Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๙. อนฺตรามลสุตฺตวณฺณนา
9. Antarāmalasuttavaṇṇanā
๘๘. นวเม อนฺตรามลาติ เอตฺถ อนฺตราสโทฺท –
88. Navame antarāmalāti ettha antarāsaddo –
‘‘นทีตีเรสุ สณฺฐาเน, สภาสุ รถิยาสุ จ;
‘‘Nadītīresu saṇṭhāne, sabhāsu rathiyāsu ca;
ชนา สงฺคมฺม มเนฺตนฺติ, มญฺจ ตญฺจ กิมนฺตร’’นฺติฯ –
Janā saṅgamma mantenti, mañca tañca kimantara’’nti. –
อาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๒๘) การเณ อาคโตฯ ‘‘อทฺทสา มํ, ภเนฺต, อญฺญตรา อิตฺถี วิชฺชนฺตริกาย ภาชนํ โธวนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๔๙) ขเณฯ ‘‘อปิจายํ ตโปทา ทฺวินฺนํ มหานิรยานํ อนฺตริกาย อาคจฺฉตี’’ติอาทีสุ (ปารา. ๒๓๑) วิวเรฯ
Ādīsu (saṃ. ni. 1.228) kāraṇe āgato. ‘‘Addasā maṃ, bhante, aññatarā itthī vijjantarikāya bhājanaṃ dhovantī’’tiādīsu (ma. ni. 2.149) khaṇe. ‘‘Apicāyaṃ tapodā dvinnaṃ mahānirayānaṃ antarikāya āgacchatī’’tiādīsu (pārā. 231) vivare.
‘‘ปีตวเตฺถ ปีตธเช, ปีตาลงฺการภูสิเต;
‘‘Pītavatthe pītadhaje, pītālaṅkārabhūsite;
ปีตนฺตราหิ วคฺคูหิ, อปิฬนฺธาว โสภสี’’ติฯ –
Pītantarāhi vaggūhi, apiḷandhāva sobhasī’’ti. –
อาทีสุ (วิ. ว. ๖๕๘) อุตฺตริสาฎเกฯ ‘‘ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา’’ติอาทีสุ (อุทา. ๒๐) จิเตฺตฯ อิธาปิ จิเตฺต เอว ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา อนฺตเร จิเตฺต ภวา อนฺตราฯ ยสฺมิํ สนฺตาเน อุปฺปนฺนา, ตสฺส มลินภาวกรณโต มลาฯ ตตฺถ มลํ นาม ทุวิธํ – สรีรมลํ, จิตฺตมลนฺติฯ เตสุ สรีรมลํ เสทชลฺลิกาทิ สรีเร นิพฺพตฺตํ, ตตฺถ ลคฺคํ อาคนฺตุกรชญฺจ, ตํ อุทเกนปิ นีหรณียํ, น ตถา สํกิเลสิกํฯ จิตฺตมลํ ปน ราคาทิสํกิเลสิกํ, ตํ อริยมเคฺคเหว นีหรณียํฯ วุตฺตเญฺหตํ โปราเณหิ –
Ādīsu (vi. va. 658) uttarisāṭake. ‘‘Yassantarato na santi kopā’’tiādīsu (udā. 20) citte. Idhāpi citte eva daṭṭhabbo. Tasmā antare citte bhavā antarā. Yasmiṃ santāne uppannā, tassa malinabhāvakaraṇato malā. Tattha malaṃ nāma duvidhaṃ – sarīramalaṃ, cittamalanti. Tesu sarīramalaṃ sedajallikādi sarīre nibbattaṃ, tattha laggaṃ āgantukarajañca, taṃ udakenapi nīharaṇīyaṃ, na tathā saṃkilesikaṃ. Cittamalaṃ pana rāgādisaṃkilesikaṃ, taṃ ariyamaggeheva nīharaṇīyaṃ. Vuttañhetaṃ porāṇehi –
‘‘รูเปน สํกิลิเฎฺฐน, สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา;
‘‘Rūpena saṃkiliṭṭhena, saṃkilissanti māṇavā;
รูเป สุเทฺธ วิสุชฺฌนฺติ, อนกฺขาตํ มเหสินาฯ
Rūpe suddhe visujjhanti, anakkhātaṃ mahesinā.
‘‘จิเตฺตน สํกิลิเฎฺฐน, สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา;
‘‘Cittena saṃkiliṭṭhena, saṃkilissanti māṇavā;
จิเตฺต สุเทฺธ วิสุชฺฌนฺติ, อิติ วุตฺตํ มเหสินา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๗๓; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๐๖);
Citte suddhe visujjhanti, iti vuttaṃ mahesinā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 2.373; ma. ni. aṭṭha. 1.106);
เตนาห ภควา ‘‘จิตฺตสํกิเลสา, ภิกฺขเว, สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ, จิตฺตโวทานา วิสุชฺฌนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๐๐)ฯ ตสฺมา ภควา อิธาปิ จิตฺตมลวิโสธนาย ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตโยเม, ภิกฺขเว, อนฺตรามลา’’ติ อาหฯ
Tenāha bhagavā ‘‘cittasaṃkilesā, bhikkhave, sattā saṃkilissanti, cittavodānā visujjhantī’’ti (saṃ. ni. 3.100). Tasmā bhagavā idhāpi cittamalavisodhanāya paṭipajjitabbanti dassento ‘‘tayome, bhikkhave, antarāmalā’’ti āha.
ยถา เจเต โลภาทโย สตฺตานํ จิเตฺต อุปฺปชฺชิตฺวา มลินภาวกรา นานปฺปการสํกิเลสวิธายกาติ อนฺตรามลา, เอวํ เอกโต ภุญฺชิตฺวา, เอกโต สยิตฺวา, โอตารคเวสี อมิตฺตสตฺตุ วิย จิเตฺต เอว อุปฺปชฺชิตฺวา สตฺตานํ นานาวิธอนตฺถาวหา, นานปฺปการทุกฺขนิพฺพตฺตกาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อนฺตราอมิตฺตา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ มิตฺตปฎิปกฺขโต อมิตฺตา, สปตฺตกิจฺจกรณโต สปตฺตา, หิํสนโต วธกา, อุชุวิปจฺจนีกโต ปจฺจตฺถิกาฯ
Yathā cete lobhādayo sattānaṃ citte uppajjitvā malinabhāvakarā nānappakārasaṃkilesavidhāyakāti antarāmalā, evaṃ ekato bhuñjitvā, ekato sayitvā, otāragavesī amittasattu viya citte eva uppajjitvā sattānaṃ nānāvidhaanatthāvahā, nānappakāradukkhanibbattakāti dassento ‘‘antarāamittā’’tiādimāha. Tattha mittapaṭipakkhato amittā, sapattakiccakaraṇato sapattā, hiṃsanato vadhakā, ujuvipaccanīkato paccatthikā.
ตตฺถ ทฺวีหิ อากาเรหิ โลภาทีนํ อมิตฺตาทิภาโว เวทิตโพฺพฯ เวรีปุคฺคโล หิ อนฺตรํ ลภมาโน อตฺตโน เวริสฺส สเตฺถน วา สีสํ ปาเตติ, อุปาเยน วา มหนฺตํ อนตฺถํ อุปฺปาเทติฯ อิเม จ โลภาทโย ปญฺญาสิรปาตเนน โยนิสมฺปฎิปาทเนน จ ตาทิสํ ตโต พลวตรํ อนตฺถํ นิพฺพเตฺตนฺติฯ กถํ? จกฺขุทฺวารสฺมิญฺหิ อิฎฺฐาทีสุ อารมฺมเณสุ อาปาถคเตสุ ยถารหํ ตานิ อารพฺภ โลภาทโย อุปฺปชฺชนฺติ, เอตฺตาวตาสฺส ปญฺญาสิรํ ปาติตํ นาม โหติฯ โสตทฺวาราทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอวํ ตาว ปญฺญาสิรปาตนโต อมิตฺตาทิสทิสตา เวทิตพฺพาฯ โลภาทโย ปน กมฺมนิทานา หุตฺวา อณฺฑชาทิเภทา จตโสฺส โยนิโย อุปเนนฺติฯ ตสฺส โยนิอุปคมนมูลกานิ ปญฺจวีสติ มหาภยานิ ทฺวตฺติํส กมฺมกรณานิ จ อาคตาเนว โหนฺติฯ เอวํ โยนิสมฺปฎิปาทนโตปิ เนสํ อมิตฺตาทิสทิสตา เวทิตพฺพาฯ อิติ โลภาทโย อมิตฺตาทิสทิสตาย จิตฺตสมฺภูตตาย จ ‘‘อนฺตราอมิตฺตา’’ติอาทินา วุตฺตาฯ อปิจ อมิเตฺตหิ กาตุํ อสกฺกุเณยฺยํ โลภาทโย กโรนฺติ, อมิตฺตาทิภาโว จ โลภาทีหิ ชายตีติ เตสํ อมิตฺตาทิภาโว เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tattha dvīhi ākārehi lobhādīnaṃ amittādibhāvo veditabbo. Verīpuggalo hi antaraṃ labhamāno attano verissa satthena vā sīsaṃ pāteti, upāyena vā mahantaṃ anatthaṃ uppādeti. Ime ca lobhādayo paññāsirapātanena yonisampaṭipādanena ca tādisaṃ tato balavataraṃ anatthaṃ nibbattenti. Kathaṃ? Cakkhudvārasmiñhi iṭṭhādīsu ārammaṇesu āpāthagatesu yathārahaṃ tāni ārabbha lobhādayo uppajjanti, ettāvatāssa paññāsiraṃ pātitaṃ nāma hoti. Sotadvārādīsupi eseva nayo. Evaṃ tāva paññāsirapātanato amittādisadisatā veditabbā. Lobhādayo pana kammanidānā hutvā aṇḍajādibhedā catasso yoniyo upanenti. Tassa yoniupagamanamūlakāni pañcavīsati mahābhayāni dvattiṃsa kammakaraṇāni ca āgatāneva honti. Evaṃ yonisampaṭipādanatopi nesaṃ amittādisadisatā veditabbā. Iti lobhādayo amittādisadisatāya cittasambhūtatāya ca ‘‘antarāamittā’’tiādinā vuttā. Apica amittehi kātuṃ asakkuṇeyyaṃ lobhādayo karonti, amittādibhāvo ca lobhādīhi jāyatīti tesaṃ amittādibhāvo veditabbo. Vuttañhetaṃ –
‘‘ทิโส ทิสํ ยนฺตํ กยิรา, เวรี วา ปน เวรินํ;
‘‘Diso disaṃ yantaṃ kayirā, verī vā pana verinaṃ;
มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ, ปาปิโย นํ ตโต กเร’’ติฯ (ธ. ป. ๔๒; อุทา. ๓๓);
Micchāpaṇihitaṃ cittaṃ, pāpiyo naṃ tato kare’’ti. (dha. pa. 42; udā. 33);
คาถาสุ อตฺตโน ปเรสญฺจ อนตฺถํ ชเนตีติ อนตฺถชนโนฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Gāthāsu attano paresañca anatthaṃ janetīti anatthajanano. Vuttañhetaṃ –
‘‘ยทปิ ลุโทฺธ อภิสงฺขโรติ กาเยน วาจาย มนสา ตทปิ อกุสลํ; ยทปิ ลุโทฺธ โลเภน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต ปรสฺส อสตา ทุกฺขํ อุปฺปาเทติ วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา ปพฺพาชนาย วา พลวมฺหิ พลโตฺถ อิติ, ตทปิ อกุสลํ, อิติสฺสเม โลภชา โลภนิทานา โลภสมุทยา โลภปจฺจยา อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๗๐)ฯ
‘‘Yadapi luddho abhisaṅkharoti kāyena vācāya manasā tadapi akusalaṃ; yadapi luddho lobhena abhibhūto pariyādinnacitto parassa asatā dukkhaṃ uppādeti vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā pabbājanāya vā balavamhi balattho iti, tadapi akusalaṃ, itissame lobhajā lobhanidānā lobhasamudayā lobhapaccayā aneke pāpakā akusalā dhammā sambhavantī’’ti (a. ni. 3.70).
อปรมฺปิ วุตฺตํ –
Aparampi vuttaṃ –
‘‘รโตฺต โข, พฺราหฺมณ, ราเคน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต อตฺตพฺยาพาธายปิ เจเตติ, ปรพฺยาพาธายปิ เจเตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ เจเตติ, เจตสิกมฺปิ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๓.๕๔)ฯ
‘‘Ratto kho, brāhmaṇa, rāgena abhibhūto pariyādinnacitto attabyābādhāyapi ceteti, parabyābādhāyapi ceteti, ubhayabyābādhāyapi ceteti, cetasikampi dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedetī’’tiādi (a. ni. 3.54).
จิตฺตปฺปโกปโนติ จิตฺตสโงฺขภโนฯ โลโภ หิ โลภนีเย วตฺถุสฺมิํ อุปฺปชฺชมาโน จิตฺตํ โขเภโนฺต ปโกเปโนฺต วิปริณาเมโนฺต วิการํ อาปาเทโนฺต อุปฺปชฺชติ, ปสาทาทิวเสน ปวตฺติตุํ น เทติฯ ภยมนฺตรโต ชาตํ, ตํ ชโน นาวพุชฺฌตีติ ตํ โลภสงฺขาตํ อนฺตรโต อพฺภนฺตเร อตฺตโน จิเตฺตเยว ชาตํ อนตฺถชนนจิตฺตปฺปโกปนาทิํ ภยํ ภยเหตุํ อยํ พาลมหาชโน นาวพุชฺฌติ น ชานาตีติฯ
Cittappakopanoti cittasaṅkhobhano. Lobho hi lobhanīye vatthusmiṃ uppajjamāno cittaṃ khobhento pakopento vipariṇāmento vikāraṃ āpādento uppajjati, pasādādivasena pavattituṃ na deti. Bhayamantarato jātaṃ, taṃ jano nāvabujjhatīti taṃ lobhasaṅkhātaṃ antarato abbhantare attano citteyeva jātaṃ anatthajananacittappakopanādiṃ bhayaṃ bhayahetuṃ ayaṃ bālamahājano nāvabujjhati na jānātīti.
ลุโทฺธ อตฺถํ น ชานาตีติ อตฺตตฺถปรตฺถาทิเภทํ อตฺถํ หิตํ ลุทฺธปุคฺคโล ยถาภูตํ น ชานาติฯ ธมฺมํ น ปสฺสตีติ ทสกุสลกมฺมปถธมฺมมฺปิ ลุโทฺธ โลเภน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต น ปสฺสติ ปจฺจกฺขโต น ชานาติ, ปเคว อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Luddho atthaṃ na jānātīti attatthaparatthādibhedaṃ atthaṃ hitaṃ luddhapuggalo yathābhūtaṃ na jānāti. Dhammaṃ na passatīti dasakusalakammapathadhammampi luddho lobhena abhibhūto pariyādinnacitto na passati paccakkhato na jānāti, pageva uttarimanussadhammaṃ. Vuttampi cetaṃ –
‘‘รโตฺต โข, พฺราหฺมณ, ราเคน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต อตฺตตฺถมฺปิ ยถาภูตํ น ปชานาติ, ปรตฺถมฺปิ ยถาภูตํ น ปชานาติ, อุภยตฺถมฺปิ ยถาภูตํ น ปชานาตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๓.๕๕)ฯ
‘‘Ratto kho, brāhmaṇa, rāgena abhibhūto pariyādinnacitto attatthampi yathābhūtaṃ na pajānāti, paratthampi yathābhūtaṃ na pajānāti, ubhayatthampi yathābhūtaṃ na pajānātī’’tiādi (a. ni. 3.55).
อนฺธตมนฺติ อนฺธภาวกรํ ตมํฯ ยนฺติ ยตฺถฯ ภุมฺมเตฺถ หิ เอตํ ปจฺจตฺตวจนํฯ ยสฺมิํ กาเล โลโภ สหเต อภิภวติ นรํ, อนฺธตมํ ตทา โหตีติฯ ยนฺติ วา การณวจนํฯ ยสฺมา โลโภ อุปฺปชฺชมาโน นรํ สหเต อภิภวติ, ตสฺมา อนฺธตมํ ตทา โหตีติ โยชนา, ย-ต-สทฺทานํ เอกนฺตสมฺพนฺธภาวโตฯ อถ วา ยนฺติ กิริยาปรามสนํ, ‘‘โลโภ สหเต’’ติ เอตฺถ ยเทตํ โลภสฺส สหนํ อภิภวนํ วุตฺตํฯ เอตํ อนฺธภาวกรสฺส ตมสฺส คมนํ อุปฺปาโทติ อโตฺถฯ อถ วา ยํ นรํ โลโภ สหเต อภิภวติ, ตสฺส อนฺธตมํ ตทา โหติ, ตโต จ ลุโทฺธ อตฺถํ น ชานาติ, ลุโทฺธ ธมฺมํ น ปสฺสตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Andhatamanti andhabhāvakaraṃ tamaṃ. Yanti yattha. Bhummatthe hi etaṃ paccattavacanaṃ. Yasmiṃ kāle lobho sahate abhibhavati naraṃ, andhatamaṃ tadā hotīti. Yanti vā kāraṇavacanaṃ. Yasmā lobho uppajjamāno naraṃ sahate abhibhavati, tasmā andhatamaṃ tadā hotīti yojanā, ya-ta-saddānaṃ ekantasambandhabhāvato. Atha vā yanti kiriyāparāmasanaṃ, ‘‘lobho sahate’’ti ettha yadetaṃ lobhassa sahanaṃ abhibhavanaṃ vuttaṃ. Etaṃ andhabhāvakarassa tamassa gamanaṃ uppādoti attho. Atha vā yaṃ naraṃ lobho sahate abhibhavati, tassa andhatamaṃ tadā hoti, tato ca luddho atthaṃ na jānāti, luddho dhammaṃ na passatīti evamettha attho daṭṭhabbo.
โย จ โลภํ ปหนฺตฺวานาติ โย ปุพฺพภาเค ตทงฺควเสน วิกฺขมฺภนวเสน จ ยถารหํ สมถวิปสฺสนาหิ โลภํ ปชหิตฺวา ตถา ปชหนเหตุ โลภเนเยฺย ทิเพฺพปิ รูปาทิเก อุปฎฺฐิเต น ลุพฺภติ, พลววิปสฺสนานุภาเวน โลโภ ปหียเต ตมฺหาติ ตสฺมา อริยปุคฺคลา อริยมเคฺคน โลโภ ปหียติ ปชหียติ, อจฺจนฺตเมว ปริจฺจชียติฯ ยถา กิํ? อุทพินฺทูว โปกฺขราติ ปทุมินิปณฺณโต อุทกพินฺทุ วิยฯ เสสคาถานมฺปิ อิมินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Yo ca lobhaṃ pahantvānāti yo pubbabhāge tadaṅgavasena vikkhambhanavasena ca yathārahaṃ samathavipassanāhi lobhaṃ pajahitvā tathā pajahanahetu lobhaneyye dibbepi rūpādike upaṭṭhite na lubbhati, balavavipassanānubhāvena lobho pahīyate tamhāti tasmā ariyapuggalā ariyamaggena lobho pahīyati pajahīyati, accantameva pariccajīyati. Yathā kiṃ? Udabindūva pokkharāti paduminipaṇṇato udakabindu viya. Sesagāthānampi iminā nayena attho veditabbo.
ตถา โทสสฺส –
Tathā dosassa –
‘‘ยทปิ ทุโฎฺฐ อภิสงฺขโรติ กาเยน วาจาย มนสา ตทปิ อกุสลํ; ยทปิ ทุโฎฺฐ โทเสน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต ปรสฺส อสตา ทุกฺขํ อุปฺปาเทติ วเธน วา พเนฺธน วา ชานิยา วา ครหาย วา ปพฺพาชนาย วา พลวมฺหิ พลโตฺถ อิติ, ตทปิ อกุสลํฯ อิติสฺสเม โทสชา โทสนิทานา โทสสมุทยา โทสปจฺจยา อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๗๐)ฯ
‘‘Yadapi duṭṭho abhisaṅkharoti kāyena vācāya manasā tadapi akusalaṃ; yadapi duṭṭho dosena abhibhūto pariyādinnacitto parassa asatā dukkhaṃ uppādeti vadhena vā bandhena vā jāniyā vā garahāya vā pabbājanāya vā balavamhi balattho iti, tadapi akusalaṃ. Itissame dosajā dosanidānā dosasamudayā dosapaccayā aneke pāpakā akusalā dhammā sambhavantī’’ti (a. ni. 3.70).
ตถา –
Tathā –
‘‘ทุโฎฺฐ โข, พฺราหฺมณ, โทเสน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต อตฺตพฺยาพาธายปิ เจเตติ, ปรพฺยาพาธายปิ เจเตติ, อุภยพฺยาพาธายปิ เจเตติ เจตสิกมฺปิ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๕๕)ฯ
‘‘Duṭṭho kho, brāhmaṇa, dosena abhibhūto pariyādinnacitto attabyābādhāyapi ceteti, parabyābādhāyapi ceteti, ubhayabyābādhāyapi ceteti cetasikampi dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvedetī’’ti (a. ni. 3.55).
ตถา –
Tathā –
‘‘ทุโฎฺฐ โข, พฺราหฺมณ, โทเสน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต อตฺตตฺถมฺปิ ยถาภูตํ น ปชานาติ , ปรตฺถมฺปิ ยถาภูตํ น ปชานาติ, อุภยตฺถมฺปิ ยถา ภูตํ น ปชานาตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๕๕) –
‘‘Duṭṭho kho, brāhmaṇa, dosena abhibhūto pariyādinnacitto attatthampi yathābhūtaṃ na pajānāti , paratthampi yathābhūtaṃ na pajānāti, ubhayatthampi yathā bhūtaṃ na pajānātī’’ti (a. ni. 3.55) –
อาทิสุตฺตปทานุสาเรน อนตฺถชนนตา อตฺถหานิเหตุตา จ เวทิตพฺพาฯ
Ādisuttapadānusārena anatthajananatā atthahānihetutā ca veditabbā.
ตถา โมหสฺส ‘‘ยทปิ มูโฬฺห อภิสงฺขโรติ กาเยน วาจาย มนสา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๓.๗๐), ‘‘มูโฬฺห โข, พฺราหฺมณ, โมเหน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต อตฺตพฺยาพาธายปิ เจเตตี’’ติอาทินา(อ. นิ. ๓.๕๕), ‘‘อตฺตตฺถมฺปิ ยถาภูตํ น ปชานาตี’’ติอาทินา (อ. นิ. ๓.๕๕) จ อาคตสุตฺตปทานุสาเรน เวทิตพฺพาฯ
Tathā mohassa ‘‘yadapi mūḷho abhisaṅkharoti kāyena vācāya manasā’’tiādinā (a. ni. 3.70), ‘‘mūḷho kho, brāhmaṇa, mohena abhibhūto pariyādinnacitto attabyābādhāyapi cetetī’’tiādinā(a. ni. 3.55), ‘‘attatthampi yathābhūtaṃ na pajānātī’’tiādinā (a. ni. 3.55) ca āgatasuttapadānusārena veditabbā.
ตาลปกฺกํว พนฺธนาติ ตาลผลํ วิย อุสุมุปฺปาเทน วณฺฎโต, ตติยมคฺคญาณุปฺปาเทน ตสฺส จิตฺตโต โทโส ปหียติ, ปริจฺจชียตีติ อโตฺถฯ โมหํ วิหนฺติ โส สพฺพนฺติ โส อริยปุคฺคโล สพฺพํ อนวเสสํ โมหํ จตุตฺถมเคฺคน วิหนฺติ วิธมติ สมุจฺฉินฺทติฯ อาทิโจฺจวุทยํ ตมนฺติ อาทิโจฺจ วิย อุทยํ อุคฺคจฺฉโนฺต ตมํ อนฺธการํฯ
Tālapakkaṃvabandhanāti tālaphalaṃ viya usumuppādena vaṇṭato, tatiyamaggañāṇuppādena tassa cittato doso pahīyati, pariccajīyatīti attho. Mohaṃ vihanti so sabbanti so ariyapuggalo sabbaṃ anavasesaṃ mohaṃ catutthamaggena vihanti vidhamati samucchindati. Ādiccovudayaṃ tamanti ādicco viya udayaṃ uggacchanto tamaṃ andhakāraṃ.
นวมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Navamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๙. อนฺตรามลสุตฺตํ • 9. Antarāmalasuttaṃ