Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๗. อนูปมเตฺถรคาถาวณฺณนา
7. Anūpamattheragāthāvaṇṇanā
นนฺทมานาคตํ จิตฺตาติ อายสฺมโต อนูปมเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยํ ปุญฺญํ อุปจินโนฺต อิโต เอกติํเส กเปฺป กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต เอกทิวสํ ปทุมํ นาม ปเจฺจกพุทฺธํ ปิณฺฑาย จรนฺตํ รถิยํ ทิสฺวา ปสนฺนมานโส อโงฺกลปุเปฺผหิ ปูเชสิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท โกสลรเฎฺฐ อิพฺภกุเล นิพฺพตฺติตฺวา รูปสมฺปตฺติยา อนูปโมติ ลทฺธนาโม วยปฺปโตฺต อุปนิสฺสยสมฺปนฺนตาย กาเม ปหาย ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต อรเญฺญ วิหรติฯ ตสฺส จิตฺตํ พหิทฺธา รูปาทิอารมฺมเณสุ วิธาวติฯ กมฺมฎฺฐานํ ปริวฎฺฎติฯ เถโร วิธาวนฺตํ จิตฺตํ นิคฺคณฺหโนฺต –
Nandamānāgataṃ cittāti āyasmato anūpamattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayaṃ puññaṃ upacinanto ito ekatiṃse kappe kulagehe nibbattitvā viññutaṃ patto ekadivasaṃ padumaṃ nāma paccekabuddhaṃ piṇḍāya carantaṃ rathiyaṃ disvā pasannamānaso aṅkolapupphehi pūjesi. So tena puññakammena devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde kosalaraṭṭhe ibbhakule nibbattitvā rūpasampattiyā anūpamoti laddhanāmo vayappatto upanissayasampannatāya kāme pahāya pabbajitvā vipassanāya kammaṃ karonto araññe viharati. Tassa cittaṃ bahiddhā rūpādiārammaṇesu vidhāvati. Kammaṭṭhānaṃ parivaṭṭati. Thero vidhāvantaṃ cittaṃ niggaṇhanto –
๒๑๓.
213.
‘‘นนฺทมานาคตํ จิตฺตํ, สูลมาโรปมานกํ;
‘‘Nandamānāgataṃ cittaṃ, sūlamāropamānakaṃ;
เตน เตเนว วชสิ, เยน สูลํ กลิงฺครํฯ
Tena teneva vajasi, yena sūlaṃ kaliṅgaraṃ.
๒๑๔.
214.
‘‘ตาหํ จิตฺตกลิํ พฺรูมิ, ตํ พฺรูมิ จิตฺตทุพฺภกํ;
‘‘Tāhaṃ cittakaliṃ brūmi, taṃ brūmi cittadubbhakaṃ;
สตฺถา เต ทุลฺลโภ ลโทฺธ, มานเตฺถ มํ นิโยชยี’’ติฯ –
Satthā te dullabho laddho, mānatthe maṃ niyojayī’’ti. –
อิมาหิ ทฺวีหิ คาถาหิ โอวทิฯ
Imāhi dvīhi gāthāhi ovadi.
ตตฺถ นนฺทมานาคตํ จิตฺตาติ นนฺทมาน อภินนฺทมาน จิตฺต อภินนฺทมานํ อาคตํ อุปฺปนฺนํ ฯ สูลมาโรปมานกนฺติ ทุกฺขุปฺปตฺติฎฺฐานตาย สูลสทิสตฺตา สูลํ ตํ ตํ ภวํ กมฺมกิเลเสหิ เอตฺตกํ กาลํ อาโรปิยมานํฯ เตน เตเนว วชสิ, เยน สูลํ กลิงฺครนฺติ ยตฺถ ยตฺถ สูลสงฺขาตา ภวา กลิงฺครสงฺขาตา อธิกุฎฺฎนกา กามคุณา จ เตน เตเนว, ปาปจิตฺต, วชสิ, ตํ ตเทว ฐานํ อุปคจฺฉสิ, อตฺตโน อนตฺถํ น สลฺลเกฺขสิฯ
Tattha nandamānāgataṃ cittāti nandamāna abhinandamāna citta abhinandamānaṃ āgataṃ uppannaṃ . Sūlamāropamānakanti dukkhuppattiṭṭhānatāya sūlasadisattā sūlaṃ taṃ taṃ bhavaṃ kammakilesehi ettakaṃ kālaṃ āropiyamānaṃ. Tena teneva vajasi, yena sūlaṃ kaliṅgaranti yattha yattha sūlasaṅkhātā bhavā kaliṅgarasaṅkhātā adhikuṭṭanakā kāmaguṇā ca tena teneva, pāpacitta, vajasi, taṃ tadeva ṭhānaṃ upagacchasi, attano anatthaṃ na sallakkhesi.
ตาหํ จิตฺตกลิํ พฺรูมีติ ตํ ตสฺมา ปมตฺตภาวโต จิตฺตกลิํ จิตฺตกาลกณฺณิํ อหํ กถยามิฯ ปุนปิ ตํ พฺรูมิ กเถมิ จิตฺตทุพฺภกํ จิตฺตสงฺขาตสฺส อตฺตโน พหูปการสฺส สนฺตานสฺส อนตฺถาวหนโต จิตฺตทุพฺภิํฯ ‘‘จิตฺตทุพฺภคา’’ติปิ ปฐนฺติฯ จิตฺตสงฺขาตอลกฺขิกอปฺปปุญฺญาติ อโตฺถฯ กินฺติ พฺรูหีติ เจ? อาห ‘‘สตฺถา เต ทุลฺลโภ ลโทฺธ, มานเตฺถ มํ นิโยชยี’’ติฯ กปฺปานํ อสเงฺขฺยยฺยมฺปิ นาม พุทฺธสุโญฺญ โลโก โหติ, สตฺถริ อุปฺปเนฺนปิ มนุสฺสตฺตสทฺธาปฎิลาภาทโย ทุลฺลภา เอว, ลเทฺธสุ จ เตสุ สตฺถาปิ ทุลฺลโภเยว โหติฯ เอวํ ทุลฺลโภ สตฺถา อิทานิ ตยา ลโทฺธ, ตสฺมิํ ลเทฺธ สมฺปติปิ อนเตฺถ อหิเต อายติญฺจ อนตฺถาวเห ทุกฺขาวเห อกุสเล มํ มา นิโยเชสีติฯ เอวํ เถโร อตฺตโน จิตฺตํ โอวทโนฺต เอว วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๓๗.๑๖-๑๙) –
Tāhaṃ cittakaliṃ brūmīti taṃ tasmā pamattabhāvato cittakaliṃ cittakālakaṇṇiṃ ahaṃ kathayāmi. Punapi taṃ brūmi kathemi cittadubbhakaṃ cittasaṅkhātassa attano bahūpakārassa santānassa anatthāvahanato cittadubbhiṃ. ‘‘Cittadubbhagā’’tipi paṭhanti. Cittasaṅkhātaalakkhikaappapuññāti attho. Kinti brūhīti ce? Āha ‘‘satthā te dullabho laddho, mānatthe maṃ niyojayī’’ti. Kappānaṃ asaṅkhyeyyampi nāma buddhasuñño loko hoti, satthari uppannepi manussattasaddhāpaṭilābhādayo dullabhā eva, laddhesu ca tesu satthāpi dullabhoyeva hoti. Evaṃ dullabho satthā idāni tayā laddho, tasmiṃ laddhe sampatipi anatthe ahite āyatiñca anatthāvahe dukkhāvahe akusale maṃ mā niyojesīti. Evaṃ thero attano cittaṃ ovadanto eva vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.37.16-19) –
‘‘ปทุโม นาม สมฺพุโทฺธ, จิตฺตกูเฎ วสี ตทา;
‘‘Padumo nāma sambuddho, cittakūṭe vasī tadā;
ทิสฺวาน ตํ อหํ พุทฺธํ, สยมฺภุํ อปราชิตํฯ
Disvāna taṃ ahaṃ buddhaṃ, sayambhuṃ aparājitaṃ.
‘‘อโงฺกลํ ปุปฺผิตํ ทิสฺวา, โอจินิตฺวานหํ ตทา;
‘‘Aṅkolaṃ pupphitaṃ disvā, ocinitvānahaṃ tadā;
อุปคนฺตฺวาน สมฺพุทฺธํ, ปูชยิํ ปทุมํ ชินํฯ
Upagantvāna sambuddhaṃ, pūjayiṃ padumaṃ jinaṃ.
‘‘เอกติํเส อิโต กเปฺป, ยํ ปุปฺผมภิปูชยิํ;
‘‘Ekatiṃse ito kappe, yaṃ pupphamabhipūjayiṃ;
ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, พุทฺธปูชายิทํ ผลํฯ
Duggatiṃ nābhijānāmi, buddhapūjāyidaṃ phalaṃ.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
อนูปมเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Anūpamattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๗. อนูปมเตฺถรคาถา • 7. Anūpamattheragāthā