Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรีคาถา-อฎฺฐกถา • Therīgāthā-aṭṭhakathā |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
ขุทฺทกนิกาเย
Khuddakanikāye
เถรีคาถา-อฎฺฐกถา
Therīgāthā-aṭṭhakathā
๑. เอกกนิปาโต
1. Ekakanipāto
๑. อญฺญตราเถรีคาถาวณฺณนา
1. Aññatarātherīgāthāvaṇṇanā
อิทานิ เถรีคาถานํ อตฺถสํวณฺณนาย โอกาโส อนุปฺปโตฺตฯ ตตฺถ ยสฺมา ภิกฺขุนีนํ อาทิโต ยถา ปพฺพชฺชา อุปสมฺปทา จ ปฎิลทฺธา, ตํ ปกาเสตฺวา อตฺถสํวณฺณนาย กรียมานาย ตตฺถ ตตฺถ คาถานํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ วิภาเวตุํ สุกรา โหติ สุปากฎา จ, ตสฺมา ตํ ปกาเสตุํ อาทิโต ปฎฺฐาย สเงฺขปโต อยํ อนุปุพฺพิกถา –
Idāni therīgāthānaṃ atthasaṃvaṇṇanāya okāso anuppatto. Tattha yasmā bhikkhunīnaṃ ādito yathā pabbajjā upasampadā ca paṭiladdhā, taṃ pakāsetvā atthasaṃvaṇṇanāya karīyamānāya tattha tattha gāthānaṃ aṭṭhuppattiṃ vibhāvetuṃ sukarā hoti supākaṭā ca, tasmā taṃ pakāsetuṃ ādito paṭṭhāya saṅkhepato ayaṃ anupubbikathā –
อยญฺหิ โลกนาโถ ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺตี’’ตฺยาทินา วุตฺตานิ อฎฺฐงฺคานิ สโมธาเนตฺวา ทีปงฺกรสฺส ภควโต ปาทมูเล กตมหาภินีหาโร สมติํสปารมิโย ปูเรโนฺต จตุวีสติยา พุทฺธานํ สนฺติเก ลทฺธพฺยากรโณ อนุกฺกเมน ปารมิโย ปูเรตฺวา ญาตตฺถจริยาย โลกตฺถจริยาย พุทฺธตฺถจริยาย จ โกฎิํ ปตฺวา ตุสิตภวเน นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตาหิ พุทฺธภาวาย –
Ayañhi lokanātho ‘‘manussattaṃ liṅgasampattī’’tyādinā vuttāni aṭṭhaṅgāni samodhānetvā dīpaṅkarassa bhagavato pādamūle katamahābhinīhāro samatiṃsapāramiyo pūrento catuvīsatiyā buddhānaṃ santike laddhabyākaraṇo anukkamena pāramiyo pūretvā ñātatthacariyāya lokatthacariyāya buddhatthacariyāya ca koṭiṃ patvā tusitabhavane nibbattitvā tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā dasasahassacakkavāḷadevatāhi buddhabhāvāya –
‘‘กาโล โข เต มหาวีร, อุปฺปชฺช มาตุกุจฺฉิยํ;
‘‘Kālo kho te mahāvīra, uppajja mātukucchiyaṃ;
สเทวกํ ตารยโนฺต, พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปท’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๑.๖๗) –
Sadevakaṃ tārayanto, bujjhassu amataṃ pada’’nti. (bu. vaṃ. 1.67) –
อายาจิตมนุสฺสูปปตฺติโก ตาสํ เทวตานํ ปฎิญฺญํ ทตฺวา, กตปญฺจมหาวิโลกโน สกฺยราชกุเล สุโทฺธทนมหาราชสฺส เคเห สโต สมฺปชาโน มาตุกุจฺฉิํ โอกฺกโนฺต ทสมาเส สโต สมฺปชาโน ตตฺถ ฐตฺวา, สโต สมฺปชาโน ตโต นิกฺขโนฺต ลุมฺพินีวเน ลทฺธาภิชาติโก วิวิธา ธาติโย อาทิํ กตฺวา มหตา ปริหาเรน สมฺมเทว ปริหริยมาโน อนุกฺกเมน วุฑฺฒิปฺปโตฺต ตีสุ ปาสาเทสุ วิวิธนาฎกชนปริวุโต เทโว วิย สมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต ชิณฺณพฺยาธิมตทสฺสเนน ชาตสํเวโค ญาณสฺส ปริปากตํ คตตฺตา, กาเมสุ อาทีนวํ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํ ทิสฺวา, ราหุลกุมารสฺส ชาตทิวเส ฉนฺนสหาโย กณฺฑกํ อสฺสราชํ อารุยฺห , เทวตาหิ วิวเฎน ทฺวาเรน อฑฺฒรตฺติกสมเย มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา, เตเนว รตฺตาวเสเสน ตีณิ รชฺชานิ อติกฺกมิตฺวา อโนมานทีตีรํ ปตฺวา ฆฎิการมหาพฺรหฺมุนา อานีเต อรหตฺตทฺธเช คเหตฺวา ปพฺพชิโต, ตาวเทว วสฺสสฎฺฐิกเตฺถโร วิย อากปฺปสมฺปโนฺน หุตฺวา, ปาสาทิเกน อิริยาปเถน อนุกฺกเมน ราชคหํ ปตฺวา, ตตฺถ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปณฺฑวปพฺพตปพฺภาเร ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา, มาคธราเชน รเชฺชน นิมนฺติยมาโน ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา, ภคฺควสฺสารามํ คนฺตฺวา, ตสฺส สมยํ ปริคฺคณฺหิตฺวา ตโต อาฬารุทกานํ สมยํ ปริคฺคณฺหิตฺวา, ตํ สพฺพํ อนลงฺกริตฺวา อนุกฺกเมน อุรุเวลํ คนฺตฺวา ตตฺถ ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรการิกํ กตฺวา, ตาย อริยธมฺมปฎิเวธสฺสาภาวํ ญตฺวา ‘‘นายํ มโคฺค โพธายา’’ติ โอฬาริกํ อาหารํ อาหรโนฺต กติปาเหน พลํ คาเหตฺวา วิสาขาปุณฺณมทิวเส สุชาตาย ทินฺนํ วรโภชนํ ภุญฺชิตฺวา, สุวณฺณปาติํ นทิยา ปฎิโสตํ ขิปิตฺวา, ‘‘อชฺช พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ กตสนฺนิฎฺฐาโน สายนฺหสมเย กาเฬน นาคราเชน อภิตฺถุติคุโณ โพธิมณฺฑํ อารุยฺห อจลฎฺฐาเน ปาจีนโลกธาตุอภิมุโข อปราชิตปลฺลเงฺก นิสิโนฺน จตุรงฺคสมนฺนาคตํ วีริยํ อธิฎฺฐาย, สูริเย อนตฺถงฺคเตเยว มารพลํ วิธมิตฺวา, ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริตฺวา , มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา, ปจฺฉิมยาเม ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ญาณํ โอตาเรตฺวา, อนุโลมปฎิโลมํ ปจฺจยาการํ สมฺมสโนฺต วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา สพฺพพุเทฺธหิ อธิคตํ อนญฺญสาธารณํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคนฺตฺวา, นิพฺพานารมฺมณาย ผลสมาปตฺติยา ตเตฺถว สตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา, เตเนว นเยน อิตรสตฺตาเหปิ โพธิมเณฺฑเยว วีตินาเมตฺวา, ราชายตนมูเล มธุปิณฺฑิกโภชนํ ภุญฺชิตฺวา, ปุน อชปาลนิโคฺรธมูเล นิสิโนฺน ธมฺมตาย ธมฺมคมฺภีรตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิเตฺต นมเนฺต มหาพฺรหฺมุนา อายาจิโต พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต ติกฺขินฺทฺริยมุทินฺทฺริยาทิเภเท สเตฺต ทิสฺวา มหาพฺรหฺมุนา ธมฺมเทสนาย กตปฎิโญฺญ ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ อาวเชฺชโนฺต อาฬารุทกานํ กาลงฺกตภาวํ ญตฺวา, ‘‘พหุปการา โข เม ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู, เย มํ ปธานปหิตตฺตํ อุปฎฺฐหิํสุ, ยํนูนาหํ ปญฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ (มหาว. ๑๐) จิเนฺตตฺวา, อาสาฬฺหิปุณฺณมายํ มหาโพธิโต พาราณสิํ อุทฺทิสฺส อฎฺฐารสโยชนํ มคฺคํ ปฎิปโนฺน อนฺตรามเคฺค อุปเกน อาชีวเกน สทฺธิํ มเนฺตตฺวา, อนุกฺกเมน อิสิปตนํ ปตฺวา ตตฺถ ปญฺจวคฺคิเย สญฺญาเปตฺวา ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา’’ติอาทินา (มหาว. ๑๓; สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) ธมฺมจกฺกปวตฺตนสุตฺตนฺตเทสนาย อญฺญาสิโกณฺฑญฺญปฺปมุขา อฎฺฐารสพฺรหฺมโกฎิโย ธมฺมามตํ ปาเยตฺวา ปาฎิปเท ภทฺทิยเตฺถรํ, ปกฺขสฺส ทุติยายํ วปฺปเตฺถรํ, ปกฺขสฺส ตติยายํ มหานามเตฺถรํ, จตุตฺถิยํ อสฺสชิเตฺถรํ, โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปตฺวา, ปญฺจมิยํ ปน ปกฺขสฺส อนตฺตลกฺขณสุตฺตนฺตเทสนาย (มหาว. ๒๐; สํ. นิ. ๓.๕๙) สเพฺพปิ อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา ตโต ปรํ ยสทารกปฺปมุเข ปญฺจปณฺณาสปุริเส, กปฺปาสิกวนสเณฺฑ ติํสมเตฺต ภทฺทวคฺคิเย, คยาสีเส ปิฎฺฐิปาสาเณ สหสฺสมเตฺต ปุราณชฎิเลติ เอวํ มหาชนํ อริยภูมิํ โอตาเรตฺวา พิมฺพิสารปฺปมุขานิ เอกาทสนหุตานิ โสตาปตฺติผเล นหุตํ สรณตฺตเย ปติฎฺฐาเปตฺวา เวฬุวนํ ปฎิคฺคเหตฺวา ตตฺถ วิหรโนฺต อสฺสชิเตฺถรสฺส วาหสา อธิคตปฐมมเคฺค สญฺจยํ อาปุจฺฉิตฺวา, สทฺธิํ ปริสาย อตฺตโน สนฺติกํ อุปคเต สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเน อคฺคผลํ สจฺฉิกตฺวา สาวกปารมิยา มตฺถกํ ปเตฺต อคฺคสาวกฎฺฐาเน ฐเปตฺวา กาฬุทายิเตฺถรสฺส อภิยาจนาย กปิลวตฺถุํ คนฺตฺวา, มานตฺถเทฺธ ญาตเก ยมกปาฎิหาริเยน ทเมตฺวา, ปิตรํ อนาคามิผเล, มหาปชาปติํ โสตาปตฺติผเล ปฎิฎฺฐาเปตฺวา , นนฺทกุมารํ ราหุลกุมารญฺจ ปพฺพาเชตฺวา, สตฺถา ปุนเทว ราชคหํ ปจฺจาคจฺฉิฯ
Āyācitamanussūpapattiko tāsaṃ devatānaṃ paṭiññaṃ datvā, katapañcamahāvilokano sakyarājakule suddhodanamahārājassa gehe sato sampajāno mātukucchiṃ okkanto dasamāse sato sampajāno tattha ṭhatvā, sato sampajāno tato nikkhanto lumbinīvane laddhābhijātiko vividhā dhātiyo ādiṃ katvā mahatā parihārena sammadeva parihariyamāno anukkamena vuḍḍhippatto tīsu pāsādesu vividhanāṭakajanaparivuto devo viya sampattiṃ anubhavanto jiṇṇabyādhimatadassanena jātasaṃvego ñāṇassa paripākataṃ gatattā, kāmesu ādīnavaṃ nekkhamme ca ānisaṃsaṃ disvā, rāhulakumārassa jātadivase channasahāyo kaṇḍakaṃ assarājaṃ āruyha , devatāhi vivaṭena dvārena aḍḍharattikasamaye mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā, teneva rattāvasesena tīṇi rajjāni atikkamitvā anomānadītīraṃ patvā ghaṭikāramahābrahmunā ānīte arahattaddhaje gahetvā pabbajito, tāvadeva vassasaṭṭhikatthero viya ākappasampanno hutvā, pāsādikena iriyāpathena anukkamena rājagahaṃ patvā, tattha piṇḍāya caritvā paṇḍavapabbatapabbhāre piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā, māgadharājena rajjena nimantiyamāno taṃ paṭikkhipitvā, bhaggavassārāmaṃ gantvā, tassa samayaṃ pariggaṇhitvā tato āḷārudakānaṃ samayaṃ pariggaṇhitvā, taṃ sabbaṃ analaṅkaritvā anukkamena uruvelaṃ gantvā tattha chabbassāni dukkarakārikaṃ katvā, tāya ariyadhammapaṭivedhassābhāvaṃ ñatvā ‘‘nāyaṃ maggo bodhāyā’’ti oḷārikaṃ āhāraṃ āharanto katipāhena balaṃ gāhetvā visākhāpuṇṇamadivase sujātāya dinnaṃ varabhojanaṃ bhuñjitvā, suvaṇṇapātiṃ nadiyā paṭisotaṃ khipitvā, ‘‘ajja buddho bhavissāmī’’ti katasanniṭṭhāno sāyanhasamaye kāḷena nāgarājena abhitthutiguṇo bodhimaṇḍaṃ āruyha acalaṭṭhāne pācīnalokadhātuabhimukho aparājitapallaṅke nisinno caturaṅgasamannāgataṃ vīriyaṃ adhiṭṭhāya, sūriye anatthaṅgateyeva mārabalaṃ vidhamitvā, paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussaritvā , majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhetvā, pacchimayāme paṭiccasamuppāde ñāṇaṃ otāretvā, anulomapaṭilomaṃ paccayākāraṃ sammasanto vipassanaṃ vaḍḍhetvā sabbabuddhehi adhigataṃ anaññasādhāraṇaṃ sammāsambodhiṃ adhigantvā, nibbānārammaṇāya phalasamāpattiyā tattheva sattāhaṃ vītināmetvā, teneva nayena itarasattāhepi bodhimaṇḍeyeva vītināmetvā, rājāyatanamūle madhupiṇḍikabhojanaṃ bhuñjitvā, puna ajapālanigrodhamūle nisinno dhammatāya dhammagambhīrataṃ paccavekkhitvā appossukkatāya citte namante mahābrahmunā āyācito buddhacakkhunā lokaṃ volokento tikkhindriyamudindriyādibhede satte disvā mahābrahmunā dhammadesanāya katapaṭiñño ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti āvajjento āḷārudakānaṃ kālaṅkatabhāvaṃ ñatvā, ‘‘bahupakārā kho me pañcavaggiyā bhikkhū, ye maṃ padhānapahitattaṃ upaṭṭhahiṃsu, yaṃnūnāhaṃ pañcavaggiyānaṃ bhikkhūnaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti (mahāva. 10) cintetvā, āsāḷhipuṇṇamāyaṃ mahābodhito bārāṇasiṃ uddissa aṭṭhārasayojanaṃ maggaṃ paṭipanno antarāmagge upakena ājīvakena saddhiṃ mantetvā, anukkamena isipatanaṃ patvā tattha pañcavaggiye saññāpetvā ‘‘dveme, bhikkhave, antā pabbajitena na sevitabbā’’tiādinā (mahāva. 13; saṃ. ni. 5.1081; paṭi. ma. 2.30) dhammacakkapavattanasuttantadesanāya aññāsikoṇḍaññappamukhā aṭṭhārasabrahmakoṭiyo dhammāmataṃ pāyetvā pāṭipade bhaddiyattheraṃ, pakkhassa dutiyāyaṃ vappattheraṃ, pakkhassa tatiyāyaṃ mahānāmattheraṃ, catutthiyaṃ assajittheraṃ, sotāpattiphale patiṭṭhāpetvā, pañcamiyaṃ pana pakkhassa anattalakkhaṇasuttantadesanāya (mahāva. 20; saṃ. ni. 3.59) sabbepi arahatte patiṭṭhāpetvā tato paraṃ yasadārakappamukhe pañcapaṇṇāsapurise, kappāsikavanasaṇḍe tiṃsamatte bhaddavaggiye, gayāsīse piṭṭhipāsāṇe sahassamatte purāṇajaṭileti evaṃ mahājanaṃ ariyabhūmiṃ otāretvā bimbisārappamukhāni ekādasanahutāni sotāpattiphale nahutaṃ saraṇattaye patiṭṭhāpetvā veḷuvanaṃ paṭiggahetvā tattha viharanto assajittherassa vāhasā adhigatapaṭhamamagge sañcayaṃ āpucchitvā, saddhiṃ parisāya attano santikaṃ upagate sāriputtamoggallāne aggaphalaṃ sacchikatvā sāvakapāramiyā matthakaṃ patte aggasāvakaṭṭhāne ṭhapetvā kāḷudāyittherassa abhiyācanāya kapilavatthuṃ gantvā, mānatthaddhe ñātake yamakapāṭihāriyena dametvā, pitaraṃ anāgāmiphale, mahāpajāpatiṃ sotāpattiphale paṭiṭṭhāpetvā , nandakumāraṃ rāhulakumārañca pabbājetvā, satthā punadeva rājagahaṃ paccāgacchi.
อถาปเรน สมเยน สตฺถริ เวสาลิํ อุปนิสฺสาย กูฎาคารสาลายํ วิหรเนฺต สุโทฺธทนมหาราชา เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐาว อรหตฺตํ สจฺฉิกตฺวา ปรินิพฺพายิฯ อถ มหาปชาปติยา โคตมิยา ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ อุปฺปชฺชิ, ตโต โรหินีนทีตีเร กลหวิวาทสุตฺตนฺตเทสนาย (สุ. นิ. ๘๖๘ อาทโย) ปริโยสาเน นิกฺขมิตฺวา, ปพฺพชิตานํ ปญฺจนฺนํ กุมารสตานํ ปาทปริจาริกา เอกชฺฌาสยาว หุตฺวา มหาปชาปติยา สนฺติกํ คนฺตฺวา, สพฺพาว ‘‘สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามา’’ติ มหาปชาปติํ เชฎฺฐิกํ กตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตุกามา อเหสุํฯ อยญฺจ มหาปชาปติ ปุเพฺพปิ เอกวารํ สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา นาลตฺถ, ตสฺมา กปฺปกํ ปโกฺกสาเปตฺวา เกเส ฉินฺทาเปตฺวา กาสายานิ อจฺฉาเทตฺวา สพฺพา ตา สากิยานิโย อาทาย เวสาลิํ คนฺตฺวา อานนฺทเตฺถเรน ทสพลํ ยาจาเปตฺวา, อฎฺฐครุธมฺมปฎิคฺคหเณน ปพฺพชฺชํ อุปสมฺปทญฺจ อลตฺถฯ อิตรา ปน สพฺพาปิ เอกโต อุปสมฺปนฺนา อเหสุํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถารโต ปเนตํ วตฺถุ ตตฺถ ตตฺถ ปาฬิยํ (จูฬว. ๔๐๒) อาคตเมวฯ
Athāparena samayena satthari vesāliṃ upanissāya kūṭāgārasālāyaṃ viharante suddhodanamahārājā setacchattassa heṭṭhāva arahattaṃ sacchikatvā parinibbāyi. Atha mahāpajāpatiyā gotamiyā pabbajjāya cittaṃ uppajji, tato rohinīnadītīre kalahavivādasuttantadesanāya (su. ni. 868 ādayo) pariyosāne nikkhamitvā, pabbajitānaṃ pañcannaṃ kumārasatānaṃ pādaparicārikā ekajjhāsayāva hutvā mahāpajāpatiyā santikaṃ gantvā, sabbāva ‘‘satthu santike pabbajissāmā’’ti mahāpajāpatiṃ jeṭṭhikaṃ katvā satthu santikaṃ gantukāmā ahesuṃ. Ayañca mahāpajāpati pubbepi ekavāraṃ satthāraṃ pabbajjaṃ yācitvā nālattha, tasmā kappakaṃ pakkosāpetvā kese chindāpetvā kāsāyāni acchādetvā sabbā tā sākiyāniyo ādāya vesāliṃ gantvā ānandattherena dasabalaṃ yācāpetvā, aṭṭhagarudhammapaṭiggahaṇena pabbajjaṃ upasampadañca alattha. Itarā pana sabbāpi ekato upasampannā ahesuṃ. Ayamettha saṅkhepo. Vitthārato panetaṃ vatthu tattha tattha pāḷiyaṃ (cūḷava. 402) āgatameva.
เอวํ อุปสมฺปนฺนา ปน มหาปชาปติ สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ อถสฺสา สตฺถา ธมฺมํ เทเสสิฯ สา สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เสสา จ ปญฺจสตภิกฺขุนิโย นนฺทโกวาทปริโยสาเน (ม. นิ. ๓.๓๙๘) อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ เอวํ ภิกฺขุนิสเงฺฆ สุปฺปติฎฺฐิเต ปุถุภูเต ตตฺถ ตตฺถ คามนิคมชนปทราชธานีสุ กุลิตฺถิโย กุลสุณฺหาโย กุลกุมาริกาโย พุทฺธสุพุทฺธตํ ธมฺมสุธมฺมตํ สงฺฆสุปฺปฎิปตฺติตญฺจ สุตฺวา, สาสเน อภิปฺปสนฺนา สํสาเร จ ชาตสํเวคา อตฺตโน สามิเก มาตาปิตโร ญาตเก จ อนุชานาเปตฺวา, สาสเน อุรํ ทตฺวา ปพฺพชิํสุฯ ปพฺพชิตฺวา จ สีลาจารสมฺปนฺนา สตฺถุโน จ เตสํ เถรานญฺจ สนฺติเก โอวาทํ ลภิตฺวา ฆเฎนฺติโย วายมนฺติโย นจิรเสฺสว อรหตฺตํ สจฺฉากํสุฯ ตาหิ อุทานาทิวเสน ตตฺถ ตตฺถ ภาสิตา คาถา ปจฺฉา สงฺคีติการเกหิ เอกชฺฌํ กตฺวา เอกกนิปาตาทิวเสน สงฺคีติํ อาโรปยิํสุ ‘‘อิมา เถรีคาถา นามา’’ติฯ ตาสํ นิปาตาทิวิภาโค เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ ตตฺถ นิปาเตสุ เอกกนิปาโต อาทิฯ ตตฺถปิ –
Evaṃ upasampannā pana mahāpajāpati satthāraṃ upasaṅkamitvā abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Athassā satthā dhammaṃ desesi. Sā satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā arahattaṃ pāpuṇi. Sesā ca pañcasatabhikkhuniyo nandakovādapariyosāne (ma. ni. 3.398) arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Evaṃ bhikkhunisaṅghe suppatiṭṭhite puthubhūte tattha tattha gāmanigamajanapadarājadhānīsu kulitthiyo kulasuṇhāyo kulakumārikāyo buddhasubuddhataṃ dhammasudhammataṃ saṅghasuppaṭipattitañca sutvā, sāsane abhippasannā saṃsāre ca jātasaṃvegā attano sāmike mātāpitaro ñātake ca anujānāpetvā, sāsane uraṃ datvā pabbajiṃsu. Pabbajitvā ca sīlācārasampannā satthuno ca tesaṃ therānañca santike ovādaṃ labhitvā ghaṭentiyo vāyamantiyo nacirasseva arahattaṃ sacchākaṃsu. Tāhi udānādivasena tattha tattha bhāsitā gāthā pacchā saṅgītikārakehi ekajjhaṃ katvā ekakanipātādivasena saṅgītiṃ āropayiṃsu ‘‘imā therīgāthā nāmā’’ti. Tāsaṃ nipātādivibhāgo heṭṭhā vuttoyeva. Tattha nipātesu ekakanipāto ādi. Tatthapi –
๑.
1.
‘‘สุขํ สุปาหิ เถริเก, กตฺวา โจเฬน ปารุตา;
‘‘Sukhaṃ supāhi therike, katvā coḷena pārutā;
อุปสโนฺต หิ เต ราโค, สุกฺขฑากํว กุมฺภิย’’นฺติฯ –
Upasanto hi te rāgo, sukkhaḍākaṃva kumbhiya’’nti. –
อยํ คาถา อาทิฯ ตสฺสา กา อุปฺปตฺติ? อตีเต กิร อญฺญตรา กุลธีตา โกณาคมนสฺส ภควโต กาเล สาสเน อภิปฺปสนฺนา หุตฺวา สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา ทุติยทิวเส สาขามณฺฑปํ กาเรตฺวา วาลิกํ อตฺถริตฺวา อุปริ วิตานํ พนฺธิตฺวา คนฺธปุปฺผาทีหิ ปูชํ กตฺวา สตฺถุ กาลํ อาโรจาเปสิฯ สตฺถา ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ สา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิตฺวา, ภควนฺตํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ ติจีวเรน อจฺฉาเทสิฯ ตสฺสา ภควา อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ สา ยาวตายุกํ ปุญฺญานิ กตฺวา อายุปริโยสาเน เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ สุคตีสุ เอว สํสรนฺตี กสฺสปสฺส ภควโต กาเล คหปติกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปตฺวา, สํสาเร ชาตสํเวคา สาสเน ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปชฺชิตฺวา วีสติวสฺสหสฺสานิ ภิกฺขุนิสีลํ ปูเรตฺวา, ปุถุชฺชนกาลกิริยํ กตฺวา, สเคฺค นิพฺพตฺตา เอกํ พุทฺธนฺตรํ สคฺคสมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท เวสาลิยํ ขตฺติยมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติฯ ตํ ถิรสนฺตสรีรตาย เถริกาติ โวหริํสุฯ สา วยปฺปตฺตา กุลปฺปเทสาทินา สมานชาติกสฺส ขตฺติยกุมารสฺส มาตาปิตูหิ ทินฺนา ปติเทวตา หุตฺวา วสนฺตี สตฺถุ เวสาลิคมเน สาสเน ปฎิลทฺธสทฺธา อุปาสิกา หุตฺวา, อปรภาเค มหาปชาปติโคตมีเถริยา สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา ปพฺพชฺชาย รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ สามิกสฺสาโรเจสิฯ สามิโก นานุชานาติฯ สา ปน กตาธิการตาย ยถาสุตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา รูปารูปธเมฺม ปริคฺคเหตฺวา วิปสฺสนํ อนุยุตฺตา วิหรติฯ
Ayaṃ gāthā ādi. Tassā kā uppatti? Atīte kira aññatarā kuladhītā koṇāgamanassa bhagavato kāle sāsane abhippasannā hutvā satthāraṃ nimantetvā dutiyadivase sākhāmaṇḍapaṃ kāretvā vālikaṃ attharitvā upari vitānaṃ bandhitvā gandhapupphādīhi pūjaṃ katvā satthu kālaṃ ārocāpesi. Satthā tattha gantvā paññatte āsane nisīdi. Sā bhagavantaṃ vanditvā paṇītena khādanīyena bhojanīyena parivisitvā, bhagavantaṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ ticīvarena acchādesi. Tassā bhagavā anumodanaṃ katvā pakkāmi. Sā yāvatāyukaṃ puññāni katvā āyupariyosāne devaloke nibbattitvā ekaṃ buddhantaraṃ sugatīsu eva saṃsarantī kassapassa bhagavato kāle gahapatikule nibbattitvā viññutaṃ patvā, saṃsāre jātasaṃvegā sāsane pabbajitvā upasampajjitvā vīsativassahassāni bhikkhunisīlaṃ pūretvā, puthujjanakālakiriyaṃ katvā, sagge nibbattā ekaṃ buddhantaraṃ saggasampattiṃ anubhavitvā imasmiṃ buddhuppāde vesāliyaṃ khattiyamahāsālakule nibbatti. Taṃ thirasantasarīratāya therikāti vohariṃsu. Sā vayappattā kulappadesādinā samānajātikassa khattiyakumārassa mātāpitūhi dinnā patidevatā hutvā vasantī satthu vesāligamane sāsane paṭiladdhasaddhā upāsikā hutvā, aparabhāge mahāpajāpatigotamītheriyā santike dhammaṃ sutvā pabbajjāya ruciṃ uppādetvā ‘‘ahaṃ pabbajissāmī’’ti sāmikassārocesi. Sāmiko nānujānāti. Sā pana katādhikāratāya yathāsutaṃ dhammaṃ paccavekkhitvā rūpārūpadhamme pariggahetvā vipassanaṃ anuyuttā viharati.
อเถกทิวสํ มหานเส พฺยญฺชเน ปจฺจมาเน มหตี อคฺคิชาลา อุฎฺฐหิฯ สา อคฺคิชาลา สกลภาชนํ ตฎตฎายนฺตํ ฌายติฯ สา ตํ ทิสฺวา ตเทวารมฺมณํ กตฺวา สุฎฺฐุตรํ อนิจฺจตํ อุปฎฺฐหนฺตํ อุปธาเรตฺวา ตโต ตตฺถ ทุกฺขานิจฺจานตฺตตญฺจ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อนุกฺกเมน อุสฺสุกฺกาเปตฺวา มคฺคปฎิปาฎิยา อนาคามิผเล ปติฎฺฐหิฯ สา ตโต ปฎฺฐาย อาภรณํ วา อลงฺการํ วา น ธาเรติฯ สา สามิเกน ‘‘กสฺมา ตฺวํ, ภเทฺท, อิทานิ ปุเพฺพ วิย อาภรณํ วา อลงฺการํ วา น ธาเรสี’’ติ วุตฺตา อตฺตโน คิหิภาเว อภพฺพภาวํ อาโรเจตฺวา ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปสิฯ โส วิสาโข อุปาสโก วิย ธมฺมทินฺนํ มหตา ปริหาเรน มหาปชาปติโคตมิยา สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘อิมํ, อเยฺย, ปพฺพาเชถา’’ติ อาหฯ อถ มหาปชาปติโคตมี ตํ ปพฺพาเชตฺวา อุปสมฺปาเทตฺวา วิหารํ เนตฺวา สตฺถารํ ทเสฺสสิฯ สตฺถาปิสฺสา ปกติยา ทิฎฺฐารมฺมณเมว วิภาเวโนฺต ‘‘สุขํ สุปาหี’’ติ คาถมาหฯ
Athekadivasaṃ mahānase byañjane paccamāne mahatī aggijālā uṭṭhahi. Sā aggijālā sakalabhājanaṃ taṭataṭāyantaṃ jhāyati. Sā taṃ disvā tadevārammaṇaṃ katvā suṭṭhutaraṃ aniccataṃ upaṭṭhahantaṃ upadhāretvā tato tattha dukkhāniccānattatañca āropetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā anukkamena ussukkāpetvā maggapaṭipāṭiyā anāgāmiphale patiṭṭhahi. Sā tato paṭṭhāya ābharaṇaṃ vā alaṅkāraṃ vā na dhāreti. Sā sāmikena ‘‘kasmā tvaṃ, bhadde, idāni pubbe viya ābharaṇaṃ vā alaṅkāraṃ vā na dhāresī’’ti vuttā attano gihibhāve abhabbabhāvaṃ ārocetvā pabbajjaṃ anujānāpesi. So visākho upāsako viya dhammadinnaṃ mahatā parihārena mahāpajāpatigotamiyā santikaṃ netvā ‘‘imaṃ, ayye, pabbājethā’’ti āha. Atha mahāpajāpatigotamī taṃ pabbājetvā upasampādetvā vihāraṃ netvā satthāraṃ dassesi. Satthāpissā pakatiyā diṭṭhārammaṇameva vibhāvento ‘‘sukhaṃ supāhī’’ti gāthamāha.
ตตฺถ สุขนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโสฯ สุปาหีติ อาณตฺติวจนํฯ เถริเกติ อามนฺตนวจนํฯ กตฺวา โจเฬน ปารุตาติ อปฺปิจฺฉตาย นิโยชนํฯ อุปสโนฺต หิ เต ราโคติ ปฎิปตฺติกิตฺตนํฯ สุกฺขฑากํวาติ อุปสเมตพฺพสฺส กิเลสสฺส อสารภาวนิทสฺสนํฯ กุมฺภิยนฺติ ตทาธารสฺส อนิจฺจตุจฺฉาทิภาวนิทสฺสนํฯ
Tattha sukhanti bhāvanapuṃsakaniddeso. Supāhīti āṇattivacanaṃ. Theriketi āmantanavacanaṃ. Katvā coḷena pārutāti appicchatāya niyojanaṃ. Upasanto hi te rāgoti paṭipattikittanaṃ. Sukkhaḍākaṃvāti upasametabbassa kilesassa asārabhāvanidassanaṃ. Kumbhiyanti tadādhārassa aniccatucchādibhāvanidassanaṃ.
สุขนฺติ เจตํ อิฎฺฐาธิวจนํฯ สุเขน นิทุกฺขา หุตฺวาติ อโตฺถฯ สุปาหีติ นิปชฺชนิทสฺสนเญฺจตํ จตุนฺนํ อิริยาปถานํ, ตสฺมา จตฺตาโรปิ อิริยาปเถ สุเขเนว กเปฺปหิ สุขํ วิหราติ อโตฺถฯ เถริเกติ อิทํ ยทิปิ ตสฺสา นามกิตฺตนํ, ปจุเรน อนฺวตฺถสญฺญาภาวโต ปน ถิเร สาสเน ถิรภาวปฺปเตฺต, ถิเรหิ สีลาทิธเมฺมหิ สมนฺนาคเตติ อโตฺถฯ กตฺวา โจเฬน ปารุตาติ ปํสุกูลโจเฬหิ จีวรํ กตฺวา อจฺฉาทิตสรีรา ตํ นิวตฺถา เจว ปารุตา จฯ อุปสโนฺต หิ เต ราโคติ หิ-สโทฺท เหตฺวโตฺถฯ ยสฺมา ตว สนฺตาเน อุปฺปชฺชนกกามราโค อุปสโนฺต อนาคามิมคฺคญาณคฺคินา ทโฑฺฒ, อิทานิ ตทวเสสํ ราคํ อคฺคมคฺคญาณคฺคินา ทเหตฺวา สุขํ สุปาหีติ อธิปฺปาโยฯ สุกฺขฑากํว กุมฺภิยนฺติ ยถา ตํ ปเกฺก ภาชเน อปฺปกํ ฑากพฺยญฺชนํ มหติยา อคฺคิชาลาย ปจฺจมานํ ฌายิตฺวา สุสฺสนฺตํ วูปสมฺมติ, ยถา วา อุทกมิเสฺส ฑากพฺยญฺชเน อุทฺธนํ อาโรเปตฺวา ปจฺจมาเน อุทเก วิชฺชมาเน ตํ จิจฺจิฎายติ จิฎิจิฎายติ, อุทเก ปน ฉิเนฺน อุปสนฺตเมว โหติ, เอวํ ตว สนฺตาเน กามราโค อุปสโนฺต, อิตรมฺปิ วูปสเมตฺวา สุขํ สุปาหีติฯ
Sukhanti cetaṃ iṭṭhādhivacanaṃ. Sukhena nidukkhā hutvāti attho. Supāhīti nipajjanidassanañcetaṃ catunnaṃ iriyāpathānaṃ, tasmā cattāropi iriyāpathe sukheneva kappehi sukhaṃ viharāti attho. Theriketi idaṃ yadipi tassā nāmakittanaṃ, pacurena anvatthasaññābhāvato pana thire sāsane thirabhāvappatte, thirehi sīlādidhammehi samannāgateti attho. Katvā coḷena pārutāti paṃsukūlacoḷehi cīvaraṃ katvā acchāditasarīrā taṃ nivatthā ceva pārutā ca. Upasanto hi te rāgoti hi-saddo hetvattho. Yasmā tava santāne uppajjanakakāmarāgo upasanto anāgāmimaggañāṇagginā daḍḍho, idāni tadavasesaṃ rāgaṃ aggamaggañāṇagginā dahetvā sukhaṃ supāhīti adhippāyo. Sukkhaḍākaṃva kumbhiyanti yathā taṃ pakke bhājane appakaṃ ḍākabyañjanaṃ mahatiyā aggijālāya paccamānaṃ jhāyitvā sussantaṃ vūpasammati, yathā vā udakamisse ḍākabyañjane uddhanaṃ āropetvā paccamāne udake vijjamāne taṃ cicciṭāyati ciṭiciṭāyati, udake pana chinne upasantameva hoti, evaṃ tava santāne kāmarāgo upasanto, itarampi vūpasametvā sukhaṃ supāhīti.
เถรี อินฺทฺริยานํ ปริปากํ คตตฺตา สตฺถุ เทสนาวิลาเสน จ คาถาปริโยสาเน สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถรี ๒.๑.๒๖-๓๐)ฯ
Therī indriyānaṃ paripākaṃ gatattā satthu desanāvilāsena ca gāthāpariyosāne saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. therī 2.1.26-30).
‘‘โกณาคมนพุทฺธสฺส, มณฺฑโป การิโต มยา;
‘‘Koṇāgamanabuddhassa, maṇḍapo kārito mayā;
ธุวํ ติจีวรํทาสิํ, พุทฺธสฺส โลกพนฺธุโนฯ
Dhuvaṃ ticīvaraṃdāsiṃ, buddhassa lokabandhuno.
‘‘ยํ ยํ ชนปทํ ยามิ, นิคเม ราชธานิโย;
‘‘Yaṃ yaṃ janapadaṃ yāmi, nigame rājadhāniyo;
สพฺพตฺถ ปูชิโต โหมิ, ปุญฺญกมฺมสฺสิทํ ผลํฯ
Sabbattha pūjito homi, puññakammassidaṃ phalaṃ.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ, ภวา สเพฺพ สมูหตา;
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ, bhavā sabbe samūhatā;
นาคีว พนฺธนํ เฉตฺวา, วิหรามิ อนาสวาฯ
Nāgīva bandhanaṃ chetvā, viharāmi anāsavā.
‘‘สฺวาคตํ วต เม อาสิ, พุทฺธเสฎฺฐสฺส สนฺติเก;
‘‘Svāgataṃ vata me āsi, buddhaseṭṭhassa santike;
ติโสฺส วิชฺชา อนุปฺปตฺตา, กตํ พุทฺธสฺส สาสนํฯ
Tisso vijjā anuppattā, kataṃ buddhassa sāsanaṃ.
‘‘ปฎิสมฺภิทา จตโสฺส, วิโมกฺขาปิ จ อฎฺฐิเม;
‘‘Paṭisambhidā catasso, vimokkhāpi ca aṭṭhime;
ฉฬภิญฺญา สจฺฉิกตา, กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
Chaḷabhiññā sacchikatā, kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
อรหตฺตํ ปน ปตฺวา เถรี อุทาเนนฺตี ตเมว คาถํ อภาสิ, เตนายํ คาถา ตสฺสา เถริยา คาถา อโหสิฯ ตตฺถ เถริยา วุตฺตคาถาย อนวเสโส ราโค ปริคฺคหิโต อคฺคมเคฺคน ตสฺส วูปสมสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ ราควูปสเมเนว เจตฺถ สเพฺพสมฺปิ กิเลสานํ วูปสโม วุโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํ ตเทกฎฺฐตาย สเพฺพสํ กิเลสธมฺมานํ วูปสมสิทฺธิโตฯ ตถา หิ วุจฺจติ –
Arahattaṃ pana patvā therī udānentī tameva gāthaṃ abhāsi, tenāyaṃ gāthā tassā theriyā gāthā ahosi. Tattha theriyā vuttagāthāya anavaseso rāgo pariggahito aggamaggena tassa vūpasamassa adhippetattā. Rāgavūpasameneva cettha sabbesampi kilesānaṃ vūpasamo vuttoti daṭṭhabbaṃ tadekaṭṭhatāya sabbesaṃ kilesadhammānaṃ vūpasamasiddhito. Tathā hi vuccati –
‘‘อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาหิ, โย โมโห สหโช มโต;
‘‘Uddhaccavicikicchāhi, yo moho sahajo mato;
ปหาเนกฎฺฐภาเวน, ราเคน สรโณ หิ โส’’ติฯ
Pahānekaṭṭhabhāvena, rāgena saraṇo hi so’’ti.
ยถา เจตฺถ สเพฺพสํ สํกิเลสานํ วูปสโม วุโตฺต, เอวํ สพฺพตฺถาปิ เตสํ วูปสโม วุโตฺตติ เวทิตพฺพํฯ ปุพฺพภาเค ตทงฺควเสน, สมถวิปสฺสนากฺขเณ วิกฺขมฺภนวเสน, มคฺคกฺขเณ สมุเจฺฉทวเสน, ผลกฺขเณ ปฎิปฺปสฺสทฺธิวเสน วูปสมสิทฺธิโตฯ เตน จตุพฺพิธสฺสาปิ ปหานสฺส สิทฺธิ เวทิตพฺพา ฯ ตตฺถ ตทงฺคปฺปหาเนน สีลสมฺปทาสิทฺธิ, วิกฺขมฺภนปหาเนน สมาธิสมฺปทาสิทฺธิ, อิตเรหิ ปญฺญาสมฺปทาสิทฺธิ ทสฺสิตา โหติ ปหานาภิสมโยปสิชฺฌนโตฯ ยถา ภาวนาภิสมยํ สาเธติ ตสฺมิํ อสติ ตทภาวโต, ตถา สจฺฉิกิริยาภิสมยํ ปริญฺญาภิสมยญฺจ สาเธติ เอวาติฯ จตุราภิสมยสิทฺธิยา ติโสฺส สิกฺขา, ปฎิปตฺติยา ติวิธกลฺยาณตา, สตฺตวิสุทฺธิโย จ ปริปุณฺณา อิมาย คาถาย ปกาสิตา โหนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ อญฺญตราเถรี อปญฺญาตา นามโคตฺตาทิวเสน อปากฎา, เอกา เถรี ลกฺขณสมฺปนฺนา ภิกฺขุนี อิมํ คาถํ อภาสีติ อธิปฺปาโยฯ
Yathā cettha sabbesaṃ saṃkilesānaṃ vūpasamo vutto, evaṃ sabbatthāpi tesaṃ vūpasamo vuttoti veditabbaṃ. Pubbabhāge tadaṅgavasena, samathavipassanākkhaṇe vikkhambhanavasena, maggakkhaṇe samucchedavasena, phalakkhaṇe paṭippassaddhivasena vūpasamasiddhito. Tena catubbidhassāpi pahānassa siddhi veditabbā . Tattha tadaṅgappahānena sīlasampadāsiddhi, vikkhambhanapahānena samādhisampadāsiddhi, itarehi paññāsampadāsiddhi dassitā hoti pahānābhisamayopasijjhanato. Yathā bhāvanābhisamayaṃ sādheti tasmiṃ asati tadabhāvato, tathā sacchikiriyābhisamayaṃ pariññābhisamayañca sādheti evāti. Caturābhisamayasiddhiyā tisso sikkhā, paṭipattiyā tividhakalyāṇatā, sattavisuddhiyo ca paripuṇṇā imāya gāthāya pakāsitā hontīti veditabbaṃ. Aññatarātherī apaññātā nāmagottādivasena apākaṭā, ekā therī lakkhaṇasampannā bhikkhunī imaṃ gāthaṃ abhāsīti adhippāyo.
อญฺญตราเถรีคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Aññatarātherīgāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรีคาถาปาฬิ • Therīgāthāpāḷi / ๑. อญฺญตราเถรีคาถา • 1. Aññatarātherīgāthā