Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / พุทฺธวํส-อฎฺฐกถา • Buddhavaṃsa-aṭṭhakathā |
๙. อโนมทสฺสีพุทฺธวํสวณฺณนา
9. Anomadassībuddhavaṃsavaṇṇanā
โสภิตพุเทฺธ ปน ปรินิพฺพุเต ตสฺส อปรภาเค เอกมสเงฺขฺยยฺยํ พุทฺธุปฺปาทรหิตํ อโหสิฯ อตีเต ปน ตสฺมิํ อสเงฺขฺยเยฺย เอกสฺมิํ กเปฺป ตโย พุทฺธา นิพฺพตฺติํสุ อโนมทสฺสี, ปทุโม, นารโทติฯ ตตฺถ อโนมทสฺสี ภควา โสฬส อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติตฺวา เทเวหิ อภิยาจิโต ตโต จวิตฺวา จนฺทวติยํ นาม ราชธานิยํ ยสวา นามสฺส รโญฺญ กุเล สมุสฺสิตจารุปโยธราย ยโสธราย นาม อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ อโนมทสฺสิกุมาเร กิร ยโสธราย เทวิยา กุจฺฉิคเต ตสฺส ปุญฺญปฺปภาเวน ปภา อสีติหตฺถปฺปมาณํ ฐานํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิฯ จนฺทสูริยปฺปภาหิ อนภิภวนียาว อโหสิฯ สา ทสนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน โพธิสตฺตํ สุจนฺทนุยฺยาเน วิชายิฯ ปาฎิหาริยานิ เหฎฺฐา วุตฺตนยาเนวฯ
Sobhitabuddhe pana parinibbute tassa aparabhāge ekamasaṅkhyeyyaṃ buddhuppādarahitaṃ ahosi. Atīte pana tasmiṃ asaṅkhyeyye ekasmiṃ kappe tayo buddhā nibbattiṃsu anomadassī, padumo, nāradoti. Tattha anomadassī bhagavā soḷasa asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā tusitapure nibbattitvā devehi abhiyācito tato cavitvā candavatiyaṃ nāma rājadhāniyaṃ yasavā nāmassa rañño kule samussitacārupayodharāya yasodharāya nāma aggamahesiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ aggahesi. Anomadassikumāre kira yasodharāya deviyā kucchigate tassa puññappabhāvena pabhā asītihatthappamāṇaṃ ṭhānaṃ pharitvā aṭṭhāsi. Candasūriyappabhāhi anabhibhavanīyāva ahosi. Sā dasannaṃ māsānaṃ accayena bodhisattaṃ sucandanuyyāne vijāyi. Pāṭihāriyāni heṭṭhā vuttanayāneva.
นามคฺคหณทิวเส ปนสฺส นามํ คณฺหนฺตา, ยสฺมา ชาติยํ อากาสโต สตฺต รตนานิ ปติํสุ, ตสฺมา อโนมานํ รตนานํ อุปฺปตฺติเหตุภูตตฺตา ‘‘อโนมทสฺสี’’ติ นามมกํสุฯ โส อนุกฺกเมน วุทฺธิปฺปโตฺต ทิเพฺพหิ กามคุเณหิ ปริจาริยมาโน ทสวสฺสสหสฺสานิ อคารํ อชฺฌาวสิฯ ตสฺส กิร สิริ อุปสิริ สิริวโฑฺฒติ ตโย ปาสาทา อเหสุํฯ สิริมาเทวิปฺปมุขานิ เตวีสติ อิตฺถิสหสฺสานิ ปจฺจุปฎฺฐิตานิ อเหสุํฯ โส สิริมาย เทวิยา อุปวาเณ นาม ปุเตฺต ชาเต จตฺตาริ นิมิตฺตานิ ทิสฺวา สิวิกายาเนน มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิฯ ตํ ติโสฺส ชนโกฎิโย อนุปพฺพชิํสุฯ
Nāmaggahaṇadivase panassa nāmaṃ gaṇhantā, yasmā jātiyaṃ ākāsato satta ratanāni patiṃsu, tasmā anomānaṃ ratanānaṃ uppattihetubhūtattā ‘‘anomadassī’’ti nāmamakaṃsu. So anukkamena vuddhippatto dibbehi kāmaguṇehi paricāriyamāno dasavassasahassāni agāraṃ ajjhāvasi. Tassa kira siri upasiri sirivaḍḍhoti tayo pāsādā ahesuṃ. Sirimādevippamukhāni tevīsati itthisahassāni paccupaṭṭhitāni ahesuṃ. So sirimāya deviyā upavāṇe nāma putte jāte cattāri nimittāni disvā sivikāyānena mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā pabbaji. Taṃ tisso janakoṭiyo anupabbajiṃsu.
เตหิ ปริวุโต มหาปุริโส ทส มาเส ปธานจริยํ จริฯ ตโต วิสาขปุณฺณมาย อนุปมพฺราหฺมณคาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา อนุปมเสฎฺฐิธีตาย ทินฺนํ มธุปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา สาลวเน ทิวาวิหารํ วีตินาเมตฺวา อโนมนามาชีวเกน ทินฺนา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย คเหตฺวา อชฺชุนรุกฺขโพธิํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อฎฺฐตฺติํสหตฺถวิตฺถตํ ติณสนฺถรํ สนฺถริตฺวา จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐาย ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา สมารํ มารพลํ วิทฺธํเสตฺวา ตีสุ ยาเมสุ ติโสฺส วิชฺชา อุปฺปาเทตฺวา – ‘‘อเนกชาติสํสารํ…เป.… ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา’’ติ อุทานํ อุทาเนสิฯ เตน วุตฺตํ –
Tehi parivuto mahāpuriso dasa māse padhānacariyaṃ cari. Tato visākhapuṇṇamāya anupamabrāhmaṇagāme piṇḍāya caritvā anupamaseṭṭhidhītāya dinnaṃ madhupāyāsaṃ paribhuñjitvā sālavane divāvihāraṃ vītināmetvā anomanāmājīvakena dinnā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo gahetvā ajjunarukkhabodhiṃ padakkhiṇaṃ katvā aṭṭhattiṃsahatthavitthataṃ tiṇasantharaṃ santharitvā caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhāya pallaṅkaṃ ābhujitvā samāraṃ mārabalaṃ viddhaṃsetvā tīsu yāmesu tisso vijjā uppādetvā – ‘‘anekajātisaṃsāraṃ…pe… taṇhānaṃ khayamajjhagā’’ti udānaṃ udānesi. Tena vuttaṃ –
๑.
1.
‘‘โสภิตสฺส อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;
‘‘Sobhitassa aparena, sambuddho dvipaduttamo;
อโนมทสฺสี อมิตยโส, เตชสฺสี ทุรติกฺกโมฯ
Anomadassī amitayaso, tejassī duratikkamo.
๒.
2.
‘‘โส เฉตฺวา พนฺธนํ สพฺพํ, วิทฺธํเสตฺวา ตโย ภเว;
‘‘So chetvā bandhanaṃ sabbaṃ, viddhaṃsetvā tayo bhave;
อนิวตฺติคมนํ มคฺคํ, เทเสสิ เทวมานุเสฯ
Anivattigamanaṃ maggaṃ, desesi devamānuse.
๓.
3.
‘‘สาคโรว อสโงฺขโภ, ปพฺพโตว ทุราสโท;
‘‘Sāgarova asaṅkhobho, pabbatova durāsado;
อากาโสว อนโนฺต โส, สาลราชาว ผุลฺลิโตฯ
Ākāsova ananto so, sālarājāva phullito.
๔.
4.
‘‘ทสฺสเนนปิ ตํ พุทฺธํ, โตสิตา โหนฺติ ปาณิโน;
‘‘Dassanenapi taṃ buddhaṃ, tositā honti pāṇino;
พฺยาหรนฺตํ คิรํ สุตฺวา, อมตํ ปาปุณนฺติ เต’’ติฯ
Byāharantaṃ giraṃ sutvā, amataṃ pāpuṇanti te’’ti.
ตตฺถ อโนมทสฺสีติ อนุปมทสฺสโน, อมิตทสฺสโน วาฯ อมิตยโสติ อมิตปริวาโร, อมิตกิตฺติ วาฯ เตชสฺสีติ สีลสมาธิปญฺญาเตเชน สมนฺนาคโตฯ ทุรติกฺกโมติ ทุปฺปธํสิโย, อเญฺญน เทเวน วา มาเรน วา เกนจิ วา อติกฺกมิตุํ อสกฺกุเณโยฺยติ อโตฺถฯ โส เฉตฺวา พนฺธนํ สพฺพนฺติ สพฺพํ ทสวิธํ สํโยชนํ ฉินฺทิตฺวาฯ วิทฺธํเสตฺวา ตโย ภเวติ ติภวูปคํ กมฺมํ กมฺมกฺขยกรญาเณน วิทฺธํเสตฺวา, อภาวํ กตฺวาติ อโตฺถฯ อนิวตฺติคมนํ มคฺคนฺติ นิวตฺติยา ปวตฺติยา ปฎิปกฺขภูตํ นิพฺพานํ อนิวตฺตีติ วุจฺจติ, ตํ อนิวตฺติํ คจฺฉติ อเนนาติ อนิวตฺติคมโนฯ ตํ อนิวตฺติคมนํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ เทเสสีติ อโตฺถฯ ‘‘ทเสฺสตี’’ติปิ ปาโฐ, โสเยวโตฺถฯ เทวมานุเสติ เทวมนุสฺสานํ, สามิอเตฺถ อุปโยควจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tattha anomadassīti anupamadassano, amitadassano vā. Amitayasoti amitaparivāro, amitakitti vā. Tejassīti sīlasamādhipaññātejena samannāgato. Duratikkamoti duppadhaṃsiyo, aññena devena vā mārena vā kenaci vā atikkamituṃ asakkuṇeyyoti attho. Sochetvā bandhanaṃ sabbanti sabbaṃ dasavidhaṃ saṃyojanaṃ chinditvā. Viddhaṃsetvā tayo bhaveti tibhavūpagaṃ kammaṃ kammakkhayakarañāṇena viddhaṃsetvā, abhāvaṃ katvāti attho. Anivattigamanaṃ magganti nivattiyā pavattiyā paṭipakkhabhūtaṃ nibbānaṃ anivattīti vuccati, taṃ anivattiṃ gacchati anenāti anivattigamano. Taṃ anivattigamanaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ desesīti attho. ‘‘Dassetī’’tipi pāṭho, soyevattho. Devamānuseti devamanussānaṃ, sāmiatthe upayogavacanaṃ daṭṭhabbaṃ.
อสโงฺขโภติ โขเภตุํ จาเลตุํ อสกฺกุเณโยฺยติ อโกฺขภิโยฯ ยถา หิ สมุโทฺท จตุราสีติโยชนสหสฺสคมฺภีโร อเนกโยชนสหสฺสภูตาวาโส อโกฺขภิโย, เอวํ อโกฺขภิโยติ อโตฺถฯ อากาโสว อนโนฺตติ ยถา ปน อากาสสฺส อโนฺต นตฺถิ, อถ โข อนโนฺต อปฺปเมโยฺย อปาโร, เอวํ ภควาปิ พุทฺธคุเณหิ อนโนฺต อปฺปเมโยฺย อปาโรฯ โสติ โส ภควาฯ สาลราชาว ผุลฺลิโตติ สพฺพลกฺขณานุพฺยญฺชนสมลงฺกตสรีรตฺตา สุผุลฺลิตสาลราชา วิย โสภตีติ อโตฺถฯ ทสฺสเนนปิ ตํ พุทฺธนฺติ ตสฺส พุทฺธสฺส ทสฺสเนนาปีติ อโตฺถฯ อีทิเสสุปิ สามิวจนํ ปยุชฺชนฺติ สทฺทสตฺถวิทูฯ โตสิตาติ ปริโตสิตา ปีณิตาฯ พฺยาหรนฺตนฺติ พฺยาหรนฺตสฺส, สามิอเตฺถ อุปโยควจนํฯ อมตนฺติ นิพฺพานํฯ ปาปุณนฺตีติ อธิคจฺฉนฺติฯ เตติ เย ตสฺส คิรํ ธมฺมเทสนํ สุณนฺติ, เต อมตํ ปาปุณนฺตีติ อโตฺถฯ
Asaṅkhobhoti khobhetuṃ cāletuṃ asakkuṇeyyoti akkhobhiyo. Yathā hi samuddo caturāsītiyojanasahassagambhīro anekayojanasahassabhūtāvāso akkhobhiyo, evaṃ akkhobhiyoti attho. Ākāsova anantoti yathā pana ākāsassa anto natthi, atha kho ananto appameyyo apāro, evaṃ bhagavāpi buddhaguṇehi ananto appameyyo apāro. Soti so bhagavā. Sālarājāva phullitoti sabbalakkhaṇānubyañjanasamalaṅkatasarīrattā suphullitasālarājā viya sobhatīti attho. Dassanenapi taṃ buddhanti tassa buddhassa dassanenāpīti attho. Īdisesupi sāmivacanaṃ payujjanti saddasatthavidū. Tositāti paritositā pīṇitā. Byāharantanti byāharantassa, sāmiatthe upayogavacanaṃ. Amatanti nibbānaṃ. Pāpuṇantīti adhigacchanti. Teti ye tassa giraṃ dhammadesanaṃ suṇanti, te amataṃ pāpuṇantīti attho.
ภควา ปน โพธิมูเล สตฺตสตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา พฺรหฺมุนา อายาจิโต ธมฺมเทสนาย พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โอโลเกโนฺต อตฺตนา สห ปพฺพชิเต ติโกฎิสเงฺข ชเน อุปนิสฺสยสมฺปเนฺน ทิสฺวา – ‘‘กตฺถ นุ โข เต เอตรหิ วิหรนฺตี’’ติ อุปธาเรโนฺต สุภวตีนคเร สุทสฺสนุยฺยาเน วิหรเนฺต ทิสฺวา อากาเสน คนฺตฺวา สุทสฺสนุยฺยาเน โอตริฯ โส เตหิ ปริวุโต สเทวมนุสฺสาย ปริสาย มเชฺฌ ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตสิฯ ตตฺถ โกฎิสตานํ ปฐมาภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –
Bhagavā pana bodhimūle sattasattāhaṃ vītināmetvā brahmunā āyācito dhammadesanāya buddhacakkhunā lokaṃ olokento attanā saha pabbajite tikoṭisaṅkhe jane upanissayasampanne disvā – ‘‘kattha nu kho te etarahi viharantī’’ti upadhārento subhavatīnagare sudassanuyyāne viharante disvā ākāsena gantvā sudassanuyyāne otari. So tehi parivuto sadevamanussāya parisāya majjhe dhammacakkaṃ pavattesi. Tattha koṭisatānaṃ paṭhamābhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –
๕.
5.
‘‘ธมฺมาภิสมโย ตสฺส, อิโทฺธ ผีโต ตทา อหุ;
‘‘Dhammābhisamayo tassa, iddho phīto tadā ahu;
โกฎิสตานิ อภิสมิํสุ, ปฐเม ธมฺมเทสเน’’ติฯ
Koṭisatāni abhisamiṃsu, paṭhame dhammadesane’’ti.
ตตฺถ ผีโตติ ผาติปฺปโตฺต พาหุชญฺญวเสนฯ โกฎิสตานีติ โกฎีนํ สตานิ โกฎิสตานิฯ ‘‘โกฎิสตโย’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺส สตโกฎิโยติ อโตฺถฯ
Tattha phītoti phātippatto bāhujaññavasena. Koṭisatānīti koṭīnaṃ satāni koṭisatāni. ‘‘Koṭisatayo’’tipi pāṭho, tassa satakoṭiyoti attho.
อถาปเรน สมเยน โอสธีนครทฺวาเร อสนรุกฺขมูเล ยมกปาฎิหาริยํ กตฺวา อสุเรหิ ทุรภิภวเน ตาวติํสภวเน ปณฺฑุกมฺพลสิลายํ นิสิโนฺน เตมาสํ อภิธมฺมวสฺสํ วสฺสาปยิฯ ตทา อสีติเทวตาโกฎิโย อภิสมิํสุฯ เตน วุตฺตํ –
Athāparena samayena osadhīnagaradvāre asanarukkhamūle yamakapāṭihāriyaṃ katvā asurehi durabhibhavane tāvatiṃsabhavane paṇḍukambalasilāyaṃ nisinno temāsaṃ abhidhammavassaṃ vassāpayi. Tadā asītidevatākoṭiyo abhisamiṃsu. Tena vuttaṃ –
๖.
6.
‘‘ตโต ปรํ อภิสมเย, วสฺสเนฺต ธมฺมวุฎฺฐิโย;
‘‘Tato paraṃ abhisamaye, vassante dhammavuṭṭhiyo;
อสีติโกฎิโยภิสมิํสุ, ทุติเย ธมฺมเทสเน’’ติฯ
Asītikoṭiyobhisamiṃsu, dutiye dhammadesane’’ti.
ตตฺถ วสฺสเนฺตติ พุทฺธมหาเมเฆ วสฺสเนฺตฯ ธมฺมวุฎฺฐิโยติ ธมฺมกถาวสฺสวุฎฺฐิโยฯ
Tattha vassanteti buddhamahāmeghe vassante. Dhammavuṭṭhiyoti dhammakathāvassavuṭṭhiyo.
ตโต อปเรน สมเยน มงฺคลปญฺหานิเทฺทเส อฎฺฐสตฺตติ โกฎิโย อภิสมิํสุฯ โส ตติโย อภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –
Tato aparena samayena maṅgalapañhāniddese aṭṭhasattati koṭiyo abhisamiṃsu. So tatiyo abhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –
๗.
7.
‘‘ตโต ปรมฺปิ วสฺสเนฺต, ตปฺปยเนฺต จ ปาณินํ;
‘‘Tato parampi vassante, tappayante ca pāṇinaṃ;
อฎฺฐสตฺตติโกฎีนํ, ตติยาภิสมโย อหู’’ติฯ
Aṭṭhasattatikoṭīnaṃ, tatiyābhisamayo ahū’’ti.
ตตฺถ วสฺสเนฺตติ ธมฺมกถาสลิลธารํ วสฺสเนฺตฯ ตปฺปยเนฺตติ ธมฺมามตวเสฺสน ตปฺปยเนฺต, ตปฺปนํ กโรเนฺต ภควตีติ อโตฺถฯ
Tattha vassanteti dhammakathāsaliladhāraṃ vassante. Tappayanteti dhammāmatavassena tappayante, tappanaṃ karonte bhagavatīti attho.
อโนมทสฺสิสฺสปิ ภควโต ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ตตฺถ โสเรยฺยนคเร อิสิทตฺตสฺส รโญฺญ ธเมฺม เทสิยมาเน ปสีทิตฺวา เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตานํ อฎฺฐนฺนํ อรหนฺตสตสหสฺสานํ มเชฺฌ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิฯ อยํ ปฐโม สนฺนิปาโต อโหสิฯ ราธวตีนคเร สุนฺทรินฺธรสฺส นาม รโญฺญ ธเมฺม เทสิยมาเน เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตานํ สตฺตนฺนํ อรหนฺตสตสหสฺสานํ มเชฺฌ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิฯ อยํ ทุติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ ปุน โสเรยฺยนคเรเยว โสเรยฺยรญฺญา สห เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตานํ ฉนฺนํ อรหนฺตสตสหสฺสานํ มเชฺฌ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิฯ อยํ ตติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –
Anomadassissapi bhagavato tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Tattha soreyyanagare isidattassa rañño dhamme desiyamāne pasīditvā ehibhikkhupabbajjāya pabbajitānaṃ aṭṭhannaṃ arahantasatasahassānaṃ majjhe pātimokkhaṃ uddisi. Ayaṃ paṭhamo sannipāto ahosi. Rādhavatīnagare sundarindharassa nāma rañño dhamme desiyamāne ehibhikkhupabbajjāya pabbajitānaṃ sattannaṃ arahantasatasahassānaṃ majjhe pātimokkhaṃ uddisi. Ayaṃ dutiyo sannipāto ahosi. Puna soreyyanagareyeva soreyyaraññā saha ehibhikkhupabbajjāya pabbajitānaṃ channaṃ arahantasatasahassānaṃ majjhe pātimokkhaṃ uddisi. Ayaṃ tatiyo sannipāto ahosi. Tena vuttaṃ –
๘.
8.
‘‘สนฺนิปาตา ตโย อาสุํ, ตสฺสาปิ จ มเหสิโน;
‘‘Sannipātā tayo āsuṃ, tassāpi ca mahesino;
อภิญฺญาพลปฺปตฺตานํ, ปุปฺผิตานํ วิมุตฺติยาฯ
Abhiññābalappattānaṃ, pupphitānaṃ vimuttiyā.
๙.
9.
‘‘อฎฺฐสตสหสฺสานํ, สนฺนิปาโต ตทา อหุ;
‘‘Aṭṭhasatasahassānaṃ, sannipāto tadā ahu;
ปหีนมทโมหานํ, สนฺตจิตฺตาน ตาทินํฯ
Pahīnamadamohānaṃ, santacittāna tādinaṃ.
๑๐.
10.
‘‘สตฺตสตสหสฺสานํ, ทุติโย อาสิ สมาคโม;
‘‘Sattasatasahassānaṃ, dutiyo āsi samāgamo;
อนงฺคณานํ วิรชานํ, อุปสนฺตาน ตาทินํฯ
Anaṅgaṇānaṃ virajānaṃ, upasantāna tādinaṃ.
๑๑.
11.
‘‘ฉนฺนํ สตสหสฺสานํ, ตติโย อาสิ สมาคโม;
‘‘Channaṃ satasahassānaṃ, tatiyo āsi samāgamo;
อภิญฺญาพลปฺปตฺตานํ, นิพฺพุตานํ ตปสฺสิน’’นฺติฯ
Abhiññābalappattānaṃ, nibbutānaṃ tapassina’’nti.
ตตฺถ ตสฺสาปิ จ มเหสิโนติ ตสฺส มเหสิโน อโนมทสฺสิสฺสาปิฯ ‘‘ตสฺสาปิ ทฺวิปทุตฺตโม’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺสปิ ทฺวิปทุตฺตมสฺสาติ อโตฺถฯ ลกฺขณํ สทฺทสตฺถโต คเหตพฺพํฯ อภิญฺญาพลปฺปตฺตานนฺติ อภิญฺญานํ พลปฺปตฺตานํ, จิณฺณวสิตาย ขิปฺปนิสนฺติภาเวน อภิญฺญาสุ ถิรภาวปฺปตฺตานนฺติ อโตฺถฯ ปุปฺผิตานนฺติ สพฺพผาลิผุลฺลภาเวน อติวิย โสภคฺคปฺปตฺตานํฯ วิมุตฺติยาติ อรหตฺตผลวิมุตฺติยาฯ
Tattha tassāpi ca mahesinoti tassa mahesino anomadassissāpi. ‘‘Tassāpi dvipaduttamo’’tipi pāṭho, tassapi dvipaduttamassāti attho. Lakkhaṇaṃ saddasatthato gahetabbaṃ. Abhiññābalappattānanti abhiññānaṃ balappattānaṃ, ciṇṇavasitāya khippanisantibhāvena abhiññāsu thirabhāvappattānanti attho. Pupphitānanti sabbaphāliphullabhāvena ativiya sobhaggappattānaṃ. Vimuttiyāti arahattaphalavimuttiyā.
อนงฺคณานนฺติ เอตฺถ อยํ องฺคณ-สโทฺท กตฺถจิ กิเลเสสุ ทิสฺสติฯ ยถาห – ‘‘ตตฺถ กตมานิ ตีณิ องฺคณานิ? ราโค องฺคณํ โทโส องฺคณํ โมโห องฺคณ’’นฺติ (วิภ. ๙๒๔)ฯ ‘‘ปาปกานํ โข เอตํ, อาวุโส, อกุสลานํ อิจฺฉาวจรานํ อธิวจนํ ยทิทํ องฺคณ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๖๐)ฯ กตฺถจิ กิสฺมิญฺจิ มเล? ยถาห – ‘‘ตเสฺสว รชสฺส วา องฺคณสฺส วา ปหานาย วายมตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๘๔)ฯ กตฺถจิ ตถารูเป ภูมิภาเค ‘‘เจติยงฺคณํ โพธิยงฺคณํ ราชงฺคณ’’นฺติฯ อิธ ปน กิเลเสสุ ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา นิกฺกิเลสานนฺติ อโตฺถ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๕๗)ฯ วิรชานนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ ตปสฺสินนฺติ กิเลสกฺขยกโร อริยมคฺคสงฺขาโต ตโป เยสํ อตฺถิ เต ตปสฺสิโน, เตสํ ตปสฺสีนํ, ขีณาสวานนฺติ อโตฺถฯ
Anaṅgaṇānanti ettha ayaṃ aṅgaṇa-saddo katthaci kilesesu dissati. Yathāha – ‘‘tattha katamāni tīṇi aṅgaṇāni? Rāgo aṅgaṇaṃ doso aṅgaṇaṃ moho aṅgaṇa’’nti (vibha. 924). ‘‘Pāpakānaṃ kho etaṃ, āvuso, akusalānaṃ icchāvacarānaṃ adhivacanaṃ yadidaṃ aṅgaṇa’’nti (ma. ni. 1.60). Katthaci kismiñci male? Yathāha – ‘‘tasseva rajassa vā aṅgaṇassa vā pahānāya vāyamatī’’ti (ma. ni. 1.184). Katthaci tathārūpe bhūmibhāge ‘‘cetiyaṅgaṇaṃ bodhiyaṅgaṇaṃ rājaṅgaṇa’’nti. Idha pana kilesesu daṭṭhabbo. Tasmā nikkilesānanti attho (ma. ni. aṭṭha. 1.57). Virajānanti tasseva vevacanaṃ. Tapassinanti kilesakkhayakaro ariyamaggasaṅkhāto tapo yesaṃ atthi te tapassino, tesaṃ tapassīnaṃ, khīṇāsavānanti attho.
ตทา อมฺหากํ โพธิสโตฺต เอโก มเหสโกฺข ยกฺขเสนาปติ อโหสิ มหิทฺธิโก มหานุภาโว อเนกโกฎิสตสหสฺสานํ ยกฺขานํ อธิปติฯ โส ‘‘พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน’’ติ สุตฺวา อาคนฺตฺวา ปรมรุจิรทสฺสนํ สตฺตรตนมยํ อภิรุจิรรชนิกรมณฺฑลสทิสํ มณฺฑปํ นิมฺมินิตฺวา ตตฺถ สตฺตาหํ มหาทานํ พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส อทาสิฯ อถ นํ ภควา ภตฺตานุโมทนสมเย ‘‘อนาคเต กปฺปสตสหสฺสาธิเก เอกสฺมิํ อสเงฺขฺยเยฺย อติกฺกเนฺต โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากาสิฯ เตน วุตฺตํ –
Tadā amhākaṃ bodhisatto eko mahesakkho yakkhasenāpati ahosi mahiddhiko mahānubhāvo anekakoṭisatasahassānaṃ yakkhānaṃ adhipati. So ‘‘buddho loke uppanno’’ti sutvā āgantvā paramaruciradassanaṃ sattaratanamayaṃ abhirucirarajanikaramaṇḍalasadisaṃ maṇḍapaṃ nimminitvā tattha sattāhaṃ mahādānaṃ buddhappamukhassa saṅghassa adāsi. Atha naṃ bhagavā bhattānumodanasamaye ‘‘anāgate kappasatasahassādhike ekasmiṃ asaṅkhyeyye atikkante gotamo nāma buddho bhavissatī’’ti byākāsi. Tena vuttaṃ –
๑๒.
12.
‘‘อหํ เตน สมเยน, ยโกฺข อาสิํ มหิทฺธิโก;
‘‘Ahaṃ tena samayena, yakkho āsiṃ mahiddhiko;
เนกานํ ยกฺขโกฎีนํ, วสวตฺติมฺหิ อิสฺสโรฯ
Nekānaṃ yakkhakoṭīnaṃ, vasavattimhi issaro.
๑๓.
13.
‘‘ตทาปิ ตํ พุทฺธวรํ, อุปคนฺตฺวา มเหสินํ;
‘‘Tadāpi taṃ buddhavaraṃ, upagantvā mahesinaṃ;
อนฺนปาเนน ตเปฺปสิํ, สสงฺฆํ โลกนายกํฯ
Annapānena tappesiṃ, sasaṅghaṃ lokanāyakaṃ.
๑๔.
14.
‘‘โสปิ มํ ตทา พฺยากาสิ, วิสุทฺธนยโน มุนิ;
‘‘Sopi maṃ tadā byākāsi, visuddhanayano muni;
อปริเมยฺยิโต กเปฺป, อยํ พุโทฺธ ภวิสฺสติฯ
Aparimeyyito kappe, ayaṃ buddho bhavissati.
๑๕.
15.
‘‘ปธานํ ปทหิตฺวาน…เป.… เหสฺสาม สมฺมุขา อิมํฯ
‘‘Padhānaṃ padahitvāna…pe… hessāma sammukhā imaṃ.
๑๖.
16.
‘‘ตสฺสาปิ วจนํ สุตฺวา, หโฎฺฐ สํวิคฺคมานโส;
‘‘Tassāpi vacanaṃ sutvā, haṭṭho saṃviggamānaso;
อุตฺตริํ วตมธิฎฺฐาสิํ, ทสปารมิปูริยา’’ติฯ
Uttariṃ vatamadhiṭṭhāsiṃ, dasapāramipūriyā’’ti.
ตตฺถ อุตฺตริํ วตมธิฎฺฐาสินฺติ ปารมิปูรณตฺถาย ภิโยฺยปิ ทฬฺหตรํ ปรกฺกมมกาสีติ อโตฺถฯ
Tattha uttariṃ vatamadhiṭṭhāsinti pāramipūraṇatthāya bhiyyopi daḷhataraṃ parakkamamakāsīti attho.
ตสฺส ปน อโนมทสฺสิสฺส ภควโต จนฺทวตี นาม นครํ อโหสิ, ยสวา นาม ราชา ปิตา, ยโสธรา นาม มาตา, นิสโภ จ อโนโม จ เทฺว อคฺคสาวกา, วรุโณ นามุปฎฺฐาโก, สุนฺทรี จ สุมนา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, อชฺชุนรุโกฺข โพธิ, สรีรํ อฎฺฐปณฺณาสหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, วสฺสสตสหสฺสํ อายุ, สิริมา นาม อคฺคมเหสี, อุปวาโณ นามสฺส ปุโตฺต, ทสวสฺสสหสฺสานิ อคารํ อชฺฌาวสิฯ โส สิวิกายาเนน นิกฺขมิฯ สิวิกายาเนน คมนํ ปน โสภิตพุทฺธวํสวณฺณนาย ปาสาทคมเน วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ธมฺมโก นาม ราชา อุปฎฺฐาโกฯ ธมฺมาราเม กิร ภควา วิหาสีติฯ เตน วุตฺตํ –
Tassa pana anomadassissa bhagavato candavatī nāma nagaraṃ ahosi, yasavā nāma rājā pitā, yasodharā nāma mātā, nisabho ca anomo ca dve aggasāvakā, varuṇo nāmupaṭṭhāko, sundarī ca sumanā ca dve aggasāvikā, ajjunarukkho bodhi, sarīraṃ aṭṭhapaṇṇāsahatthubbedhaṃ ahosi, vassasatasahassaṃ āyu, sirimā nāma aggamahesī, upavāṇo nāmassa putto, dasavassasahassāni agāraṃ ajjhāvasi. So sivikāyānena nikkhami. Sivikāyānena gamanaṃ pana sobhitabuddhavaṃsavaṇṇanāya pāsādagamane vuttanayeneva veditabbaṃ. Dhammako nāma rājā upaṭṭhāko. Dhammārāme kira bhagavā vihāsīti. Tena vuttaṃ –
๑๗.
17.
‘‘นครํ จนฺทวตี นาม, ยสวา นาม ขตฺติโย;
‘‘Nagaraṃ candavatī nāma, yasavā nāma khattiyo;
มาตา ยโสธรา นาม, อโนมทสฺสิสฺส สตฺถุโนฯ
Mātā yasodharā nāma, anomadassissa satthuno.
๒๒.
22.
‘‘นิสโภ จ อโนโม จ, อเหสุํ อคฺคสาวกา;
‘‘Nisabho ca anomo ca, ahesuṃ aggasāvakā;
วรุโณ นามุปฎฺฐาโก, อโนมทสฺสิสฺส สตฺถุโนฯ
Varuṇo nāmupaṭṭhāko, anomadassissa satthuno.
๒๓.
23.
‘‘สุนฺทรี จ สุมนา จ, อเหสุํ อคฺคสาวิกา;
‘‘Sundarī ca sumanā ca, ahesuṃ aggasāvikā;
โพธิ ตสฺส ภควโต, อชฺชุโนติ ปวุจฺจติฯ
Bodhi tassa bhagavato, ajjunoti pavuccati.
๒๕.
25.
‘‘อฎฺฐปณฺณาสรตนํ, อจฺจุคฺคโต มหามุนิ;
‘‘Aṭṭhapaṇṇāsaratanaṃ, accuggato mahāmuni;
ปภา นิทฺธาวตี ตสฺส, สตรํสีว อุคฺคโตฯ
Pabhā niddhāvatī tassa, sataraṃsīva uggato.
๒๖.
26.
‘‘วสฺสสตสหสฺสานิ, อายุ วิชฺชติ ตาวเท;
‘‘Vassasatasahassāni, āyu vijjati tāvade;
ตาวตา ติฎฺฐมาโน โส, ตาเรสิ ชนตํ พหุํฯ
Tāvatā tiṭṭhamāno so, tāresi janataṃ bahuṃ.
๒๗.
27.
‘‘สุปุปฺผิตํ ปาวจนํ, อรหเนฺตหิ ตาทิหิ;
‘‘Supupphitaṃ pāvacanaṃ, arahantehi tādihi;
วีตราเคหิ วิมเลหิ, โสภิตฺถ ชินสาสนํฯ
Vītarāgehi vimalehi, sobhittha jinasāsanaṃ.
๒๘.
28.
‘‘โส จ สตฺถา อมิตยโส, ยุคานิ ตานิ อตุลิยานิ;
‘‘So ca satthā amitayaso, yugāni tāni atuliyāni;
สพฺพํ ตมนฺตรหิตํ, นนุ ริตฺตา สพฺพสงฺขารา’’ติฯ
Sabbaṃ tamantarahitaṃ, nanu rittā sabbasaṅkhārā’’ti.
ตตฺถ ปภา นิทฺธาวตีติ ตสฺส สรีรโต ปภา นิกฺขมติฯ สรีรปฺปภา ปนสฺส นิจฺจกาลํ ทฺวาทสโยชนปฺปมาณํ ปเทสํ ผริตฺวา ติฎฺฐติฯ ยุคานิ ตานีติ อคฺคสาวกยุคาทีนิ ยุคฬานิฯ สพฺพํ ตมนฺตรหิตนฺติ วุตฺตปฺปการํ สพฺพมฺปิ อนิจฺจมุขํ ปวิฎฺฐํ วินฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ ‘‘นนุ ริตฺตกเมว สงฺขารา’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺส นนุ ริตฺตกา ตุจฺฉกาเยว สเพฺพ สงฺขาราติ อโตฺถฯ ม-กาโร ปทสนฺธิกโรฯ เสสคาถาสุ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Tattha pabhā niddhāvatīti tassa sarīrato pabhā nikkhamati. Sarīrappabhā panassa niccakālaṃ dvādasayojanappamāṇaṃ padesaṃ pharitvā tiṭṭhati. Yugāni tānīti aggasāvakayugādīni yugaḷāni. Sabbaṃtamantarahitanti vuttappakāraṃ sabbampi aniccamukhaṃ paviṭṭhaṃ vinaṭṭhanti attho. ‘‘Nanu rittakameva saṅkhārā’’tipi pāṭho, tassa nanu rittakā tucchakāyeva sabbe saṅkhārāti attho. Ma-kāro padasandhikaro. Sesagāthāsu sabbattha uttānamevāti.
อิมสฺส ปน อโนมทสฺสิสฺส ภควโต สนฺติเก สาริปุโตฺต จ มหาโมคฺคลฺลาโน จาติ อิเม เทฺว อคฺคสาวกา อคฺคสาวกภาวตฺถาย ปณิธานมกํสุฯ อิเมสํ ปน เถรานํ วตฺถุ เจตฺถ กเถตพฺพํฯ มยา คนฺถวิตฺถารภเยน น อุทฺธฎนฺติฯ
Imassa pana anomadassissa bhagavato santike sāriputto ca mahāmoggallāno cāti ime dve aggasāvakā aggasāvakabhāvatthāya paṇidhānamakaṃsu. Imesaṃ pana therānaṃ vatthu cettha kathetabbaṃ. Mayā ganthavitthārabhayena na uddhaṭanti.
อโนมทสฺสีพุทฺธวํสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Anomadassībuddhavaṃsavaṇṇanā niṭṭhitā.
นิฎฺฐิโต สตฺตโม พุทฺธวํโสฯ
Niṭṭhito sattamo buddhavaṃso.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / พุทฺธวํสปาฬิ • Buddhavaṃsapāḷi / ๙. อโนมทสฺสีพุทฺธวํโส • 9. Anomadassībuddhavaṃso