Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā

    ๒. อนฺตราภวกถาวณฺณนา

    2. Antarābhavakathāvaṇṇanā

    ๕๐๕. อนฺตรฎฺฐานานีติ อนฺตริกฎฺฐานานิฯ นิวารกฎฺฐานานิ ภินฺทิตฺวา จ อากาเสน จ คมนโตฯ ยทิ โส ภวานํ อนฺตรา น สิยาติ โส อนฺตราภโว กามภวาทีนํ ภวานํ อนฺตเร ยทิ น ภเวยฺยฯ น นาม อนฺตราภโวติ ‘‘สเพฺพน สพฺพํ นตฺถิ นาม อนฺตราภโว’’ติ เอวํ ปวตฺตสฺส สกวาทิวจนสฺส ปฎิเกฺขเป การณํ นตฺถิ, ตสฺส ปฎิเกฺขเป การณํ หทเย ฐเปตฺวา น ปฎิกฺขิปติ, อถ โข ตถา อนิจฺฉโนฺต เกวลํ ลทฺธิยา ปฎิกฺขิปตีติ อโตฺถฯ

    505. Antaraṭṭhānānīti antarikaṭṭhānāni. Nivārakaṭṭhānāni bhinditvā ca ākāsena ca gamanato. Yadi so bhavānaṃ antarā na siyāti so antarābhavo kāmabhavādīnaṃ bhavānaṃ antare yadi na bhaveyya. Na nāma antarābhavoti ‘‘sabbena sabbaṃ natthi nāma antarābhavo’’ti evaṃ pavattassa sakavādivacanassa paṭikkhepe kāraṇaṃ natthi, tassa paṭikkhepe kāraṇaṃ hadaye ṭhapetvā na paṭikkhipati, atha kho tathā anicchanto kevalaṃ laddhiyā paṭikkhipatīti attho.

    ๕๐๖. ชาตีติ น อิจฺฉตีติ สมฺพโนฺธฯ

    506. Jātīti na icchatīti sambandho.

    ๕๐๗. เอวํ ตํ ตตฺถ น อิจฺฉตีติ กามภวาทีสุ วิย ตํ จุติปฎิสนฺธิปรมฺปรํ ตตฺถ อนฺตราภวาวตฺถาย น อิจฺฉติฯ โส หิ ตสฺส ภาวิภวนิพฺพตฺตกกมฺมโต เอว ปวตฺติํ อิจฺฉติ, ตสฺมา ชาติชรามรณานิ อนิจฺจโต กุโต จุติปฎิสนฺธิปรมฺปราฯ อยญฺจ วาโท อนฺตราภววาทีนํ เอกจฺจานํ วุโตฺตฯ เย ‘‘อปฺปเกน กาเลน สตฺตาเหเนว วา ปฎิสนฺธิํ ปาปุณาตี’’ติ วทนฺติ, เย ปน ‘‘ตเตฺถว จวิตฺวา อายาตีติ สตฺตสตฺตาหานี’’ติ วทนฺติ, เตหิ อนุญฺญาตาว จุติปฎิสนฺธิปรมฺปราติ เต อธุนาตนา ทฎฺฐพฺพา ปาฬิยํ ‘‘อนฺตราภเว สตฺตา ชายนฺติ ชียนฺติ มียนฺติ จวนฺติ อุปปชฺชนฺตีติ? น เหวํ วตฺตเพฺพ’’ติ อาคตตฺตาฯ ยถา เจตํ, เอวํ นิรยูปคาทิภาวมฺปิสฺส อธุนาตนา ปฎิชานนฺติฯ ตถา หิ เต วทนฺติ ‘‘อุทฺธํปาโท ตุ นารโก’’ติอาทิฯ ตตฺถ ยํ นิสฺสาย ปรวาที อนฺตราภวํ นาม ปริกเปฺปติ, ตํ ทเสฺสตุํ อฎฺฐกถายํ ‘‘อนฺตราปรินิพฺพายีติ สุตฺตปทํ อโยนิโส คเหตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ อิมสฺส หิ ‘‘อวิหาทีสุ ตตฺถ ตตฺถ อายุเวมชฺฌํ อนติกฺกมิตฺวา อนฺตรา อคฺคมคฺคาธิคเมน อนวเสสกิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพายติ, อนฺตราปรินิพฺพายี’’ติ สุตฺตปทสฺส อยมโตฺถ, น อนฺตราภวภูโตติฯ ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อนฺตราปรินิพฺพายีติ สุตฺตปทํ อโยนิโส คเหตฺวา’’ติฯ

    507. Evaṃtaṃ tattha na icchatīti kāmabhavādīsu viya taṃ cutipaṭisandhiparamparaṃ tattha antarābhavāvatthāya na icchati. So hi tassa bhāvibhavanibbattakakammato eva pavattiṃ icchati, tasmā jātijarāmaraṇāni aniccato kuto cutipaṭisandhiparamparā. Ayañca vādo antarābhavavādīnaṃ ekaccānaṃ vutto. Ye ‘‘appakena kālena sattāheneva vā paṭisandhiṃ pāpuṇātī’’ti vadanti, ye pana ‘‘tattheva cavitvā āyātīti sattasattāhānī’’ti vadanti, tehi anuññātāva cutipaṭisandhiparamparāti te adhunātanā daṭṭhabbā pāḷiyaṃ ‘‘antarābhave sattā jāyanti jīyanti mīyanti cavanti upapajjantīti? Na hevaṃ vattabbe’’ti āgatattā. Yathā cetaṃ, evaṃ nirayūpagādibhāvampissa adhunātanā paṭijānanti. Tathā hi te vadanti ‘‘uddhaṃpādo tu nārako’’tiādi. Tattha yaṃ nissāya paravādī antarābhavaṃ nāma parikappeti, taṃ dassetuṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘antarāparinibbāyīti suttapadaṃ ayoniso gahetvā’’ti vuttaṃ. Imassa hi ‘‘avihādīsu tattha tattha āyuvemajjhaṃ anatikkamitvā antarā aggamaggādhigamena anavasesakilesaparinibbānena parinibbāyati, antarāparinibbāyī’’ti suttapadassa ayamattho, na antarābhavabhūtoti. Tasmā vuttaṃ ‘‘antarāparinibbāyīti suttapadaṃ ayoniso gahetvā’’ti.

    เย ปน ‘‘สมฺภเวสีติ วจนโต อเตฺถว อนฺตราภโวฯ โส หิ สมฺภวํ อุปปตฺติํ เอสตีติ สมฺภเวสี’’ติ วทนฺติ, เตปิ เย ภูตาว น ปุน ภวิสฺสนฺติ, เต ขีณาสวา ‘‘ภูตานํ วา สตฺตานํ ฐิติยา’’ติ เอตฺถ ‘‘ภูตา’’ติ วุตฺตาฯ ตพฺพิธุรตาย สมฺภวเมสนฺตีติ สมฺภเวสิโน, อปฺปหีนภวสํโยชนตฺตา เสกฺขา ปุถุชฺชนาฯ จตูสุ วา โยนีสุ อณฺฑชชลาพุชา สตฺตา ยาว อณฺฑโกสํ วตฺถิโกสญฺจ น ภินฺทนฺติ, ตาว สมฺภเวสี นาม, อณฺฑโกสโต วตฺถิโกสโต จ นิกฺขนฺตา ภูตา นามฯ สํเสทชโอปปาติกา จ ปฐมจิตฺตกฺขเณ สมฺภเวสี นาม, ทุติยจิตฺตกฺขณโต ปฎฺฐาย ภูตา นามฯ เยน วา อิริยาปเถน ชายนฺติ, ยาว ตโต อญฺญํ น ปาปุณนฺติ, ตาว สมฺภเวสี นาม, ตโต ปรํ ภูตา นามาติ เอวํ อุชุเก ปาฬิอนุคเต อเตฺถ สติ กิํ อนิทฺธาริตสฺส ปตฺถิเยน อนฺตราภเวน อตฺตภาเวน ปริกปฺปิเตน ปโยชนนฺติ ปฎิกฺขิปิตพฺพาฯ

    Ye pana ‘‘sambhavesīti vacanato attheva antarābhavo. So hi sambhavaṃ upapattiṃ esatīti sambhavesī’’ti vadanti, tepi ye bhūtāva na puna bhavissanti, te khīṇāsavā ‘‘bhūtānaṃ vā sattānaṃ ṭhitiyā’’ti ettha ‘‘bhūtā’’ti vuttā. Tabbidhuratāya sambhavamesantīti sambhavesino, appahīnabhavasaṃyojanattā sekkhā puthujjanā. Catūsu vā yonīsu aṇḍajajalābujā sattā yāva aṇḍakosaṃ vatthikosañca na bhindanti, tāva sambhavesī nāma, aṇḍakosato vatthikosato ca nikkhantā bhūtā nāma. Saṃsedajaopapātikā ca paṭhamacittakkhaṇe sambhavesī nāma, dutiyacittakkhaṇato paṭṭhāya bhūtā nāma. Yena vā iriyāpathena jāyanti, yāva tato aññaṃ na pāpuṇanti, tāva sambhavesī nāma, tato paraṃ bhūtā nāmāti evaṃ ujuke pāḷianugate atthe sati kiṃ aniddhāritassa patthiyena antarābhavena attabhāvena parikappitena payojananti paṭikkhipitabbā.

    ยํ ปเนเก ‘‘สนฺตานวเสน ปวตฺตมานานํ ธมฺมานํ อวิเจฺฉเทน เทสนฺตเรสุ ปาตุภาโว ทิโฎฺฐฯ ยถา ตํ วีหิอาทิอวิญฺญาณกสนฺตาเน, เอวํ สวิญฺญาณกสนฺตาเนปิ อวิเจฺฉเทน เทสนฺตเร ปาตุภาเวน ภวิตพฺพํฯ อยญฺจ นโย สติ อนฺตราภเว ยุชฺชติ, นาญฺญถา’’ติ ยุตฺติํ วทนฺติ, เตหิ อิทฺธิมโต เจโตวสิปฺปตฺตสฺส จิตฺตานุคติกํ กายํ อธิฎฺฐหนฺตสฺส ขเณน พฺรหฺมโลกโต อิธูปสงฺกมเน อิโต วา พฺรหฺมโลกูปคมเน ยุตฺติ วตฺตพฺพาฯ ยทิ สพฺพเตฺถว วิจฺฉินฺนเทเส ธมฺมานํ ปวตฺติ น อิจฺฉิตา, ยทิปิ สิยา ‘‘อิทฺธิมนฺตานํ อิทฺธิวิสโย อจิเนฺตโยฺย’’ติ, ตํ อิธาปิ สมานํ ‘‘กมฺมวิปาโก อจิเนฺตโยฺย’’ติ วจนโต, ตสฺมา ตํ เตสํ มติมตฺตเมวฯ อจิเนฺตยฺยสภาวา หิ สภาวธมฺมา, เต กตฺถจิ ปจฺจยวเสน วิจฺฉินฺนเทเส ปาตุภวนฺติ, กตฺถจิ อวิจฺฉินฺนเทเส จฯ ตถา หิ มุขโฆสาทีหิ ปจฺจเยหิ อญฺญสฺมิํ เทเส อาทาสปพฺพตปเทสาทิเก ปฎิพิมฺพปฎิโฆสาทิกํ นิพฺพตฺตมานํ ทิฎฺฐนฺติฯ

    Yaṃ paneke ‘‘santānavasena pavattamānānaṃ dhammānaṃ avicchedena desantaresu pātubhāvo diṭṭho. Yathā taṃ vīhiādiaviññāṇakasantāne, evaṃ saviññāṇakasantānepi avicchedena desantare pātubhāvena bhavitabbaṃ. Ayañca nayo sati antarābhave yujjati, nāññathā’’ti yuttiṃ vadanti, tehi iddhimato cetovasippattassa cittānugatikaṃ kāyaṃ adhiṭṭhahantassa khaṇena brahmalokato idhūpasaṅkamane ito vā brahmalokūpagamane yutti vattabbā. Yadi sabbattheva vicchinnadese dhammānaṃ pavatti na icchitā, yadipi siyā ‘‘iddhimantānaṃ iddhivisayo acinteyyo’’ti, taṃ idhāpi samānaṃ ‘‘kammavipāko acinteyyo’’ti vacanato, tasmā taṃ tesaṃ matimattameva. Acinteyyasabhāvā hi sabhāvadhammā, te katthaci paccayavasena vicchinnadese pātubhavanti, katthaci avicchinnadese ca. Tathā hi mukhaghosādīhi paccayehi aññasmiṃ dese ādāsapabbatapadesādike paṭibimbapaṭighosādikaṃ nibbattamānaṃ diṭṭhanti.

    เอตฺถาห – ปฎิพิมฺพํ ตาว อสิทฺธตฺตา อสทิสตฺตา จ น นิทสฺสนํฯ ปฎิพิมฺพญฺหิ นาม อญฺญเทว รูปนฺตรํ อุปฺปชฺชตีติ อสิทฺธเมตํฯ สิทฺธิยมฺปิ อสทิสตฺตา น นิทสฺสนํ สิยา เอกสฺมิํ ฐาเน ทฺวินฺนํ สหฐานาภาวโตฯ ยเตฺถว หิ อาทาสรูปํ ปฎิพิมฺพรูปญฺจ ทิสฺสติ, น จ เอกสฺมิํ เทเส รูปทฺวยสฺส สหภาโว ยุโตฺต นิสฺสยภูตเทสโต, อสทิสเญฺจตํ สนฺธานโตฯ น หิ มุขสฺส ปฎิพิมฺพสนฺธานภูตํ อาทาสสนฺธานสมฺพนฺธตฺตา สนฺธานํ อุทฺทิสฺส อวิเจฺฉเทน เทสนฺตเร ปาตุภาโว วุจฺจติ, น อสนฺตานนฺติ อสมานเมว ตนฺติฯ

    Etthāha – paṭibimbaṃ tāva asiddhattā asadisattā ca na nidassanaṃ. Paṭibimbañhi nāma aññadeva rūpantaraṃ uppajjatīti asiddhametaṃ. Siddhiyampi asadisattā na nidassanaṃ siyā ekasmiṃ ṭhāne dvinnaṃ sahaṭhānābhāvato. Yattheva hi ādāsarūpaṃ paṭibimbarūpañca dissati, na ca ekasmiṃ dese rūpadvayassa sahabhāvo yutto nissayabhūtadesato, asadisañcetaṃ sandhānato. Na hi mukhassa paṭibimbasandhānabhūtaṃ ādāsasandhānasambandhattā sandhānaṃ uddissa avicchedena desantare pātubhāvo vuccati, na asantānanti asamānameva tanti.

    ตตฺถ ยํ วุตฺตํ ‘‘ปฎิพิมฺพํ นาม อญฺญเทว รูปนฺตรํ อุปฺปชฺชตีติ อสิทฺธํ เอกสฺมิํ ฐาเน ทฺวินฺนํ สหฐานภาวโต’’ติ, ตยิทํ อสนฺตานเมว สหฐานํ โจทิตํ ภินฺนนิสฺสยตฺตาฯ น หิ ภินฺนนิสฺสยานํ สหฐานํ อตฺถิฯ ยถา อเนเกสํ มณิทีปาทีนํ ปภารูปํ เอกสฺมิํ ปเทเส ปวตฺตมานํ อจฺฉิตมานตาย นิรนฺตรตาย จ อภินฺนฎฺฐานํ วิย ปญฺญายติ, ภินฺนนิสฺสยตฺตา ปน ภินฺนฎฺฐานเมว ตํ, คหณวิเสเสน ตถาอภินฺนฎฺฐานมตฺตํ, เอวํ อาทาสรูปปฎิพิมฺพรูเปสุปิ ทฎฺฐพฺพํฯ ตาทิสปจฺจยสมวาเยน หิ ตตฺถ ตํ อุปฺปชฺชติ เจว วิคจฺฉติ จ, เอวเญฺจตํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํ จกฺขุวิญฺญาณสฺส โคจรภาวูปคมนโตฯ อญฺญถา อาโลเกน วินาปิ ปญฺญาเยยฺย, จกฺขุวิญฺญาณสฺส วา น โคจโร วิย สิยาฯ ตสฺส ปน สามคฺคิยา โส อานุภาโว, ยํ ตถา ทสฺสนํ โหตีติฯ อจิเนฺตโยฺย หิ ธมฺมานํ สามตฺถิยเภโทติ วทเนฺตนปิ อยเมวโตฺถ สาธิโต ภินฺนนิสฺสยสฺสปิ อภินฺนฎฺฐานสฺส วิย อุปฎฺฐานโตฯ เอเตเนว อุทกาทีสุ ปฎิพิมฺพรูปาภาวโจทนา ปฎิกฺขิตฺตา เวทิตพฺพาฯ

    Tattha yaṃ vuttaṃ ‘‘paṭibimbaṃ nāma aññadeva rūpantaraṃ uppajjatīti asiddhaṃ ekasmiṃ ṭhāne dvinnaṃ sahaṭhānabhāvato’’ti, tayidaṃ asantānameva sahaṭhānaṃ coditaṃ bhinnanissayattā. Na hi bhinnanissayānaṃ sahaṭhānaṃ atthi. Yathā anekesaṃ maṇidīpādīnaṃ pabhārūpaṃ ekasmiṃ padese pavattamānaṃ acchitamānatāya nirantaratāya ca abhinnaṭṭhānaṃ viya paññāyati, bhinnanissayattā pana bhinnaṭṭhānameva taṃ, gahaṇavisesena tathāabhinnaṭṭhānamattaṃ, evaṃ ādāsarūpapaṭibimbarūpesupi daṭṭhabbaṃ. Tādisapaccayasamavāyena hi tattha taṃ uppajjati ceva vigacchati ca, evañcetaṃ sampaṭicchitabbaṃ cakkhuviññāṇassa gocarabhāvūpagamanato. Aññathā ālokena vināpi paññāyeyya, cakkhuviññāṇassa vā na gocaro viya siyā. Tassa pana sāmaggiyā so ānubhāvo, yaṃ tathā dassanaṃ hotīti. Acinteyyo hi dhammānaṃ sāmatthiyabhedoti vadantenapi ayamevattho sādhito bhinnanissayassapi abhinnaṭṭhānassa viya upaṭṭhānato. Eteneva udakādīsu paṭibimbarūpābhāvacodanā paṭikkhittā veditabbā.

    สิเทฺธ จ ปฎิพิมฺพรูเป ตสฺส นิทสฺสนภาโว สิโทฺธเยว โหติ เหตุผลานํ วิจฺฉินฺนเทสตาวิภาวนโตฯ ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘อสทิสตฺตา น นิทสฺสน’’นฺติ, ตทยุตฺตํฯ กสฺมา? น หิ นิทสฺสนํ นาม นิทสฺสิตเพฺพน สพฺพทา สทิสเมว โหติฯ จุติกฺขนฺธาธานโต วิจฺฉินฺนเทเส อุปปตฺติกฺขนฺธา ปาตุภวนฺตีติ เอตสฺส อตฺถสฺส สาธนตฺถํ มุขรูปโต วิจฺฉิเนฺน ฐาเน ตสฺส ผลภูตํ ปฎิพิมฺพรูปํ นิพฺพตฺตตีติ เอตฺถ ตสฺส นิทสฺสนตฺถสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ เอเตน อสนฺตานโจทนา ปฎิกฺขิตฺตา เวทิตพฺพาฯ

    Siddhe ca paṭibimbarūpe tassa nidassanabhāvo siddhoyeva hoti hetuphalānaṃ vicchinnadesatāvibhāvanato. Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘asadisattā na nidassana’’nti, tadayuttaṃ. Kasmā? Na hi nidassanaṃ nāma nidassitabbena sabbadā sadisameva hoti. Cutikkhandhādhānato vicchinnadese upapattikkhandhā pātubhavantīti etassa atthassa sādhanatthaṃ mukharūpato vicchinne ṭhāne tassa phalabhūtaṃ paṭibimbarūpaṃ nibbattatīti ettha tassa nidassanatthassa adhippetattā. Etena asantānacodanā paṭikkhittā veditabbā.

    ยสฺมา วา มุขปฎิพิมฺพรูปานํ เหตุผลภาโว สิโทฺธ, ตสฺมาปิ สา ปฎิกฺขิตฺตาว โหติฯ เหตุผลภาวสมฺพเนฺธสุ หิ สนฺตานโวหาโรฯ ยถาวุตฺตทฺวีหิการเณหิ ปฎิพิมฺพํ อุปฺปชฺชติ พิมฺพโต อาทาสโต จ, น เจวํ อุปปตฺติกฺขนฺธานํ วิจฺฉินฺนเทสุปฺปตฺติฯ ยถา เจตฺถ ปฎิพิมฺพรูปํ นิทสฺสิตํ, เอวํ ปฎิโฆสทีปมุทฺทาทโยปิ นิทสฺสิตพฺพาฯ ยถา หิ ปฎิโฆสทีปมุทฺทาทโย สทฺทาทิเหตุกา โหนฺติ, อญฺญตฺร อคนฺตฺวา โหนฺติ, เอวเมว อิทํ จิตฺตนฺติฯ

    Yasmā vā mukhapaṭibimbarūpānaṃ hetuphalabhāvo siddho, tasmāpi sā paṭikkhittāva hoti. Hetuphalabhāvasambandhesu hi santānavohāro. Yathāvuttadvīhikāraṇehi paṭibimbaṃ uppajjati bimbato ādāsato ca, na cevaṃ upapattikkhandhānaṃ vicchinnadesuppatti. Yathā cettha paṭibimbarūpaṃ nidassitaṃ, evaṃ paṭighosadīpamuddādayopi nidassitabbā. Yathā hi paṭighosadīpamuddādayo saddādihetukā honti, aññatra agantvā honti, evameva idaṃ cittanti.

    อปิจายํ อนฺตราภววาที เอวํ ปุจฺฉิตโพฺพ – ยทิ ‘‘ธมฺมานํ วิจฺฉินฺนเทสุปฺปตฺติ น ยุตฺตา’’ติ อนฺตราภโว ปริกปฺปิโต, ราหุอาทีนํ สรีเร กถมเนกโยชนสหสฺสนฺตริเกสุ ปาทฎฺฐานหทยฎฺฐาเนสุ กายวิญฺญาณมโนวิญฺญาณุปฺปตฺติ วิจฺฉินฺนเทเส ยุตฺตาฯ ยทิ เอกสนฺตานภาวโต, อิธาปิ ตํสมานํฯ น เจตฺถ อรูปธมฺมภาวโต อลํ ปริหาราย ปญฺจโวกาเร รูปารูปธมฺมานํ อญฺญมญฺญํ สมฺพนฺธตฺตาฯ วตฺตมาเนหิ ตาว ปจฺจเยหิ วิจฺฉินฺนเทเส ผลสฺส อุปฺปตฺติ สิทฺธา, กิมงฺคํ ปน อตีเตหิ ปญฺจโวการภเวหิฯ ยตฺถ วิปากวิญฺญาณสฺส ปจฺจโย, ตตฺถสฺส นิสฺสยภูตสฺส วตฺถุสฺส สหภาวีนญฺจ ขนฺธานํ สมฺภโวติ ลโทฺธกาเสน กมฺมุนา นิพฺพตฺติยมานสฺส อวเสสปจฺจยนฺตรสหิตสฺส วิปากวิญฺญาณสฺส อุปฺปตฺติยํ นาลํ วิจฺฉินฺนเทสตา วิพนฺธายฯ ยถา จ อเนกกปฺปสหสฺสนฺตริกาปิ จุติกฺขนฺธา อุปปตฺติกฺขนฺธานํ อนนฺตรปจฺจโยติ น กาลทูรตา, เอวํ อเนกโยชนสหสฺสนฺตริกาปิ เต เตสํ อนนฺตรปจฺจโย โหนฺตีติ น เทสทูรตาฯ เอวํ จุติกฺขนฺธนิโรธานนฺตรํ อุปปตฺติฎฺฐาเน ปจฺจยนฺตรสมวาเยน ปฎิสนฺธิกฺขนฺธา ปาตุภวนฺตีติ นเตฺถว อนฺตราภโวฯ อสติ จ ตสฺมิํ ยํ ตสฺส เกจิ ‘‘ภาวิภวนิพฺพตฺตกกมฺมุโน ตโต เอว ภาวิปุริมกาลภวากาโร สชาติสุทฺธทิพฺพจกฺขุโคจโร อหีนินฺทฺริโย เกนจิ อปฺปฎิหตคมโน คนฺธาหาโร’’ติ เอวมาทิการณาการาทิํ วเณฺณนฺติ, ตํ วญฺฌาตนยสฺส รสฺสทีฆสามตาทิวิวาทสทิสนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Apicāyaṃ antarābhavavādī evaṃ pucchitabbo – yadi ‘‘dhammānaṃ vicchinnadesuppatti na yuttā’’ti antarābhavo parikappito, rāhuādīnaṃ sarīre kathamanekayojanasahassantarikesu pādaṭṭhānahadayaṭṭhānesu kāyaviññāṇamanoviññāṇuppatti vicchinnadese yuttā. Yadi ekasantānabhāvato, idhāpi taṃsamānaṃ. Na cettha arūpadhammabhāvato alaṃ parihārāya pañcavokāre rūpārūpadhammānaṃ aññamaññaṃ sambandhattā. Vattamānehi tāva paccayehi vicchinnadese phalassa uppatti siddhā, kimaṅgaṃ pana atītehi pañcavokārabhavehi. Yattha vipākaviññāṇassa paccayo, tatthassa nissayabhūtassa vatthussa sahabhāvīnañca khandhānaṃ sambhavoti laddhokāsena kammunā nibbattiyamānassa avasesapaccayantarasahitassa vipākaviññāṇassa uppattiyaṃ nālaṃ vicchinnadesatā vibandhāya. Yathā ca anekakappasahassantarikāpi cutikkhandhā upapattikkhandhānaṃ anantarapaccayoti na kāladūratā, evaṃ anekayojanasahassantarikāpi te tesaṃ anantarapaccayo hontīti na desadūratā. Evaṃ cutikkhandhanirodhānantaraṃ upapattiṭṭhāne paccayantarasamavāyena paṭisandhikkhandhā pātubhavantīti nattheva antarābhavo. Asati ca tasmiṃ yaṃ tassa keci ‘‘bhāvibhavanibbattakakammuno tato eva bhāvipurimakālabhavākāro sajātisuddhadibbacakkhugocaro ahīnindriyo kenaci appaṭihatagamano gandhāhāro’’ti evamādikāraṇākārādiṃ vaṇṇenti, taṃ vañjhātanayassa rassadīghasāmatādivivādasadisanti veditabbaṃ.

    อนฺตราภวกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Antarābhavakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / กถาวตฺถุปาฬิ • Kathāvatthupāḷi / (๗๔) ๒. อนฺตราภวกถา • (74) 2. Antarābhavakathā

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ปญฺจปกรณ-อฎฺฐกถา • Pañcapakaraṇa-aṭṭhakathā / ๒. อนฺตราภวกถาวณฺณนา • 2. Antarābhavakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā / ๒. อนฺตราภวกถาวณฺณนา • 2. Antarābhavakathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact