Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā

    ๓-๔. อนุรุทฺธเตฺถรอปทานวณฺณนา

    3-4. Anuruddhattheraapadānavaṇṇanā

    สุเมธํ ภควนฺตาหนฺติอาทิกํ อายสฺมโต อนุรุทฺธเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล วิภวสมฺปเนฺน กุฎุมฺพิกกุเล นิพฺพตฺติฯ วยปฺปโตฺต เอกทิวสํ วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารา เอกํ ภิกฺขุํ ทิพฺพจกฺขุกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา สยมฺปิ ตํ ทานํ ปเตฺถตฺวา สตสหสฺสภิกฺขุปริวารสฺส ภควโต สตฺตาหํ มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา สตฺตเม ทิวเส ภควโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ อุตฺตมานิ วตฺถานิ ทตฺวา ปณิธานํ อกาสิฯ สตฺถาปิสฺส อนนฺตราเยน สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา ‘‘อนาคเต โคตมสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาสเน ทิพฺพจกฺขุกานํ อโคฺค ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากาสิฯ โสปิ ตตฺถ ปุญฺญานิ กโรโนฺต สตฺถริ ปรินิพฺพุเต สตฺตโยชนิเก กนกถูเป พหุกํสปาติโย ทีปรุเกฺขหิ ทีปกปลฺลิกาหิ จ ‘‘ทิพฺพจกฺขุญาณสฺส อุปนิสฺสโย โหตู’’ติ อุฬารํ ทีปปูชํ อกาสิฯ เอวํ ยาวชีวํ ปุญฺญานิ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กสฺสปสฺส ภควโต กาเล พาราณสิยํ กุฎุมฺพิกเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต สตฺถริ ปรินิพฺพุเต นิฎฺฐิเต โยชนิเก กนกถูเป พหุกํสปาติโย สปฺปิมณฺฑสฺส ปูเรตฺวา มเชฺฌ จ เอเกกํ คุฬปิณฺฑํ ฐเปตฺวา มุขวฎฺฎิยา มุขวฎฺฎิํ ผุสาเปโนฺต เจติยํ ปริกฺขิปาเปสิฯ อตฺตนา คหิตกํสปาติํ สปฺปิมณฺฑสฺส ปูเรตฺวา สหสฺสวฎฺฎิโย ชาลาเปตฺวา สีเส ฐเปตฺวา สพฺพรตฺติํ เจติยํ อนุปริยายิฯ

    Sumedhaṃbhagavantāhantiādikaṃ āyasmato anuruddhattherassa apadānaṃ. Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññāni upacinanto padumuttarassa bhagavato kāle vibhavasampanne kuṭumbikakule nibbatti. Vayappatto ekadivasaṃ vihāraṃ gantvā satthu santike dhammaṃ suṇanto satthārā ekaṃ bhikkhuṃ dibbacakkhukānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā sayampi taṃ dānaṃ patthetvā satasahassabhikkhuparivārassa bhagavato sattāhaṃ mahādānaṃ pavattetvā sattame divase bhagavato bhikkhusaṅghassa ca uttamāni vatthāni datvā paṇidhānaṃ akāsi. Satthāpissa anantarāyena samijjhanabhāvaṃ disvā ‘‘anāgate gotamassa sammāsambuddhassa sāsane dibbacakkhukānaṃ aggo bhavissatī’’ti byākāsi. Sopi tattha puññāni karonto satthari parinibbute sattayojanike kanakathūpe bahukaṃsapātiyo dīparukkhehi dīpakapallikāhi ca ‘‘dibbacakkhuñāṇassa upanissayo hotū’’ti uḷāraṃ dīpapūjaṃ akāsi. Evaṃ yāvajīvaṃ puññāni katvā devamanussesu saṃsaranto kassapassa bhagavato kāle bārāṇasiyaṃ kuṭumbikagehe nibbattitvā viññutaṃ patto satthari parinibbute niṭṭhite yojanike kanakathūpe bahukaṃsapātiyo sappimaṇḍassa pūretvā majjhe ca ekekaṃ guḷapiṇḍaṃ ṭhapetvā mukhavaṭṭiyā mukhavaṭṭiṃ phusāpento cetiyaṃ parikkhipāpesi. Attanā gahitakaṃsapātiṃ sappimaṇḍassa pūretvā sahassavaṭṭiyo jālāpetvā sīse ṭhapetvā sabbarattiṃ cetiyaṃ anupariyāyi.

    เอวํ ตสฺมิมฺปิ อตฺตภาเว ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ตโต จุโต อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ พาราณสิยํเยว ทุคฺคตกุเล นิพฺพตฺติ, ‘‘อนฺนภาโร’’ติสฺส นามํ อโหสิฯ โส สุมนเสฎฺฐิสฺส นาม เคเห กมฺมํ กโรโนฺต ชีวติฯ เอกทิวสํ โส อุปริฎฺฐํ นาม ปเจฺจกพุทฺธํ นิโรธสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย คนฺธมาทนปพฺพตโต อากาเสนาคนฺตฺวา พาราณสีนครทฺวาเร โอตริตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา นคเร ปิณฺฑาย จรนฺตํ ทิสฺวา ปสนฺนมานโส ปตฺตํ คเหตฺวา อตฺตโน อตฺถาย ฐปิตํ ภาคภตฺตํ ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส ทาตุกาโม อารภิฯ ภริยาปิสฺส อตฺตโน ภาคภตฺตญฺจ ตเตฺถว ปกฺขิปิฯ โส ตํ เนตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส หเตฺถ ฐเปสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ตํ คเหตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ ตํ ทิวสํ สุมนเสฎฺฐิสฺส ฉเตฺต อธิวตฺถา เทวตา – ‘‘อโห ทานํ, ปรมทานํ, อุปริเฎฺฐ สุปฺปติฎฺฐิต’’นฺติ มหาสเทฺทน อนุโมทิฯ ตํ สุตฺวา สุมนเสฎฺฐิ – ‘‘เอวํ เทวตาย อนุโมทิตํ อิทเมว อุตฺตมทาน’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ตตฺถ ปตฺติํ ยาจิฯ อนฺนภาโร ปน ตสฺส ปตฺติํ อทาสิฯ เตน ปสนฺนจิโตฺต สุมนเสฎฺฐิ ตสฺส สหสฺสํ ทตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ตุยฺหํ สหเตฺถน กมฺมกรณกิจฺจํ นตฺถิ, ปติรูปํ เคหํ กตฺวา นิจฺจํ วสาหี’’ติ อาหฯ

    Evaṃ tasmimpi attabhāve yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devaloke nibbattitvā tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā tato cuto anuppanne buddhe bārāṇasiyaṃyeva duggatakule nibbatti, ‘‘annabhāro’’tissa nāmaṃ ahosi. So sumanaseṭṭhissa nāma gehe kammaṃ karonto jīvati. Ekadivasaṃ so upariṭṭhaṃ nāma paccekabuddhaṃ nirodhasamāpattito vuṭṭhāya gandhamādanapabbatato ākāsenāgantvā bārāṇasīnagaradvāre otaritvā cīvaraṃ pārupitvā nagare piṇḍāya carantaṃ disvā pasannamānaso pattaṃ gahetvā attano atthāya ṭhapitaṃ bhāgabhattaṃ patte pakkhipitvā paccekabuddhassa dātukāmo ārabhi. Bhariyāpissa attano bhāgabhattañca tattheva pakkhipi. So taṃ netvā paccekabuddhassa hatthe ṭhapesi. Paccekabuddho taṃ gahetvā anumodanaṃ katvā pakkāmi. Taṃ divasaṃ sumanaseṭṭhissa chatte adhivatthā devatā – ‘‘aho dānaṃ, paramadānaṃ, upariṭṭhe suppatiṭṭhita’’nti mahāsaddena anumodi. Taṃ sutvā sumanaseṭṭhi – ‘‘evaṃ devatāya anumoditaṃ idameva uttamadāna’’nti cintetvā tattha pattiṃ yāci. Annabhāro pana tassa pattiṃ adāsi. Tena pasannacitto sumanaseṭṭhi tassa sahassaṃ datvā ‘‘ito paṭṭhāya tuyhaṃ sahatthena kammakaraṇakiccaṃ natthi, patirūpaṃ gehaṃ katvā niccaṃ vasāhī’’ti āha.

    ยสฺมา นิโรธสมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส ทินฺนปิณฺฑปาโต ตํ ทิวสเมว อุฬารวิปาโก โหติ, ตสฺมา สุมนเสฎฺฐิ รโญฺญ สนฺติกํ คจฺฉโนฺต ตํ คเหตฺวา อคมาสิฯ ราชา ปน ตํ อาทรวเสน โอโลเกสิฯ เสฎฺฐิ – ‘‘มหาราช, อยํ โอโลเกตพฺพยุโตฺตเยวา’’ติ วตฺวา ตทา เตน กตกมฺมํ อตฺตนาปิสฺส สหสฺสทินฺนภาวญฺจ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา ราชา ตสฺส ตุสฺสิตฺวา สหสฺสํ ทตฺวา ‘‘อสุกสฺมิํ ฐาเน เคหํ กตฺวา วสาหี’’ติ เคหฎฺฐานมสฺส อาณาเปสิฯ ตสฺส ตํ ฐานํ โสธาเปนฺตสฺส มหนฺตา มหนฺตา นิธิกุมฺภิโย อุฎฺฐหิํสุฯ โส ตา ทิสฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา สพฺพํ ธนํ อุทฺธราเปตฺวา ราสิกตํ ทิสฺวา – ‘‘เอตฺตกํ ธนํ อิมสฺมิํ นคเร กสฺส เคเห อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น กสฺสจิ, เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อยํ อนฺนภาโร อิมสฺมิํ นคเร มหาธนเสฎฺฐิ นาม โหตู’’ติ ตํ ทิวสเมว ตสฺส เสฎฺฐิฉตฺตํ อุสฺสาเปสิฯ

    Yasmā nirodhasamāpattito vuṭṭhitassa paccekabuddhassa dinnapiṇḍapāto taṃ divasameva uḷāravipāko hoti, tasmā sumanaseṭṭhi rañño santikaṃ gacchanto taṃ gahetvā agamāsi. Rājā pana taṃ ādaravasena olokesi. Seṭṭhi – ‘‘mahārāja, ayaṃ oloketabbayuttoyevā’’ti vatvā tadā tena katakammaṃ attanāpissa sahassadinnabhāvañca kathesi. Taṃ sutvā rājā tassa tussitvā sahassaṃ datvā ‘‘asukasmiṃ ṭhāne gehaṃ katvā vasāhī’’ti gehaṭṭhānamassa āṇāpesi. Tassa taṃ ṭhānaṃ sodhāpentassa mahantā mahantā nidhikumbhiyo uṭṭhahiṃsu. So tā disvā rañño ārocesi. Rājā sabbaṃ dhanaṃ uddharāpetvā rāsikataṃ disvā – ‘‘ettakaṃ dhanaṃ imasmiṃ nagare kassa gehe atthī’’ti pucchi. ‘‘Na kassaci, devā’’ti. ‘‘Tena hi ayaṃ annabhāro imasmiṃ nagare mahādhanaseṭṭhi nāma hotū’’ti taṃ divasameva tassa seṭṭhichattaṃ ussāpesi.

    โส เสฎฺฐิ หุตฺวา ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพโตฺต, ทีฆรตฺตํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อมฺหากํ ภควโต อุปฺปชฺชนกกาเล กปิลวตฺถุนคเร สุโกฺกทนสกฺกสฺส เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺส ชาตสฺส อนุรุโทฺธติ นามํ อกํสุฯ โส มหานามสกฺกสฺส กนิฎฺฐภาตา ภควโต จูฬปิตุ ปุโตฺต ปรมสุขุมาโล มหาปุโญฺญ อโหสิฯ สุวณฺณปาติยํเยว จสฺส ภตฺตํ อุปฺปชฺชิฯ อถสฺส มาตา เอกทิวสํ ‘‘มม ปุโตฺต นตฺถีติ ปทํ น ชานาติ, ตํ ชานาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอกํ สุวณฺณปาติํ ตุจฺฉกํเยว อญฺญาย สุวณฺณปาติยา ปิทหิตฺวา ตสฺส เปเสสิ, อนฺตรามเคฺค เทวตา ตํ, ทิพฺพปูเวหิ ปูเรสุํฯ เอวํ มหาปุโญฺญ ติณฺณํ อุตูนํ อนุจฺฉวิเกสุ ตีสุ ปาสาเทสุ อลงฺกตนาฎกิตฺถีหิ ปริวุโต เทโว วิย มหาสมฺปตฺติํ อนุภวิฯ

    So seṭṭhi hutvā yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā devaloke nibbatto, dīgharattaṃ devamanussesu saṃsaritvā amhākaṃ bhagavato uppajjanakakāle kapilavatthunagare sukkodanasakkassa gehe paṭisandhiṃ gaṇhi. Tassa jātassa anuruddhoti nāmaṃ akaṃsu. So mahānāmasakkassa kaniṭṭhabhātā bhagavato cūḷapitu putto paramasukhumālo mahāpuñño ahosi. Suvaṇṇapātiyaṃyeva cassa bhattaṃ uppajji. Athassa mātā ekadivasaṃ ‘‘mama putto natthīti padaṃ na jānāti, taṃ jānāpessāmī’’ti cintetvā ekaṃ suvaṇṇapātiṃ tucchakaṃyeva aññāya suvaṇṇapātiyā pidahitvā tassa pesesi, antarāmagge devatā taṃ, dibbapūvehi pūresuṃ. Evaṃ mahāpuñño tiṇṇaṃ utūnaṃ anucchavikesu tīsu pāsādesu alaṅkatanāṭakitthīhi parivuto devo viya mahāsampattiṃ anubhavi.

    อมฺหากมฺปิ โพธิสโตฺต ตสฺมิํ สมเย ตุสิตปุรา จวิตฺวา สุโทฺธทนมหาราชสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติตฺวา อนุกฺกเมน วุทฺธิปฺปโตฺต เอกูนติํส วสฺสานิ อคารมเชฺฌ วสิตฺวา มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา อนุกฺกเมน ปฎิวิทฺธสพฺพญฺญุตญฺญาโณ โพธิมเณฺฑ สตฺตสตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา อิสิปตเน มิคทาเย ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา โลกานุคฺคหํ กโรโนฺต ราชคหํ คนฺตฺวา เวฬุวเน วิหาสิฯ ตทา สุโทฺธทนมหาราชา – ‘‘ปุโตฺต กิร เม ราชคหํ อนุปฺปโตฺต; คจฺฉถ, ภเณ, มม ปุตฺตํ อาเนถา’’ติ สหสฺสสหสฺสปริวาเร ทส อมเจฺจ เปเสสิฯ เต สเพฺพ เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิํสุฯ เตสุ อุทายิเตฺถเรน จาริกาคมนํ อายาจิโต ภควา วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต ราชคหโต นิกฺขมิตฺวา กปิลวตฺถุปุรํ คนฺตฺวา ญาติสมาคเม อเนกานิ ปาฎิหาริยานิ ทเสฺสตฺวา ปาฎิหาริยวิจิตฺตํ ธมฺมเทสนํ กเถตฺวา มหาชนํ อมตปานํ ปาเยตฺวา ทุติยทิวเส ปตฺตจีวรมาทาย นครทฺวาเร ฐตฺวา ‘‘กิํ นุ โข กุลนครํ อาคตานํ สพฺพพุทฺธานํ อาจิณฺณ’’นฺติ อาวชฺชมาโน ‘‘สปทานํ ปิณฺฑาย จรณํ อาจิณฺณ’’นฺติ ญตฺวา สปทานํ ปิณฺฑาย จรติฯ ราชา ‘‘ปุโตฺต เต ปิณฺฑาย จรตี’’ติ สุตฺวา ตุริตตุริโต อาคนฺตฺวา อนฺตรวีถิยํ ธมฺมํ สุตฺวา อตฺตโน นิเวสนํ ปเวเสตฺวา มหนฺตํ สกฺการสมฺมานํ อกาสิฯ ภควา ตตฺถ กตฺตพฺพํ ญาติสงฺคหํ กตฺวา ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชตฺวา นจิรเสฺสว กปิลวตฺถุนครโต มลฺลรเฎฺฐ จาริกํ จรมาโน อนุปิยมฺพวนํ ปาปุณิฯ

    Amhākampi bodhisatto tasmiṃ samaye tusitapurā cavitvā suddhodanamahārājassa aggamahesiyā kucchimhi nibbattitvā anukkamena vuddhippatto ekūnatiṃsa vassāni agāramajjhe vasitvā mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā anukkamena paṭividdhasabbaññutaññāṇo bodhimaṇḍe sattasattāhaṃ vītināmetvā isipatane migadāye dhammacakkaṃ pavattetvā lokānuggahaṃ karonto rājagahaṃ gantvā veḷuvane vihāsi. Tadā suddhodanamahārājā – ‘‘putto kira me rājagahaṃ anuppatto; gacchatha, bhaṇe, mama puttaṃ ānethā’’ti sahassasahassaparivāre dasa amacce pesesi. Te sabbe ehibhikkhupabbajjāya pabbajiṃsu. Tesu udāyittherena cārikāgamanaṃ āyācito bhagavā vīsatisahassakhīṇāsavaparivuto rājagahato nikkhamitvā kapilavatthupuraṃ gantvā ñātisamāgame anekāni pāṭihāriyāni dassetvā pāṭihāriyavicittaṃ dhammadesanaṃ kathetvā mahājanaṃ amatapānaṃ pāyetvā dutiyadivase pattacīvaramādāya nagaradvāre ṭhatvā ‘‘kiṃ nu kho kulanagaraṃ āgatānaṃ sabbabuddhānaṃ āciṇṇa’’nti āvajjamāno ‘‘sapadānaṃ piṇḍāya caraṇaṃ āciṇṇa’’nti ñatvā sapadānaṃ piṇḍāya carati. Rājā ‘‘putto te piṇḍāya caratī’’ti sutvā turitaturito āgantvā antaravīthiyaṃ dhammaṃ sutvā attano nivesanaṃ pavesetvā mahantaṃ sakkārasammānaṃ akāsi. Bhagavā tattha kattabbaṃ ñātisaṅgahaṃ katvā rāhulakumāraṃ pabbājetvā nacirasseva kapilavatthunagarato mallaraṭṭhe cārikaṃ caramāno anupiyambavanaṃ pāpuṇi.

    ตสฺมิํ สมเย สุโทฺธทนมหาราชา สากิยคณํ สนฺนิปาเตตฺวา อาห – ‘‘สเจ มม ปุโตฺต อคารํ อชฺฌาวสิสฺส, ราชา อภวิสฺส จกฺกวตฺตี สตฺตรตนสมฺปโนฺน ขตฺติยคณปริวาโร, นตฺตาปิ เม ราหุลกุมาโร ขตฺติยคเณน สทฺธิํ ตํ ปริวาเรตฺวา อจริสฺส, ตุเมฺหปิ เอตมตฺถํ ชานาถฯ อิทานิ ปน มม ปุโตฺต พุโทฺธ ชาโต, ขตฺติยาวาสฺส ปริวารา โหนฺตุ, ตุเมฺห เอเกกกุลโต เอเกกํ ทารกํ เทถา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต เอกปฺปหาเรเนว เทฺวอสีติสหสฺสขตฺติยกุมารา ปพฺพชิํสุฯ

    Tasmiṃ samaye suddhodanamahārājā sākiyagaṇaṃ sannipātetvā āha – ‘‘sace mama putto agāraṃ ajjhāvasissa, rājā abhavissa cakkavattī sattaratanasampanno khattiyagaṇaparivāro, nattāpi me rāhulakumāro khattiyagaṇena saddhiṃ taṃ parivāretvā acarissa, tumhepi etamatthaṃ jānātha. Idāni pana mama putto buddho jāto, khattiyāvāssa parivārā hontu, tumhe ekekakulato ekekaṃ dārakaṃ dethā’’ti. Evaṃ vutte ekappahāreneva dveasītisahassakhattiyakumārā pabbajiṃsu.

    ตสฺมิํ สมเย มหานาโม สโกฺก กุฎุมฺพสามิโก, โส อตฺตโน กนิฎฺฐํ อนุรุทฺธํ สกฺกํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘‘เอตรหิ, ตาต อนุรุทฺธ, อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา สกฺยกุมารา ภควนฺตํ ปพฺพชิตํ อนุปพฺพชนฺติ, อมฺหากญฺจ กุลา นตฺถิ โกจิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, เตน หิ ตฺวํ วา ปพฺพชาหิ, อหํ วา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ตํ สุตฺวา อนุรุโทฺธ ฆราวาเส รุจิํ อกตฺวา อตฺตสตฺตโม อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ ตสฺส ปพฺพชฺชานุกฺกโม สงฺฆเภทกกฺขนฺธเก (จูฬว. ๓๓๐ อาทโย) อาคโตเยวฯ เอวํ อนุปิยํ คนฺตฺวา ปพฺพชิเตสุ ปน เตสุ ตสฺมิํเยว อโนฺตวเสฺส ภทฺทิยเตฺถโร อรหตฺตํ ปาปุณิ, อนุรุทฺธเตฺถโร ทิพฺพจกฺขุํ นิพฺพเตฺตสิ, เทวทโตฺต อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตสิ, อานนฺทเตฺถโร โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, ภคุเตฺถโร จ กิมิลเตฺถโร จ ปจฺฉา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ เตสํ สเพฺพสมฺปิ เถรานํ อตฺตโน อตฺตโน อาคตฎฺฐาเนสุ ปุพฺพปตฺถนาภินีหาโร อาวิ ภวิสฺสติฯ อยํ อนุรุทฺธเตฺถโร ธมฺมเสนาปติสฺส สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา เจติยรเฎฺฐ ปาจีนวํสทายํ คนฺตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺต สตฺต มหาปุริสวิตเกฺก วิตเกฺกสิ, อฎฺฐเม กิลมติฯ สตฺถา ‘‘อนุรุโทฺธ อฎฺฐเม มหาปุริสวิตเกฺก กิลมตี’’ติ ญตฺวา ‘‘ตสฺส สงฺกปฺปํ ปูเรสฺสามี’’ติ ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสิโนฺน อฎฺฐมํ มหาปุริสวิตกฺกํ ปูเรตฺวา จตุปจฺจยสโนฺตสภาวนารามปฎิมณฺฑิตํ มหาอริยวํสปฎิปทํ กเถตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา เภสกลาวนเมว คโตฯ

    Tasmiṃ samaye mahānāmo sakko kuṭumbasāmiko, so attano kaniṭṭhaṃ anuruddhaṃ sakkaṃ upasaṅkamitvā etadavoca – ‘‘etarahi, tāta anuruddha, abhiññātā abhiññātā sakyakumārā bhagavantaṃ pabbajitaṃ anupabbajanti, amhākañca kulā natthi koci agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, tena hi tvaṃ vā pabbajāhi, ahaṃ vā pabbajissāmī’’ti. Taṃ sutvā anuruddho gharāvāse ruciṃ akatvā attasattamo agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Tassa pabbajjānukkamo saṅghabhedakakkhandhake (cūḷava. 330 ādayo) āgatoyeva. Evaṃ anupiyaṃ gantvā pabbajitesu pana tesu tasmiṃyeva antovasse bhaddiyatthero arahattaṃ pāpuṇi, anuruddhatthero dibbacakkhuṃ nibbattesi, devadatto aṭṭha samāpattiyo nibbattesi, ānandatthero sotāpattiphale patiṭṭhāsi, bhagutthero ca kimilatthero ca pacchā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Tesaṃ sabbesampi therānaṃ attano attano āgataṭṭhānesu pubbapatthanābhinīhāro āvi bhavissati. Ayaṃ anuruddhatthero dhammasenāpatissa santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā cetiyaraṭṭhe pācīnavaṃsadāyaṃ gantvā samaṇadhammaṃ karonto satta mahāpurisavitakke vitakkesi, aṭṭhame kilamati. Satthā ‘‘anuruddho aṭṭhame mahāpurisavitakke kilamatī’’ti ñatvā ‘‘tassa saṅkappaṃ pūressāmī’’ti tattha gantvā paññattavarabuddhāsane nisinno aṭṭhamaṃ mahāpurisavitakkaṃ pūretvā catupaccayasantosabhāvanārāmapaṭimaṇḍitaṃ mahāariyavaṃsapaṭipadaṃ kathetvā ākāse uppatitvā bhesakalāvanameva gato.

    เถโร ตถาคเต คตมเตฺตเยว เตวิโชฺช มหาขีณาสโว หุตฺวา ‘‘สตฺถา มยฺหํ มนํ ชานิตฺวา อาคนฺตฺวา อฎฺฐมํ มหาปุริสวิตกฺกํ ปูเรตฺวา อทาสิ, โส จ เม มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต’’ติ พุทฺธานํ ธมฺมเทสนํ อตฺตโน จ ปฎิเวธธมฺมํ อารพฺภ อิมา อุทานคาถา อภาสิ –

    Thero tathāgate gatamatteyeva tevijjo mahākhīṇāsavo hutvā ‘‘satthā mayhaṃ manaṃ jānitvā āgantvā aṭṭhamaṃ mahāpurisavitakkaṃ pūretvā adāsi, so ca me manoratho matthakaṃ patto’’ti buddhānaṃ dhammadesanaṃ attano ca paṭivedhadhammaṃ ārabbha imā udānagāthā abhāsi –

    ‘‘มม สงฺกปฺปมญฺญาย, สตฺถา โลเก อนุตฺตโร;

    ‘‘Mama saṅkappamaññāya, satthā loke anuttaro;

    มโนมเยน กาเยน, อิทฺธิยา อุปสงฺกมิฯ

    Manomayena kāyena, iddhiyā upasaṅkami.

    ‘‘ยทา เม อหุ สงฺกโปฺป, ตโต อุตฺตริ เทสยิ;

    ‘‘Yadā me ahu saṅkappo, tato uttari desayi;

    นิปฺปปญฺจรโต พุโทฺธ, นิปฺปปญฺจมเทสยิฯ

    Nippapañcarato buddho, nippapañcamadesayi.

    ‘‘ตสฺสาหํ ธมฺมมญฺญาย, วิหาสิํ สาสเน รโต;

    ‘‘Tassāhaṃ dhammamaññāya, vihāsiṃ sāsane rato;

    ติโสฺส วิชฺชา อนุปฺปตฺตา, กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ (เถรคา. ๙๐๑-๙๐๓);

    Tisso vijjā anuppattā, kataṃ buddhassa sāsana’’nti. (theragā. 901-903);

    อถ นํ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน มหาวิหาเร วิหรโนฺต ‘‘ทิพฺพจกฺขุกานํ ภิกฺขูนํ อนุรุโทฺธ อโคฺค’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๒) อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Atha naṃ aparabhāge satthā jetavane mahāvihāre viharanto ‘‘dibbacakkhukānaṃ bhikkhūnaṃ anuruddho aggo’’ti (a. ni. 1.192) aggaṭṭhāne ṭhapesi.

    ๔๒๑. เอวํ โส ภควโต สนฺติกา ทิพฺพจกฺขุกานํ อคฺคฎฺฐานํ ลภิตฺวา อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา โสมนสฺสวเสน ปุพฺพจริตาปทานํ ปกาเสโนฺต สุเมธํ ภควนฺตาหนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุนฺทรา อุปฎฺฐาปนปญฺญา มคฺคผลปญฺญา วิปสฺสนาปญฺญา จตุปฎิสมฺภิทาทิสงฺขาตา เมธา ยสฺส ภควโต โส สุเมโธ, ตํ สุเมธํ ภาคฺยสมฺปนฺนตฺตา ภควนฺตํ โลกสฺส เชฎฺฐํ เสฎฺฐํ ปธานภูตํ สํสารโต ปฐมํ นิคฺคตํ นรานํ อาสภํ ปุเรจาริกํ วูปกฎฺฐํ วิเวกภูตํ คณสงฺคณิการามโต อปคตํ วิหรนฺตํ อหํ อทฺทสนฺติ สมฺพโนฺธฯ

    421. Evaṃ so bhagavato santikā dibbacakkhukānaṃ aggaṭṭhānaṃ labhitvā attano pubbakammaṃ saritvā somanassavasena pubbacaritāpadānaṃ pakāsento sumedhaṃ bhagavantāhantiādimāha. Tattha sundarā upaṭṭhāpanapaññā maggaphalapaññā vipassanāpaññā catupaṭisambhidādisaṅkhātā medhā yassa bhagavato so sumedho, taṃ sumedhaṃ bhāgyasampannattā bhagavantaṃ lokassa jeṭṭhaṃ seṭṭhaṃ padhānabhūtaṃ saṃsārato paṭhamaṃ niggataṃ narānaṃ āsabhaṃ purecārikaṃ vūpakaṭṭhaṃ vivekabhūtaṃ gaṇasaṅgaṇikārāmato apagataṃ viharantaṃ ahaṃ addasanti sambandho.

    ๔๒๒. สพฺพธมฺมานํ สยเมว พุทฺธตฺตา สมฺพุทฺธํ, อุปคนฺตฺวาน สมีปํ คนฺตฺวาติ อโตฺถฯ อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวานาติ ทสงฺคุลิปุฎํ มุทฺธนิ กตฺวาติ อโตฺถฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    422. Sabbadhammānaṃ sayameva buddhattā sambuddhaṃ, upagantvāna samīpaṃ gantvāti attho. Añjaliṃ paggahetvānāti dasaṅgulipuṭaṃ muddhani katvāti attho. Sesaṃ uttānatthameva.

    ๔๓๐. ทิวา รตฺติญฺจ ปสฺสามีติ ตทา เทวโลเก จ มนุสฺสโลเก จ อุปฺปนฺนกาเล มํสจกฺขุนา สมนฺตโต โยชนํ ปสฺสามีติ อโตฺถฯ

    430.Divā rattiñca passāmīti tadā devaloke ca manussaloke ca uppannakāle maṃsacakkhunā samantato yojanaṃ passāmīti attho.

    ๔๓๑. สหสฺสโลกํ ญาเณนาติ ปญฺญาจกฺขุนา สหสฺสจกฺกวาฬํ ปสฺสามีติ อโตฺถฯ สตฺถุ สาสเนติ อิทานิ โคตมสฺส ภควโต สาสเนฯ ทีปทานสฺส ทีปปูชาย อิทํ ผลํ, อิมินา ผเลน ทิพฺพจกฺขุํ อนุปฺปโตฺต ปฎิลโทฺธ อุปฺปาเทสินฺติ อโตฺถฯ

    431.Sahassalokaṃ ñāṇenāti paññācakkhunā sahassacakkavāḷaṃ passāmīti attho. Satthu sāsaneti idāni gotamassa bhagavato sāsane. Dīpadānassa dīpapūjāya idaṃ phalaṃ, iminā phalena dibbacakkhuṃ anuppatto paṭiladdho uppādesinti attho.

    อนุรุทฺธเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Anuruddhattheraapadānavaṇṇanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๓-๔. อนุรุทฺธเตฺถรอปทานํ • 3-4. Anuruddhattheraapadānaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact