Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๕. อนุมานสุตฺตวณฺณนา
5. Anumānasuttavaṇṇanā
๑๘๑. เอวํ เม สุตนฺติ อนุมานสุตฺตํฯ ตตฺถ ภเคฺคสูติ เอวํนามเก ชนปเท, วจนโตฺถ ปเนตฺถ วุตฺตานุสาเรเนว เวทิตโพฺพฯ สุสุมารคิเรติ เอวํนามเก นคเรฯ ตสฺส กิร นครสฺส วตฺถุปริคฺคหทิวเส อวิทูเร อุทกรหเท สุํสุมาโร สทฺทมกาสิ, คิรํ นิจฺฉาเรสิฯ อถ นคเร นิฎฺฐิเต สุํสุมารคิรํ เตฺววสฺส นามํ อกํสุฯ เภสกฬาวเนติ เภสกฬานามเก วเนฯ ‘‘เภสคฬาวเน’’ติปิ ปาโฐฯ มิคทาเยติ ตํ วนํ มิคปกฺขีนํ อภยทินฺนฎฺฐาเน ชาตํ, ตสฺมา มิคทาโยติ วุจฺจติฯ
181.Evaṃme sutanti anumānasuttaṃ. Tattha bhaggesūti evaṃnāmake janapade, vacanattho panettha vuttānusāreneva veditabbo. Susumāragireti evaṃnāmake nagare. Tassa kira nagarassa vatthupariggahadivase avidūre udakarahade suṃsumāro saddamakāsi, giraṃ nicchāresi. Atha nagare niṭṭhite suṃsumāragiraṃ tvevassa nāmaṃ akaṃsu. Bhesakaḷāvaneti bhesakaḷānāmake vane. ‘‘Bhesagaḷāvane’’tipi pāṭho. Migadāyeti taṃ vanaṃ migapakkhīnaṃ abhayadinnaṭṭhāne jātaṃ, tasmā migadāyoti vuccati.
ปวาเรตีติ อิจฺฉาเปติฯ วทนฺตูติ โอวาทานุสาสนิวเสน วทนฺตุ, อนุสาสนฺตูติ อโตฺถฯ วจนีโยมฺหีติ อหํ ตุเมฺหหิ วตฺตโพฺพ, อนุสาสิตโพฺพ โอวทิตโพฺพติ อโตฺถฯ โส จ โหติ ทุพฺพโจติ โส จ ทุเกฺขน วตฺตโพฺพ โหติ, วุโตฺต น สหติฯ โทวจสฺสกรเณหีติ ทุพฺพจภาวการเกหิ อุปริ อาคเตหิ โสฬสหิ ธเมฺมหิฯ อปฺปทกฺขิณคฺคาหี อนุสาสนินฺติ โย หิ วุจฺจมาโน ตุเมฺห มํ กสฺมา วทถ, อหํ อตฺตโน กปฺปิยากปฺปิยํ สาวชฺชานวชฺชํ อตฺถานตฺถํ ชานามีติ วทติฯ อยํ อนุสาสนิํ ปทกฺขิณโต น คณฺหาติ, วามโต คณฺหาติ, ตสฺมา อปฺปทกฺขิณคฺคาหีติ วุจฺจติฯ
Pavāretīti icchāpeti. Vadantūti ovādānusāsanivasena vadantu, anusāsantūti attho. Vacanīyomhīti ahaṃ tumhehi vattabbo, anusāsitabbo ovaditabboti attho. So ca hoti dubbacoti so ca dukkhena vattabbo hoti, vutto na sahati. Dovacassakaraṇehīti dubbacabhāvakārakehi upari āgatehi soḷasahi dhammehi. Appadakkhiṇaggāhī anusāsaninti yo hi vuccamāno tumhe maṃ kasmā vadatha, ahaṃ attano kappiyākappiyaṃ sāvajjānavajjaṃ atthānatthaṃ jānāmīti vadati. Ayaṃ anusāsaniṃ padakkhiṇato na gaṇhāti, vāmato gaṇhāti, tasmā appadakkhiṇaggāhīti vuccati.
ปาปิกานํ อิจฺฉานนฺติ ลามกานํ อสนฺตสมฺภวนปตฺถนานํฯ ปฎิปฺผรตีติ ปฎิวิรุโทฺธ, ปจฺจนีโก หุตฺวา ติฎฺฐติ, อปสาเทตีติ กิํ นุ โข ตุยฺหํ พาลสฺส อพฺยตฺตสฺส ภณิเตน, ตฺวมฺปิ นาม ภณิตพฺพํ มญฺญิสฺสสีติ เอวํ ฆเฎฺฎติฯ ปจฺจาโรเปตีติ, ตฺวมฺปิ โขสิ อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ตํ ตาว ปฎิกโรหีติ เอวํ ปฎิอาโรเปติฯ
Pāpikānaṃ icchānanti lāmakānaṃ asantasambhavanapatthanānaṃ. Paṭippharatīti paṭiviruddho, paccanīko hutvā tiṭṭhati, apasādetīti kiṃ nu kho tuyhaṃ bālassa abyattassa bhaṇitena, tvampi nāma bhaṇitabbaṃ maññissasīti evaṃ ghaṭṭeti. Paccāropetīti, tvampi khosi itthannāmaṃ āpattiṃ āpanno, taṃ tāva paṭikarohīti evaṃ paṭiāropeti.
อเญฺญนญฺญํ ปฎิจรตีติ อเญฺญน การเณน วจเนน วา อญฺญํ การณํ วจนํ วา ปฎิจฺฉาเทติฯ ‘‘อาปตฺติํ อาปโนฺนสี’’ติ วุเตฺต ‘‘โก อาปโนฺน, กิํ อาปโนฺน, กิสฺมิํ อาปโนฺน, กํ ภณถ, กิํ ภณถา’’ติ วา วทติฯ ‘‘เอวรูปํ กิญฺจิ ตยา ทิฎฺฐ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘น สุณามี’’ติ โสตํ วา อุปเนติฯ พหิทฺธา กถํ อปนาเมตีติ ‘‘อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺนสี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘ปาฎลิปุตฺตํ คโตมฺหี’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘น ตว ปาฎลิปุตฺตคมนํ ปุจฺฉาม, อาปตฺติํ ปุจฺฉามา’’ติ วุเตฺต ‘‘ตโต ราชเคหํ คโตมฺหี’’ติ, ราชเคหํ วา ยาหิ พฺราหฺมณเคหํ วา, อาปตฺติํ อาปโนฺนสีติฯ ตตฺถ เม สูกรมํสํ ลทฺธนฺติอาทีนิ วทโนฺต กถํ พหิทฺธา วิกฺขิปติฯ
Aññenaññaṃ paṭicaratīti aññena kāraṇena vacanena vā aññaṃ kāraṇaṃ vacanaṃ vā paṭicchādeti. ‘‘Āpattiṃ āpannosī’’ti vutte ‘‘ko āpanno, kiṃ āpanno, kismiṃ āpanno, kaṃ bhaṇatha, kiṃ bhaṇathā’’ti vā vadati. ‘‘Evarūpaṃ kiñci tayā diṭṭha’’nti vutte ‘‘na suṇāmī’’ti sotaṃ vā upaneti. Bahiddhā kathaṃ apanāmetīti ‘‘itthannāmaṃ āpattiṃ āpannosī’’ti puṭṭho ‘‘pāṭaliputtaṃ gatomhī’’ti vatvā puna ‘‘na tava pāṭaliputtagamanaṃ pucchāma, āpattiṃ pucchāmā’’ti vutte ‘‘tato rājagehaṃ gatomhī’’ti, rājagehaṃ vā yāhi brāhmaṇagehaṃ vā, āpattiṃ āpannosīti. Tattha me sūkaramaṃsaṃ laddhantiādīni vadanto kathaṃ bahiddhā vikkhipati.
อปทาเนติ อตฺตโน จริยายฯ น สมฺปายตีติ, อาวุโส, ตฺวํ กุหิํ วสสิ, กํ นิสฺสาย วสสีติ วา, ยํ ตฺวํ วเทสิ ‘‘มยา เอส อาปตฺติํ อาปชฺชโนฺน ทิโฎฺฐ’’ติฯ ตฺวํ ตสฺมิํ สมเย กิํ กโรสิ, อยํ กิํ กโรติ, กตฺถ วา ตฺวํ อจฺฉสิ กตฺถ วา อยนฺติอาทินา นเยน จริยํ ปุโฎฺฐ สมฺปาเทตฺวา กเถตุํ น สโกฺกติฯ
Apadāneti attano cariyāya. Na sampāyatīti, āvuso, tvaṃ kuhiṃ vasasi, kaṃ nissāya vasasīti vā, yaṃ tvaṃ vadesi ‘‘mayā esa āpattiṃ āpajjanno diṭṭho’’ti. Tvaṃ tasmiṃ samaye kiṃ karosi, ayaṃ kiṃ karoti, kattha vā tvaṃ acchasi kattha vā ayantiādinā nayena cariyaṃ puṭṭho sampādetvā kathetuṃ na sakkoti.
๑๘๓. ตตฺราวุโสติ , อาวุโส, เตสุ โสฬสสุ ธเมฺมสุฯ อตฺตนาว อตฺตานํ เอวํ อนุมินิตพฺพนฺติ เอวํ อตฺตนาว อตฺตา อนุเมตโพฺพ ตุเลตโพฺพ ตีเรตโพฺพฯ
183.Tatrāvusoti , āvuso, tesu soḷasasu dhammesu. Attanāva attānaṃ evaṃ anuminitabbanti evaṃ attanāva attā anumetabbo tuletabbo tīretabbo.
๑๘๔. ปจฺจเวกฺขิตพฺพนฺติ ปจฺจเวกฺขิตโพฺพฯ อโหรตฺตานุสิกฺขินาติ ทิวาปิ รตฺติมฺปิ สิกฺขเนฺตน, รติญฺจ ทิวา จ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สิกฺขเนฺตน ปีติปาโมชฺชเมว อุปฺปาเทตพฺพนฺติ อโตฺถฯ
184.Paccavekkhitabbanti paccavekkhitabbo. Ahorattānusikkhināti divāpi rattimpi sikkhantena, ratiñca divā ca kusalesu dhammesu sikkhantena pītipāmojjameva uppādetabbanti attho.
อเจฺฉ วา อุทกปเตฺตติ ปสเนฺน วา อุทกภาชเนฯ มุขนิมิตฺตนฺติ มุขปฎิพิมฺพํฯ รชนฺติ อาคนฺตุกรชํฯ องฺคณนฺติ ตตฺถ ชาตกํ ติลกํ วา ปิฬกํ วาฯ สเพฺพปิเม ปาปเก อกุสเล ธเมฺม ปหีเนติ อิมินา สพฺพปฺปหานํ กเถสิฯ กถํ? เอตฺตกา อกุสลา ธมฺมา ปพฺพชิตสฺส นานุจฺฉวิกาติ ปฎิสงฺขานํ อุปฺปาทยโต หิ ปฎิสงฺขานปฺปหานํกถิตํ โหติฯ สีลํ ปทฎฺฐานํ กตฺวา กสิณปริกมฺมํ อารภิตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตนฺตสฺส วิกฺขมฺภนปฺปหานํ กถิตํฯ สมาปตฺติํ ปทฎฺฐานํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒนฺตสฺส ตทงฺคปฺปหานํ กถิตํฯ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา มคฺคํ ภาเวนฺตสฺส สมุเจฺฉทปฺปหานํ กถิตํฯ ผเล อาคเต ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ, นิพฺพาเน อาคเต นิสฺสรณปฺปหานนฺติ เอวํ อิมสฺมิํ สุเตฺต สพฺพปฺปหานํ กถิตํว โหติฯ
Acche vā udakapatteti pasanne vā udakabhājane. Mukhanimittanti mukhapaṭibimbaṃ. Rajanti āgantukarajaṃ. Aṅgaṇanti tattha jātakaṃ tilakaṃ vā piḷakaṃ vā. Sabbepime pāpake akusale dhamme pahīneti iminā sabbappahānaṃ kathesi. Kathaṃ? Ettakā akusalā dhammā pabbajitassa nānucchavikāti paṭisaṅkhānaṃ uppādayato hi paṭisaṅkhānappahānaṃkathitaṃ hoti. Sīlaṃ padaṭṭhānaṃ katvā kasiṇaparikammaṃ ārabhitvā aṭṭha samāpattiyo nibbattentassa vikkhambhanappahānaṃ kathitaṃ. Samāpattiṃ padaṭṭhānaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhentassa tadaṅgappahānaṃ kathitaṃ. Vipassanaṃ vaḍḍhetvā maggaṃ bhāventassa samucchedappahānaṃ kathitaṃ. Phale āgate paṭippassaddhippahānaṃ, nibbāne āgate nissaraṇappahānanti evaṃ imasmiṃ sutte sabbappahānaṃ kathitaṃva hoti.
อิทญฺหิ สุตฺตํ ภิกฺขุปาติโมกฺขํ นามาติ โปราณา วทนฺติฯ อิทํ ทิวสสฺส ติกฺขตฺตุํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํฯ ปาโต เอว วสนฎฺฐานํ ปวิสิตฺวา นิสิเนฺนน ‘‘อิเม เอตฺตกา กิเลสา อตฺถิ นุ โข มยฺหํ นตฺถี’’ติ ปจฺจเวกฺขิตพฺพาฯ สเจ อตฺถีติ ปสฺสติ, เตสํ ปหานาย วายมิตพฺพํฯ โน เจ ปสฺสติ, สุปพฺพชิโตสฺมีติ อตฺตมเนน ภวิตพฺพํฯ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา รตฺติฎฺฐาเน วา ทิวาฎฺฐาเน วา นิสีทิตฺวาปิ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํฯ สายํ วสนฎฺฐาเน นิสีทิตฺวาปิ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํฯ ติกฺขตฺตุํ อสโกฺกเนฺตน เทฺว วาเร ปจฺจเวกฺขิตพฺพํฯ เทฺว วาเร อสโกฺกเนฺตน ปน อวสฺสํ เอกวารํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ, อปฺปจฺจเวกฺขิตุํ น วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
Idañhi suttaṃ bhikkhupātimokkhaṃ nāmāti porāṇā vadanti. Idaṃ divasassa tikkhattuṃ paccavekkhitabbaṃ. Pāto eva vasanaṭṭhānaṃ pavisitvā nisinnena ‘‘ime ettakā kilesā atthi nu kho mayhaṃ natthī’’ti paccavekkhitabbā. Sace atthīti passati, tesaṃ pahānāya vāyamitabbaṃ. No ce passati, supabbajitosmīti attamanena bhavitabbaṃ. Bhattakiccaṃ katvā rattiṭṭhāne vā divāṭṭhāne vā nisīditvāpi paccavekkhitabbaṃ. Sāyaṃ vasanaṭṭhāne nisīditvāpi paccavekkhitabbaṃ. Tikkhattuṃ asakkontena dve vāre paccavekkhitabbaṃ. Dve vāre asakkontena pana avassaṃ ekavāraṃ paccavekkhitabbaṃ, appaccavekkhituṃ na vaṭṭatīti vadanti. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
อนุมานสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Anumānasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๕. อนุมานสุตฺตํ • 5. Anumānasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. อนุมานสุตฺตวณฺณนา • 5. Anumānasuttavaṇṇanā