Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปริวาร-อฎฺฐกถา • Parivāra-aṭṭhakathā |
อปโลกนกมฺมกถา
Apalokanakammakathā
๔๙๕-๔๙๖. อิทานิ เตสํ กมฺมานํ ปเภททสฺสนตฺถํ ‘‘อปโลกนกมฺมํ กติ ฐานานิ คจฺฉตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘อปโลกนกมฺมํ ปญฺจ ฐานานิ คจฺฉติ – โอสารณํ, นิสฺสารณํ, ภณฺฑุกมฺมํ, พฺรหฺมทณฺฑํ, กมฺมลกฺขณเญฺญว ปญฺจม’’นฺติ เอตฺถ ‘‘โอสารณํ นิสฺสารณ’’นฺติ ปทสิลิฎฺฐตาเยตํ วุตฺตํฯ ปฐมํ ปน นิสฺสารณา โหติ, ปจฺฉา โอสารณาฯ ตตฺถ ยา กณฺฎกสามเณรสฺส ทณฺฑกมฺมนาสนา, สา ‘‘นิสฺสารณา’’ติ เวทิตพฺพาฯ ตสฺมา เอตรหิ สเจปิ สามเณโร พุทฺธสฺส วา ธมฺมสฺส วา สงฺฆสฺส วา อวณฺณํ ภณติ, ‘‘อกปฺปิยํ กปฺปิย’’นฺติ ทีเปติ, มิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ อนฺตคฺคาหิกาย ทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต, โส ยาวตติยํ นิวาเรตฺวา ตํ ลทฺธิํ นิสฺสชฺชาเปตโพฺพฯ โน เจ วิสฺสเชฺชติ, สงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘วิสฺสเชฺชหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ โน เจ วิสฺสเชฺชติ, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา อปโลกนกมฺมํ กตฺวา นิสฺสาเรตโพฺพฯ เอวญฺจ ปน กมฺมํ กาตพฺพํ –
495-496. Idāni tesaṃ kammānaṃ pabhedadassanatthaṃ ‘‘apalokanakammaṃ kati ṭhānāni gacchatī’’tiādimāha. Tattha ‘‘apalokanakammaṃ pañca ṭhānāni gacchati – osāraṇaṃ, nissāraṇaṃ, bhaṇḍukammaṃ, brahmadaṇḍaṃ, kammalakkhaṇaññeva pañcama’’nti ettha ‘‘osāraṇaṃ nissāraṇa’’nti padasiliṭṭhatāyetaṃ vuttaṃ. Paṭhamaṃ pana nissāraṇā hoti, pacchā osāraṇā. Tattha yā kaṇṭakasāmaṇerassa daṇḍakammanāsanā, sā ‘‘nissāraṇā’’ti veditabbā. Tasmā etarahi sacepi sāmaṇero buddhassa vā dhammassa vā saṅghassa vā avaṇṇaṃ bhaṇati, ‘‘akappiyaṃ kappiya’’nti dīpeti, micchādiṭṭhiko hoti antaggāhikāya diṭṭhiyā samannāgato, so yāvatatiyaṃ nivāretvā taṃ laddhiṃ nissajjāpetabbo. No ce vissajjeti, saṅghaṃ sannipātetvā ‘‘vissajjehī’’ti vattabbo. No ce vissajjeti, byattena bhikkhunā apalokanakammaṃ katvā nissāretabbo. Evañca pana kammaṃ kātabbaṃ –
‘‘สงฺฆํ, ภเนฺต, ปุจฺฉามิ – ‘อยํ อิตฺถนฺนาโม สามเณโร พุทฺธสฺส ธมฺมสฺส สงฺฆสฺส อวณฺณวาที มิจฺฉาทิฎฺฐิโก, ยํ อเญฺญ สามเณรา ลภนฺติ, ทิรตฺตติรตฺตํ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สหเสยฺยํ, ตสฺส อลาภาย นิสฺสารณา รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’ติฯ ทุติยมฺปิ… ตติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ ปุจฺฉามิ – ‘อยํ อิตฺถนฺนาโม สามเณโร พุทฺธสฺส…เป.… รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’ติ จร ปิเร วินสฺสา’’ติฯ
‘‘Saṅghaṃ, bhante, pucchāmi – ‘ayaṃ itthannāmo sāmaṇero buddhassa dhammassa saṅghassa avaṇṇavādī micchādiṭṭhiko, yaṃ aññe sāmaṇerā labhanti, dirattatirattaṃ bhikkhūhi saddhiṃ sahaseyyaṃ, tassa alābhāya nissāraṇā ruccati saṅghassā’ti. Dutiyampi… tatiyampi, bhante, saṅghaṃ pucchāmi – ‘ayaṃ itthannāmo sāmaṇero buddhassa…pe… ruccati saṅghassā’ti cara pire vinassā’’ti.
โส อปเรน สมเยน ‘‘อหํ, ภเนฺต, พาลตาย อญฺญาณตาย อลกฺขิกตาย เอวํ อกาสิํ, สฺวาหํ สงฺฆํ ขมาเปมี’’ติ ขมาเปโนฺต ยาวตติยํ ยาจาเปตฺวา อปโลกนกเมฺมเนว โอสาเรตโพฺพ ฯ เอวํ ปน โอสาเรตโพฺพ, สงฺฆมเชฺฌ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา สงฺฆสฺส อนุมติยา สาเวตพฺพํ –
So aparena samayena ‘‘ahaṃ, bhante, bālatāya aññāṇatāya alakkhikatāya evaṃ akāsiṃ, svāhaṃ saṅghaṃ khamāpemī’’ti khamāpento yāvatatiyaṃ yācāpetvā apalokanakammeneva osāretabbo . Evaṃ pana osāretabbo, saṅghamajjhe byattena bhikkhunā saṅghassa anumatiyā sāvetabbaṃ –
‘‘สงฺฆํ, ภเนฺต, ปุจฺฉามิ – อยํ อิตฺถนฺนาโม สามเณโร พุทฺธสฺส ธมฺมสฺส สงฺฆสฺส อวณฺณวาที มิจฺฉาทิฎฺฐิโก, ยํ อเญฺญ สามเณรา ลภนฺติ, ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ทิรตฺตติรตฺตํ สหเสยฺยํ, ตสฺส อลาภาย นิสฺสาริโต, สฺวายํ อิทานิ โสรโต นิวาตวุตฺติ ลชฺชิธมฺมํ โอกฺกโนฺต หิโรตฺตเปฺป ปติฎฺฐิโต กตทณฺฑกโมฺม อจฺจยํ เทเสติ, อิมสฺส สามเณรสฺส ยถา ปุเร กายสโมฺภคสามคฺคิทานํ รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’’ติฯ
‘‘Saṅghaṃ, bhante, pucchāmi – ayaṃ itthannāmo sāmaṇero buddhassa dhammassa saṅghassa avaṇṇavādī micchādiṭṭhiko, yaṃ aññe sāmaṇerā labhanti, bhikkhūhi saddhiṃ dirattatirattaṃ sahaseyyaṃ, tassa alābhāya nissārito, svāyaṃ idāni sorato nivātavutti lajjidhammaṃ okkanto hirottappe patiṭṭhito katadaṇḍakammo accayaṃ deseti, imassa sāmaṇerassa yathā pure kāyasambhogasāmaggidānaṃ ruccati saṅghassā’’ti.
เอวํ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ เอวํ อปโลกนกมฺมํ โอสารณญฺจ นิสฺสารณญฺจ คจฺฉติฯ ภณฺฑุกมฺมํ มหาขนฺธกวณฺณนายํ วุตฺตเมวฯ พฺรหฺมทโณฺฑ ปญฺจสติกกฺขนฺธเก วุโตฺตเยวฯ น เกวลํ ปเนส ฉนฺนเสฺสว ปญฺญโตฺต, โย อโญฺญปิ ภิกฺขุ มุขโร โหติ, ภิกฺขู ทุรุตฺตวจเนหิ ฆเฎฺฎโนฺต ขุํเสโนฺต วเมฺภโนฺต วิหรติ, ตสฺสปิ ทาตโพฺพฯ เอวญฺจ ปน ทาตโพฺพ, สงฺฆมเชฺฌ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา สงฺฆสฺส อนุมติยา สาเวตพฺพํ –
Evaṃ tikkhattuṃ vattabbaṃ. Evaṃ apalokanakammaṃ osāraṇañca nissāraṇañca gacchati. Bhaṇḍukammaṃ mahākhandhakavaṇṇanāyaṃ vuttameva. Brahmadaṇḍo pañcasatikakkhandhake vuttoyeva. Na kevalaṃ panesa channasseva paññatto, yo aññopi bhikkhu mukharo hoti, bhikkhū duruttavacanehi ghaṭṭento khuṃsento vambhento viharati, tassapi dātabbo. Evañca pana dātabbo, saṅghamajjhe byattena bhikkhunā saṅghassa anumatiyā sāvetabbaṃ –
‘‘ภเนฺต, อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ มุขโร, ภิกฺขู ทุรุตฺตวจเนหิ ฆเฎฺฎโนฺต วิหรติฯ โส ภิกฺขุ ยํ อิเจฺฉยฺย, ตํ วเทยฺยฯ ภิกฺขูหิ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ เนว วตฺตโพฺพ, น โอวทิตโพฺพ, น อนุสาสิตโพฺพฯ สงฺฆํ, ภเนฺต, ปุจฺฉามิ – ‘อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑสฺส ทานํ, รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’ติฯ ทุติยมฺปิ ปุจฺฉามิ, ตติยมฺปิ ปุจฺฉามิ – ‘อิตฺถนฺนามสฺส, ภเนฺต, ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑสฺส ทานํ, รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’’’ติฯ
‘‘Bhante, itthannāmo bhikkhu mukharo, bhikkhū duruttavacanehi ghaṭṭento viharati. So bhikkhu yaṃ iccheyya, taṃ vadeyya. Bhikkhūhi itthannāmo bhikkhu neva vattabbo, na ovaditabbo, na anusāsitabbo. Saṅghaṃ, bhante, pucchāmi – ‘itthannāmassa bhikkhuno brahmadaṇḍassa dānaṃ, ruccati saṅghassā’ti. Dutiyampi pucchāmi, tatiyampi pucchāmi – ‘itthannāmassa, bhante, bhikkhuno brahmadaṇḍassa dānaṃ, ruccati saṅghassā’’’ti.
ตสฺส อปเรน สมเยน สมฺมา วตฺติตฺวา ขมาเปนฺตสฺส พฺรหฺมทโณฺฑ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตโพฺพฯ เอวญฺจ ปน ปฎิปฺปสฺสเมฺภตโพฺพ, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา สงฺฆมเชฺฌ สาเวตพฺพํ –
Tassa aparena samayena sammā vattitvā khamāpentassa brahmadaṇḍo paṭippassambhetabbo. Evañca pana paṭippassambhetabbo, byattena bhikkhunā saṅghamajjhe sāvetabbaṃ –
‘‘ภเนฺต, ภิกฺขุสโงฺฆ อสุกสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑํ อทาสิ, โส ภิกฺขุ โสรโต นิวาตวุตฺติ ลชฺชิธมฺมํ โอกฺกโนฺต หิโรตฺตเปฺป ปติฎฺฐิโต, ปฎิสงฺขา อายติํ สํวเร ติฎฺฐติ, สงฺฆํ, ภเนฺต, ปุจฺฉามิ, ตสฺส ภิกฺขุโน พฺรหฺมทณฺฑสฺส ปฎิปฺปสฺสทฺธิ, รุจฺจติ สงฺฆสฺสา’’ติฯ
‘‘Bhante, bhikkhusaṅgho asukassa bhikkhuno brahmadaṇḍaṃ adāsi, so bhikkhu sorato nivātavutti lajjidhammaṃ okkanto hirottappe patiṭṭhito, paṭisaṅkhā āyatiṃ saṃvare tiṭṭhati, saṅghaṃ, bhante, pucchāmi, tassa bhikkhuno brahmadaṇḍassa paṭippassaddhi, ruccati saṅghassā’’ti.
เอวํ ยาวตติยํ วตฺวา อปโลกนกเมฺมเนว พฺรหฺมทโณฺฑ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตโพฺพติฯ
Evaṃ yāvatatiyaṃ vatvā apalokanakammeneva brahmadaṇḍo paṭippassambhetabboti.
กมฺมลกฺขณเญฺญว ปญฺจมนฺติ ยํ ตํ ภควตา ภิกฺขุนิกฺขนฺธเก ‘‘เตน โข ปน สมเยน ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู ภิกฺขุนิโย กทฺทโมทเกน โอสิญฺจนฺติ, ‘อเปฺปว นาม อเมฺหสุ สารเชฺชยฺยุ’นฺติ, กายํ วิวริตฺวา ภิกฺขุนีนํ ทเสฺสนฺติ , อูรุํ วิวริตฺวา ภิกฺขุนีนํ ทเสฺสนฺติ, องฺคชาตํ วิวริตฺวา ภิกฺขุนีนํ ทเสฺสนฺติ, ภิกฺขุนิโย โอภาเสนฺติ, ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ สมฺปโยเชนฺติ, ‘อเปฺปว นาม อเมฺหสุ สารเชฺชยฺยุ’นฺติฯ อิเมสุ วตฺถูสุ เตสํ ภิกฺขูนํ ทุกฺกฎํ ปญฺญเปตฺวา ‘อนุชานามิ ภิกฺขเว ตสฺส ภิกฺขุโน ทณฺฑกมฺมํ กาตุ’นฺติฯ อถ โข ภิกฺขุนีนํ เอตทโหสิ – ‘กิํ นุ โข ทณฺฑกมฺมํ กาตพฺพ’นฺติฯ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ – ‘อวนฺทิโย โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ ภิกฺขุนิสเงฺฆน กาตโพฺพ’’’ติ เอวํ อวนฺทิยกมฺมํ อนุญฺญาตํ, ตํ กมฺมลกฺขณเญฺญว ปญฺจมํ อิมสฺส อปโลกนกมฺมสฺส ฐานํ โหติฯ ตสฺส หิ กมฺมเญฺญว ลกฺขณํ, น โอสารณาทีนิ; ตสฺมา ‘‘กมฺมลกฺขณ’’นฺติ วุจฺจติฯ ตสฺส กรณํ ตเตฺถว วุตฺตํฯ อปิจ นํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา สทฺธิํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ อิธาปิ วทาม, ภิกฺขุนุปสฺสเย สนฺนิปติตสฺส ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อนุมติยา พฺยตฺตาย ภิกฺขุนิยา สาเวตพฺพํ –
Kammalakkhaṇaññeva pañcamanti yaṃ taṃ bhagavatā bhikkhunikkhandhake ‘‘tena kho pana samayena chabbaggiyā bhikkhū bhikkhuniyo kaddamodakena osiñcanti, ‘appeva nāma amhesu sārajjeyyu’nti, kāyaṃ vivaritvā bhikkhunīnaṃ dassenti , ūruṃ vivaritvā bhikkhunīnaṃ dassenti, aṅgajātaṃ vivaritvā bhikkhunīnaṃ dassenti, bhikkhuniyo obhāsenti, bhikkhunīhi saddhiṃ sampayojenti, ‘appeva nāma amhesu sārajjeyyu’nti. Imesu vatthūsu tesaṃ bhikkhūnaṃ dukkaṭaṃ paññapetvā ‘anujānāmi bhikkhave tassa bhikkhuno daṇḍakammaṃ kātu’nti. Atha kho bhikkhunīnaṃ etadahosi – ‘kiṃ nu kho daṇḍakammaṃ kātabba’nti. Bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ – ‘avandiyo so bhikkhave bhikkhu bhikkhunisaṅghena kātabbo’’’ti evaṃ avandiyakammaṃ anuññātaṃ, taṃ kammalakkhaṇaññeva pañcamaṃ imassa apalokanakammassa ṭhānaṃ hoti. Tassa hi kammaññeva lakkhaṇaṃ, na osāraṇādīni; tasmā ‘‘kammalakkhaṇa’’nti vuccati. Tassa karaṇaṃ tattheva vuttaṃ. Apica naṃ paṭippassaddhiyā saddhiṃ vitthārato dassetuṃ idhāpi vadāma, bhikkhunupassaye sannipatitassa bhikkhunisaṅghassa anumatiyā byattāya bhikkhuniyā sāvetabbaṃ –
‘‘อเยฺย อสุโก นาม อโยฺย ภิกฺขุนีนํ อปาสาทิกํ ทเสฺสติ, เอตสฺส อยฺยสฺส อวนฺทิยกรณํ รุจฺจตีติ ภิกฺขุนิสงฺฆํ ปุจฺฉามิ, ทุติยมฺปิ… ตติยมฺปิ ภิกฺขุนิสงฺฆํ ปุจฺฉามี’’ติฯ
‘‘Ayye asuko nāma ayyo bhikkhunīnaṃ apāsādikaṃ dasseti, etassa ayyassa avandiyakaraṇaṃ ruccatīti bhikkhunisaṅghaṃ pucchāmi, dutiyampi… tatiyampi bhikkhunisaṅghaṃ pucchāmī’’ti.
เอวํ ติกฺขตฺตุํ สาเวตฺวา อปโลกนกเมฺมน อวนฺทิยกมฺมํ กาตพฺพํฯ
Evaṃ tikkhattuṃ sāvetvā apalokanakammena avandiyakammaṃ kātabbaṃ.
ตโต ปฎฺฐาย โส ภิกฺขุ ภิกฺขุนีหิ น วนฺทิตโพฺพฯ สเจ อวนฺทิยมาโน หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา สมฺมา วตฺตติ, เตน ภิกฺขุนิโย ขมาเปตพฺพาฯ ขมาเปเนฺตน ภิกฺขุนุปสฺสยํ อคนฺตฺวา วิหาเรเยว สงฺฆํ วา คณํ วา เอกํ ภิกฺขุํ วา อุปสงฺกมิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘อหํ ภเนฺต ปฎิสงฺขา อายติํ สํวเร ติฎฺฐามิ, น ปุน อปาสาทิกํ ทเสฺสสฺสามิ, ภิกฺขุนิสโงฺฆ มยฺหํ ขมตู’’ติ ขมาเปตพฺพํฯ เตน สเงฺฆน วา คเณน วา เอกํ ภิกฺขุํ เปเสตฺวา เอกภิกฺขุนา วา สยเมว คนฺตฺวา ภิกฺขุนิโย วตฺตพฺพา – ‘‘อยํ ภิกฺขุ ปฎิสงฺขา อายติํ สํวเร ฐิโต, อิมินา อจฺจยํ เทเสตฺวา ภิกฺขุนิสโงฺฆ ขมาปิโต, ภิกฺขุนิสโงฺฆ อิมํ วนฺทิยํ กโรตู’’ติฯ โส วนฺทิโย กาตโพฺพฯ เอวญฺจ ปน กาตโพฺพ, ภิกฺขุนุปสฺสเย สนฺนิปติตสฺส ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อนุมติยา พฺยตฺตาย ภิกฺขุนิยา สาเวตพฺพํ –
Tato paṭṭhāya so bhikkhu bhikkhunīhi na vanditabbo. Sace avandiyamāno hirottappaṃ paccupaṭṭhapetvā sammā vattati, tena bhikkhuniyo khamāpetabbā. Khamāpentena bhikkhunupassayaṃ agantvā vihāreyeva saṅghaṃ vā gaṇaṃ vā ekaṃ bhikkhuṃ vā upasaṅkamitvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘ahaṃ bhante paṭisaṅkhā āyatiṃ saṃvare tiṭṭhāmi, na puna apāsādikaṃ dassessāmi, bhikkhunisaṅgho mayhaṃ khamatū’’ti khamāpetabbaṃ. Tena saṅghena vā gaṇena vā ekaṃ bhikkhuṃ pesetvā ekabhikkhunā vā sayameva gantvā bhikkhuniyo vattabbā – ‘‘ayaṃ bhikkhu paṭisaṅkhā āyatiṃ saṃvare ṭhito, iminā accayaṃ desetvā bhikkhunisaṅgho khamāpito, bhikkhunisaṅgho imaṃ vandiyaṃ karotū’’ti. So vandiyo kātabbo. Evañca pana kātabbo, bhikkhunupassaye sannipatitassa bhikkhunisaṅghassa anumatiyā byattāya bhikkhuniyā sāvetabbaṃ –
‘‘อยํ อเยฺย อสุโก นาม อโยฺย ภิกฺขุนีนํ อปาสาทิกํ ทเสฺสตีติ ภิกฺขุนิสเงฺฆน อวนฺทิโย กโต, โส ลชฺชิธมฺมํ โอกฺกมิตฺวา ปฎิสงฺขา อายติํ สํวเร ฐิโต อจฺจยํ เทเสตฺวา ภิกฺขุนิสงฺฆํ ขมาเปสิ, ตสฺส อยฺยสฺส วนฺทิยกรณํ รุจฺจตีติ ภิกฺขุนิสงฺฆํ ปุจฺฉามี’’ติ –
‘‘Ayaṃ ayye asuko nāma ayyo bhikkhunīnaṃ apāsādikaṃ dassetīti bhikkhunisaṅghena avandiyo kato, so lajjidhammaṃ okkamitvā paṭisaṅkhā āyatiṃ saṃvare ṭhito accayaṃ desetvā bhikkhunisaṅghaṃ khamāpesi, tassa ayyassa vandiyakaraṇaṃ ruccatīti bhikkhunisaṅghaṃ pucchāmī’’ti –
ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํ เอวํ อปโลกนกเมฺมเนว วนฺทิโย กาตโพฺพฯ
Tikkhattuṃ vattabbaṃ evaṃ apalokanakammeneva vandiyo kātabbo.
อยํ ปเนตฺถ ปาฬิมุตฺตโกปิ กมฺมลกฺขณวินิจฺฉโยฯ อิทญฺหิ กมฺมลกฺขณํ นาม ภิกฺขุนิสงฺฆมูลกํ ปญฺญตฺตํ, ภิกฺขุสงฺฆสฺสาปิ ปเนตํ ลพฺภติเยวฯ ยญฺหิ ภิกฺขุสโงฺฆ สลากคฺคยาคคฺคภตฺตคฺคอุโปสถเคฺคสุ อปโลกนกมฺมํ กโรติ, เอตมฺปิ กมฺมลกฺขณเมวฯ อจฺฉินฺนจีวรชิณฺณจีวรนฎฺฐจีวรานญฺหิ สงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ยาวตติยํ สาเวตฺวา อปโลกนกมฺมํ กตฺวา จีวรํ ทาตุํ วฎฺฎติฯ อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชเกน ปน จีวรํ กโรนฺตสฺส เสนาสนกฺขนฺธกวณฺณนายํ วุตฺตปฺปเภทานิ สูจิอาทีนิ อนปโลเกตฺวาปิ ทาตพฺพานิฯ เตสํ ทาเน โสเยว อิสฺสโร, ตโต อติเรกํ เทเนฺตน อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ ตโต หิ อติเรกทาเน สโงฺฆ สามีฯ คิลานเภสชฺชมฺปิ ตตฺถ วุตฺตปฺปการํ สยเมว ทาตพฺพํฯ อติเรกํ อิจฺฉนฺตสฺส อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ โยปิ จ ทุพฺพโล วา ฉินฺนิริยาปโถ วา ปจฺฉินฺนภิกฺขาจารปโถ วา มหาคิลาโน, ตสฺส มหาวาเสสุ ตตฺรุปฺปาทโต เทวสิกํ นาฬิ วา อุปฑฺฒนาฬิ วา เอกทิวสํเยว วา ปญฺจ วา ทส วา ตณฺฑุลนาฬิโย เทเนฺตน อปโลกนกมฺมํ กตฺวาว ทาตพฺพาฯ เปสลสฺส ภิกฺขุโน ตตฺรุปฺปาทโต อิณปลิโพธมฺปิ พหุสฺสุตสฺส สงฺฆภารนิตฺถารกสฺส ภิกฺขุโน อนุฎฺฐาปนียเสนาสนมฺปิ สงฺฆกิจฺจํ กโรนฺตานํ กปฺปิยการกาทีนํ ภตฺตเวตนมฺปิ อปโลกนกเมฺมน ทาตุํ วฎฺฎติฯ
Ayaṃ panettha pāḷimuttakopi kammalakkhaṇavinicchayo. Idañhi kammalakkhaṇaṃ nāma bhikkhunisaṅghamūlakaṃ paññattaṃ, bhikkhusaṅghassāpi panetaṃ labbhatiyeva. Yañhi bhikkhusaṅgho salākaggayāgaggabhattaggauposathaggesu apalokanakammaṃ karoti, etampi kammalakkhaṇameva. Acchinnacīvarajiṇṇacīvaranaṭṭhacīvarānañhi saṅghaṃ sannipātetvā byattena bhikkhunā yāvatatiyaṃ sāvetvā apalokanakammaṃ katvā cīvaraṃ dātuṃ vaṭṭati. Appamattakavissajjakena pana cīvaraṃ karontassa senāsanakkhandhakavaṇṇanāyaṃ vuttappabhedāni sūciādīni anapaloketvāpi dātabbāni. Tesaṃ dāne soyeva issaro, tato atirekaṃ dentena apaloketvā dātabbaṃ. Tato hi atirekadāne saṅgho sāmī. Gilānabhesajjampi tattha vuttappakāraṃ sayameva dātabbaṃ. Atirekaṃ icchantassa apaloketvā dātabbaṃ. Yopi ca dubbalo vā chinniriyāpatho vā pacchinnabhikkhācārapatho vā mahāgilāno, tassa mahāvāsesu tatruppādato devasikaṃ nāḷi vā upaḍḍhanāḷi vā ekadivasaṃyeva vā pañca vā dasa vā taṇḍulanāḷiyo dentena apalokanakammaṃ katvāva dātabbā. Pesalassa bhikkhuno tatruppādato iṇapalibodhampi bahussutassa saṅghabhāranitthārakassa bhikkhuno anuṭṭhāpanīyasenāsanampi saṅghakiccaṃ karontānaṃ kappiyakārakādīnaṃ bhattavetanampi apalokanakammena dātuṃ vaṭṭati.
จตุปจฺจยวเสน ทินฺนตตฺรุปฺปาทโต สงฺฆิกํ อาวาสํ ชคฺคาเปตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อยํ ภิกฺขุ อิสฺสรวตาย วิจาเรตี’’ติ กถาปจฺฉินฺทนตฺถํ ปน สลากคฺคาทีสุ วา อนฺตรสนฺนิปาเต วา สงฺฆํ ปุจฺฉิตฺวาว ชคฺคาเปตโพฺพฯ จีวรปิณฺฑปาตตฺถาย โอทิสฺสทินฺนตตฺรุปฺปาทโตปิ อปโลเกตฺวา อาวาโส ชคฺคาเปตโพฺพฯ อนปโลเกตฺวาปิ วฎฺฎติฯ ‘‘สูโร วตายํ ภิกฺขุ จีวรปิณฺฑปาตตฺถาย ทินฺนโต อาวาสํ ชคฺคาเปตี’’ติ เอวํ อุปฺปนฺนกถาปเจฺฉทนตฺถํ ปน อปโลกนกมฺมเมว กตฺวา ชคฺคาเปตโพฺพฯ
Catupaccayavasena dinnatatruppādato saṅghikaṃ āvāsaṃ jaggāpetuṃ vaṭṭati. ‘‘Ayaṃ bhikkhu issaravatāya vicāretī’’ti kathāpacchindanatthaṃ pana salākaggādīsu vā antarasannipāte vā saṅghaṃ pucchitvāva jaggāpetabbo. Cīvarapiṇḍapātatthāya odissadinnatatruppādatopi apaloketvā āvāso jaggāpetabbo. Anapaloketvāpi vaṭṭati. ‘‘Sūro vatāyaṃ bhikkhu cīvarapiṇḍapātatthāya dinnato āvāsaṃ jaggāpetī’’ti evaṃ uppannakathāpacchedanatthaṃ pana apalokanakammameva katvā jaggāpetabbo.
เจติเย ฉตฺตํ วา เวทิกํ วา โพธิฆรํ วา อาสนฆรํ วา อกตํ วา กโรเนฺตน ชิณฺณํ วา ปฎิสงฺขโรเนฺตน สุธากมฺมํ วา กโรเนฺตน มนุเสฺส สมาทเปตฺวา กาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ การโก นตฺถิ, เจติยสฺส อุปนิเกฺขปโต กาเรตพฺพํฯ อุปนิเกฺขเปปิ อสติ อปโลกนกมฺมํ กตฺวา ตตฺรุปฺปาทโต กาเรตพฺพํ, สงฺฆิเกนปิฯ สงฺฆิเกน หิ อปโลเกตฺวา เจติยกิจฺจํ กาตุํ วฎฺฎติฯ เจติยสฺส สนฺตเกน อปโลเกตฺวาปิ สงฺฆิกกิจฺจํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ ตาวกาลิกํ ปน คเหตฺวา ปากติกํ กาตุํ วฎฺฎติฯ
Cetiye chattaṃ vā vedikaṃ vā bodhigharaṃ vā āsanagharaṃ vā akataṃ vā karontena jiṇṇaṃ vā paṭisaṅkharontena sudhākammaṃ vā karontena manusse samādapetvā kātuṃ vaṭṭati. Sace kārako natthi, cetiyassa upanikkhepato kāretabbaṃ. Upanikkhepepi asati apalokanakammaṃ katvā tatruppādato kāretabbaṃ, saṅghikenapi. Saṅghikena hi apaloketvā cetiyakiccaṃ kātuṃ vaṭṭati. Cetiyassa santakena apaloketvāpi saṅghikakiccaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Tāvakālikaṃ pana gahetvā pākatikaṃ kātuṃ vaṭṭati.
เจติเย สุธากมฺมาทีนิ กโรเนฺตหิ ปน ภิกฺขาจารโต วา สงฺฆโต วา ยาปนมตฺตํ อลภเนฺตหิ เจติยสนฺตกโต ยาปนมตฺตํ คเหตฺวา ปริภุญฺชเนฺตหิ วตฺตํ กาตุํ วฎฺฎติ, ‘‘วตฺตํ กโรมา’’ติ มจฺฉมํสาทีหิ สงฺฆภตฺตํ กาตุํ น วฎฺฎติฯ เย วิหาเร โรปิตา ผลรุกฺขา สเงฺฆน ปริคฺคหิตา โหนฺติ, ชคฺคนกมฺมํ ลภนฺติ, เยสํ ผลานิ ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ภาเชตฺวา ปริภุญฺชนฺติ, เตสุ อปโลกนกมฺมํ น กาตพฺพํฯ เย ปน อปริคฺคหิตา, เตสุ อปโลกนกมฺมํ กาตพฺพํฯ ตํ ปน สลากคฺคยาคคฺคภตฺตคฺคอนฺตรสนฺนิปาเตสุปิ กาตุํ วฎฺฎติ, อุโปสถเคฺค ปน วฎฺฎติเยวฯ ตตฺถ หิ อนาคตานมฺปิ ฉนฺทปาริสุทฺธิ อาหริยติ, ตสฺมา ตํ สุวิโสธิตํ โหติฯ
Cetiye sudhākammādīni karontehi pana bhikkhācārato vā saṅghato vā yāpanamattaṃ alabhantehi cetiyasantakato yāpanamattaṃ gahetvā paribhuñjantehi vattaṃ kātuṃ vaṭṭati, ‘‘vattaṃ karomā’’ti macchamaṃsādīhi saṅghabhattaṃ kātuṃ na vaṭṭati. Ye vihāre ropitā phalarukkhā saṅghena pariggahitā honti, jagganakammaṃ labhanti, yesaṃ phalāni ghaṇṭiṃ paharitvā bhājetvā paribhuñjanti, tesu apalokanakammaṃ na kātabbaṃ. Ye pana apariggahitā, tesu apalokanakammaṃ kātabbaṃ. Taṃ pana salākaggayāgaggabhattaggaantarasannipātesupi kātuṃ vaṭṭati, uposathagge pana vaṭṭatiyeva. Tattha hi anāgatānampi chandapārisuddhi āhariyati, tasmā taṃ suvisodhitaṃ hoti.
เอวญฺจ ปน กาตพฺพํ, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ภิกฺขุสงฺฆสฺส อนุมติยา สาเวตพฺพํ –
Evañca pana kātabbaṃ, byattena bhikkhunā bhikkhusaṅghassa anumatiyā sāvetabbaṃ –
‘‘ภเนฺต, ยํ อิมสฺมิํ วิหาเร อโนฺตสีมาย สงฺฆสนฺตกํ มูลตจปตฺตองฺกุรปุปฺผผลขาทนียาทิ อตฺถิ, ตํ สพฺพํ อาคตาคตานํ ภิกฺขูนํ ยถาสุขํ ปริภุญฺชิตุํ รุจฺจตีติ สงฺฆํ ปุจฺฉามี’’ติ ติกฺขตฺตุํ ปุจฺฉิตพฺพํฯ
‘‘Bhante, yaṃ imasmiṃ vihāre antosīmāya saṅghasantakaṃ mūlatacapattaaṅkurapupphaphalakhādanīyādi atthi, taṃ sabbaṃ āgatāgatānaṃ bhikkhūnaṃ yathāsukhaṃ paribhuñjituṃ ruccatīti saṅghaṃ pucchāmī’’ti tikkhattuṃ pucchitabbaṃ.
จตูหิ ปญฺจหิ ภิกฺขูหิ กตํ สุกตเมวฯ ยสฺมิํ วิหาเร เทฺว ตโย ชนา วสนฺติ, เตหิ นิสีทิตฺวา กตมฺปิ สเงฺฆน กตสทิสเมวฯ ยสฺมิํ ปน วิหาเร เอโก ภิกฺขุ โหติ, เตน ภิกฺขุนา อุโปสถทิวเส ปุพฺพกรณปุพฺพกิจฺจํ กตฺวา นิสิเนฺนน กตมฺปิ กติกวตฺตํ สเงฺฆน กตสทิสเมว โหติฯ
Catūhi pañcahi bhikkhūhi kataṃ sukatameva. Yasmiṃ vihāre dve tayo janā vasanti, tehi nisīditvā katampi saṅghena katasadisameva. Yasmiṃ pana vihāre eko bhikkhu hoti, tena bhikkhunā uposathadivase pubbakaraṇapubbakiccaṃ katvā nisinnena katampi katikavattaṃ saṅghena katasadisameva hoti.
กโรเนฺตน ปน ผลวาเรน กาตุมฺปิ จตฺตาโร มาเส ฉ มาเส เอกสํวจฺฉรนฺติ เอวํ ปริจฺฉินฺทิตฺวาปิ อปริจฺฉินฺทิตฺวาปิ กาตุํ วฎฺฎติฯ ปริจฺฉิเนฺน ยถาปริเจฺฉทํ ปริภุญฺชิตฺวา ปุน กาตพฺพํฯ อปริจฺฉิเนฺน ยาว รุกฺขา ธรนฺติ ตาว วฎฺฎติเยวฯ เยปิ เตสํ รุกฺขานํ พีเชหิ อเญฺญ รุกฺขา โรปิตา โหนฺติ, เตสมฺปิ สา เอว กติกาฯ
Karontena pana phalavārena kātumpi cattāro māse cha māse ekasaṃvaccharanti evaṃ paricchinditvāpi aparicchinditvāpi kātuṃ vaṭṭati. Paricchinne yathāparicchedaṃ paribhuñjitvā puna kātabbaṃ. Aparicchinne yāva rukkhā dharanti tāva vaṭṭatiyeva. Yepi tesaṃ rukkhānaṃ bījehi aññe rukkhā ropitā honti, tesampi sā eva katikā.
สเจ ปน อญฺญสฺมิํ วิหาเร โรปิตา โหนฺติ, เตสํ ยตฺถ โรปิตา, ตสฺมิํเยว วิหาเร สโงฺฆ สามีฯ เยปิ อญฺญโต พีชานิ อาหริตฺวา ปุริมวิหาเร ปจฺฉา โรปิตา, เตสุ อญฺญา กติกา กาตพฺพาฯ กติกาย กตาย ปุคฺคลิกฎฺฐาเน ติฎฺฐนฺติ, ยถาสุขํ ผลาทีนิ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปเนตฺถ ตํ ตํ โอกาสํ ปริกฺขิปิตฺวา ปริเวณานิ กตฺวา ชคฺคนฺติ, เตสํ ภิกฺขูนํ ปุคฺคลิกฎฺฐาเน ติฎฺฐนฺติฯ อเญฺญ ปริภุญฺชิตุํ น ลภนฺติ, เตหิ ปน สงฺฆสฺส ทสภาคํ ทตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพานิฯ โยปิ มเชฺฌวิหาเร รุกฺขํ สาขาหิ ปริวาเรตฺวา รกฺขติ, ตสฺสาปิ เอเสว นโยฯ
Sace pana aññasmiṃ vihāre ropitā honti, tesaṃ yattha ropitā, tasmiṃyeva vihāre saṅgho sāmī. Yepi aññato bījāni āharitvā purimavihāre pacchā ropitā, tesu aññā katikā kātabbā. Katikāya katāya puggalikaṭṭhāne tiṭṭhanti, yathāsukhaṃ phalādīni paribhuñjituṃ vaṭṭati. Sace panettha taṃ taṃ okāsaṃ parikkhipitvā pariveṇāni katvā jagganti, tesaṃ bhikkhūnaṃ puggalikaṭṭhāne tiṭṭhanti. Aññe paribhuñjituṃ na labhanti, tehi pana saṅghassa dasabhāgaṃ datvā paribhuñjitabbāni. Yopi majjhevihāre rukkhaṃ sākhāhi parivāretvā rakkhati, tassāpi eseva nayo.
โปราณวิหารํ คตสฺส สมฺภาวนียภิกฺขุโน ‘‘เถโร อาคโต’’ติ ผลาผลํ อาหรนฺติ, สเจ ตตฺถ มูเล สพฺพปริยตฺติธโร พหุสฺสุตภิกฺขุ วิหาสิ, ‘‘อทฺธา เอตฺถ ทีฆา กติกา กตา ภวิสฺสตี’’ติ นิกฺกุกฺกุเจฺจน ปริภุญฺชิตพฺพํฯ วิหาเร ผลาผลํ ปิณฺฑปาติกานมฺปิ วฎฺฎติ, ธุตงฺคํ น โกเปติฯ สามเณรา อตฺตโน อาจริยุปชฺฌายานํ พหูนิ ผลานิ เทนฺติ, อเญฺญ ภิกฺขู อลภนฺตา ขิยฺยนฺติ, ขิยฺยนมตฺตเมว เจตํ โหติฯ
Porāṇavihāraṃ gatassa sambhāvanīyabhikkhuno ‘‘thero āgato’’ti phalāphalaṃ āharanti, sace tattha mūle sabbapariyattidharo bahussutabhikkhu vihāsi, ‘‘addhā ettha dīghā katikā katā bhavissatī’’ti nikkukkuccena paribhuñjitabbaṃ. Vihāre phalāphalaṃ piṇḍapātikānampi vaṭṭati, dhutaṅgaṃ na kopeti. Sāmaṇerā attano ācariyupajjhāyānaṃ bahūni phalāni denti, aññe bhikkhū alabhantā khiyyanti, khiyyanamattameva cetaṃ hoti.
สเจ ปน ทุพฺภิกฺขํ โหติ, เอกํ ปนสรุกฺขํ นิสฺสาย สฎฺฐิปิ ชนา ชีวนฺติ, ตาทิเส กาเล สเพฺพสํ สงฺคหกรณตฺถาย ภาเชตฺวา ขาทิตพฺพํ, อยํ สามีจิฯ ยาว ปน กติกวตฺตํ น ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, ตาว เตหิ ขายิตํ สุขายิตเมวฯ กทา ปน กติกวตฺตํ ปฎิปฺปสฺสมฺภติ? ยทา สมโคฺค สโงฺฆ สนฺนิปติตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ภาเชตฺวา ขาทนฺตู’’ติ สาเวติฯ เอกภิกฺขุเก ปน วิหาเร เอเกน สาวิเตปิ ปุริมกติกา ปฎิปฺปสฺสมฺภติเยวฯ สเจ ปฎิปฺปสฺสทฺธาย กติกาย สามเณรา เนว รุกฺขโต ปาเตนฺติ, น ภูมิโต คเหตฺวา ภิกฺขูนํ เทนฺติ, ปติตผลานิ ปาเทหิ ปหรนฺตา วิจรนฺติ, เตสํ ทสภาคโต ปฎฺฐาย ยาว อุปฑฺฒผลภาเคน ผาติกมฺมํ กาตพฺพํฯ อทฺธา ผาติกมฺมโลเภน อาหริตฺวา ทสฺสนฺติฯ ปุน สุภิเกฺข ชาเต กปฺปิยการเกสุ อาคนฺตฺวา สาขาปริวาราทีนิ กตฺวา รุเกฺข รกฺขเนฺตสุ สามเณรานํ ผาติกมฺมํ น ทาตพฺพํ, ภาเชตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ
Sace pana dubbhikkhaṃ hoti, ekaṃ panasarukkhaṃ nissāya saṭṭhipi janā jīvanti, tādise kāle sabbesaṃ saṅgahakaraṇatthāya bhājetvā khāditabbaṃ, ayaṃ sāmīci. Yāva pana katikavattaṃ na paṭippassambhati, tāva tehi khāyitaṃ sukhāyitameva. Kadā pana katikavattaṃ paṭippassambhati? Yadā samaggo saṅgho sannipatitvā ‘‘ito paṭṭhāya bhājetvā khādantū’’ti sāveti. Ekabhikkhuke pana vihāre ekena sāvitepi purimakatikā paṭippassambhatiyeva. Sace paṭippassaddhāya katikāya sāmaṇerā neva rukkhato pātenti, na bhūmito gahetvā bhikkhūnaṃ denti, patitaphalāni pādehi paharantā vicaranti, tesaṃ dasabhāgato paṭṭhāya yāva upaḍḍhaphalabhāgena phātikammaṃ kātabbaṃ. Addhā phātikammalobhena āharitvā dassanti. Puna subhikkhe jāte kappiyakārakesu āgantvā sākhāparivārādīni katvā rukkhe rakkhantesu sāmaṇerānaṃ phātikammaṃ na dātabbaṃ, bhājetvā paribhuñjitabbaṃ.
‘‘วิหาเร ผลาผลํ อตฺถี’’ติ สามนฺตคาเมหิ มนุสฺสา คิลานานํ วา คพฺภินีนํ วา อตฺถาย อาคนฺตฺวา ‘‘เอกํ นาฬิเกรํ เทถ, อมฺพํ เทถ, ลพุชํ เทถา’’ติ ยาจนฺติ, ทาตพฺพํ น ทาตพฺพนฺติ? ทาตพฺพํฯ อทียมาเน หิ เต โทมนสฺสิกา โหนฺติ, เทเนฺตน ปน สงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา ยาวตติยํ สาเวตฺวา อปโลกนกมฺมํ กตฺวาว ทาตพฺพํ, กติกวตฺตํ วา กตฺวา ฐเปตพฺพํ, เอวญฺจ ปน กาตพฺพํ, พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา สงฺฆสฺส อนุมติยา สาเวตพฺพํ –
‘‘Vihāre phalāphalaṃ atthī’’ti sāmantagāmehi manussā gilānānaṃ vā gabbhinīnaṃ vā atthāya āgantvā ‘‘ekaṃ nāḷikeraṃ detha, ambaṃ detha, labujaṃ dethā’’ti yācanti, dātabbaṃ na dātabbanti? Dātabbaṃ. Adīyamāne hi te domanassikā honti, dentena pana saṅghaṃ sannipātetvā yāvatatiyaṃ sāvetvā apalokanakammaṃ katvāva dātabbaṃ, katikavattaṃ vā katvā ṭhapetabbaṃ, evañca pana kātabbaṃ, byattena bhikkhunā saṅghassa anumatiyā sāvetabbaṃ –
‘‘สามนฺตคาเมหิ มนุสฺสา อาคนฺตฺวา คิลานาทีนํ อตฺถาย ผลาผลํ ยาจนฺติ, เทฺว นาฬิเกรานิ, เทฺว ตาลผลานิ, เทฺว ปนสานิ, ปญฺจ อมฺพานิ, ปญฺจ กทลิผลานิ คณฺหนฺตานํ อนิวารณํ, อสุกรุกฺขโต จ อสุกรุกฺขโต จ ผลํ คณฺหนฺตานํ อนิวารณํ รุจฺจติ ภิกฺขุสงฺฆสฺสา’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํฯ
‘‘Sāmantagāmehi manussā āgantvā gilānādīnaṃ atthāya phalāphalaṃ yācanti, dve nāḷikerāni, dve tālaphalāni, dve panasāni, pañca ambāni, pañca kadaliphalāni gaṇhantānaṃ anivāraṇaṃ, asukarukkhato ca asukarukkhato ca phalaṃ gaṇhantānaṃ anivāraṇaṃ ruccati bhikkhusaṅghassā’’ti tikkhattuṃ vattabbaṃ.
ตโต ปฎฺฐาย คิลานาทีนํ นามํ คเหตฺวา ยาจนฺตา ‘‘คณฺหถา’’ติ น วตฺตพฺพา, วตฺตํ ปน อาจิกฺขิตพฺพํ – ‘‘นาฬิเกราทีนิ อิมินา นาม ปริเจฺฉเทน คณฺหนฺตานํ อสุกรุกฺขโต จ อสุกรุกฺขโต จ ผลํ คณฺหนฺตานํ อนิวารณํ กต’’นฺติฯ อนุวิจริตฺวา ปน ‘‘อยํ มธุรผโล อโมฺพ, อิโต คณฺหถา’’ติปิ น วตฺตพฺพาฯ ผลภาชนกาเล ปน อาคตานํ สมฺมเตน อุปฑฺฒภาโค ทาตโพฺพ, อสมฺมเตน อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ
Tato paṭṭhāya gilānādīnaṃ nāmaṃ gahetvā yācantā ‘‘gaṇhathā’’ti na vattabbā, vattaṃ pana ācikkhitabbaṃ – ‘‘nāḷikerādīni iminā nāma paricchedena gaṇhantānaṃ asukarukkhato ca asukarukkhato ca phalaṃ gaṇhantānaṃ anivāraṇaṃ kata’’nti. Anuvicaritvā pana ‘‘ayaṃ madhuraphalo ambo, ito gaṇhathā’’tipi na vattabbā. Phalabhājanakāle pana āgatānaṃ sammatena upaḍḍhabhāgo dātabbo, asammatena apaloketvā dātabbaṃ.
ขีณปริพฺพโย วา มคฺคคมิยสตฺถวาโห วา อโญฺญ วา อิสฺสโร อาคนฺตฺวา ยาจติ, อปโลเกตฺวาว ทาตพฺพํฯ พลกฺกาเรน คเหตฺวา ขาทโนฺต น วาเรตโพฺพฯ กุโทฺธ หิ โส รุเกฺขปิ ฉิเนฺทยฺย, อญฺญมฺปิ อนตฺถํ กเรยฺยฯ ปุคฺคลิกปริเวณํ อาคนฺตฺวา คิลานสฺส คาเมน ยาจโนฺต ‘‘อเมฺหหิ ฉายาทีนํ อตฺถาย โรปิตํ, สเจ อตฺถิ, ตุเมฺห ชานาถา’’ติ วตฺตโพฺพฯ ยทิ ปน ผลภริตาว รุกฺขา โหนฺติ, กณฺฎเก พนฺธิตฺวา ผลวาเรน ขาทนฺติ, อปจฺจาสีสเนฺตน หุตฺวา ทาตพฺพํฯ พลกฺกาเรน คณฺหโนฺต น วาเรตโพฺพ, ปุเพฺพ วุตฺตเมเวตฺถ การณํฯ
Khīṇaparibbayo vā maggagamiyasatthavāho vā añño vā issaro āgantvā yācati, apaloketvāva dātabbaṃ. Balakkārena gahetvā khādanto na vāretabbo. Kuddho hi so rukkhepi chindeyya, aññampi anatthaṃ kareyya. Puggalikapariveṇaṃ āgantvā gilānassa gāmena yācanto ‘‘amhehi chāyādīnaṃ atthāya ropitaṃ, sace atthi, tumhe jānāthā’’ti vattabbo. Yadi pana phalabharitāva rukkhā honti, kaṇṭake bandhitvā phalavārena khādanti, apaccāsīsantena hutvā dātabbaṃ. Balakkārena gaṇhanto na vāretabbo, pubbe vuttamevettha kāraṇaṃ.
สงฺฆสฺส ผลาราโม โหติ, ปฎิชคฺคนํ น ลภติ, สเจ ตํ โกจิ วตฺตสีเสน ชคฺคติ, สงฺฆเสฺสว โหติฯ อถาปิ กสฺสจิ ปฎิพลสฺส ภิกฺขุโน ‘‘อิมํ สปฺปุริส ชคฺคิตฺวา เทหี’’ติ สโงฺฆ ภารํ กโรติ, โส เจ วตฺตสีเสน ชคฺคติ, เอวมฺปิ สงฺฆเสฺสว โหติฯ ผาติกมฺมํ ปจฺจาสีสนฺตสฺส ปน ตติยภาเคน วา อุปฑฺฒภาเคน วา ผาติกมฺมํ กาตพฺพํฯ ‘‘ภาริยํ กมฺม’’นฺติ วตฺวา เอตฺตเกน อนิจฺฉโนฺต ปน สพฺพํ ตเวว สนฺตกํ กตฺวา ‘‘มูลภาคํ ทสภาคมตฺตํ ทตฺวา ชคฺคาหี’’ติปิ วตฺตโพฺพฯ ครุภณฺฑตฺตา ปน มูลเจฺฉชฺชวเสน น ทาตพฺพํฯ โส มูลภาคํ ทตฺวา ขาทโนฺต อกตาวาสํ วา กตฺวา กตาวาสํ วา ชคฺคิตฺวา นิสฺสิตกานํ อารามํ นิยฺยาเทติ, เตหิปิ มูลภาโค ทาตโพฺพวฯ ยทา ปน ภิกฺขู สยํ ชคฺคิตุํ ปโหนฺติ, อถ เตสํ ชคฺคิตุญฺจ น ทาตพฺพํ, ชคฺคิตกาเล จ น วาเรตพฺพา, ชคฺคนกาเลเยว วาเรตพฺพาฯ ‘‘พหุํ ตุเมฺหหิ ขายิตํ, อิทานิ มา ชคฺคิตฺถ, ภิกฺขุสโงฺฆเยว ชคฺคิสฺสตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ
Saṅghassa phalārāmo hoti, paṭijagganaṃ na labhati, sace taṃ koci vattasīsena jaggati, saṅghasseva hoti. Athāpi kassaci paṭibalassa bhikkhuno ‘‘imaṃ sappurisa jaggitvā dehī’’ti saṅgho bhāraṃ karoti, so ce vattasīsena jaggati, evampi saṅghasseva hoti. Phātikammaṃ paccāsīsantassa pana tatiyabhāgena vā upaḍḍhabhāgena vā phātikammaṃ kātabbaṃ. ‘‘Bhāriyaṃ kamma’’nti vatvā ettakena anicchanto pana sabbaṃ taveva santakaṃ katvā ‘‘mūlabhāgaṃ dasabhāgamattaṃ datvā jaggāhī’’tipi vattabbo. Garubhaṇḍattā pana mūlacchejjavasena na dātabbaṃ. So mūlabhāgaṃ datvā khādanto akatāvāsaṃ vā katvā katāvāsaṃ vā jaggitvā nissitakānaṃ ārāmaṃ niyyādeti, tehipi mūlabhāgo dātabbova. Yadā pana bhikkhū sayaṃ jaggituṃ pahonti, atha tesaṃ jaggituñca na dātabbaṃ, jaggitakāle ca na vāretabbā, jagganakāleyeva vāretabbā. ‘‘Bahuṃ tumhehi khāyitaṃ, idāni mā jaggittha, bhikkhusaṅghoyeva jaggissatī’’ti vattabbaṃ.
สเจ ปน เนว วตฺตสีเสน ชคฺคโนฺต อตฺถิ, น ผาติกเมฺมน, น สโงฺฆ ชคฺคิตุํ ปโหติ, เอโก อนาปุจฺฉิตฺวาว ชคฺคิตฺวา ผาติกมฺมํ วเฑฺฒตฺวา ปจฺจาสีสติ, อปโลกนกเมฺมน ผาติกมฺมํ วเฑฺฒตฺวา ทาตพฺพํฯ อิติ อิมํ สพฺพมฺปิ กมฺมลกฺขณเมว โหติฯ อปโลกนกมฺมํ อิมานิ ปญฺจ ฐานานิ คจฺฉติฯ
Sace pana neva vattasīsena jagganto atthi, na phātikammena, na saṅgho jaggituṃ pahoti, eko anāpucchitvāva jaggitvā phātikammaṃ vaḍḍhetvā paccāsīsati, apalokanakammena phātikammaṃ vaḍḍhetvā dātabbaṃ. Iti imaṃ sabbampi kammalakkhaṇameva hoti. Apalokanakammaṃ imāni pañca ṭhānāni gacchati.
ญตฺติกมฺมฎฺฐานเภเท ปน ‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส อายสฺมโต อุปสมฺปทาเปโกฺข, อนุสิโฎฺฐ โส มยาฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อาคเจฺฉยฺยาติ, อาคจฺฉาหีติ วตฺตโพฺพ’’ติ เอวํ อุปสมฺปทาเปกฺขสฺส โอสารณา โอสารณา นามฯ
Ñattikammaṭṭhānabhede pana ‘‘suṇātu me bhante saṅgho, itthannāmo itthannāmassa āyasmato upasampadāpekkho, anusiṭṭho so mayā. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo āgaccheyyāti, āgacchāhīti vattabbo’’ti evaṃ upasampadāpekkhassa osāraṇā osāraṇā nāma.
‘‘สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺตา, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ ธมฺมกถิโก อิมสฺส เนว สุตฺตํ อาคจฺฉติ, โน สุตฺตวิภโงฺค, โส อตฺถํ อสลฺลเกฺขตฺวา พฺยญฺชนจฺฉายาย อตฺถํ ปฎิพาหติฯ ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ วุฎฺฐาเปตฺวา อวเสสา อิมํ อธิกรณํ วูปสเมยฺยามา’’ติ เอวํ อุพฺพาหิกาวินิจฺฉเย ธมฺมกถิกสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสารณา นิสฺสารณา นามฯ
‘‘Suṇantu me āyasmantā, ayaṃ itthannāmo bhikkhu dhammakathiko imassa neva suttaṃ āgacchati, no suttavibhaṅgo, so atthaṃ asallakkhetvā byañjanacchāyāya atthaṃ paṭibāhati. Yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, itthannāmaṃ bhikkhuṃ vuṭṭhāpetvā avasesā imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasameyyāmā’’ti evaṃ ubbāhikāvinicchaye dhammakathikassa bhikkhuno nissāraṇā nissāraṇā nāma.
‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อชฺชุโปสโถ ปนฺนรโสฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อุโปสถํ กเรยฺยา’’ติ เอวํ อุโปสถกมฺมวเสน ฐปิตา ญตฺติ อุโปสโถ นามฯ
‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, ajjuposatho pannaraso. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho uposathaṃ kareyyā’’ti evaṃ uposathakammavasena ṭhapitā ñatti uposatho nāma.
‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อชฺช ปวารณา ปนฺนรสีฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ ปวาเรยฺยา’’ติ เอวํ ปวารณากมฺมวเสน ฐปิตา ญตฺติ ปวารณา นามฯ
‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, ajja pavāraṇā pannarasī. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho pavāreyyā’’ti evaṃ pavāraṇākammavasena ṭhapitā ñatti pavāraṇā nāma.
‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส อายสฺมโต อุปสมฺปทาเปโกฺขฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ อนุสาเสยฺย’’นฺติฯ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ อนุสาเสยฺยา’’ติฯ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ อนฺตรายิเก ธเมฺม ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ อนฺตรายิเก ธเมฺม ปุเจฺฉยฺยา’’ติฯ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามํ วินยํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ วินยํ ปุเจฺฉยฺยา’’ติฯ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนาเมน วินยํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺย’’นฺติฯ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนาเมน วินยํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺยา’’ติ เอวํ อตฺตานํ วา ปรํ วา สมฺมนฺนิตุํ ฐปิตา ญตฺติ สมฺมุติ นามฯ
‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, itthannāmo itthannāmassa āyasmato upasampadāpekkho. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ anusāseyya’’nti. ‘‘Yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ anusāseyyā’’ti. ‘‘Yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ antarāyike dhamme puccheyya’’nti. ‘‘Yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ antarāyike dhamme puccheyyā’’ti. ‘‘Yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmaṃ vinayaṃ puccheyya’’nti. ‘‘Yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmaṃ vinayaṃ puccheyyā’’ti. ‘‘Yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmena vinayaṃ puṭṭho vissajjeyya’’nti. ‘‘Yadi saṅghassa pattakallaṃ, itthannāmo itthannāmena vinayaṃ puṭṭho vissajjeyyā’’ti evaṃ attānaṃ vā paraṃ vā sammannituṃ ṭhapitā ñatti sammuti nāma.
‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อิทํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน นิสฺสคฺคิยํ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยา’’ติฯ ‘‘ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อายสฺมนฺตา อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยุ’’นฺติ เอวํ นิสฺสฎฺฐจีวรปตฺตาทีนํ ทานํ ทานํ นามฯ
‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, idaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno nissaggiyaṃ saṅghassa nissaṭṭhaṃ. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyyā’’ti. ‘‘Yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, āyasmantā imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa bhikkhuno dadeyyu’’nti evaṃ nissaṭṭhacīvarapattādīnaṃ dānaṃ dānaṃ nāma.
‘‘สุณาตุ เม ภเนฺต สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺติํ สรติ, วิวรติ, อุตฺตานิํ กโรติ, เทเสติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติํ ปฎิคฺคเณฺหยฺยนฺติฯ ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย’’นฺติฯ เตน วตฺตโพฺพ ‘‘ปสฺสสี’’ติฯ ‘‘อาม ปสฺสามี’’ติฯ อายติํ สํวเรยฺยาสีติ เอวํ อาปตฺติปฎิคฺคโห ปฎิคฺคโห นามฯ
‘‘Suṇātu me bhante saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu āpattiṃ sarati, vivarati, uttāniṃ karoti, deseti. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmassa bhikkhuno āpattiṃ paṭiggaṇheyyanti. Yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, ahaṃ itthannāmassa bhikkhuno āpattiṃ paṭiggaṇheyya’’nti. Tena vattabbo ‘‘passasī’’ti. ‘‘Āma passāmī’’ti. Āyatiṃ saṃvareyyāsīti evaṃ āpattipaṭiggaho paṭiggaho nāma.
‘‘สุณนฺตุ เม, อายสฺมนฺตา อาวาสิกาฯ ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิทานิ อุโปสถํ กเรยฺยาม, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาม, อาคเม กาเฬ ปวาเรยฺยามา’’ติฯ เต เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ภณฺฑนการกา กลหการกา วิวาทการกา ภสฺสการกา สเงฺฆ อธิกรณการกา ตํ กาฬํ อนุวเสยฺยุํ, อาวาสิเกน ภิกฺขุนา พฺยเตฺตน ปฎิพเลน อาวาสิกา ภิกฺขู ญาเปตพฺพา – ‘‘สุณนฺตุ เม, อายสฺมนฺตา อาวาสิกาฯ ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, อิทานิ อุโปสถํ กเรยฺยาม, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาม, อาคเม ชุเณฺห ปวาเรยฺยามา’’ติ เอวํ กตา ปวารณาปจฺจุกฺกฑฺฒนา ปจฺจุกฺกฑฺฒนา นามฯ
‘‘Suṇantu me, āyasmantā āvāsikā. Yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, idāni uposathaṃ kareyyāma, pātimokkhaṃ uddiseyyāma, āgame kāḷe pavāreyyāmā’’ti. Te ce, bhikkhave, bhikkhū bhaṇḍanakārakā kalahakārakā vivādakārakā bhassakārakā saṅghe adhikaraṇakārakā taṃ kāḷaṃ anuvaseyyuṃ, āvāsikena bhikkhunā byattena paṭibalena āvāsikā bhikkhū ñāpetabbā – ‘‘suṇantu me, āyasmantā āvāsikā. Yadāyasmantānaṃ pattakallaṃ, idāni uposathaṃ kareyyāma, pātimokkhaṃ uddiseyyāma, āgame juṇhe pavāreyyāmā’’ti evaṃ katā pavāraṇāpaccukkaḍḍhanā paccukkaḍḍhanā nāma.
สเพฺพเหว เอกชฺฌํ สนฺนิปติตพฺพํ, สนฺนิปติตฺวา พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ – ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ อมฺหากํ ภณฺฑนชาตานํ กลหชาตานํ วิวาทาปนฺนานํ วิหรตํ พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ สเจ มยํ อิมาหิ อาปตฺตีหิ อญฺญมญฺญํ กาเรสฺสาม, สิยาปิ ตํ อธิกรณํ กกฺขฬตฺตาย วาฬตฺตาย เภทาย สํวเตฺตยฺยฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ อธิกรณํ ติณวตฺถารเกน วูปสเมยฺย ฐเปตฺวา ถุลฺลวชฺชํ, ฐเปตฺวา คิหิปฎิสยุตฺต’’นฺติ เอวํ ติณวตฺถารกสมเถน กตฺวา สพฺพปฐมา สพฺพสงฺคาหิกญตฺติ กมฺมลกฺขณํ นามฯ
Sabbeheva ekajjhaṃ sannipatitabbaṃ, sannipatitvā byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo – ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho amhākaṃ bhaṇḍanajātānaṃ kalahajātānaṃ vivādāpannānaṃ viharataṃ bahuṃ assāmaṇakaṃ ajjhāciṇṇaṃ bhāsitaparikkantaṃ. Sace mayaṃ imāhi āpattīhi aññamaññaṃ kāressāma, siyāpi taṃ adhikaraṇaṃ kakkhaḷattāya vāḷattāya bhedāya saṃvatteyya. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ adhikaraṇaṃ tiṇavatthārakena vūpasameyya ṭhapetvā thullavajjaṃ, ṭhapetvā gihipaṭisayutta’’nti evaṃ tiṇavatthārakasamathena katvā sabbapaṭhamā sabbasaṅgāhikañatti kammalakkhaṇaṃ nāma.
ตถา ตโต ปรา เอเกกสฺมิํ ปเกฺข เอเกกํ กตฺวา เทฺว ญตฺติโย อิติ ยถาวุตฺตปฺปเภทํ โอสารณํ นิสฺสารณํ…เป.… กมฺมลกฺขณเญฺญว นวมนฺติ ญตฺติกมฺมํ อิมานิ นว ฐานานิ คจฺฉติฯ
Tathā tato parā ekekasmiṃ pakkhe ekekaṃ katvā dve ñattiyo iti yathāvuttappabhedaṃ osāraṇaṃ nissāraṇaṃ…pe… kammalakkhaṇaññeva navamanti ñattikammaṃ imāni nava ṭhānāni gacchati.
ญตฺติทุติยกมฺมฎฺฐานเภเท ปน วฑฺฒสฺส ลิจฺฉวิโน ปตฺตนิกฺกุชฺชนวเสน ขนฺธเก วุตฺตา นิสฺสารณาฯ ตเสฺสว ปตฺตุกฺกุชฺชนวเสน วุตฺตา โอสารณา จ เวทิตพฺพาฯ
Ñattidutiyakammaṭṭhānabhede pana vaḍḍhassa licchavino pattanikkujjanavasena khandhake vuttā nissāraṇā. Tasseva pattukkujjanavasena vuttā osāraṇā ca veditabbā.
สีมาสมฺมุติ ติจีวเรน อวิปฺปวาสสมฺมุติ, สนฺถตสมฺมุติ, ภตฺตุเทฺทสก-เสนาสนคฺคาหาปก-ภณฺฑาคาริก-จีวรปฎิคฺคาหก-จีวรภาชก-ยาคุภาชกผลภาชก-ขชฺชภาชก-อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชก-สาฎิยคฺคาหาปก-ปตฺตคฺคาหาปก-อารามิกเปสกสามเณรเปสกสมฺมุตีติ เอตาสํ สมฺมุตีนํ วเสน สมฺมุติ เวทิตพฺพาฯ กถินจีวรทานมตกจีวรทานวเสน ทานํ เวทิตพฺพํฯ
Sīmāsammuti ticīvarena avippavāsasammuti, santhatasammuti, bhattuddesaka-senāsanaggāhāpaka-bhaṇḍāgārika-cīvarapaṭiggāhaka-cīvarabhājaka-yāgubhājakaphalabhājaka-khajjabhājaka-appamattakavissajjaka-sāṭiyaggāhāpaka-pattaggāhāpaka-ārāmikapesakasāmaṇerapesakasammutīti etāsaṃ sammutīnaṃ vasena sammuti veditabbā. Kathinacīvaradānamatakacīvaradānavasena dānaṃ veditabbaṃ.
กถินุทฺธารวเสน อุทฺธาโร เวทิตโพฺพฯ กุฎิวตฺถุวิหารวตฺถุเทสนาวเสน เทสนา เวทิตพฺพาฯ ยา ปน ติณวตฺถารกสมเถ สพฺพสงฺคาหิกญตฺติญฺจ เอเกกสฺมิํ ปเกฺข เอเกกํ ญตฺติญฺจาติ ติโสฺส ญตฺติโย ฐเปตฺวา ปุน เอกสฺมิํ ปเกฺข เอกา, เอกสฺมิํ ปเกฺข เอกาติ เทฺว ญตฺติทุติยกมฺมวาจา วุตฺตา, ตาสํ วเสน กมฺมลกฺขณํ เวทิตพฺพํ ฯ อิติ ญตฺติทุติยกมฺมํ อิมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ
Kathinuddhāravasena uddhāro veditabbo. Kuṭivatthuvihāravatthudesanāvasena desanā veditabbā. Yā pana tiṇavatthārakasamathe sabbasaṅgāhikañattiñca ekekasmiṃ pakkhe ekekaṃ ñattiñcāti tisso ñattiyo ṭhapetvā puna ekasmiṃ pakkhe ekā, ekasmiṃ pakkhe ekāti dve ñattidutiyakammavācā vuttā, tāsaṃ vasena kammalakkhaṇaṃ veditabbaṃ . Iti ñattidutiyakammaṃ imāni satta ṭhānāni gacchati.
ญตฺติจตุตฺถกมฺมฎฺฐานเภเท ปน ตชฺชนียกมฺมาทีนํ สตฺตนฺนํ กมฺมานํ วเสน นิสฺสารณา, เตสํเยว จ กมฺมานํ ปฎิปฺปสฺสมฺภนวเสน โอสารณา เวทิตพฺพาฯ ภิกฺขุโนวาทกสมฺมุติวเสน สมฺมุติ เวทิตพฺพาฯ ปริวาสทานมานตฺตทานวเสน ทานํ เวทิตพฺพํฯ มูลายปฎิกสฺสนกมฺมวเสน นิคฺคโห เวทิตโพฺพฯ ‘‘อุกฺขิตฺตานุวตฺติกา อฎฺฐ, ยาวตติยกา อริโฎฺฐ จณฺฑกาฬี จ อิเม เต ยาวตติยกา’’ติ อิมาสํ เอกาทสนฺนํ สมนุภาสนานํ วเสน สมนุภาสนา เวทิตพฺพาฯ อุปสมฺปทากมฺมอพฺภานกมฺมวเสน ปน กมฺมลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ อิติ ญตฺติจตุตฺถกมฺมํ อิมานิ สตฺต ฐานานิ คจฺฉติฯ
Ñatticatutthakammaṭṭhānabhede pana tajjanīyakammādīnaṃ sattannaṃ kammānaṃ vasena nissāraṇā, tesaṃyeva ca kammānaṃ paṭippassambhanavasena osāraṇā veditabbā. Bhikkhunovādakasammutivasena sammuti veditabbā. Parivāsadānamānattadānavasena dānaṃ veditabbaṃ. Mūlāyapaṭikassanakammavasena niggaho veditabbo. ‘‘Ukkhittānuvattikā aṭṭha, yāvatatiyakā ariṭṭho caṇḍakāḷī ca ime te yāvatatiyakā’’ti imāsaṃ ekādasannaṃ samanubhāsanānaṃ vasena samanubhāsanā veditabbā. Upasampadākammaabbhānakammavasena pana kammalakkhaṇaṃ veditabbaṃ. Iti ñatticatutthakammaṃ imāni satta ṭhānāni gacchati.
๔๙๗. อิติ กมฺมานิ จ กมฺมวิปตฺติญฺจ วิปตฺติวิรหิตานํ กมฺมานํ ฐานปเภทคมนญฺจ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เตสํ กมฺมานํ การกสฺส สงฺฆสฺส ปริเจฺฉทํ ทเสฺสโนฺต ปุน ‘‘จตุวคฺคกรเณ กเมฺม’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ ปริสโต กมฺมวิปตฺติวณฺณนายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพติฯ
497. Iti kammāni ca kammavipattiñca vipattivirahitānaṃ kammānaṃ ṭhānapabhedagamanañca dassetvā idāni tesaṃ kammānaṃ kārakassa saṅghassa paricchedaṃ dassento puna ‘‘catuvaggakaraṇe kamme’’tiādimāha. Tassattho parisato kammavipattivaṇṇanāyaṃ vuttanayeneva veditabboti.
กมฺมวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kammavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / ปริวารปาฬิ • Parivārapāḷi / ๑. กมฺมวโคฺค • 1. Kammavaggo
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / อปโลกนกมฺมกถาวณฺณนา • Apalokanakammakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อปโลกนกมฺมกถาวณฺณนา • Apalokanakammakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / อปโลกนกมฺมกถาวณฺณนา • Apalokanakammakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / อปโลกนกมฺมกถา • Apalokanakammakathā