Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๑๐. อนุรุทฺธมหาวิตกฺกสุตฺตวณฺณนา
10. Anuruddhamahāvitakkasuttavaṇṇanā
๓๐. ทสเม เจตีสูติ เจตินามกานํ ราชูนํ นิวาสฎฺฐานตฺตา เอวํลทฺธโวหาเร รเฎฺฐฯ ปาจีนวํสทาเยติ ทสพลสฺส วสนฎฺฐานโต ปาจีนทิสาย ฐิเต วํสทาเย นีโลภาเสหิ เวฬูหิ สญฺฉเนฺน อรเญฺญฯ เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทีติ เถโร กิร ปพฺพชิตฺวา ปฐมอโนฺตวสฺสมฺหิเยว สมาปตฺติลาภี หุตฺวา สหสฺสโลกธาตุทสฺสนสมตฺถํ ทิพฺพจกฺขุญาณํ อุปฺปาเทสิฯ โส สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา เอวมาห – ‘‘อิธาหํ, อาวุโส สาริปุตฺต, ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สหสฺสโลกํ โอโลเกมิฯ อารทฺธํ โข ปน เม วีริยํ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, ปสฺสโทฺธ กาโย อสารโทฺธ, สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺคํฯ อถ จ ปน เม อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ น วิมุจฺจตี’’ติฯ อถ นํ เถโร อาห – ‘‘ยํ โข เต, อาวุโส อนุรุทฺธ, เอวํ โหติ ‘อหํ ทิเพฺพน จกฺขุนา…เป.… โอโลเกมี’ติ, อิทํ เต มานสฺมิํฯ ยมฺปิ เต, อาวุโส, อนุรุทฺธ เอวํ โหติ ‘อารทฺธํ โข ปน เม วีริยํ…เป.… เอกคฺค’นฺติ, อิทํ เต อุทฺธจฺจสฺมิํฯ ยมฺปิ เต, อาวุโส อนุรุทฺธ, เอวํ โหติ ‘อถ จ ปน เม อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ น วิมุจฺจตี’ติ, อิทํ เต กุกฺกุจฺจสฺมิํฯ สาธุ วตายสฺมา อนุรุโทฺธ อิเม ตโย ธเมฺม ปหาย อิเม ตโย ธเมฺม อมนสิกริตฺวา อมตาย ธาตุยา จิตฺตํ อุปสํหรตู’’ติ เอวมสฺส เถโร กมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ โส กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา สตฺถารํ อาปุจฺฉิตฺวา เจติรฎฺฐํ คนฺตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺต อฎฺฐมาสํ จงฺกเมน วีตินาเมสิฯ โส ปธานเวคนิมฺมถิตตฺตา กิลนฺตกาโย เอกสฺส เวฬุคุมฺพสฺส เหฎฺฐา นิสีทิฯ อถสฺสายํ เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ, เอส มหาปุริสวิตโกฺก อุปฺปชฺชีติ อโตฺถฯ
30. Dasame cetīsūti cetināmakānaṃ rājūnaṃ nivāsaṭṭhānattā evaṃladdhavohāre raṭṭhe. Pācīnavaṃsadāyeti dasabalassa vasanaṭṭhānato pācīnadisāya ṭhite vaṃsadāye nīlobhāsehi veḷūhi sañchanne araññe. Evaṃ cetaso parivitakko udapādīti thero kira pabbajitvā paṭhamaantovassamhiyeva samāpattilābhī hutvā sahassalokadhātudassanasamatthaṃ dibbacakkhuñāṇaṃ uppādesi. So sāriputtattherassa santikaṃ gantvā evamāha – ‘‘idhāhaṃ, āvuso sāriputta, dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena sahassalokaṃ olokemi. Āraddhaṃ kho pana me vīriyaṃ asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, passaddho kāyo asāraddho, samāhitaṃ cittaṃ ekaggaṃ. Atha ca pana me anupādāya āsavehi cittaṃ na vimuccatī’’ti. Atha naṃ thero āha – ‘‘yaṃ kho te, āvuso anuruddha, evaṃ hoti ‘ahaṃ dibbena cakkhunā…pe… olokemī’ti, idaṃ te mānasmiṃ. Yampi te, āvuso, anuruddha evaṃ hoti ‘āraddhaṃ kho pana me vīriyaṃ…pe… ekagga’nti, idaṃ te uddhaccasmiṃ. Yampi te, āvuso anuruddha, evaṃ hoti ‘atha ca pana me anupādāya āsavehi cittaṃ na vimuccatī’ti, idaṃ te kukkuccasmiṃ. Sādhu vatāyasmā anuruddho ime tayo dhamme pahāya ime tayo dhamme amanasikaritvā amatāya dhātuyā cittaṃ upasaṃharatū’’ti evamassa thero kammaṭṭhānaṃ kathesi. So kammaṭṭhānaṃ gahetvā satthāraṃ āpucchitvā cetiraṭṭhaṃ gantvā samaṇadhammaṃ karonto aṭṭhamāsaṃ caṅkamena vītināmesi. So padhānaveganimmathitattā kilantakāyo ekassa veḷugumbassa heṭṭhā nisīdi. Athassāyaṃ evaṃ cetaso parivitakko udapādi, esa mahāpurisavitakko uppajjīti attho.
อปฺปิจฺฉสฺสาติ เอตฺถ ปจฺจยปฺปิโจฺฉ, อธิคมปฺปิโจฺฉ, ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉ, ธุตงฺคปฺปิโจฺฉติ จตฺตาโร อปฺปิจฺฉาฯ ตตฺถ ปจฺจยปฺปิโจฺฉ พหุํ เทเนฺต อปฺปํ คณฺหาติ, อปฺปํ เทเนฺต อปฺปตรํ คณฺหาติ, น อนวเสสคฺคาหี โหติฯ อธิคมปฺปิโจฺฉ มชฺฌนฺติกเตฺถโร วิย อตฺตโน อธิคมํ อเญฺญสํ ชานิตุํ น เทติฯ ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉ เตปิฎโกปิ สมาโน น พหุสฺสุตภาวํ ชานาเปตุกาโม โหติ สาเกตติสฺสเตฺถโร วิยฯ ธุตงฺคปฺปิโจฺฉ ธุตงฺคปริหรณภาวํ อเญฺญสํ ชานิตุํ น เทติ เทฺวภาติกเตฺถเรสุ เชฎฺฐเตฺถโร วิยฯ วตฺถุ วิสุทฺธิมเคฺค กถิตํฯ อยํ ธโมฺมติ เอวํ สนฺตคุณนิคุหเนน จ ปฎิคฺคหเณ มตฺตญฺญุตาย จ อปฺปิจฺฉสฺส ปุคฺคลสฺส อยํ นวโลกุตฺตรธโมฺม สมฺปชฺชติ, โน มหิจฺฉสฺสฯ เอวํ สพฺพตฺถ โยเชตพฺพํฯ
Appicchassāti ettha paccayappiccho, adhigamappiccho, pariyattiappiccho, dhutaṅgappicchoti cattāro appicchā. Tattha paccayappiccho bahuṃ dente appaṃ gaṇhāti, appaṃ dente appataraṃ gaṇhāti, na anavasesaggāhī hoti. Adhigamappiccho majjhantikatthero viya attano adhigamaṃ aññesaṃ jānituṃ na deti. Pariyattiappiccho tepiṭakopi samāno na bahussutabhāvaṃ jānāpetukāmo hoti sāketatissatthero viya. Dhutaṅgappiccho dhutaṅgapariharaṇabhāvaṃ aññesaṃ jānituṃ na deti dvebhātikattheresu jeṭṭhatthero viya. Vatthu visuddhimagge kathitaṃ. Ayaṃ dhammoti evaṃ santaguṇaniguhanena ca paṭiggahaṇe mattaññutāya ca appicchassa puggalassa ayaṃ navalokuttaradhammo sampajjati, no mahicchassa. Evaṃ sabbattha yojetabbaṃ.
สนฺตุฎฺฐสฺสาติ จตูสุ ปจฺจเยสุ ตีหิ สโนฺตเสหิ สนฺตุฎฺฐสฺสฯ ปวิวิตฺตสฺสาติ กายจิตฺตอุปธิวิเวเกหิ วิวิตฺตสฺสฯ ตตฺถ กายวิเวโก นาม คณสงฺคณิกํ วิโนเทตฺวา อารมฺภวตฺถุวเสน เอกีภาโวฯ เอกีภาวมเตฺตเนว กมฺมํ น นิปฺผชฺชตีติ กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตติ, อยํ จิตฺตวิเวโก นามฯ สมาปตฺติมเตฺตเนว กมฺมํ น นิปฺผชฺชตีติ ฌานํ ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อยํ สพฺพาการโต อุปธิวิเวโก นามฯ เตนาห ภควา – ‘‘กายวิเวโก จ วิเวกฎฺฐกายานํ เนกฺขมฺมาภิรตานํ, จิตฺตวิเวโก จ ปริสุทฺธจิตฺตานํ ปรมโวทานปฺปตฺตานํ, อุปธิวิเวโก จ นิรุปธีนํ ปุคฺคลานํ วิสงฺขารคตาน’’นฺติ (มหานิ. ๗, ๔๙)ฯ
Santuṭṭhassāti catūsu paccayesu tīhi santosehi santuṭṭhassa. Pavivittassāti kāyacittaupadhivivekehi vivittassa. Tattha kāyaviveko nāma gaṇasaṅgaṇikaṃ vinodetvā ārambhavatthuvasena ekībhāvo. Ekībhāvamatteneva kammaṃ na nipphajjatīti kasiṇaparikammaṃ katvā aṭṭha samāpattiyo nibbatteti, ayaṃ cittaviveko nāma. Samāpattimatteneva kammaṃ na nipphajjatīti jhānaṃ pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasitvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇāti, ayaṃ sabbākārato upadhiviveko nāma. Tenāha bhagavā – ‘‘kāyaviveko ca vivekaṭṭhakāyānaṃ nekkhammābhiratānaṃ, cittaviveko ca parisuddhacittānaṃ paramavodānappattānaṃ, upadhiviveko ca nirupadhīnaṃ puggalānaṃ visaṅkhāragatāna’’nti (mahāni. 7, 49).
สงฺคณิการามสฺสาติ คณสงฺคณิกาย เจว กิเลสสงฺคณิกาย จ รตสฺสฯ อารทฺธวีริยสฺสาติ กายิกเจตสิกวีริยวเสน อารทฺธวีริยสฺสฯ อุปฎฺฐิตสฺสติสฺสาติ จตุสติปฎฺฐานวเสน อุปฎฺฐิตสฺสติสฺสฯ สมาหิตสฺสาติ เอกคฺคจิตฺตสฺสฯ ปญฺญวโตติ กมฺมสฺสกตปญฺญาย ปญฺญวโตฯ
Saṅgaṇikārāmassāti gaṇasaṅgaṇikāya ceva kilesasaṅgaṇikāya ca ratassa. Āraddhavīriyassāti kāyikacetasikavīriyavasena āraddhavīriyassa. Upaṭṭhitassatissāti catusatipaṭṭhānavasena upaṭṭhitassatissa. Samāhitassāti ekaggacittassa. Paññavatoti kammassakatapaññāya paññavato.
สาธุ สาธูติ เถรสฺส วิตกฺกํ สมฺปหํเสโนฺต เอวมาหฯ อิมํ อฎฺฐมนฺติ สตฺต นิธี ลทฺธปุริสสฺส อฎฺฐมํ เทโนฺต วิย, สตฺต มณิรตนานิ, สตฺต หตฺถิรตนานิ, สตฺต อสฺสรตนานิ ลทฺธปุริสสฺส อฎฺฐมํ เทโนฺต วิย สตฺต มหาปุริสวิตเกฺก วิตเกฺกตฺวา ฐิตสฺส อฎฺฐมํ อาจิกฺขโนฺต เอวมาหฯ นิปฺปปญฺจารามสฺสาติ ตณฺหามานทิฎฺฐิปปญฺจรหิตตฺตา นิปฺปปญฺจสงฺขาเต นิพฺพานปเท อภิรตสฺสฯ อิตรํ ตเสฺสว เววจนํฯ ปปญฺจารามสฺสาติ ยถาวุเตฺตสุ ปปเญฺจสุ อภิรตสฺสฯ อิตรํ ตเสฺสว เววจนํฯ
Sādhu sādhūti therassa vitakkaṃ sampahaṃsento evamāha. Imaṃ aṭṭhamanti satta nidhī laddhapurisassa aṭṭhamaṃ dento viya, satta maṇiratanāni, satta hatthiratanāni, satta assaratanāni laddhapurisassa aṭṭhamaṃ dento viya satta mahāpurisavitakke vitakketvā ṭhitassa aṭṭhamaṃ ācikkhanto evamāha. Nippapañcārāmassāti taṇhāmānadiṭṭhipapañcarahitattā nippapañcasaṅkhāte nibbānapade abhiratassa. Itaraṃ tasseva vevacanaṃ. Papañcārāmassāti yathāvuttesu papañcesu abhiratassa. Itaraṃ tasseva vevacanaṃ.
ยโตติ ยทาฯ ตโตติ ตทาฯ นานารตฺตานนฺติ นิลปีตโลหิโตทาตวเณฺณหิ นานารชเนหิ รตฺตานํฯ ปํสุกูลนฺติ เตวีสติยา เขเตฺตสุ ฐิตปํสุกูลจีวรํฯ ขายิสฺสตีติ ยถา ตสฺส ปุพฺพณฺหสมยาทีสุ ยสฺมิํ สมเย ยํ อิจฺฉติ, ตสฺมิํ สมเย ตํ ปารุปนฺตสฺส โส ทุสฺสกรณฺฑโก มนาโป หุตฺวา ขายติ, เอวํ ตุยฺหมฺปิ จีวรสโนฺตสมหาอริยวํเสน ตุฎฺฐสฺส วิหรโต ปํสุกูลจีวรํ ขายิสฺสติ อุปฎฺฐหิสฺสติฯ รติยาติ รติอตฺถายฯ อปริตสฺสายาติ ตณฺหาทิฎฺฐิปริตสฺสนาหิ อปริตสฺสนตฺถายฯ ผาสุวิหารายาติ สุขวิหารตฺถายฯ โอกฺกมนาย นิพฺพานสฺสาติ อมตํ นิพฺพานํ โอตรณตฺถายฯ
Yatoti yadā. Tatoti tadā. Nānārattānanti nilapītalohitodātavaṇṇehi nānārajanehi rattānaṃ. Paṃsukūlanti tevīsatiyā khettesu ṭhitapaṃsukūlacīvaraṃ. Khāyissatīti yathā tassa pubbaṇhasamayādīsu yasmiṃ samaye yaṃ icchati, tasmiṃ samaye taṃ pārupantassa so dussakaraṇḍako manāpo hutvā khāyati, evaṃ tuyhampi cīvarasantosamahāariyavaṃsena tuṭṭhassa viharato paṃsukūlacīvaraṃ khāyissati upaṭṭhahissati. Ratiyāti ratiatthāya. Aparitassāyāti taṇhādiṭṭhiparitassanāhi aparitassanatthāya. Phāsuvihārāyāti sukhavihāratthāya. Okkamanāya nibbānassāti amataṃ nibbānaṃ otaraṇatthāya.
ปิณฺฑิยาโลปโภชนนฺติ คามนิคมราชธานีสุ ชงฺฆาพลํ นิสฺสาย ฆรปฎิปาฎิยา จรเนฺตน ลทฺธปิณฺฑิยาโลปโภชนํฯ ขายิสฺสตีติ ตสฺส คหปติโน นานคฺครสโภชนํ วิย อุปฎฺฐหิสฺสติ ฯ สนฺตุฎฺฐสฺส วิหรโตติ ปิณฺฑปาตสโนฺตสมหาอริยวํเสน สนฺตุฎฺฐสฺส วิหรโตฯ รุกฺขมูลเสนาสนํ ขายิสฺสตีติ ตสฺส คหปติโน เตภูมกปาสาเท คนฺธกุสุมวาสสุคนฺธํ กูฎาคารํ วิย รุกฺขมูลํ อุปฎฺฐหิสฺสติฯ สนฺตุฎฺฐสฺสาติ เสนาสนสโนฺตสมหาอริยวํเสน สนฺตุฎฺฐสฺสฯ ติณสนฺถารโกติ ติเณหิ วา ปเณฺณหิ วา ภูมิยํ วา ผลกปาสาณตลานิ วา อญฺญตรสฺมิํ สนฺถตสนฺถโตฯ ปูติมุตฺตนฺติ ยํกิญฺจิ มุตฺตํฯ ตงฺขเณ คหิตมฺปิ ปูติมุตฺตเมว วุจฺจติ ทุคฺคนฺธตฺตาฯ สนฺตุฎฺฐสฺส วิหรโตติ คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารสโนฺตเสน สนฺตุฎฺฐสฺส วิหรโตฯ
Piṇḍiyālopabhojananti gāmanigamarājadhānīsu jaṅghābalaṃ nissāya gharapaṭipāṭiyā carantena laddhapiṇḍiyālopabhojanaṃ. Khāyissatīti tassa gahapatino nānaggarasabhojanaṃ viya upaṭṭhahissati . Santuṭṭhassa viharatoti piṇḍapātasantosamahāariyavaṃsena santuṭṭhassa viharato. Rukkhamūlasenāsanaṃ khāyissatīti tassa gahapatino tebhūmakapāsāde gandhakusumavāsasugandhaṃ kūṭāgāraṃ viya rukkhamūlaṃ upaṭṭhahissati. Santuṭṭhassāti senāsanasantosamahāariyavaṃsena santuṭṭhassa. Tiṇasanthārakoti tiṇehi vā paṇṇehi vā bhūmiyaṃ vā phalakapāsāṇatalāni vā aññatarasmiṃ santhatasanthato. Pūtimuttanti yaṃkiñci muttaṃ. Taṅkhaṇe gahitampi pūtimuttameva vuccati duggandhattā. Santuṭṭhassa viharatoti gilānapaccayabhesajjaparikkhārasantosena santuṭṭhassa viharato.
อิติ ภควา จตูสุ ฐาเนสุ อรหตฺตํ ปกฺขิปโนฺต กมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา ‘‘กตรเสนาสเน นุ โข วสนฺตสฺส กมฺมฎฺฐานํ สปฺปายํ ภวิสฺสตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘ตสฺมิเญฺญว วสนฺตสฺสา’’ติ ญตฺวา เตน หิ ตฺวํ, อนุรุทฺธาติอาทิมาหฯ ปวิวิตฺตสฺส วิหรโตติ ตีหิ วิเวเกหิ วิวิตฺตสฺส วิหรนฺตสฺสฯ อุโยฺยชนิกปฎิสํยุตฺตนฺติ อุโยฺยชนิเกเหว วจเนหิ ปฎิสํยุตฺตํ, เตสํ อุปฎฺฐานคมนกํเยวาติ อโตฺถฯ ปปญฺจนิโรเธติ นิพฺพานปเท ฯ ปกฺขนฺทตีติ อารมฺมณกรณวเสน ปกฺขนฺทติฯ ปสีทตีติอาทีสุปิ อารมฺมณวเสเนว ปสีทนสนฺติฎฺฐนมุจฺจนา เวทิตพฺพาฯ อิติ ภควา เจติรเฎฺฐ ปาจีนวํสทาเย อายสฺมโต อนุรุทฺธสฺส กถิเต อฎฺฐ มหาปุริสวิตเกฺก ปุน เภสกฬาวนมหาวิหาเร นิสีทิตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส วิตฺถาเรน กเถสิฯ
Iti bhagavā catūsu ṭhānesu arahattaṃ pakkhipanto kammaṭṭhānaṃ kathetvā ‘‘katarasenāsane nu kho vasantassa kammaṭṭhānaṃ sappāyaṃ bhavissatī’’ti āvajjento ‘‘tasmiññeva vasantassā’’ti ñatvā tena hi tvaṃ, anuruddhātiādimāha. Pavivittassa viharatoti tīhi vivekehi vivittassa viharantassa. Uyyojanikapaṭisaṃyuttanti uyyojanikeheva vacanehi paṭisaṃyuttaṃ, tesaṃ upaṭṭhānagamanakaṃyevāti attho. Papañcanirodheti nibbānapade . Pakkhandatīti ārammaṇakaraṇavasena pakkhandati. Pasīdatītiādīsupi ārammaṇavaseneva pasīdanasantiṭṭhanamuccanā veditabbā. Iti bhagavā cetiraṭṭhe pācīnavaṃsadāye āyasmato anuruddhassa kathite aṭṭha mahāpurisavitakke puna bhesakaḷāvanamahāvihāre nisīditvā bhikkhusaṅghassa vitthārena kathesi.
มโนมเยนาติ มเนน นิพฺพตฺติตกาโยปิ มโนมโยติ วุจฺจติ มเนน คตกาโยปิ, อิธ มเนน คตกายํ สนฺธาเยวมาหฯ ยถา เม อหุ สงฺกโปฺปติ ยถา มยฺหํ วิตโกฺก อโหสิ, ตโต อุตฺตริ อฎฺฐมํ มหาปุริสวิตกฺกํ ทเสฺสโนฺต ตโต อุตฺตริํ เทสยิฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Manomayenāti manena nibbattitakāyopi manomayoti vuccati manena gatakāyopi, idha manena gatakāyaṃ sandhāyevamāha. Yathā me ahu saṅkappoti yathā mayhaṃ vitakko ahosi, tato uttari aṭṭhamaṃ mahāpurisavitakkaṃ dassento tato uttariṃ desayi. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
คหปติวโคฺค ตติโยฯ
Gahapativaggo tatiyo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๐. อนุรุทฺธมหาวิตกฺกสุตฺตํ • 10. Anuruddhamahāvitakkasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๐. อนุรุทฺธมหาวิตกฺกสุตฺตวณฺณนา • 10. Anuruddhamahāvitakkasuttavaṇṇanā