Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-อภินว-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-abhinava-ṭīkā |
๒. อญฺญวาทกสิกฺขาปทวณฺณนา
2. Aññavādakasikkhāpadavaṇṇanā
ยมตฺถนฺติ ‘‘ตฺวํ กิร ทุกฺกฎาปตฺติํ อาปโนฺน’’ติอาทิกํ ยํ กิญฺจิ อตฺถํฯ ตโต อญฺญนฺติ ปุจฺฉิตตฺถโต อญฺญมตฺถํฯ อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรณสฺสาติ วินยธเรน ยํ วจนํ โทสปุจฺฉนตฺถํ วุตฺตํ, ตโต อเญฺญน วจเนน ปฎิจฺฉาทนสฺสฯ ปฎิจฺฉาทนโตฺถปิ หิ จรสโทฺท โหติ อเนกตฺถตฺตา ธาตูนํฯ วุตฺตนฺติ ปาฬิยํ วุตฺตํฯ
Yamatthanti ‘‘tvaṃ kira dukkaṭāpattiṃ āpanno’’tiādikaṃ yaṃ kiñci atthaṃ. Tato aññanti pucchitatthato aññamatthaṃ. Aññenaññaṃ paṭicaraṇassāti vinayadharena yaṃ vacanaṃ dosapucchanatthaṃ vuttaṃ, tato aññena vacanena paṭicchādanassa. Paṭicchādanatthopi hi carasaddo hoti anekatthattā dhātūnaṃ. Vuttanti pāḷiyaṃ vuttaṃ.
สาวเสสํ อาปตฺติํ อาปโนฺนติ เอตฺถ ฐเปตฺวา ปาราชิกํ เสสา สาวเสสาปตฺติ นาม, ตํ อาปโนฺนฯ อนุยุญฺชิยมาโนติ ‘‘กิํ, อาวุโส, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺนสี’’ติ ปุจฺฉิยมาโนฯ อเญฺญน วจเนนาติ ‘‘โก อาปโนฺน? กิํ อาปโนฺน? กิสฺมิํ อาปโนฺน? กถํ อาปโนฺน? กํ ภณถ? กิํ ภณถา’’ติ อเญฺญน วจเนนฯ อญฺญนฺติ ‘‘กิํ ตฺวํ อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺนสี’’ติอาทิกํ อนุยุญฺชกวจนํฯ ตถา ตถา วิกฺขิปตีติ เตน เตน ปกาเรน วิกฺขิปติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? โส (ปาจิ. อฎฺฐ. ๙๔) กิญฺจิ วีติกฺกมํ ทิสฺวา ‘‘อาวุโส, อาปตฺติํ อาปโนฺนสี’’ติ สงฺฆมเชฺฌ อาปตฺติยา อนุยุญฺชิยมาโน ‘‘โก อาปโนฺน’’ติ วทติฯ ตโต ‘‘ตฺว’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อหํ กิํ อาปโนฺน’’ติ วทติฯ อถ ‘‘ปาจิตฺติยํ วา ทุกฺกฎํ วา’’ติ วุเตฺต ‘‘อหํ กิสฺมิํ อาปโนฺน’’ติ วทติฯ ตโต ‘‘อมุกสฺมิํ นาม วตฺถุสฺมิ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อหํ กถํ อาปโนฺน, กิํ กโรโนฺต อาปโนฺนมฺหี’’ติ ปุจฺฉติฯ อถ ‘‘อิทํ นาม กโรโนฺต อาปโนฺน’’ติ วุเตฺต ‘‘กํ ภณถา’’ติ วทติฯ ตโต ‘‘ตํ ภณามา’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํ ภณถา’’ติ เอวมเนเกหิ ปกาเรหิ วิกฺขิปตีติ วุตฺตํ โหติฯ
Sāvasesaṃ āpattiṃ āpannoti ettha ṭhapetvā pārājikaṃ sesā sāvasesāpatti nāma, taṃ āpanno. Anuyuñjiyamānoti ‘‘kiṃ, āvuso, itthannāmaṃ āpattiṃ āpannosī’’ti pucchiyamāno. Aññena vacanenāti ‘‘ko āpanno? Kiṃ āpanno? Kismiṃ āpanno? Kathaṃ āpanno? Kaṃ bhaṇatha? Kiṃ bhaṇathā’’ti aññena vacanena. Aññanti ‘‘kiṃ tvaṃ itthannāmaṃ āpattiṃ āpannosī’’tiādikaṃ anuyuñjakavacanaṃ. Tathā tathā vikkhipatīti tena tena pakārena vikkhipati. Kiṃ vuttaṃ hoti? So (pāci. aṭṭha. 94) kiñci vītikkamaṃ disvā ‘‘āvuso, āpattiṃ āpannosī’’ti saṅghamajjhe āpattiyā anuyuñjiyamāno ‘‘ko āpanno’’ti vadati. Tato ‘‘tva’’nti vutte ‘‘ahaṃ kiṃ āpanno’’ti vadati. Atha ‘‘pācittiyaṃ vā dukkaṭaṃ vā’’ti vutte ‘‘ahaṃ kismiṃ āpanno’’ti vadati. Tato ‘‘amukasmiṃ nāma vatthusmi’’nti vutte ‘‘ahaṃ kathaṃ āpanno, kiṃ karonto āpannomhī’’ti pucchati. Atha ‘‘idaṃ nāma karonto āpanno’’ti vutte ‘‘kaṃ bhaṇathā’’ti vadati. Tato ‘‘taṃ bhaṇāmā’’ti vutte ‘‘kiṃ bhaṇathā’’ti evamanekehi pakārehi vikkhipatīti vuttaṃ hoti.
โย ปน ภิกฺขุ สาวเสสํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ตํ น กเถตุกาโม ตุณฺหีภาเวน วิเหเสตีติ สมฺพโนฺธฯ วิเหเสตีติ จิรนิสชฺชาจิรภาสเนหิ ปิฎฺฐิอาคิลายนตาลุโสสาทิวเสน สงฺฆํ วิเหเสติ, ปริสฺสมํ เตสํ กโรตีติ อโตฺถฯ ปริสฺสโม หิ วิเหสา นามฯ อญฺญวาทกกมฺมนฺติ อญฺญวาทกสฺส ภิกฺขุโน อญฺญวาทกาโรปนตฺถํ กาตพฺพํ ญตฺติทุติยกมฺมํฯ วิเหสกกมฺมนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมิํ สเงฺฆน กเตติ ตสฺมิํ อญฺญวาทกกเมฺม จ วิเหสกกเมฺม จ สเงฺฆน ญตฺติทุติยกมฺมวาจาย กเตฯ ตถา กโรนฺตานนฺติ ตํ ปการํ กโรนฺตานํ, อญฺญวาทกญฺจ วิเหสกญฺจ กโรนฺตานนฺติ อโตฺถฯ
Yo pana bhikkhu sāvasesaṃ āpattiṃ āpanno, taṃ na kathetukāmo tuṇhībhāvena vihesetīti sambandho. Vihesetīti ciranisajjācirabhāsanehi piṭṭhiāgilāyanatālusosādivasena saṅghaṃ viheseti, parissamaṃ tesaṃ karotīti attho. Parissamo hi vihesā nāma. Aññavādakakammanti aññavādakassa bhikkhuno aññavādakāropanatthaṃ kātabbaṃ ñattidutiyakammaṃ. Vihesakakammanti etthāpi eseva nayo. Tasmiṃ saṅghena kateti tasmiṃ aññavādakakamme ca vihesakakamme ca saṅghena ñattidutiyakammavācāya kate. Tathā karontānanti taṃ pakāraṃ karontānaṃ, aññavādakañca vihesakañca karontānanti attho.
‘‘วิเหสเกติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺตี’’ติ อวจนเญฺจตฺถ ‘‘อาปตฺติกรา จ โหติ อญฺญวาทกสิกฺขาปทาทีสุ วิยา’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. ปฐมปาราชิกวณฺณนา) วุตฺตตฺตาเยว ปญฺญายตีติ กตฺวาฯ เอส นโย อุปริ สิกฺขาปเทสุฯ ธมฺมกเมฺม ติกปาจิตฺติยนฺติ ธมฺมกเมฺม ธมฺมกมฺมสญฺญิเวมติกอธมฺมกมฺมสญฺญีนํ วเสน ตีณิ ปาจิตฺติยานิฯ อธมฺมกเมฺม ติกทุกฺกฎนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อนาโรปิเตติ กมฺมวาจาย อนาโรปิเต, อปฺปติฎฺฐาปิเตติ อโตฺถฯ เคลเญฺญนาติ เยน กเถตุํ น สโกฺกติ, มุเข ตาทิเสน พฺยาธินาฯ สงฺฆสฺส ภณฺฑนาทีนิ ภวิสฺสนฺตีติ สงฺฆมเชฺฌ กถิเต ตปฺปจฺจยา สงฺฆสฺส ภณฺฑนํ วา กลโห วา วิคฺคโห วา วิวาโท วา สงฺฆเภโท วา สงฺฆราชิ วา ภวิสฺสนฺตีติ อิมินา วา อธิปฺปาเยน น กเถนฺตสฺสฯ เอตฺถ จ อธเมฺมนาติ อภูเตน วตฺถุนาฯ
‘‘Vihesaketi ayamettha anupaññattī’’ti avacanañcettha ‘‘āpattikarā ca hoti aññavādakasikkhāpadādīsu viyā’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. paṭhamapārājikavaṇṇanā) vuttattāyeva paññāyatīti katvā. Esa nayo upari sikkhāpadesu. Dhammakamme tikapācittiyanti dhammakamme dhammakammasaññivematikaadhammakammasaññīnaṃ vasena tīṇi pācittiyāni. Adhammakamme tikadukkaṭanti etthāpi eseva nayo. Anāropiteti kammavācāya anāropite, appatiṭṭhāpiteti attho. Gelaññenāti yena kathetuṃ na sakkoti, mukhe tādisena byādhinā. Saṅghassa bhaṇḍanādīni bhavissantīti saṅghamajjhe kathite tappaccayā saṅghassa bhaṇḍanaṃ vā kalaho vā viggaho vā vivādo vā saṅghabhedo vā saṅgharāji vā bhavissantīti iminā vā adhippāyena na kathentassa. Ettha ca adhammenāti abhūtena vatthunā.
‘‘สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานี’’ติ อวิเสสํ อติทิสิตฺวา วิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิทํ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สิยา กิริยํ อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรนฺตสฺสฯ สิยา อกิริยํ ตุณฺหีภาเวน วิเหเสนฺตสฺสฯ
‘‘Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisānī’’ti avisesaṃ atidisitvā visesaṃ dassetuṃ ‘‘idaṃ panā’’tiādi vuttaṃ. Siyā kiriyaṃ aññenaññaṃ paṭicarantassa. Siyā akiriyaṃ tuṇhībhāvena vihesentassa.
อญฺญวาทกสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Aññavādakasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.