ kāyacittavācācittakāyavācācittavasena tīṇi samuṭṭhānāni etassāti katvā.

    อิเมหิปิ ทฺวีหิ อนิยตสิกฺขาปเทหิ สิกฺขาปทนฺตเรสุ ปญฺญตฺตาเยว อาปตฺติโย, อนาปตฺติโย จ ทสฺสิตา, น โกจิ อาปตฺติวิเสโส วุโตฺต, ตสฺมา กิเมเตสํ วจเนนาติ? วุจฺจเต – วินยวินิจฺฉยลกฺขณํ ฐเปตุํ ภควตา อุปฺปเนฺน วตฺถุมฺหิ เทฺว อนิยตา ปญฺญตฺตาฯ กถํ? เอวรูปายปิ สเทฺธยฺยวจนาย อุปาสิกาย วุจฺจมาโน ปฎิชานมาโนว อาปตฺติยา กาเรตโพฺพ, น อปฺปฎิชานมาโน, ตสฺมา ‘‘ยาย กายจิ อาปตฺติยา เยน เกนจิ โจทิเต ปฎิญฺญาตกรณํเยวงฺคํ กาตพฺพ’’นฺติ อิเมหิ สิกฺขาปเทหิ วินิจฺฉยลกฺขณํ ฐปิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อถ กสฺมา ภิกฺขุนีนํ อนิยตํ น วุตฺตนฺติ? อิทเมว ลกฺขณํ สพฺพตฺถ อนุคตนฺติ น วุตฺตํฯ

    Imehipi dvīhi aniyatasikkhāpadehi sikkhāpadantaresu paññattāyeva āpattiyo, anāpattiyo ca dassitā, na koci āpattiviseso vutto, tasmā kimetesaṃ vacanenāti? Vuccate – vinayavinicchayalakkhaṇaṃ ṭhapetuṃ bhagavatā uppanne vatthumhi dve aniyatā paññattā. Kathaṃ? Evarūpāyapi saddheyyavacanāya upāsikāya vuccamāno paṭijānamānova āpattiyā kāretabbo, na appaṭijānamāno, tasmā ‘‘yāya kāyaci āpattiyā yena kenaci codite paṭiññātakaraṇaṃyevaṅgaṃ kātabba’’nti imehi sikkhāpadehi vinicchayalakkhaṇaṃ ṭhapitanti veditabbaṃ. Atha kasmā bhikkhunīnaṃ aniyataṃ na vuttanti? Idameva lakkhaṇaṃ sabbattha anugatanti na vuttaṃ.

    ทุติยานิยตกถาวณฺณนาฯ

    Dutiyāniyatakathāvaṇṇanā.

    อิติ วินยตฺถสารสนฺทีปนิยา

    Iti vinayatthasārasandīpaniyā

    วินยวินิจฺฉยวณฺณนาย

    Vinayavinicchayavaṇṇanāya

    อนิยตกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aniyatakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact