Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-อฎฺฐกถา • Pañcapakaraṇa-aṭṭhakathā

    ๗. อนุสยยมกํ

    7. Anusayayamakaṃ

    ปริเจฺฉทปริจฺฉินฺนุเทฺทสวารวณฺณนา

    Paricchedaparicchinnuddesavāravaṇṇanā

    . อิทานิ เตสเญฺญว มูลยมเก เทสิตานํ กุสลาทิธมฺมานํ ลพฺภมานวเสน เอกเทสํ สงฺคณฺหิตฺวา สงฺขารยมกานนฺตรํ เทสิตสฺส อนุสยยมกสฺส อตฺถวณฺณนา โหติฯ ตตฺถ ปาฬิววตฺถานํ ตาว เวทิตพฺพํ – อิมสฺมิญฺหิ อนุสยยมเก ขนฺธยมกาทีสุ วิย เทสนํ อกตฺวา อเญฺญน นเยน ปาฬิเทสนา กตาฯ กถํ? ปฐมํ ตาว ปริเจฺฉทโต, อุเทฺทสโต, อุปฺปตฺติฎฺฐานโตติ ตีหากาเรหิ อนุสเย คหาเปตุํ ปริเจฺฉทวาโร, ปริจฺฉินฺนุเทฺทสวาโร, อุปฺปตฺติฎฺฐานวาโรติ, ตโย วารา เทสิตาฯ ตโต สตฺตนฺนํ มหาวารานํ วเสน อนุสเย โยเชตฺวา ยมกเทสนา กตาฯ ตตฺถ สตฺตานุสยาติ อยํ ‘‘สเตฺตว, น ตโต อุทฺธํ, น เหฎฺฐา’’ติ คณนปริเจฺฉเทน ปริจฺฉินฺทิตฺวา อนุสยานํ เทสิตตฺตา ปริเจฺฉทวาโร นามฯ กามราคานุสโย…เป.… อวิชฺชานุสโยติ อยํ ปริเจฺฉทวาเรน ปริจฺฉินฺนานํ นามมตฺตํ อุทฺทิสิตฺวา ‘‘อิเม นาม เต’’ติ เทสิตตฺตา ปริจฺฉินฺนุเทฺทสวาโร นามฯ กตฺถ กามราคานุสโย อนุเสติ…เป.… เอตฺถ อวิชฺชานุสโย อนุเสตีติ อยํ ‘‘อิเมสุ นาม ฐาเนสุ อิเม อนุสยา อนุเสนฺติ’’ติ เอวํ เตสํเยว อุปฺปตฺติฎฺฐานสฺส เทสิตตฺตา อุปฺปตฺติฎฺฐานวาโร นามฯ

    1. Idāni tesaññeva mūlayamake desitānaṃ kusalādidhammānaṃ labbhamānavasena ekadesaṃ saṅgaṇhitvā saṅkhārayamakānantaraṃ desitassa anusayayamakassa atthavaṇṇanā hoti. Tattha pāḷivavatthānaṃ tāva veditabbaṃ – imasmiñhi anusayayamake khandhayamakādīsu viya desanaṃ akatvā aññena nayena pāḷidesanā katā. Kathaṃ? Paṭhamaṃ tāva paricchedato, uddesato, uppattiṭṭhānatoti tīhākārehi anusaye gahāpetuṃ paricchedavāro, paricchinnuddesavāro, uppattiṭṭhānavāroti, tayo vārā desitā. Tato sattannaṃ mahāvārānaṃ vasena anusaye yojetvā yamakadesanā katā. Tattha sattānusayāti ayaṃ ‘‘satteva, na tato uddhaṃ, na heṭṭhā’’ti gaṇanaparicchedena paricchinditvā anusayānaṃ desitattā paricchedavāro nāma. Kāmarāgānusayo…pe… avijjānusayoti ayaṃ paricchedavārena paricchinnānaṃ nāmamattaṃ uddisitvā ‘‘ime nāma te’’ti desitattā paricchinnuddesavāro nāma. Kattha kāmarāgānusayo anuseti…pe… ettha avijjānusayo anusetīti ayaṃ ‘‘imesu nāma ṭhānesu ime anusayā anusenti’’ti evaṃ tesaṃyeva uppattiṭṭhānassa desitattā uppattiṭṭhānavāro nāma.

    เยสํ ปน สตฺตนฺนํ มหาวารานํ วเสน อนุสเย โยเชตฺวา ยมกเทสนา กตา, เตสํ อิมานิ นามานิ – อนุสยวาโร, สานุสยวาโร, ปชหนวาโร, ปริญฺญาวาโร, ปหีนวาโร, อุปฺปชฺชนวาโร ธาตุวาโรติฯ เตสุ ปฐโม อนุสยวาโรฯ โส อนุโลมปฎิโลมนยวเสน ทุวิโธ โหติฯ

    Yesaṃ pana sattannaṃ mahāvārānaṃ vasena anusaye yojetvā yamakadesanā katā, tesaṃ imāni nāmāni – anusayavāro, sānusayavāro, pajahanavāro, pariññāvāro, pahīnavāro, uppajjanavāro dhātuvāroti. Tesu paṭhamo anusayavāro. So anulomapaṭilomanayavasena duvidho hoti.

    ตตฺถ อนุโลมนเย ‘‘ยสฺส อนุเสติ, ยตฺถ อนุเสติ, ยสฺส ยตฺถ อนุเสตี’’ติ ปุคฺคโลกาสตทุภยวเสน ตโย อนฺตรวารา โหนฺติฯ เตสุ ปฐเม ปุคฺคลวาเร ‘‘ยสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ, ตสฺส ปฎิฆานุสโย อนุเสติ; ยสฺส วา ปน ปฎิฆานุสโย อนุเสติ, ตสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ; ยสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ, ตสฺส มานานุสโย, ทิฎฺฐานุสโย, วิจิกิจฺฉานุสโย, ภวราคานุสโย, อวิชฺชานุสโย อนุเสติฯ ยสฺส วา ปน อวิชฺชานุสโย อนุเสติ, ตสฺส กามราคานุสโย อนุเสตี’’ติ กามราคานุสยมูลกานิ ฉ ยมกานิฯ ปุน อคหิตคฺคหณวเสน ปฎิฆานุสยมูลกานิ ปญฺจ, มานานุสยมูลกานิ จตฺตาริ, ทิฎฺฐานุสยมูลกานิ ตีณิ, วิจิกิจฺฉานุสยมูลกานิ เทฺว, ภวราคานุสยมูลกํ เอกนฺติ เอวํ สพฺพานิปิ เอกมูลกานิ เอกวีสติฯ ปุน ‘‘ยสฺส กามราคานุสโย จ ปฎิฆานุสโย จ อนุเสนฺตี’’ติ เอวํ อาคตานิ ทุกมูลกานิ ปญฺจ, ติกมูลกานิ จตฺตาริ, จตุกฺกมูลกานิ ตีณิ, ปญฺจกมูลกานิ เทฺว, ฉกฺกมูลกํ เอกนฺติ อปรานิปิ ปนฺนรส โหนฺติฯ ตานิ ปุริเมหิ เอกวีสติยา สทฺธิํ ฉตฺติํสาติ ปุคฺคลวาเร ฉตฺติํส ยมกานิฯ ตถา โอกาสวาเร, ตถา ปุคฺคโลกาสวาเรติ สพฺพานิปิ อนุโลมนเย อฎฺฐสตํ ยมกานิฯ ตถา ปฎิโลมนเยติ อนุสยวาเร โสฬสาธิกานิ เทฺว ยมกสตานิ, ตโต ทิคุณา ปุจฺฉา, ตโต ทิคุณา อตฺถา จ เวทิตพฺพาฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ สานุสยวาโร, ปชหนวาโร, ปริญฺญาวาโร, ปหีนวาโร, อุปฺปชฺชนวาโรติ อิเมสมฺปิ ปญฺจนฺนํ วารานํ, เอเกกสฺมิํ ยมกคณนา; ยมกทิคุณา ปุจฺฉา, ปุจฺฉาทิคุณา จ อตฺถา เวทิตพฺพาฯ อยํ ปเนตฺถ ปุริเมสุ ตีสุ วาเรสุ วิเสโสฯ โอกาสวาเร ‘‘ยตฺถ ตตฺถา’’ติ อวตฺวา ยโต ตโตติ นิสฺสกฺกวจเนน เทสนา กตาฯ เสสํ ตาทิสเมวฯ

    Tattha anulomanaye ‘‘yassa anuseti, yattha anuseti, yassa yattha anusetī’’ti puggalokāsatadubhayavasena tayo antaravārā honti. Tesu paṭhame puggalavāre ‘‘yassa kāmarāgānusayo anuseti, tassa paṭighānusayo anuseti; yassa vā pana paṭighānusayo anuseti, tassa kāmarāgānusayo anuseti; yassa kāmarāgānusayo anuseti, tassa mānānusayo, diṭṭhānusayo, vicikicchānusayo, bhavarāgānusayo, avijjānusayo anuseti. Yassa vā pana avijjānusayo anuseti, tassa kāmarāgānusayo anusetī’’ti kāmarāgānusayamūlakāni cha yamakāni. Puna agahitaggahaṇavasena paṭighānusayamūlakāni pañca, mānānusayamūlakāni cattāri, diṭṭhānusayamūlakāni tīṇi, vicikicchānusayamūlakāni dve, bhavarāgānusayamūlakaṃ ekanti evaṃ sabbānipi ekamūlakāni ekavīsati. Puna ‘‘yassa kāmarāgānusayo ca paṭighānusayo ca anusentī’’ti evaṃ āgatāni dukamūlakāni pañca, tikamūlakāni cattāri, catukkamūlakāni tīṇi, pañcakamūlakāni dve, chakkamūlakaṃ ekanti aparānipi pannarasa honti. Tāni purimehi ekavīsatiyā saddhiṃ chattiṃsāti puggalavāre chattiṃsa yamakāni. Tathā okāsavāre, tathā puggalokāsavāreti sabbānipi anulomanaye aṭṭhasataṃ yamakāni. Tathā paṭilomanayeti anusayavāre soḷasādhikāni dve yamakasatāni, tato diguṇā pucchā, tato diguṇā atthā ca veditabbā. Yathā cettha, evaṃ sānusayavāro, pajahanavāro, pariññāvāro, pahīnavāro, uppajjanavāroti imesampi pañcannaṃ vārānaṃ, ekekasmiṃ yamakagaṇanā; yamakadiguṇā pucchā, pucchādiguṇā ca atthā veditabbā. Ayaṃ panettha purimesu tīsu vāresu viseso. Okāsavāre ‘‘yattha tatthā’’ti avatvā yato tatoti nissakkavacanena desanā katā. Sesaṃ tādisameva.

    โย ปนายํ สพฺพปจฺฉิโม ธาตุวาโร นาม, โส ปุจฺฉาวาโร, วิสฺสชฺชนาวาโรติ ทฺวิธา ฐิโตฯ ตสฺส ปุจฺฉาวาเร กามธาตุยา จุตสฺส กามธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺสาติ วตฺวา ‘‘กามธาตุํ วา ปน อุปปชฺชนฺตสฺส กามธาตุยา จุตสฺสา’’ติ น วุตฺตํฯ กิํ การณา? อตฺถวิเสสาภาวโตฯ เทฺวปิ หิ เอตา ปุจฺฉา เอกตฺถาเยว, ตสฺมา เอเกกสฺมา ยมกา เอเกกเมว ปุจฺฉํ ปุจฺฉิตฺวา สพฺพปุจฺฉาวสาเน ปุจฺฉานุกฺกเมเนว ‘‘กามธาตุยา จุตสฺส กามธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺส กสฺสจิ สตฺต อนุสยา อนุเสนฺตี’’ติอาทินา นเยน วิสฺสชฺชนํ กตํฯ

    Yo panāyaṃ sabbapacchimo dhātuvāro nāma, so pucchāvāro, vissajjanāvāroti dvidhā ṭhito. Tassa pucchāvāre kāmadhātuyā cutassa kāmadhātuṃ upapajjantassāti vatvā ‘‘kāmadhātuṃ vā pana upapajjantassa kāmadhātuyā cutassā’’ti na vuttaṃ. Kiṃ kāraṇā? Atthavisesābhāvato. Dvepi hi etā pucchā ekatthāyeva, tasmā ekekasmā yamakā ekekameva pucchaṃ pucchitvā sabbapucchāvasāne pucchānukkameneva ‘‘kāmadhātuyā cutassa kāmadhātuṃ upapajjantassa kassaci satta anusayā anusentī’’tiādinā nayena vissajjanaṃ kataṃ.

    ตตฺถ ‘‘กามธาตุยา จุตสฺส กามธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺส, รูปธาตุํ, อรูปธาตุํ, นกามธาตุํ, นรูปธาตุํ นอรูปธาตุํ , อุปปชฺชนฺตสฺสา’’ติ ฉ สุทฺธิกปุจฺฉา; ‘‘นกามธาตุํ, นอรูปธาตุํ, นรูปธาตุํ; นอรูปธาตุํ, นกามธาตุํ, นรูปธาตุํ, อุปปชฺชนฺตสฺสา’’ติ ติโสฺส มิสฺสกา ปุจฺฉา จาติ กามธาตุมูลกา นว อนุโลมปุจฺฉา โหนฺติฯ ตถา รูปธาตุมูลกา นว, อรูปธาตุมูลกา นวาติ สตฺตวีสติ อนุโลมปุจฺฉา โหนฺติฯ ตถา นกามธาตุนรูปธาตุนอรูปธาตุมูลกา สตฺตวีสติ ปฎิโลมปุจฺฉาฯ ปุน ‘‘นกามธาตุยา, นอรูปธาตุยา, นรูปธาตุยา, นอรูปธาตุยา, นกามธาตุยา, นอรูปธาตุยา’’ติ สตฺตวีสติ ทุกมูลกา ปุจฺฉาติ สพฺพาปิ สมฺปิณฺฑิตา เอกาสีติ ปุจฺฉา โหนฺติฯ ตาสํ วเสเนตฺถ วิสฺสชฺชนํ กตนฺติ อิทํ ธาตุวาเร ปาฬิววตฺถานํฯ เอวํ ตาว สกเลปิ อนุสยยมเก ปาฬิววตฺถานเมตํ เวทิตพฺพํฯ

    Tattha ‘‘kāmadhātuyā cutassa kāmadhātuṃ upapajjantassa, rūpadhātuṃ, arūpadhātuṃ, nakāmadhātuṃ, narūpadhātuṃ naarūpadhātuṃ , upapajjantassā’’ti cha suddhikapucchā; ‘‘nakāmadhātuṃ, naarūpadhātuṃ, narūpadhātuṃ; naarūpadhātuṃ, nakāmadhātuṃ, narūpadhātuṃ, upapajjantassā’’ti tisso missakā pucchā cāti kāmadhātumūlakā nava anulomapucchā honti. Tathā rūpadhātumūlakā nava, arūpadhātumūlakā navāti sattavīsati anulomapucchā honti. Tathā nakāmadhātunarūpadhātunaarūpadhātumūlakā sattavīsati paṭilomapucchā. Puna ‘‘nakāmadhātuyā, naarūpadhātuyā, narūpadhātuyā, naarūpadhātuyā, nakāmadhātuyā, naarūpadhātuyā’’ti sattavīsati dukamūlakā pucchāti sabbāpi sampiṇḍitā ekāsīti pucchā honti. Tāsaṃ vasenettha vissajjanaṃ katanti idaṃ dhātuvāre pāḷivavatthānaṃ. Evaṃ tāva sakalepi anusayayamake pāḷivavatthānametaṃ veditabbaṃ.

    อาทิโต ปฎฺฐาย ปเนตฺถ ยํ ยํ อนุตฺตานํ, ตตฺถ ตตฺถ อยํ วินิจฺฉยกถา – อนุสยาติ เกนเฎฺฐน อนุสยา? อนุสยนเฎฺฐนฯ โก เอส อนุสยนโฎฺฐ นามาติ? อปฺปหีนโฎฺฐฯ เอเต หิ อปฺปหีนเฎฺฐน ตสฺส ตสฺส สนฺตาเน อนุเสนฺติ นาม, ตสฺมา อนุสยาติ วุจฺจนฺติฯ อนุเสนฺตีติ อนุรูปํ การณํ ลภิตฺวา อุปฺปชฺชนฺตีติ อโตฺถฯ อถาปิ สิยา – อนุสยนโฎฺฐ นาม อปฺปหีนากาโรฯ อปฺปหีนากาโร จ อุปฺปชฺชตีติ วตฺตุํ น ยุชฺชติ, ตสฺมา น อนุสยา อุปฺปชฺชนฺตีติ ฯ ตตฺริทํ ปฎิวจนํ – อปฺปหีนากาโร อนุสโย, อนุสโยติ ปน อปฺปหีนเฎฺฐน ถามคตกิเลโส วุจฺจติฯ โส จิตฺตสมฺปยุโตฺต สารมฺมโณ สปฺปจฺจยเฎฺฐน สเหตุโก เอกนฺตากุสโล อตีโตปิ โหติ อนาคโตปิ ปจฺจุปฺปโนฺนปิ, ตสฺมา อุปฺปชฺชตีติ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ

    Ādito paṭṭhāya panettha yaṃ yaṃ anuttānaṃ, tattha tattha ayaṃ vinicchayakathā – anusayāti kenaṭṭhena anusayā? Anusayanaṭṭhena. Ko esa anusayanaṭṭho nāmāti? Appahīnaṭṭho. Ete hi appahīnaṭṭhena tassa tassa santāne anusenti nāma, tasmā anusayāti vuccanti. Anusentīti anurūpaṃ kāraṇaṃ labhitvā uppajjantīti attho. Athāpi siyā – anusayanaṭṭho nāma appahīnākāro. Appahīnākāro ca uppajjatīti vattuṃ na yujjati, tasmā na anusayā uppajjantīti . Tatridaṃ paṭivacanaṃ – appahīnākāro anusayo, anusayoti pana appahīnaṭṭhena thāmagatakileso vuccati. So cittasampayutto sārammaṇo sappaccayaṭṭhena sahetuko ekantākusalo atītopi hoti anāgatopi paccuppannopi, tasmā uppajjatīti vattuṃ yujjati.

    ตตฺริทํ ปมาณํ – อภิธเมฺม ตาว กถาวตฺถุสฺมิํ (กถา. ๕๕๔ อาทโย) ‘‘อนุสยา อพฺยากตา, อนุสยา อเหตุกา, อนุสยา จิตฺตวิปฺปยุตฺตา’’ติ สเพฺพ วาทา ปฎิเสธิตาฯ ปฎิสมฺภิทามเคฺค (ปฎิ. ม. ๓.๒๑) ‘‘ปจฺจุปฺปเนฺน กิเลเส ปชหตี’’ติ ปุจฺฉํ กตฺวา อนุสยานํ ปจฺจุปฺปนฺนภาวสฺส อตฺถิตาย ‘‘ถามคตานุสยํ ปชหตี’’ติ วุตฺตํฯ ธมฺมสงฺคเห ปน โมหสฺส ปทภาชเน ‘‘อวิชฺชานุสโย อวิชฺชาปริยุฎฺฐานํ อวิชฺชาลงฺคี โมโห อกุสลมูลํ, อยํ ตสฺมิํ สมเย โมโห โหตี’’ติ (ธ. ส. ๓๙๐) อกุสลจิเตฺตน สทฺธิํ อวิชฺชานุสยสฺส อุปฺปนฺนภาโว วุโตฺตฯ อิมสฺมิํเยว อนุสยยมเก สตฺตนฺนํ มหาวารานํ อญฺญตรสฺมิํ อุปฺปชฺชนวาเร ‘‘ยสฺส กามราคานุสโย อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ปฎิฆานุสโย อุปฺปชฺชตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺมา ‘‘อนุเสนฺตีติ อนุรูปํ การณํ ลภิตฺวา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ ยํ วุตฺตํ, ตํ อิมินา ตนฺติปฺปมาเณน สุวุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยมฺปิ ‘‘จิตฺตสมฺปยุโตฺต สารมฺมโณ’’ติอาทิ วุตฺตํ, ตมฺปิ สุวุตฺตเมวฯ อนุสโย หิ นาเมส ปรินิปฺผโนฺน จิตฺตสมฺปยุโตฺต อกุสลธโมฺมติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ กามราคานุสโยติอาทีสุ กามราโค จ โส อปฺปหีนเฎฺฐน อนุสโย จาติ กามราคานุสโยฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ

    Tatridaṃ pamāṇaṃ – abhidhamme tāva kathāvatthusmiṃ (kathā. 554 ādayo) ‘‘anusayā abyākatā, anusayā ahetukā, anusayā cittavippayuttā’’ti sabbe vādā paṭisedhitā. Paṭisambhidāmagge (paṭi. ma. 3.21) ‘‘paccuppanne kilese pajahatī’’ti pucchaṃ katvā anusayānaṃ paccuppannabhāvassa atthitāya ‘‘thāmagatānusayaṃ pajahatī’’ti vuttaṃ. Dhammasaṅgahe pana mohassa padabhājane ‘‘avijjānusayo avijjāpariyuṭṭhānaṃ avijjālaṅgī moho akusalamūlaṃ, ayaṃ tasmiṃ samaye moho hotī’’ti (dha. sa. 390) akusalacittena saddhiṃ avijjānusayassa uppannabhāvo vutto. Imasmiṃyeva anusayayamake sattannaṃ mahāvārānaṃ aññatarasmiṃ uppajjanavāre ‘‘yassa kāmarāgānusayo uppajjati, tassa paṭighānusayo uppajjatī’’tiādi vuttaṃ. Tasmā ‘‘anusentīti anurūpaṃ kāraṇaṃ labhitvā uppajjantī’’ti yaṃ vuttaṃ, taṃ iminā tantippamāṇena suvuttanti veditabbaṃ. Yampi ‘‘cittasampayutto sārammaṇo’’tiādi vuttaṃ, tampi suvuttameva. Anusayo hi nāmesa parinipphanno cittasampayutto akusaladhammoti niṭṭhamettha gantabbaṃ. Kāmarāgānusayotiādīsu kāmarāgo ca so appahīnaṭṭhena anusayo cāti kāmarāgānusayo. Sesapadesupi eseva nayo.

    ปริเจฺฉทปริจฺฉินฺนุเทฺทสวารวณฺณนาฯ

    Paricchedaparicchinnuddesavāravaṇṇanā.

    อุปฺปตฺติฎฺฐานวารวณฺณนา

    Uppattiṭṭhānavāravaṇṇanā

    . อิทานิ เตสํ อุปฺปตฺติฎฺฐานํ ปกาเสตุํ กตฺถ กามราคานุสโย อนุเสตีติอาทิมาหฯ ตตฺถ กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสูติ กามาวจรภูมิยํ สุขาย จ อุเปกฺขาย จาติ ทฺวีสุ เวทนาสุฯ เอตฺถ กามราคานุสโย อนุเสตีติ อิมาสุ ทฺวีสุ เวทนาสุ อุปฺปชฺชติฯ โส ปเนส อกุสลเวทนาสุ สหชาตวเสน อารมฺมณวเสน จาติ ทฺวีหากาเรหิ อนุเสติฯ อกุสลาย สุขาย เวทนาย เจว อุเปกฺขาย เวทนาย จ สหชาโตปิ หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ ตา เวทนา อารมฺมณํ กตฺวาปิ อุปฺปชฺชตีติ อโตฺถฯ อวเสสา ปน กามาวจรกุสลวิปากกิริยเวทนา อารมฺมณเมว กตฺวา อุปฺปชฺชติฯ กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ อนุสยมาโน เจส ตาหิ เวทนาหิ สมฺปยุเตฺตสุ สญฺญาสงฺขารวิญฺญาเณสุปิ อนุเสติเยวฯ น หิ สกฺกา เวทนาสุ อนุสยมาเนน ตํสมฺปยุเตฺตหิ สญฺญาทีหิ สทฺธิํ อสหชาเตน วา ภวิตุํ, ตํสมฺปยุเตฺต วา สญฺญาทโย อารมฺมณํ อกตฺวา อุปฺปชฺชิตุํฯ เอวํ สเนฺตปิ ปน ยสฺมา อิมา เทฺว เวทนาว สาตสนฺตสุขตฺตา อสฺสาทเฎฺฐน กามราคานุสยสฺส อุปฺปตฺติยา เสสสมฺปยุตฺตธเมฺมสุ ปธานา, ตสฺมา ‘‘ทฺวีสุ เวทนาสุ เอตฺถ กามราคานุสโย อนุเสตี’’ติ วุตฺตํ, โอฬาริกวเสน หิ โพธเนเยฺย สุขํ โพเธตุนฺติฯ

    2. Idāni tesaṃ uppattiṭṭhānaṃ pakāsetuṃ kattha kāmarāgānusayo anusetītiādimāha. Tattha kāmadhātuyā dvīsu vedanāsūti kāmāvacarabhūmiyaṃ sukhāya ca upekkhāya cāti dvīsu vedanāsu. Ettha kāmarāgānusayo anusetīti imāsu dvīsu vedanāsu uppajjati. So panesa akusalavedanāsu sahajātavasena ārammaṇavasena cāti dvīhākārehi anuseti. Akusalāya sukhāya vedanāya ceva upekkhāya vedanāya ca sahajātopi hutvā uppajjati. Tā vedanā ārammaṇaṃ katvāpi uppajjatīti attho. Avasesā pana kāmāvacarakusalavipākakiriyavedanā ārammaṇameva katvā uppajjati. Kāmadhātuyā dvīsu vedanāsu anusayamāno cesa tāhi vedanāhi sampayuttesu saññāsaṅkhāraviññāṇesupi anusetiyeva. Na hi sakkā vedanāsu anusayamānena taṃsampayuttehi saññādīhi saddhiṃ asahajātena vā bhavituṃ, taṃsampayutte vā saññādayo ārammaṇaṃ akatvā uppajjituṃ. Evaṃ santepi pana yasmā imā dve vedanāva sātasantasukhattā assādaṭṭhena kāmarāgānusayassa uppattiyā sesasampayuttadhammesu padhānā, tasmā ‘‘dvīsu vedanāsu ettha kāmarāgānusayo anusetī’’ti vuttaṃ, oḷārikavasena hi bodhaneyye sukhaṃ bodhetunti.

    นนุ เจส อารมฺมณวเสน อนุสยมาโน น เกวลํ อิมาสุ ทฺวีสุ เวทนาสุ เจว เวทนาสมฺปยุตฺตธเมฺมสุ จ อนุเสติ, อิเฎฺฐสุ ปน รูปาทีสุปิ อนุเสติเยวฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ วิภงฺคปฺปกรเณ (วิภ. ๘๑๖) ‘‘ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ, เอตฺถ สตฺตานํ กามราคานุสโย อนุเสตี’’ติ อิมสฺมิมฺปิ ปกรเณ อนุสยวารสฺส ปฎิโลมนเย วุตฺตํฯ ‘‘ยตฺถ กามราคานุสโย นานุเสติ ตตฺถ ทิฎฺฐานุสโย นานุเสตีติ ทุกฺขาย เวทนาย รูปธาตุยา อรูปธาตุยา เอตฺถ กามราคานุสโย นานุเสติ, โน จ ตตฺถ ทิฎฺฐานุสโย นานุเสติฯ อปริยาปเนฺน เอตฺถ กามราคานุสโย จ นานุเสติ, ทิฎฺฐานุสโย จ นานุเสตี’’ติฯ เอตฺถ หิ ทุกฺขเวทนาย เจว รูปธาตุอาทีสุ จ นานุเสตีติ วุตฺตตฺตา สสมฺปยุตฺตธมฺมํ ทุกฺขเวทนํ สโอกาเส รูปารูปาวจรธเมฺม นว จ, โลกุตฺตรธเมฺม ฐเปตฺวา อวเสเสสุ รูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐเพฺพสุ อนุเสตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ อิธ กสฺมา น วุตฺตนฺติ? อโนฬาริกตฺตาฯ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน หิ เวทนานเญฺญว โอฬาริกตฺตา อิเมสํ ปน อโนฬาริกตฺตา เอเตสุ รูปาทีสุ อนุเสตีติ น วุตฺตํ, อตฺถโต ปน ลพฺภติฯ ตสฺมา เอเตสุปิ กามราคานุสโย อนุเสติเยวาติ เวทิตโพฺพฯ น หิ สตฺถา สพฺพํ สพฺพตฺถ กเถติฯ โพธเนยฺยสตฺตานํ ปน วเสน กตฺถจิ ยํ ลพฺภติ, ตํ สพฺพํ กเถติ, กตฺถจิ น กเถติฯ ตถา หิ อเนน กตฺถจิ ทิฎฺฐานุสโย อนุเสตีติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สพฺพสกฺกายปริยาปเนฺนสุ ธเมฺมสุ เอตฺถ ทิฎฺฐานุสโย อนุเสตี’’ติ ยํ ลพฺภติ ตํ สพฺพํ กถิตํฯ อปรสฺมิํ ฐาเน วิสฺสชฺชเนฺตน ‘‘รูปธาตุยา อรูปธาตุยา เอตฺถ วิจิกิจฺฉานุสโย จ มานานุสโย จ ทิฎฺฐานุสโย จ อนุเสนฺติ, กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ เอตฺถ วิจิกิจฺฉานุสโย จ กามราคานุสโย จ มานานุสโย จ ทิฎฺฐานุสโย จ อนุเสนฺติ, ทุกฺขาย เวทนาย เอตฺถ วิจิกิจฺฉานุสโย จ ปฎิฆานุสโย จ ทิฎฺฐานุสโย จ อวิชฺชานุสโย จ อนุเสนฺตี’’ติ ยํ ลพฺภติ ตํ สพฺพํ อกเถตฺวา รูปธาตุอรูปธาตูหิ สทฺธิํ ติโสฺส เวทนาว กถิตาฯ เวทนาสมฺปยุตฺตา ปน อรูปธมฺมา, สพฺพญฺจ รูปํ น กถิตํฯ กิญฺจาปิ น กถิตํ, ทิฎฺฐานุสโย ปเนตฺถ อนุเสติเยวฯ เอวเมว กิญฺจาปิ อิธ รูปาทิอิฎฺฐารมฺมณํ น กถิตํ, กามราคานุสโย ปเนตฺถ อนุเสติเยวาติฯ เอวํ ตาว กามราคานุสยสฺส อนุสยนฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ

    Nanu cesa ārammaṇavasena anusayamāno na kevalaṃ imāsu dvīsu vedanāsu ceva vedanāsampayuttadhammesu ca anuseti, iṭṭhesu pana rūpādīsupi anusetiyeva. Vuttampi cetaṃ vibhaṅgappakaraṇe (vibha. 816) ‘‘yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ, ettha sattānaṃ kāmarāgānusayo anusetī’’ti imasmimpi pakaraṇe anusayavārassa paṭilomanaye vuttaṃ. ‘‘Yattha kāmarāgānusayo nānuseti tattha diṭṭhānusayo nānusetīti dukkhāya vedanāya rūpadhātuyā arūpadhātuyā ettha kāmarāgānusayo nānuseti, no ca tattha diṭṭhānusayo nānuseti. Apariyāpanne ettha kāmarāgānusayo ca nānuseti, diṭṭhānusayo ca nānusetī’’ti. Ettha hi dukkhavedanāya ceva rūpadhātuādīsu ca nānusetīti vuttattā sasampayuttadhammaṃ dukkhavedanaṃ saokāse rūpārūpāvacaradhamme nava ca, lokuttaradhamme ṭhapetvā avasesesu rūpasaddagandharasaphoṭṭhabbesu anusetīti vuttaṃ hoti. Taṃ idha kasmā na vuttanti? Anoḷārikattā. Heṭṭhā vuttanayena hi vedanānaññeva oḷārikattā imesaṃ pana anoḷārikattā etesu rūpādīsu anusetīti na vuttaṃ, atthato pana labbhati. Tasmā etesupi kāmarāgānusayo anusetiyevāti veditabbo. Na hi satthā sabbaṃ sabbattha katheti. Bodhaneyyasattānaṃ pana vasena katthaci yaṃ labbhati, taṃ sabbaṃ katheti, katthaci na katheti. Tathā hi anena katthaci diṭṭhānusayo anusetīti pucchitvā ‘‘sabbasakkāyapariyāpannesu dhammesu ettha diṭṭhānusayo anusetī’’ti yaṃ labbhati taṃ sabbaṃ kathitaṃ. Aparasmiṃ ṭhāne vissajjantena ‘‘rūpadhātuyā arūpadhātuyā ettha vicikicchānusayo ca mānānusayo ca diṭṭhānusayo ca anusenti, kāmadhātuyā dvīsu vedanāsu ettha vicikicchānusayo ca kāmarāgānusayo ca mānānusayo ca diṭṭhānusayo ca anusenti, dukkhāya vedanāya ettha vicikicchānusayo ca paṭighānusayo ca diṭṭhānusayo ca avijjānusayo ca anusentī’’ti yaṃ labbhati taṃ sabbaṃ akathetvā rūpadhātuarūpadhātūhi saddhiṃ tisso vedanāva kathitā. Vedanāsampayuttā pana arūpadhammā, sabbañca rūpaṃ na kathitaṃ. Kiñcāpi na kathitaṃ, diṭṭhānusayo panettha anusetiyeva. Evameva kiñcāpi idha rūpādiiṭṭhārammaṇaṃ na kathitaṃ, kāmarāgānusayo panettha anusetiyevāti. Evaṃ tāva kāmarāgānusayassa anusayanaṭṭhānaṃ veditabbaṃ.

    ปฎิฆานุสยสฺส ปน ‘‘ทุกฺขาย เวทนายา’’ติ วจนโต เทฺว โทมนสฺสเวทนา กายวิญฺญาณสมฺปยุตฺตา ทุกฺขเวทนาติ ติโสฺส เวทนา อนุสยนฎฺฐานํฯ โส ปเนส โทมนสฺสเวทนาสุ สหชาตวเสน อารมฺมณวเสน จาติ ทฺวีหากาเรหิ อนุเสติฯ อวเสสทุกฺขเวทนาย ปน อารมฺมณวเสเนว อนุเสติฯ ตาสุ เวทนาสุ อนุสยมาโน เจส ตาหิ สมฺปยุเตฺตสุ สญฺญากฺขนฺธาทีสุปิ อนุเสติเยวฯ ยาย หิ เวทนาย เอส สหชาโต, ตํสมฺปยุเตฺตหิ สญฺญาทีหิปิ สหชาโตวฯ ยา จ เวทนา อารมฺมณํ กโรติ, ตาหิ สมฺปยุเตฺต สญฺญาทโยปิ กโรติเยวฯ เอวํ สเนฺตปิ ปน ยสฺมา ทุกฺขเวทนาว อสาตทุกฺขเวทยิตตฺตา นิรสฺสาทเฎฺฐน ปฎิฆานุสยสฺส อุปฺปตฺติยา เสสสมฺปยุตฺตธเมฺมสุ อธิกา; ตสฺมา ‘‘ทุกฺขาย เวทนาย เอตฺถ ปฎิฆานุสโย อนุเสตี’’ติ วุตฺตํ, โอฬาริกวเสน หิ โพธเนเยฺย สุขํ โพเธตุนฺติฯ

    Paṭighānusayassa pana ‘‘dukkhāya vedanāyā’’ti vacanato dve domanassavedanā kāyaviññāṇasampayuttā dukkhavedanāti tisso vedanā anusayanaṭṭhānaṃ. So panesa domanassavedanāsu sahajātavasena ārammaṇavasena cāti dvīhākārehi anuseti. Avasesadukkhavedanāya pana ārammaṇavaseneva anuseti. Tāsu vedanāsu anusayamāno cesa tāhi sampayuttesu saññākkhandhādīsupi anusetiyeva. Yāya hi vedanāya esa sahajāto, taṃsampayuttehi saññādīhipi sahajātova. Yā ca vedanā ārammaṇaṃ karoti, tāhi sampayutte saññādayopi karotiyeva. Evaṃ santepi pana yasmā dukkhavedanāva asātadukkhavedayitattā nirassādaṭṭhena paṭighānusayassa uppattiyā sesasampayuttadhammesu adhikā; tasmā ‘‘dukkhāya vedanāya ettha paṭighānusayo anusetī’’ti vuttaṃ, oḷārikavasena hi bodhaneyye sukhaṃ bodhetunti.

    นนุ เจส อารมฺมณวเสน อนุสยมาโน น เกวลํ ทุกฺขเวทนาย เจว ตํสมฺปยุตฺตธเมฺมสุ จ อนุเสติ, อนิเฎฺฐสุ ปน รูปาทีสุปิ อนุเสติเยว? วุตฺตมฺปิ เจตํ วิภงฺคปฺปกรเณ (วิภ. ๘๑๖) ‘‘ยํ โลเก อปฺปิยรูปํ อสาตรูปํ, เอตฺถ สตฺตานํ ปฎิฆานุสโย อนุเสตี’’ติ อิมสฺมิมฺปิ ปกรเณ อนุสยวารสฺส ปฎิโลมนเย วุตฺตํ – ‘‘กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ เอตฺถ ปฎิฆานุสโย นานุเสติ, โน จ ตตฺถ กามราคานุสโย นานุเสติฯ รูปธาตุยา อรูปธาตุยา อปริยาปเนฺน เอตฺถ ปฎิฆานุสโย จ นานุเสติ, กามราคานุสโย จ นานุเสตี’’ติฯ เอตฺถ หิ ทฺวีสุ กามาวจรเวทนาสุ เจว รูปธาตุอาทีสุ จ นานุเสตีติ วุตฺตตฺตา สสมฺปยุตฺตธมฺมา เทฺว เวทนา สโอกาเส รูปารูปาวจรธเมฺม นว จ, โลกุตฺตรธเมฺม ฐเปตฺวา อวเสเสสุ รูปาทีสุ อนุเสตีติ วุตฺตํ โหติ ฯ ตํ อิธ กสฺมา น วุตฺตนฺติ? อโนฬาริกตฺตาฯ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน หิ ทุกฺขเวทนาย เอว โอฬาริกตฺตา อิเมสํ ปน อโนฬาริกตฺตา เอเตสุ รูปาทีสุ อนุเสตีติ น วุตฺตํฯ อตฺถโต ปน ลพฺภติ, ตสฺมา เอเตสุปิ ปฎิฆานุสโย อนุเสติเยวาติ เวทิตโพฺพฯ

    Nanu cesa ārammaṇavasena anusayamāno na kevalaṃ dukkhavedanāya ceva taṃsampayuttadhammesu ca anuseti, aniṭṭhesu pana rūpādīsupi anusetiyeva? Vuttampi cetaṃ vibhaṅgappakaraṇe (vibha. 816) ‘‘yaṃ loke appiyarūpaṃ asātarūpaṃ, ettha sattānaṃ paṭighānusayo anusetī’’ti imasmimpi pakaraṇe anusayavārassa paṭilomanaye vuttaṃ – ‘‘kāmadhātuyā dvīsu vedanāsu ettha paṭighānusayo nānuseti, no ca tattha kāmarāgānusayo nānuseti. Rūpadhātuyā arūpadhātuyā apariyāpanne ettha paṭighānusayo ca nānuseti, kāmarāgānusayo ca nānusetī’’ti. Ettha hi dvīsu kāmāvacaravedanāsu ceva rūpadhātuādīsu ca nānusetīti vuttattā sasampayuttadhammā dve vedanā saokāse rūpārūpāvacaradhamme nava ca, lokuttaradhamme ṭhapetvā avasesesu rūpādīsu anusetīti vuttaṃ hoti . Taṃ idha kasmā na vuttanti? Anoḷārikattā. Heṭṭhā vuttanayena hi dukkhavedanāya eva oḷārikattā imesaṃ pana anoḷārikattā etesu rūpādīsu anusetīti na vuttaṃ. Atthato pana labbhati, tasmā etesupi paṭighānusayo anusetiyevāti veditabbo.

    กิํ ปน อิตรา เทฺว เวทนา อิฎฺฐารมฺมณํ วา ปฎิฆสฺส อารมฺมณํ น โหนฺตีติ? โน น โหนฺติฯ ปริหีนชฺฌานสฺส วิปฺปฎิสารวเสน สสมฺปยุตฺตธมฺมา ตา เวทนา อารพฺภ โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ อิฎฺฐารมฺมณสฺส จ ปฎิลทฺธสฺส วิปริณามํ วา อปฺปฎิลทฺธสฺส อปฺปฎิลาภํ วา สมนุสฺสรโตปิ โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ โทมนสฺสมตฺตเมว ปน ตํ โหติ, น ปฎิฆานุสโยฯ ปฎิฆานุสโย หิ อนิฎฺฐารมฺมเณ ปฎิหญฺญนวเสน อุปฺปโนฺน ถามคโต กิเลโส, ตสฺมา เอตฺถ โทมนเสฺสน สทฺธิํ ปฎิโฆ อุปฺปโนฺนปิ อตฺตโน ปฎิฆกิจฺจํ อกรณภาเวน เอว ปฎิฆานุสโย น โหติ อโพฺพหาริกตฺตํ คจฺฉติฯ ยถา หิ ปาณาติปาตเจตนาย สทฺธิํ อุปฺปโนฺนปิ พฺยาปาโท มโนกมฺมํ นาม น โหติ อโพฺพหาริกตฺตํ คจฺฉติ, เอวํ ปฎิฆานุสโย น โหติ, อโพฺพหาริกตฺตํ คจฺฉติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ เอกจฺจํ อิฎฺฐารมฺมณํ เนกฺขมฺมสิตมฺปิ วา โทมนสฺสํ สนฺธาย ‘‘ยํ เอวรูปํ โทมนสฺสํ ปฎิฆํ เตน ปชหติ น ตตฺถ ปฎิฆานุสโย อนุเสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๕)ฯ เอวํ ปฎิฆานุสยสฺส อนุสยนฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ

    Kiṃ pana itarā dve vedanā iṭṭhārammaṇaṃ vā paṭighassa ārammaṇaṃ na hontīti? No na honti. Parihīnajjhānassa vippaṭisāravasena sasampayuttadhammā tā vedanā ārabbha domanassaṃ uppajjati. Iṭṭhārammaṇassa ca paṭiladdhassa vipariṇāmaṃ vā appaṭiladdhassa appaṭilābhaṃ vā samanussaratopi domanassaṃ uppajjati. Domanassamattameva pana taṃ hoti, na paṭighānusayo. Paṭighānusayo hi aniṭṭhārammaṇe paṭihaññanavasena uppanno thāmagato kileso, tasmā ettha domanassena saddhiṃ paṭigho uppannopi attano paṭighakiccaṃ akaraṇabhāvena eva paṭighānusayo na hoti abbohārikattaṃ gacchati. Yathā hi pāṇātipātacetanāya saddhiṃ uppannopi byāpādo manokammaṃ nāma na hoti abbohārikattaṃ gacchati, evaṃ paṭighānusayo na hoti, abbohārikattaṃ gacchati. Vuttampi cetaṃ ekaccaṃ iṭṭhārammaṇaṃ nekkhammasitampi vā domanassaṃ sandhāya ‘‘yaṃ evarūpaṃ domanassaṃ paṭighaṃ tena pajahati na tattha paṭighānusayo anusetī’’ti (ma. ni. 1.465). Evaṃ paṭighānusayassa anusayanaṭṭhānaṃ veditabbaṃ.

    มานานุสยสฺส ปน ‘‘กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสู’’ติอาทิวจนโต เทฺว กามาวจรเวทนา รูปารูปธาตุโย จาติ อิทํ ติวิธํ อนุสยนฎฺฐานํฯ ตสฺส อกุสลาสุ เวทนาสุ กามราคานุสยสฺส วิย สหชาตานุสยตา เวทิตพฺพาฯ สสมฺปยุตฺตธมฺมาสุ ปน สพฺพาสุปิ กามาวจราสุ สุขอทุกฺขมสุขเวทนาสุ รูปารูปธาตูสุ จ อารมฺมณวเสเนว อนุเสติฯ อนุสยวารสฺส ปน ปฎิโลมนเย ‘‘ทุกฺขาย เวทนาย อปริยาปเนฺน เอตฺถ กามราคานุสโย จ นานุเสติ, มานานุสโย จ นานุเสตี’’ติ วุตฺตตฺตา ฐเปตฺวา ทุกฺขเวทนเญฺจว นววิธํ โลกุตฺตรธมฺมญฺจ เสสรูปารูปธเมฺมสุปิ อยํ อนุเสติเยวาติฯ เอวํ มานานุสยสฺส อนุสยนฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ

    Mānānusayassa pana ‘‘kāmadhātuyā dvīsu vedanāsū’’tiādivacanato dve kāmāvacaravedanā rūpārūpadhātuyo cāti idaṃ tividhaṃ anusayanaṭṭhānaṃ. Tassa akusalāsu vedanāsu kāmarāgānusayassa viya sahajātānusayatā veditabbā. Sasampayuttadhammāsu pana sabbāsupi kāmāvacarāsu sukhaadukkhamasukhavedanāsu rūpārūpadhātūsu ca ārammaṇavaseneva anuseti. Anusayavārassa pana paṭilomanaye ‘‘dukkhāya vedanāya apariyāpanne ettha kāmarāgānusayo ca nānuseti, mānānusayo ca nānusetī’’ti vuttattā ṭhapetvā dukkhavedanañceva navavidhaṃ lokuttaradhammañca sesarūpārūpadhammesupi ayaṃ anusetiyevāti. Evaṃ mānānusayassa anusayanaṭṭhānaṃ veditabbaṃ.

    ทิฎฺฐานุสยวิจิกิจฺฉานุสยา ปน เกวลํ โลกุตฺตรธเมฺมเสฺวว นานุเสนฺติฯ เตภูมเกสุ ปน สเพฺพสุปิ อนุเสนฺติเยวฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สพฺพสกฺกายปริยาปเนฺนสุ ธเมฺมสุ เอตฺถ ทิฎฺฐานุสโย อนุเสติ, เอตฺถ วิจิกิจฺฉานุสโย อนุเสตี’’ติฯ ตตฺถ สพฺพสกฺกายปริยาปเนฺนสูติ สํสารวฎฺฎนิสฺสิตเฎฺฐน สกฺกายปริยาปเนฺนสุ สพฺพธเมฺมสูติ อโตฺถฯ ตตฺถ ปเนเต ปญฺจสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ สหชาตานุสยนวเสน อนุเสนฺติฯ เต วา ปน ปญฺจ จิตฺตุปฺปาเท อเญฺญ วา เตภูมกธเมฺม อารพฺภ ปวตฺติกาเล อารมฺมณานุสยนวเสน อนุเสนฺตีติฯ เอวํ ทิฎฺฐานุสยวิจิกิจฺฉานุสยานํ อนุสยนฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ

    Diṭṭhānusayavicikicchānusayā pana kevalaṃ lokuttaradhammesveva nānusenti. Tebhūmakesu pana sabbesupi anusentiyeva. Tena vuttaṃ – ‘‘sabbasakkāyapariyāpannesu dhammesu ettha diṭṭhānusayo anuseti, ettha vicikicchānusayo anusetī’’ti. Tattha sabbasakkāyapariyāpannesūti saṃsāravaṭṭanissitaṭṭhena sakkāyapariyāpannesu sabbadhammesūti attho. Tattha panete pañcasu cittuppādesu sahajātānusayanavasena anusenti. Te vā pana pañca cittuppāde aññe vā tebhūmakadhamme ārabbha pavattikāle ārammaṇānusayanavasena anusentīti. Evaṃ diṭṭhānusayavicikicchānusayānaṃ anusayanaṭṭhānaṃ veditabbaṃ.

    ภวราคานุสโย ปน กิญฺจาปิ ทิฎฺฐิวิปฺปยุเตฺตสุ จตูสุ จิเตฺตสุ อุปฺปชฺชนโต สหชาตานุสยนวเสน ‘‘กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ อนุเสตี’’ติ วตฺตโพฺพ ภเวยฺยฯ กามธาตุยํ ปเนส ทฺวีหิ เวทนาหิ สทฺธิํ อุปฺปชฺชมาโนปิ รูปารูปาวจรธมฺมเมว ปฎิลภติฯ กามธาตุยา ปริยาปนฺนํ เอกธมฺมมฺปิ อารมฺมณํ น กโรติ, ตสฺมา อารมฺมณานุสยนวเสน นิยมํ กตฺวา ‘‘รูปธาตุยา อรูปธาตุยา เอตฺถ ภวราคานุสโย อนุเสตี’’ติ วุตฺตํฯ อปิจ ราโค นาเมส กามราคภวราควเสน ทุวิโธฯ ตตฺถ กามราโค กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ อนุเสตีติ วุโตฺตฯ สเจ ปน ภวราโคปิ กามราโค วิย เอวํ วุเจฺจยฺย, กามราเคน สทฺธิํ เทสนา สํกิณฺณา วิย ภเวยฺยาติ ราคกิเลสํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา กามราคโต ภวราคสฺส วิเสสทสฺสนตฺถมฺปิ เอวํ เทสนา กตาติฯ เอวํ ภวราคานุสยสฺส อนุสยนฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ

    Bhavarāgānusayo pana kiñcāpi diṭṭhivippayuttesu catūsu cittesu uppajjanato sahajātānusayanavasena ‘‘kāmadhātuyā dvīsu vedanāsu anusetī’’ti vattabbo bhaveyya. Kāmadhātuyaṃ panesa dvīhi vedanāhi saddhiṃ uppajjamānopi rūpārūpāvacaradhammameva paṭilabhati. Kāmadhātuyā pariyāpannaṃ ekadhammampi ārammaṇaṃ na karoti, tasmā ārammaṇānusayanavasena niyamaṃ katvā ‘‘rūpadhātuyā arūpadhātuyā ettha bhavarāgānusayo anusetī’’ti vuttaṃ. Apica rāgo nāmesa kāmarāgabhavarāgavasena duvidho. Tattha kāmarāgo kāmadhātuyā dvīsu vedanāsu anusetīti vutto. Sace pana bhavarāgopi kāmarāgo viya evaṃ vucceyya, kāmarāgena saddhiṃ desanā saṃkiṇṇā viya bhaveyyāti rāgakilesaṃ dvidhā bhinditvā kāmarāgato bhavarāgassa visesadassanatthampi evaṃ desanā katāti. Evaṃ bhavarāgānusayassa anusayanaṭṭhānaṃ veditabbaṃ.

    อวิชฺชานุสโย ปน สเพฺพสุปิ เตภูมกธเมฺมสุ อนุเสติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สพฺพสกฺกายปริยาปเนฺนสุ ธเมฺมสุ เอตฺถ อวิชฺชานุสโย อนุเสตี’’ติฯ ตสฺส ทฺวาทสสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ สหชาตานุสยตา เวทิตพฺพาฯ อารมฺมณกรณวเสน ปน น กิญฺจิ เตภูมกธมฺมํ อารพฺภ น ปวตฺตตีติฯ เอวํ อวิชฺชานุสยสฺส อนุสยนฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ อยํ ตาว ปริเจฺฉทวารปริจฺฉินฺนุเทฺทสวารอุปฺปตฺติฎฺฐานวาเรสุ วินิจฺฉยกถาฯ

    Avijjānusayo pana sabbesupi tebhūmakadhammesu anuseti. Tena vuttaṃ ‘‘sabbasakkāyapariyāpannesu dhammesu ettha avijjānusayo anusetī’’ti. Tassa dvādasasu cittuppādesu sahajātānusayatā veditabbā. Ārammaṇakaraṇavasena pana na kiñci tebhūmakadhammaṃ ārabbha na pavattatīti. Evaṃ avijjānusayassa anusayanaṭṭhānaṃ veditabbaṃ. Ayaṃ tāva paricchedavāraparicchinnuddesavārauppattiṭṭhānavāresu vinicchayakathā.

    อุปฺปตฺติฎฺฐานวารวณฺณนาฯ

    Uppattiṭṭhānavāravaṇṇanā.

    มหาวาโร

    Mahāvāro

    ๑. อนุสยวารวณฺณนา

    1. Anusayavāravaṇṇanā

    . สตฺตนฺนํ ปน มหาวารานํ ปฐเม อนุสยวาเร ยสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ, ตสฺส ปฎิฆานุสโย อนุเสตีติ เอตฺถ ยเทตํ ‘‘อามนฺตา’’ติ ปฎิวจนํ ทินฺนํ, ตํ ทุทฺทินฺนํ วิย ขายติฯ กสฺมา? กามราคปฎิฆานํ เอกกฺขเณ อนุปฺปตฺติโตฯ ยถา หิ ‘‘ยสฺส มนายตนํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ธมฺมายตนํ อุปฺปชฺชตีติ ‘อามนฺตา’, อสฺสาสปสฺสาสานํ อุปฺปาทกฺขเณ เตสํ กายสงฺขาโร จ อุปฺปชฺชติ, วจีสงฺขาโร จ อุปฺปชฺชตี’’ติอาทีสุ มนายตนธมฺมายตนานิ กายสงฺขารวจีสงฺขารา จ เอกกฺขเณ อุปฺปชฺชนฺติ, น ตถา กามราคปฎิฆาฯ กามราโค หิ อฎฺฐสุ โลภสหคตจิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชติฯ ปฎิโฆ ทฺวีสุ โทมนสฺสสหคเตสูติ, นตฺถิ เนสํ เอกกฺขเณ อุปฺปตฺติ; ตสฺมา เอตฺถ ‘โน’ติ ปฎิเสโธ กตฺตโพฺพ สิยาฯ ตํ อกตฺวา ปน ‘อามนฺตา’ติ ปฎิวจนสฺส ทินฺนตฺตา เหฎฺฐายมเกสุ วิย เอตฺถ ขณปจฺจุปฺปนฺนวเสน วตฺตมานโวหารํ อคฺคเหตฺวา อญฺญถา คเหตโพฺพฯ

    3. Sattannaṃ pana mahāvārānaṃ paṭhame anusayavāre yassa kāmarāgānusayo anuseti, tassa paṭighānusayo anusetīti ettha yadetaṃ ‘‘āmantā’’ti paṭivacanaṃ dinnaṃ, taṃ duddinnaṃ viya khāyati. Kasmā? Kāmarāgapaṭighānaṃ ekakkhaṇe anuppattito. Yathā hi ‘‘yassa manāyatanaṃ uppajjati, tassa dhammāyatanaṃ uppajjatīti ‘āmantā’, assāsapassāsānaṃ uppādakkhaṇe tesaṃ kāyasaṅkhāro ca uppajjati, vacīsaṅkhāro ca uppajjatī’’tiādīsu manāyatanadhammāyatanāni kāyasaṅkhāravacīsaṅkhārā ca ekakkhaṇe uppajjanti, na tathā kāmarāgapaṭighā. Kāmarāgo hi aṭṭhasu lobhasahagatacittuppādesu uppajjati. Paṭigho dvīsu domanassasahagatesūti, natthi nesaṃ ekakkhaṇe uppatti; tasmā ettha ‘no’ti paṭisedho kattabbo siyā. Taṃ akatvā pana ‘āmantā’ti paṭivacanassa dinnattā heṭṭhāyamakesu viya ettha khaṇapaccuppannavasena vattamānavohāraṃ aggahetvā aññathā gahetabbo.

    กถํ? อปฺปหีนวเสนฯ อปฺปหีนตญฺหิ สนฺธาย อยํ ‘‘อนุเสตี’’ติ วตฺตมานโวหาโร วุโตฺต, น ขณปจฺจุปฺปนฺนตํฯ ยสฺมา จ อปฺปหีนตํ สนฺธาย วุโตฺต, ตสฺมา ‘‘ยสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ, ตสฺส ปฎิฆานุสโย อนุเสตี’’ติ ปุจฺฉาย ยสฺส กามราคานุสโย อปฺปหีโน, น อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาทิโต, ตสฺส ปฎิฆานุสโยปิ อปฺปหีโนติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ยสฺมา จ เตสุ ยเสฺสโก อปฺปหีโน, ตสฺส อิตโรปิ อปฺปหีโนว โหติ, ตสฺมา ‘‘อามนฺตา’’ติ วุตฺตํฯ ยทิ เอวํ, ยํ อุปริ อุปฺปชฺชนวาเร ‘ยสฺส กามราคานุสโย อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ปฎิฆานุสโย อุปฺปชฺชตี’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘อามนฺตา’ติ วุตฺตํ; ตตฺถ กถํ อโตฺถ คเหตโพฺพติ? ตตฺถาปิ อปฺปหีนวเสเนว อุปฺปตฺติปจฺจเย สติ อุปฺปตฺติยา อนิวาริตวเสน วาฯ ยถา หิ จิตฺตกมฺมาทีนิ อารภิตฺวา อปรินิฎฺฐิตกมฺมนฺตา จิตฺตการาทโย เตสํ กมฺมนฺตานํ อกรณกฺขเณปิ มิตฺตสุหชฺชาทีหิ ทิฎฺฐทิฎฺฐฎฺฐาเน ‘‘อิเมสุ ทิวเสสุ กิํ กโรถา’’ติ วุตฺตา, ‘‘จิตฺตกมฺมํ กโรม, กฎฺฐกมฺมํ กโรมา’’ติ วทนฺติฯ เต กิญฺจาปิ ตสฺมิํ ขเณ น กโรนฺติ อวิจฺฉินฺนกมฺมนฺตตฺตา ปน กตขณญฺจ กตฺตพฺพขณญฺจ อุปาทาย กโรนฺติเยว นาม โหนฺติฯ เอวเมว ยมฺหิ สนฺตาเน อนุสยา อปฺปหีนา, ยมฺหิ วา ปน เนสํ สนฺตาเน อุปฺปตฺติปจฺจเย สติ อุปฺปตฺติ อนิวาริตา, ตตฺถ อนุปฺปชฺชนกฺขเณปิ อุปฺปนฺนปุพฺพเญฺจว กาลนฺตเร อุปฺปชฺชนกญฺจ อุปาทาย ยสฺส กามราคานุสโย อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ปฎิฆานุสโย อุปฺปชฺชติเยว นามาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิโต ปเรสุปิ เอวรูเปสุ วิสฺสชฺชเนสุ เอเสว นโยฯ โน จ ตสฺสาติ อิทํ อนาคามิสฺส กามราคพฺยาปาทานํ อนวเสสโต ปหีนตฺตา วุตฺตํฯ ติณฺณํ ปุคฺคลานนฺติ ปุถุชฺชนโสตาปนฺนสกทาคามีนํฯ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานนฺติ โสตาปนฺนสกทาคามีนํฯ ปรโตปิ เอวรูเปสุ ฐาเนสุ เอเสว นโยฯ

    Kathaṃ? Appahīnavasena. Appahīnatañhi sandhāya ayaṃ ‘‘anusetī’’ti vattamānavohāro vutto, na khaṇapaccuppannataṃ. Yasmā ca appahīnataṃ sandhāya vutto, tasmā ‘‘yassa kāmarāgānusayo anuseti, tassa paṭighānusayo anusetī’’ti pucchāya yassa kāmarāgānusayo appahīno, na anuppattidhammataṃ āpādito, tassa paṭighānusayopi appahīnoti evamattho daṭṭhabbo. Yasmā ca tesu yasseko appahīno, tassa itaropi appahīnova hoti, tasmā ‘‘āmantā’’ti vuttaṃ. Yadi evaṃ, yaṃ upari uppajjanavāre ‘yassa kāmarāgānusayo uppajjati, tassa paṭighānusayo uppajjatī’ti pucchitvā ‘āmantā’ti vuttaṃ; tattha kathaṃ attho gahetabboti? Tatthāpi appahīnavaseneva uppattipaccaye sati uppattiyā anivāritavasena vā. Yathā hi cittakammādīni ārabhitvā apariniṭṭhitakammantā cittakārādayo tesaṃ kammantānaṃ akaraṇakkhaṇepi mittasuhajjādīhi diṭṭhadiṭṭhaṭṭhāne ‘‘imesu divasesu kiṃ karothā’’ti vuttā, ‘‘cittakammaṃ karoma, kaṭṭhakammaṃ karomā’’ti vadanti. Te kiñcāpi tasmiṃ khaṇe na karonti avicchinnakammantattā pana katakhaṇañca kattabbakhaṇañca upādāya karontiyeva nāma honti. Evameva yamhi santāne anusayā appahīnā, yamhi vā pana nesaṃ santāne uppattipaccaye sati uppatti anivāritā, tattha anuppajjanakkhaṇepi uppannapubbañceva kālantare uppajjanakañca upādāya yassa kāmarāgānusayo uppajjati, tassa paṭighānusayo uppajjatiyeva nāmāti evamattho veditabbo. Ito paresupi evarūpesu vissajjanesu eseva nayo. No ca tassāti idaṃ anāgāmissa kāmarāgabyāpādānaṃ anavasesato pahīnattā vuttaṃ. Tiṇṇaṃ puggalānanti puthujjanasotāpannasakadāgāmīnaṃ. Dvinnaṃ puggalānanti sotāpannasakadāgāmīnaṃ. Paratopi evarūpesu ṭhānesu eseva nayo.

    ๑๔. โอกาสวารสฺส ปฐมทุติยปุจฺฉาสุ ยสฺมา กามราคานุสโย กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ อนุเสติ, ปฎิฆานุสโย ทุกฺขเวทนาย; ตสฺมา ‘โน’ติ ปฎิเสโธ กโตฯ ตติยปุจฺฉายํ อุภินฺนมฺปิ กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ อนุสยนโต ‘อามนฺตา’ติ ปฎิวจนํ ทินฺนํฯ รูปธาตุอรูปธาตุยา ปน มานานุสยสฺส กามราคานุสเยน สทฺธิํ อสาธารณํ อุปฺปตฺติฎฺฐานํฯ ตสฺมา โน จ ตตฺถ กามราคานุสโยติ วุตฺตํฯ อิมินา นเยน สเพฺพสํ อุปฺปตฺติฎฺฐานวารํ โอโลเกตฺวา สาธารณาสาธารณํ อุปฺปตฺติฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ

    14. Okāsavārassa paṭhamadutiyapucchāsu yasmā kāmarāgānusayo kāmadhātuyā dvīsu vedanāsu anuseti, paṭighānusayo dukkhavedanāya; tasmā ‘no’ti paṭisedho kato. Tatiyapucchāyaṃ ubhinnampi kāmadhātuyā dvīsu vedanāsu anusayanato ‘āmantā’ti paṭivacanaṃ dinnaṃ. Rūpadhātuarūpadhātuyā pana mānānusayassa kāmarāgānusayena saddhiṃ asādhāraṇaṃ uppattiṭṭhānaṃ. Tasmā no ca tattha kāmarāgānusayoti vuttaṃ. Iminā nayena sabbesaṃ uppattiṭṭhānavāraṃ oloketvā sādhāraṇāsādhāraṇaṃ uppattiṭṭhānaṃ veditabbaṃ.

    ๒๐. ทุกมูลกปุจฺฉายํ ยสฺมา กามราคปฎิฆานุสยา นาปิ เอกสฺมิํ ฐาเน อุปฺปชฺชนฺติ, น เอกํ ธมฺมํ อารมฺมณํ กโรนฺติ, ตสฺมา นตฺถีติ ปฎิเกฺขโป กโตฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโยฯ ยสฺมิํ อิเม เทฺว อนุสยา อนุสเยยฺยุํ, ตํ ฐานเมว นตฺถิฯ ตสฺมา ‘‘กตฺถ มานานุสโย อนุเสตี’’ติ อยํ ปุจฺฉา อปุจฺฉาเยวาติฯ อเญฺญสุปิ เอวรูเปสุ เอเสว นโยฯ

    20. Dukamūlakapucchāyaṃ yasmā kāmarāgapaṭighānusayā nāpi ekasmiṃ ṭhāne uppajjanti, na ekaṃ dhammaṃ ārammaṇaṃ karonti, tasmā natthīti paṭikkhepo kato. Ayañhettha adhippāyo. Yasmiṃ ime dve anusayā anusayeyyuṃ, taṃ ṭhānameva natthi. Tasmā ‘‘kattha mānānusayo anusetī’’ti ayaṃ pucchā apucchāyevāti. Aññesupi evarūpesu eseva nayo.

    ๒๗. ปุคฺคโลกาสวาเร จตุนฺนนฺติ ปุถุชฺชนโสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามีนํฯ

    27. Puggalokāsavāre catunnanti puthujjanasotāpannasakadāgāmianāgāmīnaṃ.

    ๓๖. ปฎิโลมนเย ยสฺส กามราคานุสโย นานุเสตีติ อยํ ปุจฺฉา อนาคามิํ คเหตฺวา ปุจฺฉติฯ

    36. Paṭilomanaye yassa kāmarāgānusayo nānusetīti ayaṃ pucchā anāgāmiṃ gahetvā pucchati.

    ๕๖. ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ สพฺพตฺถ กามราคานุสโย นานุเสตีติ อนาคามิอรหนฺตานํฯ กามธาตุยา ตีสุ เวทนาสูติ จ เวทนาคฺคหเณน เวทนาสมฺปยุตฺตกานมฺปิ เตสํ วตฺถารมฺมณานมฺปีติ สเพฺพสมฺปิ กามาวจรธมฺมานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ อยํ อนุสยวาเร วินิจฺฉยกถาฯ

    56. Dvinnaṃpuggalānaṃ sabbattha kāmarāgānusayonānusetīti anāgāmiarahantānaṃ. Kāmadhātuyā tīsu vedanāsūti ca vedanāggahaṇena vedanāsampayuttakānampi tesaṃ vatthārammaṇānampīti sabbesampi kāmāvacaradhammānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Ayaṃ anusayavāre vinicchayakathā.

    อนุสยวารวณฺณนาฯ

    Anusayavāravaṇṇanā.

    ๒. สานุสยวารวณฺณนา

    2. Sānusayavāravaṇṇanā

    ๖๖-๑๓๑. สานุสยวาเร ปน โย กามราคานุสเยน สานุสโยติ ยถา เอกนฺตริกชราทิโรเคน อาพาธิโก ยาว ตมฺหา โรคา น มุจฺจติ, ตาว ตสฺส โรคสฺส อนุปฺปตฺติกฺขเณปิ สโรโคเยว นาม โหติฯ เอวํ สสํกิเลสสฺส วฎฺฎคามิสตฺตสฺส ยาว อริยมเคฺคน อนุสยา สมุคฺฆาตํ น คจฺฉนฺติ, ตาว เตสํ อนุสยานํ อนุปฺปตฺติกฺขเณปิ สานุสโยเยว นาม โหติฯ เอวรูปํ สานุสยตํ สนฺธาย ‘อามนฺตา’ติ วุตฺตํฯ เสสเมตฺถ อนุสยวารสทิสเมวฯ

    66-131. Sānusayavāre pana yo kāmarāgānusayena sānusayoti yathā ekantarikajarādirogena ābādhiko yāva tamhā rogā na muccati, tāva tassa rogassa anuppattikkhaṇepi sarogoyeva nāma hoti. Evaṃ sasaṃkilesassa vaṭṭagāmisattassa yāva ariyamaggena anusayā samugghātaṃ na gacchanti, tāva tesaṃ anusayānaṃ anuppattikkhaṇepi sānusayoyeva nāma hoti. Evarūpaṃ sānusayataṃ sandhāya ‘āmantā’ti vuttaṃ. Sesamettha anusayavārasadisameva.

    โอกาสวาเร ปน ‘‘รูปธาตุยา อรูปธาตุยา เอตฺถ มานานุสเยน สานุสโย’’ติ วุเตฺต ตาสุ ธาตูสุ ปุคฺคลสฺส สานุสยตา ปญฺญาเยยฺย, อนุสยสฺส อุปฺปตฺติฎฺฐานํ น ปญฺญาเยยฺยฯ อนุสยสฺส จ อุปฺปตฺติฎฺฐานทสฺสนตฺถํ อยํ วาโร อารโทฺธ, ตสฺมา ตโต มานานุสเยน สานุสโยติ วุตฺตํฯ เอวญฺหิ สติ ตโต ธาตุทฺวยโต อุปฺปเนฺนน มานานุสเยน สานุสโยติ อนุสยสฺส อุปฺปตฺติฎฺฐานํ ทสฺสิตํ โหติฯ อิมสฺส ปน ปญฺหสฺส อเตฺถ อวุเตฺต อาทิปญฺหสฺส อโตฺถ ปากโฎ น โหตีติ ปฐมํ น วุโตฺต, ตสฺมา โส เอวํ เวทิตโพฺพฯ ยโต กามราคานุสเยนาติ ยโต อุปฺปเนฺนน กามราคานุสเยน สานุสโย, กิํ โส ตโต อุปฺปเนฺนน ปฎิฆานุสเยนปิ สานุสโยติ? ยสฺมา ปเนเต เทฺว เอกสฺมา ฐานา นุปฺปชฺชนฺติ; ตสฺมา ‘‘โน’’ติ ปฎิเสโธ กโตฯ อรหา สพฺพตฺถาติ อรหา สพฺพธเมฺมสุ อุปฺปชฺชนเกน เกนจิ อนุสเยน นิรานุสโยติฯ อิมินา อตฺถวเสน นิปฺปเทสฎฺฐาเนสุ ภุมฺมวจนเมว กตนฺติฯ อิมินา อุปาเยน สพฺพตฺถ อตฺถวินิจฺฉโย เวทิตโพฺพติฯ

    Okāsavāre pana ‘‘rūpadhātuyā arūpadhātuyā ettha mānānusayena sānusayo’’ti vutte tāsu dhātūsu puggalassa sānusayatā paññāyeyya, anusayassa uppattiṭṭhānaṃ na paññāyeyya. Anusayassa ca uppattiṭṭhānadassanatthaṃ ayaṃ vāro āraddho, tasmā tato mānānusayena sānusayoti vuttaṃ. Evañhi sati tato dhātudvayato uppannena mānānusayena sānusayoti anusayassa uppattiṭṭhānaṃ dassitaṃ hoti. Imassa pana pañhassa atthe avutte ādipañhassa attho pākaṭo na hotīti paṭhamaṃ na vutto, tasmā so evaṃ veditabbo. Yato kāmarāgānusayenāti yato uppannena kāmarāgānusayena sānusayo, kiṃ so tato uppannena paṭighānusayenapi sānusayoti? Yasmā panete dve ekasmā ṭhānā nuppajjanti; tasmā ‘‘no’’ti paṭisedho kato. Arahā sabbatthāti arahā sabbadhammesu uppajjanakena kenaci anusayena nirānusayoti. Iminā atthavasena nippadesaṭṭhānesu bhummavacanameva katanti. Iminā upāyena sabbattha atthavinicchayo veditabboti.

    สานุสยวารวณฺณนาฯ

    Sānusayavāravaṇṇanā.

    ๓. ปชหนวารวณฺณนา

    3. Pajahanavāravaṇṇanā

    ๑๓๒-๑๙๗. ปชหนวาเร ปชหตีติ เตน เตน มเคฺคน ปหานปริญฺญาวเสน ปชหติ, อายติํ อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาเทติฯ อามนฺตาติ อนาคามีมคฺคฎฺฐํ สนฺธาย ปฎิวจนํฯ ตเทกฎฺฐํ ปชหตีติ ปหาเนกฎฺฐตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ โนติ อรหตฺตมคฺคฎฺฐํ สนฺธาย ปฎิเสโธฯ

    132-197. Pajahanavāre pajahatīti tena tena maggena pahānapariññāvasena pajahati, āyatiṃ anuppattidhammataṃ āpādeti. Āmantāti anāgāmīmaggaṭṭhaṃ sandhāya paṭivacanaṃ. Tadekaṭṭhaṃ pajahatīti pahānekaṭṭhataṃ sandhāya vuttaṃ. Noti arahattamaggaṭṭhaṃ sandhāya paṭisedho.

    ยโต กามราคานุสยํ ปชหตีติ ยโต อุปฺปชฺชนกํ กามราคานุสยํ ปชหตีติ อโตฺถฯ อฎฺฐมโกติ อรหตฺตผลฎฺฐโต ปฎฺฐาย ปโจฺจโรหนคณนาย คณิยมาโน โสตาปตฺติมคฺคโฎฺฐ อฎฺฐมโก นามฯ ทกฺขิเณยฺยคณนาย หิ อรหา อคฺคทกฺขิเณยฺยตฺตา ปฐโม, อรหตฺตมคฺคโฎฺฐ ทุติโย, อนาคามี ตติโย…เป.… โสตาปตฺติมคฺคโฎฺฐ อฎฺฐโมฯ โส อิธ ‘‘อฎฺฐมโก’’ติ วุโตฺตฯ นามสญฺญาเยว วา เอสา ตสฺสาติฯ อนาคามิมคฺคสมงฺคิญฺจ อฎฺฐมกญฺจ ฐเปตฺวา อวเสสาติ สทฺธิํ ปุถุชฺชเนน เสกฺขาเสกฺขาฯ เตสุ หิ ปุถุชฺชโน ปหานปริญฺญาย อภาเวน นปฺปชหติฯ เสสา เตสํ อนุสยานํ ปหีนตฺตาฯ ทฺวินฺนํ มคฺคสมงฺคีนนฺติ เทฺว มคฺคสมงฺคิโน ฐเปตฺวาติ อโตฺถฯ อิมินา นเยน สพฺพตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพติฯ

    Yato kāmarāgānusayaṃ pajahatīti yato uppajjanakaṃ kāmarāgānusayaṃ pajahatīti attho. Aṭṭhamakoti arahattaphalaṭṭhato paṭṭhāya paccorohanagaṇanāya gaṇiyamāno sotāpattimaggaṭṭho aṭṭhamako nāma. Dakkhiṇeyyagaṇanāya hi arahā aggadakkhiṇeyyattā paṭhamo, arahattamaggaṭṭho dutiyo, anāgāmī tatiyo…pe… sotāpattimaggaṭṭho aṭṭhamo. So idha ‘‘aṭṭhamako’’ti vutto. Nāmasaññāyeva vā esā tassāti. Anāgāmimaggasamaṅgiñca aṭṭhamakañca ṭhapetvā avasesāti saddhiṃ puthujjanena sekkhāsekkhā. Tesu hi puthujjano pahānapariññāya abhāvena nappajahati. Sesā tesaṃ anusayānaṃ pahīnattā. Dvinnaṃ maggasamaṅgīnanti dve maggasamaṅgino ṭhapetvāti attho. Iminā nayena sabbattha vinicchayo veditabboti.

    ปชหนวารวณฺณนาฯ

    Pajahanavāravaṇṇanā.

    ๔. ปริญฺญาวารวณฺณนา

    4. Pariññāvāravaṇṇanā

    ๑๙๘-๒๖๓. ปริญฺญาวาเร ปริชานาตีติ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานาติฯ เสสเมตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนยเมวฯ อยมฺปิ หิ วาโร ปชหนวาโร วิย มคฺคฎฺฐานเญฺญว วเสน วิสฺสชฺชิโตติฯ

    198-263. Pariññāvāre parijānātīti tīhi pariññāhi parijānāti. Sesamettha heṭṭhā vuttanayameva. Ayampi hi vāro pajahanavāro viya maggaṭṭhānaññeva vasena vissajjitoti.

    ปริญฺญาวารวณฺณนาฯ

    Pariññāvāravaṇṇanā.

    ๕. ปหีนวารวณฺณนา

    5. Pahīnavāravaṇṇanā

    ๒๖๔-๒๗๔. ปหีนวาเร ผลฎฺฐวเสเนว เทสนา อารทฺธาฯ อนาคามิสฺส หิ อุโภเปเต อนุสยา ปหีนา, ตสฺมา ‘‘อามนฺตา’’ติ วุตฺตํฯ

    264-274. Pahīnavāre phalaṭṭhavaseneva desanā āraddhā. Anāgāmissa hi ubhopete anusayā pahīnā, tasmā ‘‘āmantā’’ti vuttaṃ.

    ๒๗๕-๒๙๖. โอกาสวาเร ยตฺถ กามราคานุสโย ปหีโน ตตฺถ ปฎิฆานุสโย ปหีโนติ ปุจฺฉิตฺวา น วตฺตโพฺพ ปหีโนติ วา อปฺปหีโนติ วาติ วุตฺตํ ตํ กสฺมาติ? อุปฺปตฺติฎฺฐานสฺส อสาธารณตฺตาฯ อญฺญํ หิ กามราคานุสยสฺส อุปฺปตฺติฎฺฐานํ, อญฺญํ ปฎิฆานุสยสฺสฯ อภาวิตมคฺคสฺส จ ยตฺถ อนุสโย อุปฺปชฺชติ, มเคฺค ภาวิเต ตเตฺถว โส ปหีโน นาม โหติ ฯ ตตฺถ ยสฺมา เนว กามราคานุสยฎฺฐาเน ปฎิฆานุสโย อุปฺปชฺชติ, น ปฎิฆานุสยฎฺฐาเน กามราคานุสโย, ตสฺมา ตตฺถ โส ปหีโนติ วา อปฺปหีโนติ วา น วตฺตโพฺพฯ โส หิ ยสฺมิํ อตฺตโน อุปฺปตฺติฎฺฐาเน กามราคานุสโย ปหีโน, ตสฺมิํ อปฺปหีนตฺตา ตตฺถ ปหีโนติ น วตฺตโพฺพฯ ยํ กามราคานุสยสฺส อุปฺปตฺติฎฺฐานํ, ตสฺมิํ อฎฺฐิตตฺตา ตตฺถ อปฺปหีโนติ น วตฺตโพฺพฯ

    275-296. Okāsavāre yattha kāmarāgānusayo pahīno tattha paṭighānusayo pahīnoti pucchitvā na vattabbo pahīnoti vā appahīnoti vāti vuttaṃ taṃ kasmāti? Uppattiṭṭhānassa asādhāraṇattā. Aññaṃ hi kāmarāgānusayassa uppattiṭṭhānaṃ, aññaṃ paṭighānusayassa. Abhāvitamaggassa ca yattha anusayo uppajjati, magge bhāvite tattheva so pahīno nāma hoti . Tattha yasmā neva kāmarāgānusayaṭṭhāne paṭighānusayo uppajjati, na paṭighānusayaṭṭhāne kāmarāgānusayo, tasmā tattha so pahīnoti vā appahīnoti vā na vattabbo. So hi yasmiṃ attano uppattiṭṭhāne kāmarāgānusayo pahīno, tasmiṃ appahīnattā tattha pahīnoti na vattabbo. Yaṃ kāmarāgānusayassa uppattiṭṭhānaṃ, tasmiṃ aṭṭhitattā tattha appahīnoti na vattabbo.

    ยตฺถ กามราคานุสโย ปหีโน, ตตฺถ มานานุสโย ปหีโนติ เอตฺถ ปน สาธารณฎฺฐานํ สนฺธาย อามนฺตาติ วุตฺตํฯ กามราคานุสโย หิ กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ อนุเสติฯ มานานุสโย ตาสุ เจว รูปารูปธาตูสุ จฯ โส ฐเปตฺวา อสาธารณฎฺฐานํ สาธารณฎฺฐาเน เตน สทฺธิํ ปหีโน นาม โหติฯ ตสฺมา ‘อามนฺตา’ติ วุตฺตํฯ อิมินา นเยน สพฺพสฺมิมฺปิ โอกาสวาเร ปหีนตา จ นวตฺตพฺพตา จ เวทิตพฺพาฯ ‘นตฺถี’ติ อาคตฎฺฐาเนสุ ปน เหฎฺฐา วุตฺตสทิโสว วินิจฺฉโยฯ ปุคฺคโลกาสวาโร, โอกาสวารคติโกเยวฯ

    Yattha kāmarāgānusayo pahīno, tattha mānānusayo pahīnoti ettha pana sādhāraṇaṭṭhānaṃ sandhāya āmantāti vuttaṃ. Kāmarāgānusayo hi kāmadhātuyā dvīsu vedanāsu anuseti. Mānānusayo tāsu ceva rūpārūpadhātūsu ca. So ṭhapetvā asādhāraṇaṭṭhānaṃ sādhāraṇaṭṭhāne tena saddhiṃ pahīno nāma hoti. Tasmā ‘āmantā’ti vuttaṃ. Iminā nayena sabbasmimpi okāsavāre pahīnatā ca navattabbatā ca veditabbā. ‘Natthī’ti āgataṭṭhānesu pana heṭṭhā vuttasadisova vinicchayo. Puggalokāsavāro, okāsavāragatikoyeva.

    ๒๙๗-๓๐๗. ปฎิโลมนเย ยสฺส กามราคานุสโย อปฺปหีโนติ ปุถุชฺชนโสตาปนฺนสกทาคามิวเสน ปุจฺฉติฯ กิญฺจาปิ หิ อิเม เทฺว อนุสยา ปุถุชฺชนโต ปฎฺฐาย ยาว อนาคามิมคฺคฎฺฐา ฉนฺนํ ปุคฺคลานํ อปฺปหีนาฯ อิธ ปน ปรโต ‘‘ติณฺณํ ปุคฺคลานํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลาน’’นฺติอาทิวจนโต มคฺคฎฺฐา อนธิเปฺปตา, ตสฺมา ปุถุชฺชนโสตาปนฺนสกทาคามิโนว สนฺธาย ‘อามนฺตา’ติ วุตฺตํฯ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานนฺติ โสตาปนฺนสกทาคามีนํฯ อิมินา นเยน ปุคฺคลวาเร วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ

    297-307. Paṭilomanaye yassa kāmarāgānusayo appahīnoti puthujjanasotāpannasakadāgāmivasena pucchati. Kiñcāpi hi ime dve anusayā puthujjanato paṭṭhāya yāva anāgāmimaggaṭṭhā channaṃ puggalānaṃ appahīnā. Idha pana parato ‘‘tiṇṇaṃ puggalānaṃ dvinnaṃ puggalāna’’ntiādivacanato maggaṭṭhā anadhippetā, tasmā puthujjanasotāpannasakadāgāminova sandhāya ‘āmantā’ti vuttaṃ. Dvinnaṃ puggalānanti sotāpannasakadāgāmīnaṃ. Iminā nayena puggalavāre vinicchayo veditabbo.

    ๓๐๘-๓๒๙. โอกาสวารปุคฺคโลกาสวารา ปน เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาติฯ

    308-329. Okāsavārapuggalokāsavārā pana heṭṭhā vuttanayeneva veditabbāti.

    ปหีนวารวณฺณนาฯ

    Pahīnavāravaṇṇanā.

    ๖. อุปฺปชฺชนวารวณฺณนา

    6. Uppajjanavāravaṇṇanā

    ๓๓๐. อุปฺปชฺชนวาโร อนุสยวารสทิโสเยวฯ

    330. Uppajjanavāro anusayavārasadisoyeva.

    ๗. ธาตุปุจฺฉาวารวณฺณนา

    7. Dhātupucchāvāravaṇṇanā

    ๓๓๒-๓๔๐. ธาตุวารสฺส ปุจฺฉาวาเร ตาว กติ อนุสยา อนุเสนฺตีติ กติ อนุสยา สนฺตานํ อนุคตา หุตฺวา สยนฺติฯ กติ อนุสยา นานุเสนฺตีติ กติ อนุสยา สนฺตานํ น อนุคตา หุตฺวา สยนฺติฯ กติ อนุสยา ภงฺคาติ กติ อนุสยา อนุเสนฺติ นานุเสนฺตีติ เอวํ วิภชิตพฺพาติ อโตฺถฯ เสสเมตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตํ เหฎฺฐา ปาฬิววตฺถาเน วุตฺตเมวฯ

    332-340. Dhātuvārassa pucchāvāre tāva kati anusayā anusentīti kati anusayā santānaṃ anugatā hutvā sayanti. Kati anusayā nānusentīti kati anusayā santānaṃ na anugatā hutvā sayanti. Kati anusayā bhaṅgāti kati anusayā anusenti nānusentīti evaṃ vibhajitabbāti attho. Sesamettha yaṃ vattabbaṃ siyā, taṃ heṭṭhā pāḷivavatthāne vuttameva.

    ๗. ธาตุวิสฺสชฺชนาวารวณฺณนา

    7. Dhātuvissajjanāvāravaṇṇanā

    ๓๔๑-๓๔๙. นิเทฺทสวาเร ปนสฺส กสฺสจิ สตฺต อนุสยา อนุเสนฺตีติ ปุถุชฺชนวเสน วุตฺตํฯ กสฺสจิ ปญฺจาติ โสตาปนฺนสกทาคามิวเสน วุตฺตํฯ เตสญฺหิ ทิฎฺฐานุสโย จ วิจิกิจฺฉานุสโย จ ปหีนาติ ปเญฺจว อนุเสนฺติฯ ตตฺถ ยถา อนุสยวาเร ‘‘อนุเสนฺตี’’ติ ปทสฺส อุปฺปชฺชนฺตีติ อโตฺถ คหิโต, เอวมิธ น คเหตโพฺพฯ กสฺมา? ตสฺมิํ ขเณ อนุปฺปชฺชนโตฯ กามธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺส หิ วิปากจิตฺตเญฺจว กมฺมสมุฎฺฐานรูปญฺจ อุปฺปชฺชติ, อกุสลจิตฺตํ นตฺถิฯ อนุสยา จ อกุสลจิตฺตกฺขเณ อุปฺปชฺชนฺติ, น วิปากจิตฺตกฺขเณติ ตสฺมิํ ขเณ อนุปฺปชฺชนโต ตถา อโตฺถ น คเหตโพฺพฯ กถํ ปน คเหตโพฺพติ? ยถา ลพฺภติ ตถา คเหตโพฺพฯ กถญฺจ ลพฺภติ? อปฺปหีนเฎฺฐนฯ ยถา หิ ราคโทสโมหานํ อปฺปหีนตฺตาฯ กุสลาพฺยากตจิตฺตสมงฺคี ปุคฺคโล ‘‘สราโค สโทโส สโมโห’’ติ วุจฺจติ, เอวํ มคฺคภาวนาย อปฺปหีนตฺตา ปฎิสนฺธิกฺขเณปิ ตสฺส ตสฺส ปุคฺคลสฺส เต เต อนุสยา อนุเสนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ น เกวลญฺจ วุจฺจนฺติ, อปฺปหีนตฺตา ปน เต อนุเสนฺติเยว นามาติ เวทิตพฺพาฯ

    341-349. Niddesavāre panassa kassaci satta anusayā anusentīti puthujjanavasena vuttaṃ. Kassaci pañcāti sotāpannasakadāgāmivasena vuttaṃ. Tesañhi diṭṭhānusayo ca vicikicchānusayo ca pahīnāti pañceva anusenti. Tattha yathā anusayavāre ‘‘anusentī’’ti padassa uppajjantīti attho gahito, evamidha na gahetabbo. Kasmā? Tasmiṃ khaṇe anuppajjanato. Kāmadhātuṃ upapajjantassa hi vipākacittañceva kammasamuṭṭhānarūpañca uppajjati, akusalacittaṃ natthi. Anusayā ca akusalacittakkhaṇe uppajjanti, na vipākacittakkhaṇeti tasmiṃ khaṇe anuppajjanato tathā attho na gahetabbo. Kathaṃ pana gahetabboti? Yathā labbhati tathā gahetabbo. Kathañca labbhati? Appahīnaṭṭhena. Yathā hi rāgadosamohānaṃ appahīnattā. Kusalābyākatacittasamaṅgī puggalo ‘‘sarāgo sadoso samoho’’ti vuccati, evaṃ maggabhāvanāya appahīnattā paṭisandhikkhaṇepi tassa tassa puggalassa te te anusayā anusentīti vuccanti. Na kevalañca vuccanti, appahīnattā pana te anusentiyeva nāmāti veditabbā.

    อนุสยา ภงฺคา นตฺถีติ ยสฺส หิ โย อนุเสติ, โส อนุเสติเยว; โย นานุเสติ, โส นานุเสติเยวฯ อยํ อนุเสติ จ นานุเสติ จ, อยํ สิยา อนุเสติ สิยา นานุเสตีติ, เอวํ วิภชิตโพฺพ อนุสโย นาม นตฺถิฯ รูปธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺส กสฺสจิ ตโยติ อนาคามิวเสน วุตฺตํฯ ตสฺส หิ กามราคปฎิฆทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉานุสยา จตฺตาโรปิ อนวเสสโต ปหีนาฯ อิตเร ตโยว อปฺปหีนาฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘กสฺสจิ ตโย อนุสยา อนุเสนฺตี’’ติฯ

    Anusayā bhaṅgā natthīti yassa hi yo anuseti, so anusetiyeva; yo nānuseti, so nānusetiyeva. Ayaṃ anuseti ca nānuseti ca, ayaṃ siyā anuseti siyā nānusetīti, evaṃ vibhajitabbo anusayo nāma natthi. Rūpadhātuṃ upapajjantassa kassaci tayoti anāgāmivasena vuttaṃ. Tassa hi kāmarāgapaṭighadiṭṭhivicikicchānusayā cattāropi anavasesato pahīnā. Itare tayova appahīnā. Tena vuttaṃ – ‘‘kassaci tayo anusayā anusentī’’ti.

    กามธาตุนฺติ กามธาตุยา ปฎิสิทฺธตฺตา เสสา เทฺว ธาตุโย อุปปชฺชนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ สเตฺต วาติ ยสฺมา อริยสาวกสฺส รูปธาตุยา จุตสฺส กามธาตุยํ อุปปตฺติ นาม นตฺถิ, ปุถุชฺชนเสฺสว โหติ, ตสฺมา สเตฺตวาติ นิยเมตฺวา วุตฺตํฯ ‘‘อรูปธาตุยา จุตสฺส กามธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺส สเตฺตวา’’ติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ รูปธาตุยา อุปปตฺติ นตฺถีติ กสฺมา นตฺถิ? อุปปตฺตินิปฺผาทกสฺส รูปาวจรชฺฌานสฺส อภาวาฯ โส หิ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ตํ ธาตุํ อุปปโนฺนติ นาสฺส ตตฺถ รูปาวจรชฺฌานํ อตฺถิฯ ตทภาวา รูปธาตุยํ อุปปตฺติ นตฺถีติ เวทิตพฺพาฯ อรูปธาตุยา จุตสฺส น กามธาตุนฺติ เอตฺถ อรูปธาตุเยว อธิเปฺปตาฯ อิมินา นเยน สพฺพวิสฺสชฺชเนสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพติฯ

    Nakāmadhātunti kāmadhātuyā paṭisiddhattā sesā dve dhātuyo upapajjantassāti attho. Satteti yasmā ariyasāvakassa rūpadhātuyā cutassa kāmadhātuyaṃ upapatti nāma natthi, puthujjanasseva hoti, tasmā sattevāti niyametvā vuttaṃ. ‘‘Arūpadhātuyā cutassa kāmadhātuṃ upapajjantassa sattevā’’ti etthāpi eseva nayo. Rūpadhātuyā upapatti natthīti kasmā natthi? Upapattinipphādakassa rūpāvacarajjhānassa abhāvā. So hi sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā taṃ dhātuṃ upapannoti nāssa tattha rūpāvacarajjhānaṃ atthi. Tadabhāvā rūpadhātuyaṃ upapatti natthīti veditabbā. Arūpadhātuyā cutassa na kāmadhātunti ettha arūpadhātuyeva adhippetā. Iminā nayena sabbavissajjanesu attho veditabboti.

    ธาตุวารวณฺณนาฯ

    Dhātuvāravaṇṇanā.

    อนุสยยมกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Anusayayamakavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ยมกปาฬิ • Yamakapāḷi / ๗. อนุสยยมกํ • 7. Anusayayamakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact