Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๒. อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺติสุตฺตํ
2. Anupubbavihārasamāpattisuttaṃ
๓๓. ‘‘นวยิมา, ภิกฺขเว 1, อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺติโย เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ…เป.… กตมา จ, ภิกฺขเว, นว อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺติโย? ยตฺถ กามา นิรุชฺฌนฺติ, เย จ กาเม นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ, ‘อทฺธา เต อายสฺมโนฺต นิจฺฉาตา นิพฺพุตา ติณฺณา ปารงฺคตา ตทเงฺคนา’ติ วทามิฯ ‘กตฺถ กามา นิรุชฺฌนฺติ, เก จ กาเม นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ – อหเมตํ น ชานามิ อหเมตํ น ปสฺสามี’ติ, อิติ โย เอวํ วเทยฺย, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อิธาวุโส , ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอตฺถ กามา นิรุชฺฌนฺติ, เต จ กาเม นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺตี’ติฯ อทฺธา, ภิกฺขเว, อสโฐ อมายาวี ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินเนฺทยฺย อนุโมเทยฺย; ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา นมสฺสมาโน ปญฺชลิโก ปยิรุปาเสยฺยฯ
33. ‘‘Navayimā, bhikkhave 2, anupubbavihārasamāpattiyo desessāmi, taṃ suṇātha…pe… katamā ca, bhikkhave, nava anupubbavihārasamāpattiyo? Yattha kāmā nirujjhanti, ye ca kāme nirodhetvā nirodhetvā viharanti, ‘addhā te āyasmanto nicchātā nibbutā tiṇṇā pāraṅgatā tadaṅgenā’ti vadāmi. ‘Kattha kāmā nirujjhanti, ke ca kāme nirodhetvā nirodhetvā viharanti – ahametaṃ na jānāmi ahametaṃ na passāmī’ti, iti yo evaṃ vadeyya, so evamassa vacanīyo – ‘idhāvuso , bhikkhu vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Ettha kāmā nirujjhanti, te ca kāme nirodhetvā nirodhetvā viharantī’ti. Addhā, bhikkhave, asaṭho amāyāvī ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinandeyya anumodeyya; ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā namassamāno pañjaliko payirupāseyya.
‘‘ยตฺถ วิตกฺกวิจารา นิรุชฺฌนฺติ, เย จ วิตกฺกวิจาเร นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ, ‘อทฺธา เต อายสฺมโนฺต นิจฺฉาตา นิพฺพุตา ติณฺณา ปารงฺคตา ตทเงฺคนา’ติ วทามิฯ ‘กตฺถ วิตกฺกวิจารา นิรุชฺฌนฺติ, เก จ วิตกฺกวิจาเร นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ – อหเมตํ น ชานามิ อหเมตํ น ปสฺสามี’ติ, อิติ โย เอวํ วเทยฺย, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา…เป.… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; เอตฺถ วิตกฺกวิจารา นิรุชฺฌนฺติ, เต จ วิตกฺกวิจาเร นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺตี’ติฯ อทฺธา, ภิกฺขเว, อสโฐ อมายาวี ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินเนฺทยฺย อนุโมเทยฺย; ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา นมสฺสมาโน ปญฺชลิโก ปยิรุปาเสยฺยฯ
‘‘Yattha vitakkavicārā nirujjhanti, ye ca vitakkavicāre nirodhetvā nirodhetvā viharanti, ‘addhā te āyasmanto nicchātā nibbutā tiṇṇā pāraṅgatā tadaṅgenā’ti vadāmi. ‘Kattha vitakkavicārā nirujjhanti, ke ca vitakkavicāre nirodhetvā nirodhetvā viharanti – ahametaṃ na jānāmi ahametaṃ na passāmī’ti, iti yo evaṃ vadeyya, so evamassa vacanīyo – ‘idhāvuso, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā…pe… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; ettha vitakkavicārā nirujjhanti, te ca vitakkavicāre nirodhetvā nirodhetvā viharantī’ti. Addhā, bhikkhave, asaṭho amāyāvī ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinandeyya anumodeyya; ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā namassamāno pañjaliko payirupāseyya.
‘‘ยตฺถ ปีติ นิรุชฺฌติ, เย จ ปีติํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ, ‘อทฺธา เต อายสฺมโนฺต นิจฺฉาตา นิพฺพุตา ติณฺณา ปารงฺคตา ตทเงฺคนา’ติ วทามิฯ ‘กตฺถ ปีติ นิรุชฺฌติ, เก จ ปีติํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ – อหเมตํ น ชานามิ อหเมตํ น ปสฺสามี’ติ, อิติ โย เอวํ วเทยฺย, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา…เป.… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; เอตฺถ ปีติ นิรุชฺฌติ, เต จ ปีติํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺตี’ติฯ อทฺธา, ภิกฺขเว, อสโฐ อมายาวี ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินเนฺทยฺย อนุโมเทยฺย; ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา นมสฺสมาโน ปญฺชลิโก ปยิรุปาเสยฺยฯ
‘‘Yattha pīti nirujjhati, ye ca pītiṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti, ‘addhā te āyasmanto nicchātā nibbutā tiṇṇā pāraṅgatā tadaṅgenā’ti vadāmi. ‘Kattha pīti nirujjhati, ke ca pītiṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti – ahametaṃ na jānāmi ahametaṃ na passāmī’ti, iti yo evaṃ vadeyya, so evamassa vacanīyo – ‘idhāvuso, bhikkhu pītiyā ca virāgā…pe… tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; ettha pīti nirujjhati, te ca pītiṃ nirodhetvā nirodhetvā viharantī’ti. Addhā, bhikkhave, asaṭho amāyāvī ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinandeyya anumodeyya; ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā namassamāno pañjaliko payirupāseyya.
‘‘ยตฺถ อุเปกฺขาสุขํ นิรุชฺฌติ, เย จ อุเปกฺขาสุขํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ, ‘อทฺธา เต อายสฺมโนฺต นิจฺฉาตา นิพฺพุตา ติณฺณา ปารงฺคตา ตทเงฺคนา’ติ วทามิฯ ‘กตฺถ อุเปกฺขาสุขํ นิรุชฺฌติ, เก จ อุเปกฺขาสุขํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ – อหเมตํ น ชานามิ อหเมตํ น ปสฺสามี’ติ, อิติ โย เอวํ วเทยฺย, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; เอตฺถ อุเปกฺขาสุขํ นิรุชฺฌติ, เต จ อุเปกฺขาสุขํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺตี’ติฯ อทฺธา, ภิกฺขเว, อสโฐ อมายาวี ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินเนฺทยฺย อนุโมเทยฺย; ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา นมสฺสมาโน ปญฺชลิโก ปยิรุปาเสยฺยฯ
‘‘Yattha upekkhāsukhaṃ nirujjhati, ye ca upekkhāsukhaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti, ‘addhā te āyasmanto nicchātā nibbutā tiṇṇā pāraṅgatā tadaṅgenā’ti vadāmi. ‘Kattha upekkhāsukhaṃ nirujjhati, ke ca upekkhāsukhaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti – ahametaṃ na jānāmi ahametaṃ na passāmī’ti, iti yo evaṃ vadeyya, so evamassa vacanīyo – ‘idhāvuso, bhikkhu sukhassa ca pahānā…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; ettha upekkhāsukhaṃ nirujjhati, te ca upekkhāsukhaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharantī’ti. Addhā, bhikkhave, asaṭho amāyāvī ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinandeyya anumodeyya; ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā namassamāno pañjaliko payirupāseyya.
‘‘ยตฺถ รูปสญฺญา นิรุชฺฌติ, เย จ รูปสญฺญํ 3 นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ, ‘อทฺธา เต อายสฺมโนฺต นิจฺฉาตา นิพฺพุตา ติณฺณา ปารงฺคตา ตทเงฺคนา’ติ วทามิฯ ‘กตฺถ รูปสญฺญา นิรุชฺฌติ , เก จ รูปสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ – อหเมตํ น ชานามิ อหเมตํ น ปสฺสามี’ติ, อิติ โย เอวํ วเทยฺย, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา อนโนฺต อากาโสติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอตฺถ รูปสญฺญา นิรุชฺฌติ, เต จ รูปสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺตี’ติฯ อทฺธา, ภิกฺขเว, อสโฐ อมายาวี ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินเนฺทยฺย อนุโมเทยฺย; ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา นมสฺสมาโน ปญฺชลิโก ปยิรุปาเสยฺยฯ
‘‘Yattha rūpasaññā nirujjhati, ye ca rūpasaññaṃ 4 nirodhetvā nirodhetvā viharanti, ‘addhā te āyasmanto nicchātā nibbutā tiṇṇā pāraṅgatā tadaṅgenā’ti vadāmi. ‘Kattha rūpasaññā nirujjhati , ke ca rūpasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti – ahametaṃ na jānāmi ahametaṃ na passāmī’ti, iti yo evaṃ vadeyya, so evamassa vacanīyo – ‘idhāvuso, bhikkhu sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā ananto ākāsoti ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja viharati. Ettha rūpasaññā nirujjhati, te ca rūpasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharantī’ti. Addhā, bhikkhave, asaṭho amāyāvī ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinandeyya anumodeyya; ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā namassamāno pañjaliko payirupāseyya.
‘‘ยตฺถ อากาสานญฺจายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เย จ อากาสานญฺจายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ, ‘อทฺธา เต อายสฺมโนฺต นิจฺฉาตา นิพฺพุตา ติณฺณา ปารงฺคตา ตทเงฺคนา’ติ วทามิฯ ‘กตฺถ อากาสานญฺจายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เก จ อากาสานญฺจายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ – อหเมตํ น ชานามิ อหเมตํ น ปสฺสามี’ติ, อิติ โย เอวํ วเทยฺย, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม อนนฺตํ วิญฺญาณนฺติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอตฺถ อากาสานญฺจายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เต จ อากาสานญฺจายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺตี’ติฯ อทฺธา, ภิกฺขเว, อสโฐ อมายาวี ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินเนฺทยฺย อนุโมเทยฺย; ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา นมสฺสมาโน ปญฺชลิโก ปยิรุปาเสยฺยฯ
‘‘Yattha ākāsānañcāyatanasaññā nirujjhati, ye ca ākāsānañcāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti, ‘addhā te āyasmanto nicchātā nibbutā tiṇṇā pāraṅgatā tadaṅgenā’ti vadāmi. ‘Kattha ākāsānañcāyatanasaññā nirujjhati, ke ca ākāsānañcāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti – ahametaṃ na jānāmi ahametaṃ na passāmī’ti, iti yo evaṃ vadeyya, so evamassa vacanīyo – ‘idhāvuso, bhikkhu sabbaso ākāsānañcāyatanaṃ samatikkamma anantaṃ viññāṇanti viññāṇañcāyatanaṃ upasampajja viharati. Ettha ākāsānañcāyatanasaññā nirujjhati, te ca ākāsānañcāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharantī’ti. Addhā, bhikkhave, asaṭho amāyāvī ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinandeyya anumodeyya; ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā namassamāno pañjaliko payirupāseyya.
‘‘ยตฺถ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เย จ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ, ‘อทฺธา เต อายสฺมโนฺต นิจฺฉาตา นิพฺพุตา ติณฺณา ปารงฺคตา ตทเงฺคนา’ติ วทามิฯ ‘กตฺถ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เก จ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ – อหเมตํ น ชานามิ อหเมตํ น ปสฺสามี’ติ, อิติ โย เอวํ วเทยฺย, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม นตฺถิ กิญฺจีติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอตฺถ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เต จ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺตี’ติฯ อทฺธา, ภิกฺขเว, อสโฐ อมายาวี ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินเนฺทยฺย อนุโมเทยฺย ; ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา นมสฺสมาโน ปญฺชลิโก ปยิรุปาเสยฺยฯ
‘‘Yattha viññāṇañcāyatanasaññā nirujjhati, ye ca viññāṇañcāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti, ‘addhā te āyasmanto nicchātā nibbutā tiṇṇā pāraṅgatā tadaṅgenā’ti vadāmi. ‘Kattha viññāṇañcāyatanasaññā nirujjhati, ke ca viññāṇañcāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti – ahametaṃ na jānāmi ahametaṃ na passāmī’ti, iti yo evaṃ vadeyya, so evamassa vacanīyo – ‘idhāvuso, bhikkhu sabbaso viññāṇañcāyatanaṃ samatikkamma natthi kiñcīti ākiñcaññāyatanaṃ upasampajja viharati. Ettha viññāṇañcāyatanasaññā nirujjhati, te ca viññāṇañcāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharantī’ti. Addhā, bhikkhave, asaṭho amāyāvī ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinandeyya anumodeyya ; ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā namassamāno pañjaliko payirupāseyya.
‘‘ยตฺถ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เย จ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ, ‘อทฺธา เต อายสฺมโนฺต นิจฺฉาตา นิพฺพุตา ติณฺณา ปารงฺคตา ตทเงฺคนา’ติ วทามิฯ ‘กตฺถ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เก จ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ – อหเมตํ น ชานามิ อหเมตํ น ปสฺสามี’ติ, อิติ โย เอวํ วเทยฺย, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอตฺถ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เต จ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺตี’ติฯ อทฺธา, ภิกฺขเว, อสโฐ อมายาวี ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินเนฺทยฺย อนุโมเทยฺย; ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา นมสฺสมาโน ปญฺชลิโก ปยิรุปาเสยฺยฯ
‘‘Yattha ākiñcaññāyatanasaññā nirujjhati, ye ca ākiñcaññāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti, ‘addhā te āyasmanto nicchātā nibbutā tiṇṇā pāraṅgatā tadaṅgenā’ti vadāmi. ‘Kattha ākiñcaññāyatanasaññā nirujjhati, ke ca ākiñcaññāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti – ahametaṃ na jānāmi ahametaṃ na passāmī’ti, iti yo evaṃ vadeyya, so evamassa vacanīyo – ‘idhāvuso, bhikkhu sabbaso ākiñcaññāyatanaṃ samatikkamma nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharati. Ettha ākiñcaññāyatanasaññā nirujjhati, te ca ākiñcaññāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharantī’ti. Addhā, bhikkhave, asaṭho amāyāvī ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinandeyya anumodeyya; ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā namassamāno pañjaliko payirupāseyya.
‘‘ยตฺถ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เย จ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ, ‘อทฺธา เต อายสฺมโนฺต นิจฺฉาตา นิพฺพุตา ติณฺณา ปารงฺคตา ตทเงฺคนา’ติ วทามิฯ ‘กตฺถ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เก จ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺติ – อหเมตํ น ชานามิ อหเมตํ น ปสฺสามี’ติ, อิติ โย เอวํ วเทยฺย, โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘อิธาวุโส, ภิกฺขุ สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอตฺถ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญา นิรุชฺฌติ, เต จ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ นิโรเธตฺวา นิโรเธตฺวา วิหรนฺตี’ติฯ อทฺธา, ภิกฺขเว, อสโฐ อมายาวี ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินเนฺทยฺย อนุโมเทยฺย; ‘สาธู’ติ ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา นมสฺสมาโน ปญฺชลิโก ปยิรุปาเสยฺยฯ อิมา โข, ภิกฺขเว, นว อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺติโย’’ติฯ ทุติยํฯ
‘‘Yattha nevasaññānāsaññāyatanasaññā nirujjhati, ye ca nevasaññānāsaññāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti, ‘addhā te āyasmanto nicchātā nibbutā tiṇṇā pāraṅgatā tadaṅgenā’ti vadāmi. ‘Kattha nevasaññānāsaññāyatanasaññā nirujjhati, ke ca nevasaññānāsaññāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharanti – ahametaṃ na jānāmi ahametaṃ na passāmī’ti, iti yo evaṃ vadeyya, so evamassa vacanīyo – ‘idhāvuso, bhikkhu sabbaso nevasaññānāsaññāyatanaṃ samatikkamma saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja viharati. Ettha nevasaññānāsaññāyatanasaññā nirujjhati, te ca nevasaññānāsaññāyatanasaññaṃ nirodhetvā nirodhetvā viharantī’ti. Addhā, bhikkhave, asaṭho amāyāvī ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinandeyya anumodeyya; ‘sādhū’ti bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā namassamāno pañjaliko payirupāseyya. Imā kho, bhikkhave, nava anupubbavihārasamāpattiyo’’ti. Dutiyaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑-๒. อนุปุพฺพวิหารสุตฺตาทิวณฺณนา • 1-2. Anupubbavihārasuttādivaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๒-๓. อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺติสุตฺตาทิวณฺณนา • 2-3. Anupubbavihārasamāpattisuttādivaṇṇanā