Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๒. อนุปทวโคฺค
2. Anupadavaggo
๑. อนุปทสุตฺตํ
1. Anupadasuttaṃ
๙๓. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขโว’’ติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ –
93. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tatra kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhavo’’ti. ‘‘Bhadante’’ti te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca –
‘‘ปณฺฑิโต, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต; มหาปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต; ปุถุปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต; หาสปโญฺญ 1, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต; ชวนปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต; ติกฺขปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต; นิเพฺพธิกปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต; สาริปุโตฺต, ภิกฺขเว, อฑฺฒมาสํ อนุปทธมฺมวิปสฺสนํ วิปสฺสติฯ ตตฺริทํ, ภิกฺขเว, สาริปุตฺตสฺส อนุปทธมฺมวิปสฺสนาย โหติฯ
‘‘Paṇḍito, bhikkhave, sāriputto; mahāpañño, bhikkhave, sāriputto; puthupañño, bhikkhave, sāriputto; hāsapañño 2, bhikkhave, sāriputto; javanapañño, bhikkhave, sāriputto; tikkhapañño, bhikkhave, sāriputto; nibbedhikapañño, bhikkhave, sāriputto; sāriputto, bhikkhave, aḍḍhamāsaṃ anupadadhammavipassanaṃ vipassati. Tatridaṃ, bhikkhave, sāriputtassa anupadadhammavipassanāya hoti.
๙๔. ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เย จ ปฐเม ฌาเน 3 ธมฺมา วิตโกฺก จ วิจาโร จ ปีติ จ สุขญฺจ จิเตฺตกคฺคตา จ, ผโสฺส เวทนา สญฺญา เจตนา จิตฺตํ ฉโนฺท อธิโมโกฺข วีริยํ สติ อุเปกฺขา มนสิกาโร – ตฺยาสฺส ธมฺมา อนุปทววตฺถิตา โหนฺติฯ ตฺยาสฺส ธมฺมา วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ, วิทิตา อุปฎฺฐหนฺติ, วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’ติฯ โส เตสุ ธเมฺมสุ อนุปาโย อนปาโย อนิสฺสิโต อปฺปฎิพโทฺธ 4 วิปฺปมุโตฺต วิสํยุโตฺต วิมริยาทีกเตน เจตสา วิหรติฯ โส ‘อตฺถิ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ ปชานาติฯ ตพฺพหุลีการา อตฺถิเตฺววสฺส 5 โหติฯ
94. ‘‘Idha, bhikkhave, sāriputto vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ye ca paṭhame jhāne 6 dhammā vitakko ca vicāro ca pīti ca sukhañca cittekaggatā ca, phasso vedanā saññā cetanā cittaṃ chando adhimokkho vīriyaṃ sati upekkhā manasikāro – tyāssa dhammā anupadavavatthitā honti. Tyāssa dhammā viditā uppajjanti, viditā upaṭṭhahanti, viditā abbhatthaṃ gacchanti. So evaṃ pajānāti – ‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’ti. So tesu dhammesu anupāyo anapāyo anissito appaṭibaddho 7 vippamutto visaṃyutto vimariyādīkatena cetasā viharati. So ‘atthi uttari nissaraṇa’nti pajānāti. Tabbahulīkārā atthitvevassa 8 hoti.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เย จ ทุติเย ฌาเน ธมฺมา – อชฺฌตฺตํ สมฺปสาโท จ ปีติ จ สุขญฺจ จิเตฺตกคฺคตา จ, ผโสฺส เวทนา สญฺญา เจตนา จิตฺตํ ฉโนฺท อธิโมโกฺข วีริยํ สติ อุเปกฺขา มนสิกาโร – ตฺยาสฺส ธมฺมา อนุปทววตฺถิตา โหนฺติฯ ตฺยาสฺส ธมฺมา วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ, วิทิตา อุปฎฺฐหนฺติ, วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’ติฯ โส เตสุ ธเมฺมสุ อนุปาโย อนปาโย อนิสฺสิโต อปฺปฎิพโทฺธ วิปฺปมุโตฺต วิสํยุโตฺต วิมริยาทีกเตน เจตสา วิหรติฯ โส ‘อตฺถิ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ ปชานาติฯ ตพฺพหุลีการา อตฺถิเตฺววสฺส โหติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sāriputto vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ye ca dutiye jhāne dhammā – ajjhattaṃ sampasādo ca pīti ca sukhañca cittekaggatā ca, phasso vedanā saññā cetanā cittaṃ chando adhimokkho vīriyaṃ sati upekkhā manasikāro – tyāssa dhammā anupadavavatthitā honti. Tyāssa dhammā viditā uppajjanti, viditā upaṭṭhahanti, viditā abbhatthaṃ gacchanti. So evaṃ pajānāti – ‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’ti. So tesu dhammesu anupāyo anapāyo anissito appaṭibaddho vippamutto visaṃyutto vimariyādīkatena cetasā viharati. So ‘atthi uttari nissaraṇa’nti pajānāti. Tabbahulīkārā atthitvevassa hoti.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ สโต จ สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทติฯ ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เย จ ตติเย ฌาเน ธมฺมา – สุขญฺจ สติ จ สมฺปชญฺญญฺจ จิเตฺตกคฺคตา จ, ผโสฺส เวทนา สญฺญา เจตนา จิตฺตํ ฉโนฺท อธิโมโกฺข วีริยํ สติ อุเปกฺขา มนสิกาโร – ตฺยาสฺส ธมฺมา อนุปทววตฺถิตา โหนฺติ, ตฺยาสฺส ธมฺมา วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ, วิทิตา อุปฎฺฐหนฺติ, วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’ติฯ โส เตสุ ธเมฺมสุ อนุปาโย อนปาโย อนิสฺสิโต อปฺปฎิพโทฺธ วิปฺปมุโตฺต วิสํยุโตฺต วิมริยาทีกเตน เจตสา วิหรติฯ โส ‘อตฺถิ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ ปชานาติฯ ตพฺพหุลีการา อตฺถิเตฺววสฺส โหติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sāriputto pītiyā ca virāgā upekkhako ca viharati sato ca sampajāno, sukhañca kāyena paṭisaṃvedeti. Yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – ‘upekkhako satimā sukhavihārī’ti tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ye ca tatiye jhāne dhammā – sukhañca sati ca sampajaññañca cittekaggatā ca, phasso vedanā saññā cetanā cittaṃ chando adhimokkho vīriyaṃ sati upekkhā manasikāro – tyāssa dhammā anupadavavatthitā honti, tyāssa dhammā viditā uppajjanti, viditā upaṭṭhahanti, viditā abbhatthaṃ gacchanti. So evaṃ pajānāti – ‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’ti. So tesu dhammesu anupāyo anapāyo anissito appaṭibaddho vippamutto visaṃyutto vimariyādīkatena cetasā viharati. So ‘atthi uttari nissaraṇa’nti pajānāti. Tabbahulīkārā atthitvevassa hoti.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เย จ จตุเตฺถ ฌาเน ธมฺมา – อุเปกฺขา อทุกฺขมสุขา เวทนา ปสฺสทฺธตฺตา เจตโส อนาโภโค สติปาริสุทฺธิ จิเตฺตกคฺคตา จ, ผโสฺส เวทนา สญฺญา เจตนา จิตฺตํ ฉโนฺท อธิโมโกฺข วีริยํ สติ อุเปกฺขา มนสิกาโร – ตฺยาสฺส ธมฺมา อนุปทววตฺถิตา โหนฺติฯ ตฺยาสฺส ธมฺมา วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ, วิทิตา อุปฎฺฐหนฺติ, วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’ติฯ โส เตสุ ธเมฺมสุ อนุปาโย อนปายาเอ อนิสฺสิโต อปฺปฎิพโทฺธ วิปฺปมุโตฺต วิสํยุโตฺต วิมริยาทีกเตน เจตสา วิหรติฯ โส ‘อตฺถิ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ ปชานาติฯ ตพฺพหุลีการา อตฺถิเตฺววสฺส โหติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sāriputto sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ye ca catutthe jhāne dhammā – upekkhā adukkhamasukhā vedanā passaddhattā cetaso anābhogo satipārisuddhi cittekaggatā ca, phasso vedanā saññā cetanā cittaṃ chando adhimokkho vīriyaṃ sati upekkhā manasikāro – tyāssa dhammā anupadavavatthitā honti. Tyāssa dhammā viditā uppajjanti, viditā upaṭṭhahanti, viditā abbhatthaṃ gacchanti. So evaṃ pajānāti – ‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’ti. So tesu dhammesu anupāyo anapāyāe anissito appaṭibaddho vippamutto visaṃyutto vimariyādīkatena cetasā viharati. So ‘atthi uttari nissaraṇa’nti pajānāti. Tabbahulīkārā atthitvevassa hoti.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนโนฺต อากาโส’ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เย จ อากาสานญฺจายตเน ธมฺมา – อากาสานญฺจายตนสญฺญา จ จิเตฺตกคฺคตา จ ผโสฺส เวทนา สญฺญา เจตนา จิตฺตํ ฉโนฺท อธิโมโกฺข วีริยํ สติ อุเปกฺขา มนสิกาโร – ตฺยาสฺส ธมฺมา อนุปทววตฺถิตา โหนฺติฯ ตฺยาสฺส ธมฺมา วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ, วิทิตา อุปฎฺฐหนฺติ, วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’ติฯ โส เตสุ ธเมฺมสุ อนุปาโย อนปาโย อนิสฺสิโต อปฺปฎิพโทฺธ วิปฺปมุโตฺต วิสํยุโตฺต วิมริยาทีกเตน เจตสา วิหรติฯ โส ‘อตฺถิ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ ปชานาติฯ ตพฺพหุลีการา อตฺถิเตฺววสฺส โหติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sāriputto sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā ‘ananto ākāso’ti ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja viharati. Ye ca ākāsānañcāyatane dhammā – ākāsānañcāyatanasaññā ca cittekaggatā ca phasso vedanā saññā cetanā cittaṃ chando adhimokkho vīriyaṃ sati upekkhā manasikāro – tyāssa dhammā anupadavavatthitā honti. Tyāssa dhammā viditā uppajjanti, viditā upaṭṭhahanti, viditā abbhatthaṃ gacchanti. So evaṃ pajānāti – ‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’ti. So tesu dhammesu anupāyo anapāyo anissito appaṭibaddho vippamutto visaṃyutto vimariyādīkatena cetasā viharati. So ‘atthi uttari nissaraṇa’nti pajānāti. Tabbahulīkārā atthitvevassa hoti.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณ’นฺติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เย จ วิญฺญาณญฺจายตเน ธมฺมา – วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญา จ จิเตฺตกคฺคตา จ, ผโสฺส เวทนา สญฺญา เจตนา จิตฺตํ ฉโนฺท อธิโมโกฺข วีริยํ สติ อุเปกฺขา มนสิกาโร – ตฺยาสฺส ธมฺมา อนุปทววตฺถิตา โหนฺติฯ ตฺยาสฺส ธมฺมา วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ, วิทิตา อุปฎฺฐหนฺติ, วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’ติฯ โส เตสุ ธเมฺมสุ อนุปาโย อนปาโย อนิสฺสิโต อปฺปฎิพโทฺธ วิปฺปมุโตฺต วิสํยุโตฺต วิมริยาทีกเตน เจตสา วิหรติฯ โส ‘อตฺถิ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ ปชานาติฯ ตพฺพหุลีการา อตฺถิเตฺววสฺส โหติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sāriputto sabbaso ākāsānañcāyatanaṃ samatikkamma ‘anantaṃ viññāṇa’nti viññāṇañcāyatanaṃ upasampajja viharati. Ye ca viññāṇañcāyatane dhammā – viññāṇañcāyatanasaññā ca cittekaggatā ca, phasso vedanā saññā cetanā cittaṃ chando adhimokkho vīriyaṃ sati upekkhā manasikāro – tyāssa dhammā anupadavavatthitā honti. Tyāssa dhammā viditā uppajjanti, viditā upaṭṭhahanti, viditā abbhatthaṃ gacchanti. So evaṃ pajānāti – ‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’ti. So tesu dhammesu anupāyo anapāyo anissito appaṭibaddho vippamutto visaṃyutto vimariyādīkatena cetasā viharati. So ‘atthi uttari nissaraṇa’nti pajānāti. Tabbahulīkārā atthitvevassa hoti.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี’ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เย จ อากิญฺจญฺญายตเน ธมฺมา – อากิญฺจญฺญายตนสญฺญา จ จิเตฺตกคฺคตา จ, ผโสฺส เวทนา สญฺญา เจตนา จิตฺตํ ฉโนฺท อธิโมโกฺข วีริยํ สติ อุเปกฺขา มนสิกาโร – ตฺยาสฺส ธมฺมา อนุปทววตฺถิตา โหนฺติฯ ตฺยาสฺส ธมฺมา วิทิตา อุปฺปชฺชนฺติ, วิทิตา อุปฎฺฐหนฺติ, วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’ติฯ โส เตสุ ธเมฺมสุ อนุปาโย อนปาโย อนิสฺสิโต อปฺปฎิพโทฺธ วิปฺปมุโตฺต วิสํยุโตฺต วิมริยาทีกเตน เจตสา วิหรติฯ โส ‘อตฺถิ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ ปชานาติฯ ตพฺพหุลีการา อตฺถิเตฺววสฺส โหติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sāriputto sabbaso viññāṇañcāyatanaṃ samatikkamma ‘natthi kiñcī’ti ākiñcaññāyatanaṃ upasampajja viharati. Ye ca ākiñcaññāyatane dhammā – ākiñcaññāyatanasaññā ca cittekaggatā ca, phasso vedanā saññā cetanā cittaṃ chando adhimokkho vīriyaṃ sati upekkhā manasikāro – tyāssa dhammā anupadavavatthitā honti. Tyāssa dhammā viditā uppajjanti, viditā upaṭṭhahanti, viditā abbhatthaṃ gacchanti. So evaṃ pajānāti – ‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’ti. So tesu dhammesu anupāyo anapāyo anissito appaṭibaddho vippamutto visaṃyutto vimariyādīkatena cetasā viharati. So ‘atthi uttari nissaraṇa’nti pajānāti. Tabbahulīkārā atthitvevassa hoti.
๙๕. ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส ตาย สมาปตฺติยา สโต วุฎฺฐหติฯ โส ตาย สมาปตฺติยา สโต วุฎฺฐหิตฺวา เย ธมฺมา 9 อตีตา นิรุทฺธา วิปริณตา เต ธเมฺม สมนุปสฺสติ – ‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’ติฯ โส เตสุ ธเมฺมสุ อนุปาโย อนปาโย อนิสฺสิโต อปฺปฎิพโทฺธ วิปฺปมุโตฺต วิสํยุโตฺต วิมริยาทีกเตน เจตสา วิหรติฯ โส ‘อตฺถิ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ ปชานาติฯ ตพฺพหุลีการา อตฺถิเตฺววสฺส โหติฯ
95. ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sāriputto sabbaso ākiñcaññāyatanaṃ samatikkamma nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharati. So tāya samāpattiyā sato vuṭṭhahati. So tāya samāpattiyā sato vuṭṭhahitvā ye dhammā 10 atītā niruddhā vipariṇatā te dhamme samanupassati – ‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’ti. So tesu dhammesu anupāyo anapāyo anissito appaṭibaddho vippamutto visaṃyutto vimariyādīkatena cetasā viharati. So ‘atthi uttari nissaraṇa’nti pajānāti. Tabbahulīkārā atthitvevassa hoti.
๙๖. ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติฯ โส ตาย สมาปตฺติยา สโต วุฎฺฐหติฯ โส ตาย สมาปตฺติยา สโต วุฎฺฐหิตฺวา เย ธมฺมา อตีตา นิรุทฺธา วิปริณตา เต ธเมฺม สมนุปสฺสติ – ‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’ติฯ โส เตสุ ธเมฺมสุ อนุปาโย อนปาโย อนิสฺสิโต อปฺปฎิพโทฺธ วิปฺปมุโตฺต วิสํยุโตฺต วิมริยาทีกเตน เจตสา วิหรติฯ โส ‘นตฺถิ อุตฺตริ นิสฺสรณ’นฺติ ปชานาติฯ ตพฺพหุลีการา นตฺถิเตฺววสฺส โหติฯ
96. ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, sāriputto sabbaso nevasaññānāsaññāyatanaṃ samatikkamma saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja viharati. Paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā honti. So tāya samāpattiyā sato vuṭṭhahati. So tāya samāpattiyā sato vuṭṭhahitvā ye dhammā atītā niruddhā vipariṇatā te dhamme samanupassati – ‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’ti. So tesu dhammesu anupāyo anapāyo anissito appaṭibaddho vippamutto visaṃyutto vimariyādīkatena cetasā viharati. So ‘natthi uttari nissaraṇa’nti pajānāti. Tabbahulīkārā natthitvevassa hoti.
๙๗. ‘‘ยํ โข ตํ, ภิกฺขเว, สมฺมา วทมาโน วเทยฺย – ‘วสิปฺปโตฺต ปารมิปฺปโตฺต อริยสฺมิํ สีลสฺมิํ, วสิปฺปโตฺต ปารมิปฺปโตฺต อริยสฺมิํ สมาธิสฺมิํ, วสิปฺปโตฺต ปารมิปฺปโตฺต อริยาย ปญฺญาย , วสิปฺปโตฺต ปารมิปฺปโตฺต อริยาย วิมุตฺติยา’ติ, สาริปุตฺตเมว ตํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺย – ‘วสิปฺปโตฺต ปารมิปฺปโตฺต อริยสฺมิํ สีลสฺมิํ, วสิปฺปโตฺต ปารมิปฺปโตฺต อริยสฺมิํ สมาธิสฺมิํ, วสิปฺปโตฺต ปารมิปฺปโตฺต อริยาย ปญฺญาย, วสิปฺปโตฺต ปารมิปฺปโตฺต อริยาย วิมุตฺติยา’ติฯ ยํ โข ตํ, ภิกฺขเว , สมฺมา วทมาโน วเทยฺย – ‘ภควโต ปุโตฺต โอรโส มุขโต ชาโต ธมฺมโช ธมฺมนิมฺมิโต ธมฺมทายาโท โน อามิสทายาโท’ติ, สาริปุตฺตเมว ตํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺย – ‘ภควโต ปุโตฺต โอรโส มุขโต ชาโต ธมฺมโช ธมฺมนิมฺมิโต ธมฺมทายาโท โน อามิสทายาโท’ติฯ สาริปุโตฺต, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ สมฺมเทว อนุปฺปวเตฺตตี’’ติฯ
97. ‘‘Yaṃ kho taṃ, bhikkhave, sammā vadamāno vadeyya – ‘vasippatto pāramippatto ariyasmiṃ sīlasmiṃ, vasippatto pāramippatto ariyasmiṃ samādhismiṃ, vasippatto pāramippatto ariyāya paññāya , vasippatto pāramippatto ariyāya vimuttiyā’ti, sāriputtameva taṃ sammā vadamāno vadeyya – ‘vasippatto pāramippatto ariyasmiṃ sīlasmiṃ, vasippatto pāramippatto ariyasmiṃ samādhismiṃ, vasippatto pāramippatto ariyāya paññāya, vasippatto pāramippatto ariyāya vimuttiyā’ti. Yaṃ kho taṃ, bhikkhave , sammā vadamāno vadeyya – ‘bhagavato putto oraso mukhato jāto dhammajo dhammanimmito dhammadāyādo no āmisadāyādo’ti, sāriputtameva taṃ sammā vadamāno vadeyya – ‘bhagavato putto oraso mukhato jāto dhammajo dhammanimmito dhammadāyādo no āmisadāyādo’ti. Sāriputto, bhikkhave, tathāgatena anuttaraṃ dhammacakkaṃ pavattitaṃ sammadeva anuppavattetī’’ti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti.
อนุปทสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปฐมํฯ
Anupadasuttaṃ niṭṭhitaṃ paṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. อนุปทสุตฺตวณฺณนา • 1. Anupadasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. อนุปทสุตฺตวณฺณนา • 1. Anupadasuttavaṇṇanā