Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā |
๗. อนุสยยมกํ
7. Anusayayamakaṃ
ปริเจฺฉทปริจฺฉินฺนุเทฺทสวารวณฺณนา
Paricchedaparicchinnuddesavāravaṇṇanā
๑. ปจฺจยปริคฺคหปริโยสานา ญาตปริญฺญาติ ปจฺจยทีปเกน มูลยมเกน ญาตปริญฺญํ , ขนฺธาทีสุ ตีรณพาหุลฺลโต ขนฺธาทิยมเกหิ ตีรณปริญฺญญฺจ วิภาเวตฺวา อนุสยปหานนฺตา ปหานปริญฺญาติ ปหาตพฺพมุทฺธภูเตหิ อนุสเยหิ ปหานปริญฺญํ วิภาเวตุํ อนุสยยมกํ อารทฺธํฯ ลพฺภมานวเสนาติ อนุสยภาเวน ลพฺภมานานํ วเสนาติ อโตฺถฯ ตีหากาเรหิ อนุสยานํ คาหาปนํ เตสุ ตถา อคฺคหิเตสุ อนุสยวาราทิปาฬิยา ทุรวโพธตฺตาฯ
1. Paccayapariggahapariyosānā ñātapariññāti paccayadīpakena mūlayamakena ñātapariññaṃ , khandhādīsu tīraṇabāhullato khandhādiyamakehi tīraṇapariññañca vibhāvetvā anusayapahānantā pahānapariññāti pahātabbamuddhabhūtehi anusayehi pahānapariññaṃ vibhāvetuṃ anusayayamakaṃ āraddhaṃ. Labbhamānavasenāti anusayabhāvena labbhamānānaṃ vasenāti attho. Tīhākārehi anusayānaṃ gāhāpanaṃ tesu tathā aggahitesu anusayavārādipāḷiyā duravabodhattā.
อยํ ปเนตฺถ ปุริเมสูติ เอเตสุ สานุสยวาราทีสุ ปุริเมสูติ อโตฺถฯ อตฺถวิเสสาภาวโต ‘‘กามธาตุํ วา ปน อุปปชฺชนฺตสฺส กามธาตุยา จุตสฺส, รูปธาตุํ วา ปน อุปปชฺชนฺตสฺส กามธาตุยา จุตสฺสา’’ติ เอวมาทีหิ อวุจฺจมาเน กถมยํ ยมกเทสนา สิยาติ? นายํ ยมกเทสนา, ปุริมวาเรหิ ปน ยมกวเสน เทสิตานํ อนุสยานํ จุติอุปปตฺติวเสน อนุสยฎฺฐานปริเจฺฉททสฺสนํฯ ยมกเทสนาพาหุลฺลโต ปน สพฺพวารสมุทายสฺส อนุสยยมกนฺติ นามํ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ปฎิโลมปุจฺฉาปิ อตฺถวเสน ลพฺภนฺติ, อตฺถวิเสสาภาวโต ปน น วุตฺตาติ ลพฺภมานตาวเสน เอติสฺสาปิ เทสนาย ยมกเทสนตา เวทิตพฺพาฯ
Ayaṃ panettha purimesūti etesu sānusayavārādīsu purimesūti attho. Atthavisesābhāvato ‘‘kāmadhātuṃ vā pana upapajjantassa kāmadhātuyā cutassa, rūpadhātuṃ vā pana upapajjantassa kāmadhātuyā cutassā’’ti evamādīhi avuccamāne kathamayaṃ yamakadesanā siyāti? Nāyaṃ yamakadesanā, purimavārehi pana yamakavasena desitānaṃ anusayānaṃ cutiupapattivasena anusayaṭṭhānaparicchedadassanaṃ. Yamakadesanābāhullato pana sabbavārasamudāyassa anusayayamakanti nāmaṃ daṭṭhabbaṃ. Atha vā paṭilomapucchāpi atthavasena labbhanti, atthavisesābhāvato pana na vuttāti labbhamānatāvasena etissāpi desanāya yamakadesanatā veditabbā.
อนุรูปํ การณํ ลภิตฺวา อุปฺปชฺชนฺตีติ เอเตน การณลาเภ อุปฺปตฺติอรหตํ ทเสฺสติฯ อปฺปหีนา หิ อนุสยา การณลาเภ สติ อุปฺปชฺชนฺติฯ ยาว จ มเคฺคน เตสํ อนุปฺปตฺติอรหตา น กตา โหติ, ตาว เต เอวํปการา เอวาติ ‘‘อนุสยา’’ติ วุจฺจนฺติฯ โส เอวํปกาโร อุปฺปชฺชติ-สเทฺทน คหิโต, น ขนฺธยมกาทีสุ วิย อุปฺปชฺชมานตาฯ เตเนว ‘‘ยสฺส กามราคานุสโย อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ปฎิฆานุสโย อุปฺปชฺชตีติ? อามนฺตา’’ติอาทินา อุปฺปชฺชนวาโร อนุสยวาเรน นินฺนานากรโณ วิภโตฺตฯ อนุรูปํ การณํ ปน ลภิตฺวา เย อุปฺปชฺชิํสุ อุปฺปชฺชมานา จ, เตปิ อปฺปหีนเฎฺฐน ถามคตา อเหสุํ ภวนฺติ จฯ อุปฺปตฺติอรหตาย เอว จ เต อุปฺปชฺชิํสุ อุปฺปชฺชนฺติ จ, น จ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนโต อเญฺญ อุปฺปตฺติอรหา นาม อตฺถิ, ตสฺมา สเพฺพ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา กามราคาทโย ‘‘อนุสยา’’ติ วุจฺจนฺติฯ อปฺปหีนเฎฺฐเนว หิ อนุสยา, อปฺปหีนา จ อตีตาทโย เอว, มคฺคสฺส ปน ตาทิสานํ อนุปฺปตฺติอรหตาปาทเนน อนุสยปฺปหานํ โหตีติฯ อปฺปหีนากาโร นาม ธมฺมากาโร, น ธโมฺม, ธโมฺม เอว จ อุปฺปชฺชตีติ อิมินา อธิปฺปาเยนาห ‘‘อปฺปหีนากาโร จ อุปฺปชฺชตีติ วตฺตุํ น ยุชฺชตี’’ติฯ สตฺตานุสยาติ เอตฺถ ยทิ อปฺปหีนเฎฺฐน สนฺตาเน อนุเสนฺตีติ อนุสยา, อถ กสฺมา สเตฺตว วุตฺตา, นนุ สตฺตานุสยโต อเญฺญสมฺปิ กิเลสานํ อปฺปหีนตฺตา อนุสยภาโว อาปชฺชตีติ เจ? นาปชฺชติ, อปฺปหีนมตฺตเสฺสว อนุสยภาวสฺส อวุตฺตตฺตาฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘อนุสโยติ ปน อปฺปหีนเฎฺฐน ถามคตกิเลโส วุจฺจตี’’ติ (ยม. อฎฺฐ. อนุสยยมก ๑), ตสฺมา อปฺปหีนเฎฺฐน ถามคโต กิเลโสเยว อนุสโย นามาติ ยุตฺตํฯ ถามคตนฺติ จ อเญฺญหิ อสาธารโณ สภาโว ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ ธมฺมสภาวโพธินา ตถาคเตน อิเมเยว ‘‘อนุสยา’’ติ วุตฺตาฯ ถามคโตติ อนุสยสมงฺคีติ อโตฺถฯ
Anurūpaṃ kāraṇaṃ labhitvā uppajjantīti etena kāraṇalābhe uppattiarahataṃ dasseti. Appahīnā hi anusayā kāraṇalābhe sati uppajjanti. Yāva ca maggena tesaṃ anuppattiarahatā na katā hoti, tāva te evaṃpakārā evāti ‘‘anusayā’’ti vuccanti. So evaṃpakāro uppajjati-saddena gahito, na khandhayamakādīsu viya uppajjamānatā. Teneva ‘‘yassa kāmarāgānusayo uppajjati, tassa paṭighānusayo uppajjatīti? Āmantā’’tiādinā uppajjanavāro anusayavārena ninnānākaraṇo vibhatto. Anurūpaṃ kāraṇaṃ pana labhitvā ye uppajjiṃsu uppajjamānā ca, tepi appahīnaṭṭhena thāmagatā ahesuṃ bhavanti ca. Uppattiarahatāya eva ca te uppajjiṃsu uppajjanti ca, na ca atītānāgatapaccuppannato aññe uppattiarahā nāma atthi, tasmā sabbe atītānāgatapaccuppannā kāmarāgādayo ‘‘anusayā’’ti vuccanti. Appahīnaṭṭheneva hi anusayā, appahīnā ca atītādayo eva, maggassa pana tādisānaṃ anuppattiarahatāpādanena anusayappahānaṃ hotīti. Appahīnākāro nāma dhammākāro, na dhammo, dhammo eva ca uppajjatīti iminā adhippāyenāha ‘‘appahīnākāro ca uppajjatīti vattuṃ na yujjatī’’ti. Sattānusayāti ettha yadi appahīnaṭṭhena santāne anusentīti anusayā, atha kasmā satteva vuttā, nanu sattānusayato aññesampi kilesānaṃ appahīnattā anusayabhāvo āpajjatīti ce? Nāpajjati, appahīnamattasseva anusayabhāvassa avuttattā. Vuttañhi ‘‘anusayoti pana appahīnaṭṭhena thāmagatakileso vuccatī’’ti (yama. aṭṭha. anusayayamaka 1), tasmā appahīnaṭṭhena thāmagato kilesoyeva anusayo nāmāti yuttaṃ. Thāmagatanti ca aññehi asādhāraṇo sabhāvo daṭṭhabbo. Tathā hi dhammasabhāvabodhinā tathāgatena imeyeva ‘‘anusayā’’ti vuttā. Thāmagatoti anusayasamaṅgīti attho.
อนุสยอุปฺปชฺชนวารานํ สมานคติกตฺตา ยถา ‘‘อนุเสตี’’ติ วจนํ อปฺปหีนาการทีปกํ, เอวํ ‘‘อุปฺปชฺชตี’’ติ วจนํ สิยาติ อุปฺปชฺชนวาเรน ‘‘อุปฺปชฺชตี’’ติ วจนสฺส อวุตฺตตา สกฺกา วตฺตุนฺติ เจ? ตํ น, วจนตฺถวิเสเสน ตํทฺวยสฺส วุตฺตตฺตาฯ ‘‘อนุรูปํ การณํ ลภิตฺวา อุปฺปชฺชตี’’ติ หิ เอตสฺมิํ อเตฺถ อวิสิเฎฺฐปิ ‘‘อนุเสตี’’ติ วจนํ สนฺตาเน อนุสยิตตํ ถามคตภาวํ ทีเปติฯ ยทิ ตเมว ‘‘อุปฺปชฺชตี’’ติ วจนํ ทีเปยฺย, กสฺสจิ วิเสสสฺส อภาวา อุปฺปชฺชนวาโร น วตฺตโพฺพ สิยา, ‘‘อุปฺปชฺชตี’’ติ วจนํ ปน อุปฺปตฺติโยคฺคํ ทีเปติฯ กสฺมา? อุปฺปชฺชนวาเรน อุปฺปตฺติโยคฺคสฺส ทสฺสิตตฺตา, อนุสยสทฺทสฺส สพฺพทา วิชฺชมานานํ อปรินิปฺผนฺนสยนตฺถตาย นิวารณตฺถํ อุปฺปตฺติอรหตาย ถามคตภาวสงฺขาตสฺส ยถาธิเปฺปตสยนตฺถสฺส ทสฺสนตฺถํ ‘‘อนุเสนฺตีติ อนุรูปํ การณํ ลภิตฺวา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ ยํ อุปฺปตฺติโยคฺควจนํ วุตฺตํ, ตํ สุวุตฺตเมวาติ อธิปฺปาโยฯ ตมฺปิ สุวุตฺตเมว อิมินา ตนฺติปฺปมาเณนาติ สมฺพโนฺธฯ ตนฺติตฺตเยนปิ หิ จิตฺตสมฺปยุตฺตตา ทีปิตา โหติฯ
Anusayauppajjanavārānaṃ samānagatikattā yathā ‘‘anusetī’’ti vacanaṃ appahīnākāradīpakaṃ, evaṃ ‘‘uppajjatī’’ti vacanaṃ siyāti uppajjanavārena ‘‘uppajjatī’’ti vacanassa avuttatā sakkā vattunti ce? Taṃ na, vacanatthavisesena taṃdvayassa vuttattā. ‘‘Anurūpaṃ kāraṇaṃ labhitvā uppajjatī’’ti hi etasmiṃ atthe avisiṭṭhepi ‘‘anusetī’’ti vacanaṃ santāne anusayitataṃ thāmagatabhāvaṃ dīpeti. Yadi tameva ‘‘uppajjatī’’ti vacanaṃ dīpeyya, kassaci visesassa abhāvā uppajjanavāro na vattabbo siyā, ‘‘uppajjatī’’ti vacanaṃ pana uppattiyoggaṃ dīpeti. Kasmā? Uppajjanavārena uppattiyoggassa dassitattā, anusayasaddassa sabbadā vijjamānānaṃ aparinipphannasayanatthatāya nivāraṇatthaṃ uppattiarahatāya thāmagatabhāvasaṅkhātassa yathādhippetasayanatthassa dassanatthaṃ ‘‘anusentīti anurūpaṃ kāraṇaṃ labhitvā uppajjantī’’ti yaṃ uppattiyoggavacanaṃ vuttaṃ, taṃ suvuttamevāti adhippāyo. Tampi suvuttameva iminā tantippamāṇenāti sambandho. Tantittayenapi hi cittasampayuttatā dīpitā hoti.
ปริเจฺฉทปริจฺฉินฺนุเทฺทสวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paricchedaparicchinnuddesavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
อุปฺปตฺติฎฺฐานวารวณฺณนา
Uppattiṭṭhānavāravaṇṇanā
๒. กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสูติ กามาวจรภูมิยํ สุขาย จ อุเปกฺขาย จาติ อฎฺฐกถายํ กามธาตุคฺคหณํ ทฺวินฺนํ เวทนานํ วิเสสนภาเวน วุตฺตํ, เอวํ สติ กามธาตุยา กามราคานุสยสฺส อนุสยฎฺฐานตา น วุตฺตา โหติฯ ทฺวีสุ ปน ราเคสุ ภวราคสฺส ตีสุ ธาตูสุ รูปารูปธาตูนํ อนุสยฎฺฐานตา วุตฺตาติ กามธาตุยา กามราคสฺส อนุสยฎฺฐานตา วตฺตพฺพาฯ ธาตุเวทนาสพฺพสกฺกายปริยาปนฺนวเสน หิ ติปฺปการํ อนุสยานํ อนุสยฎฺฐานํ วุตฺตนฺติฯ ตสฺมา ตีสุ ธาตูสุ กามธาตุยา ตีสุ เวทนาสุ ทฺวีสุ เวทนาสุ เอตฺถ กามราคานุสโย อนุเสตีติ วิสุํ อนุสยฎฺฐานตา ธาตุยา เวทนานญฺจ โยเชตพฺพาฯ ทฺวีสุ เวทนาสูติ อิทญฺจ เวทนาสุ อนุสยมาโน กามราคานุสโย ทฺวีเสฺวว อนุเสติ, น ตีสูติ ติณฺณมฺปิ ฐานตานิวารณตฺถเมว วุตฺตนฺติ น สพฺพาสุ ทฺวีสุ อนุสยนปฺปโตฺต อตฺถิ, เตน เวทนาวิเสสนตฺถํ น กามธาตุคฺคหเณน โกจิ อโตฺถฯ ภวราคานุสยนฎฺฐานญฺหิ อฎฺฐานญฺจ อนุสยานํ อปริยาปนฺนํ สกฺกาเย กามราคานุสยสฺส อนุสยฎฺฐานํ น โหตีติ ปากฎเมตํฯ ยถา จ ‘‘ทฺวีสุ เวทนาสู’’ติ วุเตฺต ปฎิฆานุสยานุสยฎฺฐานโต อญฺญา เทฺว เวทนา คยฺหนฺติ, เอวํ ภวราคานุสยานุสยนฎฺฐานโต จ อญฺญา ตา คยฺหนฺตีติฯ
2. Kāmadhātuyā dvīsu vedanāsūti kāmāvacarabhūmiyaṃ sukhāya ca upekkhāya cāti aṭṭhakathāyaṃ kāmadhātuggahaṇaṃ dvinnaṃ vedanānaṃ visesanabhāvena vuttaṃ, evaṃ sati kāmadhātuyā kāmarāgānusayassa anusayaṭṭhānatā na vuttā hoti. Dvīsu pana rāgesu bhavarāgassa tīsu dhātūsu rūpārūpadhātūnaṃ anusayaṭṭhānatā vuttāti kāmadhātuyā kāmarāgassa anusayaṭṭhānatā vattabbā. Dhātuvedanāsabbasakkāyapariyāpannavasena hi tippakāraṃ anusayānaṃ anusayaṭṭhānaṃ vuttanti. Tasmā tīsu dhātūsu kāmadhātuyā tīsu vedanāsu dvīsu vedanāsu ettha kāmarāgānusayo anusetīti visuṃ anusayaṭṭhānatā dhātuyā vedanānañca yojetabbā. Dvīsu vedanāsūti idañca vedanāsu anusayamāno kāmarāgānusayo dvīsveva anuseti, na tīsūti tiṇṇampi ṭhānatānivāraṇatthameva vuttanti na sabbāsu dvīsu anusayanappatto atthi, tena vedanāvisesanatthaṃ na kāmadhātuggahaṇena koci attho. Bhavarāgānusayanaṭṭhānañhi aṭṭhānañca anusayānaṃ apariyāpannaṃ sakkāye kāmarāgānusayassa anusayaṭṭhānaṃ na hotīti pākaṭametaṃ. Yathā ca ‘‘dvīsu vedanāsū’’ti vutte paṭighānusayānusayaṭṭhānato aññā dve vedanā gayhanti, evaṃ bhavarāgānusayānusayanaṭṭhānato ca aññā tā gayhantīti.
เอตฺถ จ ทฺวีหิ เวทนาหิ สมฺปยุเตฺตสุ อเญฺญสุ จ ปิยรูปสาตรูเปสุ อิฎฺฐรูปาทีสุ อุปฺปชฺชมาโน กามราคานุสโย สาตสนฺตสุขคิทฺธิยา ปวตฺตตีติ ทฺวีสุ เวทนาสุ ตสฺส อนุสยนํ วุตฺตํฯ อญฺญตฺถ อุปฺปชฺชมาโนปิ หิ โส อิมาสุ ทฺวีสุ เวทนาสุ อนุคโต หุตฺวา เสติ สุขมิเจฺจว อภิลภตีติฯ เอวํ ปฎิฆานุสโย จ ทุกฺขเวทนาสมฺปยุเตฺตสุ อเญฺญสุ จ อปฺปิยรูปาสาตรูเปสุ อนิฎฺฐรูปาทีสุ อุปฺปชฺชมาโน ทุกฺขปฎิกูลโต ทุกฺขมิเจฺจว ปฎิหญฺญตีติ ทุกฺขเวทนเมว อนุคโต หุตฺวา เสติ, เตน ปน ตสฺมิํ อนุสยนํ วุตฺตํฯ เอวํ กามราคปฎิฆานํ ตีสุ เวทนาสุ อนุสยวจเนน อิฎฺฐอิฎฺฐมชฺฌตฺตอนิเฎฺฐสุ อารมฺมณปกติยา วิปรีตสญฺญาย จ วเสน อิฎฺฐาทิภาเวน คหิเตสุ กามราคปฎิฆานํ อุปฺปตฺติ ทสฺสิตา โหติฯ ตตฺถ อุปฺปชฺชมานา หิ เต ตีสุ เวทนาสุ อนุเสนฺติ นามฯ เวทนาตฺตยมุเขน วา เอตฺถ อิฎฺฐาทีนํ อารมฺมณานํ คหณํ เวทิตพฺพํ, กามธาตุอาทิคฺคหเณน กามสฺสาทาทิวตฺถุภูตานํ กามภวาทีนํฯ ตตฺถ กามราคานุสโย ภวสฺสาทวเสน อนุสยมาโน กามธาตุยา อนุเสติ, กามสุขสฺสาทวเสน อนุสยมาโน สุโขเปกฺขาเวทนาสุฯ ปฎิโฆ ทุกฺขปฎิฆาตวเสเนว ปวตฺตตีติ ยตฺถ ตตฺถ ปฎิหญฺญมาโนปิ ทุกฺขเวทนาย เอว อนุเสติฯ รูปารูปภเวสุ ปน รูปารูปาวจรธเมฺมสุ จ กามสฺสาทสฺส ปวตฺติ นตฺถีติ ตตฺถ อนุสยมาโน ราโค ภวราโคอิเจฺจว เวทิตโพฺพฯ ธาตุตฺตยเวทนาตฺตยคฺคหเณน จ สพฺพสกฺกายปริยาปนฺนานํ คหิตตฺตา ‘‘ยตฺถ กามราคานุสโย นานุเสติ, ตตฺถ ทิฎฺฐานุสโย นานุเสตี’’ติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๔๖) เอวมาทีนํ วิสฺสชฺชเนสุ ธาตุตฺตยเวทนาตฺตยวินิมุตฺตํ ทิฎฺฐานุสยาทีนํ อนุสยฎฺฐานํ น วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ นนุ จ อนุตฺตเรสุ วิโมเกฺขสุ ปิหํ อุปฎฺฐาปยโต ปิหปจฺจยา อุปฺปนฺนโทมนเสฺส ปฎิฆานุสโย นานุเสติ, ตถา เนกฺขมฺมสฺสิตโสมนสฺสุเปกฺขาสุ กามราเคน นานุสยิตพฺพนฺติ ตทนุสยนฎฺฐานโต อญฺญาปิ ทิฎฺฐานุสยานุสยนฎฺฐานภูตา กามาวจรเวทนา สนฺตีติ? โหนฺตุ, น ปน ธาตุตฺตยเวทนาตฺตยโต อญฺญํ ตทนุสยนฎฺฐานํ อตฺถิ, ตสฺมา ตํ น วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน ‘‘ยตฺถ กามราคานุสโย จ ปฎิฆานุสโย จ มานานุสโย จ นานุเสนฺติ, ตตฺถ ทิฎฺฐานุสโย วิจิกิจฺฉานุสโย นานุเสตีติ? อามนฺตา’’ติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๕๒) วุตฺตํ, ตสฺมา อวิเสเสน ทุกฺขํ ปฎิฆานุสยสฺส อนุสยนฎฺฐานนฺติ สมุทายวเสน คเหตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตถา โลกิยสุโขเปกฺขา กามราคมานานุสยนฎฺฐานนฺติฯ
Ettha ca dvīhi vedanāhi sampayuttesu aññesu ca piyarūpasātarūpesu iṭṭharūpādīsu uppajjamāno kāmarāgānusayo sātasantasukhagiddhiyā pavattatīti dvīsu vedanāsu tassa anusayanaṃ vuttaṃ. Aññattha uppajjamānopi hi so imāsu dvīsu vedanāsu anugato hutvā seti sukhamicceva abhilabhatīti. Evaṃ paṭighānusayo ca dukkhavedanāsampayuttesu aññesu ca appiyarūpāsātarūpesu aniṭṭharūpādīsu uppajjamāno dukkhapaṭikūlato dukkhamicceva paṭihaññatīti dukkhavedanameva anugato hutvā seti, tena pana tasmiṃ anusayanaṃ vuttaṃ. Evaṃ kāmarāgapaṭighānaṃ tīsu vedanāsu anusayavacanena iṭṭhaiṭṭhamajjhattaaniṭṭhesu ārammaṇapakatiyā viparītasaññāya ca vasena iṭṭhādibhāvena gahitesu kāmarāgapaṭighānaṃ uppatti dassitā hoti. Tattha uppajjamānā hi te tīsu vedanāsu anusenti nāma. Vedanāttayamukhena vā ettha iṭṭhādīnaṃ ārammaṇānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ, kāmadhātuādiggahaṇena kāmassādādivatthubhūtānaṃ kāmabhavādīnaṃ. Tattha kāmarāgānusayo bhavassādavasena anusayamāno kāmadhātuyā anuseti, kāmasukhassādavasena anusayamāno sukhopekkhāvedanāsu. Paṭigho dukkhapaṭighātavaseneva pavattatīti yattha tattha paṭihaññamānopi dukkhavedanāya eva anuseti. Rūpārūpabhavesu pana rūpārūpāvacaradhammesu ca kāmassādassa pavatti natthīti tattha anusayamāno rāgo bhavarāgoicceva veditabbo. Dhātuttayavedanāttayaggahaṇena ca sabbasakkāyapariyāpannānaṃ gahitattā ‘‘yattha kāmarāgānusayo nānuseti, tattha diṭṭhānusayo nānusetī’’ti (yama. 2.anusayayamaka.46) evamādīnaṃ vissajjanesu dhātuttayavedanāttayavinimuttaṃ diṭṭhānusayādīnaṃ anusayaṭṭhānaṃ na vuttanti daṭṭhabbaṃ. Nanu ca anuttaresu vimokkhesu pihaṃ upaṭṭhāpayato pihapaccayā uppannadomanasse paṭighānusayo nānuseti, tathā nekkhammassitasomanassupekkhāsu kāmarāgena nānusayitabbanti tadanusayanaṭṭhānato aññāpi diṭṭhānusayānusayanaṭṭhānabhūtā kāmāvacaravedanā santīti? Hontu, na pana dhātuttayavedanāttayato aññaṃ tadanusayanaṭṭhānaṃ atthi, tasmā taṃ na vuttaṃ. Yasmā pana ‘‘yattha kāmarāgānusayo ca paṭighānusayo ca mānānusayo ca nānusenti, tattha diṭṭhānusayo vicikicchānusayo nānusetīti? Āmantā’’ti (yama. 2.anusayayamaka.52) vuttaṃ, tasmā avisesena dukkhaṃ paṭighānusayassa anusayanaṭṭhānanti samudāyavasena gahetvā vuttanti veditabbaṃ. Tathā lokiyasukhopekkhā kāmarāgamānānusayanaṭṭhānanti.
อปิจ สุเตฺต ‘‘อิธาวุโส วิสาข, ภิกฺขุ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘กุทาสฺสุ นามาหํ โทมนสฺสํ ปชเหยฺย’นฺติ, โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตฺวา ปฎิฆํ เตน ปชหติ, น ตตฺถ ปฎิฆานุสโย อนุเสตี’’ติ เนกฺขมฺมสฺสิตํ โทมนสฺสํ อุปฺปาเทตฺวา ตํ วิกฺขเมฺภตฺวา วีริยํ กตฺวา อนาคามิมเคฺคน ปฎิฆสฺส สมุคฺฆาตนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ น หิ ปฎิเฆเนว ปฎิฆปฺปหานํ, โทมนเสฺสน วา โทมนสฺสปฺปหานํ อตฺถีติฯ ปฎิฆุปฺปตฺติรหฎฺฐานตาย ปน อิธ สพฺพํ ทุกฺขํ ‘‘ปฎิฆานุสยสฺส อนุสยนฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ นิปฺปริยายเทสนา เหสา, สา ปน ปริยายเทสนาฯ เอวญฺจ กตฺวา ปฐมชฺฌานวิกฺขมฺภิตํ กามราคานุสยํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา อนาคามิมเคฺคน สมุคฺฆาตนํ สนฺธาย ‘‘วิวิเจฺจว…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, ราคํ เตน ปชหติ, น ตตฺถ ราคานุสโย อนุเสตี’’ติ วุตฺตํฯ เอวํ จตุตฺถชฺฌานวิกฺขมฺภิตํ อวิชฺชานุสยํ ตถา วิกฺขมฺภิตเมว กตฺวา อรหตฺตมเคฺคน สมุคฺฆาตนํ สนฺธาย ‘‘สุขสฺส จ ปหานา…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อวิชฺชํ เตน ปชหติ, น ตตฺถ อวิชฺชานุสโย อนุเสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๕) วุตฺตํฯ น หิ โลกิยจตุตฺถชฺฌานุเปกฺขาย อวิชฺชานุสโย สพฺพถา นานุเสตีติ สกฺกา วตฺตุํ ‘‘สพฺพสกฺกายปริยาปเนฺนสุ ธเมฺมสุ เอตฺถ อวิชฺชานุสโย อนุเสตี’’ติ (ยม. อฎฺฐ. อนุสยยมก ๒) วุตฺตตฺตา, ตสฺมา อวิชฺชานุสยเสฺสว วตฺถุ จตุตฺถชฺฌานุเปกฺขา, เนกฺขมฺมสฺสิตโทมนสฺสญฺจ ปฎิฆานุสยสฺส วตฺถุ น น โหตีติ ตตฺถาปิ ตสฺส อนุสยนํ เวทิตพฺพํฯ อวตฺถุภาวโต หิ อิธ อนุสยนํ น วุจฺจติ, น สุตฺตเนฺตสุ วิย วุตฺตนเยน ตํปฎิปกฺขภาวโต ตํสมุคฺฆาตกมคฺคสฺส พลวูปนิสฺสยภาวโต จาติฯ
Apica sutte ‘‘idhāvuso visākha, bhikkhu iti paṭisañcikkhati ‘kudāssu nāmāhaṃ domanassaṃ pajaheyya’nti, so iti paṭisañcikkhitvā paṭighaṃ tena pajahati, na tattha paṭighānusayo anusetī’’ti nekkhammassitaṃ domanassaṃ uppādetvā taṃ vikkhambhetvā vīriyaṃ katvā anāgāmimaggena paṭighassa samugghātanaṃ sandhāya vuttaṃ. Na hi paṭigheneva paṭighappahānaṃ, domanassena vā domanassappahānaṃ atthīti. Paṭighuppattirahaṭṭhānatāya pana idha sabbaṃ dukkhaṃ ‘‘paṭighānusayassa anusayanaṭṭhāna’’nti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Nippariyāyadesanā hesā, sā pana pariyāyadesanā. Evañca katvā paṭhamajjhānavikkhambhitaṃ kāmarāgānusayaṃ tathā vikkhambhitameva katvā anāgāmimaggena samugghātanaṃ sandhāya ‘‘vivicceva…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, rāgaṃ tena pajahati, na tattha rāgānusayo anusetī’’ti vuttaṃ. Evaṃ catutthajjhānavikkhambhitaṃ avijjānusayaṃ tathā vikkhambhitameva katvā arahattamaggena samugghātanaṃ sandhāya ‘‘sukhassa ca pahānā…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, avijjaṃ tena pajahati, na tattha avijjānusayo anusetī’’ti (ma. ni. 1.465) vuttaṃ. Na hi lokiyacatutthajjhānupekkhāya avijjānusayo sabbathā nānusetīti sakkā vattuṃ ‘‘sabbasakkāyapariyāpannesu dhammesu ettha avijjānusayo anusetī’’ti (yama. aṭṭha. anusayayamaka 2) vuttattā, tasmā avijjānusayasseva vatthu catutthajjhānupekkhā, nekkhammassitadomanassañca paṭighānusayassa vatthu na na hotīti tatthāpi tassa anusayanaṃ veditabbaṃ. Avatthubhāvato hi idha anusayanaṃ na vuccati, na suttantesu viya vuttanayena taṃpaṭipakkhabhāvato taṃsamugghātakamaggassa balavūpanissayabhāvato cāti.
เอตฺถ จ อารมฺมเณ อนุสยฎฺฐาเน สติ ภวราควโชฺช สโพฺพ โลโภ กามราคานุสโยติ น สกฺกา วตฺตุํฯ ทุกฺขาย หิ เวทนาย รูปารูปธาตูสุ จ อนุสยมาเนน ทิฎฺฐานุสเยน สมฺปยุโตฺตปิ โลโภ โลโภ เอว, น กามราคานุสโยฯ ยทิ สิยา, ทิฎฺฐานุสยสฺส วิย เอตสฺสปิ ฐานํ วตฺตพฺพํ สิยาติฯ อถ ปน อชฺฌาสยวเสน ตนฺนินฺนตาย อนุสยนฎฺฐานํ วุตฺตํฯ ยถา อิฎฺฐานํ รูปาทีนํ สุขาย จ เวทนาย อปฺปฎิลทฺธํ วา อปฺปฎิลาภโต สมนุปสฺสโต, ปฎิลทฺธปุพฺพํ วา อตีตํ นิรุทฺธํ วิคตํ ปริณตํ สมนุปสฺสโต อุปฺปชฺชมาโน ปฎิโฆ ทุเกฺข ปฎิหญฺญนวเสเนว ปวตฺตตีติ ทุกฺขเมว ตสฺส อนุสยนฎฺฐานํ วุตฺตํ, นาลมฺพิตํ, เอวํ ทุกฺขาทีสุ อภินิเวสนวเสน อุปฺปชฺชมาเนน ทิฎฺฐานุสเยน สมฺปยุโตฺตปิ โลโภ สุขาภิสงฺควเสเนว ปวตฺตตีติ สาตสนฺตสุขทฺวยเมวสฺส อนุสยฎฺฐานํ วุตฺตนฺติ ภวราควชฺชสฺส สพฺพโลภสฺส กามราคานุสยตา น วิรุชฺฌติ, เอกสฺมิํเยว จ อารมฺมเณ รชฺชนฺติ ทุสฺสนฺติ จฯ ตตฺถ ราโค สุขชฺฌาสโย ปฎิโฆ ทุกฺขชฺฌาสโยติ เตสํ นานานุสยฎฺฐานตา โหติฯ
Ettha ca ārammaṇe anusayaṭṭhāne sati bhavarāgavajjo sabbo lobho kāmarāgānusayoti na sakkā vattuṃ. Dukkhāya hi vedanāya rūpārūpadhātūsu ca anusayamānena diṭṭhānusayena sampayuttopi lobho lobho eva, na kāmarāgānusayo. Yadi siyā, diṭṭhānusayassa viya etassapi ṭhānaṃ vattabbaṃ siyāti. Atha pana ajjhāsayavasena tanninnatāya anusayanaṭṭhānaṃ vuttaṃ. Yathā iṭṭhānaṃ rūpādīnaṃ sukhāya ca vedanāya appaṭiladdhaṃ vā appaṭilābhato samanupassato, paṭiladdhapubbaṃ vā atītaṃ niruddhaṃ vigataṃ pariṇataṃ samanupassato uppajjamāno paṭigho dukkhe paṭihaññanavaseneva pavattatīti dukkhameva tassa anusayanaṭṭhānaṃ vuttaṃ, nālambitaṃ, evaṃ dukkhādīsu abhinivesanavasena uppajjamānena diṭṭhānusayena sampayuttopi lobho sukhābhisaṅgavaseneva pavattatīti sātasantasukhadvayamevassa anusayaṭṭhānaṃ vuttanti bhavarāgavajjassa sabbalobhassa kāmarāgānusayatā na virujjhati, ekasmiṃyeva ca ārammaṇe rajjanti dussanti ca. Tattha rāgo sukhajjhāsayo paṭigho dukkhajjhāsayoti tesaṃ nānānusayaṭṭhānatā hoti.
เอวญฺจ กตฺวา ‘‘ยตฺถ กามราคานุสโย อนุเสติ, ตตฺถ ปฎิฆานุสโย อนุเสตีติ? โน’’ติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๑๔) วุตฺตนฺติฯ อฎฺฐกถายํ ปน ทฺวีสุ เวทนาสุ อิฎฺฐารมฺมเณ จ โทมนสฺสุปฺปตฺติํ วตฺวา ‘‘โทมนสฺสมตฺตเมว ปน ตํ โหติ, น ปฎิฆานุสโย’’ติ (ยม. อฎฺฐ. อนุสยยมก ๒) วุตฺตตฺตา ยถา ตตฺถ ปฎิโฆ ปฎิฆานุสโย น โหติ, เอวํ ทุกฺขาทีสุ อุปฺปชฺชมาเนน ทิฎฺฐานุสเยน สหชาโต โลโภ กามราคานุสโย น โหติเจฺจว วิญฺญายตีติฯ ยํ ปเนตํ วุตฺตํ ‘‘โทมนสฺสมตฺตเมว ปน ตํ โหติ, น ปฎิฆานุสโย’’ติ, เอตฺถ น ปฎิฆานุสโยติ นตฺถิ ปฎิฆานุสโยติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ น หิ โทมนสฺสสฺส ปฎิฆานุสยภาวาสงฺกา อตฺถีติฯ
Evañca katvā ‘‘yattha kāmarāgānusayo anuseti, tattha paṭighānusayo anusetīti? No’’ti (yama. 2.anusayayamaka.14) vuttanti. Aṭṭhakathāyaṃ pana dvīsu vedanāsu iṭṭhārammaṇe ca domanassuppattiṃ vatvā ‘‘domanassamattameva pana taṃ hoti, na paṭighānusayo’’ti (yama. aṭṭha. anusayayamaka 2) vuttattā yathā tattha paṭigho paṭighānusayo na hoti, evaṃ dukkhādīsu uppajjamānena diṭṭhānusayena sahajāto lobho kāmarāgānusayo na hoticceva viññāyatīti. Yaṃ panetaṃ vuttaṃ ‘‘domanassamattameva pana taṃ hoti, na paṭighānusayo’’ti, ettha na paṭighānusayoti natthi paṭighānusayoti attho daṭṭhabbo. Na hi domanassassa paṭighānusayabhāvāsaṅkā atthīti.
เทสนา สํกิณฺณา วิย ภเวยฺยาติ ภวราคสฺสปิ กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ อารมฺมณกรณวเสเนว อุปฺปตฺติ วุตฺตา วิย ภเวยฺย, ตสฺมา อารมฺมณวิเสเสน วิเสสทสฺสนตฺถํ เอวํ เทสนา กตา สหชาตเวทนาวิเสสาภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ
Desanā saṃkiṇṇā viya bhaveyyāti bhavarāgassapi kāmadhātuyā dvīsu vedanāsu ārammaṇakaraṇavaseneva uppatti vuttā viya bhaveyya, tasmā ārammaṇavisesena visesadassanatthaṃ evaṃ desanā katā sahajātavedanāvisesābhāvatoti adhippāyo.
อุปฺปตฺติฎฺฐานวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Uppattiṭṭhānavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
มหาวาโร
Mahāvāro
๑. อนุสยวารวณฺณนา
1. Anusayavāravaṇṇanā
๓. อนุเสติ อุปฺปชฺชตีติ ปจฺจุปฺปนฺนโวหารา ปวตฺตาวิรามวเสน เวทิตพฺพาฯ มเคฺคเนว หิ อนุสยานํ วิราโม วิเจฺฉโท โหติ, น ตโต ปุเพฺพติฯ
3. Anusetiuppajjatīti paccuppannavohārā pavattāvirāmavasena veditabbā. Maggeneva hi anusayānaṃ virāmo vicchedo hoti, na tato pubbeti.
๒๐. นาปิ เอกสฺมิํ ฐาเน อุปฺปชฺชนฺติ, น เอกํ ธมฺมํ อารมฺมณํ กโรนฺตีติ เอตฺถ ปุริเมน เอกสฺมิํ จิตฺตุปฺปาเท อุปฺปตฺติ นิวาริตา, ปจฺฉิเมน เอกสฺมิํ อารมฺมเณติ อยํ วิเสโสฯ ปุคฺคโลกาสวารสฺส ปฎิโลเม เตสํ เตสํ ปุคฺคลานํ ตสฺส ตสฺส อนุสยสฺส อนนุสยนฎฺฐานํ ปกติยา ปหาเนน จ เวทิตพฺพํ, ‘‘ติณฺณํ ปุคฺคลานํ ทุกฺขาย เวทนาย เตสํ ตตฺถ กามราคานุสโย นานุเสติ, โน จ เตสํ ตตฺถ ปฎิฆานุสโย นานุเสติ, เตสเญฺญว ปุคฺคลานํ รูปธาตุยา อรูปธาตุยา อปริยาปเนฺน เตสํ ตตฺถ กามราคานุสโย จ นานุเสติ, ปฎิฆานุสโย จ นานุเสตี’’ติ ปกติยา ทุกฺขาทีนํ กามราคาทีนํ อนนุสยฎฺฐานตํ สนฺธาย วุตฺตํ, ‘‘ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ สพฺพตฺถ กามราคานุสโย จ นานุเสติ, ปฎิฆานุสโย จ นานุเสตี’’ติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๕๖) อนุสยปฺปหาเนนฯ เอตฺถ ปุริมนเยน โอกาสํ อเวกฺขิตฺวา ปุคฺคลสฺส วิชฺชมานานํ อนุสยานํ อนนุสยนํ วุตฺตํ, ปจฺฉิมนเยน ปุคฺคลํ อเวกฺขิตฺวา โอกาสสฺส กามธาตุอาทิกสฺส อโนกาสตาติฯ
20. Nāpi ekasmiṃ ṭhāne uppajjanti, na ekaṃ dhammaṃ ārammaṇaṃ karontīti ettha purimena ekasmiṃ cittuppāde uppatti nivāritā, pacchimena ekasmiṃ ārammaṇeti ayaṃ viseso. Puggalokāsavārassa paṭilome tesaṃ tesaṃ puggalānaṃ tassa tassa anusayassa ananusayanaṭṭhānaṃ pakatiyā pahānena ca veditabbaṃ, ‘‘tiṇṇaṃ puggalānaṃ dukkhāya vedanāya tesaṃ tattha kāmarāgānusayo nānuseti, no ca tesaṃ tattha paṭighānusayo nānuseti, tesaññeva puggalānaṃ rūpadhātuyā arūpadhātuyā apariyāpanne tesaṃ tattha kāmarāgānusayo ca nānuseti, paṭighānusayo ca nānusetī’’ti pakatiyā dukkhādīnaṃ kāmarāgādīnaṃ ananusayaṭṭhānataṃ sandhāya vuttaṃ, ‘‘dvinnaṃ puggalānaṃ sabbattha kāmarāgānusayo ca nānuseti, paṭighānusayo ca nānusetī’’ti (yama. 2.anusayayamaka.56) anusayappahānena. Ettha purimanayena okāsaṃ avekkhitvā puggalassa vijjamānānaṃ anusayānaṃ ananusayanaṃ vuttaṃ, pacchimanayena puggalaṃ avekkhitvā okāsassa kāmadhātuādikassa anokāsatāti.
อนุสยวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Anusayavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
๒. สานุสยวารวณฺณนา
2. Sānusayavāravaṇṇanā
๖๖-๑๓๑. สานุสยปชหนปริญฺญาวาเรสุ ‘‘สานุสโย, ปชหติ, ปริชานาตี’’ติ ปุคฺคโล วุโตฺตฯ ปุคฺคลสฺส จ อิมสฺมิํ ภเว สานุสโยติ เอวํ ภววิเสเสน วา, อิมสฺมิํ กามราคานุสเยน สานุสโย อิมสฺมิํ อิตเรสุ เกนจีติ เอวํ ภวานุสยวิเสเสน วา สานุสยตานิรนุสยตาทิกา นตฺถิฯ ตถา ทฺวีสุ เวทนาสุ กามราคานุสเยน สานุสโย, ทุกฺขาย เวทนาย นิรนุสโยติ อิทมฺปิ นตฺถิฯ น หิ ปุคฺคลสฺส เวทนา โอกาโส, อถ โข อนุสยานนฺติฯ อนุสยสฺส ปน ตสฺส ตสฺส โส โส อนุสยโนกาโส ปุคฺคลสฺส เตน เตน อนุสเยน สานุสยตาย, ตสฺส ตสฺส ปชหนปริชานนานญฺจ นิมิตฺตํ โหติ, อนนุสยโนกาโส จ นิรนุสยตาทีนํ, ตสฺมา โอกาสวาเรสุ ภุมฺมนิเทฺทสํ อกตฺวา ‘‘ยโต ตโต’’ติ นิมิตฺตเตฺถ นิสฺสกฺกวจนํ กตํ, ปชหนปริญฺญาวาเรสุ อปาทานเตฺถ เอว วาฯ ตโต ตโต หิ โอกาสโต อปคมกรณํ วินาสนํ ปชหนํ ปริชานนญฺจาติฯ
66-131. Sānusayapajahanapariññāvāresu ‘‘sānusayo, pajahati, parijānātī’’ti puggalo vutto. Puggalassa ca imasmiṃ bhave sānusayoti evaṃ bhavavisesena vā, imasmiṃ kāmarāgānusayena sānusayo imasmiṃ itaresu kenacīti evaṃ bhavānusayavisesena vā sānusayatāniranusayatādikā natthi. Tathā dvīsu vedanāsu kāmarāgānusayena sānusayo, dukkhāya vedanāya niranusayoti idampi natthi. Na hi puggalassa vedanā okāso, atha kho anusayānanti. Anusayassa pana tassa tassa so so anusayanokāso puggalassa tena tena anusayena sānusayatāya, tassa tassa pajahanaparijānanānañca nimittaṃ hoti, ananusayanokāso ca niranusayatādīnaṃ, tasmā okāsavāresu bhummaniddesaṃ akatvā ‘‘yato tato’’ti nimittatthe nissakkavacanaṃ kataṃ, pajahanapariññāvāresu apādānatthe eva vā. Tato tato hi okāsato apagamakaraṇaṃ vināsanaṃ pajahanaṃ parijānanañcāti.
ตตฺถ ยโตติ ยโต อนุสยฎฺฐานโต อนุโลเม, ปฎิโลเม อนนุสยฎฺฐานโตติ อโตฺถฯ อนุสยานานุสยเสฺสว หิ นิมิตฺตาปาทานภาวทสฺสนตฺถํ ‘‘รูปธาตุยา อรูปธาตุยา ตโต มานานุสเยน สานุสโยติ (ยม.๒.อนุสยยมก.๗๗), ปชหตี’’ติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๑๔๓) จ ‘‘ทุกฺขาย เวทนาย ตโต กามราคานุสเยน นิรนุสโยติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๑๑๐), น ปชหตี’’ติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๑๗๔-๑๗๖) จ เอวมาทีสุ รูปธาตุอาทโย เอว ภุมฺมนิเทฺทเสเนว นิทฺทิฎฺฐาติฯ อฎฺฐกถายํ ปน จตุตฺถปญฺหวิสฺสชฺชเนน สรูปโต อนุสยนฎฺฐานสฺส ทสฺสิตตฺตา ตทเตฺถ อาทิปเญฺหปิ ‘‘ยโต’’ติ อนุสยนฎฺฐานํ วุตฺตนฺติ อิมมตฺถํ วิภาเวตฺวา ปุน ‘‘ยโต’’ติ เอตสฺส วจนตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อุปฺปเนฺนน กามราคานุสเยน สานุสโย’’ติ วุตฺตํ, ตํ ปมาทลิขิตํ วิย ทิสฺสติฯ น หิ อุปฺปเนฺนเนว อนุสเยน สานุสโย, อุปฺปตฺติรหฎฺฐานตญฺจ สนฺธาเยว นิสฺสกฺกวจนํ น สกฺกา วตฺตุํฯ น หิ อปริยาปนฺนานํ อนุสยุปฺปตฺติรหฎฺฐานตาติ ตํ ตเถว ทิสฺสติฯ เอวํ ปเนตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ – ยโต อุปฺปเนฺนนาติ ยโต อุปฺปเนฺนน ภวิตพฺพํ, เตนาติ อุปฺปตฺติรหฎฺฐาเน นิสฺสกฺกวจนํ กตนฺติฯ ตถา สพฺพธเมฺมสุ อุปฺปชฺชนเกนาติฯ อุปฺปตฺติปฎิเสเธ อกเต อนุปฺปตฺติยา อนิจฺฉิตตฺตา สพฺพธเมฺมสุ อุปฺปชฺชนกภาวํ อาปเนฺนน อนุปฺปชฺชนภาวํ อปเนติ นามฯ สพฺพตฺถาติ เอตสฺส ปน สพฺพฎฺฐานโตติ อยมโตฺถ น น สมฺภวติฯ ตฺถ-การญฺหิ ภุมฺมโต อญฺญตฺถาปิ สทฺทวิทู อิจฺฉนฺตีติฯ
Tattha yatoti yato anusayaṭṭhānato anulome, paṭilome ananusayaṭṭhānatoti attho. Anusayānānusayasseva hi nimittāpādānabhāvadassanatthaṃ ‘‘rūpadhātuyā arūpadhātuyā tato mānānusayena sānusayoti (yama.2.anusayayamaka.77), pajahatī’’ti (yama. 2.anusayayamaka.143) ca ‘‘dukkhāya vedanāya tato kāmarāgānusayena niranusayoti (yama. 2.anusayayamaka.110), na pajahatī’’ti (yama. 2.anusayayamaka.174-176) ca evamādīsu rūpadhātuādayo eva bhummaniddeseneva niddiṭṭhāti. Aṭṭhakathāyaṃ pana catutthapañhavissajjanena sarūpato anusayanaṭṭhānassa dassitattā tadatthe ādipañhepi ‘‘yato’’ti anusayanaṭṭhānaṃ vuttanti imamatthaṃ vibhāvetvā puna ‘‘yato’’ti etassa vacanatthaṃ dassetuṃ ‘‘uppannena kāmarāgānusayena sānusayo’’ti vuttaṃ, taṃ pamādalikhitaṃ viya dissati. Na hi uppanneneva anusayena sānusayo, uppattirahaṭṭhānatañca sandhāyeva nissakkavacanaṃ na sakkā vattuṃ. Na hi apariyāpannānaṃ anusayuppattirahaṭṭhānatāti taṃ tatheva dissati. Evaṃ panettha attho daṭṭhabbo – yato uppannenāti yato uppannena bhavitabbaṃ, tenāti uppattirahaṭṭhāne nissakkavacanaṃ katanti. Tathā sabbadhammesu uppajjanakenāti. Uppattipaṭisedhe akate anuppattiyā anicchitattā sabbadhammesu uppajjanakabhāvaṃ āpannena anuppajjanabhāvaṃ apaneti nāma. Sabbatthāti etassa pana sabbaṭṭhānatoti ayamattho na na sambhavati. Ttha-kārañhi bhummato aññatthāpi saddavidū icchantīti.
สานุสยวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sānusayavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
๓. ปชหนวารวณฺณนา
3. Pajahanavāravaṇṇanā
๑๓๒-๑๙๗. ปชหนวาเร เยน กามราคานุสยาทโย สาวเสสา ปหียนฺติ, โส เต ปชหตีติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา วตฺตโพฺพ น โหติ อปชหนสพฺภาวา, ตสฺมา สนฺนิฎฺฐาเน นิรวเสสปฺปชหนโกเยว ปชหตีติ วุโตฺต, ตสฺมา ‘‘โย วา ปน มานานุสยํ ปชหติ, โส กามราคานุสยํ ปชหตีติ? โน’’ติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๑๓๒) วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน สํสยปเทน ปหานกรณมตฺตเมว ปุจฺฉติ, น สนฺนิฎฺฐานํ กโรติ, ตสฺมา ยถาวิชฺชมานํ ปหานํ สนฺธาย ‘‘โย กามราคานุสยํ ปชหติ, โส มานานุสยํ ปชหตีติ? ตเทกฎฺฐํ ปชหตี’’ติ วุตฺตํฯ ปฎิโลเม ปน ‘‘นปฺปชหตี’’ติ ปชหนาภาโว เอว สนฺนิฎฺฐานปเทน สํสยปเทน จ วินิจฺฉิโต ปุจฺฉิโต จ, ตสฺมา เยสํ ปชหนํ นตฺถิ นิรวเสสวเสน ปชหนกานํ, เต ฐเปตฺวา อวเสสา อปฺปชหนสพฺภาเวเนว นปฺปชหนฺตีติ วุตฺตา, น จ ยถาวิชฺชมาเนน ปหาเนเนว วชฺชิตาติ ทฎฺฐพฺพาติฯ ‘‘อนาคามิมคฺคสมงฺคิญฺจ อฎฺฐมกญฺจ ฐเปตฺวา อวเสสา ปุคฺคลา กามราคานุสยญฺจ นปฺปชหนฺติ วิจิกิจฺฉานุสยญฺจ นปฺปชหนฺตี’’ติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๑๖๕) เอตฺถ อฎฺฐกถายํ ‘‘ปุถุชฺชโน ปหานปริญฺญาย อภาเวน นปฺปชหติ, เสสา เตสํ อนุสยานํ ปหีนตฺตา’’ติ (ยม. อฎฺฐ. อนุสยยมก ๑๓๒-๑๙๗) วุตฺตํฯ
132-197. Pajahanavāre yena kāmarāgānusayādayo sāvasesā pahīyanti, so te pajahatīti sanniṭṭhānaṃ katvā vattabbo na hoti apajahanasabbhāvā, tasmā sanniṭṭhāne niravasesappajahanakoyeva pajahatīti vutto, tasmā ‘‘yo vā pana mānānusayaṃ pajahati, so kāmarāgānusayaṃ pajahatīti? No’’ti (yama. 2.anusayayamaka.132) vuttaṃ. Yasmā pana saṃsayapadena pahānakaraṇamattameva pucchati, na sanniṭṭhānaṃ karoti, tasmā yathāvijjamānaṃ pahānaṃ sandhāya ‘‘yo kāmarāgānusayaṃ pajahati, so mānānusayaṃ pajahatīti? Tadekaṭṭhaṃ pajahatī’’ti vuttaṃ. Paṭilome pana ‘‘nappajahatī’’ti pajahanābhāvo eva sanniṭṭhānapadena saṃsayapadena ca vinicchito pucchito ca, tasmā yesaṃ pajahanaṃ natthi niravasesavasena pajahanakānaṃ, te ṭhapetvā avasesā appajahanasabbhāveneva nappajahantīti vuttā, na ca yathāvijjamānena pahāneneva vajjitāti daṭṭhabbāti. ‘‘Anāgāmimaggasamaṅgiñca aṭṭhamakañca ṭhapetvā avasesā puggalā kāmarāgānusayañca nappajahanti vicikicchānusayañca nappajahantī’’ti (yama. 2.anusayayamaka.165) ettha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘puthujjano pahānapariññāya abhāvena nappajahati, sesā tesaṃ anusayānaṃ pahīnattā’’ti (yama. aṭṭha. anusayayamaka 132-197) vuttaṃ.
ตตฺถ กิญฺจาปิ เกสญฺจิ วิจิกิจฺฉานุสโย เกสญฺจิ อุภยนฺติ เสสานํ เตสํ ปหีนตา อตฺถิ, ตถาปิ โสตาปนฺนาทีนํ วิจิกิจฺฉานุสยสฺส ปหีนตา อุภยาปชหนสฺส การณํ น โหตีติ เตสํ ปหีนตฺตา ‘‘นปฺปชหนฺตี’’ติ น สกฺกา วตฺตุํ, อถ ปน กามราคานุสยญฺจ นปฺปชหนฺตีติ อิมํ สนฺนิฎฺฐาเนน เตสํ ปุคฺคลานํ สงฺคหิตตาทสฺสนตฺถํ วุตฺตนฺติ น ตตฺถ การณํ วตฺตพฺพํ, ปุจฺฉิตสฺส ปน สํสยตฺถสฺส การณํ วตฺตพฺพํฯ เอวํ สติ ‘‘เสสา ตสฺส อนุสยสฺส ปหีนตฺตา’’ติ วตฺตพฺพนฺติ? น วตฺตพฺพํ ‘‘โย กามราคานุสยํ นปฺปชหติ, โส ทิฎฺฐานุสยํ วิจิกิจฺฉานุสยํ นปฺปชหตี’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปุจฺฉิเต สทิสวิสฺสชฺชนเก ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉานุสเย สนฺธาย การณสฺส วตฺตพฺพตฺตา, ตสฺมา เตสํ อนุสยานํ ปหีนตฺตาติ เตสํ ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉานุสยานํ ปหีนตฺตา เต สํสยตฺถสงฺคหิเต อนุสเย นปฺปชหนฺตีติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Tattha kiñcāpi kesañci vicikicchānusayo kesañci ubhayanti sesānaṃ tesaṃ pahīnatā atthi, tathāpi sotāpannādīnaṃ vicikicchānusayassa pahīnatā ubhayāpajahanassa kāraṇaṃ na hotīti tesaṃ pahīnattā ‘‘nappajahantī’’ti na sakkā vattuṃ, atha pana kāmarāgānusayañca nappajahantīti imaṃ sanniṭṭhānena tesaṃ puggalānaṃ saṅgahitatādassanatthaṃ vuttanti na tattha kāraṇaṃ vattabbaṃ, pucchitassa pana saṃsayatthassa kāraṇaṃ vattabbaṃ. Evaṃ sati ‘‘sesā tassa anusayassa pahīnattā’’ti vattabbanti? Na vattabbaṃ ‘‘yo kāmarāgānusayaṃ nappajahati, so diṭṭhānusayaṃ vicikicchānusayaṃ nappajahatī’’ti paṭikkhipitvā pucchite sadisavissajjanake diṭṭhivicikicchānusaye sandhāya kāraṇassa vattabbattā, tasmā tesaṃ anusayānaṃ pahīnattāti tesaṃ diṭṭhivicikicchānusayānaṃ pahīnattā te saṃsayatthasaṅgahite anusaye nappajahantīti attho daṭṭhabbo.
ปชหนวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pajahanavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
๕. ปหีนวารวณฺณนา
5. Pahīnavāravaṇṇanā
๒๖๔-๒๗๔. ปหีนวาเร ผลฎฺฐวเสเนว เทสนา อารทฺธาติ อนุโลมํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปฎิโลเม หิ ปุถุชฺชนวเสนปิ เทสนา คหิตาติฯ ‘‘ผลฎฺฐวเสเนวา’’ติ จ สาธารณวจเนน มคฺคสมงฺคีนํ อคฺคหิตตํ ทีเปติฯ อนุสยจฺจนฺตปฎิปเกฺขกจิตฺตกฺขณิกานญฺหิ มคฺคสมงฺคีนํ น โกจิ อนุสโย อุปฺปตฺติรโห, นาปิ อนุปฺปตฺติรหตํ อาปาทิโต, ตสฺมา เต น อนุสยสานุสยปหีนอุปฺปชฺชนวาเรสุ คหิตาติฯ
264-274. Pahīnavārephalaṭṭhavaseneva desanā āraddhāti anulomaṃ sandhāya vuttaṃ. Paṭilome hi puthujjanavasenapi desanā gahitāti. ‘‘Phalaṭṭhavasenevā’’ti ca sādhāraṇavacanena maggasamaṅgīnaṃ aggahitataṃ dīpeti. Anusayaccantapaṭipakkhekacittakkhaṇikānañhi maggasamaṅgīnaṃ na koci anusayo uppattiraho, nāpi anuppattirahataṃ āpādito, tasmā te na anusayasānusayapahīnauppajjanavāresu gahitāti.
๒๗๕-๒๙๖. โอกาสวาเร โส โส อนุสโย อตฺตโน อตฺตโน โอกาเส เอว อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาทิโต ปหีโน, อนาปาทิโต จ อปฺปหีโนติ ปหีนาปฺปหีนวจนานิ ตโทกาสเมว ทีเปนฺติ, ตสฺมา อโนกาเส ตทุภยาวตฺตพฺพตา วุตฺตาติฯ สาธารณฎฺฐาเน เตน สทฺธิํ ปหีโน นาม โหตีติ เตน สทฺธิํ สมาโนกาเส ปหีโน นามาติ อโตฺถ, น สมานกาเล ปหีโนติฯ
275-296. Okāsavāre so so anusayo attano attano okāse eva anuppattidhammataṃ āpādito pahīno, anāpādito ca appahīnoti pahīnāppahīnavacanāni tadokāsameva dīpenti, tasmā anokāse tadubhayāvattabbatā vuttāti. Sādhāraṇaṭṭhāne tena saddhiṃ pahīno nāma hotīti tena saddhiṃ samānokāse pahīno nāmāti attho, na samānakāle pahīnoti.
ปหีนวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pahīnavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
๗. ธาตุวารวณฺณนา
7. Dhātuvāravaṇṇanā
๓๓๒-๓๔๐. ธาตุวาเร สนฺตานํ อนุคตา หุตฺวา สยนฺตีติ ยสฺมิํ สนฺตาเน อปฺปหีนา, ตํสนฺตาเน อปฺปหีนภาเวน อนุคนฺตฺวา อุปฺปตฺติอรหภาเวน สยนฺตีติ อโตฺถฯ อุปฺปตฺติรหตา เอว หิ อนุรูปํ การณํ ลภิตฺวา อุปฺปชฺชนฺตีติ อิธาปิ ยุตฺตาติฯ เอตฺถ จ น กามธาตุอาทีนิ ฉ ปฎินิเสธวจนานิ ธาตุวิเสสนิทฺธารณานิ น โหนฺตีติ ‘‘น กามธาตุยา จุตสฺส น กามธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺสา’’ติอาทิมฺหิ วุจฺจมาเน อิมํ นาม อุปปชฺชนฺตสฺสาติ น วิญฺญาเยยฺย, ตสฺมา ตํมูลิกาสุ โยชนาสุ ‘‘น กามธาตุยา จุตสฺส กามธาตุํ รูปธาตุํ อรูปธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺสา’’ติ ปฐมํ โยเชตฺวา ปุน อนุกฺกเมน ‘‘น กามธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺสา’’ติอาทิกา โยชนา กตาฯ เอวญฺหิ น กามธาตุอาทิปเทหิ ยถาวุตฺตธาตุโยเยว คหิตา, น กญฺจีติ วิญฺญายติฯ ยถา อนุสยวาเร ‘‘อนุเสนฺตีติ ปทสฺส อุปฺปชฺชนฺตีติ อโตฺถ คหิโต’’ติ วุตฺตํ, ตตฺถาปิ อุปฺปชฺชมานเมว สนฺธาย อุปฺปชฺชนฺตีติ คเหตุํ น สกฺกา ‘‘ยสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ, ตสฺส ปฎิฆานุสโย อนุเสตีติ? อามนฺตา’’ติอาทิวจนโตฯ อถาปิ อปฺปหีนตํ สนฺธาย อุปฺปชฺชนฺตีติ อโตฺถ ตตฺถ คหิโต, อิธาปิ โส น น ยุชฺชตีติฯ ภงฺคาติ ภญฺชิตพฺพา, ทฺวิธา กาตพฺพาติ อโตฺถฯ นนุ น โกจิ อนุสโย ยตฺถ อุปฺปชฺชนฺตสฺส อนุเสติ นานุเสติ จาติ ทฺวิธา กาตพฺพา, ตเตฺถว กสฺมา ‘‘กติ อนุสยา ภงฺคา? อนุสยา ภงฺคา นตฺถี’’ติ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนานิ กตานิฯ น หิ ปการนฺตราภาเว สํสโย ยุโตฺตติ ? น น ยุโตฺต, ‘‘อนุสยา ภงฺคา นตฺถี’’ติ อวุเตฺต ภงฺคาภาวสฺส อวิญฺญาตตฺตาติฯ
332-340. Dhātuvāre santānaṃ anugatā hutvā sayantīti yasmiṃ santāne appahīnā, taṃsantāne appahīnabhāvena anugantvā uppattiarahabhāvena sayantīti attho. Uppattirahatā eva hi anurūpaṃ kāraṇaṃ labhitvā uppajjantīti idhāpi yuttāti. Ettha ca na kāmadhātuādīni cha paṭinisedhavacanāni dhātuvisesaniddhāraṇāni na hontīti ‘‘na kāmadhātuyā cutassa na kāmadhātuṃ upapajjantassā’’tiādimhi vuccamāne imaṃ nāma upapajjantassāti na viññāyeyya, tasmā taṃmūlikāsu yojanāsu ‘‘na kāmadhātuyā cutassa kāmadhātuṃ rūpadhātuṃ arūpadhātuṃ upapajjantassā’’ti paṭhamaṃ yojetvā puna anukkamena ‘‘na kāmadhātuṃ upapajjantassā’’tiādikā yojanā katā. Evañhi na kāmadhātuādipadehi yathāvuttadhātuyoyeva gahitā, na kañcīti viññāyati. Yathā anusayavāre ‘‘anusentīti padassa uppajjantīti attho gahito’’ti vuttaṃ, tatthāpi uppajjamānameva sandhāya uppajjantīti gahetuṃ na sakkā ‘‘yassa kāmarāgānusayo anuseti, tassa paṭighānusayo anusetīti? Āmantā’’tiādivacanato. Athāpi appahīnataṃ sandhāya uppajjantīti attho tattha gahito, idhāpi so na na yujjatīti. Bhaṅgāti bhañjitabbā, dvidhā kātabbāti attho. Nanu na koci anusayo yattha uppajjantassa anuseti nānuseti cāti dvidhā kātabbā, tattheva kasmā ‘‘kati anusayā bhaṅgā? Anusayā bhaṅgā natthī’’ti pucchāvissajjanāni katāni. Na hi pakārantarābhāve saṃsayo yuttoti ? Na na yutto, ‘‘anusayā bhaṅgā natthī’’ti avutte bhaṅgābhāvassa aviññātattāti.
ธาตุวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dhātuvāravaṇṇanā niṭṭhitā.
อนุสยยมกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Anusayayamakavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ยมกปาฬิ • Yamakapāḷi / ๖. สงฺขารยมกํ • 6. Saṅkhārayamakaṃ
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā / ๗. อนุสยยมกํ • 7. Anusayayamakaṃ