Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    ขุทฺทกนิกาเย

    Khuddakanikāye

    ชาตก-อฎฺฐกถา

    Jātaka-aṭṭhakathā

    (ปฐโม ภาโค)

    (Paṭhamo bhāgo)

    คนฺถารมฺภกถา

    Ganthārambhakathā

    ชาติโกฎิสหเสฺสหิ , ปมาณรหิตํ หิตํ;

    Jātikoṭisahassehi , pamāṇarahitaṃ hitaṃ;

    โลกสฺส โลกนาเถน, กตํ เยน มเหสินาฯ

    Lokassa lokanāthena, kataṃ yena mahesinā.

    ตสฺส ปาเท นมสฺสิตฺวา, กตฺวา ธมฺมสฺส จญฺชลิํ;

    Tassa pāde namassitvā, katvā dhammassa cañjaliṃ;

    สงฺฆญฺจ ปติมาเนตฺวา, สพฺพสมฺมานภาชนํฯ

    Saṅghañca patimānetvā, sabbasammānabhājanaṃ.

    นมสฺสนาทิโน อสฺส, ปุญฺญสฺส รตนตฺตเย;

    Namassanādino assa, puññassa ratanattaye;

    ปวตฺตสฺสานุภาเวน, เฉตฺวา สเพฺพ อุปทฺทเวฯ

    Pavattassānubhāvena, chetvā sabbe upaddave.

    ตํ ตํ การณมาคมฺม, เทสิตานิ ชุตีมตา;

    Taṃ taṃ kāraṇamāgamma, desitāni jutīmatā;

    อปณฺณกาทีนิ ปุรา, ชาตกานิ มเหสินาฯ

    Apaṇṇakādīni purā, jātakāni mahesinā.

    ยานิ เยสุ จิรํ สตฺถา, โลกนิตฺถรณตฺถิโก;

    Yāni yesu ciraṃ satthā, lokanittharaṇatthiko;

    อนเนฺต โพธิสมฺภาเร, ปริปาเจสิ นายโกฯ

    Anante bodhisambhāre, paripācesi nāyako.

    ตานิ สพฺพานิ เอกชฺฌํ, อาโรเปเนฺตหิ สงฺคหํ;

    Tāni sabbāni ekajjhaṃ, āropentehi saṅgahaṃ;

    ชาตกํ นาม สงฺคีตํ, ธมฺมสงฺคาหเกหิ ยํฯ

    Jātakaṃ nāma saṅgītaṃ, dhammasaṅgāhakehi yaṃ.

    พุทฺธวํสสฺส เอตสฺส, อิจฺฉเนฺตน จิรฎฺฐิติํ;

    Buddhavaṃsassa etassa, icchantena ciraṭṭhitiṃ;

    ยาจิโต อภิคนฺตฺวาน, เถเรน อตฺถทสฺสินา

    Yācito abhigantvāna, therena atthadassinā.

    อสํสฎฺฐวิหาเร , สทา สุทฺธวิหารินา;

    Asaṃsaṭṭhavihāre , sadā suddhavihārinā;

    ตเถว พุทฺธมิเตฺตน, สนฺตจิเตฺตน วิญฺญุนาฯ

    Tatheva buddhamittena, santacittena viññunā.

    มหิํสาสกวํสมฺหิ, สมฺภูเตน นยญฺญุนา;

    Mahiṃsāsakavaṃsamhi, sambhūtena nayaññunā;

    พุทฺธเทเวน จ ตถา, ภิกฺขุนา สุทฺธพุทฺธินาฯ

    Buddhadevena ca tathā, bhikkhunā suddhabuddhinā.

    มหาปุริสจริยานํ, อานุภาวํ อจินฺติยํ;

    Mahāpurisacariyānaṃ, ānubhāvaṃ acintiyaṃ;

    ตสฺส วิโชฺชตยนฺตสฺส, ชาตกสฺสตฺถวณฺณนํฯ

    Tassa vijjotayantassa, jātakassatthavaṇṇanaṃ.

    มหาวิหารวาสีนํ, วาจนามคฺคนิสฺสิตํ;

    Mahāvihāravāsīnaṃ, vācanāmagganissitaṃ;

    ภาสิสฺสํ ภาสโต ตํ เม, สาธุ คณฺหนฺตุ สาธโวติฯ

    Bhāsissaṃ bhāsato taṃ me, sādhu gaṇhantu sādhavoti.

    นิทานกถา

    Nidānakathā

    สา ปนายํ ชาตกสฺส อตฺถวณฺณนา ทูเรนิทานํ, อวิทูเรนิทานํ, สนฺติเกนิทานนฺติ อิมานิ ตีณิ นิทานานิ ทเสฺสตฺวา วณฺณิยมานา เย นํ สุณนฺติ, เตหิ สมุทาคมโต ปฎฺฐาย วิญฺญาตตฺตา ยสฺมา สุฎฺฐุ วิญฺญาตา นาม โหติ, ตสฺมา ตํ ตานิ นิทานานิ ทเสฺสตฺวา วณฺณยิสฺสามฯ

    Sā panāyaṃ jātakassa atthavaṇṇanā dūrenidānaṃ, avidūrenidānaṃ, santikenidānanti imāni tīṇi nidānāni dassetvā vaṇṇiyamānā ye naṃ suṇanti, tehi samudāgamato paṭṭhāya viññātattā yasmā suṭṭhu viññātā nāma hoti, tasmā taṃ tāni nidānāni dassetvā vaṇṇayissāma.

    ตตฺถ อาทิโต ตาว เตสํ นิทานานํ ปริเจฺฉโท เวทิตโพฺพฯ ทีปงฺกรปาทมูลสฺมิญฺหิ กตาภินีหารสฺส มหาสตฺตสฺส ยาว เวสฺสนฺตรตฺตภาวา จวิตฺวา ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติ, ตาว ปวโตฺต กถามโคฺค ทูเรนิทานํ นามฯ ตุสิตภวนโต ปน จวิตฺวา ยาว โพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตปฺปตฺติ, ตาว ปวโตฺต กถามโคฺค อวิทูเรนิทานํ นามฯ สนฺติเกนิทานํ ปน เตสุ เตสุ ฐาเนสุ วิหรโต ตสฺมิํ ตสฺมิํเยว ฐาเน ลพฺภตีติฯ

    Tattha ādito tāva tesaṃ nidānānaṃ paricchedo veditabbo. Dīpaṅkarapādamūlasmiñhi katābhinīhārassa mahāsattassa yāva vessantarattabhāvā cavitvā tusitapure nibbatti, tāva pavatto kathāmaggo dūrenidānaṃ nāma. Tusitabhavanato pana cavitvā yāva bodhimaṇḍe sabbaññutappatti, tāva pavatto kathāmaggo avidūrenidānaṃ nāma. Santikenidānaṃ pana tesu tesu ṭhānesu viharato tasmiṃ tasmiṃyeva ṭhāne labbhatīti.

    ๑. ทูเรนิทานกถา

    1. Dūrenidānakathā

    ตตฺริทํ ทูเรนิทานํ นาม – อิโต กิร กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ มตฺถเก อมรวตี นาม นครํ อโหสิฯ ตตฺถ สุเมโธ นาม พฺราหฺมโณ ปฎิวสติ อุภโต สุชาโต มาติโต จ ปิติโต จ สํสุทฺธคหณิโก ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา อกฺขิโตฺต อนุปกุโฎฺฐ ชาติวาเทน อภิรูโป ทสฺสนีโย ปาสาทิโก ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคโตฯ โส อญฺญํ กมฺมํ อกตฺวา พฺราหฺมณสิปฺปเมว อุคฺคณฺหิฯ ตสฺส ทหรกาเลเยว มาตาปิตโร กาลมกํสุฯ อถสฺส ราสิวฑฺฒโก อมโจฺจ อายโปตฺถกํ อาหริตฺวา สุวณฺณรชตมณิมุตฺตาทิภริเต คเพฺภ วิวริตฺวา ‘‘เอตฺตกํ เต, กุมาร, มาตุ สนฺตกํ, เอตฺตกํ ปิตุ สนฺตกํ, เอตฺตกํ อยฺยกปยฺยกาน’’นฺติ ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา ธนํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘เอตํ ปฎิปชฺชาหี’’ติ อาหฯ สุเมธปณฺฑิโต จิเนฺตสิ – ‘‘อิมํ ธนํ สํหริตฺวา มยฺหํ ปิตุปิตามหาทโย ปรโลกํ คจฺฉนฺตา เอกํ กหาปณมฺปิ คเหตฺวา น คตา, มยา ปน คเหตฺวา คมนการณํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส รโญฺญ อาโรเจตฺวา นคเร เภริํ จราเปตฺวา มหาชนสฺส ทานํ ทตฺวา ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ อิมสฺส ปนตฺถสฺส อาวิภาวตฺถํ อิมสฺมิํ ฐาเน สุเมธกถา กเถตพฺพา ฯ สา ปเนสา กิญฺจาปิ พุทฺธวํเส นิรนฺตรํ อาคตาเยว, คาถาสมฺพเนฺธน ปน อาคตตฺตา น สุฎฺฐุ ปากฎาฯ ตสฺมา ตํ อนฺตรนฺตรา คาถาย สมฺพนฺธทีปเกหิ วจเนหิ สทฺธิํ กเถสฺสามฯ

    Tatridaṃ dūrenidānaṃ nāma – ito kira kappasatasahassādhikānaṃ catunnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ matthake amaravatī nāma nagaraṃ ahosi. Tattha sumedho nāma brāhmaṇo paṭivasati ubhato sujāto mātito ca pitito ca saṃsuddhagahaṇiko yāva sattamā kulaparivaṭṭā akkhitto anupakuṭṭho jātivādena abhirūpo dassanīyo pāsādiko paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgato. So aññaṃ kammaṃ akatvā brāhmaṇasippameva uggaṇhi. Tassa daharakāleyeva mātāpitaro kālamakaṃsu. Athassa rāsivaḍḍhako amacco āyapotthakaṃ āharitvā suvaṇṇarajatamaṇimuttādibharite gabbhe vivaritvā ‘‘ettakaṃ te, kumāra, mātu santakaṃ, ettakaṃ pitu santakaṃ, ettakaṃ ayyakapayyakāna’’nti yāva sattamā kulaparivaṭṭā dhanaṃ ācikkhitvā ‘‘etaṃ paṭipajjāhī’’ti āha. Sumedhapaṇḍito cintesi – ‘‘imaṃ dhanaṃ saṃharitvā mayhaṃ pitupitāmahādayo paralokaṃ gacchantā ekaṃ kahāpaṇampi gahetvā na gatā, mayā pana gahetvā gamanakāraṇaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. So rañño ārocetvā nagare bheriṃ carāpetvā mahājanassa dānaṃ datvā tāpasapabbajjaṃ pabbaji. Imassa panatthassa āvibhāvatthaṃ imasmiṃ ṭhāne sumedhakathā kathetabbā . Sā panesā kiñcāpi buddhavaṃse nirantaraṃ āgatāyeva, gāthāsambandhena pana āgatattā na suṭṭhu pākaṭā. Tasmā taṃ antarantarā gāthāya sambandhadīpakehi vacanehi saddhiṃ kathessāma.

    สุเมธกถา

    Sumedhakathā

    กปฺปสตสหสฺสาธิกานญฺหิ จตุนฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ มตฺถเก ทสหิ สเทฺทหิ อวิวิตฺตํ ‘‘อมรวตี’’ติ จ ‘‘อมร’’นฺติ จ ลทฺธนามํ นครํ อโหสิ, ยํ สนฺธาย พุทฺธวํเส วุตฺตํ –

    Kappasatasahassādhikānañhi catunnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ matthake dasahi saddehi avivittaṃ ‘‘amaravatī’’ti ca ‘‘amara’’nti ca laddhanāmaṃ nagaraṃ ahosi, yaṃ sandhāya buddhavaṃse vuttaṃ –

    ‘‘กเปฺป จ สตสหเสฺส, จตุโร จ อสงฺขิเย;

    ‘‘Kappe ca satasahasse, caturo ca asaṅkhiye;

    อมรํ นาม นครํ, ทสฺสเนยฺยํ มโนรมํ;

    Amaraṃ nāma nagaraṃ, dassaneyyaṃ manoramaṃ;

    ทสหิ สเทฺทหิ อวิวิตฺตํ, อนฺนปานสมายุต’’นฺติฯ

    Dasahi saddehi avivittaṃ, annapānasamāyuta’’nti.

    ตตฺถ ทสหิ สเทฺทหิ อวิวิตฺตนฺติ หตฺถิสเทฺทน, อสฺสสเทฺทน, รถสเทฺทน, เภริสเทฺทน, มุทิงฺคสเทฺทน, วีณาสเทฺทน, สมฺมสเทฺทน, ตาฬสเทฺทน, สงฺขสเทฺทน ‘‘อสฺนาถ, ปิวถ, ขาทถา’’ติ ทสเมน สเทฺทนาติ อิเมหิ ทสหิ สเทฺทหิ อวิวิตฺตํ อโหสิฯ เตสํ ปน สทฺทานํ เอกเทสเมว คเหตฺวา –

    Tattha dasahi saddehi avivittanti hatthisaddena, assasaddena, rathasaddena, bherisaddena, mudiṅgasaddena, vīṇāsaddena, sammasaddena, tāḷasaddena, saṅkhasaddena ‘‘asnātha, pivatha, khādathā’’ti dasamena saddenāti imehi dasahi saddehi avivittaṃ ahosi. Tesaṃ pana saddānaṃ ekadesameva gahetvā –

    ‘‘หตฺถิสทฺทํ อสฺสสทฺทํ, เภริสงฺขรถานิ จ;

    ‘‘Hatthisaddaṃ assasaddaṃ, bherisaṅkharathāni ca;

    ขาทถ ปิวถ เจว, อนฺนปาเนน โฆสิต’’นฺติฯ –

    Khādatha pivatha ceva, annapānena ghosita’’nti. –

    พุทฺธวํเส อิมํ คาถํ วตฺวา –

    Buddhavaṃse imaṃ gāthaṃ vatvā –

    ‘‘นครํ สพฺพงฺคสมฺปนฺนํ, สพฺพกมฺมมุปาคตํ;

    ‘‘Nagaraṃ sabbaṅgasampannaṃ, sabbakammamupāgataṃ;

    สตฺตรตนสมฺปนฺนํ, นานาชนสมากุลํ;

    Sattaratanasampannaṃ, nānājanasamākulaṃ;

    สมิทฺธํ เทวนครํว, อาวาสํ ปุญฺญกมฺมินํฯ

    Samiddhaṃ devanagaraṃva, āvāsaṃ puññakamminaṃ.

    ‘‘นคเร อมรวติยา, สุเมโธ นาม พฺราหฺมโณ;

    ‘‘Nagare amaravatiyā, sumedho nāma brāhmaṇo;

    อเนกโกฎิสนฺนิจโย, ปหูตธนธญฺญวาฯ

    Anekakoṭisannicayo, pahūtadhanadhaññavā.

    ‘‘อชฺฌายโก มนฺตธโร, ติณฺณํ เวทาน ปารคู;

    ‘‘Ajjhāyako mantadharo, tiṇṇaṃ vedāna pāragū;

    ลกฺขเณ อิติหาเส จ, สธเมฺม ปารมิํ คโต’’ติฯ – วุตฺตํ;

    Lakkhaṇe itihāse ca, sadhamme pāramiṃ gato’’ti. – vuttaṃ;

    อเถกทิวสํ โส สุเมธปณฺฑิโต อุปริปาสาทวรตเล รโหคโต หุตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสิโนฺน จิเนฺตสิ – ‘‘ปุนพฺภเว, ปณฺฑิต, ปฎิสนฺธิคฺคหณํ นาม ทุกฺขํ, ตถา นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน สรีรเภทนํ, อหญฺจ ชาติธโมฺม ชราธโมฺม พฺยาธิธโมฺม มรณธโมฺม, เอวํภูเตน มยา อชาติํ อชรํ อพฺยาธิํ อทุกฺขํ สุขํ สีตลํ อมตมหานิพฺพานํ ปริเยสิตุํ วฎฺฎติ, อวสฺสํ ภวโต มุจฺจิตฺวา นิพฺพานคามินา เอเกน มเคฺคน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ เตน วุตฺตํ –

    Athekadivasaṃ so sumedhapaṇḍito uparipāsādavaratale rahogato hutvā pallaṅkaṃ ābhujitvā nisinno cintesi – ‘‘punabbhave, paṇḍita, paṭisandhiggahaṇaṃ nāma dukkhaṃ, tathā nibbattanibbattaṭṭhāne sarīrabhedanaṃ, ahañca jātidhammo jarādhammo byādhidhammo maraṇadhammo, evaṃbhūtena mayā ajātiṃ ajaraṃ abyādhiṃ adukkhaṃ sukhaṃ sītalaṃ amatamahānibbānaṃ pariyesituṃ vaṭṭati, avassaṃ bhavato muccitvā nibbānagāminā ekena maggena bhavitabba’’nti. Tena vuttaṃ –

    ‘‘รโหคโต นิสีทิตฺวา, เอวํ จิเนฺตสหํ ตทา;

    ‘‘Rahogato nisīditvā, evaṃ cintesahaṃ tadā;

    ทุโกฺข ปุนพฺภโว นาม, สรีรสฺส จ เภทนํฯ

    Dukkho punabbhavo nāma, sarīrassa ca bhedanaṃ.

    ‘‘ชาติธโมฺม ชราธโมฺม, พฺยาธิธโมฺม สหํ ตทา;

    ‘‘Jātidhammo jarādhammo, byādhidhammo sahaṃ tadā;

    อชรํ อมตํ เขมํ, ปริเยสิสฺสามิ นิพฺพุติํฯ

    Ajaraṃ amataṃ khemaṃ, pariyesissāmi nibbutiṃ.

    ‘‘ยํนูนิมํ ปูติกายํ, นานากุณปปูริตํ;

    ‘‘Yaṃnūnimaṃ pūtikāyaṃ, nānākuṇapapūritaṃ;

    ฉฑฺฑยิตฺวาน คเจฺฉยฺยํ, อนเปโกฺข อนตฺถิโกฯ

    Chaḍḍayitvāna gaccheyyaṃ, anapekkho anatthiko.

    ‘‘อตฺถิ เหหิติ โส มโคฺค, น โส สกฺกา น เหตุเย;

    ‘‘Atthi hehiti so maggo, na so sakkā na hetuye;

    ปริเยสิสฺสามิ ตํ มคฺคํ, ภวโต ปริมุตฺติยา’’ติฯ

    Pariyesissāmi taṃ maggaṃ, bhavato parimuttiyā’’ti.

    ตโต อุตฺตริปิ เอวํ จิเนฺตสิ – ยถา หิ โลเก ทุกฺขสฺส ปฎิปกฺขภูตํ สุขํ นาม อตฺถิ, เอวํ ภเว สติ ตปฺปฎิปเกฺขน วิภเวนาปิ ภวิตพฺพํฯ ยถา จ อุเณฺห สติ ตสฺส วูปสมภูตํ สีตมฺปิ อตฺถิ, เอวํ ราคาทีนํ อคฺคีนํ วูปสเมน นิพฺพาเนนาปิ ภวิตพฺพํฯ ยถา จ ปาปสฺส ลามกสฺส ธมฺมสฺส ปฎิปกฺขภูโต กลฺยาโณ อนวชฺชธโมฺมปิ อตฺถิเยว, เอวเมว ปาปิกาย ชาติยา สติ สพฺพชาติเกฺขปนโต อชาติสงฺขาเตน นิพฺพาเนนาปิ ภวิตพฺพเมวาติฯ เตน วุตฺตํ –

    Tato uttaripi evaṃ cintesi – yathā hi loke dukkhassa paṭipakkhabhūtaṃ sukhaṃ nāma atthi, evaṃ bhave sati tappaṭipakkhena vibhavenāpi bhavitabbaṃ. Yathā ca uṇhe sati tassa vūpasamabhūtaṃ sītampi atthi, evaṃ rāgādīnaṃ aggīnaṃ vūpasamena nibbānenāpi bhavitabbaṃ. Yathā ca pāpassa lāmakassa dhammassa paṭipakkhabhūto kalyāṇo anavajjadhammopi atthiyeva, evameva pāpikāya jātiyā sati sabbajātikkhepanato ajātisaṅkhātena nibbānenāpi bhavitabbamevāti. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ยถาปิ ทุเกฺข วิชฺชเนฺต, สุขํ นามปิ วิชฺชติ;

    ‘‘Yathāpi dukkhe vijjante, sukhaṃ nāmapi vijjati;

    เอวํ ภเว วิชฺชมาเน, วิภโวปิ อิจฺฉิตพฺพโกฯ

    Evaṃ bhave vijjamāne, vibhavopi icchitabbako.

    ‘‘ยถาปิ อุเณฺห วิชฺชเนฺต, อปรํ วิชฺชติ สีตลํ;

    ‘‘Yathāpi uṇhe vijjante, aparaṃ vijjati sītalaṃ;

    เอวํ ติวิธคฺคิ วิชฺชเนฺต, นิพฺพานํ อิจฺฉิตพฺพกํฯ

    Evaṃ tividhaggi vijjante, nibbānaṃ icchitabbakaṃ.

    ‘‘ยถาปิ ปาเป วิชฺชเนฺต, กลฺยาณมปิ วิชฺชติ;

    ‘‘Yathāpi pāpe vijjante, kalyāṇamapi vijjati;

    เอวเมว ชาติ วิชฺชเนฺต, อชาติปิจฺฉิตพฺพก’’นฺติฯ

    Evameva jāti vijjante, ajātipicchitabbaka’’nti.

    อปรมฺปิ จิเนฺตสิ – ยถา นาม คูถราสิมฺหิ นิมุเคฺคน ปุริเสน ทูรโต ปญฺจวณฺณปทุมสญฺฉนฺนํ มหาตฬากํ ทิสฺวา ‘‘กตเรน นุ โข มเคฺคน เอตฺถ คนฺตพฺพ’’นฺติ ตํ ตฬากํ คเวสิตุํ ยุตฺตํฯ ยํ ตสฺส อคเวสนํ, น โส ตฬากสฺส โทโสฯ เอวเมว กิเลสมลโธวเน อมตมหานิพฺพานตฬาเก วิชฺชเนฺต ตสฺส อคเวสนํ น อมตนิพฺพานมหาตฬากสฺส โทโสฯ ยถา จ โจเรหิ สมฺปริวาริโต ปุริโส ปลายนมเคฺค วิชฺชมาเนปิ สเจ น ปลายติ, น โส มคฺคสฺส โทโส, ปุริสเสฺสว โทโสฯ เอวเมว กิเลเสหิ ปริวาเรตฺวา คหิตสฺส ปุริสสฺส วิชฺชมาเนเยว นิพฺพานคามิมฺหิ สิเว มเคฺค มคฺคสฺส อคเวสนํ นาม น มคฺคสฺส โทโส, ปุคฺคลเสฺสว โทโสฯ ยถา จ พฺยาธิปีฬิโต ปุริโส วิชฺชมาเน พฺยาธิติกิจฺฉเก เวเชฺช สเจ ตํ เวชฺชํ คเวสิตฺวา พฺยาธิํ น ติกิจฺฉาเปติ, น โส เวชฺชสฺส โทโส, ปุริสเสฺสว โทโสฯ เอวเมว โย กิเลสพฺยาธิปีฬิโต ปุริโส กิเลสวูปสมมคฺคโกวิทํ วิชฺชมานเมว อาจริยํ น คเวสติ, ตเสฺสว โทโส, น กิเลสวินาสกสฺส อาจริยสฺสาติฯ เตน วุตฺตํ –

    Aparampi cintesi – yathā nāma gūtharāsimhi nimuggena purisena dūrato pañcavaṇṇapadumasañchannaṃ mahātaḷākaṃ disvā ‘‘katarena nu kho maggena ettha gantabba’’nti taṃ taḷākaṃ gavesituṃ yuttaṃ. Yaṃ tassa agavesanaṃ, na so taḷākassa doso. Evameva kilesamaladhovane amatamahānibbānataḷāke vijjante tassa agavesanaṃ na amatanibbānamahātaḷākassa doso. Yathā ca corehi samparivārito puriso palāyanamagge vijjamānepi sace na palāyati, na so maggassa doso, purisasseva doso. Evameva kilesehi parivāretvā gahitassa purisassa vijjamāneyeva nibbānagāmimhi sive magge maggassa agavesanaṃ nāma na maggassa doso, puggalasseva doso. Yathā ca byādhipīḷito puriso vijjamāne byādhitikicchake vejje sace taṃ vejjaṃ gavesitvā byādhiṃ na tikicchāpeti, na so vejjassa doso, purisasseva doso. Evameva yo kilesabyādhipīḷito puriso kilesavūpasamamaggakovidaṃ vijjamānameva ācariyaṃ na gavesati, tasseva doso, na kilesavināsakassa ācariyassāti. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ยถา คูถคโต ปุริโส, ตฬากํ ทิสฺวาน ปูริตํ;

    ‘‘Yathā gūthagato puriso, taḷākaṃ disvāna pūritaṃ;

    น คเวสติ ตํ ตฬากํ, น โทโส ตฬากสฺส โสฯ

    Na gavesati taṃ taḷākaṃ, na doso taḷākassa so.

    ‘‘เอวํ กิเลสมลโธเว, วิชฺชเนฺต อมตนฺตเฬ;

    ‘‘Evaṃ kilesamaladhove, vijjante amatantaḷe;

    น คเวสติ ตํ ตฬากํ, น โทโส อมตนฺตเฬฯ

    Na gavesati taṃ taḷākaṃ, na doso amatantaḷe.

    ‘‘ยถา อรีหิ ปริรุโทฺธ, วิชฺชเนฺต คมนมฺปเถ;

    ‘‘Yathā arīhi pariruddho, vijjante gamanampathe;

    น ปลายติ โส ปุริโส, น โทโส อญฺชสสฺส โสฯ

    Na palāyati so puriso, na doso añjasassa so.

    ‘‘เอวํ กิเลสปริรุโทฺธ, วิชฺชมาเน สิเว ปเถ;

    ‘‘Evaṃ kilesapariruddho, vijjamāne sive pathe;

    น คเวสติ ตํ มคฺคํ, น โทโส สิวมญฺชเสฯ

    Na gavesati taṃ maggaṃ, na doso sivamañjase.

    ‘‘ยถาปิ พฺยาธิโต ปุริโส, วิชฺชมาเน ติกิจฺฉเก;

    ‘‘Yathāpi byādhito puriso, vijjamāne tikicchake;

    น ติกิจฺฉาเปติ ตํ พฺยาธิํ, น โทโส โส ติกิจฺฉเกฯ

    Na tikicchāpeti taṃ byādhiṃ, na doso so tikicchake.

    ‘‘เอวํ กิเลสพฺยาธีหิ, ทุกฺขิโต ปริปีฬิโต;

    ‘‘Evaṃ kilesabyādhīhi, dukkhito paripīḷito;

    น คเวสติ ตํ อาจริยํ, น โทโส โส วินายเก’’ติฯ

    Na gavesati taṃ ācariyaṃ, na doso so vināyake’’ti.

    อปรมฺปิ จิเนฺตสิ – ยถา มณฺฑนชาติโก ปุริโส กเณฺฐ อาสตฺตํ กุณปํ ฉเฑฺฑตฺวา สุขี คจฺฉติ, เอวํ มยาปิ อิมํ ปูติกายํ ฉเฑฺฑตฺวา อนเปเกฺขน นิพฺพานนครํ ปวิสิตพฺพํฯ ยถา จ นรนาริโย อุกฺการภูมิยํ อุจฺจารปสฺสาวํ กตฺวา น ตํ อุจฺฉเงฺคน วา อาทาย ทสเนฺตน วา เวเฐตฺวา คจฺฉนฺติ, ชิคุจฺฉมานา ปน อนเปกฺขาว ฉเฑฺฑตฺวา คจฺฉนฺติ, เอวํ มยาปิ อิมํ ปูติกายํ อนเปเกฺขน ฉเฑฺฑตฺวา อมตํ นิพฺพานนครํ ปวิสิตุํ วฎฺฎติฯ ยถา จ นาวิกา นาม ชชฺชรํ นาวํ อนเปกฺขา ฉเฑฺฑตฺวา คจฺฉนฺติ, เอวํ อหมฺปิ อิมํ นวหิ วณมุเขหิ ปคฺฆรนฺตํ กายํ ฉเฑฺฑตฺวา อนเปโกฺข นิพฺพานปุรํ ปวิสิสฺสามิฯ ยถา จ ปุริโส นานารตนานิ อาทาย โจเรหิ สทฺธิํ มคฺคํ คจฺฉโนฺต อตฺตโน รตนนาสภเยน เต ฉเฑฺฑตฺวา เขมํ มคฺคํ คณฺหาติ, เอวํ อยมฺปิ กรชกาโย รตนวิโลปกโจรสทิโสฯ สจาหํ เอตฺถ ตณฺหํ กริสฺสามิ, อริยมคฺคกุสลธมฺมรตนํ เม นสฺสิสฺสติฯ ตสฺมา มยา อิมํ โจรสทิสํ กายํ ฉเฑฺฑตฺวา นิพฺพานนครํ ปวิสิตุํ วฎฺฎตีติฯ เตน วุตฺตํ –

    Aparampi cintesi – yathā maṇḍanajātiko puriso kaṇṭhe āsattaṃ kuṇapaṃ chaḍḍetvā sukhī gacchati, evaṃ mayāpi imaṃ pūtikāyaṃ chaḍḍetvā anapekkhena nibbānanagaraṃ pavisitabbaṃ. Yathā ca naranāriyo ukkārabhūmiyaṃ uccārapassāvaṃ katvā na taṃ ucchaṅgena vā ādāya dasantena vā veṭhetvā gacchanti, jigucchamānā pana anapekkhāva chaḍḍetvā gacchanti, evaṃ mayāpi imaṃ pūtikāyaṃ anapekkhena chaḍḍetvā amataṃ nibbānanagaraṃ pavisituṃ vaṭṭati. Yathā ca nāvikā nāma jajjaraṃ nāvaṃ anapekkhā chaḍḍetvā gacchanti, evaṃ ahampi imaṃ navahi vaṇamukhehi paggharantaṃ kāyaṃ chaḍḍetvā anapekkho nibbānapuraṃ pavisissāmi. Yathā ca puriso nānāratanāni ādāya corehi saddhiṃ maggaṃ gacchanto attano ratananāsabhayena te chaḍḍetvā khemaṃ maggaṃ gaṇhāti, evaṃ ayampi karajakāyo ratanavilopakacorasadiso. Sacāhaṃ ettha taṇhaṃ karissāmi, ariyamaggakusaladhammaratanaṃ me nassissati. Tasmā mayā imaṃ corasadisaṃ kāyaṃ chaḍḍetvā nibbānanagaraṃ pavisituṃ vaṭṭatīti. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ยถาปิ กุณปํ ปุริโส, กเณฺฐ พทฺธํ ชิคุจฺฉิย;

    ‘‘Yathāpi kuṇapaṃ puriso, kaṇṭhe baddhaṃ jigucchiya;

    โมจยิตฺวาน คเจฺฉยฺย, สุขี เสรี สยํวสีฯ

    Mocayitvāna gaccheyya, sukhī serī sayaṃvasī.

    ‘‘ตเถวิมํ ปูติกายํ, นานากุณปสญฺจยํ;

    ‘‘Tathevimaṃ pūtikāyaṃ, nānākuṇapasañcayaṃ;

    ฉฑฺฑยิตฺวาน คเจฺฉยฺยํ, อนเปโกฺข อนตฺถิโกฯ

    Chaḍḍayitvāna gaccheyyaṃ, anapekkho anatthiko.

    ‘‘ยถา อุจฺจารฎฺฐานมฺหิ, กรีสํ นรนาริโย;

    ‘‘Yathā uccāraṭṭhānamhi, karīsaṃ naranāriyo;

    ฉฑฺฑยิตฺวาน คจฺฉนฺติ, อนเปกฺขา อนตฺถิกาฯ

    Chaḍḍayitvāna gacchanti, anapekkhā anatthikā.

    ‘‘เอวเมวาหํ อิมํ กายํ, นานากุณปปูริตํ;

    ‘‘Evamevāhaṃ imaṃ kāyaṃ, nānākuṇapapūritaṃ;

    ฉฑฺฑยิตฺวาน คจฺฉิสฺสํ, วจฺจํ กตฺวา ยถา กุฎิํฯ

    Chaḍḍayitvāna gacchissaṃ, vaccaṃ katvā yathā kuṭiṃ.

    ‘‘ยถาปิ ชชฺชรํ นาวํ, ปลุคฺคํ อุทคาหินิํ;

    ‘‘Yathāpi jajjaraṃ nāvaṃ, paluggaṃ udagāhiniṃ;

    สามี ฉเฑฺฑตฺวา คจฺฉนฺติ, อนเปกฺขา อนตฺถิกาฯ

    Sāmī chaḍḍetvā gacchanti, anapekkhā anatthikā.

    ‘‘เอวเมวาหํ อิมํ กายํ, นวจฺฉิทฺทํ ธุวสฺสวํ;

    ‘‘Evamevāhaṃ imaṃ kāyaṃ, navacchiddaṃ dhuvassavaṃ;

    ฉฑฺฑยิตฺวาน คจฺฉิสฺสํ, ชิณฺณนาวํว สามิกาฯ

    Chaḍḍayitvāna gacchissaṃ, jiṇṇanāvaṃva sāmikā.

    ‘‘ยถาปิ ปุริโส โจเรหิ, คจฺฉโนฺต ภณฺฑมาทิย;

    ‘‘Yathāpi puriso corehi, gacchanto bhaṇḍamādiya;

    ภณฺฑเจฺฉทภยํ ทิสฺวา, ฉฑฺฑยิตฺวาน คจฺฉติฯ

    Bhaṇḍacchedabhayaṃ disvā, chaḍḍayitvāna gacchati.

    ‘‘เอวเมว อยํ กาโย, มหาโจรสโม วิย;

    ‘‘Evameva ayaṃ kāyo, mahācorasamo viya;

    ปหายิมํ คมิสฺสามิ, กุสลเจฺฉทนาภยา’’ติฯ

    Pahāyimaṃ gamissāmi, kusalacchedanābhayā’’ti.

    เอวํ สุเมธปณฺฑิโต นานาวิธาหิ อุปมาหิ อิมํ เนกฺขมฺมูปสํหิตํ อตฺถํ จิเนฺตตฺวา สกนิเวสเน อปริมิตํ โภคกฺขนฺธํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน กปณทฺธิกาทีนํ วิสฺสเชฺชตฺวา มหาทานํ ทตฺวา วตฺถุกาเม จ กิเลสกาเม จ ปหาย อมรนครโต นิกฺขมิตฺวา เอกโกว หิมวเนฺต ธมฺมิกํ นาม ปพฺพตํ นิสฺสาย อสฺสมํ กตฺวา ตตฺถ ปณฺณสาลญฺจ จงฺกมญฺจ มาเปตฺวา ปญฺจหิ นีวรณโทเสหิ วิวชฺชิตํ ‘‘เอวํ สมาหิเต จิเตฺต’’ติอาทินา นเยน วุเตฺตหิ อฎฺฐหิ การณคุเณหิ สมุเปตํ อภิญฺญาสงฺขาตํ พลํ อาหริตุํ ตสฺมิํ อสฺสมปเท นวโทสสมนฺนาคตํ สาฎกํ ปชหิตฺวา ทฺวาทสคุณสมนฺนาคตํ วากจีรํ นิวาเสตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ เอวํ ปพฺพชิโต อฎฺฐโทสสมากิณฺณํ ตํ ปณฺณสาลํ ปหาย ทสคุณสมนฺนาคตํ รุกฺขมูลํ อุปคนฺตฺวา สพฺพํ ธญฺญวิกติํ ปหาย ปวตฺตผลโภชโน หุตฺวา นิสชฺชฎฺฐานจงฺกมนวเสเนว ปธานํ ปทหโนฺต สตฺตาหพฺภนฺตเรเยว อฎฺฐนฺนํ สมาปตฺตีนํ ปญฺจนฺนญฺจ อภิญฺญานํ ลาภี อโหสิฯ เอวํ ตํ ยถาปตฺถิตํ อภิญฺญาพลํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ –

    Evaṃ sumedhapaṇḍito nānāvidhāhi upamāhi imaṃ nekkhammūpasaṃhitaṃ atthaṃ cintetvā sakanivesane aparimitaṃ bhogakkhandhaṃ heṭṭhā vuttanayena kapaṇaddhikādīnaṃ vissajjetvā mahādānaṃ datvā vatthukāme ca kilesakāme ca pahāya amaranagarato nikkhamitvā ekakova himavante dhammikaṃ nāma pabbataṃ nissāya assamaṃ katvā tattha paṇṇasālañca caṅkamañca māpetvā pañcahi nīvaraṇadosehi vivajjitaṃ ‘‘evaṃ samāhite citte’’tiādinā nayena vuttehi aṭṭhahi kāraṇaguṇehi samupetaṃ abhiññāsaṅkhātaṃ balaṃ āharituṃ tasmiṃ assamapade navadosasamannāgataṃ sāṭakaṃ pajahitvā dvādasaguṇasamannāgataṃ vākacīraṃ nivāsetvā isipabbajjaṃ pabbaji. Evaṃ pabbajito aṭṭhadosasamākiṇṇaṃ taṃ paṇṇasālaṃ pahāya dasaguṇasamannāgataṃ rukkhamūlaṃ upagantvā sabbaṃ dhaññavikatiṃ pahāya pavattaphalabhojano hutvā nisajjaṭṭhānacaṅkamanavaseneva padhānaṃ padahanto sattāhabbhantareyeva aṭṭhannaṃ samāpattīnaṃ pañcannañca abhiññānaṃ lābhī ahosi. Evaṃ taṃ yathāpatthitaṃ abhiññābalaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน, เนกโกฎิสตํ ธนํ;

    ‘‘Evāhaṃ cintayitvāna, nekakoṭisataṃ dhanaṃ;

    นาถานาถานํ ทตฺวาน, หิมวนฺตมุปาคมิํฯ

    Nāthānāthānaṃ datvāna, himavantamupāgamiṃ.

    ‘‘หิมวนฺตสฺสาวิทูเร , ธมฺมิโก นาม ปพฺพโต;

    ‘‘Himavantassāvidūre , dhammiko nāma pabbato;

    อสฺสโม สุกโต มยฺหํ, ปณฺณสาลา สุมาปิตาฯ

    Assamo sukato mayhaṃ, paṇṇasālā sumāpitā.

    ‘‘จงฺกมํ ตตฺถ มาเปสิํ, ปญฺจโทสวิวชฺชิตํ;

    ‘‘Caṅkamaṃ tattha māpesiṃ, pañcadosavivajjitaṃ;

    อฎฺฐคุณสมุเปตํ, อภิญฺญาพลมาหริํฯ

    Aṭṭhaguṇasamupetaṃ, abhiññābalamāhariṃ.

    ‘‘สาฎกํ ปชหิํ ตตฺถ, นวโทสมุปาคตํ;

    ‘‘Sāṭakaṃ pajahiṃ tattha, navadosamupāgataṃ;

    วากจีรํ นิวาเสสิํ, ทฺวาทสคุณมุปาคตํฯ

    Vākacīraṃ nivāsesiṃ, dvādasaguṇamupāgataṃ.

    ‘‘อฎฺฐโทสสมากิณฺณํ, ปชหิํ ปณฺณสาลกํ;

    ‘‘Aṭṭhadosasamākiṇṇaṃ, pajahiṃ paṇṇasālakaṃ;

    อุปาคมิํ รุกฺขมูลํ, คุเณ ทสหุปาคตํฯ

    Upāgamiṃ rukkhamūlaṃ, guṇe dasahupāgataṃ.

    ‘‘วาปิตํ โรปิตํ ธญฺญํ, ปชหิํ นิรวเสสโต;

    ‘‘Vāpitaṃ ropitaṃ dhaññaṃ, pajahiṃ niravasesato;

    อเนกคุณสมฺปนฺนํ, ปวตฺตผลมาทิยิํฯ

    Anekaguṇasampannaṃ, pavattaphalamādiyiṃ.

    ‘‘ตตฺถปฺปธานํ ปทหิํ, นิสชฺชฎฺฐานจงฺกเม;

    ‘‘Tatthappadhānaṃ padahiṃ, nisajjaṭṭhānacaṅkame;

    อพฺภนฺตรมฺหิ สตฺตาเห, อภิญฺญาพลปาปุณิ’’นฺติฯ

    Abbhantaramhi sattāhe, abhiññābalapāpuṇi’’nti.

    ตตฺถ ‘‘อสฺสโม สุกโต มยฺหํ, ปณฺณสาลา สุมาปิตา’’ติ อิมาย ปาฬิยา สุเมธปณฺฑิเตน อสฺสมปณฺณสาลาจงฺกมา สหตฺถา มาปิตา วิย วุตฺตาฯ อยํ ปเนตฺถ อโตฺถ – มหาสตฺตํ ‘‘หิมวนฺตํ อโชฺฌคาเหตฺวา อชฺช ธมฺมิกํ ปพฺพตํ ปวิสิสฺสามี’’ติ นิกฺขนฺตํ ทิสฺวา สโกฺก เทวานมิโนฺท วิสฺสกมฺมเทวปุตฺตํ อามเนฺตสิ – ‘‘ตาต, อยํ สุเมธปณฺฑิโต ปพฺพชิสฺสามีติ นิกฺขโนฺต, เอตสฺส วสนฎฺฐานํ มาเปหี’’ติฯ โส ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา รมณียํ อสฺสมํ, สุคุตฺตํ ปณฺณสาลํ, มโนรมํ จงฺกมญฺจ มาเปสิฯ ภควา ปน ตทา อตฺตโน ปุญฺญานุภาเวน นิปฺผนฺนํ ตํ อสฺสมปทํ สนฺธาย สาริปุตฺต, ตสฺมิํ ธมฺมิกปพฺพเต –

    Tattha ‘‘assamo sukato mayhaṃ, paṇṇasālā sumāpitā’’ti imāya pāḷiyā sumedhapaṇḍitena assamapaṇṇasālācaṅkamā sahatthā māpitā viya vuttā. Ayaṃ panettha attho – mahāsattaṃ ‘‘himavantaṃ ajjhogāhetvā ajja dhammikaṃ pabbataṃ pavisissāmī’’ti nikkhantaṃ disvā sakko devānamindo vissakammadevaputtaṃ āmantesi – ‘‘tāta, ayaṃ sumedhapaṇḍito pabbajissāmīti nikkhanto, etassa vasanaṭṭhānaṃ māpehī’’ti. So tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā ramaṇīyaṃ assamaṃ, suguttaṃ paṇṇasālaṃ, manoramaṃ caṅkamañca māpesi. Bhagavā pana tadā attano puññānubhāvena nipphannaṃ taṃ assamapadaṃ sandhāya sāriputta, tasmiṃ dhammikapabbate –

    ‘‘อสฺสโม สุกโต มยฺหํ, ปณฺณสาลา สุมาปิตา;

    ‘‘Assamo sukato mayhaṃ, paṇṇasālā sumāpitā;

    จงฺกมํ ตตฺถ มาเปสิํ, ปญฺจโทสวิวชฺชิต’’นฺติฯ –

    Caṅkamaṃ tattha māpesiṃ, pañcadosavivajjita’’nti. –

    อาห ฯ ตตฺถ สุกโต มยฺหนฺติ สุกโต มยาฯ ปณฺณสาลา สุมาปิตาติ ปณฺณจฺฉทนสาลาปิ เม สุมาปิตา อโหสิฯ

    Āha . Tattha sukato mayhanti sukato mayā. Paṇṇasālā sumāpitāti paṇṇacchadanasālāpi me sumāpitā ahosi.

    ปญฺจโทสวิวชฺชิตนฺติ ปญฺจิเม จงฺกมโทสา นาม – ถทฺธวิสมตา, อโนฺตรุกฺขตา, คหนจฺฉนฺนตา, อติสมฺพาธตา, อติวิสาลตาติฯ ถทฺธวิสมภูมิภาคสฺมิญฺหิ จงฺกเม จงฺกมนฺตสฺส ปาทา รุชฺชนฺติ, โผฎา อุฎฺฐหนฺติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ น ลภติ, กมฺมฎฺฐานํ วิปชฺชติฯ มุทุสมตเล ปน ผาสุวิหารํ อาคมฺม กมฺมฎฺฐานํ สมฺปชฺชติฯ ตสฺมา ถทฺธวิสมภูมิภาคตา เอโก โทโสติ เวทิตโพฺพฯ จงฺกมสฺส อโนฺต วา มเชฺฌ วา โกฎิยํ วา รุเกฺข สติ ปมาทมาคมฺม จงฺกมนฺตสฺส นลาฎํ วา สีสํ วา ปฎิหญฺญตีติ อโนฺตรุกฺขตา ทุติโย โทโสฯ ติณลตาทิคหนจฺฉเนฺน จงฺกเม จงฺกมโนฺต อนฺธการเวลายํ อุรคาทิเก ปาเณ อกฺกมิตฺวา วา มาเรติ, เตหิ วา ทโฎฺฐ ทุกฺขํ อาปชฺชตีติ คหนจฺฉนฺนตา ตติโย โทโสฯ อติสมฺพาเธ จงฺกเม วิตฺถารโต รตนิเก วา อฑฺฒรตนิเก วา จงฺกมนฺตสฺส ปริเจฺฉเท ปกฺขลิตฺวา นขาปิ องฺคุลิโยปิ ภิชฺชนฺตีติ อติสมฺพาธตา จตุโตฺถ โทโสฯ อติวิสาเล จงฺกเม จงฺกมนฺตสฺส จิตฺตํ วิธาวติ, เอกคฺคตํ น ลภตีติ อติวิสาลตา ปญฺจโม โทโสฯ ปุถุลโต ปน ทิยฑฺฒรตนํ ทฺวีสุ ปเสฺสสุ รตนมตฺตอนุจงฺกมํ ทีฆโต สฎฺฐิหตฺถํ มุทุตลํ สมวิปฺปกิณฺณวาลุกํ จงฺกมํ วฎฺฎติ เจติยคิริมฺหิ ทีปปฺปสาทกมหินฺทเตฺถรสฺส จงฺกมนํ วิย, ตาทิสํ ตํ อโหสิฯ เตนาห ‘‘จงฺกมํ ตตฺถ มาเปสิํ, ปญฺจโทสวิวชฺชิต’’นฺติฯ

    Pañcadosavivajjitanti pañcime caṅkamadosā nāma – thaddhavisamatā, antorukkhatā, gahanacchannatā, atisambādhatā, ativisālatāti. Thaddhavisamabhūmibhāgasmiñhi caṅkame caṅkamantassa pādā rujjanti, phoṭā uṭṭhahanti, cittaṃ ekaggaṃ na labhati, kammaṭṭhānaṃ vipajjati. Mudusamatale pana phāsuvihāraṃ āgamma kammaṭṭhānaṃ sampajjati. Tasmā thaddhavisamabhūmibhāgatā eko dosoti veditabbo. Caṅkamassa anto vā majjhe vā koṭiyaṃ vā rukkhe sati pamādamāgamma caṅkamantassa nalāṭaṃ vā sīsaṃ vā paṭihaññatīti antorukkhatā dutiyo doso. Tiṇalatādigahanacchanne caṅkame caṅkamanto andhakāravelāyaṃ uragādike pāṇe akkamitvā vā māreti, tehi vā daṭṭho dukkhaṃ āpajjatīti gahanacchannatā tatiyo doso. Atisambādhe caṅkame vitthārato ratanike vā aḍḍharatanike vā caṅkamantassa paricchede pakkhalitvā nakhāpi aṅguliyopi bhijjantīti atisambādhatā catuttho doso. Ativisāle caṅkame caṅkamantassa cittaṃ vidhāvati, ekaggataṃ na labhatīti ativisālatā pañcamo doso. Puthulato pana diyaḍḍharatanaṃ dvīsu passesu ratanamattaanucaṅkamaṃ dīghato saṭṭhihatthaṃ mudutalaṃ samavippakiṇṇavālukaṃ caṅkamaṃ vaṭṭati cetiyagirimhi dīpappasādakamahindattherassa caṅkamanaṃ viya, tādisaṃ taṃ ahosi. Tenāha ‘‘caṅkamaṃ tattha māpesiṃ, pañcadosavivajjita’’nti.

    อฎฺฐคุณสมุเปตนฺติ อฎฺฐหิ สมณสุเขหิ อุเปตํฯ อฎฺฐิมานิ สมณสุขานิ นาม – ธนธญฺญปริคฺคหาภาโว, อนวชฺชปิณฺฑปาตปริเยสนภาโว, นิพฺพุตปิณฺฑปาตภุญฺชนภาโว, รฎฺฐํ ปีเฬตฺวา ธนสารํ วา สีสกหาปณาทีนิ วา คณฺหเนฺตสุ ราชกุเลสุ รฎฺฐปีฬนกิเลสาภาโว, อุปกรเณสุ นิจฺฉนฺทราคภาโว, โจรวิโลเป นิพฺภยภาโว, ราชราชมหามเตฺตหิ อสํสฎฺฐภาโว, จตูสุ ทิสาสุ อปฺปฎิหตภาโวติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา ตสฺมิํ อสฺสเม วสเนฺตน สกฺกา โหนฺติ อิมานิ อฎฺฐ สมณสุขานิ วินฺทิตุํ, เอวํ อฎฺฐคุณสมุเปตํ ตํ อสฺสมํ มาเปสินฺติฯ

    Aṭṭhaguṇasamupetanti aṭṭhahi samaṇasukhehi upetaṃ. Aṭṭhimāni samaṇasukhāni nāma – dhanadhaññapariggahābhāvo, anavajjapiṇḍapātapariyesanabhāvo, nibbutapiṇḍapātabhuñjanabhāvo, raṭṭhaṃ pīḷetvā dhanasāraṃ vā sīsakahāpaṇādīni vā gaṇhantesu rājakulesu raṭṭhapīḷanakilesābhāvo, upakaraṇesu nicchandarāgabhāvo, coravilope nibbhayabhāvo, rājarājamahāmattehi asaṃsaṭṭhabhāvo, catūsu disāsu appaṭihatabhāvoti. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā tasmiṃ assame vasantena sakkā honti imāni aṭṭha samaṇasukhāni vindituṃ, evaṃ aṭṭhaguṇasamupetaṃ taṃ assamaṃ māpesinti.

    อภิญฺญาพลมาหรินฺติ ปจฺฉา ตสฺมิํ อสฺสเม วสโนฺต กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อภิญฺญานํ สมาปตฺตีนญฺจ อุปฺปาทนตฺถาย อนิจฺจโต ทุกฺขโต วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ถามปฺปตฺตํ วิปสฺสนาพลํ อาหริํฯ ยถา ตสฺมิํ วสโนฺต ตํ พลํ อาหริตุํ สโกฺกมิ, เอวํ ตํ อสฺสมํ ตสฺส อภิญฺญตฺถาย วิปสฺสนาพลสฺส อนุจฺฉวิกํ กตฺวา มาเปสินฺติ อโตฺถฯ

    Abhiññābalamāharinti pacchā tasmiṃ assame vasanto kasiṇaparikammaṃ katvā abhiññānaṃ samāpattīnañca uppādanatthāya aniccato dukkhato vipassanaṃ ārabhitvā thāmappattaṃ vipassanābalaṃ āhariṃ. Yathā tasmiṃ vasanto taṃ balaṃ āharituṃ sakkomi, evaṃ taṃ assamaṃ tassa abhiññatthāya vipassanābalassa anucchavikaṃ katvā māpesinti attho.

    สาฎกํ ปชหิํ ตตฺถ, นวโทสมุปาคตนฺติ เอตฺถายํ อนุปุพฺพิกถา – ตทา กิร กุฎิเลณจงฺกมาทิปฎิมณฺฑิตํ ปุปฺผูปคผลูปครุกฺขสญฺฉนฺนํ รมณียํ มธุรสลิลาสยํ อปคตวาฬมิคภิํสนกสกุณํ ปวิเวกกฺขมํ อสฺสมํ มาเปตฺวา อลงฺกตจงฺกมสฺส อุโภสุ อเนฺตสุ อาลมฺพนผลกํ สํวิธาย นิสีทนตฺถาย จงฺกมเวมเชฺฌ สมตลํ มุคฺควณฺณสิลํ มาเปตฺวา อโนฺตปณฺณสาลายํ ชฎามณฺฑลวากจีรติทณฺฑกุณฺฑิกาทิเก ตาปสปริกฺขาเร, มณฺฑเป ปานียฆฎปานียสงฺขปานียสราวานิ, อคฺคิสาลายํ องฺคารกปลฺลทารุอาทีนีติ เอวํ ยํ ยํ ปพฺพชิตานํ อุปการาย สํวตฺตติ, ตํ ตํ สพฺพํ มาเปตฺวา ปณฺณสาลาย ภิตฺติยํ ‘‘เย เกจิ ปพฺพชิตุกามา อิเม ปริกฺขาเร คเหตฺวา ปพฺพชนฺตู’’ติ อกฺขรานิ ฉินฺทิตฺวา เทวโลกเมว คเต วิสฺสกมฺมเทวปุเตฺต สุเมธปณฺฑิโต หิมวนฺตปพฺพตปาเท คิริกนฺทรานุสาเรน อตฺตโน นิวาสานุรูปํ ผาสุกฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต นทีนิวตฺตเน วิสฺสกมฺมนิมฺมิตํ สกฺกทตฺติยํ รมณียํ อสฺสมํ ทิสฺวา จงฺกมนโกฎิํ คนฺตฺวา ปทวลญฺชํ อปสฺสโนฺต ‘‘ธุวํ ปพฺพชิตา ธุรคาเม ภิกฺขํ ปริเยสิตฺวา กิลนฺตรูปา อาคนฺตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา นิสินฺนา ภวิสฺสนฺตี’’ติ จิเนฺตตฺวา โถกํ อาคเมตฺวา ‘‘อติวิย จิรายนฺติ, ชานิสฺสามี’’ติ ปณฺณาสาลากุฎิทฺวารํ วิวริตฺวา อโนฺต ปวิสิตฺวา อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต มหาภิตฺติยํ อกฺขรานิ วาเจตฺวา ‘‘มยฺหํ กปฺปิยปริกฺขารา เอเต, อิเม คเหตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อตฺตโน นิวตฺถปารุตํ สาฎกยุคํ ปชหิฯ เตนาห ‘‘สาฎกํ ปชหิํ ตตฺถา’’ติฯ เอวํ ปวิโฎฺฐ อหํ, สาริปุตฺต, ตสฺสํ ปณฺณสาลายํ สาฎกํ ปชหิํฯ

    Sāṭakaṃpajahiṃ tattha, navadosamupāgatanti etthāyaṃ anupubbikathā – tadā kira kuṭileṇacaṅkamādipaṭimaṇḍitaṃ pupphūpagaphalūpagarukkhasañchannaṃ ramaṇīyaṃ madhurasalilāsayaṃ apagatavāḷamigabhiṃsanakasakuṇaṃ pavivekakkhamaṃ assamaṃ māpetvā alaṅkatacaṅkamassa ubhosu antesu ālambanaphalakaṃ saṃvidhāya nisīdanatthāya caṅkamavemajjhe samatalaṃ muggavaṇṇasilaṃ māpetvā antopaṇṇasālāyaṃ jaṭāmaṇḍalavākacīratidaṇḍakuṇḍikādike tāpasaparikkhāre, maṇḍape pānīyaghaṭapānīyasaṅkhapānīyasarāvāni, aggisālāyaṃ aṅgārakapalladāruādīnīti evaṃ yaṃ yaṃ pabbajitānaṃ upakārāya saṃvattati, taṃ taṃ sabbaṃ māpetvā paṇṇasālāya bhittiyaṃ ‘‘ye keci pabbajitukāmā ime parikkhāre gahetvā pabbajantū’’ti akkharāni chinditvā devalokameva gate vissakammadevaputte sumedhapaṇḍito himavantapabbatapāde girikandarānusārena attano nivāsānurūpaṃ phāsukaṭṭhānaṃ olokento nadīnivattane vissakammanimmitaṃ sakkadattiyaṃ ramaṇīyaṃ assamaṃ disvā caṅkamanakoṭiṃ gantvā padavalañjaṃ apassanto ‘‘dhuvaṃ pabbajitā dhuragāme bhikkhaṃ pariyesitvā kilantarūpā āgantvā paṇṇasālaṃ pavisitvā nisinnā bhavissantī’’ti cintetvā thokaṃ āgametvā ‘‘ativiya cirāyanti, jānissāmī’’ti paṇṇāsālākuṭidvāraṃ vivaritvā anto pavisitvā ito cito ca olokento mahābhittiyaṃ akkharāni vācetvā ‘‘mayhaṃ kappiyaparikkhārā ete, ime gahetvā pabbajissāmī’’ti attano nivatthapārutaṃ sāṭakayugaṃ pajahi. Tenāha ‘‘sāṭakaṃ pajahiṃ tatthā’’ti. Evaṃ paviṭṭho ahaṃ, sāriputta, tassaṃ paṇṇasālāyaṃ sāṭakaṃ pajahiṃ.

    นวโทสมุปาคตนฺติ สาฎกํ ปชหโนฺต นว โทเส ทิสฺวา ปชหินฺติ ทีเปติฯ ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตานญฺหิ สาฎกสฺมิํ นว โทสา อุปฎฺฐหนฺติฯ เตสุ ตสฺส มหคฺฆภาโว เอโก โทโส, ปรปฎิพทฺธตาย อุปฺปชฺชนภาโว เอโก, ปริโภเคน ลหุํ กิลิสฺสนภาโว เอโกฯ กิลิโฎฺฐ หิ โธวิตโพฺพ จ รชิตโพฺพ จ โหติฯ ปริโภเคน ชีรณภาโว เอโกฯ ชิณฺณสฺส หิ ตุนฺนํ วา อคฺคฬทานํ วา กาตพฺพํ โหติ ฯ ปุน ปริเยสนาย ทุรภิสมฺภวภาโว เอโก, ตาปสปพฺพชฺชาย อสารุปฺปภาโว เอโก, ปจฺจตฺถิกานํ สาธารณภาโว เอโกฯ ยถา หิ นํ ปจฺจตฺถิกา น คณฺหนฺติ, เอวํ โคเปตโพฺพ โหติฯ ปริภุญฺชนฺตสฺส วิภูสนฎฺฐานภาโว เอโก, คเหตฺวา วิจรนฺตสฺส ขนฺธภารมหิจฺฉภาโว เอโกติฯ

    Navadosamupāgatanti sāṭakaṃ pajahanto nava dose disvā pajahinti dīpeti. Tāpasapabbajjaṃ pabbajitānañhi sāṭakasmiṃ nava dosā upaṭṭhahanti. Tesu tassa mahagghabhāvo eko doso, parapaṭibaddhatāya uppajjanabhāvo eko, paribhogena lahuṃ kilissanabhāvo eko. Kiliṭṭho hi dhovitabbo ca rajitabbo ca hoti. Paribhogena jīraṇabhāvo eko. Jiṇṇassa hi tunnaṃ vā aggaḷadānaṃ vā kātabbaṃ hoti . Puna pariyesanāya durabhisambhavabhāvo eko, tāpasapabbajjāya asāruppabhāvo eko, paccatthikānaṃ sādhāraṇabhāvo eko. Yathā hi naṃ paccatthikā na gaṇhanti, evaṃ gopetabbo hoti. Paribhuñjantassa vibhūsanaṭṭhānabhāvo eko, gahetvā vicarantassa khandhabhāramahicchabhāvo ekoti.

    วากจีรํ นิวาเสสินฺติ ตทาหํ, สาริปุตฺต, อิเม นว โทเส ทิสฺวา สาฎกํ ปหาย วากจีรํ นิวาเสสิํ, มุญฺชติณํ หีรํ หีรํ กตฺวา คเนฺถตฺวา กตวากจีรํ นิวาสนปารุปนตฺถาย อาทิยินฺติ อโตฺถฯ

    Vākacīraṃ nivāsesinti tadāhaṃ, sāriputta, ime nava dose disvā sāṭakaṃ pahāya vākacīraṃ nivāsesiṃ, muñjatiṇaṃ hīraṃ hīraṃ katvā ganthetvā katavākacīraṃ nivāsanapārupanatthāya ādiyinti attho.

    ทฺวาทสคุณมุปาคตนฺติ ทฺวาทสหิ อานิสํเสหิ สมนฺนาคตํฯ วากจีรสฺมิญฺหิ ทฺวาทส อานิสํสา – อปฺปคฺฆํ สุนฺทรํ กปฺปิยนฺติ อยํ ตาว เอโก อานิสํโส, สหตฺถา กาตุํ สกฺกาติ อยํ ทุติโย, ปริโภเคน สณิกํ กิลิสฺสติ, โธวิยมาเนปิ ปปโญฺจ นตฺถีติ อยํ ตติโย, ปริโภเคน ชิเณฺณปิ สิพฺพิตพฺพาภาโว จตุโตฺถ, ปุน ปริเยสนฺตสฺส สุเขน กรณภาโว ปญฺจโม, ตาปสปพฺพชฺชาย สารุปฺปภาโว ฉโฎฺฐ, ปจฺจตฺถิกานํ นิรุปโภคภาโว สตฺตโม, ปริภุญฺชนฺตสฺส วิภูสนฎฺฐานาภาโว อฎฺฐโม, ธารเณ สลฺลหุกภาโว นวโม, จีวรปจฺจเย อปฺปิจฺฉภาโว ทสโม, วากุปฺปตฺติยา ธมฺมิกอนวชฺชภาโว เอกาทสโม, วากจีเร นเฎฺฐปิ อนเปกฺขภาโว ทฺวาทสโมติฯ

    Dvādasaguṇamupāgatanti dvādasahi ānisaṃsehi samannāgataṃ. Vākacīrasmiñhi dvādasa ānisaṃsā – appagghaṃ sundaraṃ kappiyanti ayaṃ tāva eko ānisaṃso, sahatthā kātuṃ sakkāti ayaṃ dutiyo, paribhogena saṇikaṃ kilissati, dhoviyamānepi papañco natthīti ayaṃ tatiyo, paribhogena jiṇṇepi sibbitabbābhāvo catuttho, puna pariyesantassa sukhena karaṇabhāvo pañcamo, tāpasapabbajjāya sāruppabhāvo chaṭṭho, paccatthikānaṃ nirupabhogabhāvo sattamo, paribhuñjantassa vibhūsanaṭṭhānābhāvo aṭṭhamo, dhāraṇe sallahukabhāvo navamo, cīvarapaccaye appicchabhāvo dasamo, vākuppattiyā dhammikaanavajjabhāvo ekādasamo, vākacīre naṭṭhepi anapekkhabhāvo dvādasamoti.

    อฎฺฐโทสสมากิณฺณํ, ปชหิํ ปณฺณสาลกนฺติฯ กถํ ปชหิ? โส กิร วรสาฎกยุคํ โอมุญฺจิตฺวา จีวรวํเส ลคฺคิตํ อโนชปุปฺผทามสทิสํ รตฺตํ วากจีรํ คเหตฺวา นิวาเสตฺวา, ตสฺสูปริ อปรํ สุวณฺณวณฺณํ วากจีรํ ปริทหิตฺวา, ปุนฺนาคปุปฺผสนฺถรสทิสํ สขุรํ อชินจมฺมํ เอกํสํ กตฺวา ชฎามณฺฑลํ ปฎิมุญฺจิตฺวา จูฬาย สทฺธิํ นิจฺจลภาวกรณตฺถํ สารสูจิํ ปเวเสตฺวา มุตฺตชาลสทิสาย สิกฺกาย ปวาฬวณฺณํ กุณฺฑิกํ โอทหิตฺวา ตีสุ ฐาเนสุ วงฺกกาชํ อาทาย เอกิสฺสา กาชโกฎิยา กุณฺฑิกํ, เอกิสฺสา องฺกุสปจฺฉิติทณฺฑกาทีนิ โอลเคฺคตฺวา ขาริภารํ อํเส กตฺวา, ทกฺขิเณน หเตฺถน กตฺตรทณฺฑํ คเหตฺวา ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา สฎฺฐิหเตฺถ มหาจงฺกเม อปราปรํ จงฺกมโนฺต อตฺตโน เวสํ โอโลเกตฺวา – ‘‘มยฺหํ มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต, โสภติ วต เม ปพฺพชฺชา, พุทฺธปเจฺจกพุทฺธาทีหิ สเพฺพหิ ธีรปุริเสหิ วณฺณิตา โถมิตา อยํ ปพฺพชฺชา นาม, ปหีนํ เม คิหิพนฺธนํ, นิกฺขโนฺตสฺมิ เนกฺขมฺมํ, ลทฺธา เม อุตฺตมปพฺพชฺชา, กริสฺสามิ สมณธมฺมํ, ลภิสฺสามิ มคฺคผลสุข’’นฺติ อุสฺสาหชาโต ขาริกาชํ โอตาเรตฺวา จงฺกมเวมเชฺฌ มุคฺควณฺณสิลาปเฎฺฎ สุวณฺณปฎิมา วิย นิสิโนฺน ทิวสภาคํ วีตินาเมตฺวา สายนฺหสมยํ ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา, พิทลมญฺจกปเสฺส กฎฺฐตฺถริกาย นิปโนฺน สรีรํ อุตุํ คาหาเปตฺวา, พลวปจฺจูเส ปพุชฺฌิตฺวา อตฺตโน อาคมนํ อาวเชฺชสิ ‘‘อหํ ฆราวาเส อาทีนวํ ทิสฺวา อมิตโภคํ อนนฺตยสํ ปหาย อรญฺญํ ปวิสิตฺวา เนกฺขมฺมคเวสโก หุตฺวา ปพฺพชิโต, อิโต ทานิ ปฎฺฐาย ปมาทจารํ จริตุํ น วฎฺฎติฯ

    Aṭṭhadosasamākiṇṇaṃ, pajahiṃ paṇṇasālakanti. Kathaṃ pajahi? So kira varasāṭakayugaṃ omuñcitvā cīvaravaṃse laggitaṃ anojapupphadāmasadisaṃ rattaṃ vākacīraṃ gahetvā nivāsetvā, tassūpari aparaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ vākacīraṃ paridahitvā, punnāgapupphasantharasadisaṃ sakhuraṃ ajinacammaṃ ekaṃsaṃ katvā jaṭāmaṇḍalaṃ paṭimuñcitvā cūḷāya saddhiṃ niccalabhāvakaraṇatthaṃ sārasūciṃ pavesetvā muttajālasadisāya sikkāya pavāḷavaṇṇaṃ kuṇḍikaṃ odahitvā tīsu ṭhānesu vaṅkakājaṃ ādāya ekissā kājakoṭiyā kuṇḍikaṃ, ekissā aṅkusapacchitidaṇḍakādīni olaggetvā khāribhāraṃ aṃse katvā, dakkhiṇena hatthena kattaradaṇḍaṃ gahetvā paṇṇasālato nikkhamitvā saṭṭhihatthe mahācaṅkame aparāparaṃ caṅkamanto attano vesaṃ oloketvā – ‘‘mayhaṃ manoratho matthakaṃ patto, sobhati vata me pabbajjā, buddhapaccekabuddhādīhi sabbehi dhīrapurisehi vaṇṇitā thomitā ayaṃ pabbajjā nāma, pahīnaṃ me gihibandhanaṃ, nikkhantosmi nekkhammaṃ, laddhā me uttamapabbajjā, karissāmi samaṇadhammaṃ, labhissāmi maggaphalasukha’’nti ussāhajāto khārikājaṃ otāretvā caṅkamavemajjhe muggavaṇṇasilāpaṭṭe suvaṇṇapaṭimā viya nisinno divasabhāgaṃ vītināmetvā sāyanhasamayaṃ paṇṇasālaṃ pavisitvā, bidalamañcakapasse kaṭṭhattharikāya nipanno sarīraṃ utuṃ gāhāpetvā, balavapaccūse pabujjhitvā attano āgamanaṃ āvajjesi ‘‘ahaṃ gharāvāse ādīnavaṃ disvā amitabhogaṃ anantayasaṃ pahāya araññaṃ pavisitvā nekkhammagavesako hutvā pabbajito, ito dāni paṭṭhāya pamādacāraṃ carituṃ na vaṭṭati.

    ปวิเวกญฺหิ ปหาย วิจรนฺตํ มิจฺฉาวิตกฺกมกฺขิกา ขาทนฺติ, อิทานิ มยา วิเวกมนุพฺรูเหตุํ วฎฺฎติฯ อหญฺหิ ฆราวาสํ ปลิโพธโต ทิสฺวา นิกฺขโนฺต, อยญฺจ มนาปา ปณฺณสาลา, เพลุวปกฺกวณฺณปริภณฺฑกตา ภูมิ, รชตวณฺณา เสตภิตฺติโย, กโปตปาทวณฺณํ ปณฺณจฺฉทนํ , วิจิตฺตตฺถรณวโณฺณ พิทลมญฺจโก, นิวาสผาสุกํ วสนฎฺฐานํ, น เอโตฺต อติเรกตรา วิย เม เคหสมฺปทา ปญฺญายตี’’ติ ปณฺณสาลาย โทเส วิจินโนฺต อฎฺฐ โทเส ปสฺสิฯ

    Pavivekañhi pahāya vicarantaṃ micchāvitakkamakkhikā khādanti, idāni mayā vivekamanubrūhetuṃ vaṭṭati. Ahañhi gharāvāsaṃ palibodhato disvā nikkhanto, ayañca manāpā paṇṇasālā, beluvapakkavaṇṇaparibhaṇḍakatā bhūmi, rajatavaṇṇā setabhittiyo, kapotapādavaṇṇaṃ paṇṇacchadanaṃ , vicittattharaṇavaṇṇo bidalamañcako, nivāsaphāsukaṃ vasanaṭṭhānaṃ, na etto atirekatarā viya me gehasampadā paññāyatī’’ti paṇṇasālāya dose vicinanto aṭṭha dose passi.

    ปณฺณสาลาปริโภคสฺมิญฺหิ อฎฺฐ อาทีนวา – มหาสมารเมฺภน ทพฺพสมฺภาเร สโมธาเนตฺวา กรณปริเยสนภาโว เอโก อาทีนโว, ติณปณฺณมตฺติกาสุ ปติตาสุ ตาสํ ปุนปฺปุนํ ฐเปตพฺพตาย นิพนฺธชคฺคนภาโว ทุติโย, เสนาสนํ นาม มหลฺลกสฺส ปาปุณาติ, อเวลาย วุฎฺฐาปิยมานสฺส จิเตฺตกคฺคตา น โหตีติ อุฎฺฐาปนิยภาโว ตติโย, สีตุณฺหปฎิฆาเตน กายสฺส สุขุมาลกรณภาโว จตุโตฺถ, เคหํ ปวิเฎฺฐน ยํกิญฺจิ ปาปํ สกฺกา กาตุนฺติ ครหาปฎิจฺฉาทนภาโว ปญฺจโม, ‘‘มยฺห’’นฺติ ปริคฺคหกรณภาโว ฉโฎฺฐ, เคหสฺส อตฺถิภาโว นาม สทุติยกวาโสติ สตฺตโม, อูกามงฺคุลฆรโคฬิกาทีนํ สาธารณตาย พหุสาธารณภาโว อฎฺฐโมฯ อิติ อิเม อฎฺฐ อาทีนเว ทิสฺวา มหาสโตฺต ปณฺณสาลํ ปชติฯ เตนาห ‘‘อฎฺฐโทสสมากิณฺณํ, ปชหิํ ปณฺณสาลก’’นฺติฯ

    Paṇṇasālāparibhogasmiñhi aṭṭha ādīnavā – mahāsamārambhena dabbasambhāre samodhānetvā karaṇapariyesanabhāvo eko ādīnavo, tiṇapaṇṇamattikāsu patitāsu tāsaṃ punappunaṃ ṭhapetabbatāya nibandhajagganabhāvo dutiyo, senāsanaṃ nāma mahallakassa pāpuṇāti, avelāya vuṭṭhāpiyamānassa cittekaggatā na hotīti uṭṭhāpaniyabhāvo tatiyo, sītuṇhapaṭighātena kāyassa sukhumālakaraṇabhāvo catuttho, gehaṃ paviṭṭhena yaṃkiñci pāpaṃ sakkā kātunti garahāpaṭicchādanabhāvo pañcamo, ‘‘mayha’’nti pariggahakaraṇabhāvo chaṭṭho, gehassa atthibhāvo nāma sadutiyakavāsoti sattamo, ūkāmaṅgulagharagoḷikādīnaṃ sādhāraṇatāya bahusādhāraṇabhāvo aṭṭhamo. Iti ime aṭṭha ādīnave disvā mahāsatto paṇṇasālaṃ pajati. Tenāha ‘‘aṭṭhadosasamākiṇṇaṃ, pajahiṃ paṇṇasālaka’’nti.

    อุปาคมิํ รุกฺขมูลํ, คุเณ ทสหุปาคตนฺติ ฉนฺนํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ทสหิ คุเณหิ อุเปตํ รุกฺขมูลํ อุปคโตสฺมีติ วทติฯ ตตฺริเม ทส คุณา – อปฺปสมารมฺภตา เอโก คุโณ, อุปคมนมตฺตกเมว หิ ตตฺถ โหติ; อปฎิชคฺคนตา ทุติโย, ตญฺหิ สมฺมฎฺฐมฺปิ อสมฺมฎฺฐมฺปิ ปริโภคผาสุกํ โหติเยวฯ อนุฎฺฐาปริยภาโว ตติโย, ครหํ นปฺปฎิจฺฉาเทติ; ตตฺถ หิ ปาปํ กโรโนฺต ลชฺชตีติ ครหาย อปฺปฎิจฺฉนฺนภาโว จตุโตฺถ; อโพฺภกาสวาโส วิย กายํ น สนฺถเมฺภตีติ กายสฺส อสนฺถมฺภนภาโว ปญฺจโม; ปริคฺคหกรณาภาโว ฉโฎฺฐ; เคหาลยปฎิเกฺขโป สตฺตโม; พหุสาธารณเคเห วิย ‘‘ปฎิชคฺคิสฺสามิ นํ, นิกฺขมถา’’ติ นีหรณกาภาโว อฎฺฐโม; วสนฺตสฺส สปฺปีติกภาโว นวโม; รุกฺขมูลเสนาสนสฺส คตคตฎฺฐาเน สุลภตาย อนเปกฺขภาโว ทสโมติ อิเม ทส คุเณ ทิสฺวา รุกฺขมูลํ อุปาคโตสฺมีติ วทติฯ

    Upāgamiṃ rukkhamūlaṃ, guṇe dasahupāgatanti channaṃ paṭikkhipitvā dasahi guṇehi upetaṃ rukkhamūlaṃ upagatosmīti vadati. Tatrime dasa guṇā – appasamārambhatā eko guṇo, upagamanamattakameva hi tattha hoti; apaṭijagganatā dutiyo, tañhi sammaṭṭhampi asammaṭṭhampi paribhogaphāsukaṃ hotiyeva. Anuṭṭhāpariyabhāvo tatiyo, garahaṃ nappaṭicchādeti; tattha hi pāpaṃ karonto lajjatīti garahāya appaṭicchannabhāvo catuttho; abbhokāsavāso viya kāyaṃ na santhambhetīti kāyassa asanthambhanabhāvo pañcamo; pariggahakaraṇābhāvo chaṭṭho; gehālayapaṭikkhepo sattamo; bahusādhāraṇagehe viya ‘‘paṭijaggissāmi naṃ, nikkhamathā’’ti nīharaṇakābhāvo aṭṭhamo; vasantassa sappītikabhāvo navamo; rukkhamūlasenāsanassa gatagataṭṭhāne sulabhatāya anapekkhabhāvo dasamoti ime dasa guṇe disvā rukkhamūlaṃ upāgatosmīti vadati.

    อิมานิ เอตฺตกานิ การณานิ สลฺลเกฺขตฺวา มหาสโตฺต ปุนทิวเส ภิกฺขาย คามํ ปาวิสิฯ อถสฺส สมฺปตฺตคาเม มนุสฺสา มหเนฺตน อุสฺสาเหน ภิกฺขํ อทํสุฯ โส ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา อสฺสมํ อาคมฺม นิสีทิตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘นาหํ อาหารํ น ลภามีติ ปพฺพชิโต, สินิทฺธาหาโร นาเมส มานมทปุริสมเท วเฑฺฒติ, อาหารมูลกสฺส จ ทุกฺขสฺส อโนฺต นตฺถิฯ ยํนูนาหํ วาปิตโรปิตธญฺญนิพฺพตฺตํ อาหารํ ปชหิตฺวา ปวตฺตผลโภชโน ภเวยฺย’’นฺติฯ โส ตโต ฎฺฐาย ตถา กตฺวา ฆเฎโนฺต วายมโนฺต สตฺตาหพฺภนฺตเรเยว อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจ อภิญฺญาโย จ นิพฺพเตฺตสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Imāni ettakāni kāraṇāni sallakkhetvā mahāsatto punadivase bhikkhāya gāmaṃ pāvisi. Athassa sampattagāme manussā mahantena ussāhena bhikkhaṃ adaṃsu. So bhattakiccaṃ niṭṭhāpetvā assamaṃ āgamma nisīditvā cintesi ‘‘nāhaṃ āhāraṃ na labhāmīti pabbajito, siniddhāhāro nāmesa mānamadapurisamade vaḍḍheti, āhāramūlakassa ca dukkhassa anto natthi. Yaṃnūnāhaṃ vāpitaropitadhaññanibbattaṃ āhāraṃ pajahitvā pavattaphalabhojano bhaveyya’’nti. So tato ṭṭhāya tathā katvā ghaṭento vāyamanto sattāhabbhantareyeva aṭṭha samāpattiyo pañca abhiññāyo ca nibbattesi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘วาปิตํ โรปิตํ ธญฺญํ, ปชหิํ นิรวเสสโต;

    ‘‘Vāpitaṃ ropitaṃ dhaññaṃ, pajahiṃ niravasesato;

    อเนกคุณสมฺปนฺนํ, ปวตฺตผลมาทิยิํฯ

    Anekaguṇasampannaṃ, pavattaphalamādiyiṃ.

    ‘‘ตตฺถปฺปธานํ ปทหิํ, นิสชฺชฎฺฐานจงฺกเม;

    ‘‘Tatthappadhānaṃ padahiṃ, nisajjaṭṭhānacaṅkame;

    อพฺภนฺตรมฺหิ สตฺตาเห, อภิญฺญาพลปาปุณิ’’นฺติฯ

    Abbhantaramhi sattāhe, abhiññābalapāpuṇi’’nti.

    เอวํ อภิญฺญาพลํ ปตฺวา สุเมธตาปเส สมาปตฺติสุเขน วีตินาเมเนฺต ทีปงฺกโร นาม สตฺถา โลเก อุทปาทิฯ ตสฺส ปฎิสนฺธิชาติสโมฺพธิธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเนสุ สกลาปิ ทสสหสฺสี โลกธาตุ สํกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ, มหาวิรวํ วิรวิ, ทฺวตฺติํส ปุพฺพนิมิตฺตานิ ปาตุรเหสุํฯ สุเมธตาปโส สมาปตฺติสุเขน วีตินาเมโนฺต เนว ตํ สทฺทมโสฺสสิ, น ตานิ นิมิตฺตานิ อทฺทสฯ เตน วุตฺตํ –

    Evaṃ abhiññābalaṃ patvā sumedhatāpase samāpattisukhena vītināmente dīpaṅkaro nāma satthā loke udapādi. Tassa paṭisandhijātisambodhidhammacakkappavattanesu sakalāpi dasasahassī lokadhātu saṃkampi sampakampi sampavedhi, mahāviravaṃ viravi, dvattiṃsa pubbanimittāni pāturahesuṃ. Sumedhatāpaso samāpattisukhena vītināmento neva taṃ saddamassosi, na tāni nimittāni addasa. Tena vuttaṃ –

    ‘‘เอวํ เม สิทฺธิปฺปตฺตสฺส, วสีภูตสฺส สาสเน;

    ‘‘Evaṃ me siddhippattassa, vasībhūtassa sāsane;

    ทีปงฺกโร นาม ชิโน, อุปฺปชฺชิ โลกนายโกฯ

    Dīpaṅkaro nāma jino, uppajji lokanāyako.

    ‘‘อุปฺปชฺชเนฺต จ ชายเนฺต, พุชฺฌเนฺต ธมฺมเทสเน;

    ‘‘Uppajjante ca jāyante, bujjhante dhammadesane;

    จตุโร นิมิเตฺต นาทฺทสํ, ฌานรติสมปฺปิโต’’ติฯ

    Caturo nimitte nāddasaṃ, jhānaratisamappito’’ti.

    ตสฺมิํ กาเล ทีปงฺกรทสพโล จตูหิ ขีณาสวสตสหเสฺสหิ ปริวุโต อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน รมฺมํ นาม นครํ ปตฺวา สุทสฺสนมหาวิหาเร ปฎิวสติฯ รมฺมนครวาสิโน ‘‘ทีปงฺกโร กิร สมณิสฺสโร ปรมาติสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน รมฺมนครํ ปตฺวา สุทสฺสนมหาวิหาเร ปฎิวสตี’’ติ สุตฺวา สปฺปินวนีตาทีนิ เจว เภสชฺชานิ วตฺถจฺฉาทนานิ จ คาหาเปตฺวา คนฺธมาลาทิหตฺถา เยน พุโทฺธ, เยน ธโมฺม, เยน สโงฺฆ, ตนฺนินฺนา ตโปฺปณา ตปฺปพฺภารา หุตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกมิํสุฯ

    Tasmiṃ kāle dīpaṅkaradasabalo catūhi khīṇāsavasatasahassehi parivuto anupubbena cārikaṃ caramāno rammaṃ nāma nagaraṃ patvā sudassanamahāvihāre paṭivasati. Rammanagaravāsino ‘‘dīpaṅkaro kira samaṇissaro paramātisambodhiṃ patvā pavattavaradhammacakko anupubbena cārikaṃ caramāno rammanagaraṃ patvā sudassanamahāvihāre paṭivasatī’’ti sutvā sappinavanītādīni ceva bhesajjāni vatthacchādanāni ca gāhāpetvā gandhamālādihatthā yena buddho, yena dhammo, yena saṅgho, tanninnā tappoṇā tappabbhārā hutvā satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā gandhamālādīhi pūjetvā ekamantaṃ nisinnā dhammadesanaṃ sutvā svātanāya nimantetvā uṭṭhāyāsanā pakkamiṃsu.

    เต ปุนทิวเส มหาทานํ สเชฺชตฺวา นครํ อลงฺกริตฺวา ทสพลสฺส อาคมนมคฺคํ อลงฺกโรนฺตา อุทกภินฺนฎฺฐาเนสุ ปํสุํ ปกฺขิปิตฺวา สมํ ภูมิตลํ กตฺวา รชตปฎฺฎวณฺณํ วาลุกํ อากิรนฺติ, ลาชานิ เจว ปุปฺผานิ จ วิกิรนฺติ, นานาวิราเคหิ วเตฺถหิ ธชปฎาเก อุสฺสาเปนฺติ, กทลิโย เจว ปุณฺณฆฎปนฺติโย จ ปติฎฺฐาเปนฺติฯ ตสฺมิํ กาเล สุเมธตาปโส อตฺตโน อสฺสมปทา อุคฺคนฺตฺวา เตสํ มนุสฺสานํ อุปริภาเคน อากาเสน คจฺฉโนฺต เต หฎฺฐตุเฎฺฐ มนุเสฺส ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อากาสโต โอรุยฺห เอกมนฺตํ ฐิโต มนุเสฺส ปุจฺฉิ – ‘‘อโมฺภ กสฺส ตุเมฺห อิมํ มคฺคํ อลงฺกโรถา’’ติ? เตน วุตฺตํ –

    Te punadivase mahādānaṃ sajjetvā nagaraṃ alaṅkaritvā dasabalassa āgamanamaggaṃ alaṅkarontā udakabhinnaṭṭhānesu paṃsuṃ pakkhipitvā samaṃ bhūmitalaṃ katvā rajatapaṭṭavaṇṇaṃ vālukaṃ ākiranti, lājāni ceva pupphāni ca vikiranti, nānāvirāgehi vatthehi dhajapaṭāke ussāpenti, kadaliyo ceva puṇṇaghaṭapantiyo ca patiṭṭhāpenti. Tasmiṃ kāle sumedhatāpaso attano assamapadā uggantvā tesaṃ manussānaṃ uparibhāgena ākāsena gacchanto te haṭṭhatuṭṭhe manusse disvā ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti ākāsato oruyha ekamantaṃ ṭhito manusse pucchi – ‘‘ambho kassa tumhe imaṃ maggaṃ alaṅkarothā’’ti? Tena vuttaṃ –

    ‘‘ปจฺจนฺตเทสวิสเย, นิมเนฺตตฺวา ตถาคตํ;

    ‘‘Paccantadesavisaye, nimantetvā tathāgataṃ;

    ตสฺส อาคมนํ มคฺคํ, โสเธนฺติ ตุฎฺฐมานสาฯ

    Tassa āgamanaṃ maggaṃ, sodhenti tuṭṭhamānasā.

    ‘‘อหํ เตน สมเยน, นิกฺขมิตฺวา สกสฺสมา;

    ‘‘Ahaṃ tena samayena, nikkhamitvā sakassamā;

    ธุนโนฺต วากจีรานิ, คจฺฉามิ อมฺพเร ตทาฯ

    Dhunanto vākacīrāni, gacchāmi ambare tadā.

    ‘‘เวทชาตํ ชนํ ทิสฺวา, ตุฎฺฐหฎฺฐํ ปโมทิตํ;

    ‘‘Vedajātaṃ janaṃ disvā, tuṭṭhahaṭṭhaṃ pamoditaṃ;

    โอโรหิตฺวาน คคนา, มนุเสฺส ปุจฺฉิ ตาวเทฯ

    Orohitvāna gaganā, manusse pucchi tāvade.

    ‘‘‘ตุฎฺฐหโฎฺฐ ปมุทิโต, เวทชาโต มหาชโน;

    ‘‘‘Tuṭṭhahaṭṭho pamudito, vedajāto mahājano;

    กสฺส โสธียติ มโคฺค, อญฺชสํ วฎุมายน’’’นฺติฯ

    Kassa sodhīyati maggo, añjasaṃ vaṭumāyana’’’nti.

    มนุสฺสา อาหํสุ ‘‘ภเนฺต สุเมธ, น ตฺวํ ชานาสิ, ทีปงฺกรทสพโล สมฺมาสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก จาริกํ จรมาโน อมฺหากํ นครํ ปตฺวา สุทสฺสนมหาวิหาเร ปฎิวสติฯ มยํ ตํ ภควนฺตํ นิมนฺตยิมฺหา, ตเสฺสตํ พุทฺธสฺส ภควโต อาคมนมคฺคํ อลงฺกโรมา’’ติฯ สุเมธตาปโส จิเนฺตสิ – ‘‘พุโทฺธติ โข โฆสมตฺตกมฺปิ โลเก ทุลฺลภํ, ปเคว พุทฺธุปฺปาโท, มยาปิ อิเมหิ มนุเสฺสหิ สทฺธิํ ทสพลสฺส มคฺคํ อลงฺกริตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส เต มนุเสฺส อาห – ‘‘สเจ โภ ตุเมฺห เอตํ มคฺคํ พุทฺธสฺส อลงฺกโรถ, มยฺหมฺปิ เอกํ โอกาสํ เทถ, อหมฺปิ ตุเมฺหหิ สทฺธิํ มคฺคํ อลงฺกริสฺสามี’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘สุเมธตาปโส อิทฺธิมา’’ติ ชานนฺตา อุทกภิโนฺนกาสํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘ตฺวํ อิมํ ฐานํ อลงฺกโรหี’’ติ อทํสุฯ สุเมโธ พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อหํ อิมํ โอกาสํ อิทฺธิยา อลงฺกริตุํ สโกฺกมิ, เอวํ อลงฺกโต ปน มม มนํ น ปริโตเสสฺสติ, อชฺช มยา กายเวยฺยาวจฺจํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ ปํสุํ อาหริตฺวา ตสฺมิํ ปเทเส ปกฺขิปิฯ

    Manussā āhaṃsu ‘‘bhante sumedha, na tvaṃ jānāsi, dīpaṅkaradasabalo sammāsambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakko cārikaṃ caramāno amhākaṃ nagaraṃ patvā sudassanamahāvihāre paṭivasati. Mayaṃ taṃ bhagavantaṃ nimantayimhā, tassetaṃ buddhassa bhagavato āgamanamaggaṃ alaṅkaromā’’ti. Sumedhatāpaso cintesi – ‘‘buddhoti kho ghosamattakampi loke dullabhaṃ, pageva buddhuppādo, mayāpi imehi manussehi saddhiṃ dasabalassa maggaṃ alaṅkarituṃ vaṭṭatī’’ti. So te manusse āha – ‘‘sace bho tumhe etaṃ maggaṃ buddhassa alaṅkarotha, mayhampi ekaṃ okāsaṃ detha, ahampi tumhehi saddhiṃ maggaṃ alaṅkarissāmī’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ‘‘sumedhatāpaso iddhimā’’ti jānantā udakabhinnokāsaṃ sallakkhetvā ‘‘tvaṃ imaṃ ṭhānaṃ alaṅkarohī’’ti adaṃsu. Sumedho buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā cintesi ‘‘ahaṃ imaṃ okāsaṃ iddhiyā alaṅkarituṃ sakkomi, evaṃ alaṅkato pana mama manaṃ na paritosessati, ajja mayā kāyaveyyāvaccaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti paṃsuṃ āharitvā tasmiṃ padese pakkhipi.

    ตสฺส ตสฺมิํ ปเทเส อนลงฺกเตเยว ทีปงฺกโร ทสพโล มหานุภาวานํ ฉฬภิญฺญานํ ขีณาสวานํ จตูหิ สตสหเสฺสหิ ปริวุโต เทวตาสุ ทิพฺพคนฺธมาลาทีหิ ปูชยนฺตีสุ ทิพฺพสงฺคีเตสุ ปวตฺตเนฺตสุ มนุเสฺสสุ มานุสกคเนฺธหิ เจว มาลาทีหิ จ ปูชยเนฺตสุ อนนฺตาย พุทฺธลีฬาย มโนสิลาตเล วิชมฺภมาโน สีโห วิย ตํ อลงฺกตปฎิยตฺตํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ สุเมธตาปโส อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา อลงฺกตมเคฺคน อาคจฺฉนฺตสฺส ทสพลสฺส ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตํ อสีติยา อนุพฺยญฺชเนหิ อนุรญฺชิตํ พฺยามปฺปภาย สมฺปริวาริตํ มณิวณฺณคคนตเล นานปฺปการา วิชฺชุลตา วิย อาเวฬาเวฬภูตา เจว ยุคลยุคลภูตา จ ฉพฺพณฺณฆนพุทฺธรสฺมิโย วิสฺสเชฺชนฺตํ รูปคฺคปฺปตฺตํ อตฺตภาวํ โอโลเกตฺวา ‘‘อชฺช มยา ทสพลสฺส ชีวิตปริจฺจาคํ กาตุํ วฎฺฎติ, มา ภควา กลลํ อกฺกมิ, มณิผลกเสตุํ ปน อกฺกมโนฺต วิย สทฺธิํ จตูหิ ขีณาสวสตสหเสฺสหิ มม ปิฎฺฐิํ มทฺทมาโน คจฺฉตุ, ตํ เม ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติ เกเส โมเจตฺวา อชินจมฺมชฎามณฺฑลวากจีรานิ กาฬวเณฺณ กลเล ปตฺถริตฺวา มณิผลกเสตุ วิย กลลปิเฎฺฐ นิปชฺชิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tassa tasmiṃ padese analaṅkateyeva dīpaṅkaro dasabalo mahānubhāvānaṃ chaḷabhiññānaṃ khīṇāsavānaṃ catūhi satasahassehi parivuto devatāsu dibbagandhamālādīhi pūjayantīsu dibbasaṅgītesu pavattantesu manussesu mānusakagandhehi ceva mālādīhi ca pūjayantesu anantāya buddhalīḷāya manosilātale vijambhamāno sīho viya taṃ alaṅkatapaṭiyattaṃ maggaṃ paṭipajji. Sumedhatāpaso akkhīni ummīletvā alaṅkatamaggena āgacchantassa dasabalassa dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ asītiyā anubyañjanehi anurañjitaṃ byāmappabhāya samparivāritaṃ maṇivaṇṇagaganatale nānappakārā vijjulatā viya āveḷāveḷabhūtā ceva yugalayugalabhūtā ca chabbaṇṇaghanabuddharasmiyo vissajjentaṃ rūpaggappattaṃ attabhāvaṃ oloketvā ‘‘ajja mayā dasabalassa jīvitapariccāgaṃ kātuṃ vaṭṭati, mā bhagavā kalalaṃ akkami, maṇiphalakasetuṃ pana akkamanto viya saddhiṃ catūhi khīṇāsavasatasahassehi mama piṭṭhiṃ maddamāno gacchatu, taṃ me bhavissati dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti kese mocetvā ajinacammajaṭāmaṇḍalavākacīrāni kāḷavaṇṇe kalale pattharitvā maṇiphalakasetu viya kalalapiṭṭhe nipajji. Tena vuttaṃ –

    ‘‘เต เม ปุฎฺฐา วิยากํสุ, ‘พุโทฺธ โลเก อนุตฺตโร;

    ‘‘Te me puṭṭhā viyākaṃsu, ‘buddho loke anuttaro;

    ทีปงฺกโร นาม ชิโน, อุปฺปชฺชิ โลกนายโก;

    Dīpaṅkaro nāma jino, uppajji lokanāyako;

    ตสฺส โสธียติ มโคฺค, อญฺชสํ วฎุมายนํ’ฯ

    Tassa sodhīyati maggo, añjasaṃ vaṭumāyanaṃ’.

    ‘‘พุโทฺธติ มม สุตฺวาน, ปีติ อุปฺปชฺชิ ตาวเท;

    ‘‘Buddhoti mama sutvāna, pīti uppajji tāvade;

    พุโทฺธ พุโทฺธติ กถยโนฺต, โสมนสฺสํ ปเวทยิํฯ

    Buddho buddhoti kathayanto, somanassaṃ pavedayiṃ.

    ‘‘ตตฺถ ฐตฺวา วิจิเนฺตสิํ, ตุโฎฺฐ สํวิคฺคมานโส;

    ‘‘Tattha ṭhatvā vicintesiṃ, tuṭṭho saṃviggamānaso;

    ‘อิธ พีชานิ โรปิสฺสํ, ขโณ เอว มา อุปจฺจคา’ฯ

    ‘Idha bījāni ropissaṃ, khaṇo eva mā upaccagā’.

    ‘‘ยทิ พุทฺธสฺส โสเธถ, เอโกกาสํ ททาถ เม;

    ‘‘Yadi buddhassa sodhetha, ekokāsaṃ dadātha me;

    อหมฺปิ โสธยิสฺสามิ, อญฺชสํ วฎุมายนํฯ

    Ahampi sodhayissāmi, añjasaṃ vaṭumāyanaṃ.

    ‘‘อทํสุ เต มโมกาสํ, โสเธตุํ อญฺชสํ ตทา;

    ‘‘Adaṃsu te mamokāsaṃ, sodhetuṃ añjasaṃ tadā;

    พุโทฺธ พุโทฺธติ จิเนฺตโนฺต, มคฺคํ โสเธมหํ ตทาฯ

    Buddho buddhoti cintento, maggaṃ sodhemahaṃ tadā.

    ‘‘อนิฎฺฐิเต มโมกาเส, ทีปงฺกโร มหามุนิ;

    ‘‘Aniṭṭhite mamokāse, dīpaṅkaro mahāmuni;

    จตูหิ สตสหเสฺสหิ, ฉฬภิเญฺญหิ ตาทิหิ;

    Catūhi satasahassehi, chaḷabhiññehi tādihi;

    ขีณาสเวหิ วิมเลหิ, ปฎิปชฺชิ อญฺชสํ ชิโนฯ

    Khīṇāsavehi vimalehi, paṭipajji añjasaṃ jino.

    ‘‘ปจฺจุคฺคมนา วตฺตนฺติ, วชฺชนฺติ เภริโย พหู;

    ‘‘Paccuggamanā vattanti, vajjanti bheriyo bahū;

    อาโมทิตา นรมรู, สาธุการํ ปวตฺตยุํฯ

    Āmoditā naramarū, sādhukāraṃ pavattayuṃ.

    ‘‘เทวา มนุเสฺส ปสฺสนฺติ, มนุสฺสาปิ จ เทวตา;

    ‘‘Devā manusse passanti, manussāpi ca devatā;

    อุโภปิ เต ปญฺชลิกา, อนุยนฺติ ตถาคตํฯ

    Ubhopi te pañjalikā, anuyanti tathāgataṃ.

    ‘‘เทวา ทิเพฺพหิ ตุริเยหิ, มนุสฺสา มานุเสหิ จ;

    ‘‘Devā dibbehi turiyehi, manussā mānusehi ca;

    อุโภปิ เต วชฺชยนฺตา, อนุยนฺติ ตถาคตํฯ

    Ubhopi te vajjayantā, anuyanti tathāgataṃ.

    ‘‘ทิพฺพํ มนฺทารวํ ปุปฺผํ, ปทุมํ ปาริฉตฺตกํ;

    ‘‘Dibbaṃ mandāravaṃ pupphaṃ, padumaṃ pārichattakaṃ;

    ทิโสทิสํ โอกิรนฺติ, อากาสนภคตา มรูฯ

    Disodisaṃ okiranti, ākāsanabhagatā marū.

    ‘‘จมฺปกํ สลลํ นีปํ, นาคปุนฺนาคเกตกํ;

    ‘‘Campakaṃ salalaṃ nīpaṃ, nāgapunnāgaketakaṃ;

    ทิโสทิสํ อุกฺขิปนฺติ, ภูมิตลคตา นราฯ

    Disodisaṃ ukkhipanti, bhūmitalagatā narā.

    ‘‘เกเส มุญฺจิตฺวาหํ ตตฺถ, วากจีรญฺจ จมฺมกํ;

    ‘‘Kese muñcitvāhaṃ tattha, vākacīrañca cammakaṃ;

    กลเล ปตฺถริตฺวาน, อวกุโชฺช นิปชฺชหํฯ

    Kalale pattharitvāna, avakujjo nipajjahaṃ.

    ‘‘อกฺกมิตฺวาน มํ พุโทฺธ, สห สิเสฺสหิ คจฺฉตุ;

    ‘‘Akkamitvāna maṃ buddho, saha sissehi gacchatu;

    มา นํ กลเล อกฺกมิโตฺถ, หิตาย เม ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Mā naṃ kalale akkamittho, hitāya me bhavissatī’’ti.

    โส กลลปิเฎฺฐ นิปนฺนโกว ปุน อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา ทีปงฺกรทสพลสฺส พุทฺธสิริํ สมฺปสฺสมาโน เอวํ จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ อิเจฺฉยฺยํ, สพฺพกิเลเส ฌาเปตฺวา สงฺฆนวโก หุตฺวา รมฺมนครํ ปวิเสยฺยํฯ อญฺญาตกเวเสน ปน เม กิเลเส ฌาเปตฺวา นิพฺพานปฺปตฺติยา กิจฺจํ นตฺถิฯ ยํนูนาหํ ทีปงฺกรทสพโล วิย ปรมาภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ธมฺมนาวํ อาโรเปตฺวา มหาชนํ สํสารสาครา อุตฺตาเรตฺวา ปจฺฉา ปรินิพฺพาเยยฺยํ, อิทํ มยฺหํ ปติรูป’’นฺติฯ ตโต อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา พุทฺธภาวาย อภินีหารํ กตฺวา นิปชฺชิฯ เตน วุตฺตํ –

    So kalalapiṭṭhe nipannakova puna akkhīni ummīletvā dīpaṅkaradasabalassa buddhasiriṃ sampassamāno evaṃ cintesi – ‘‘sacāhaṃ iccheyyaṃ, sabbakilese jhāpetvā saṅghanavako hutvā rammanagaraṃ paviseyyaṃ. Aññātakavesena pana me kilese jhāpetvā nibbānappattiyā kiccaṃ natthi. Yaṃnūnāhaṃ dīpaṅkaradasabalo viya paramābhisambodhiṃ patvā dhammanāvaṃ āropetvā mahājanaṃ saṃsārasāgarā uttāretvā pacchā parinibbāyeyyaṃ, idaṃ mayhaṃ patirūpa’’nti. Tato aṭṭha dhamme samodhānetvā buddhabhāvāya abhinīhāraṃ katvā nipajji. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ปถวิยํ นิปนฺนสฺส, เอวํ เม อาสิ เจตโส;

    ‘‘Pathaviyaṃ nipannassa, evaṃ me āsi cetaso;

    ‘อิจฺฉมาโน อหํ อชฺช, กิเลเส ฌาปเย มมฯ

    ‘Icchamāno ahaṃ ajja, kilese jhāpaye mama.

    ‘กิํ เม อญฺญาตเวเสน, ธมฺมํ สจฺฉิกเตนิธ;

    ‘Kiṃ me aññātavesena, dhammaṃ sacchikatenidha;

    สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา, พุโทฺธ เหสฺสํ สเทวเกฯ

    Sabbaññutaṃ pāpuṇitvā, buddho hessaṃ sadevake.

    ‘กิํ เม เอเกน ติเณฺณน, ปุริเสน ถามทสฺสินา;

    ‘Kiṃ me ekena tiṇṇena, purisena thāmadassinā;

    สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา, สนฺตาเรสฺสํ สเทวเกฯ

    Sabbaññutaṃ pāpuṇitvā, santāressaṃ sadevake.

    ‘อิมินา เม อธิกาเรน, กเตน ปุริสุตฺตเม;

    ‘Iminā me adhikārena, katena purisuttame;

    สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา, ตาเรมิ ชนตํ พหุํฯ

    Sabbaññutaṃ pāpuṇitvā, tāremi janataṃ bahuṃ.

    ‘สํสารโสตํ ฉินฺทิตฺวา, วิทฺธํเสตฺวา ตโย ภเว;

    ‘Saṃsārasotaṃ chinditvā, viddhaṃsetvā tayo bhave;

    ธมฺมนาวํ สมารุยฺห, สนฺตาเรสฺสํ สเทวเก’’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๔-๕๘);

    Dhammanāvaṃ samāruyha, santāressaṃ sadevake’’’ti. (bu. vaṃ. 2.54-58);

    ยสฺมา ปน พุทฺธตฺตํ ปเตฺถนฺตสฺส –

    Yasmā pana buddhattaṃ patthentassa –

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;

    ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา;

    Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā;

    อฎฺฐธมฺมสโมธานา, อภินีหาโร สมิชฺฌตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙);

    Aṭṭhadhammasamodhānā, abhinīhāro samijjhatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.59);

    มนุสฺสตฺตภาวสฺมิํเยว หิ ฐตฺวา พุทฺธตฺตํ ปเตฺถนฺตสฺส ปตฺถนา สมิชฺฌติ, น นาคสฺส วา สุปณฺณสฺส วา เทวตาย วา ปตฺถนา สมิชฺฌติฯ มนุสฺสตฺตภาเวปิ ปุริสลิเงฺค ฐิตเสฺสว ปตฺถนา สมิชฺฌติ, น อิตฺถิยา วา ปณฺฑกนปุํสกอุภโตพฺยญฺชนกานํ วา ปตฺถนา สมิชฺฌติฯ ปุริสสฺสาปิ ตสฺมิํ อตฺตภาเว อรหตฺตปฺปตฺติยา เหตุสมฺปนฺนเสฺสว ปตฺถนา สมิชฺฌติ, โน อิตรสฺสฯ เหตุสมฺปนฺนสฺสาปิ ชีวมานกพุทฺธเสฺสว สนฺติเก ปเตฺถนฺตสฺส ปตฺถนา สมิชฺฌติ, ปรินิพฺพุเต พุเทฺธ เจติยสนฺติเก วา โพธิมูเล วา ปเตฺถนฺตสฺส น สมิชฺฌติฯ พุทฺธานํ สนฺติเก ปเตฺถนฺตสฺสาปิ ปพฺพชฺชาลิเงฺค ฐิตเสฺสว สมิชฺฌติ, โน คิหิลิเงฺค ฐิตสฺสฯ ปพฺพชิตสฺสาปิ ปญฺจาภิญฺญสฺส อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโนเยว สมิชฺฌติ, น อิมาย คุณสมฺปตฺติยา วิรหิตสฺสฯ คุณสมฺปเนฺนนาปิ เยน อตฺตโน ชีวิตํ พุทฺธานํ ปริจฺจตฺตํ โหติ, ตสฺส อิมินา อธิกาเรน อธิการสมฺปนฺนเสฺสว สมิชฺฌติ, น อิตรสฺสฯ อธิการสมฺปนฺนสฺสาปิ ยสฺส พุทฺธการกธมฺมานํ อตฺถาย มหโนฺต ฉโนฺท จ อุสฺสาโห จ วายาโม จ ปริเยฎฺฐิ จ, ตเสฺสว สมิชฺฌติ, น อิตรสฺสฯ

    Manussattabhāvasmiṃyeva hi ṭhatvā buddhattaṃ patthentassa patthanā samijjhati, na nāgassa vā supaṇṇassa vā devatāya vā patthanā samijjhati. Manussattabhāvepi purisaliṅge ṭhitasseva patthanā samijjhati, na itthiyā vā paṇḍakanapuṃsakaubhatobyañjanakānaṃ vā patthanā samijjhati. Purisassāpi tasmiṃ attabhāve arahattappattiyā hetusampannasseva patthanā samijjhati, no itarassa. Hetusampannassāpi jīvamānakabuddhasseva santike patthentassa patthanā samijjhati, parinibbute buddhe cetiyasantike vā bodhimūle vā patthentassa na samijjhati. Buddhānaṃ santike patthentassāpi pabbajjāliṅge ṭhitasseva samijjhati, no gihiliṅge ṭhitassa. Pabbajitassāpi pañcābhiññassa aṭṭhasamāpattilābhinoyeva samijjhati, na imāya guṇasampattiyā virahitassa. Guṇasampannenāpi yena attano jīvitaṃ buddhānaṃ pariccattaṃ hoti, tassa iminā adhikārena adhikārasampannasseva samijjhati, na itarassa. Adhikārasampannassāpi yassa buddhakārakadhammānaṃ atthāya mahanto chando ca ussāho ca vāyāmo ca pariyeṭṭhi ca, tasseva samijjhati, na itarassa.

    ตตฺริทํ ฉนฺทมหนฺตตาย โอปมฺมํ – สเจ หิ เอวมสฺส ‘‘โย สกลจกฺกวาฬคพฺภํ เอโกทกีภูตํ อตฺตโน พาหุพเลน อุตฺตริตฺวา ปารํ คนฺตุํ สมโตฺถ , โส พุทฺธตฺตํ ปาปุณาติฯ โย วา ปน สกลจกฺกวาฬคพฺภํ เวฬุคุมฺพสญฺฉนฺนํ พฺยูหิตฺวา มทฺทิตฺวา ปทสา คจฺฉโนฺต ปารํ คนฺตุํ สมโตฺถ, โส พุทฺธตฺตํ ปาปุณาติฯ โย วา ปน สกลจกฺกวาฬคพฺภํ สตฺติโย อาโกเฎตฺวา นิรนฺตรํ สตฺติผลสมากิณฺณํ ปทสา อกฺกมมาโน ปารํ คนฺตุํ สมโตฺถ, โส พุทฺธตฺตํ ปาปุณาติฯ โย วา ปน สกลจกฺกวาฬคพฺภํ วีตจฺจิตงฺคารภริตํ ปาเทหิ มทฺทมาโน ปารํ คนฺตุํ สมโตฺถ, โส พุทฺธตฺตํ ปาปุณาตี’’ติฯ โย เอเตสุ เอกมฺปิ อตฺตโน ทุกฺกรํ น มญฺญติ, ‘‘อหํ เอตมฺปิ ตริตฺวา วา คนฺตฺวา วา ปารํ คเหสฺสามี’’ติ เอวํ มหเนฺตน ฉเนฺทน จ อุสฺสาเหน จ วายาเมน จ ปริเยฎฺฐิยา จ สมนฺนาคโต โหติ, ตสฺส ปตฺถนา สมิชฺฌติ, น อิตรสฺสฯ สุเมธตาปโส ปน อิเม อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา พุทฺธภาวาย อภินีหารํ กตฺวา นิปชฺชิฯ

    Tatridaṃ chandamahantatāya opammaṃ – sace hi evamassa ‘‘yo sakalacakkavāḷagabbhaṃ ekodakībhūtaṃ attano bāhubalena uttaritvā pāraṃ gantuṃ samattho , so buddhattaṃ pāpuṇāti. Yo vā pana sakalacakkavāḷagabbhaṃ veḷugumbasañchannaṃ byūhitvā madditvā padasā gacchanto pāraṃ gantuṃ samattho, so buddhattaṃ pāpuṇāti. Yo vā pana sakalacakkavāḷagabbhaṃ sattiyo ākoṭetvā nirantaraṃ sattiphalasamākiṇṇaṃ padasā akkamamāno pāraṃ gantuṃ samattho, so buddhattaṃ pāpuṇāti. Yo vā pana sakalacakkavāḷagabbhaṃ vītaccitaṅgārabharitaṃ pādehi maddamāno pāraṃ gantuṃ samattho, so buddhattaṃ pāpuṇātī’’ti. Yo etesu ekampi attano dukkaraṃ na maññati, ‘‘ahaṃ etampi taritvā vā gantvā vā pāraṃ gahessāmī’’ti evaṃ mahantena chandena ca ussāhena ca vāyāmena ca pariyeṭṭhiyā ca samannāgato hoti, tassa patthanā samijjhati, na itarassa. Sumedhatāpaso pana ime aṭṭha dhamme samodhānetvā buddhabhāvāya abhinīhāraṃ katvā nipajji.

    ทีปงฺกโรปิ ภควา อาคนฺตฺวา สุเมธตาปสสฺส สีสภาเค ฐตฺวา มณิสีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎโนฺต วิย ปญฺจวณฺณปฺปสาทสมฺปนฺนานิ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา กลลปิเฎฺฐ นิปนฺนํ สุเมธตาปสํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ตาปโส พุทฺธตฺตาย อภินีหารํ กตฺวา นิปโนฺน, อิชฺฌิสฺสติ นุ โข อิมสฺส ปตฺถนา, อุทาหุ โน’’ติ อนาคตํสญาณํ เปเสตฺวา อุปธาเรโนฺต ‘‘อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ อติกฺกมิตฺวา โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ฐิตโกว ปริสมเชฺฌ พฺยากาสิ – ‘‘ปสฺสถ โน ตุเมฺห อิมํ อุคฺคตปํ ตาปสํ กลลปิเฎฺฐ นิปนฺน’’นฺติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อยํ พุทฺธตฺตาย อภินีหารํ กตฺวา นิปโนฺน, สมิชฺฌิสฺสติ อิมสฺส ปตฺถนา, อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ มตฺถเก โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสติฯ ตสฺมิํ ปนสฺส อตฺตภาเว กปิลวตฺถุ นาม นครํ นิวาโส ภวิสฺสติ, มายา นาม เทวี มาตา, สุโทฺธทโน นาม ราชา ปิตา, อคฺคสาวโก อุปติโสฺส นาม เถโร, ทุติยสาวโก โกลิโต นาม, พุทฺธุปฎฺฐาโก อานโนฺท นาม, อคฺคสาวิกา เขมา นาม เถรี, ทุติยสาวิกา อุปฺปลวณฺณา นาม เถรี ภวิสฺสติ, ปริปกฺกญาโณ มหาภินิกฺขมนํ กตฺวา มหาปธานํ ปทหิตฺวา นิโคฺรธมูเล ปายาสํ ปฎิคฺคเหตฺวา เนรญฺชราย ตีเร ปริภุญฺชิตฺวา โพธิมณฺฑํ อารุยฺห อสฺสตฺถรุกฺขมูเล อภิสมฺพุชฺฌิสฺสตี’’ติฯ เตน วุตฺตํ –

    Dīpaṅkaropi bhagavā āgantvā sumedhatāpasassa sīsabhāge ṭhatvā maṇisīhapañjaraṃ ugghāṭento viya pañcavaṇṇappasādasampannāni akkhīni ummīletvā kalalapiṭṭhe nipannaṃ sumedhatāpasaṃ disvā ‘‘ayaṃ tāpaso buddhattāya abhinīhāraṃ katvā nipanno, ijjhissati nu kho imassa patthanā, udāhu no’’ti anāgataṃsañāṇaṃ pesetvā upadhārento ‘‘ito kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni atikkamitvā gotamo nāma buddho bhavissatī’’ti ñatvā ṭhitakova parisamajjhe byākāsi – ‘‘passatha no tumhe imaṃ uggatapaṃ tāpasaṃ kalalapiṭṭhe nipanna’’nti? ‘‘Evaṃ, bhante’’ti. ‘‘Ayaṃ buddhattāya abhinīhāraṃ katvā nipanno, samijjhissati imassa patthanā, ito kappasatasahassādhikānaṃ catunnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ matthake gotamo nāma buddho bhavissati. Tasmiṃ panassa attabhāve kapilavatthu nāma nagaraṃ nivāso bhavissati, māyā nāma devī mātā, suddhodano nāma rājā pitā, aggasāvako upatisso nāma thero, dutiyasāvako kolito nāma, buddhupaṭṭhāko ānando nāma, aggasāvikā khemā nāma therī, dutiyasāvikā uppalavaṇṇā nāma therī bhavissati, paripakkañāṇo mahābhinikkhamanaṃ katvā mahāpadhānaṃ padahitvā nigrodhamūle pāyāsaṃ paṭiggahetvā nerañjarāya tīre paribhuñjitvā bodhimaṇḍaṃ āruyha assattharukkhamūle abhisambujjhissatī’’ti. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ทีปงฺกโร โลกวิทู, อาหุตีนํ ปฎิคฺคโห;

    ‘‘Dīpaṅkaro lokavidū, āhutīnaṃ paṭiggaho;

    อุสฺสีสเก มํ ฐตฺวาน, อิทํ วจนมพฺรวิฯ

    Ussīsake maṃ ṭhatvāna, idaṃ vacanamabravi.

    ‘ปสฺสถ อิมํ ตาปสํ, ชฎิลํ อุคฺคตาปนํ;

    ‘Passatha imaṃ tāpasaṃ, jaṭilaṃ uggatāpanaṃ;

    อปริเมเยฺย อิโต กเปฺป, พุโทฺธ โลเก ภวิสฺสติฯ

    Aparimeyye ito kappe, buddho loke bhavissati.

    ‘อหุ กปิลวฺหยา รมฺมา, นิกฺขมิตฺวา ตถาคโต;

    ‘Ahu kapilavhayā rammā, nikkhamitvā tathāgato;

    ปธานํ ปทหิตฺวาน, กตฺวา ทุกฺกรการิกํฯ

    Padhānaṃ padahitvāna, katvā dukkarakārikaṃ.

    ‘อชปาลรุกฺขมูเล, นิสีทิตฺวา ตถาคโต;

    ‘Ajapālarukkhamūle, nisīditvā tathāgato;

    ตตฺถ ปายาสํ ปคฺคยฺห, เนรญฺชรมุเปหิติฯ

    Tattha pāyāsaṃ paggayha, nerañjaramupehiti.

    ‘เนรญฺชราย ตีรมฺหิ, ปายาสํ อท โส ชิโน;

    ‘Nerañjarāya tīramhi, pāyāsaṃ ada so jino;

    ปฎิยตฺตวรมเคฺคน, โพธิมูลมูเปหิติฯ

    Paṭiyattavaramaggena, bodhimūlamūpehiti.

    ‘ตโต ปทกฺขิณํ กตฺวา, โพธิมณฺฑํ อนุตฺตโร;

    ‘Tato padakkhiṇaṃ katvā, bodhimaṇḍaṃ anuttaro;

    อสฺสตฺถรุกฺขมูลมฺหิ, พุชฺฌิสฺสติ มหายโสฯ

    Assattharukkhamūlamhi, bujjhissati mahāyaso.

    ‘อิมสฺส ชนิกา มาตา, มายา นาม ภวิสฺสติ;

    ‘Imassa janikā mātā, māyā nāma bhavissati;

    ปิตา สุโทฺธทโน นาม, อยํ เหสฺสติ โคตโมฯ

    Pitā suddhodano nāma, ayaṃ hessati gotamo.

    ‘อนาสวา วีตราคา, สนฺตจิตฺตา สมาหิตา;

    ‘Anāsavā vītarāgā, santacittā samāhitā;

    โกลิโต อุปติโสฺส จ, อคฺคา เหสฺสนฺติ สาวกา;

    Kolito upatisso ca, aggā hessanti sāvakā;

    อานโนฺท นามุปฎฺฐาโก, อุปฎฺฐิสฺสติ ตํ ชินํฯ

    Ānando nāmupaṭṭhāko, upaṭṭhissati taṃ jinaṃ.

    ‘เขมา อุปฺปลวณฺณา จ, อคฺคา เหสฺสนฺติ สาวิกา;

    ‘Khemā uppalavaṇṇā ca, aggā hessanti sāvikā;

    อนาสวา วีตราคา, สนฺตจิตฺตา สมาหิตา;

    Anāsavā vītarāgā, santacittā samāhitā;

    โพธิ ตสฺส ภควโต, อสฺสโตฺถติ ปวุจฺจตี’’’ติฯ

    Bodhi tassa bhagavato, assatthoti pavuccatī’’’ti.

    สุเมธตาปโส ‘‘มยฺหํ กิร ปตฺถนา สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ โสมนสฺสปฺปโตฺต อโหสิฯ มหาชโน ทีปงฺกรทสพลสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘สุเมธตาปโส กิร พุทฺธพีชํ พุทฺธงฺกุโร’’ติ หฎฺฐตุโฎฺฐ อโหสิฯ เอวญฺจสฺส อโหสิ ‘‘ยถา นาม ปุริโส นทิํ ตรโนฺต อุชุเกน ติเตฺถน อุตฺตริตุํ อสโกฺกโนฺต เหฎฺฐาติเตฺถน อุตฺตรติ, เอวเมว มยมฺปิ ทีปงฺกรทสพลสฺส สาสเน มคฺคผลํ อลภมานา อนาคเต ยทา ตฺวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิ, ตทา ตว สมฺมุขา มคฺคผลํ สจฺฉิกาตุํ สมตฺถา ภเวยฺยามา’’ติ ปตฺถนํ ฐปยิํสุฯ ทีปงฺกรทสพโลปิ โพธิสตฺตํ ปสํสิตฺวา อฎฺฐหิ ปุปฺผมุฎฺฐีหิ ปูเชตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิ, เตปิ จตุสตสหสฺสสงฺขา ขีณาสวา โพธิสตฺตํ คเนฺธหิ จ มาเลหิ จ ปูเชตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เทวมนุสฺสา ปน ตเถว ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา ปกฺกนฺตาฯ

    Sumedhatāpaso ‘‘mayhaṃ kira patthanā samijjhissatī’’ti somanassappatto ahosi. Mahājano dīpaṅkaradasabalassa vacanaṃ sutvā ‘‘sumedhatāpaso kira buddhabījaṃ buddhaṅkuro’’ti haṭṭhatuṭṭho ahosi. Evañcassa ahosi ‘‘yathā nāma puriso nadiṃ taranto ujukena titthena uttarituṃ asakkonto heṭṭhātitthena uttarati, evameva mayampi dīpaṅkaradasabalassa sāsane maggaphalaṃ alabhamānā anāgate yadā tvaṃ buddho bhavissasi, tadā tava sammukhā maggaphalaṃ sacchikātuṃ samatthā bhaveyyāmā’’ti patthanaṃ ṭhapayiṃsu. Dīpaṅkaradasabalopi bodhisattaṃ pasaṃsitvā aṭṭhahi pupphamuṭṭhīhi pūjetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi, tepi catusatasahassasaṅkhā khīṇāsavā bodhisattaṃ gandhehi ca mālehi ca pūjetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkamiṃsu. Devamanussā pana tatheva pūjetvā vanditvā pakkantā.

    โพธิสโตฺต สเพฺพสํ ปฎิกฺกนฺตกาเล สยนา วุฎฺฐาย ‘‘ปารมิโย วิจินิสฺสามี’’ติ ปุปฺผราสิมตฺถเก ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ เอวํ นิสิเนฺน โพธิสเตฺต สกลทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา สนฺนิปติตฺวา สาธุการํ ทตฺวา ‘‘อยฺย สุเมธตาปส, โปราณกโพธิสตฺตานํ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา ‘ปารมิโย วิจินิสฺสามา’ติ นิสินฺนกาเล ยานิ ปุพฺพนิมิตฺตานิ นาม ปญฺญายนฺติ, ตานิ สพฺพานิปิ อชฺช ปาตุภูตานิ, นิสฺสํสเยน ตฺวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิ , มยเมฺปตํ ชานาม ‘ยเสฺสตานิ นิมิตฺตานิ ปญฺญายนฺติ, เอกเนฺตน โส พุโทฺธ โหติ’, ตฺวํ อตฺตโน วีริยํ ทฬฺหํ กตฺวา ปคฺคณฺหา’’ติ โพธิสตฺตํ นานปฺปการาหิ ถุตีหิ อภิตฺถุนิํสุฯ เตน วุตฺตํ –

    Bodhisatto sabbesaṃ paṭikkantakāle sayanā vuṭṭhāya ‘‘pāramiyo vicinissāmī’’ti puppharāsimatthake pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi. Evaṃ nisinne bodhisatte sakaladasasahassacakkavāḷadevatā sannipatitvā sādhukāraṃ datvā ‘‘ayya sumedhatāpasa, porāṇakabodhisattānaṃ pallaṅkaṃ ābhujitvā ‘pāramiyo vicinissāmā’ti nisinnakāle yāni pubbanimittāni nāma paññāyanti, tāni sabbānipi ajja pātubhūtāni, nissaṃsayena tvaṃ buddho bhavissasi , mayampetaṃ jānāma ‘yassetāni nimittāni paññāyanti, ekantena so buddho hoti’, tvaṃ attano vīriyaṃ daḷhaṃ katvā paggaṇhā’’ti bodhisattaṃ nānappakārāhi thutīhi abhitthuniṃsu. Tena vuttaṃ –

    ‘‘อิทํ สุตฺวาน วจนํ, อสมสฺส มเหสิโน;

    ‘‘Idaṃ sutvāna vacanaṃ, asamassa mahesino;

    อาโมทิตา นรมรู, พุทฺธพีชํ กิร อยํฯ

    Āmoditā naramarū, buddhabījaṃ kira ayaṃ.

    ‘อุกฺกุฎฺฐิสทฺทา วตฺตนฺติ, อโปฺผเฎนฺติ หสนฺติ จ;

    ‘Ukkuṭṭhisaddā vattanti, apphoṭenti hasanti ca;

    กตญฺชลี นมสฺสนฺติ, ทสสหสฺสี สเทวกาฯ

    Katañjalī namassanti, dasasahassī sadevakā.

    ‘ยทิมสฺส โลกนาถสฺส, วิรชฺฌิสฺสาม สาสนํ;

    ‘Yadimassa lokanāthassa, virajjhissāma sāsanaṃ;

    อนาคตมฺหิ อทฺธาเน, เหสฺสาม สมฺมุขา อิมํฯ

    Anāgatamhi addhāne, hessāma sammukhā imaṃ.

    ‘ยถา มนุสฺสา นทิํ ตรนฺตา, ปฎิภิตฺถํ วิรชฺฌิย;

    ‘Yathā manussā nadiṃ tarantā, paṭibhitthaṃ virajjhiya;

    เหฎฺฐาติเตฺถ คเหตฺวาน, อุตฺตรนฺติ มหานทิํฯ

    Heṭṭhātitthe gahetvāna, uttaranti mahānadiṃ.

    ‘เอวเมว มยํ สเพฺพ, ยทิ มุญฺจามิมํ ชินํ;

    ‘Evameva mayaṃ sabbe, yadi muñcāmimaṃ jinaṃ;

    อนาคตมฺหิ อทฺธาเน, เหสฺสาม สมฺมุขา อิมํ’ฯ

    Anāgatamhi addhāne, hessāma sammukhā imaṃ’.

    ‘ทีปงฺกโร โลกวิทู, อาหุตีนํ ปฎิคฺคโห;

    ‘Dīpaṅkaro lokavidū, āhutīnaṃ paṭiggaho;

    มม กมฺมํ ปกิเตฺตตฺวา, ทกฺขิณํ ปาทมุทฺธริฯ

    Mama kammaṃ pakittetvā, dakkhiṇaṃ pādamuddhari.

    ‘เย ตตฺถาสุํ ชินปุตฺตา, สเพฺพ ปทกฺขิณมกํสุ มํ;

    ‘Ye tatthāsuṃ jinaputtā, sabbe padakkhiṇamakaṃsu maṃ;

    นรา นาคา จ คนฺธพฺพา, อภิวาเทตฺวาน ปกฺกมุํฯ

    Narā nāgā ca gandhabbā, abhivādetvāna pakkamuṃ.

    ‘ทสฺสนํ เม อติกฺกเนฺต, สสเงฺฆ โลกนายเก;

    ‘Dassanaṃ me atikkante, sasaṅghe lokanāyake;

    หฎฺฐตุเฎฺฐน จิเตฺตน, อาสนา วุฎฺฐหิํ ตทาฯ

    Haṭṭhatuṭṭhena cittena, āsanā vuṭṭhahiṃ tadā.

    ‘สุเขน สุขิโต โหมิ, ปาโมเชฺชน ปโมทิโต;

    ‘Sukhena sukhito homi, pāmojjena pamodito;

    ปีติยา จ อภิสฺสโนฺน, ปลฺลงฺกํ อาภุชิํ ตทาฯ

    Pītiyā ca abhissanno, pallaṅkaṃ ābhujiṃ tadā.

    ‘ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา, เอวํ จิเนฺตสหํ ตทา;

    ‘Pallaṅkena nisīditvā, evaṃ cintesahaṃ tadā;

    ‘วสีภูโต อหํ ฌาเน, อภิญฺญาสุ ปารมิํ คโตฯ

    ‘Vasībhūto ahaṃ jhāne, abhiññāsu pāramiṃ gato.

    ‘สหสฺสิยมฺหิ โลกมฺหิ, อิสโย นตฺถิ เม สมา;

    ‘Sahassiyamhi lokamhi, isayo natthi me samā;

    อสโม อิทฺธิธเมฺมสุ, อลภิํ อีทิสํ สุขํ’ฯ

    Asamo iddhidhammesu, alabhiṃ īdisaṃ sukhaṃ’.

    ‘ปลฺลงฺกาภุชเน มยฺหํ, ทสสหสฺสาธิวาสิโน;

    ‘Pallaṅkābhujane mayhaṃ, dasasahassādhivāsino;

    มหานาทํ ปวเตฺตสุํ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Mahānādaṃ pavattesuṃ, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘ยา ปุเพฺพ โพธิสตฺตานํ, ปลฺลงฺกวรมาภุเช;

    ‘Yā pubbe bodhisattānaṃ, pallaṅkavaramābhuje;

    นิมิตฺตานิ ปทิสฺสนฺติ, ตานิ อชฺช ปทิสฺสเรฯ

    Nimittāni padissanti, tāni ajja padissare.

    ‘สีตํ พฺยปคตํ โหติ, อุณฺหญฺจ อุปสมฺมติ;

    ‘Sītaṃ byapagataṃ hoti, uṇhañca upasammati;

    ตานิ อชฺช ปทิสฺสนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tāni ajja padissanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘ทสสหสฺสี โลกธาตู, นิสฺสทฺทา โหนฺติ นิรากุลา;

    ‘Dasasahassī lokadhātū, nissaddā honti nirākulā;

    ตานิ อชฺช ปทิสฺสนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tāni ajja padissanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘มหาวาตา น วายนฺติ, น สนฺทนฺติ สวนฺติโย;

    ‘Mahāvātā na vāyanti, na sandanti savantiyo;

    ตานิ อชฺช ปทิสฺสนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tāni ajja padissanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘ถลชา ทกชา ปุปฺผา, สเพฺพ ปุปฺผนฺติ ตาวเท;

    ‘Thalajā dakajā pupphā, sabbe pupphanti tāvade;

    เตปชฺช ปุปฺผิตา สเพฺพ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajja pupphitā sabbe, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘ลตา วา ยทิ วา รุกฺขา, ผลภารา โหนฺติ ตาวเท;

    ‘Latā vā yadi vā rukkhā, phalabhārā honti tāvade;

    เตปชฺช ผลิตา สเพฺพ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajja phalitā sabbe, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘อากาสฎฺฐา จ ภูมฎฺฐา, รตนา โชตนฺติ ตาวเท;

    ‘Ākāsaṭṭhā ca bhūmaṭṭhā, ratanā jotanti tāvade;

    เตปชฺช รตนา โชตนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajja ratanā jotanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘มานุสกา จ ทิพฺพา จ, ตุริยา วชฺชนฺติ ตาวเท;

    ‘Mānusakā ca dibbā ca, turiyā vajjanti tāvade;

    เตปชฺชุโภ อภิรวนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajjubho abhiravanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘วิจิตฺตปุปฺผา คคนา, อภิวสฺสนฺติ ตาวเท;

    ‘Vicittapupphā gaganā, abhivassanti tāvade;

    เตปิ อชฺช ปวสฺสนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepi ajja pavassanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘มหาสมุโทฺท อาภุชติ, ทสสหสฺสี ปกมฺปติ;

    ‘Mahāsamuddo ābhujati, dasasahassī pakampati;

    เตปชฺชุโภ อภิรวนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajjubho abhiravanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘นิรเยปิ ทสสหเสฺส, อคฺคี นิพฺพนฺติ ตาวเท;

    ‘Nirayepi dasasahasse, aggī nibbanti tāvade;

    เตปชฺช นิพฺพุตา อคฺคี, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajja nibbutā aggī, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘วิมโล โหติ สูริโย, สพฺพา ทิสฺสนฺติ ตารกา;

    ‘Vimalo hoti sūriyo, sabbā dissanti tārakā;

    เตปิ อชฺช ปทิสฺสนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepi ajja padissanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘อโนวเฎฺฐน อุทกํ, มหิยา อุพฺภิชฺชิ ตาวเท;

    ‘Anovaṭṭhena udakaṃ, mahiyā ubbhijji tāvade;

    ตมฺปชฺชุพฺภิชฺชเต มหิยา, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tampajjubbhijjate mahiyā, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘ตาราคณา วิโรจนฺติ, นกฺขตฺตา คคนมณฺฑเล;

    ‘Tārāgaṇā virocanti, nakkhattā gaganamaṇḍale;

    วิสาขา จนฺทิมายุตฺตา, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Visākhā candimāyuttā, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘พิลาสยา ทรีสยา, นิกฺขมนฺติ สกาสยา;

    ‘Bilāsayā darīsayā, nikkhamanti sakāsayā;

    เตปชฺช อาสยา ฉุทฺธา, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajja āsayā chuddhā, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘น โหติ อรติ สตฺตานํ, สนฺตุฎฺฐา โหนฺติ ตาวเท;

    ‘Na hoti arati sattānaṃ, santuṭṭhā honti tāvade;

    เตปชฺช สเพฺพ สนฺตุฎฺฐา, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajja sabbe santuṭṭhā, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘โรคา ตทูปสมฺมนฺติ, ชิฆจฺฉา จ วินสฺสติ;

    ‘Rogā tadūpasammanti, jighacchā ca vinassati;

    ตานิปชฺช ปทิสฺสนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tānipajja padissanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘ราโค ตทา ตนุ โหติ, โทโส โมโห วินสฺสติ;

    ‘Rāgo tadā tanu hoti, doso moho vinassati;

    เตปชฺช วิคตา สเพฺพ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajja vigatā sabbe, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘ภยํ ตทา น ภวติ, อชฺชเปตํ ปทิสฺสติ;

    ‘Bhayaṃ tadā na bhavati, ajjapetaṃ padissati;

    เตน ลิเงฺคน ชานาม, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tena liṅgena jānāma, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘รโช นุทฺธํสติ อุทฺธํ, อชฺชเปตํ ปทิสฺสติ;

    ‘Rajo nuddhaṃsati uddhaṃ, ajjapetaṃ padissati;

    เตน ลิเงฺคน ชานาม, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tena liṅgena jānāma, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘อนิฎฺฐคโนฺธ ปกฺกมติ, ทิฎฺฐคโนฺธ ปวายติ;

    ‘Aniṭṭhagandho pakkamati, diṭṭhagandho pavāyati;

    โสปชฺช วายติ คโนฺธ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Sopajja vāyati gandho, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘สเพฺพ เทวา ปทิสฺสนฺติ, ฐปยิตฺวา อรูปิโน;

    ‘Sabbe devā padissanti, ṭhapayitvā arūpino;

    เตปชฺช สเพฺพ ทิสฺสนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajja sabbe dissanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘ยาวตา นิรยา นาม, สเพฺพ ทิสฺสนฺติ ตาวเท;

    ‘Yāvatā nirayā nāma, sabbe dissanti tāvade;

    เตปชฺช สเพฺพ ทิสฺสนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tepajja sabbe dissanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘กุฎฺฎา กวาฎา เสลา จ, น โหนฺตาวรณา ตทา;

    ‘Kuṭṭā kavāṭā selā ca, na hontāvaraṇā tadā;

    อากาสภูตา เตปชฺช, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Ākāsabhūtā tepajja, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘จุตี จ อุปปตฺติ จ, ขเณ ตสฺมิํ น วิชฺชติ;

    ‘Cutī ca upapatti ca, khaṇe tasmiṃ na vijjati;

    ตานิปชฺช ปทิสฺสนฺติ, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิฯ

    Tānipajja padissanti, dhuvaṃ buddho bhavissasi.

    ‘ทฬฺหํ ปคฺคณฺห วีริยํ, มา นิวตฺต อภิกฺกม;

    ‘Daḷhaṃ paggaṇha vīriyaṃ, mā nivatta abhikkama;

    มยเมฺปตํ วิชานาม, ธุวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’’ติฯ

    Mayampetaṃ vijānāma, dhuvaṃ buddho bhavissasī’’’ti.

    โพธิสโตฺต ทีปงฺกรทสพลสฺส จ ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตานญฺจ วจนํ สุตฺวา ภิโยฺยโส มตฺตาย สญฺชาตุสฺสาโห หุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘พุทฺธา นาม อโมฆวจนา, นตฺถิ พุทฺธานํ กถาย อญฺญถตฺตํฯ ยถา หิ อากาเส ขิตฺตเลฑฺฑุสฺส ปตนํ ธุวํ, ชาตสฺส มรณํ ธุวํ, อรุเณ อุคฺคเต สูริยสฺสุฎฺฐานํ, อาสยา นิกฺขนฺตสีหสฺส สีหนาทนทนํ, ครุคพฺภาย อิตฺถิยา ภารโมโรปนํ อวสฺสํภาวี, เอวเมว พุทฺธานํ วจนํ นาม ธุวํ อโมฆํ, อทฺธา อหํ พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติฯ เตน วุตฺตํ –

    Bodhisatto dīpaṅkaradasabalassa ca dasasahassacakkavāḷadevatānañca vacanaṃ sutvā bhiyyoso mattāya sañjātussāho hutvā cintesi ‘‘buddhā nāma amoghavacanā, natthi buddhānaṃ kathāya aññathattaṃ. Yathā hi ākāse khittaleḍḍussa patanaṃ dhuvaṃ, jātassa maraṇaṃ dhuvaṃ, aruṇe uggate sūriyassuṭṭhānaṃ, āsayā nikkhantasīhassa sīhanādanadanaṃ, garugabbhāya itthiyā bhāramoropanaṃ avassaṃbhāvī, evameva buddhānaṃ vacanaṃ nāma dhuvaṃ amoghaṃ, addhā ahaṃ buddho bhavissāmī’’ti. Tena vuttaṃ –

    ‘‘พุทฺธสฺส วจนํ สุตฺวา, ทสสหสฺสีน จูภยํ;

    ‘‘Buddhassa vacanaṃ sutvā, dasasahassīna cūbhayaṃ;

    ตุฎฺฐหโฎฺฐ ปโมทิโต, เอวํ จิเนฺตสหํ ตทาฯ

    Tuṭṭhahaṭṭho pamodito, evaṃ cintesahaṃ tadā.

    ‘‘อเทฺวชฺฌวจนา พุทฺธา, อโมฆวจนา ชินา;

    ‘‘Advejjhavacanā buddhā, amoghavacanā jinā;

    วิตถํ นตฺถิ พุทฺธานํ, ธุวํ พุโทฺธ ภวามหํฯ

    Vitathaṃ natthi buddhānaṃ, dhuvaṃ buddho bhavāmahaṃ.

    ‘‘ยถา ขิตฺตํ นเภ เลฑฺฑุ, ธุวํ ปตติ ภูมิยํ;

    ‘‘Yathā khittaṃ nabhe leḍḍu, dhuvaṃ patati bhūmiyaṃ;

    ตเถว พุทฺธเสฎฺฐานํ, วจนํ ธุวสสฺสตํฯ

    Tatheva buddhaseṭṭhānaṃ, vacanaṃ dhuvasassataṃ.

    ‘‘ยถาปิ สพฺพสตฺตานํ, มรณํ ธุวสสฺสตํ;

    ‘‘Yathāpi sabbasattānaṃ, maraṇaṃ dhuvasassataṃ;

    ตเถว พุทฺธเสฎฺฐานํ, วจนํ ธุวสสฺสตํฯ

    Tatheva buddhaseṭṭhānaṃ, vacanaṃ dhuvasassataṃ.

    ‘‘ยถา รตฺติกฺขเย ปเตฺต, สูริยุคฺคมนํ ธุวํ;

    ‘‘Yathā rattikkhaye patte, sūriyuggamanaṃ dhuvaṃ;

    ตเถว พุทฺธเสฎฺฐานํ, วจนํ ธุวสสฺสตํฯ

    Tatheva buddhaseṭṭhānaṃ, vacanaṃ dhuvasassataṃ.

    ‘‘ยถา นิกฺขนฺตสยนสฺส, สีหสฺส นทนํ ธุวํ;

    ‘‘Yathā nikkhantasayanassa, sīhassa nadanaṃ dhuvaṃ;

    ตเถว พุทฺธเสฎฺฐานํ, วจนํ ธุวสสฺสตํฯ

    Tatheva buddhaseṭṭhānaṃ, vacanaṃ dhuvasassataṃ.

    ‘‘ยถา อาปนฺนสตฺตานํ, ภารโมโรปนํ ธุวํ;

    ‘‘Yathā āpannasattānaṃ, bhāramoropanaṃ dhuvaṃ;

    ตเถว พุทฺธเสฎฺฐานํ, วจนํ ธุวสสฺสต’’นฺติฯ

    Tatheva buddhaseṭṭhānaṃ, vacanaṃ dhuvasassata’’nti.

    โส ‘‘ธุวาหํ พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ เอวํ กตสนฺนิฎฺฐาโน พุทฺธการเก ธเมฺม อุปธาเรตุํ ‘‘กหํ นุ โข พุทฺธการกธมฺมา, กิํ อุทฺธํ, อุทาหุ อโธ, ทิสาสุ, วิทิสาสู’’ติ อนุกฺกเมน สกลํ ธมฺมธาตุํ วิจินโนฺต โปราณกโพธิสเตฺตหิ อาเสวิตนิเสวิตํ ปฐมํ ทานปารมิํ ทิสฺวา เอวํ อตฺตานํ โอวทิ – ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย ปฐมํ ทานปารมิํ ปูเรยฺยาสิฯ ยถา หิ นิกฺกุชฺชิโต อุทกกุโมฺภ นิเสฺสสํ กตฺวา อุทกํ วมติเยว, น ปจฺจาหรติ, เอวเมว ธนํ วา ยสํ วา ปุตฺตํ วา ทารํ วา องฺคปจฺจงฺคํ วา อโนโลเกตฺวา สมฺปตฺตยาจกานํ สพฺพํ อิจฺฉิติจฺฉิตํ นิเสฺสสํ กตฺวา ททมาโน โพธิรุกฺขมูเล นิสีทิตฺวา พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ ปฐมํ ทานปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    So ‘‘dhuvāhaṃ buddho bhavissāmī’’ti evaṃ katasanniṭṭhāno buddhakārake dhamme upadhāretuṃ ‘‘kahaṃ nu kho buddhakārakadhammā, kiṃ uddhaṃ, udāhu adho, disāsu, vidisāsū’’ti anukkamena sakalaṃ dhammadhātuṃ vicinanto porāṇakabodhisattehi āsevitanisevitaṃ paṭhamaṃ dānapāramiṃ disvā evaṃ attānaṃ ovadi – ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya paṭhamaṃ dānapāramiṃ pūreyyāsi. Yathā hi nikkujjito udakakumbho nissesaṃ katvā udakaṃ vamatiyeva, na paccāharati, evameva dhanaṃ vā yasaṃ vā puttaṃ vā dāraṃ vā aṅgapaccaṅgaṃ vā anoloketvā sampattayācakānaṃ sabbaṃ icchiticchitaṃ nissesaṃ katvā dadamāno bodhirukkhamūle nisīditvā buddho bhavissasī’’ti paṭhamaṃ dānapāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘หนฺท พุทฺธกเร ธเมฺม, วิจินามิ อิโต จิโต;

    ‘‘Handa buddhakare dhamme, vicināmi ito cito;

    อุทฺธํ อโธ ทส ทิสา, ยาวตา ธมฺมธาตุยาฯ

    Uddhaṃ adho dasa disā, yāvatā dhammadhātuyā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, ปฐมํ ทานปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, paṭhamaṃ dānapāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อนุจิณฺณํ มหาปถํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, anuciṇṇaṃ mahāpathaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ ปฐมํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ paṭhamaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    ทานปารมิตํ คจฺฉ, ยทิ โพธิํ ปตฺตุมิจฺฉสิฯ

    Dānapāramitaṃ gaccha, yadi bodhiṃ pattumicchasi.

    ‘‘ยถาปิ กุโมฺภ สมฺปุโณฺณ, ยสฺส กสฺสจิ อโธกโต;

    ‘‘Yathāpi kumbho sampuṇṇo, yassa kassaci adhokato;

    วมเตวุทกํ นิเสฺสสํ, น ตตฺถ ปริรกฺขติฯ

    Vamatevudakaṃ nissesaṃ, na tattha parirakkhati.

    ‘‘ตเถว ยาจเก ทิสฺวา, หีนมุกฺกฎฺฐมชฺฌิเม;

    ‘‘Tatheva yācake disvā, hīnamukkaṭṭhamajjhime;

    ททาหิ ทานํ นิเสฺสสํ, กุโมฺภ วิย อโธกโต’’ติฯ

    Dadāhi dānaṃ nissesaṃ, kumbho viya adhokato’’ti.

    อถสฺส ‘‘น เอตฺตเกเหว พุทฺธการกธเมฺมหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุตฺตริปิ อุปธารยโต ทุติยํ สีลปารมิํ ทิสฺวา เอตทโหสิ – ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย สีลปารมิมฺปิ ปูเรยฺยาสิฯ ยถา หิ จมรีมิโค นาม ชีวิตมฺปิ อโนโลเกตฺวา อตฺตโน วาลเมว รกฺขติ, เอวํ ตฺวมฺปิ อิโต ปฎฺฐาย ชีวิตมฺปิ อโนโลเกตฺวา สีลเมว รกฺขโนฺต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ ทุติยํ สีลปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa ‘‘na ettakeheva buddhakārakadhammehi bhavitabba’’nti uttaripi upadhārayato dutiyaṃ sīlapāramiṃ disvā etadahosi – ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya sīlapāramimpi pūreyyāsi. Yathā hi camarīmigo nāma jīvitampi anoloketvā attano vālameva rakkhati, evaṃ tvampi ito paṭṭhāya jīvitampi anoloketvā sīlameva rakkhanto buddho bhavissasī’’ti dutiyaṃ sīlapāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘น เหเต เอตฺตกาเยว, พุทฺธธมฺมา ภวิสฺสเร;

    ‘‘Na hete ettakāyeva, buddhadhammā bhavissare;

    อเญฺญปิ วิจินิสฺสามิ, เย ธมฺมา โพธิปาจนาฯ

    Aññepi vicinissāmi, ye dhammā bodhipācanā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, ทุติยํ สีลปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, dutiyaṃ sīlapāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อาเสวิตนิเสวิตํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, āsevitanisevitaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ ทุติยํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ dutiyaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    สีลปารมิตํ คจฺฉ, ยทิ โพธิํ ปตฺตุมิจฺฉสิฯ

    Sīlapāramitaṃ gaccha, yadi bodhiṃ pattumicchasi.

    ‘‘ยถาปิ จมรี วาลํ, กิสฺมิญฺจิ ปฎิลคฺคิตํ;

    ‘‘Yathāpi camarī vālaṃ, kismiñci paṭilaggitaṃ;

    อุเปติ มรณํ ตตฺถ, น วิโกเปติ วาลธิํฯ

    Upeti maraṇaṃ tattha, na vikopeti vāladhiṃ.

    ‘‘ตเถว จตูสุ , ภูมีสุ, สีลานิ ปริปูรย;

    ‘‘Tatheva catūsu , bhūmīsu, sīlāni paripūraya;

    ปริรกฺข สพฺพทา สีลํ, จมรี วิย วาลธิ’’นฺติฯ

    Parirakkha sabbadā sīlaṃ, camarī viya vāladhi’’nti.

    อถสฺส ‘‘น เอตฺตเกเหว พุทฺธการกธเมฺมหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุตฺตริปิ อุปธารยโต ตติยํ เนกฺขมฺมปารมิํ ทิสฺวา เอตทโหสิ ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย เนกฺขมฺมปารมิมฺปิ ปูเรยฺยาสิฯ ยถา หิ จิรํ พนฺธนาคาเร วสมาโน ปุริโส น ตตฺถ สิเนหํ กโรติ, อถ โข อุกฺกณฺฐิโตเยว อวสิตุกาโม โหติ, เอวเมว ตฺวมฺปิ สพฺพภเว พนฺธนาคารสทิเส กตฺวา สพฺพภเวหิ อุกฺกณฺฐิโต มุจฺจิตุกาโม หุตฺวา เนกฺขมฺมาภิมุโขว โหหิ, เอวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ ตติยํ เนกฺขมฺมปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa ‘‘na ettakeheva buddhakārakadhammehi bhavitabba’’nti uttaripi upadhārayato tatiyaṃ nekkhammapāramiṃ disvā etadahosi ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya nekkhammapāramimpi pūreyyāsi. Yathā hi ciraṃ bandhanāgāre vasamāno puriso na tattha sinehaṃ karoti, atha kho ukkaṇṭhitoyeva avasitukāmo hoti, evameva tvampi sabbabhave bandhanāgārasadise katvā sabbabhavehi ukkaṇṭhito muccitukāmo hutvā nekkhammābhimukhova hohi, evaṃ buddho bhavissasī’’ti tatiyaṃ nekkhammapāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘น เหเต เอตฺตกาเยว, พุทฺธธมฺมา ภวิสฺสเร;

    ‘‘Na hete ettakāyeva, buddhadhammā bhavissare;

    อเญฺญปิ วิจินิสฺสามิ, เย ธมฺมา โพธิปาจนาฯ

    Aññepi vicinissāmi, ye dhammā bodhipācanā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, ตติยํ เนกฺขมฺมปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, tatiyaṃ nekkhammapāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อาเสวิตนิเสวิตํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, āsevitanisevitaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ ตติยํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ tatiyaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    เนกฺขมฺมปารมิตํ คจฺฉ, ยทิ โพธิํ ปตฺตุมิจฺฉสิฯ

    Nekkhammapāramitaṃ gaccha, yadi bodhiṃ pattumicchasi.

    ‘‘ยถา อนฺทุฆเร ปุริโส, จิรวุโตฺถ ทุขฎฺฎิโต;

    ‘‘Yathā andughare puriso, ciravuttho dukhaṭṭito;

    น ตตฺถ ราคํ ชเนติ, มุตฺติเมว คเวสติฯ

    Na tattha rāgaṃ janeti, muttimeva gavesati.

    ‘‘ตเถว ตฺวํ สพฺพภเว, ปสฺส อนฺทุฆเร วิย;

    ‘‘Tatheva tvaṃ sabbabhave, passa andughare viya;

    เนกฺขมฺมาภิมุโข โหหิ, ภวโต ปริมุตฺติยา’’ติฯ

    Nekkhammābhimukho hohi, bhavato parimuttiyā’’ti.

    อถสฺส ‘‘น เอตฺตเกเหว พุทฺธการกธเมฺมหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุตฺตริปิ อุปธารยโต จตุตฺถํ ปญฺญาปารมิํ ทิสฺวา เอตทโหสิ – ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย ปญฺญาปารมิมฺปิ ปูเรยฺยาสิฯ หีนมชฺฌิมุกฺกเฎฺฐสุ กญฺจิ อวเชฺชตฺวา สเพฺพปิ ปณฺฑิเต อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยาสิฯ ยถา หิ ปิณฺฑจาริโก ภิกฺขุ หีนาทิเกสุ กุเลสุ กิญฺจิ อวเชฺชตฺวา ปฎิปาฎิยา ปิณฺฑาย จรโนฺต ขิปฺปํ ยาปนํ ลภติ, เอวํ ตฺวมฺปิ สพฺพปณฺฑิเต อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ จตุตฺถํ ปญฺญาปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa ‘‘na ettakeheva buddhakārakadhammehi bhavitabba’’nti uttaripi upadhārayato catutthaṃ paññāpāramiṃ disvā etadahosi – ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya paññāpāramimpi pūreyyāsi. Hīnamajjhimukkaṭṭhesu kañci avajjetvā sabbepi paṇḍite upasaṅkamitvā pañhaṃ puccheyyāsi. Yathā hi piṇḍacāriko bhikkhu hīnādikesu kulesu kiñci avajjetvā paṭipāṭiyā piṇḍāya caranto khippaṃ yāpanaṃ labhati, evaṃ tvampi sabbapaṇḍite upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchanto buddho bhavissasī’’ti catutthaṃ paññāpāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘น เหเต เอตฺตกาเยว, พุทฺธธมฺมา ภวิสฺสเร;

    ‘‘Na hete ettakāyeva, buddhadhammā bhavissare;

    อเญฺญปิ วิจินิสฺสามิ, เย ธมฺมา โพธิปาจนาฯ

    Aññepi vicinissāmi, ye dhammā bodhipācanā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, จตุตฺถํ ปญฺญาปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, catutthaṃ paññāpāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อาเสวิตนิเสวิตํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, āsevitanisevitaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ จตุตฺถํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ catutthaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    ปญฺญาปารมิตํ คจฺฉ, ยทิ โพธิํ ปตฺตุมิจฺฉสิฯ

    Paññāpāramitaṃ gaccha, yadi bodhiṃ pattumicchasi.

    ‘‘ยถาปิ ภิกฺขุ ภิกฺขโนฺต, หีนมุกฺกฎฺฐมชฺฌิเม;

    ‘‘Yathāpi bhikkhu bhikkhanto, hīnamukkaṭṭhamajjhime;

    กุลานิ น วิวเชฺชโนฺต, เอวํ ลภติ ยาปนํฯ

    Kulāni na vivajjento, evaṃ labhati yāpanaṃ.

    ‘‘ตเถว ตฺวํ สพฺพกาลํ, ปริปุจฺฉโนฺต พุธํ ชนํ;

    ‘‘Tatheva tvaṃ sabbakālaṃ, paripucchanto budhaṃ janaṃ;

    ปญฺญาปารมิตํ คนฺตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสี’’ติฯ

    Paññāpāramitaṃ gantvā, sambodhiṃ pāpuṇissasī’’ti.

    อถสฺส ‘‘น เอตฺตเกเหว พุทฺธการกธเมฺมหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุตฺตริปิ อุปธารยโต ปญฺจมํ วีริยปารมิํ ทิสฺวา เอตทโหสิ – ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย วีริยปารมิมฺปิ ปูเรยฺยาสิฯ ยถา หิ สีโห มิคราชา สพฺพอิริยาปเถสุ ทฬฺหวีริโย โหติ, เอวํ ตฺวมฺปิ สพฺพภเวสุ สพฺพอิริยาปเถสุ ทฬฺหวีริโย อโนลีนวีริโย สมาโน พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ ปญฺจมํ วีริยปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa ‘‘na ettakeheva buddhakārakadhammehi bhavitabba’’nti uttaripi upadhārayato pañcamaṃ vīriyapāramiṃ disvā etadahosi – ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya vīriyapāramimpi pūreyyāsi. Yathā hi sīho migarājā sabbairiyāpathesu daḷhavīriyo hoti, evaṃ tvampi sabbabhavesu sabbairiyāpathesu daḷhavīriyo anolīnavīriyo samāno buddho bhavissasī’’ti pañcamaṃ vīriyapāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘น เหเต เอตฺตกาเยว, พุทฺธธมฺมา ภวิสฺสเร;

    ‘‘Na hete ettakāyeva, buddhadhammā bhavissare;

    อเญฺญปิ วิจินิสฺสามิ, เย ธมฺมา โพธิปาจนาฯ

    Aññepi vicinissāmi, ye dhammā bodhipācanā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, ปญฺจมํ วีริยปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, pañcamaṃ vīriyapāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อาเสวิตนิเสวิตํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, āsevitanisevitaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ ปญฺจมํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ pañcamaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    วีริยปารมิตํ คจฺฉ, ยทิ โพธิํ ปตฺตุมิจฺฉสิฯ

    Vīriyapāramitaṃ gaccha, yadi bodhiṃ pattumicchasi.

    ‘‘ยถาปิ สีโห มิคราชา, นิสชฺชฎฺฐานจงฺกเม;

    ‘‘Yathāpi sīho migarājā, nisajjaṭṭhānacaṅkame;

    อลีนวีริโย โหติ, ปคฺคหิตมโน สทาฯ

    Alīnavīriyo hoti, paggahitamano sadā.

    ‘‘ตเถว ตฺวํ สพฺพภเว, ปคฺคณฺห วีริยํ ทฬฺหํ;

    ‘‘Tatheva tvaṃ sabbabhave, paggaṇha vīriyaṃ daḷhaṃ;

    วีริยปารมิตํ คนฺตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสี’’ติฯ

    Vīriyapāramitaṃ gantvā, sambodhiṃ pāpuṇissasī’’ti.

    อถสฺส ‘‘น เอตฺตเกเหว พุทฺธการกธเมฺมหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุตฺตริปิ อุปธารยโต ฉฎฺฐํ ขนฺติปารมิํ ทิสฺวา เอตทโหสิ – ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย ขนฺติปารมิมฺปิ ปูเรยฺยาสิฯ สมฺมานเนปิ อวมานเนปิ ขโมว ภเวยฺยาสิฯ ยถา หิ ปถวิยํ นาม สุจิมฺปิ ปกฺขิปนฺติ อสุจิมฺปิ, น เตน ปถวี สิเนหํ, น ปฎิฆํ กโรติ, ขมติ สหติ อธิวาเสติเยว, เอวํ ตฺวมฺปิ สมฺมานนาวมานนกฺขโมว สมาโน พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ ฉฎฺฐํ ขนฺติปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa ‘‘na ettakeheva buddhakārakadhammehi bhavitabba’’nti uttaripi upadhārayato chaṭṭhaṃ khantipāramiṃ disvā etadahosi – ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya khantipāramimpi pūreyyāsi. Sammānanepi avamānanepi khamova bhaveyyāsi. Yathā hi pathaviyaṃ nāma sucimpi pakkhipanti asucimpi, na tena pathavī sinehaṃ, na paṭighaṃ karoti, khamati sahati adhivāsetiyeva, evaṃ tvampi sammānanāvamānanakkhamova samāno buddho bhavissasī’’ti chaṭṭhaṃ khantipāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘น เหเต เอตฺตกาเยว, พุทฺธธมฺมา ภวิสฺสเร;

    ‘‘Na hete ettakāyeva, buddhadhammā bhavissare;

    อเญฺญปิ วิจินิสฺสามิ, เย ธมฺมา โพธิปาจนาฯ

    Aññepi vicinissāmi, ye dhammā bodhipācanā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, ฉฎฺฐมํ ขนฺติปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, chaṭṭhamaṃ khantipāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อาเสวิตนิเสวิตํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, āsevitanisevitaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ ฉฎฺฐมํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ chaṭṭhamaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    ตตฺถ อเทฺวชฺฌมานโส, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสิฯ

    Tattha advejjhamānaso, sambodhiṃ pāpuṇissasi.

    ‘‘ยถาปิ ปถวี นาม, สุจิมฺปิ อสุจิมฺปิ จ;

    ‘‘Yathāpi pathavī nāma, sucimpi asucimpi ca;

    สพฺพํ สหติ นิเกฺขปํ, น กโรติ ปฎิฆํ ตยาฯ

    Sabbaṃ sahati nikkhepaṃ, na karoti paṭighaṃ tayā.

    ‘‘ตเถว ตฺวมฺปิ สเพฺพสํ, สมฺมานาวมานกฺขโม;

    ‘‘Tatheva tvampi sabbesaṃ, sammānāvamānakkhamo;

    ขนฺติปารมิตํ คนฺตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสี’’ติฯ

    Khantipāramitaṃ gantvā, sambodhiṃ pāpuṇissasī’’ti.

    อถสฺส ‘‘น เอตฺตเกเหว พุทฺธการกธเมฺมหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุตฺตริปิ อุปธารยโต สตฺตมํ สจฺจปารมิํ ทิสฺวา เอตทโหสิ – ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย สจฺจปารมิมฺปิ ปูเรยฺยาสิฯ อสนิยา มตฺถเก ปตมานายปิ ธนาทีนํ อตฺถาย ฉนฺทาทิวเสน สมฺปชานมุสาวาทํ นาม มากาสิฯ ยถา หิ โอสธิตารกา นาม สพฺพอุตูสุ อตฺตโน คมนวีถิํ ชหิตฺวา อญฺญาย วีถิยา น คจฺฉติ, สกวีถิยาว คจฺฉติ, เอวเมว ตฺวมฺปิ สจฺจํ ปหาย มุสาวาทํ นาม อกโรโนฺตเยว พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ สตฺตมํ สจฺจปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa ‘‘na ettakeheva buddhakārakadhammehi bhavitabba’’nti uttaripi upadhārayato sattamaṃ saccapāramiṃ disvā etadahosi – ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya saccapāramimpi pūreyyāsi. Asaniyā matthake patamānāyapi dhanādīnaṃ atthāya chandādivasena sampajānamusāvādaṃ nāma mākāsi. Yathā hi osadhitārakā nāma sabbautūsu attano gamanavīthiṃ jahitvā aññāya vīthiyā na gacchati, sakavīthiyāva gacchati, evameva tvampi saccaṃ pahāya musāvādaṃ nāma akarontoyeva buddho bhavissasī’’ti sattamaṃ saccapāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘น เหเต เอตฺตกาเยว, พุทฺธธมฺมา ภวิสฺสเร;

    ‘‘Na hete ettakāyeva, buddhadhammā bhavissare;

    อเญฺญปิ วิจินิสฺสามิ, เย ธมฺมา โพธิปาจนาฯ

    Aññepi vicinissāmi, ye dhammā bodhipācanā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, สตฺตมํ สจฺจปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, sattamaṃ saccapāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อาเสวิตนิเสวิตํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, āsevitanisevitaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ สตฺตมํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ sattamaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    ตตฺถ อเทฺวชฺฌวจโน, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสิฯ

    Tattha advejjhavacano, sambodhiṃ pāpuṇissasi.

    ‘‘ยถาปิ โอสธี นาม, ตุลาภูตา สเทวเก;

    ‘‘Yathāpi osadhī nāma, tulābhūtā sadevake;

    สมเย อุตุวเสฺส วา, น โวกฺกมติ วีถิโตฯ

    Samaye utuvasse vā, na vokkamati vīthito.

    ‘‘ตเถว ตฺวมฺปิ สเจฺจสุ, มา โวกฺกมสิ วีถิโต;

    ‘‘Tatheva tvampi saccesu, mā vokkamasi vīthito;

    สจฺจปารมิตํ คนฺตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสี’’ติฯ

    Saccapāramitaṃ gantvā, sambodhiṃ pāpuṇissasī’’ti.

    อถสฺส ‘‘น เอตฺตเกเหว พุทฺธการกธเมฺมหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุตฺตริปิ อุปธารยโต อฎฺฐมํ อธิฎฺฐานปารมิํ ทิสฺวา เอตทโหสิ – ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย อธิฎฺฐานปารมิมฺปิ ปูเรยฺยาสิฯ ยํ อธิฎฺฐาสิ, ตสฺมิํ อธิฎฺฐาเน นิจฺจโล ภเวยฺยาสิฯ ยถา หิ ปพฺพโต นาม สพฺพทิสาสุ วาเตหิ ปหโฎปิ น กมฺปติ น จลติ, อตฺตโน ฐาเนเยว ติฎฺฐติ, เอวเมว ตฺวมฺปิ อตฺตโน อธิฎฺฐาเน นิจฺจโล โหโนฺตว พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ อฎฺฐมํ อธิฎฺฐานปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa ‘‘na ettakeheva buddhakārakadhammehi bhavitabba’’nti uttaripi upadhārayato aṭṭhamaṃ adhiṭṭhānapāramiṃ disvā etadahosi – ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya adhiṭṭhānapāramimpi pūreyyāsi. Yaṃ adhiṭṭhāsi, tasmiṃ adhiṭṭhāne niccalo bhaveyyāsi. Yathā hi pabbato nāma sabbadisāsu vātehi pahaṭopi na kampati na calati, attano ṭhāneyeva tiṭṭhati, evameva tvampi attano adhiṭṭhāne niccalo hontova buddho bhavissasī’’ti aṭṭhamaṃ adhiṭṭhānapāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘น เหเต เอตฺตกาเยว, พุทฺธธมฺมา ภวิสฺสเร;

    ‘‘Na hete ettakāyeva, buddhadhammā bhavissare;

    อเญฺญปิ วิจินิสฺสามิ, เย ธมฺมา โพธิปาจนาฯ

    Aññepi vicinissāmi, ye dhammā bodhipācanā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, อฎฺฐมํ อธิฎฺฐานปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, aṭṭhamaṃ adhiṭṭhānapāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อาเสวิตนิเสวิตํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, āsevitanisevitaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ อฎฺฐมํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ aṭṭhamaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    ตตฺถ ตฺวํ อจโล หุตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสิฯ

    Tattha tvaṃ acalo hutvā, sambodhiṃ pāpuṇissasi.

    ‘‘ยถาปิ ปพฺพโต เสโล, อจโล สุปฺปติฎฺฐิโต;

    ‘‘Yathāpi pabbato selo, acalo suppatiṭṭhito;

    น กมฺปติ ภุสวาเตหิ, สกฎฺฐาเนว ติฎฺฐติฯ

    Na kampati bhusavātehi, sakaṭṭhāneva tiṭṭhati.

    ‘‘ตเถว ตฺวมฺปิ อธิฎฺฐาเน, สพฺพทา อจโล ภว;

    ‘‘Tatheva tvampi adhiṭṭhāne, sabbadā acalo bhava;

    อธิฎฺฐานปารมิตํ คนฺตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสี’’ติฯ

    Adhiṭṭhānapāramitaṃ gantvā, sambodhiṃ pāpuṇissasī’’ti.

    อถสฺส ‘‘น เอตฺตเกเหว พุทฺธการกธเมฺมหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุตฺตริปิ อุปธารยโต นวมํ เมตฺตาปารมิํ ทิสฺวา เอตทโหสิ – ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย นวมํ เมตฺตาปารมิมฺปิ ปูเรยฺยาสิฯ อหิเตสุปิ หิเตสุปิ เอกจิโตฺต ภเวยฺยาสิฯ ยถา หิ อุทกํ นาม ปาปชนสฺสาปิ กลฺยาณชนสฺสาปิ สีติภาวํ เอกสทิสํ กตฺวา ผรติ, เอวเมว ตฺวมฺปิ สพฺพสเตฺตสุ เมตฺตจิเตฺตน เอกจิโตฺตว โหโนฺต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ นวมํ เมตฺตาปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa ‘‘na ettakeheva buddhakārakadhammehi bhavitabba’’nti uttaripi upadhārayato navamaṃ mettāpāramiṃ disvā etadahosi – ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya navamaṃ mettāpāramimpi pūreyyāsi. Ahitesupi hitesupi ekacitto bhaveyyāsi. Yathā hi udakaṃ nāma pāpajanassāpi kalyāṇajanassāpi sītibhāvaṃ ekasadisaṃ katvā pharati, evameva tvampi sabbasattesu mettacittena ekacittova honto buddho bhavissasī’’ti navamaṃ mettāpāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘น เหเต เอตฺตกาเยว, พุทฺธธมฺมา ภวิสฺสเร;

    ‘‘Na hete ettakāyeva, buddhadhammā bhavissare;

    อเญฺญปิ วิจินิสฺสามิ, เย ธมฺมา โพธิปาจนาฯ

    Aññepi vicinissāmi, ye dhammā bodhipācanā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, นวมํ เมตฺตาปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, navamaṃ mettāpāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อาเสวิตนิเสวิตํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, āsevitanisevitaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ นวมํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ navamaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    เมตฺตาย อสโม โหหิ, ยทิ โพธิํ ปตฺตุมิจฺฉสิฯ

    Mettāya asamo hohi, yadi bodhiṃ pattumicchasi.

    ‘‘ยถาปิ อุทกํ นาม, กลฺยาเณ ปาปเก ชเน;

    ‘‘Yathāpi udakaṃ nāma, kalyāṇe pāpake jane;

    สมํ ผรติ สีเตน, ปวาเหติ รโชมลํฯ

    Samaṃ pharati sītena, pavāheti rajomalaṃ.

    ‘‘ตเถว ตฺวมฺปิ อหิตหิเต, สมํ เมตฺตาย ภาวย;

    ‘‘Tatheva tvampi ahitahite, samaṃ mettāya bhāvaya;

    เมตฺตาปารมิตํ คนฺตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสี’’ติฯ

    Mettāpāramitaṃ gantvā, sambodhiṃ pāpuṇissasī’’ti.

    อถสฺส ‘‘น เอตฺตเกเหว พุทฺธการกธเมฺมหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อุตฺตริปิ อุปธารยโต ทสมํ อุเปกฺขาปารมิํ ทิสฺวา เอตทโหสิ – ‘‘สุเมธปณฺฑิต, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย อุเปกฺขาปารมิมฺปิ ปูเรยฺยาสิฯ สุเขปิ ทุเกฺขปิ มชฺฌโตฺตว ภเวยฺยาสิฯ ยถา หิ ปถวี นาม สุจิมฺปิ อสุจิมฺปิ ปกฺขิปฺปมานา มชฺฌตฺตาว โหติ, เอวเมว ตฺวมฺปิ สุขทุเกฺขสุ มชฺฌโตฺตว โหโนฺต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ ทสมํ อุเปกฺขาปารมิํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athassa ‘‘na ettakeheva buddhakārakadhammehi bhavitabba’’nti uttaripi upadhārayato dasamaṃ upekkhāpāramiṃ disvā etadahosi – ‘‘sumedhapaṇḍita, tvaṃ ito paṭṭhāya upekkhāpāramimpi pūreyyāsi. Sukhepi dukkhepi majjhattova bhaveyyāsi. Yathā hi pathavī nāma sucimpi asucimpi pakkhippamānā majjhattāva hoti, evameva tvampi sukhadukkhesu majjhattova honto buddho bhavissasī’’ti dasamaṃ upekkhāpāramiṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘น เหเต เอตฺตกาเยว, พุทฺธธมฺมา ภวิสฺสเร;

    ‘‘Na hete ettakāyeva, buddhadhammā bhavissare;

    อเญฺญปิ วิจินิสฺสามิ, เย ธมฺมา โพธิปาจนาฯ

    Aññepi vicinissāmi, ye dhammā bodhipācanā.

    ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, ทสมํ อุเปกฺขาปารมิํ;

    ‘‘Vicinanto tadādakkhiṃ, dasamaṃ upekkhāpāramiṃ;

    ปุพฺพเกหิ มเหสีหิ, อาเสวิตนิเสวิตํฯ

    Pubbakehi mahesīhi, āsevitanisevitaṃ.

    ‘‘อิมํ ตฺวํ ทสมํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ dasamaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    ตุลาภูโต ทโฬฺห หุตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสิฯ

    Tulābhūto daḷho hutvā, sambodhiṃ pāpuṇissasi.

    ‘‘ยถาปิ ปถวี นาม, นิกฺขิตฺตํ อสุจิํ สุจิํ;

    ‘‘Yathāpi pathavī nāma, nikkhittaṃ asuciṃ suciṃ;

    อุเปกฺขติ อุโภเปเต, โกปานุนยวชฺชิตาฯ

    Upekkhati ubhopete, kopānunayavajjitā.

    ‘‘ตเถว ตฺวมฺปิ สุขทุเกฺข, ตุลาภูโต สทา ภว;

    ‘‘Tatheva tvampi sukhadukkhe, tulābhūto sadā bhava;

    อุเปกฺขาปารมิตํ คนฺตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสี’’ติฯ

    Upekkhāpāramitaṃ gantvā, sambodhiṃ pāpuṇissasī’’ti.

    ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘อิมสฺมิํ โลเก โพธิสเตฺตหิ ปูเรตพฺพา โพธิปริปาจนา พุทฺธการกธมฺมา เอตฺตกาเยว, ทส ปารมิโย ฐเปตฺวา อเญฺญ นตฺถิ, อิมาปิ ทส ปารมิโย อุทฺธํ อากาเสปิ นตฺถิ, เหฎฺฐา ปถวิยมฺปิ, ปุรตฺถิมาทีสุ ทิสาสุปิ นตฺถิ, มยฺหเมว ปน หทยมํสพฺภนฺตเร ปติฎฺฐิตา’’ติฯ เอวํ ตาสํ หทเย ปติฎฺฐิตภาวํ ทิสฺวา สพฺพาปิ ตา ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาย ปุนปฺปุนํ สมฺมสโนฺต อนุโลมปฎิโลมํ สมฺมสติ, ปริยเนฺต คเหตฺวา อาทิํ ปาเปติ, อาทิมฺหิ คเหตฺวา ปริยเนฺต ฐเปติ, มเชฺฌ คเหตฺวา อุภโต โอสาเปติ, อุภโต โกฎีสุ เหตฺวา มเชฺฌ โอสาเปติฯ พาหิรกภณฺฑปริจฺจาโค ทานปารมี นาม, องฺคปริจฺจาโค ทานอุปปารมี นาม, ชีวิตปริจฺจาโค ทานปรมตฺถปารมี นามาติ ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย ทส ปรมตฺถปารมิโย ยนฺตเตลํ วินิวเฎฺฎโนฺต วิย มหาเมรุํ มตฺถํ กตฺวา จกฺกวาฬมหาสมุทฺทํ อาลุเฬโนฺต วิย จ สมฺมสิฯ ตเสฺสวํ ทส ปารมิโย สมฺมสนฺตสฺส ธมฺมเตเชน จตุนหุตาธิกทฺวิโยชนสตสหสฺสพหลา อยํ มหาปถวี หตฺถินา อกฺกนฺตนฬกลาโป วิย, ปีฬิยมานํ อุจฺฉุยนฺตํ วิย จ มหาวิรวํ วิรวมานา สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ, กุลาลจกฺกํ วิย เตลยนฺตจกฺกํ วิย จ ปริพฺภมิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tato cintesi – ‘‘imasmiṃ loke bodhisattehi pūretabbā bodhiparipācanā buddhakārakadhammā ettakāyeva, dasa pāramiyo ṭhapetvā aññe natthi, imāpi dasa pāramiyo uddhaṃ ākāsepi natthi, heṭṭhā pathaviyampi, puratthimādīsu disāsupi natthi, mayhameva pana hadayamaṃsabbhantare patiṭṭhitā’’ti. Evaṃ tāsaṃ hadaye patiṭṭhitabhāvaṃ disvā sabbāpi tā daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāya punappunaṃ sammasanto anulomapaṭilomaṃ sammasati, pariyante gahetvā ādiṃ pāpeti, ādimhi gahetvā pariyante ṭhapeti, majjhe gahetvā ubhato osāpeti, ubhato koṭīsu hetvā majjhe osāpeti. Bāhirakabhaṇḍapariccāgo dānapāramī nāma, aṅgapariccāgo dānaupapāramī nāma, jīvitapariccāgo dānaparamatthapāramī nāmāti dasa pāramiyo dasa upapāramiyo dasa paramatthapāramiyo yantatelaṃ vinivaṭṭento viya mahāmeruṃ matthaṃ katvā cakkavāḷamahāsamuddaṃ āluḷento viya ca sammasi. Tassevaṃ dasa pāramiyo sammasantassa dhammatejena catunahutādhikadviyojanasatasahassabahalā ayaṃ mahāpathavī hatthinā akkantanaḷakalāpo viya, pīḷiyamānaṃ ucchuyantaṃ viya ca mahāviravaṃ viravamānā saṅkampi sampakampi sampavedhi, kulālacakkaṃ viya telayantacakkaṃ viya ca paribbhami. Tena vuttaṃ –

    ‘‘เอตฺตกาเยว เต โลเก, เย ธมฺมา โพธิปาจนา;

    ‘‘Ettakāyeva te loke, ye dhammā bodhipācanā;

    ตตุทฺธํ นตฺถิ อญฺญตฺร, ทฬฺหํ ตตฺถ ปติฎฺฐหฯ

    Tatuddhaṃ natthi aññatra, daḷhaṃ tattha patiṭṭhaha.

    ‘‘อิเม ธเมฺม สมฺมสโต, สภาวสรสลกฺขเณ;

    ‘‘Ime dhamme sammasato, sabhāvasarasalakkhaṇe;

    ธมฺมเตเชน วสุธา, ทสสหสฺสี ปกมฺปถฯ

    Dhammatejena vasudhā, dasasahassī pakampatha.

    ‘‘จลตี รวตี ปถวี, อุจฺฉุยนฺตํว ปีฬิตํ;

    ‘‘Calatī ravatī pathavī, ucchuyantaṃva pīḷitaṃ;

    เตลยเนฺต ยถา จกฺกํ, เอวํ กมฺปติ เมทนี’’ติฯ

    Telayante yathā cakkaṃ, evaṃ kampati medanī’’ti.

    มหาปถวิยา กมฺปมานาย รมฺมนครวาสิโน สณฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตา ยุคนฺตวาตพฺภาหตา มหาสาลา วิย มุจฺฉิตมุจฺฉิตาว ปปติํสุ, ฆฎาทีนิ กุลาลภาชนานิ ปวฎฺฎนฺตานิ อญฺญมญฺญํ ปหรนฺตานิ จุณฺณวิจุณฺณานิ อเหสุํฯ มหาชโน ภีตตสิโต สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กิํ นุ โข ภควา นาคาวโฎฺฎ อยํ ภูตยกฺขเทวตาสุ อญฺญตราวโฎฺฎติ น หิ มยํ เอตํ ชานาม, อปิจ โข สโพฺพปิ อยํ มหาชโน อุปทฺทุโต, กิํ นุ โข อิมสฺส โลกสฺส ปาปกํ ภวิสฺสติ, อุทาหุ กลฺยาณํ, กเถถ โน เอตํ การณ’’นฺติ อาหฯ อถ สตฺถา เตสํ กถํ สุตฺวา ‘‘ตุเมฺห มา ภายถ มา จินฺตยิตฺถ, นตฺถิ โว อิโตนิทานํ ภยํฯ โย โส มยา อชฺช สุเมธปณฺฑิโต ‘อนาคเต โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสตี’ติ พฺยากโต, โส ทส ปารมิโย สมฺมสติ, ตสฺส ทส ปารมิโย สมฺมสนฺตสฺส วิโลเฬนฺตสฺส ธมฺมเตเชน สกลทสสหสฺสิโลกธาตุ เอกปฺปหาเรน กมฺปติ, เจว, รวติ จา’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ –

    Mahāpathaviyā kampamānāya rammanagaravāsino saṇṭhātuṃ asakkontā yugantavātabbhāhatā mahāsālā viya mucchitamucchitāva papatiṃsu, ghaṭādīni kulālabhājanāni pavaṭṭantāni aññamaññaṃ paharantāni cuṇṇavicuṇṇāni ahesuṃ. Mahājano bhītatasito satthāraṃ upasaṅkamitvā ‘‘kiṃ nu kho bhagavā nāgāvaṭṭo ayaṃ bhūtayakkhadevatāsu aññatarāvaṭṭoti na hi mayaṃ etaṃ jānāma, apica kho sabbopi ayaṃ mahājano upadduto, kiṃ nu kho imassa lokassa pāpakaṃ bhavissati, udāhu kalyāṇaṃ, kathetha no etaṃ kāraṇa’’nti āha. Atha satthā tesaṃ kathaṃ sutvā ‘‘tumhe mā bhāyatha mā cintayittha, natthi vo itonidānaṃ bhayaṃ. Yo so mayā ajja sumedhapaṇḍito ‘anāgate gotamo nāma buddho bhavissatī’ti byākato, so dasa pāramiyo sammasati, tassa dasa pāramiyo sammasantassa viloḷentassa dhammatejena sakaladasasahassilokadhātu ekappahārena kampati, ceva, ravati cā’’ti āha. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ยาวตา ปริสา อาสิ, พุทฺธสฺส ปริเวสเน;

    ‘‘Yāvatā parisā āsi, buddhassa parivesane;

    ปเวธมานา สา ตตฺถ, มุจฺฉิตา เสสิ ภูมิยํฯ

    Pavedhamānā sā tattha, mucchitā sesi bhūmiyaṃ.

    ‘‘ฆฎาเนกสหสฺสานิ , กุมฺภีนญฺจ สตา พหู;

    ‘‘Ghaṭānekasahassāni , kumbhīnañca satā bahū;

    สญฺจุณฺณมถิตา ตตฺถ, อญฺญมญฺญํ ปฆฎฺฎิตาฯ

    Sañcuṇṇamathitā tattha, aññamaññaṃ paghaṭṭitā.

    ‘‘อุพฺพิคฺคา ตสิตา ภีตา, ภนฺตา พฺยธิตมานสา;

    ‘‘Ubbiggā tasitā bhītā, bhantā byadhitamānasā;

    มหาชนา สมาคมฺม, ทีปงฺกรมุปาคมุํฯ

    Mahājanā samāgamma, dīpaṅkaramupāgamuṃ.

    ‘กิํ ภวิสฺสติ โลกสฺส, กลฺยาณมถ ปาปกํ;

    ‘Kiṃ bhavissati lokassa, kalyāṇamatha pāpakaṃ;

    สโพฺพ อุปทฺทุโต โลโก, ตํ วิโนเทหิ จกฺขุม’ฯ

    Sabbo upadduto loko, taṃ vinodehi cakkhuma’.

    ‘‘เตสํ ตทา สญฺญาเปสิ, ทีปงฺกโร มหามุนิ;

    ‘‘Tesaṃ tadā saññāpesi, dīpaṅkaro mahāmuni;

    วิสฺสตฺถา โหถ มา ภาถ, อิมสฺมิํ ปถวิกมฺปเนฯ

    Vissatthā hotha mā bhātha, imasmiṃ pathavikampane.

    ‘‘ยมหํ อชฺช พฺยากาสิํ, พุโทฺธ โลเก ภวิสฺสติ;

    ‘‘Yamahaṃ ajja byākāsiṃ, buddho loke bhavissati;

    เอโส สมฺมสติ ธมฺมํ, ปุพฺพกํ ชินเสวิตํฯ

    Eso sammasati dhammaṃ, pubbakaṃ jinasevitaṃ.

    ‘‘ตสฺส สมฺมสโต ธมฺมํ, พุทฺธภูมิํ อเสสโต;

    ‘‘Tassa sammasato dhammaṃ, buddhabhūmiṃ asesato;

    เตนายํ กมฺปิตา ปถวี, ทสสหสฺสี สเทวเก’’ติฯ

    Tenāyaṃ kampitā pathavī, dasasahassī sadevake’’ti.

    มหาชโน ตถาคตสฺส วจนํ สุตฺวา หฎฺฐตุโฎฺฐ มาลาคนฺธวิเลปนํ อาทาย รมฺมนครา นิกฺขมิตฺวา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา มาลาทีหิ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา รมฺมนครเมว ปาวิสิฯ โพธิสโตฺตปิ ทส ปารมิโย สมฺมสิตฺวา วีริยํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาย นิสินฺนาสนา วุฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Mahājano tathāgatassa vacanaṃ sutvā haṭṭhatuṭṭho mālāgandhavilepanaṃ ādāya rammanagarā nikkhamitvā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā mālādīhi pūjetvā vanditvā padakkhiṇaṃ katvā rammanagarameva pāvisi. Bodhisattopi dasa pāramiyo sammasitvā vīriyaṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāya nisinnāsanā vuṭṭhāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘พุทฺธสฺส วจนํ สุตฺวา, มโน นิพฺพายิ ตาวเท;

    ‘‘Buddhassa vacanaṃ sutvā, mano nibbāyi tāvade;

    สเพฺพ มํ อุปสงฺกมฺม, ปุนาปิ อภิวนฺทิสุํฯ

    Sabbe maṃ upasaṅkamma, punāpi abhivandisuṃ.

    ‘‘สมาทิยิตฺวา พุทฺธคุณํ, ทฬฺหํ กตฺวาน มานสํ;

    ‘‘Samādiyitvā buddhaguṇaṃ, daḷhaṃ katvāna mānasaṃ;

    ทีปงฺกรํ นมสฺสิตฺวา, อาสนา วุฎฺฐหิํ ตทา’’ติฯ

    Dīpaṅkaraṃ namassitvā, āsanā vuṭṭhahiṃ tadā’’ti.

    อถ โพธิสตฺตํ อาสนา วุฎฺฐหนฺตํ สกลทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา สนฺนิปติตฺวา ทิเพฺพหิ มาลาคเนฺธหิ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อยฺย สุเมธตาปส, ตยา อชฺช ทีปงฺกรทสพลสฺส ปาทมูเล มหตี ปตฺถนา ปตฺถิตา, สา เต อนนฺตราเยน สมิชฺฌตุ, มา เต ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา อโหสิ, สรีเร อปฺปมตฺตโกปิ โรโค มา อุปฺปชฺชิ, ขิปฺปํ ปารมิโย ปูเรตฺวา สมฺมาสโมฺพธิํ ปฎิวิชฺฌฯ ยถา ปุปฺผูปคผลูปคา รุกฺขา สมเย ปุปฺผนฺติ เจว ผลนฺติ จ, ตเถว ตฺวมฺปิ สมยํ อนติกฺกมิตฺวา ขิปฺปํ สโมฺพธิมุตฺตมํ ผุสสฺสู’’ติอาทีนิ ถุติมงฺคลานิ ปยิรุทาหํสุ, เอวํ ปยิรุทาหิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน เทวฎฺฐานเมว อคมํสุฯ โพธิสโตฺตปิ เทวตาหิ อภิตฺถุโต ‘‘อหํ ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ มตฺถเก พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ วีริยํ ทฬฺหํ กตฺวา อธิฎฺฐาย นภํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา หิมวนฺตเมว อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha bodhisattaṃ āsanā vuṭṭhahantaṃ sakaladasasahassacakkavāḷadevatā sannipatitvā dibbehi mālāgandhehi pūjetvā vanditvā ‘‘ayya sumedhatāpasa, tayā ajja dīpaṅkaradasabalassa pādamūle mahatī patthanā patthitā, sā te anantarāyena samijjhatu, mā te bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā ahosi, sarīre appamattakopi rogo mā uppajji, khippaṃ pāramiyo pūretvā sammāsambodhiṃ paṭivijjha. Yathā pupphūpagaphalūpagā rukkhā samaye pupphanti ceva phalanti ca, tatheva tvampi samayaṃ anatikkamitvā khippaṃ sambodhimuttamaṃ phusassū’’tiādīni thutimaṅgalāni payirudāhaṃsu, evaṃ payirudāhitvā attano attano devaṭṭhānameva agamaṃsu. Bodhisattopi devatāhi abhitthuto ‘‘ahaṃ dasa pāramiyo pūretvā kappasatasahassādhikānaṃ catunnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ matthake buddho bhavissāmī’’ti vīriyaṃ daḷhaṃ katvā adhiṭṭhāya nabhaṃ abbhuggantvā himavantameva agamāsi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ทิพฺพํ มานุสกํ ปุปฺผํ, เทวา มานุสกา อุโภ;

    ‘‘Dibbaṃ mānusakaṃ pupphaṃ, devā mānusakā ubho;

    สโมกิรนฺติ ปุเปฺผหิ, วุฎฺฐหนฺตสฺส อาสนาฯ

    Samokiranti pupphehi, vuṭṭhahantassa āsanā.

    ‘‘เวทยนฺติ จ เต โสตฺถิํ, เทวา มานุสกา อุโภ;

    ‘‘Vedayanti ca te sotthiṃ, devā mānusakā ubho;

    มหนฺตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ, ตํ ลภสฺสุ ยถิจฺฉิตํฯ

    Mahantaṃ patthitaṃ tuyhaṃ, taṃ labhassu yathicchitaṃ.

    ‘‘สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ, โสโก โรโค วินสฺสตุ;

    ‘‘Sabbītiyo vivajjantu, soko rogo vinassatu;

    มา เต ภวนฺตฺวนฺตรายา, ผุส ขิปฺปํ โพธิมุตฺตมํฯ

    Mā te bhavantvantarāyā, phusa khippaṃ bodhimuttamaṃ.

    ‘‘ยถาปิ สมเย ปเตฺต, ปุปฺผนฺติ ปุปฺผิโน ทุมา;

    ‘‘Yathāpi samaye patte, pupphanti pupphino dumā;

    ตเถว ตฺวํ มหาวีร, พุทฺธญาเณน ปุปฺผสฺสุฯ

    Tatheva tvaṃ mahāvīra, buddhañāṇena pupphassu.

    ‘‘ยถา เย เกจิ สมฺพุทฺธา, ปูรยุํ ทส ปารมี;

    ‘‘Yathā ye keci sambuddhā, pūrayuṃ dasa pāramī;

    ตเถว ตฺวํ มหาวีร, ปูรย ทส ปารมีฯ

    Tatheva tvaṃ mahāvīra, pūraya dasa pāramī.

    ‘‘ยถา เย เกจิ สมฺพุทฺธา, โพธิมณฺฑมฺหิ พุชฺฌเร;

    ‘‘Yathā ye keci sambuddhā, bodhimaṇḍamhi bujjhare;

    ตเถว ตฺวํ มหาวีร, พุชฺฌสฺสุ ชินโพธิยํฯ

    Tatheva tvaṃ mahāvīra, bujjhassu jinabodhiyaṃ.

    ‘‘ยถา เย เกจิ สมฺพุทฺธา, ธมฺมจกฺกํ ปวตฺตยุํ;

    ‘‘Yathā ye keci sambuddhā, dhammacakkaṃ pavattayuṃ;

    ตเถว ตฺวํ มหาวีร, ธมฺมจกฺกํ ปวตฺตยฯ

    Tatheva tvaṃ mahāvīra, dhammacakkaṃ pavattaya.

    ‘‘ปุณฺณมาเย ยถา จโนฺท, ปริสุโทฺธ วิโรจติ;

    ‘‘Puṇṇamāye yathā cando, parisuddho virocati;

    ตเถว ตฺวํ ปุณฺณมโน, วิโรจ ทสสหสฺสิยํฯ

    Tatheva tvaṃ puṇṇamano, viroca dasasahassiyaṃ.

    ‘‘ราหุมุโตฺต ยถา สูริโย, ตาเปน อติโรจติ;

    ‘‘Rāhumutto yathā sūriyo, tāpena atirocati;

    ตเถว โลกา มุจฺจิตฺวา, วิโรจ สิริยา ตุวํฯ

    Tatheva lokā muccitvā, viroca siriyā tuvaṃ.

    ‘‘ยถา ยา กาจิ นทิโย, โอสรนฺติ มโหทธิํ;

    ‘‘Yathā yā kāci nadiyo, osaranti mahodadhiṃ;

    เอวํ สเทวกา โลกา, โอสรนฺตุ ตวนฺติเกฯ

    Evaṃ sadevakā lokā, osarantu tavantike.

    ‘‘เตหิ ถุตปฺปสโตฺถ โส, ทส ธเมฺม สมาทิย;

    ‘‘Tehi thutappasattho so, dasa dhamme samādiya;

    เต ธเมฺม ปริปูเรโนฺต, ปวนํ ปาวิสี ตทา’’ติฯ

    Te dhamme paripūrento, pavanaṃ pāvisī tadā’’ti.

    สุเมธกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Sumedhakathā niṭṭhitā.

    รมฺมนครวาสิโนปิ โข นครํ ปวิสิตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ อทํสุฯ สตฺถา เตสํ ธมฺมํ เทเสตฺวา มหาชนํ สรณาทีสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา รมฺมนครมฺหา นิกฺขมิตฺวา ตโต อุทฺธมฺปิ ยาวตายุกํ ติฎฺฐโนฺต สพฺพํ พุทฺธกิจฺจํ กตฺวา อนุกฺกเมน อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ ตตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ พุทฺธวํเส วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ –

    Rammanagaravāsinopi kho nagaraṃ pavisitvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ adaṃsu. Satthā tesaṃ dhammaṃ desetvā mahājanaṃ saraṇādīsu patiṭṭhāpetvā rammanagaramhā nikkhamitvā tato uddhampi yāvatāyukaṃ tiṭṭhanto sabbaṃ buddhakiccaṃ katvā anukkamena anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Tattha yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ buddhavaṃse vuttanayeneva veditabbaṃ. Vuttañhi tattha –

    ‘‘ตทา เต โภชยิตฺวาน, สสงฺฆํ โลกนายกํ;

    ‘‘Tadā te bhojayitvāna, sasaṅghaṃ lokanāyakaṃ;

    อุปคจฺฉุํ สรณํ ตสฺส, ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโนฯ

    Upagacchuṃ saraṇaṃ tassa, dīpaṅkarassa satthuno.

    ‘‘สรณาคมเน กญฺจิ, นิเวเสติ ตถาคโต;

    ‘‘Saraṇāgamane kañci, niveseti tathāgato;

    กญฺจิ ปญฺจสุ สีเลสุ, สีเล ทสวิเธ ปรํฯ

    Kañci pañcasu sīlesu, sīle dasavidhe paraṃ.

    ‘‘กสฺสจิ เทติ สามญฺญํ, จตุโร ผลมุตฺตเม;

    ‘‘Kassaci deti sāmaññaṃ, caturo phalamuttame;

    กสฺสจิ อสเม ธเมฺม, เทติ โส ปฎิสมฺภิทาฯ

    Kassaci asame dhamme, deti so paṭisambhidā.

    ‘‘กสฺสจิ วรสมาปตฺติโย, อฎฺฐ เทติ นราสโภ;

    ‘‘Kassaci varasamāpattiyo, aṭṭha deti narāsabho;

    ติโสฺส กสฺสจิ วิชฺชาโย, ฉฬภิญฺญา ปเวจฺฉติฯ

    Tisso kassaci vijjāyo, chaḷabhiññā pavecchati.

    ‘‘เตน โยเคน ชนกายํ, โอวทติ มหามุนิ;

    ‘‘Tena yogena janakāyaṃ, ovadati mahāmuni;

    เตน วิตฺถาริกํ อาสิ, โลกนาถสฺส สาสนํฯ

    Tena vitthārikaṃ āsi, lokanāthassa sāsanaṃ.

    ‘‘มหาหนุสภกฺขโนฺธ, ทีปงฺกรสนามโก;

    ‘‘Mahāhanusabhakkhandho, dīpaṅkarasanāmako;

    พหู ชเน ตารยติ, ปริโมเจติ ทุคฺคติํฯ

    Bahū jane tārayati, parimoceti duggatiṃ.

    ‘‘โพธเนยฺยํ ชนํ ทิสฺวา, สตสหเสฺสปิ โยชเน;

    ‘‘Bodhaneyyaṃ janaṃ disvā, satasahassepi yojane;

    ขเณน อุปคนฺตฺวาน, โพเธติ ตํ มหามุนิฯ

    Khaṇena upagantvāna, bodheti taṃ mahāmuni.

    ‘‘ปฐมาภิสมเย พุโทฺธ, โกฎิสตมโพธยิ;

    ‘‘Paṭhamābhisamaye buddho, koṭisatamabodhayi;

    ทุติยาภิสมเย นาโถ, นวุติโกฎิมโพธยิฯ

    Dutiyābhisamaye nātho, navutikoṭimabodhayi.

    ‘‘ยทา จ เทวภวนมฺหิ, พุโทฺธ ธมฺมมเทสยิ;

    ‘‘Yadā ca devabhavanamhi, buddho dhammamadesayi;

    นวุติโกฎิสหสฺสานํ, ตติยาภิสมโย อหุฯ

    Navutikoṭisahassānaṃ, tatiyābhisamayo ahu.

    ‘‘สนฺนิปาตา ตโย อาสุํ, ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโน;

    ‘‘Sannipātā tayo āsuṃ, dīpaṅkarassa satthuno;

    โกฎิสตสหสฺสานํ, ปฐโม อาสิ สมาคโมฯ

    Koṭisatasahassānaṃ, paṭhamo āsi samāgamo.

    ‘‘ปุน นารทกูฎมฺหิ, ปวิเวกคเต ชิเน;

    ‘‘Puna nāradakūṭamhi, pavivekagate jine;

    ขีณาสวา วีตมลา, สมิํสุ สตโกฎิโยฯ

    Khīṇāsavā vītamalā, samiṃsu satakoṭiyo.

    ‘‘ยมฺหิ กาเล มหาวีโร, สุทสฺสนสิลุจฺจเย;

    ‘‘Yamhi kāle mahāvīro, sudassanasiluccaye;

    นวุติโกฎิสหเสฺสหิ, ปวาเรสิ มหามุนิฯ

    Navutikoṭisahassehi, pavāresi mahāmuni.

    ‘‘อหํ เตน สมเยน, ชฎิโล อุคฺคตาปโน;

    ‘‘Ahaṃ tena samayena, jaṭilo uggatāpano;

    อนฺตลิกฺขมฺหิ จรโณ, ปญฺจาภิญฺญาสุ ปารคูฯ

    Antalikkhamhi caraṇo, pañcābhiññāsu pāragū.

    ‘‘ทสวีสสหสฺสานํ , ธมฺมาภิสมโย อหุ;

    ‘‘Dasavīsasahassānaṃ , dhammābhisamayo ahu;

    เอกทฺวินฺนํ อภิสมยา, คณนาโต อสงฺขิยาฯ

    Ekadvinnaṃ abhisamayā, gaṇanāto asaṅkhiyā.

    ‘‘วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ, อิทฺธํ ผีตํ อหุ ตทา;

    ‘‘Vitthārikaṃ bāhujaññaṃ, iddhaṃ phītaṃ ahu tadā;

    ทีปงฺกรสฺส ภควโต, สาสนํ สุวิโสธิตํฯ

    Dīpaṅkarassa bhagavato, sāsanaṃ suvisodhitaṃ.

    ‘‘จตฺตาริ สตสหสฺสานิ, ฉฬภิญฺญา มหิทฺธิกา;

    ‘‘Cattāri satasahassāni, chaḷabhiññā mahiddhikā;

    ทีปงฺกรํ โลกวิทุํ, ปริวาเรนฺติ สพฺพทาฯ

    Dīpaṅkaraṃ lokaviduṃ, parivārenti sabbadā.

    ‘‘เย เกจิ เตน สมเยน, ชหนฺติ มานุสํ ภวํ;

    ‘‘Ye keci tena samayena, jahanti mānusaṃ bhavaṃ;

    อปตฺตมานสา เสกฺขา, ครหิตา ภวนฺติ เตฯ

    Apattamānasā sekkhā, garahitā bhavanti te.

    ‘‘สุปุปฺผิตํ ปาวจนํ, อรหเนฺตหิ ตาทิหิ;

    ‘‘Supupphitaṃ pāvacanaṃ, arahantehi tādihi;

    ขีณาสเวหิ วิมเลหิ, อุปโสภติ สเทวเกฯ

    Khīṇāsavehi vimalehi, upasobhati sadevake.

    ‘‘นครํ รมฺมวตี นาม, สุเทโว นาม ขตฺติโย;

    ‘‘Nagaraṃ rammavatī nāma, sudevo nāma khattiyo;

    สุเมธา นาม ชนิกา, ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโนฯ

    Sumedhā nāma janikā, dīpaṅkarassa satthuno.

    ‘‘สุมงฺคโล จ ติโสฺส จ, อเหสุํ อคฺคสาวกา;

    ‘‘Sumaṅgalo ca tisso ca, ahesuṃ aggasāvakā;

    สาคโต นามุปฎฺฐาโก, ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโนฯ

    Sāgato nāmupaṭṭhāko, dīpaṅkarassa satthuno.

    ‘‘นนฺทา เจว สุนนฺทา จ, อเหสุํ อคฺคสาวิกา;

    ‘‘Nandā ceva sunandā ca, ahesuṃ aggasāvikā;

    โพธิ ตสฺส ภควโต, ปิปฺผลีติ ปวุจฺจติฯ

    Bodhi tassa bhagavato, pipphalīti pavuccati.

    ‘‘อสีติหตฺถมุเพฺพโธ, ทีปงฺกโร มหามุนิ;

    ‘‘Asītihatthamubbedho, dīpaṅkaro mahāmuni;

    โสภติ ทีปรุโกฺขว, สาลราชาว ผุลฺลิโตฯ

    Sobhati dīparukkhova, sālarājāva phullito.

    ‘‘สตสหสฺสวสฺสานิ, อายุ ตสฺส มเหสิโน;

    ‘‘Satasahassavassāni, āyu tassa mahesino;

    ตาวตา ติฎฺฐมาโน โส, ตาเรสิ ชนตํ พหุํฯ

    Tāvatā tiṭṭhamāno so, tāresi janataṃ bahuṃ.

    ‘‘โชตยิตฺวาน สทฺธมฺมํ, สนฺตาเรตฺวา มหาชนํ;

    ‘‘Jotayitvāna saddhammaṃ, santāretvā mahājanaṃ;

    ชลิตฺวา อคฺคิขโนฺธว, นิพฺพุโต โส สสาวโกฯ

    Jalitvā aggikhandhova, nibbuto so sasāvako.

    ‘‘สา จ อิทฺธิ โส จ ยโส, ตานิ จ ปาเทสุ จกฺกรตนานิ;

    ‘‘Sā ca iddhi so ca yaso, tāni ca pādesu cakkaratanāni;

    สพฺพํ ตมนฺตรหิตํ, นนุ ริตฺตา สพฺพสงฺขารา’’ติฯ

    Sabbaṃ tamantarahitaṃ, nanu rittā sabbasaṅkhārā’’ti.

    ทีปงฺกรสฺส ปน ภควโต อปรภาเค เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ อติกฺกมิตฺวา โกณฺฑโญฺญ นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต โกฎิสตสหสฺสํ, ทุติเย โกฎิสหสฺสํ, ตติเย นวุติโกฎิโยฯ ตทา โพธิสโตฺต วิชิตาวี นาม จกฺกวตฺตี หุตฺวา โกฎิสตสหสฺสสงฺขสฺส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ อทาสิฯ สตฺถา โพธิสตฺตํ ‘‘พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ โส สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา รชฺชํ นิยฺยาเทตฺวา ปพฺพชิฯ โส ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคเหตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจ อภิญฺญาโย จ อุปฺปาเทตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ โกณฺฑญฺญสฺส พุทฺธสฺส ปน รมฺมวตี นาม นครํ, สุนโนฺท นาม ขตฺติโย ปิตา, สุชาตา นาม เทวี มาตา, ภโทฺท จ สุภโทฺท จ เทฺว อคฺคสาวกา, อนุรุโทฺธ นามุปฎฺฐาโก, ติสฺสา จ อุปติสฺสา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, สาลกลฺยาณี โพธิ, อฎฺฐาสีติหตฺถุเพฺพธํ สรีรํ, วสฺสสตสหสฺสํ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ

    Dīpaṅkarassa pana bhagavato aparabhāge ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ atikkamitvā koṇḍañño nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte koṭisatasahassaṃ, dutiye koṭisahassaṃ, tatiye navutikoṭiyo. Tadā bodhisatto vijitāvī nāma cakkavattī hutvā koṭisatasahassasaṅkhassa buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ adāsi. Satthā bodhisattaṃ ‘‘buddho bhavissasī’’ti byākaritvā dhammaṃ desesi. So satthu dhammakathaṃ sutvā rajjaṃ niyyādetvā pabbaji. So tīṇi piṭakāni uggahetvā aṭṭha samāpattiyo pañca abhiññāyo ca uppādetvā aparihīnajjhāno brahmaloke nibbatti. Koṇḍaññassa buddhassa pana rammavatī nāma nagaraṃ, sunando nāma khattiyo pitā, sujātā nāma devī mātā, bhaddo ca subhaddo ca dve aggasāvakā, anuruddho nāmupaṭṭhāko, tissā ca upatissā ca dve aggasāvikā, sālakalyāṇī bodhi, aṭṭhāsītihatthubbedhaṃ sarīraṃ, vassasatasahassaṃ āyuppamāṇaṃ ahosi.

    ‘‘ทีปงฺกรสฺส อปเรน, โกณฺฑโญฺญ นาม นายโก;

    ‘‘Dīpaṅkarassa aparena, koṇḍañño nāma nāyako;

    อนนฺตเตโช อมิตยโส, อปฺปเมโยฺย ทุราสโท’’ติฯ

    Anantatejo amitayaso, appameyyo durāsado’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ อติกฺกมิตฺวา เอกสฺมิํเยว กเปฺป จตุโร พุทฺธา นิพฺพตฺติํสุ มงฺคโล, สุมโน, เรวโต, โสภิโตติฯ มงฺคลสฺส ภควโต ตโย สนฺนิปาตา อเหสุํฯ เตสุ ปฐมสนฺนิปาเต โกฎิสตสหสฺสํ ภิกฺขู อเหสุํ, ทุติเย โกฎิสหสฺสํ, ตติเย นวุติโกฎิโยฯ เวมาติกภาตา กิรสฺส อานนฺทกุมาโร นาม นวุติโกฎิสงฺขาย ปริสาย สทฺธิํ ธมฺมสฺสวนตฺถาย สตฺถุ สนฺติกํ อคมาสิฯ สตฺถา ตสฺส อนุปุพฺพิํ กถํ กเถสิ, โส สทฺธิํ ปริสาย สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ สตฺถา เตสํ กุลปุตฺตานํ ปุพฺพจริตํ โอโลเกโนฺต อิทฺธิมยปตฺตจีวรสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ทกฺขิณหตฺถํ ปสาเรตฺวา ‘‘เอถ, ภิกฺขโว’’ติ อาหฯ สเพฺพ ตงฺขณเญฺญว อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา สฎฺฐิวสฺสมหาเถรา วิย อากปฺปสมฺปนฺนา หุตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปริวารยิํสุฯ อยมสฺส ตติโย สาวกสนฺนิปาโต อโหสิฯ

    Tassa aparabhāge ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ atikkamitvā ekasmiṃyeva kappe caturo buddhā nibbattiṃsu maṅgalo, sumano, revato, sobhitoti. Maṅgalassa bhagavato tayo sannipātā ahesuṃ. Tesu paṭhamasannipāte koṭisatasahassaṃ bhikkhū ahesuṃ, dutiye koṭisahassaṃ, tatiye navutikoṭiyo. Vemātikabhātā kirassa ānandakumāro nāma navutikoṭisaṅkhāya parisāya saddhiṃ dhammassavanatthāya satthu santikaṃ agamāsi. Satthā tassa anupubbiṃ kathaṃ kathesi, so saddhiṃ parisāya saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Satthā tesaṃ kulaputtānaṃ pubbacaritaṃ olokento iddhimayapattacīvarassa upanissayaṃ disvā dakkhiṇahatthaṃ pasāretvā ‘‘etha, bhikkhavo’’ti āha. Sabbe taṅkhaṇaññeva iddhimayapattacīvaradharā saṭṭhivassamahātherā viya ākappasampannā hutvā satthāraṃ vanditvā parivārayiṃsu. Ayamassa tatiyo sāvakasannipāto ahosi.

    ยถา ปน อเญฺญสํ พุทฺธานํ สมนฺตา อสีติหตฺถปฺปมาณาเยว สรีรปฺปภา อโหสิ, น เอวํ ตสฺส ตสฺส ปน ภควโต สรีรปฺปภา นิจฺจกาลํ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิฯ รุกฺขปถวิปพฺพตสมุทฺทาทโย อนฺตมโส อุกฺขลิกาทีนิ อุปาทาย สุวณฺณปฎฺฎปริโยนทฺธา วิย อเหสุํฯ อายุปฺปมาณํ ปนสฺส นวุติวสฺสสหสฺสานิ อโหสิฯ เอตฺตกํ กาลํ จนฺทิมสูริยาทโย อตฺตโน ปภาย วิโรจิตุํ นาสกฺขิํสุ, รตฺตินฺทิวปริเจฺฉโท น ปญฺญายิตฺถฯ ทิวา สูริยาโลเกน วิย สตฺตา นิจฺจํ พุทฺธาโลเกเนว วิจริํสุ, สายํ ปุปฺผิตกุสุมานํ, ปาโต รวนกสกุณาทีนญฺจ วเสน โลโก รตฺตินฺทิวปริเจฺฉทํ สลฺลเกฺขสิฯ

    Yathā pana aññesaṃ buddhānaṃ samantā asītihatthappamāṇāyeva sarīrappabhā ahosi, na evaṃ tassa tassa pana bhagavato sarīrappabhā niccakālaṃ dasasahassilokadhātuṃ pharitvā aṭṭhāsi. Rukkhapathavipabbatasamuddādayo antamaso ukkhalikādīni upādāya suvaṇṇapaṭṭapariyonaddhā viya ahesuṃ. Āyuppamāṇaṃ panassa navutivassasahassāni ahosi. Ettakaṃ kālaṃ candimasūriyādayo attano pabhāya virocituṃ nāsakkhiṃsu, rattindivaparicchedo na paññāyittha. Divā sūriyālokena viya sattā niccaṃ buddhālokeneva vicariṃsu, sāyaṃ pupphitakusumānaṃ, pāto ravanakasakuṇādīnañca vasena loko rattindivaparicchedaṃ sallakkhesi.

    กิํ ปน อเญฺญสํ พุทฺธานํ อยมานุภาโว นตฺถีติ? โน นตฺถิฯ เตปิ หิ อากงฺขมานา ทสสหสฺสิํ วา โลกธาตุํ ตโต วา ภิโยฺย อาภาย ผเรยฺยุํฯ มงฺคลสฺส ปน ภควโต ปุพฺพปตฺถนาวเสน อเญฺญสํ พฺยามปฺปภา วิย สรีรปฺปภา นิจฺจกาลเมว ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส กิร โพธิสตฺตจริยกาเล เวสฺสนฺตรสทิเส อตฺตภาเว ฐิโต สปุตฺตทาโร วงฺกปพฺพตสทิเส ปพฺพเต วสิฯ อเถโก ขรทาฐิโก นาม ยโกฺข มหาปุริสสฺส ทานชฺฌาสยตํ สุตฺวา พฺราหฺมณวเณฺณน อุปสงฺกมิตฺวา มหาสตฺตํ เทฺว ทารเก ยาจิฯ มหาสโตฺต ‘‘ททามิ พฺราหฺมณสฺส ปุตฺตเก’’ติ หฎฺฐปหโฎฺฐ อุทกปริยนฺตํ ปถวิํ กเมฺปโนฺต เทฺวปิ ทารเก อทาสิฯ ยโกฺข จงฺกมนโกฎิยํ อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ฐตฺวา ปสฺสนฺตเสฺสว มหาสตฺตสฺส มูลกลาเป วิย เทฺว ทารเก ขาทิฯ มหาปุริสสฺส ยกฺขํ โอโลเกตฺวา มุเข วิวฎมเตฺต อคฺคิชาลํ วิย โลหิตธารํ อุคฺคิรมานํ ตสฺส มุขํ ทิสฺวาปิ เกสคฺคมตฺตมฺปิ โทมนสฺสํ น อุปฺปชฺชิฯ ‘‘สุทินฺนํ วต เม ทาน’’นฺติ จินฺตยโต ปนสฺส สรีเร มหนฺตํ ปีติโสมนสฺส อุทปาทิฯ โส ‘‘อิมสฺส เม นิสฺสเนฺทน อนาคเต อิมินาว นีหาเรน รสฺมิโย นิกฺขมนฺตู’’ติ ปตฺถนํ อกาสิฯ ตสฺส ตํ ปตฺถนํ นิสฺสาย พุทฺธภูตสฺส สรีรโต รสฺมิโย นิกฺขมิตฺวา เอตฺตกํ ฐานํ ผริํสุฯ

    Kiṃ pana aññesaṃ buddhānaṃ ayamānubhāvo natthīti? No natthi. Tepi hi ākaṅkhamānā dasasahassiṃ vā lokadhātuṃ tato vā bhiyyo ābhāya phareyyuṃ. Maṅgalassa pana bhagavato pubbapatthanāvasena aññesaṃ byāmappabhā viya sarīrappabhā niccakālameva dasasahassilokadhātuṃ pharitvā aṭṭhāsi. So kira bodhisattacariyakāle vessantarasadise attabhāve ṭhito saputtadāro vaṅkapabbatasadise pabbate vasi. Atheko kharadāṭhiko nāma yakkho mahāpurisassa dānajjhāsayataṃ sutvā brāhmaṇavaṇṇena upasaṅkamitvā mahāsattaṃ dve dārake yāci. Mahāsatto ‘‘dadāmi brāhmaṇassa puttake’’ti haṭṭhapahaṭṭho udakapariyantaṃ pathaviṃ kampento dvepi dārake adāsi. Yakkho caṅkamanakoṭiyaṃ ālambanaphalakaṃ nissāya ṭhatvā passantasseva mahāsattassa mūlakalāpe viya dve dārake khādi. Mahāpurisassa yakkhaṃ oloketvā mukhe vivaṭamatte aggijālaṃ viya lohitadhāraṃ uggiramānaṃ tassa mukhaṃ disvāpi kesaggamattampi domanassaṃ na uppajji. ‘‘Sudinnaṃ vata me dāna’’nti cintayato panassa sarīre mahantaṃ pītisomanassa udapādi. So ‘‘imassa me nissandena anāgate imināva nīhārena rasmiyo nikkhamantū’’ti patthanaṃ akāsi. Tassa taṃ patthanaṃ nissāya buddhabhūtassa sarīrato rasmiyo nikkhamitvā ettakaṃ ṭhānaṃ phariṃsu.

    อปรมฺปิสฺส ปุพฺพจริตํ อตฺถิฯ โส กิร โพธิสตฺตกาเล เอกสฺส พุทฺธสฺส เจติยํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺส พุทฺธสฺส มยา ชีวิตํ ปริจฺจชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ทณฺฑทีปิกาเวฐนนิยาเมน สกลสรีรํ เวฐาเปตฺวา รตนมตฺตมกุฬํ สตสหสฺสคฺฆนิกํ สุวณฺณปาติํ สปฺปิสฺส ปูราเปตฺวา ตตฺถ สหสฺสวฎฺฎิโย ชาลาเปตฺวา ตํ สีเสนาทาย สกลสรีรํ ชาลาเปตฺวา เจติยํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต สกลรตฺติํ วีตินาเมสิฯ เอวํ ยาว อรุณุคฺคมนา วายมนฺตสฺสาปิสฺส โลมกูปมตฺตมฺปิ อุสุมํ น คณฺหิฯ ปทุมคพฺภํ ปวิฎฺฐกาโล วิย อโหสิฯ ธโมฺม หิ นาเมส อตฺตานํ รกฺขนฺตํ รกฺขติฯ เตนาห ภควา –

    Aparampissa pubbacaritaṃ atthi. So kira bodhisattakāle ekassa buddhassa cetiyaṃ disvā ‘‘imassa buddhassa mayā jīvitaṃ pariccajituṃ vaṭṭatī’’ti daṇḍadīpikāveṭhananiyāmena sakalasarīraṃ veṭhāpetvā ratanamattamakuḷaṃ satasahassagghanikaṃ suvaṇṇapātiṃ sappissa pūrāpetvā tattha sahassavaṭṭiyo jālāpetvā taṃ sīsenādāya sakalasarīraṃ jālāpetvā cetiyaṃ padakkhiṇaṃ karonto sakalarattiṃ vītināmesi. Evaṃ yāva aruṇuggamanā vāyamantassāpissa lomakūpamattampi usumaṃ na gaṇhi. Padumagabbhaṃ paviṭṭhakālo viya ahosi. Dhammo hi nāmesa attānaṃ rakkhantaṃ rakkhati. Tenāha bhagavā –

    ‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ, ธโมฺม สุจิโณฺณ สุขมาวหาติ;

    ‘‘Dhammo have rakkhati dhammacāriṃ, dhammo suciṇṇo sukhamāvahāti;

    เอสานิสํโส ธเมฺม สุจิเณฺณ, น ทุคฺคติํ คจฺฉติ ธมฺมจารี’’ติฯ (เถรคา. ๓๐๓; ชา. ๑.๑๐.๑๐๒; ๑.๑๕.๓๘๕);

    Esānisaṃso dhamme suciṇṇe, na duggatiṃ gacchati dhammacārī’’ti. (theragā. 303; jā. 1.10.102; 1.15.385);

    อิมสฺสาปิ กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน ตสฺส ภควโต สรีโรภาโส ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิฯ

    Imassāpi kammassa nissandena tassa bhagavato sarīrobhāso dasasahassilokadhātuṃ pharitvā aṭṭhāsi.

    ตทา อมฺหากํ โพธิสโตฺต สุรุจิ นาม พฺราหฺมโณ หุตฺวา ‘‘สตฺถารํ นิมเนฺตสฺสามี’’ติ อุปสงฺกมิตฺวา มธุรธมฺมกถํ สุตฺวา ‘‘เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ พฺราหฺมณ, กิตฺตเกหิ เต ภิกฺขูหิ อโตฺถติ? ‘‘กิตฺตกา ปน โว, ภเนฺต, ปริวารภิกฺขู’’ติ อาหฯ ตทา ปน สตฺถุ ปฐมสนฺนิปาโตเยว โหติ, ตสฺมา ‘‘โกฎิสตสหสฺส’’นฺติ อาหฯ ภเนฺต, สเพฺพหิปิ สทฺธิํ มยฺหํ เคเห ภิกฺขํ คณฺหถาติฯ สตฺถา อธิวาเสสิฯ พฺราหฺมโณ สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา เคหํ คจฺฉโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เอตฺตกานํ ภิกฺขูนํ ยาคุภตฺตวตฺถาทีนิ ทาตุํ สโกฺกมิ, นิสีทนฎฺฐานํ ปน กถํ ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Tadā amhākaṃ bodhisatto suruci nāma brāhmaṇo hutvā ‘‘satthāraṃ nimantessāmī’’ti upasaṅkamitvā madhuradhammakathaṃ sutvā ‘‘sve mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhatha, bhante’’ti āha. Brāhmaṇa, kittakehi te bhikkhūhi atthoti? ‘‘Kittakā pana vo, bhante, parivārabhikkhū’’ti āha. Tadā pana satthu paṭhamasannipātoyeva hoti, tasmā ‘‘koṭisatasahassa’’nti āha. Bhante, sabbehipi saddhiṃ mayhaṃ gehe bhikkhaṃ gaṇhathāti. Satthā adhivāsesi. Brāhmaṇo svātanāya nimantetvā gehaṃ gacchanto cintesi – ‘‘ahaṃ ettakānaṃ bhikkhūnaṃ yāgubhattavatthādīni dātuṃ sakkomi, nisīdanaṭṭhānaṃ pana kathaṃ bhavissatī’’ti.

    ตสฺส สา จินฺตา จตุราสีติโยชนสหสฺสมตฺถเก ฐิตสฺส เทวรโญฺญ ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนสฺส อุณฺหภาวํ ชเนสิฯ สโกฺก ‘‘โก นุ โข มํ อิมมฺหา ฐานา จาเวตุกาโม’’ติ ทิพฺพจกฺขุนา โอโลเกโนฺต มหาปุริสํ ทิสฺวา ‘‘สุรุจิ นาม พฺราหฺมโณ พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา นิสีทนฎฺฐานตฺถาย จิเนฺตสิ, มยาปิ ตตฺถ คนฺตฺวา ปุญฺญโกฎฺฐาสํ คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ วฑฺฒกิวณฺณํ นิมฺมินิตฺวา วาสิผรสุหโตฺถ มหาปุริสสฺส ปุรโต ปาตุรโหสิฯ โส ‘‘อตฺถิ นุ โข กสฺสจิ ภติยา กตฺตพฺพ’’นฺติ อาหฯ มหาปุริโส ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ กมฺมํ กริสฺสสี’’ติ อาหฯ ‘‘มม อชานนสิปฺปํ นาม นตฺถิ, เคหํ วา มณฺฑปํ วา โย ยํ กาเรติ, ตสฺส ตํ กาตุํ ชานามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ มยฺหํ กมฺมํ อตฺถี’’ติฯ ‘‘กิํ อยฺยา’’ติ? ‘‘สฺวาตนาย เม โกฎิสตสหสฺสภิกฺขู นิมนฺติตา, เตสํ นิสีทนมณฺฑปํ กริสฺสสี’’ติฯ ‘‘อหํ นาม กเรยฺยํ, สเจ มม ภติํ ทาตุํ สกฺขิสฺสถา’’ติฯ ‘‘สกฺขิสฺสามิ ตาตา’’ติฯ ‘‘สาธุ กริสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา เอกํ ปเทสํ โอโลเกสิ, ทฺวาทสเตรสโยชนปฺปมาโณ ปเทโส กสิณมณฺฑลํ วิย สมตโล อโหสิฯ โส ‘‘เอตฺตเก ฐาเน สตฺตรตนมโย มณฺฑโป อุฎฺฐหตู’’ติ จิเนฺตตฺวา โอโลเกสิฯ ตาวเทว ปถวิํ ภินฺทิตฺวา มณฺฑโป อุฎฺฐหิฯ ตสฺส โสวณฺณมเยสุ ถเมฺภสุ รชตมยา ฆฎกา อเหสุํ, รชตมเยสุ โสวณฺณมยา, มณิตฺถเมฺภสุ ปวาฬมยา, ปวาฬตฺถเมฺภสุ มณิมยา, สตฺตรตนมเยสุ สตฺตรตนมยาว ฆฎกา อเหสุํ ฯ ตโต ‘‘มณฺฑปสฺส อนฺตรนฺตเรน กิงฺกิณิกชาลํ โอลมฺพตู’’ติ โอโลเกสิ, สห โอโลกเนเนว กิงฺกิณิกชาลํ โอลมฺพิ, ยสฺส มนฺทวาเตริตสฺส ปญฺจงฺคิกเสฺสว ตูริยสฺส มธุรสโทฺท นิคฺคจฺฉติ, ทิพฺพสงฺคีติวตฺตนกาโล วิย โหติฯ ‘‘อนฺตรนฺตรา คนฺธทามมาลาทามานิ โอลมฺพนฺตู’’ติ จิเนฺตสิ, ทามานิ โอลมฺพิํสุฯ ‘‘โกฎิสตสหสฺสสงฺขานํ ภิกฺขูนํ อาสนานิ จ อาธารกานิ จ ปถวิํ ภินฺทิตฺวา อุฎฺฐหนฺตู’’ติ จิเนฺตสิ, ตาวเทว อุฎฺฐหิํสุฯ ‘‘โกเณ โกเณ เอเกกา อุทกจาฎิโย อุฎฺฐหนฺตู’’ติ จิเนฺตสิ, อุทกจาฎิโย อุฎฺฐหิํสุฯ

    Tassa sā cintā caturāsītiyojanasahassamatthake ṭhitassa devarañño paṇḍukambalasilāsanassa uṇhabhāvaṃ janesi. Sakko ‘‘ko nu kho maṃ imamhā ṭhānā cāvetukāmo’’ti dibbacakkhunā olokento mahāpurisaṃ disvā ‘‘suruci nāma brāhmaṇo buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantetvā nisīdanaṭṭhānatthāya cintesi, mayāpi tattha gantvā puññakoṭṭhāsaṃ gahetuṃ vaṭṭatī’’ti vaḍḍhakivaṇṇaṃ nimminitvā vāsipharasuhattho mahāpurisassa purato pāturahosi. So ‘‘atthi nu kho kassaci bhatiyā kattabba’’nti āha. Mahāpuriso taṃ disvā ‘‘kiṃ kammaṃ karissasī’’ti āha. ‘‘Mama ajānanasippaṃ nāma natthi, gehaṃ vā maṇḍapaṃ vā yo yaṃ kāreti, tassa taṃ kātuṃ jānāmī’’ti. ‘‘Tena hi mayhaṃ kammaṃ atthī’’ti. ‘‘Kiṃ ayyā’’ti? ‘‘Svātanāya me koṭisatasahassabhikkhū nimantitā, tesaṃ nisīdanamaṇḍapaṃ karissasī’’ti. ‘‘Ahaṃ nāma kareyyaṃ, sace mama bhatiṃ dātuṃ sakkhissathā’’ti. ‘‘Sakkhissāmi tātā’’ti. ‘‘Sādhu karissāmī’’ti gantvā ekaṃ padesaṃ olokesi, dvādasaterasayojanappamāṇo padeso kasiṇamaṇḍalaṃ viya samatalo ahosi. So ‘‘ettake ṭhāne sattaratanamayo maṇḍapo uṭṭhahatū’’ti cintetvā olokesi. Tāvadeva pathaviṃ bhinditvā maṇḍapo uṭṭhahi. Tassa sovaṇṇamayesu thambhesu rajatamayā ghaṭakā ahesuṃ, rajatamayesu sovaṇṇamayā, maṇitthambhesu pavāḷamayā, pavāḷatthambhesu maṇimayā, sattaratanamayesu sattaratanamayāva ghaṭakā ahesuṃ . Tato ‘‘maṇḍapassa antarantarena kiṅkiṇikajālaṃ olambatū’’ti olokesi, saha olokaneneva kiṅkiṇikajālaṃ olambi, yassa mandavāteritassa pañcaṅgikasseva tūriyassa madhurasaddo niggacchati, dibbasaṅgītivattanakālo viya hoti. ‘‘Antarantarā gandhadāmamālādāmāni olambantū’’ti cintesi, dāmāni olambiṃsu. ‘‘Koṭisatasahassasaṅkhānaṃ bhikkhūnaṃ āsanāni ca ādhārakāni ca pathaviṃ bhinditvā uṭṭhahantū’’ti cintesi, tāvadeva uṭṭhahiṃsu. ‘‘Koṇe koṇe ekekā udakacāṭiyo uṭṭhahantū’’ti cintesi, udakacāṭiyo uṭṭhahiṃsu.

    เอตฺตกํ มาเปตฺวา พฺราหฺมณสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เอหิ อยฺย, ตว มณฺฑปํ โอโลเกตฺวา มยฺหํ ภติํ เทหี’’ติ อาหฯ มหาปุริโส คนฺตฺวา มณฺฑปํ โอโลเกสิ, โอโลเกนฺตเสฺสวสฺส สกลสรีรํ ปญฺจวณฺณาย ปีติยา นิรนฺตรํ ผุฎํ อโหสิฯ อถสฺส มณฺฑปํ โอโลกยโต เอตทโหสิ – ‘‘นายํ มณฺฑโป มนุสฺสภูเตน กโต, มยฺหํ ปน อชฺฌาสยํ มยฺหํ คุณํ อาคมฺม อทฺธา สกฺกภวนํ อุณฺหํ อโหสิ, ตโต สเกฺกน เทวรญฺญา อยํ มณฺฑโป การิโต ภวิสฺสตี’’ติฯ ‘‘น โข ปน เม ยุตฺตํ เอวรูเป มณฺฑเป เอกทิวสํเยว ทานํ ทาตุํ, สตฺตาหํ ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ พาหิรกทานญฺหิ กิตฺตกมฺปิ สมานํ โพธิสตฺตานํ ตุฎฺฐิํ กาตุํ น สโกฺกติ, อลงฺกตสีสํ ปน ฉินฺทิตฺวา อญฺชิตอกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา หทยมํสํ วา อุพฺพเฎฺฎตฺวา ทินฺนกาเล โพธิสตฺตานํ จาคํ นิสฺสาย ตุฎฺฐิ นาม โหติฯ อมฺหากมฺปิ หิ โพธิสตฺตสฺส สิวิชาตเก เทวสิกํ ปญฺจ กหาปณสตสหสฺสานิ วิสฺสเชฺชตฺวา จตูสุ ทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ จ ทานํ เทนฺตสฺส ตํ ทานํ จาคตุฎฺฐิํ อุปฺปาเทตุํ นาสกฺขิฯ ยทา ปนสฺส พฺราหฺมณวเณฺณน อาคนฺตฺวา สโกฺก เทวราชา อกฺขีนิ ยาจิ, ตทา ตานิ อุปฺปาเฎตฺวา ททมานเสฺสว หาโส อุปฺปชฺชิ, เกสคฺคมตฺตมฺปิ จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ นาโหสิฯ เอวํ ทานํ นิสฺสาย โพธิสตฺตานํ ติตฺติ นาม นตฺถิฯ ตสฺมา โสปิ มหาปุริโส ‘‘สตฺตาหํ มยา โกฎิสตสหสฺสสงฺขานํ ภิกฺขูนํ ทานํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตสฺมิํ มณฺฑเป พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิสีทาเปตฺวา สตฺตาหํ ควปานํ นาม ทานํ อทาสิฯ ควปานนฺติ มหเนฺต มหเนฺต โกลเมฺพ ขีรสฺส ปูเรตฺวา อุทฺธเนสุ อาโรเปตฺวา ฆนปากปเกฺก ขีเร โถเก ตณฺฑุเล ปกฺขิปิตฺวา ปกฺกมธุสกฺกราจุณฺณสปฺปีหิ อภิสงฺขตํ โภชนํ วุจฺจติฯ มนุสฺสาเยว ปน ปริวิสิตุํ นาสกฺขิํสุ, เทวาปิ เอกนฺตริกา หุตฺวา ปริวิสิํสุฯ ทฺวาทสเตรสโยชนปฺปมาณํ ฐานมฺปิ ภิกฺขู คณฺหิตุํ นปฺปโหสิเยวฯ เต ปน ภิกฺขู อตฺตโน อตฺตโน อานุภาเวน นิสีทิํสุฯ ปริโยสานทิวเส สพฺพภิกฺขูนํ ปตฺตานิ โธวาเปตฺวา เภสชฺชตฺถาย สปฺปินวนีตมธุผาณิตาทีนิ ปูเรตฺวา ติจีวเรหิ สทฺธิํ อทาสิ, สงฺฆนวกภิกฺขุนา ลทฺธจีวรสาฎกา สตสหสฺสคฺฆนกา อเหสุํฯ

    Ettakaṃ māpetvā brāhmaṇassa santikaṃ gantvā ‘‘ehi ayya, tava maṇḍapaṃ oloketvā mayhaṃ bhatiṃ dehī’’ti āha. Mahāpuriso gantvā maṇḍapaṃ olokesi, olokentassevassa sakalasarīraṃ pañcavaṇṇāya pītiyā nirantaraṃ phuṭaṃ ahosi. Athassa maṇḍapaṃ olokayato etadahosi – ‘‘nāyaṃ maṇḍapo manussabhūtena kato, mayhaṃ pana ajjhāsayaṃ mayhaṃ guṇaṃ āgamma addhā sakkabhavanaṃ uṇhaṃ ahosi, tato sakkena devaraññā ayaṃ maṇḍapo kārito bhavissatī’’ti. ‘‘Na kho pana me yuttaṃ evarūpe maṇḍape ekadivasaṃyeva dānaṃ dātuṃ, sattāhaṃ dassāmī’’ti cintesi. Bāhirakadānañhi kittakampi samānaṃ bodhisattānaṃ tuṭṭhiṃ kātuṃ na sakkoti, alaṅkatasīsaṃ pana chinditvā añjitaakkhīni uppāṭetvā hadayamaṃsaṃ vā ubbaṭṭetvā dinnakāle bodhisattānaṃ cāgaṃ nissāya tuṭṭhi nāma hoti. Amhākampi hi bodhisattassa sivijātake devasikaṃ pañca kahāpaṇasatasahassāni vissajjetvā catūsu dvāresu nagaramajjhe ca dānaṃ dentassa taṃ dānaṃ cāgatuṭṭhiṃ uppādetuṃ nāsakkhi. Yadā panassa brāhmaṇavaṇṇena āgantvā sakko devarājā akkhīni yāci, tadā tāni uppāṭetvā dadamānasseva hāso uppajji, kesaggamattampi cittassa aññathattaṃ nāhosi. Evaṃ dānaṃ nissāya bodhisattānaṃ titti nāma natthi. Tasmā sopi mahāpuriso ‘‘sattāhaṃ mayā koṭisatasahassasaṅkhānaṃ bhikkhūnaṃ dānaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā tasmiṃ maṇḍape buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nisīdāpetvā sattāhaṃ gavapānaṃ nāma dānaṃ adāsi. Gavapānanti mahante mahante kolambe khīrassa pūretvā uddhanesu āropetvā ghanapākapakke khīre thoke taṇḍule pakkhipitvā pakkamadhusakkarācuṇṇasappīhi abhisaṅkhataṃ bhojanaṃ vuccati. Manussāyeva pana parivisituṃ nāsakkhiṃsu, devāpi ekantarikā hutvā parivisiṃsu. Dvādasaterasayojanappamāṇaṃ ṭhānampi bhikkhū gaṇhituṃ nappahosiyeva. Te pana bhikkhū attano attano ānubhāvena nisīdiṃsu. Pariyosānadivase sabbabhikkhūnaṃ pattāni dhovāpetvā bhesajjatthāya sappinavanītamadhuphāṇitādīni pūretvā ticīvarehi saddhiṃ adāsi, saṅghanavakabhikkhunā laddhacīvarasāṭakā satasahassagghanakā ahesuṃ.

    สตฺถา อนุโมทนํ กโรโนฺต ‘‘อยํ ปุริโส เอวรูปํ มหาทานํ อทาสิ, โก นุ โข ภวิสฺสตี’’ติ อุปธาเรโนฺต ‘‘อนาคเต กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ ทฺวินฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ มตฺถเก โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ทิสฺวา มหาปุริสํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตฺวํ เอตฺตกํ นาม กาลํ อติกฺกมิตฺวา โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ มหาปุริโส พฺยากรณํ สุตฺวา ‘‘อหํ กิร พุโทฺธ ภวิสฺสามิ, โก เม ฆราวาเสน อโตฺถ, ปพฺพชิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตถารูปํ สมฺปตฺติํ เขฬปิณฺฑํ วิย ปหาย สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ

    Satthā anumodanaṃ karonto ‘‘ayaṃ puriso evarūpaṃ mahādānaṃ adāsi, ko nu kho bhavissatī’’ti upadhārento ‘‘anāgate kappasatasahassādhikānaṃ dvinnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ matthake gotamo nāma buddho bhavissatī’’ti disvā mahāpurisaṃ āmantetvā ‘‘tvaṃ ettakaṃ nāma kālaṃ atikkamitvā gotamo nāma buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Mahāpuriso byākaraṇaṃ sutvā ‘‘ahaṃ kira buddho bhavissāmi, ko me gharāvāsena attho, pabbajissāmī’’ti cintetvā tathārūpaṃ sampattiṃ kheḷapiṇḍaṃ viya pahāya satthu santike pabbajitvā buddhavacanaṃ uggaṇhitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā āyupariyosāne brahmaloke nibbatti.

    มงฺคลสฺส ปน ภควโต นครํ อุตฺตรํ นาม อโหสิ, ปิตาปิ อุตฺตโร นาม ขตฺติโย, มาตาปิ อุตฺตรา นาม เทวี, สุเทโว จ ธมฺมเสโน จ เทฺว อคฺคสาวกา, ปาลิโต นามุปฎฺฐาโก, สีวลี จ อโสกา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, นาครุโกฺข โพธิ, อฎฺฐาสีติหตฺถุเพฺพธํ สรีรํ อโหสิฯ นวุติวสฺสสหสฺสานิ ฐตฺวา ปรินิพฺพุเต ปน ตสฺมิํ ภควติ เอกปฺปหาเรเนว ทส จกฺกวาฬสหสฺสานิ เอกนฺธการานิ อเหสุํฯ สพฺพจกฺกวาเฬสุ มนุสฺสานํ มหนฺตํ อาโรทนปริเทวนํ อโหสิฯ

    Maṅgalassa pana bhagavato nagaraṃ uttaraṃ nāma ahosi, pitāpi uttaro nāma khattiyo, mātāpi uttarā nāma devī, sudevo ca dhammaseno ca dve aggasāvakā, pālito nāmupaṭṭhāko, sīvalī ca asokā ca dve aggasāvikā, nāgarukkho bodhi, aṭṭhāsītihatthubbedhaṃ sarīraṃ ahosi. Navutivassasahassāni ṭhatvā parinibbute pana tasmiṃ bhagavati ekappahāreneva dasa cakkavāḷasahassāni ekandhakārāni ahesuṃ. Sabbacakkavāḷesu manussānaṃ mahantaṃ ārodanaparidevanaṃ ahosi.

    ‘‘โกณฺฑญฺญสฺส อปเรน, มงฺคโล นาม นายโก;

    ‘‘Koṇḍaññassa aparena, maṅgalo nāma nāyako;

    ตมํ โลเก นิหนฺตฺวาน, ธโมฺมกฺกมภิธารยี’’ติฯ

    Tamaṃ loke nihantvāna, dhammokkamabhidhārayī’’ti.

    เอวํ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ อนฺธการํ กตฺวา ปรินิพฺพุตสฺส ตสฺส ภควโต อปรภาเค สุมโน นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต โกฎิสตสหสฺสภิกฺขู อเหสุํ, ทุติเย กญฺจนปพฺพตมฺหิ นวุติโกฎิสหสฺสานิ, ตติเย อสีติโกฎิสหสฺสานิฯ ตทา มหาสโตฺต อตุโล นาม นาคราชา อโหสิ มหิทฺธิโก มหานุภาโวฯ โส ‘‘พุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติ สุตฺวา ญาติสงฺฆปริวุโต นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา โกฎิสตสหสฺสภิกฺขุปริวารสฺส ตสฺส ภควโต ทิพฺพตูริเยหิ อุปหารํ กาเรตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา ปเจฺจกํ ทุสฺสยุคานิ ทตฺวา สรเณสุ ปติฎฺฐาสิฯ โสปิ นํ สตฺถา ‘‘อนาคเต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต นครํ เขมํ นาม อโหสิ, สุทโตฺต นาม ราชา ปิตา, สิริมา นาม มาตา, สรโณ จ ภาวิตโตฺต จ เทฺว อคฺคสาวกา, อุเทโน นามุปฎฺฐาโก, โสณา จ อุปโสณา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, นาครุโกฺข โพธิ, นวุติหตฺถุเพฺพธํ สรีรํ, นวุติเยว วสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ

    Evaṃ dasasahassilokadhātuṃ andhakāraṃ katvā parinibbutassa tassa bhagavato aparabhāge sumano nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte koṭisatasahassabhikkhū ahesuṃ, dutiye kañcanapabbatamhi navutikoṭisahassāni, tatiye asītikoṭisahassāni. Tadā mahāsatto atulo nāma nāgarājā ahosi mahiddhiko mahānubhāvo. So ‘‘buddho uppanno’’ti sutvā ñātisaṅghaparivuto nāgabhavanā nikkhamitvā koṭisatasahassabhikkhuparivārassa tassa bhagavato dibbatūriyehi upahāraṃ kāretvā mahādānaṃ pavattetvā paccekaṃ dussayugāni datvā saraṇesu patiṭṭhāsi. Sopi naṃ satthā ‘‘anāgate buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa bhagavato nagaraṃ khemaṃ nāma ahosi, sudatto nāma rājā pitā, sirimā nāma mātā, saraṇo ca bhāvitatto ca dve aggasāvakā, udeno nāmupaṭṭhāko, soṇā ca upasoṇā ca dve aggasāvikā, nāgarukkho bodhi, navutihatthubbedhaṃ sarīraṃ, navutiyeva vassasahassāni āyuppamāṇaṃ ahosi.

    ‘‘มงฺคลสฺส อปเรน, สุมโน นาม นายโก;

    ‘‘Maṅgalassa aparena, sumano nāma nāyako;

    สพฺพธเมฺมหิ อสโม, สพฺพสตฺตานมุตฺตโม’’ติฯ

    Sabbadhammehi asamo, sabbasattānamuttamo’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค เรวโต นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต คณนา นตฺถิ, ทุติเย โกฎิสตสหสฺสภิกฺขู อเหสุํ, ตถา ตติเยฯ ตทา โพธิสโตฺต อติเทโว นาม พฺราหฺมโณ หุตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สรเณสุ ปติฎฺฐาย สิรสฺมิํ อญฺชลิํ ฐเปตฺวา ตสฺส สตฺถุโน กิเลสปฺปหาเน วณฺณํ วตฺวา อุตฺตราสเงฺคน ปูชํ อกาสิฯ โสปิ นํ ‘‘พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ปน ภควโต นครํ ธญฺญวตี นาม อโหสิ, ปิตา วิปุโล นาม ขตฺติโย, มาตาปิ วิปุลา นาม เทวี, วรุโณ จ พฺรหฺมเทโว จ เทฺว อคฺคสาวกา, สมฺภโว นามุปฎฺฐาโก, ภทฺทา จ สุภทฺทา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, นาครุโกฺขว โพธิ, สรีรํ อสีติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, อายุ สฎฺฐิ วสฺสสหสฺสานีติฯ

    Tassa aparabhāge revato nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte gaṇanā natthi, dutiye koṭisatasahassabhikkhū ahesuṃ, tathā tatiye. Tadā bodhisatto atidevo nāma brāhmaṇo hutvā satthu dhammadesanaṃ sutvā saraṇesu patiṭṭhāya sirasmiṃ añjaliṃ ṭhapetvā tassa satthuno kilesappahāne vaṇṇaṃ vatvā uttarāsaṅgena pūjaṃ akāsi. Sopi naṃ ‘‘buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa pana bhagavato nagaraṃ dhaññavatī nāma ahosi, pitā vipulo nāma khattiyo, mātāpi vipulā nāma devī, varuṇo ca brahmadevo ca dve aggasāvakā, sambhavo nāmupaṭṭhāko, bhaddā ca subhaddā ca dve aggasāvikā, nāgarukkhova bodhi, sarīraṃ asītihatthubbedhaṃ ahosi, āyu saṭṭhi vassasahassānīti.

    ‘‘สุมนสฺส อปเรน, เรวโต นาม นายโก;

    ‘‘Sumanassa aparena, revato nāma nāyako;

    อนูปโม อสทิโส, อตุโล อุตฺตโม ชิโน’’ติฯ

    Anūpamo asadiso, atulo uttamo jino’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค โสภิโต นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต โกฎิสตภิกฺขู อเหสุํ, ทุติเย นวุติโกฎิโย, ตติเย อสีติโกฎิโยฯ ตทา โพธิสโตฺต อชิโต นาม พฺราหฺมโณ หุตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สรเณสุ ปติฎฺฐาย พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ อทาสิฯ โสปิ นํ ‘‘พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ปน ภควโต สุธมฺมํ นาม นครํ อโหสิ, ปิตาปิ สุธโมฺม นาม ราชา, มาตาปิ สุธมฺมา นาม เทวี, อสโม จ สุเนโตฺต จ เทฺว อคฺคสาวกา, อโนโม นามุปฎฺฐาโก, นกุลา จ สุชาตา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, นาครุโกฺขว โพธิ, อฎฺฐปณฺณาสหตฺถุเพฺพธํ สรีรํ อโหสิ, นวุติ วสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณนฺติฯ

    Tassa aparabhāge sobhito nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte koṭisatabhikkhū ahesuṃ, dutiye navutikoṭiyo, tatiye asītikoṭiyo. Tadā bodhisatto ajito nāma brāhmaṇo hutvā satthu dhammadesanaṃ sutvā saraṇesu patiṭṭhāya buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ adāsi. Sopi naṃ ‘‘buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa pana bhagavato sudhammaṃ nāma nagaraṃ ahosi, pitāpi sudhammo nāma rājā, mātāpi sudhammā nāma devī, asamo ca sunetto ca dve aggasāvakā, anomo nāmupaṭṭhāko, nakulā ca sujātā ca dve aggasāvikā, nāgarukkhova bodhi, aṭṭhapaṇṇāsahatthubbedhaṃ sarīraṃ ahosi, navuti vassasahassāni āyuppamāṇanti.

    ‘‘เรวตสฺส อปเรน, โสภิโต นาม นายโก;

    ‘‘Revatassa aparena, sobhito nāma nāyako;

    สมาหิโต สนฺตจิโตฺต, อสโม อปฺปฎิปุคฺคโล’’ติฯ

    Samāhito santacitto, asamo appaṭipuggalo’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ อติกฺกมิตฺวา เอกสฺมิํเยว กเปฺป ตโย พุทฺธา นิพฺพตฺติํสุ อโนมทสฺสี ปทุโม นารโทติฯ อโนมทสฺสิสฺส ภควโต ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต ภิกฺขู อฎฺฐสตสหสฺสานิ อเหสุํ, ทุติเย สตฺต, ตติเย ฉฯ ตทา โพธิสโตฺต เอโก ยกฺขเสนาปติ อโหสิ มหิทฺธิโก มหานุภาโว อเนกโกฎิสตสหสฺสานํ ยกฺขานํ อธิปติฯ โส ‘‘พุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติ สุตฺวา อาคนฺตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ อทาสิฯ สตฺถาปิ นํ ‘‘อนาคเต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ อโนมทสฺสิสฺส ปน ภควโต จนฺทวตี นาม นครํ อโหสิ, ยสวา นาม ราชา ปิตา, ยโสธรา นาม มาตา, นิสโภ จ อโนโม จ เทฺว อคฺคสาวกา, วรุโณ นามุปฎฺฐาโก, สุนฺทรี จ สุมนา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, อชฺชุนรุโกฺข โพธิ, อฎฺฐปณฺณาสหตฺถุเพฺพธํ สรีรํ อโหสิ, วสฺสสตสหสฺสํ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ atikkamitvā ekasmiṃyeva kappe tayo buddhā nibbattiṃsu anomadassī padumo nāradoti. Anomadassissa bhagavato tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte bhikkhū aṭṭhasatasahassāni ahesuṃ, dutiye satta, tatiye cha. Tadā bodhisatto eko yakkhasenāpati ahosi mahiddhiko mahānubhāvo anekakoṭisatasahassānaṃ yakkhānaṃ adhipati. So ‘‘buddho uppanno’’ti sutvā āgantvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ adāsi. Satthāpi naṃ ‘‘anāgate buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Anomadassissa pana bhagavato candavatī nāma nagaraṃ ahosi, yasavā nāma rājā pitā, yasodharā nāma mātā, nisabho ca anomo ca dve aggasāvakā, varuṇo nāmupaṭṭhāko, sundarī ca sumanā ca dve aggasāvikā, ajjunarukkho bodhi, aṭṭhapaṇṇāsahatthubbedhaṃ sarīraṃ ahosi, vassasatasahassaṃ āyūti.

    ‘‘โสภิตสฺส อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Sobhitassa aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    อโนมทสฺสี อมิตยโส, เตชสฺสี ทุรติกฺกโม’’ติฯ

    Anomadassī amitayaso, tejassī duratikkamo’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค ปทุโม นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย ภาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต โกฎิสตสหสฺสภิกฺขู อเหสุํ, ทุติเย ตีณิ สตสหสฺสานิ, ตติเย อคามเก อรเญฺญ มหาวนสณฺฑวาสีนํ ภิกฺขูนํ เทฺว สตสหสฺสานิฯ ตทา ตถาคเต ตสฺมิํ วนสเณฺฑ วสเนฺต โพธิสโตฺต สีโห หุตฺวา สตฺถารํ นิโรธสมาปตฺติํ สมาปนฺนํ ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปีติโสมนสฺสชาโต ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิตฺวา สตฺตาหํ พุทฺธารมฺมณปีติํ อวิชหิตฺวา ปีติสุเขเนว โคจราย อปกฺกมิตฺวา ชีวิตปริจฺจาคํ กตฺวา ปยิรุปาสมาโน อฎฺฐาสิฯ สตฺถา สตฺตาหจฺจเยน นิโรธา วุฎฺฐิโต สีหํ โอโลเกตฺวา ‘‘ภิกฺขุสเงฺฆปิ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา สงฺฆํ วนฺทิสฺสตีติ ภิกฺขุสโงฺฆ อาคจฺฉตู’’ติ จิเนฺตสิฯ ภิกฺขู ตาวเทว อาคมิํสุฯ สีโห สเงฺฆ จิตฺตํ ปสาเทสิฯ สตฺถา ตสฺส มนํ โอโลเกตฺวา ‘‘อนาคเต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ปทุมสฺส ปน ภควโต จมฺปกํ นาม นครํ อโหสิ, อสโม นาม ราชา ปิตา, อสมา นาม เทวี มาตา, สาโล จ อุปสาโล จ เทฺว อคฺคสาวกา, วรุโณ นามุปฎฺฐาโก, รามา จ สุรามา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, โสณรุโกฺข นาม โพธิ, อฎฺฐปณฺณาสหตฺถุเพฺพธํ สรีรํ อโหสิ, อายุ วสฺสสตสหสฺสนฺติฯ

    Tassa aparabhāge padumo nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo bhāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte koṭisatasahassabhikkhū ahesuṃ, dutiye tīṇi satasahassāni, tatiye agāmake araññe mahāvanasaṇḍavāsīnaṃ bhikkhūnaṃ dve satasahassāni. Tadā tathāgate tasmiṃ vanasaṇḍe vasante bodhisatto sīho hutvā satthāraṃ nirodhasamāpattiṃ samāpannaṃ disvā pasannacitto vanditvā padakkhiṇaṃ katvā pītisomanassajāto tikkhattuṃ sīhanādaṃ naditvā sattāhaṃ buddhārammaṇapītiṃ avijahitvā pītisukheneva gocarāya apakkamitvā jīvitapariccāgaṃ katvā payirupāsamāno aṭṭhāsi. Satthā sattāhaccayena nirodhā vuṭṭhito sīhaṃ oloketvā ‘‘bhikkhusaṅghepi cittaṃ pasādetvā saṅghaṃ vandissatīti bhikkhusaṅgho āgacchatū’’ti cintesi. Bhikkhū tāvadeva āgamiṃsu. Sīho saṅghe cittaṃ pasādesi. Satthā tassa manaṃ oloketvā ‘‘anāgate buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Padumassa pana bhagavato campakaṃ nāma nagaraṃ ahosi, asamo nāma rājā pitā, asamā nāma devī mātā, sālo ca upasālo ca dve aggasāvakā, varuṇo nāmupaṭṭhāko, rāmā ca surāmā ca dve aggasāvikā, soṇarukkho nāma bodhi, aṭṭhapaṇṇāsahatthubbedhaṃ sarīraṃ ahosi, āyu vassasatasahassanti.

    ‘‘อโนมทสฺสิสฺส อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Anomadassissa aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    ปทุโม นาม นาเมน, อสโม อปฺปฎิปุคฺคโล’’ติฯ

    Padumo nāma nāmena, asamo appaṭipuggalo’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค นารโท นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต โกฎิสตสหสฺสภิกฺขู อเหสุํ, ทุติเย นวุติโกฎิสหสฺสานิ, ตติเย อสีติโกฎิสหสฺสานิ ฯ ตทา โพธิสโตฺต อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ปญฺจสุ อภิญฺญาสุ อฎฺฐสุ จ สมาปตฺตีสุ จิณฺณวสี หุตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา โลหิตจนฺทเนน ปูชํ อกาสิฯ โสปิ นํ ‘‘อนาคเต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต ธญฺญวตี นาม นครํ อโหสิ, สุเทโว นาม ขตฺติโย ปิตา, อโนมา นาม มาตา, สทฺทสาโล จ ชิตมิโตฺต จ เทฺว อคฺคสาวกา, วาเสโฎฺฐ นามุปฎฺฐาโก , อุตฺตรา จ ผคฺคุนี จ เทฺว อคฺคสาวิกา, มหาโสณรุโกฺข นาม โพธิ, สรีรํ อฎฺฐาสีติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, นวุติวสฺสสหสฺสานิ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge nārado nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte koṭisatasahassabhikkhū ahesuṃ, dutiye navutikoṭisahassāni, tatiye asītikoṭisahassāni . Tadā bodhisatto isipabbajjaṃ pabbajitvā pañcasu abhiññāsu aṭṭhasu ca samāpattīsu ciṇṇavasī hutvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā lohitacandanena pūjaṃ akāsi. Sopi naṃ ‘‘anāgate buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa bhagavato dhaññavatī nāma nagaraṃ ahosi, sudevo nāma khattiyo pitā, anomā nāma mātā, saddasālo ca jitamitto ca dve aggasāvakā, vāseṭṭho nāmupaṭṭhāko , uttarā ca phaggunī ca dve aggasāvikā, mahāsoṇarukkho nāma bodhi, sarīraṃ aṭṭhāsītihatthubbedhaṃ ahosi, navutivassasahassāni āyūti.

    ‘‘ปทุมสฺส อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Padumassa aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    นารโท นาม นาเมน, อสโม อปฺปฎิปุคฺคโล’’ติฯ

    Nārado nāma nāmena, asamo appaṭipuggalo’’ti.

    นารทพุทฺธสฺส อปรภาเค เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ อติกฺกมิตฺวา อิโต สตสหสฺสกปฺปมตฺถเก เอกสฺมิํ กเปฺป เอโกว ปทุมุตฺตรพุโทฺธ นาม อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐเม โกฎิสตสหสฺสภิกฺขู อเหสุํ, ทุติเย เวภารปพฺพเต นวุติโกฎิสหสฺสานิ, ตติเย อสีติโกฎิสหสฺสานิฯ ตทา โพธิสโตฺต ชฎิโล นาม มหารฎฺฐิโย หุตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สจีวรํ ทานํ อทาสิฯ โสปิ นํ ‘‘อนาคเต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ปทุมุตฺตรสฺส ปน ภควโต กาเล ติตฺถิยา นาม นาเหสุํฯ สเพฺพ เทวมนุสฺสา พุทฺธเมว สรณํ อคมํสุฯ ตสฺส นครํ หํสวตี นาม อโหสิ, ปิตา อานโนฺท นาม ขตฺติโย, มาตา สุชาตา นาม เทวี, เทวโล จ สุชาโต จ เทฺว อคฺคสาวกา, สุมโน นามุปฎฺฐาโก, อมิตา จ อสมา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, สลลรุโกฺข โพธิ, สรีรํ อฎฺฐปณฺณาสหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, สรีรปฺปภา สมนฺตโต ทฺวาทส โยชนานิ คณฺหิ, วสฺสสตสหสฺสํ อายูติฯ

    Nāradabuddhassa aparabhāge ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ atikkamitvā ito satasahassakappamatthake ekasmiṃ kappe ekova padumuttarabuddho nāma udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhame koṭisatasahassabhikkhū ahesuṃ, dutiye vebhārapabbate navutikoṭisahassāni, tatiye asītikoṭisahassāni. Tadā bodhisatto jaṭilo nāma mahāraṭṭhiyo hutvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sacīvaraṃ dānaṃ adāsi. Sopi naṃ ‘‘anāgate buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Padumuttarassa pana bhagavato kāle titthiyā nāma nāhesuṃ. Sabbe devamanussā buddhameva saraṇaṃ agamaṃsu. Tassa nagaraṃ haṃsavatī nāma ahosi, pitā ānando nāma khattiyo, mātā sujātā nāma devī, devalo ca sujāto ca dve aggasāvakā, sumano nāmupaṭṭhāko, amitā ca asamā ca dve aggasāvikā, salalarukkho bodhi, sarīraṃ aṭṭhapaṇṇāsahatthubbedhaṃ ahosi, sarīrappabhā samantato dvādasa yojanāni gaṇhi, vassasatasahassaṃ āyūti.

    ‘‘นารทสฺส อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Nāradassa aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน, อโกฺขโภ สาครูปโม’’ติฯ

    Padumuttaro nāma jino, akkhobho sāgarūpamo’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค สตฺตติ กปฺปสหสฺสานิ อติกฺกมิตฺวา สุเมโธ สุชาโต จาติ เอกสฺมิํ กเปฺป เทฺว พุทฺธา นิพฺพตฺติํสุฯ สุเมธสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํ, ปฐมสนฺนิปาเต สุทสฺสนนคเร โกฎิสตขีณาสวา อเหสุํ, ทุติเย ปน นวุติโกฎิโย, ตติเย อสีติโกฎิโยฯ ตทา โพธิสโตฺต อุตฺตโร นาม มาณโว หุตฺวา นิทหิตฺวา ฐปิตํเยว อสีติโกฎิธนํ วิสฺสเชฺชตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา สรเณสุ ปติฎฺฐาย นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิฯ โสปิ นํ ‘‘อนาคเต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ สุเมธสฺส ภควโต สุทสฺสนํ นาม นครํ อโหสิ, สุทโตฺต นาม ราชา ปิตา, มาตาปิ สุทตฺตา นาม, สรโณ จ สพฺพกาโม จ เทฺว อคฺคสาวกา, สาคโร นามุปฎฺฐาโก, รามา จ สุรามา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, มหานีปรุโกฺข โพธิ, สรีรํ อฎฺฐาสีติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, อายุ นวุติ วสฺสสหสฺสานีติฯ

    Tassa aparabhāge sattati kappasahassāni atikkamitvā sumedho sujāto cāti ekasmiṃ kappe dve buddhā nibbattiṃsu. Sumedhassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ, paṭhamasannipāte sudassananagare koṭisatakhīṇāsavā ahesuṃ, dutiye pana navutikoṭiyo, tatiye asītikoṭiyo. Tadā bodhisatto uttaro nāma māṇavo hutvā nidahitvā ṭhapitaṃyeva asītikoṭidhanaṃ vissajjetvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā dhammaṃ sutvā saraṇesu patiṭṭhāya nikkhamitvā pabbaji. Sopi naṃ ‘‘anāgate buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Sumedhassa bhagavato sudassanaṃ nāma nagaraṃ ahosi, sudatto nāma rājā pitā, mātāpi sudattā nāma, saraṇo ca sabbakāmo ca dve aggasāvakā, sāgaro nāmupaṭṭhāko, rāmā ca surāmā ca dve aggasāvikā, mahānīparukkho bodhi, sarīraṃ aṭṭhāsītihatthubbedhaṃ ahosi, āyu navuti vassasahassānīti.

    ‘‘ปทุมุตฺตรสฺส อปเรน, สุเมโธ นาม นายโก;

    ‘‘Padumuttarassa aparena, sumedho nāma nāyako;

    ทุราสโท อุคฺคเตโช, สพฺพโลกุตฺตโม มุนี’’ติฯ

    Durāsado uggatejo, sabbalokuttamo munī’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค สุชาโต นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต สฎฺฐิ ภิกฺขุสตสหสฺสานิ อเหสุํ, ทุติเย ปญฺญาสํ, ตติเย จตฺตาลีสํฯ ตทา โพธิสโตฺต จกฺกวตฺติราชา หุตฺวา ‘‘พุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติ สุตฺวา อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สทฺธิํ สตฺตหิ รตเนหิ จตุมหาทีปรชฺชํ ทตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิฯ สกลรฎฺฐวาสิโน รฎฺฐุปฺปาทํ คเหตฺวา อารามิกกิจฺจํ สาเธนฺตา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส นิจฺจํ มหาทานํ อทํสุฯ โสปิ นํ สตฺถา ‘‘อนาคเต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต นครํ สุมงฺคลํ นาม อโหสิ, อุคฺคโต นาม ราชา ปิตา, ปภาวตี นาม มาตา, สุทสฺสโน จ สุเทโว จ เทฺว อคฺคสาวกา, นารโท นามุปฎฺฐาโก, นาคา จ นาคสมาลา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, มหาเวฬุรุโกฺข โพธิฯ โส กิร มนฺทจฺฉิโทฺท ฆนกฺขโนฺธ อุปริ นิคฺคตาหิ มหาสาขาหิ โมรปิญฺฉกลาโป วิย วิโรจิตฺถฯ ตสฺส ภควโต สรีรํ ปณฺณาสหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, อายุ นวุติ วสฺสสหสฺสานีติฯ

    Tassa aparabhāge sujāto nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte saṭṭhi bhikkhusatasahassāni ahesuṃ, dutiye paññāsaṃ, tatiye cattālīsaṃ. Tadā bodhisatto cakkavattirājā hutvā ‘‘buddho uppanno’’ti sutvā upasaṅkamitvā dhammaṃ sutvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa saddhiṃ sattahi ratanehi catumahādīparajjaṃ datvā satthu santike pabbaji. Sakalaraṭṭhavāsino raṭṭhuppādaṃ gahetvā ārāmikakiccaṃ sādhentā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa niccaṃ mahādānaṃ adaṃsu. Sopi naṃ satthā ‘‘anāgate buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa bhagavato nagaraṃ sumaṅgalaṃ nāma ahosi, uggato nāma rājā pitā, pabhāvatī nāma mātā, sudassano ca sudevo ca dve aggasāvakā, nārado nāmupaṭṭhāko, nāgā ca nāgasamālā ca dve aggasāvikā, mahāveḷurukkho bodhi. So kira mandacchiddo ghanakkhandho upari niggatāhi mahāsākhāhi morapiñchakalāpo viya virocittha. Tassa bhagavato sarīraṃ paṇṇāsahatthubbedhaṃ ahosi, āyu navuti vassasahassānīti.

    ‘‘ตเตฺถว มณฺฑกปฺปมฺหิ, สุชาโต นาม นายโก;

    ‘‘Tattheva maṇḍakappamhi, sujāto nāma nāyako;

    สีหหนุสภกฺขโนฺธ, อปฺปเมโยฺย ทุราสโท’’ติฯ

    Sīhahanusabhakkhandho, appameyyo durāsado’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค อิโต อฎฺฐารสกปฺปสตมตฺถเก เอกสฺมิํ กเปฺป ปิยทสฺสี, อตฺถทสฺสี, ธมฺมทสฺสีติ ตโย พุทฺธา นิพฺพตฺติํสุฯ ปิยทสฺสิสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐเม โกฎิสตสหสฺสา ภิกฺขู อเหสุํ, ทุติเย นวุติโกฎิโย, ตติเย อสีติโกฎิโยฯ ตทา โพธิสโตฺต กสฺสโป นาม มาณโว ติณฺณํ เวทานํ ปารํ คโต หุตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา โกฎิสตสหสฺสธนปริจฺจาเคน สงฺฆารามํ กาเรตฺวา สรเณสุ จ สีเลสุ จ ปติฎฺฐาสิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘อฎฺฐารสกปฺปสตจฺจเยน พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต อโนมํ นาม นครํ อโหสิ, ปิตา สุทิโนฺน นาม ราชา, มาตา จนฺทา นาม เทวี, ปาลิโต จ สพฺพทสฺสี จ เทฺว อคฺคสาวกา, โสภิโต นามุปฎฺฐาโก, สุชาตา จ ธมฺมทินฺนา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, กกุธรุโกฺข โพธิ, สรีรํ อสีติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, นวุติ วสฺสสหสฺสานิ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge ito aṭṭhārasakappasatamatthake ekasmiṃ kappe piyadassī, atthadassī, dhammadassīti tayo buddhā nibbattiṃsu. Piyadassissāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhame koṭisatasahassā bhikkhū ahesuṃ, dutiye navutikoṭiyo, tatiye asītikoṭiyo. Tadā bodhisatto kassapo nāma māṇavo tiṇṇaṃ vedānaṃ pāraṃ gato hutvā satthu dhammadesanaṃ sutvā koṭisatasahassadhanapariccāgena saṅghārāmaṃ kāretvā saraṇesu ca sīlesu ca patiṭṭhāsi. Atha naṃ satthā ‘‘aṭṭhārasakappasataccayena buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa bhagavato anomaṃ nāma nagaraṃ ahosi, pitā sudinno nāma rājā, mātā candā nāma devī, pālito ca sabbadassī ca dve aggasāvakā, sobhito nāmupaṭṭhāko, sujātā ca dhammadinnā ca dve aggasāvikā, kakudharukkho bodhi, sarīraṃ asītihatthubbedhaṃ ahosi, navuti vassasahassāni āyūti.

    ‘‘สุชาตสฺส อปเรน, สยมฺภู โลกนายโก;

    ‘‘Sujātassa aparena, sayambhū lokanāyako;

    ทุราสโท อสมสโม, ปิยทสฺสี มหายโส’’ติฯ

    Durāsado asamasamo, piyadassī mahāyaso’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค อตฺถทสฺสี นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐเม อฎฺฐนวุติ ภิกฺขุสตสหสฺสานิ อเหสุํ, ทุติเย อฎฺฐาสีติสตสหสฺสานิ, ตถา ตติเยฯ ตทา โพธิสโตฺต สุสีโม นาม มหิทฺธิโก ตาปโส หุตฺวา เทวโลกโต มนฺทารวปุปฺผจฺฉตฺตํ อาหริตฺวา สตฺถารํ ปูเชสิ, โสปิ นํ ‘‘อนาคเต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต โสภิตํ นาม นครํ อโหสิ, สาคโร นาม ราชา ปิตา, สุทสฺสนา นาม มาตา, สโนฺต จ อุปสโนฺต จ เทฺว อคฺคสาวกา, อภโย นามุปฎฺฐาโก, ธมฺมา จ สุธมฺมา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, จมฺปกรุโกฺข โพธิ, สรีรํ อสีติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, สรีรปฺปภา สมนฺตโต สพฺพกาลํ โยชนมตฺตํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิ, อายุ วสฺสสตสหสฺสนฺติฯ

    Tassa aparabhāge atthadassī nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhame aṭṭhanavuti bhikkhusatasahassāni ahesuṃ, dutiye aṭṭhāsītisatasahassāni, tathā tatiye. Tadā bodhisatto susīmo nāma mahiddhiko tāpaso hutvā devalokato mandāravapupphacchattaṃ āharitvā satthāraṃ pūjesi, sopi naṃ ‘‘anāgate buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa bhagavato sobhitaṃ nāma nagaraṃ ahosi, sāgaro nāma rājā pitā, sudassanā nāma mātā, santo ca upasanto ca dve aggasāvakā, abhayo nāmupaṭṭhāko, dhammā ca sudhammā ca dve aggasāvikā, campakarukkho bodhi, sarīraṃ asītihatthubbedhaṃ ahosi, sarīrappabhā samantato sabbakālaṃ yojanamattaṃ pharitvā aṭṭhāsi, āyu vassasatasahassanti.

    ‘‘ตเตฺถว มณฺฑกปฺปมฺหิ, อตฺถทสฺสี นราสโภ;

    ‘‘Tattheva maṇḍakappamhi, atthadassī narāsabho;

    มหาตมํ นิหนฺตฺวาน, ปโตฺต สโมฺพธิมุตฺตม’’นฺติฯ

    Mahātamaṃ nihantvāna, patto sambodhimuttama’’nti.

    ตสฺส อปรภาเค ธมฺมทสฺสี นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐเม โกฎิสตํ ภิกฺขู อเหสุํ, ทุติเย สตฺตติโกฎิโย, ตติเย อสีติโกฎิโยฯ ตทา โพธิสโตฺต สโกฺก เทวราชา หุตฺวา ทิพฺพคนฺธปุเปฺผหิ จ ทิพฺพตูริเยหิ จ ปูชํ อกาสิ, โสปิ นํ ‘‘อนาคเต พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต สรณํ นาม นครํ อโหสิ, ปิตา สรโณ นาม ราชา, มาตา สุนนฺทา นาม, ปทุโม จ ผุสฺสเทโว จ เทฺว อคฺคสาวกา, สุเนโตฺต นามุปฎฺฐาโก , เขมา จ สพฺพนามา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, รตฺตงฺกุรรุโกฺข โพธิ, ‘‘พิมฺพิชาโล’’ติปิ วุจฺจติ, สรีรํ ปนสฺส อสีติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, วสฺสสตสหสฺสํ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge dhammadassī nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhame koṭisataṃ bhikkhū ahesuṃ, dutiye sattatikoṭiyo, tatiye asītikoṭiyo. Tadā bodhisatto sakko devarājā hutvā dibbagandhapupphehi ca dibbatūriyehi ca pūjaṃ akāsi, sopi naṃ ‘‘anāgate buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa bhagavato saraṇaṃ nāma nagaraṃ ahosi, pitā saraṇo nāma rājā, mātā sunandā nāma, padumo ca phussadevo ca dve aggasāvakā, sunetto nāmupaṭṭhāko , khemā ca sabbanāmā ca dve aggasāvikā, rattaṅkurarukkho bodhi, ‘‘bimbijālo’’tipi vuccati, sarīraṃ panassa asītihatthubbedhaṃ ahosi, vassasatasahassaṃ āyūti.

    ‘‘ตเตฺถว มณฺฑกปฺปมฺหิ, ธมฺมทสฺสี มหายโส;

    ‘‘Tattheva maṇḍakappamhi, dhammadassī mahāyaso;

    ตมนฺธการํ วิธมิตฺวา, อติโรจติ สเทวเก’’ติฯ

    Tamandhakāraṃ vidhamitvā, atirocati sadevake’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค อิโต จตุนวุติกปฺปมตฺถเก เอกสฺมิํ กเปฺป เอโกว สิทฺธโตฺถ นาม พุโทฺธ อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต โกฎิสตสหสฺสํ ภิกฺขู อเหสุํ, ทุติเย นวุติโกฎิโย, ตติเย อสีติโกฎิโยฯ ตทา โพธิสโตฺต อุคฺคเตโช อภิญฺญาพลสมฺปโนฺน มงฺคโล นาม ตาปโส หุตฺวา มหาชมฺพุผลํ อาหริตฺวา ตถาคตสฺส อทาสิฯ สตฺถา ตํ ผลํ ปริภุญฺชิตฺวา ‘‘จตุนวุติกปฺปมตฺถเก พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ โพธิสตฺตํ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต นครํ เวภารํ นาม อโหสิ, ปิตา ชยเสโน นาม ราชา, มาตา สุผสฺสา นาม, สมฺพโล จ สุมิโตฺต จ เทฺว อคฺคสาวกา, เรวโต นามุปฎฺฐาโก, สีวลี จ สุรามา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, กณิการรุโกฺข โพธิ, สรีรํ สฎฺฐิหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, วสฺสสตสหสฺสํ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge ito catunavutikappamatthake ekasmiṃ kappe ekova siddhattho nāma buddho udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte koṭisatasahassaṃ bhikkhū ahesuṃ, dutiye navutikoṭiyo, tatiye asītikoṭiyo. Tadā bodhisatto uggatejo abhiññābalasampanno maṅgalo nāma tāpaso hutvā mahājambuphalaṃ āharitvā tathāgatassa adāsi. Satthā taṃ phalaṃ paribhuñjitvā ‘‘catunavutikappamatthake buddho bhavissasī’’ti bodhisattaṃ byākāsi. Tassa bhagavato nagaraṃ vebhāraṃ nāma ahosi, pitā jayaseno nāma rājā, mātā suphassā nāma, sambalo ca sumitto ca dve aggasāvakā, revato nāmupaṭṭhāko, sīvalī ca surāmā ca dve aggasāvikā, kaṇikārarukkho bodhi, sarīraṃ saṭṭhihatthubbedhaṃ ahosi, vassasatasahassaṃ āyūti.

    ‘‘ธมฺมทสฺสิสฺส อปเรน, สิทฺธโตฺถ นาม นายโก;

    ‘‘Dhammadassissa aparena, siddhattho nāma nāyako;

    นิหนิตฺวา ตมํ สพฺพํ, สูริโย อพฺภุคฺคโต ยถา’’ติฯ

    Nihanitvā tamaṃ sabbaṃ, sūriyo abbhuggato yathā’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค อิโต ทฺวานวุติกปฺปมตฺถเก ติโสฺส ผุโสฺสติ เอกสฺมิํ กเปฺป เทฺว พุทฺธา นิพฺพตฺติํสุฯ ติสฺสสฺส ภควโต ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต ภิกฺขูนํ โกฎิสตํ อโหสิ, ทุติเย นวุติโกฎิโย, ตติเย อสีติโกฎิโยฯ ตทา โพธิสโตฺต มหาโภโค มหายโส สุชาโต นาม ขตฺติโย หุตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา มหิทฺธิกภาวํ ปตฺวา ‘‘พุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติ สุตฺวา ทิพฺพมนฺทารวปทุมปาริจฺฉตฺตกปุปฺผานิ อาทาย จตุปริสมเชฺฌ คจฺฉนฺตํ ตถาคตํ ปูเชสิ, อากาเส ปุปฺผวิตานํ อกาสิฯ โสปิ นํ สตฺถา ‘‘อิโต ทฺวานวุติกเปฺป พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต เขมํ นาม นครํ อโหสิ, ปิตา ชนสโนฺธ นาม ขตฺติโย, มาตา ปทุมา นาม , พฺรหฺมเทโว จ อุทโย จ เทฺว อคฺคสาวกา, สมโงฺค นามุปฎฺฐาโก, ผุสฺสา จ สุทตฺตา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, อสนรุโกฺข โพธิ, สรีรํ สฎฺฐิหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, วสฺสสตสหสฺสํ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge ito dvānavutikappamatthake tisso phussoti ekasmiṃ kappe dve buddhā nibbattiṃsu. Tissassa bhagavato tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte bhikkhūnaṃ koṭisataṃ ahosi, dutiye navutikoṭiyo, tatiye asītikoṭiyo. Tadā bodhisatto mahābhogo mahāyaso sujāto nāma khattiyo hutvā isipabbajjaṃ pabbajitvā mahiddhikabhāvaṃ patvā ‘‘buddho uppanno’’ti sutvā dibbamandāravapadumapāricchattakapupphāni ādāya catuparisamajjhe gacchantaṃ tathāgataṃ pūjesi, ākāse pupphavitānaṃ akāsi. Sopi naṃ satthā ‘‘ito dvānavutikappe buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa bhagavato khemaṃ nāma nagaraṃ ahosi, pitā janasandho nāma khattiyo, mātā padumā nāma , brahmadevo ca udayo ca dve aggasāvakā, samaṅgo nāmupaṭṭhāko, phussā ca sudattā ca dve aggasāvikā, asanarukkho bodhi, sarīraṃ saṭṭhihatthubbedhaṃ ahosi, vassasatasahassaṃ āyūti.

    ‘‘สิทฺธตฺถสฺส อปเรน, อสโม อปฺปฎิปุคฺคโล;

    ‘‘Siddhatthassa aparena, asamo appaṭipuggalo;

    อนนฺตสีโล อมิตยโส, ติโสฺส โลกคฺคนายโก’’ติฯ

    Anantasīlo amitayaso, tisso lokagganāyako’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค ผุโสฺส นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต สฎฺฐิ ภิกฺขุสตสหสฺสานิ อเหสุํ, ทุติเย ปณฺณาส, ตติเย ทฺวตฺติํสฯ ตทา โพธิสโตฺต วิชิตาวี นาม ขตฺติโย หุตฺวา มหารชฺชํ ปหาย สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคเหตฺวา มหาชนสฺส ธมฺมกถํ กเถสิ, สีลปารมิญฺจ ปูเรสิฯ โสปิ นํ ‘‘พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ ตเถว พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต กาสี นาม นครํ อโหสิ, ชยเสโน นาม ราชา ปิตา, สิริมา นาม มาตา, สุรกฺขิโต จ ธมฺมเสโน จ เทฺว อคฺคสาวกา, สภิโย นามุปฎฺฐาโก, จาลา จ อุปจาลา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, อามลกรุโกฺข โพธิ, สรีรํ อฎฺฐปณฺณาสหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, นวุติ วสฺสสหสฺสานิ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge phusso nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte saṭṭhi bhikkhusatasahassāni ahesuṃ, dutiye paṇṇāsa, tatiye dvattiṃsa. Tadā bodhisatto vijitāvī nāma khattiyo hutvā mahārajjaṃ pahāya satthu santike pabbajitvā tīṇi piṭakāni uggahetvā mahājanassa dhammakathaṃ kathesi, sīlapāramiñca pūresi. Sopi naṃ ‘‘buddho bhavissasī’’ti tatheva byākāsi. Tassa bhagavato kāsī nāma nagaraṃ ahosi, jayaseno nāma rājā pitā, sirimā nāma mātā, surakkhito ca dhammaseno ca dve aggasāvakā, sabhiyo nāmupaṭṭhāko, cālā ca upacālā ca dve aggasāvikā, āmalakarukkho bodhi, sarīraṃ aṭṭhapaṇṇāsahatthubbedhaṃ ahosi, navuti vassasahassāni āyūti.

    ‘‘ตเตฺถว มณฺฑกปฺปมฺหิ, อหุ สตฺถา อนุตฺตโร;

    ‘‘Tattheva maṇḍakappamhi, ahu satthā anuttaro;

    อนูปโม อสมสโม, ผุโสฺส โลกคฺคนายโก’’ติฯ

    Anūpamo asamasamo, phusso lokagganāyako’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค อิโต เอกนวุติกเปฺป วิปสฺสี นาม ภควา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต อฎฺฐสฎฺฐิ ภิกฺขุสตสหสฺสํ อโหสิ, ทุติเย เอกสตสหสฺสํ, ตติเย อสีติสหสฺสานิฯ ตทา โพธิสโตฺต มหิทฺธิโก มหานุภาโว อตุโล นาม นาคราชา หุตฺวา สตฺตรตนขจิตํ โสวณฺณมยํ มหาปีฐํ ภควโต อทาสิฯ โสปิ นํ ‘‘อิโต เอกนวุติกเปฺป พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต พนฺธุมตี นาม นครํ อโหสิ, พนฺธุมา นาม ราชา ปิตา, พนฺธุมตี นาม มาตา, ขโณฺฑ จ ติโสฺส จ เทฺว อคฺคสาวกา, อโสโก นามุปฎฺฐาโก, จนฺทา จ จนฺทมิตฺตา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, ปาฎลิรุโกฺข โพธิ, สรีรํ อสีติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, สรีรปฺปภา สทา สตฺต โยชนานิ ผริตฺวา อฎฺฐาสิ, อสีติ วสฺสสหสฺสานิ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge ito ekanavutikappe vipassī nāma bhagavā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte aṭṭhasaṭṭhi bhikkhusatasahassaṃ ahosi, dutiye ekasatasahassaṃ, tatiye asītisahassāni. Tadā bodhisatto mahiddhiko mahānubhāvo atulo nāma nāgarājā hutvā sattaratanakhacitaṃ sovaṇṇamayaṃ mahāpīṭhaṃ bhagavato adāsi. Sopi naṃ ‘‘ito ekanavutikappe buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa bhagavato bandhumatī nāma nagaraṃ ahosi, bandhumā nāma rājā pitā, bandhumatī nāma mātā, khaṇḍo ca tisso ca dve aggasāvakā, asoko nāmupaṭṭhāko, candā ca candamittā ca dve aggasāvikā, pāṭalirukkho bodhi, sarīraṃ asītihatthubbedhaṃ ahosi, sarīrappabhā sadā satta yojanāni pharitvā aṭṭhāsi, asīti vassasahassāni āyūti.

    ‘‘ผุสฺสสฺส จ อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Phussassa ca aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    วิปสฺสี นาม นาเมน, โลเก อุปฺปชฺชิ จกฺขุมา’’ติฯ

    Vipassī nāma nāmena, loke uppajji cakkhumā’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค อิโต เอกติํสกเปฺป สิขีเวสฺสภู จาติ เทฺว พุทฺธา อเหสุํฯ สิขิสฺสาปิ ภควโต ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต ภิกฺขุสตสหสฺสํ อโหสิ, ทุติเย อสีติสหสฺสานิ, ตติเย สตฺตตฺติสหสฺสานิฯ ตทา โพธิสโตฺต อรินฺทโม นาม ราชา หุตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สจีวรํ มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา สตฺตรตนปฎิมณฺฑิตํ หตฺถิรตนํ ทตฺวา หตฺถิปฺปมาณํ กตฺวา กปฺปิยภณฺฑํ อทาสิฯ โสปิ นํ ‘‘อิโต กติํสกเปฺป พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต อรุณวตี นาม นครํ อโหสิ, อรุโณ นาม ขตฺติโย ปิตา, ปภาวตี นาม มาตา, อภิภู จ สมฺภโว จ เทฺว อคฺคสาวกา, เขมงฺกโร นามุปฎฺฐาโก, สขิลา จ ปทุมา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, ปุณฺฑรีกรุโกฺข โพธิ, สรีรํ สตฺตติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, สรีรปฺปภา โยชนตฺตยํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิ, สตฺตติ วสฺสสหสฺสานิ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge ito ekatiṃsakappe sikhī ca vessabhū cāti dve buddhā ahesuṃ. Sikhissāpi bhagavato tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte bhikkhusatasahassaṃ ahosi, dutiye asītisahassāni, tatiye sattattisahassāni. Tadā bodhisatto arindamo nāma rājā hutvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sacīvaraṃ mahādānaṃ pavattetvā sattaratanapaṭimaṇḍitaṃ hatthiratanaṃ datvā hatthippamāṇaṃ katvā kappiyabhaṇḍaṃ adāsi. Sopi naṃ ‘‘ito katiṃsakappe buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa bhagavato aruṇavatī nāma nagaraṃ ahosi, aruṇo nāma khattiyo pitā, pabhāvatī nāma mātā, abhibhū ca sambhavo ca dve aggasāvakā, khemaṅkaro nāmupaṭṭhāko, sakhilā ca padumā ca dve aggasāvikā, puṇḍarīkarukkho bodhi, sarīraṃ sattatihatthubbedhaṃ ahosi, sarīrappabhā yojanattayaṃ pharitvā aṭṭhāsi, sattati vassasahassāni āyūti.

    ‘‘วิปสฺสิสฺส อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Vipassissa aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    สิขิวฺหโย นาม ชิโน, อสโม อปฺปฎิปุคฺคโล’’ติฯ

    Sikhivhayo nāma jino, asamo appaṭipuggalo’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค เวสฺสภู นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ปฐมสนฺนิปาเต อสีติ ภิกฺขุสหสฺสานิ อเหสุํ, ทุติเย สตฺตติ, ตติเย สฎฺฐิฯ ตทา โพธิสโตฺต สุทสฺสโน นาม ราชา หุตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สจีวรํ มหาทานํ ทตฺวา ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา อาจารคุณสมฺปโนฺน พุทฺธรตเน จิตฺตีการปีติพหุโล อโหสิฯ โสปิ นํ ภควา ‘‘อิโต เอกติํสกเปฺป พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตสฺส ปน ภควโต อโนมํ นาม นครํ อโหสิ, สุปฺปตีโต นาม ราชา ปิตา, ยสวตี นาม มาตา , โสโณ จ อุตฺตโร จ เทฺว อคฺคสาวกา, อุปสโนฺต นามุปฎฺฐาโก, ทามา จ สมาลา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, สาลรุโกฺข โพธิ, สรีรํ สฎฺฐิหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, สฎฺฐิ วสฺสสหสฺสานิ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge vessabhū nāma satthā udapādi. Tassāpi tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Paṭhamasannipāte asīti bhikkhusahassāni ahesuṃ, dutiye sattati, tatiye saṭṭhi. Tadā bodhisatto sudassano nāma rājā hutvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sacīvaraṃ mahādānaṃ datvā tassa santike pabbajitvā ācāraguṇasampanno buddharatane cittīkārapītibahulo ahosi. Sopi naṃ bhagavā ‘‘ito ekatiṃsakappe buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Tassa pana bhagavato anomaṃ nāma nagaraṃ ahosi, suppatīto nāma rājā pitā, yasavatī nāma mātā , soṇo ca uttaro ca dve aggasāvakā, upasanto nāmupaṭṭhāko, dāmā ca samālā ca dve aggasāvikā, sālarukkho bodhi, sarīraṃ saṭṭhihatthubbedhaṃ ahosi, saṭṭhi vassasahassāni āyūti.

    ‘‘ตเตฺถว มณฺฑกปฺปมฺหิ, อสโม อปฺปฎิปุคฺคโล;

    ‘‘Tattheva maṇḍakappamhi, asamo appaṭipuggalo;

    เวสฺสภู นาม นาเมน, โลเก อุปฺปชฺชิ โส ชิโน’’ติฯ

    Vessabhū nāma nāmena, loke uppajji so jino’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค อิมสฺมิํ กเปฺป จตฺตาโร พุทฺธา นิพฺพตฺตา กกุสโนฺธ, โกณาคมโน, กสฺสโป, อมฺหากํ ภควาติฯ กกุสนฺธสฺส ภควโต เอโกว สาวกสนฺนิปาโต, ตตฺถ จตฺตาลีส ภิกฺขุสหสฺสานิ อเหสุํฯ ตทา โพธิสโตฺต เขโม นาม ราชา หุตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สปตฺตจีวรํ มหาทานเญฺจว อญฺชนาทิเภสชฺชานิ จ ทตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปพฺพชิฯ โสปิ นํ สตฺถา พฺยากาสิฯ กกุสนฺธสฺส ปน ภควโต เขมํ นาม นครํ อโหสิ, อคฺคิทโตฺต นาม พฺราหฺมโณ ปิตา, วิสาขา นาม พฺราหฺมณี มาตา, วิธุโร จ สญฺชีโว จ เทฺว อคฺคสาวกา, พุทฺธิโช นามุปฎฺฐาโก, สามา จ จมฺปกา จ เทฺว อคฺคสาวิกา , มหาสิรีสรุโกฺข โพธิ, สรีรํ จตฺตาลีสหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, จตฺตาลีส วสฺสสหสฺสานิ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge imasmiṃ kappe cattāro buddhā nibbattā kakusandho, koṇāgamano, kassapo, amhākaṃ bhagavāti. Kakusandhassa bhagavato ekova sāvakasannipāto, tattha cattālīsa bhikkhusahassāni ahesuṃ. Tadā bodhisatto khemo nāma rājā hutvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sapattacīvaraṃ mahādānañceva añjanādibhesajjāni ca datvā satthu dhammadesanaṃ sutvā pabbaji. Sopi naṃ satthā byākāsi. Kakusandhassa pana bhagavato khemaṃ nāma nagaraṃ ahosi, aggidatto nāma brāhmaṇo pitā, visākhā nāma brāhmaṇī mātā, vidhuro ca sañjīvo ca dve aggasāvakā, buddhijo nāmupaṭṭhāko, sāmā ca campakā ca dve aggasāvikā , mahāsirīsarukkho bodhi, sarīraṃ cattālīsahatthubbedhaṃ ahosi, cattālīsa vassasahassāni āyūti.

    ‘‘เวสฺสภุสฺส อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Vessabhussa aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    กกุสโนฺธ นาม นาเมน, อปฺปเมโยฺย ทุราสโท’’ติฯ

    Kakusandho nāma nāmena, appameyyo durāsado’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค โกณาคมโน นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ เอโก สาวกสนฺนิปาโต, ตตฺถ ติํส ภิกฺขุสหสฺสานิ อเหสุํฯ ตทา โพธิสโตฺต ปพฺพโต นาม ราชา หุตฺวา อมจฺจคณปริวุโต สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา ปฎฺฎุณฺณจีนปฎฺฎโกเสยฺยกมฺพลทุกูลานิ เจว สุวณฺณปาทุกญฺจ ทตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิฯ โสปิ นํ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต โสภวตี นาม นครํ อโหสิ, ยญฺญทโตฺต นาม พฺราหฺมโณ ปิตา, อุตฺตรา นาม พฺราหฺมณี มาตา, ภิยฺยโส จ อุตฺตโร จ เทฺว อคฺคสาวกา, โสตฺถิโช นามุปฎฺฐาโก, สมุทฺทา จ อุตฺตรา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, อุทุมฺพรรุโกฺข โพธิ, สรีรํ ติํสหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, ติํส วสฺสสหสฺสานิ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge koṇāgamano nāma satthā udapādi. Tassāpi eko sāvakasannipāto, tattha tiṃsa bhikkhusahassāni ahesuṃ. Tadā bodhisatto pabbato nāma rājā hutvā amaccagaṇaparivuto satthu santikaṃ gantvā dhammadesanaṃ sutvā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantetvā mahādānaṃ pavattetvā paṭṭuṇṇacīnapaṭṭakoseyyakambaladukūlāni ceva suvaṇṇapādukañca datvā satthu santike pabbaji. Sopi naṃ byākāsi. Tassa bhagavato sobhavatī nāma nagaraṃ ahosi, yaññadatto nāma brāhmaṇo pitā, uttarā nāma brāhmaṇī mātā, bhiyyaso ca uttaro ca dve aggasāvakā, sotthijo nāmupaṭṭhāko, samuddā ca uttarā ca dve aggasāvikā, udumbararukkho bodhi, sarīraṃ tiṃsahatthubbedhaṃ ahosi, tiṃsa vassasahassāni āyūti.

    ‘‘กกุสนฺธสฺส อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Kakusandhassa aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    โกณาคมโน นาม ชิโน, โลกเชโฎฺฐ นราสโภ’’ติฯ

    Koṇāgamano nāma jino, lokajeṭṭho narāsabho’’ti.

    ตสฺส อปรภาเค กสฺสโป นาม สตฺถา อุทปาทิฯ ตสฺสาปิ เอโก สาวกสนฺนิปาโต, ตตฺถ วีสติ ภิกฺขุสหสฺสานิ อเหสุํฯ ตทา โพธิสโตฺต โชติปาโล นาม มาณโว หุตฺวา ติณฺณํ เวทานํ ปารคู ภูมิยญฺจ อนฺตลิเกฺข จ ปากโฎ ฆฎีการสฺส กุมฺภการสฺส มิโตฺต อโหสิฯ โส เตน สทฺธิํ สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมกถํ สุตฺวา ปพฺพชิตฺวา อารทฺธวีริโย ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคเหตฺวา วตฺตาวตฺตสมฺปตฺติยา พุทฺธสฺส สาสนํ โสเภสิฯ โสปิ นํ พฺยากาสิฯ ตสฺส ภควโต ชาตนครํ พาราณสี นาม อโหสิ, พฺรหฺมทโตฺต นาม พฺราหฺมโณ ปิตา, ธนวตี นาม พฺราหฺมณี มาตา, ติโสฺส จ ภารทฺวาโช จ เทฺว อคฺคสาวกา, สพฺพมิโตฺต นามุปฎฺฐาโก, อนุฬา จ อุรุเวฬา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, นิโคฺรธรุโกฺข โพธิ, สรีรํ วีสติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, วีสติ วสฺสสหสฺสานิ อายูติฯ

    Tassa aparabhāge kassapo nāma satthā udapādi. Tassāpi eko sāvakasannipāto, tattha vīsati bhikkhusahassāni ahesuṃ. Tadā bodhisatto jotipālo nāma māṇavo hutvā tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū bhūmiyañca antalikkhe ca pākaṭo ghaṭīkārassa kumbhakārassa mitto ahosi. So tena saddhiṃ satthāraṃ upasaṅkamitvā dhammakathaṃ sutvā pabbajitvā āraddhavīriyo tīṇi piṭakāni uggahetvā vattāvattasampattiyā buddhassa sāsanaṃ sobhesi. Sopi naṃ byākāsi. Tassa bhagavato jātanagaraṃ bārāṇasī nāma ahosi, brahmadatto nāma brāhmaṇo pitā, dhanavatī nāma brāhmaṇī mātā, tisso ca bhāradvājo ca dve aggasāvakā, sabbamitto nāmupaṭṭhāko, anuḷā ca uruveḷā ca dve aggasāvikā, nigrodharukkho bodhi, sarīraṃ vīsatihatthubbedhaṃ ahosi, vīsati vassasahassāni āyūti.

    ‘‘โกณาคมนสฺส อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Koṇāgamanassa aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    กสฺสโป นาม โคเตฺตน, ธมฺมราชา ปภงฺกโร’’ติฯ

    Kassapo nāma gottena, dhammarājā pabhaṅkaro’’ti.

    ยสฺมิํ ปน กเปฺป ทีปงฺกโร ทสพโล อุทปาทิ, ตสฺมิํ อเญฺญปิ ตโย พุทฺธา อเหสุํฯ เตสํ สนฺติกา โพธิสตฺตสฺส พฺยากรณํ นตฺถิ, ตสฺมา เต อิธ น ทสฺสิตาฯ อฎฺฐกถายํ ปน ตมฺหา กปฺปา ปฎฺฐาย สเพฺพปิ พุเทฺธ ทเสฺสตุํ อิทํ วุตฺตํ –

    Yasmiṃ pana kappe dīpaṅkaro dasabalo udapādi, tasmiṃ aññepi tayo buddhā ahesuṃ. Tesaṃ santikā bodhisattassa byākaraṇaṃ natthi, tasmā te idha na dassitā. Aṭṭhakathāyaṃ pana tamhā kappā paṭṭhāya sabbepi buddhe dassetuṃ idaṃ vuttaṃ –

    ‘‘ตณฺหงฺกโร เมธงฺกโร, อโถปิ สรณงฺกโร;

    ‘‘Taṇhaṅkaro medhaṅkaro, athopi saraṇaṅkaro;

    ทีปงฺกโร จ สมฺพุโทฺธ, โกณฺฑโญฺญ ทฺวิปทุตฺตโมฯ

    Dīpaṅkaro ca sambuddho, koṇḍañño dvipaduttamo.

    ‘‘มงฺคโล จ สุมโน จ, เรวโต โสภิโต มุนิ;

    ‘‘Maṅgalo ca sumano ca, revato sobhito muni;

    อโนมทสฺสี ปทุโม, นารโท ปทุมุตฺตโรฯ

    Anomadassī padumo, nārado padumuttaro.

    ‘‘สุเมโธ จ สุชาโต จ, ปิยทสฺสี มหายโส;

    ‘‘Sumedho ca sujāto ca, piyadassī mahāyaso;

    อตฺถทสฺสี ธมฺมทสฺสี, สิทฺธโตฺถ โลกนายโกฯ

    Atthadassī dhammadassī, siddhattho lokanāyako.

    ‘‘ติโสฺส ผุโสฺส จ สมฺพุโทฺธ, วิปสฺสี สิขิ เวสฺสภู;

    ‘‘Tisso phusso ca sambuddho, vipassī sikhi vessabhū;

    กกุสโนฺธ โกณาคมโน, กสฺสโป จาติ นายโกฯ

    Kakusandho koṇāgamano, kassapo cāti nāyako.

    ‘‘เอเต อเหสุํ สมฺพุทฺธา, วีตราคา สมาหิตา;

    ‘‘Ete ahesuṃ sambuddhā, vītarāgā samāhitā;

    สตรํสีว อุปฺปนฺนา, มหาตมวิโนทนา;

    Sataraṃsīva uppannā, mahātamavinodanā;

    ชลิตฺวา อคฺคิขนฺธาว, นิพฺพุตา เต สสาวกา’’ติฯ

    Jalitvā aggikhandhāva, nibbutā te sasāvakā’’ti.

    ตตฺถ อมฺหากํ โพธิสโตฺต ทีปงฺกราทีนํ จตุวีสติยา พุทฺธานํ สนฺติเก อธิการํ กโรโนฺต กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ อาคโตฯ กสฺสปสฺส ปน ภควโต โอรภาเค ฐเปตฺวา อิมํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อโญฺญ พุโทฺธ นาม นตฺถิฯ อิติ ทีปงฺกราทีนํ จตุวีสติยา พุทฺธานํ สนฺติเก ลทฺธพฺยากรโณ ปน โพธิสโตฺต เยเนน –

    Tattha amhākaṃ bodhisatto dīpaṅkarādīnaṃ catuvīsatiyā buddhānaṃ santike adhikāraṃ karonto kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni āgato. Kassapassa pana bhagavato orabhāge ṭhapetvā imaṃ sammāsambuddhaṃ añño buddho nāma natthi. Iti dīpaṅkarādīnaṃ catuvīsatiyā buddhānaṃ santike laddhabyākaraṇo pana bodhisatto yenena –

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;

    ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา;

    Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā;

    อฎฺฐธมฺมสโมธานา, อภินีหาโร สมิชฺฌตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙) –

    Aṭṭhadhammasamodhānā, abhinīhāro samijjhatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.59) –

    อิเม อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา ทีปงฺกรปาทมูเล กตาภินีหาเรน ‘‘หนฺท พุทฺธกเร ธเมฺม, วิจินามิ อิโต จิโต’’ติ อุสฺสาหํ กตฺวา ‘‘วิจินโนฺต ตทาทกฺขิํ, ปฐมํ ทานปารมิ’’นฺติ ทานปารมิตาทโย พุทฺธการกธมฺมา ทิฎฺฐา, เต ปูเรโนฺตเยว ยาว เวสฺสนฺตรตฺตภาวา อาคมิฯ อาคจฺฉโนฺต จ เย เต กตาภินีหารานํ โพธิสตฺตานํ อานิสํสา สํวณฺณิตา –

    Ime aṭṭha dhamme samodhānetvā dīpaṅkarapādamūle katābhinīhārena ‘‘handa buddhakare dhamme, vicināmi ito cito’’ti ussāhaṃ katvā ‘‘vicinanto tadādakkhiṃ, paṭhamaṃ dānapārami’’nti dānapāramitādayo buddhakārakadhammā diṭṭhā, te pūrentoyeva yāva vessantarattabhāvā āgami. Āgacchanto ca ye te katābhinīhārānaṃ bodhisattānaṃ ānisaṃsā saṃvaṇṇitā –

    ‘‘เอวํ สพฺพงฺคสมฺปนฺนา, โพธิยา นิยตา นรา;

    ‘‘Evaṃ sabbaṅgasampannā, bodhiyā niyatā narā;

    สํสรํ ทีฆมทฺธานํ, กปฺปโกฎิสเตหิปิฯ

    Saṃsaraṃ dīghamaddhānaṃ, kappakoṭisatehipi.

    ‘‘อวีจิมฺหิ นุปฺปชฺชนฺติ, ตถา โลกนฺตเรสุ จ;

    ‘‘Avīcimhi nuppajjanti, tathā lokantaresu ca;

    นิชฺฌามตณฺหา ขุปฺปิปาสา, น โหนฺติ กาลกญฺชกาฯ

    Nijjhāmataṇhā khuppipāsā, na honti kālakañjakā.

    ‘‘น โหนฺติ ขุทฺทกา ปาณา, อุปฺปชฺชนฺตาปิ ทุคฺคติํ;

    ‘‘Na honti khuddakā pāṇā, uppajjantāpi duggatiṃ;

    ชายมานา มนุเสฺสสุ, ชจฺจนฺธา น ภวนฺติ เตฯ

    Jāyamānā manussesu, jaccandhā na bhavanti te.

    ‘‘โสตเวกลฺลตา นตฺถิ, น ภวนฺติ มูคปกฺขิกา;

    ‘‘Sotavekallatā natthi, na bhavanti mūgapakkhikā;

    อิตฺถิภาวํ น คจฺฉนฺติ, อุภโตพฺยญฺชนปณฺฑกาฯ

    Itthibhāvaṃ na gacchanti, ubhatobyañjanapaṇḍakā.

    ‘‘น ภวนฺติ ปริยาปนฺนา, โพธิยา นิยตา นรา;

    ‘‘Na bhavanti pariyāpannā, bodhiyā niyatā narā;

    มุตฺตา อานนฺตริเกหิ, สพฺพตฺถ สุทฺธโคจราฯ

    Muttā ānantarikehi, sabbattha suddhagocarā.

    ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิํ น เสวนฺติ, กมฺมกิริยทสฺสนา;

    ‘‘Micchādiṭṭhiṃ na sevanti, kammakiriyadassanā;

    วสมานาปิ สเคฺคสุ, อสญฺญํ นูปปชฺชเรฯ

    Vasamānāpi saggesu, asaññaṃ nūpapajjare.

    ‘‘สุทฺธาวาเสสุ เทเวสุ, เหตุ นาม น วิชฺชติ;

    ‘‘Suddhāvāsesu devesu, hetu nāma na vijjati;

    เนกฺขมฺมนินฺนา สปฺปุริสา, วิสํยุตฺตา ภวาภเว;

    Nekkhammaninnā sappurisā, visaṃyuttā bhavābhave;

    จรนฺติ โลกตฺถจริยาโย, ปูเรนฺติ สพฺพปารมี’’ติฯ

    Caranti lokatthacariyāyo, pūrenti sabbapāramī’’ti.

    เต อานิสํเส อธิคนฺตฺวาว อาคโตฯ ปารมิโย ปูเรนฺตสฺส จสฺส อกิตฺติพฺราหฺมณกาเล สงฺขพฺราหฺมณกาเล ธนญฺจยราชกาเล มหาสุทสฺสนกาเล มหาโควินฺทกาเล นิมิมหาราชกาเล จนฺทกุมารกาเล วิสยฺหเสฎฺฐิกาเล สิวิราชกาเล เวสฺสนฺตรกาเลติ ทานปารมิตาย ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตน ปนสฺส สสปณฺฑิตชาตเก –

    Te ānisaṃse adhigantvāva āgato. Pāramiyo pūrentassa cassa akittibrāhmaṇakāle saṅkhabrāhmaṇakāle dhanañcayarājakāle mahāsudassanakāle mahāgovindakāle nimimahārājakāle candakumārakāle visayhaseṭṭhikāle sivirājakāle vessantarakāleti dānapāramitāya pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekantena panassa sasapaṇḍitajātake –

    ‘‘ภิกฺขาย อุปคตํ ทิสฺวา, สกตฺตานํ ปริจฺจชิํ;

    ‘‘Bhikkhāya upagataṃ disvā, sakattānaṃ pariccajiṃ;

    ทาเนน เม สโม นตฺถิ, เอสา เม ทานปารมี’’ติฯ (จริยา. ๑.ตสฺสุทานํ) –

    Dānena me samo natthi, esā me dānapāramī’’ti. (cariyā. 1.tassudānaṃ) –

    เอวํ อตฺตปริจฺจาคํ กโรนฺตสฺส ทานปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ ตถา สีลวราชกาเล จเมฺปยฺยนาคราชกาเล ภูริทตฺตนาคราชกาเล ฉทฺทนฺตนาคราชกาเล ชยทฺทิสราชปุตฺตกาเล อลีนสตฺตุกุมารกาเลติ สีลปารมิตาย ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตน ปนสฺส สงฺขปาลชาตเก –

    Evaṃ attapariccāgaṃ karontassa dānapāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Tathā sīlavarājakāle campeyyanāgarājakāle bhūridattanāgarājakāle chaddantanāgarājakāle jayaddisarājaputtakāle alīnasattukumārakāleti sīlapāramitāya pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekantena panassa saṅkhapālajātake –

    ‘‘สูเลหิ วิชฺฌิยโนฺตปิ, โกฎฺฎิยโนฺตปิ สตฺติหิ;

    ‘‘Sūlehi vijjhiyantopi, koṭṭiyantopi sattihi;

    โภชปุเตฺต น กุปฺปามิ, เอสา เม สีลปารมี’’ติฯ (จริยา. ๒.๙๑) –

    Bhojaputte na kuppāmi, esā me sīlapāramī’’ti. (cariyā. 2.91) –

    เอวํ อตฺตปริจฺจาคํ กโรนฺตสฺส สีลปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ ตถา โสมนสฺสกุมารกาเล, หตฺถิปาลกุมารกาเล, อโยฆรปณฺฑิตกาเลติ มหารชฺชํ ปหาย เนกฺขมฺมปารมิตาย ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตน ปนสฺส จูฬสุตโสมชาตเก –

    Evaṃ attapariccāgaṃ karontassa sīlapāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Tathā somanassakumārakāle, hatthipālakumārakāle, ayogharapaṇḍitakāleti mahārajjaṃ pahāya nekkhammapāramitāya pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekantena panassa cūḷasutasomajātake –

    ‘‘มหารชฺชํ หตฺถคตํ, เขฬปิณฺฑํว ฉฑฺฑยิํ;

    ‘‘Mahārajjaṃ hatthagataṃ, kheḷapiṇḍaṃva chaḍḍayiṃ;

    จชโต น โหติ ลคฺคํ, เอสา เม เนกฺขมฺมปารมี’’ติฯ –

    Cajato na hoti laggaṃ, esā me nekkhammapāramī’’ti. –

    เอวํ นิสฺสงฺคตาย รชฺชํ ฉเฑฺฑตฺวา นิกฺขมนฺตสฺส เนกฺขมฺมปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ ตถา วิธุรปณฺฑิตกาเล, มหาโควินฺทปณฺฑิตกาเล, กุทฺทาลปณฺฑิตกาเล, อรกปณฺฑิตกาเล, โพธิปริพฺพาชกกาเล, มโหสธปณฺฑิตกาเลติ, ปญฺญาปารมิตาย ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตน ปนสฺส สตฺตุภสฺตชาตเก เสนกปณฺฑิตกาเล –

    Evaṃ nissaṅgatāya rajjaṃ chaḍḍetvā nikkhamantassa nekkhammapāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Tathā vidhurapaṇḍitakāle, mahāgovindapaṇḍitakāle, kuddālapaṇḍitakāle, arakapaṇḍitakāle, bodhiparibbājakakāle, mahosadhapaṇḍitakāleti, paññāpāramitāya pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekantena panassa sattubhastajātake senakapaṇḍitakāle –

    ‘‘ปญฺญาย วิจินโนฺตหํ, พฺราหฺมณํ โมจยิํ ทุขา;

    ‘‘Paññāya vicinantohaṃ, brāhmaṇaṃ mocayiṃ dukhā;

    ปญฺญาย เม สโม นตฺถิ, เอสา เม ปญฺญาปารมี’’ติฯ –

    Paññāya me samo natthi, esā me paññāpāramī’’ti. –

    อโนฺตภสฺตคตํ สปฺปํ ทเสฺสนฺตสฺส ปญฺญาปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ ตถา วีริยปารมิตาทีนมฺปิ ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตน ปนสฺส มหาชนกชาตเก –

    Antobhastagataṃ sappaṃ dassentassa paññāpāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Tathā vīriyapāramitādīnampi pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekantena panassa mahājanakajātake –

    ‘‘อตีรทสฺสี ชลมเชฺฌ, หตา สเพฺพว มานุสา;

    ‘‘Atīradassī jalamajjhe, hatā sabbeva mānusā;

    จิตฺตสฺส อญฺญถา นตฺถิ, เอสา เม วีริยปารมี’’ติฯ –

    Cittassa aññathā natthi, esā me vīriyapāramī’’ti. –

    เอวํ มหาสมุทฺทํ ตรนฺตสฺส ปวตฺตา วีริยปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ ขนฺติวาทิชาตเก –

    Evaṃ mahāsamuddaṃ tarantassa pavattā vīriyapāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Khantivādijātake –

    ‘‘อเจตนํว โกเฎฺฎเนฺต, ติเณฺหน ผรสุนา มมํ;

    ‘‘Acetanaṃva koṭṭente, tiṇhena pharasunā mamaṃ;

    กาสิราเช น กุปฺปามิ, เอสา เม ขนฺติปารมี’’ติฯ –

    Kāsirāje na kuppāmi, esā me khantipāramī’’ti. –

    เอวํ อเจตนภาเวน วิย มหาทุกฺขํ อธิวาเสนฺตสฺส ขนฺติปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ มหาสุตโสมชาตเก –

    Evaṃ acetanabhāvena viya mahādukkhaṃ adhivāsentassa khantipāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Mahāsutasomajātake –

    ‘‘สจฺจวาจํ อนุรกฺขโนฺต, จชิตฺวา มม ชีวิตํ;

    ‘‘Saccavācaṃ anurakkhanto, cajitvā mama jīvitaṃ;

    โมเจสิํ เอกสตํ ขตฺติเย, เอสา เม สจฺจปารมี’’ติฯ –

    Mocesiṃ ekasataṃ khattiye, esā me saccapāramī’’ti. –

    เอวํ ชีวิตํ จชิตฺวา สจฺจมนุรกฺขนฺตสฺส สจฺจปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ มูคปกฺขชาตเก –

    Evaṃ jīvitaṃ cajitvā saccamanurakkhantassa saccapāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Mūgapakkhajātake –

    ‘‘มาตา ปิตา น เม เทสฺสา, นปิ เม เทสฺสํ มหายสํ;

    ‘‘Mātā pitā na me dessā, napi me dessaṃ mahāyasaṃ;

    สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหํ, ตสฺมา วตมธิฎฺฐหิ’’นฺติฯ (จริยา. ๓.๖ โถกํ วิสทิสํ) –

    Sabbaññutaṃ piyaṃ mayhaṃ, tasmā vatamadhiṭṭhahi’’nti. (cariyā. 3.6 thokaṃ visadisaṃ) –

    เอวํ ชีวิตมฺปิ จชิตฺวา วตํ อธิฎฺฐหนฺตสฺส อธิฎฺฐานปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ เอกราชชาตเก –

    Evaṃ jīvitampi cajitvā vataṃ adhiṭṭhahantassa adhiṭṭhānapāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Ekarājajātake –

    ‘‘น มํ โกจิ อุตฺตสติ, นปิหํ ภายามิ กสฺสจิ;

    ‘‘Na maṃ koci uttasati, napihaṃ bhāyāmi kassaci;

    เมตฺตาพเลนุปตฺถโทฺธ, รมามิ ปวเน ตทา’’ติฯ (จริยา. ๓.๑๑๓) –

    Mettābalenupatthaddho, ramāmi pavane tadā’’ti. (cariyā. 3.113) –

    เอวํ ชีวิตมฺปิ อโนโลเกตฺวา เมตฺตายนฺตสฺส เมตฺตาปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ โลมหํสชาตเก –

    Evaṃ jīvitampi anoloketvā mettāyantassa mettāpāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Lomahaṃsajātake –

    ‘‘สุสาเน เสยฺยํ กเปฺปมิ, ฉวฎฺฐิกํ อุปธายหํ;

    ‘‘Susāne seyyaṃ kappemi, chavaṭṭhikaṃ upadhāyahaṃ;

    คามณฺฑลา อุปาคนฺตฺวา, รูปํ ทเสฺสนฺตินปฺปก’’นฺติฯ (จริยา. ๓.๑๑๙) –

    Gāmaṇḍalā upāgantvā, rūpaṃ dassentinappaka’’nti. (cariyā. 3.119) –

    เอวํ คามทารเกสุ นิฎฺฐุภนาทีหิ เจว มาลาคนฺธูปหาราทีหิ จ สุขทุกฺขํ อุปฺปาเทเนฺตสุปิ อุเปกฺขํ อนติวตฺตนฺตสฺส อุเปกฺขาปารมิตา ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปเนส อโตฺถ จริยาปิฎกโต คเหตโพฺพฯ เอวํ ปารมิโย ปูเรตฺวา เวสฺสนฺตรตฺตภาเว ฐิโต –

    Evaṃ gāmadārakesu niṭṭhubhanādīhi ceva mālāgandhūpahārādīhi ca sukhadukkhaṃ uppādentesupi upekkhaṃ anativattantassa upekkhāpāramitā paramatthapāramī nāma jātā. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato panesa attho cariyāpiṭakato gahetabbo. Evaṃ pāramiyo pūretvā vessantarattabhāve ṭhito –

    ‘‘อเจตนายํ ปถวี, อวิญฺญาย สุขํ ทุขํ;

    ‘‘Acetanāyaṃ pathavī, aviññāya sukhaṃ dukhaṃ;

    สาปิ ทานพลา มยฺหํ, สตฺตกฺขตฺตุํ ปกมฺปถา’’ติฯ (จริยา. ๑.๑๒๔) –

    Sāpi dānabalā mayhaṃ, sattakkhattuṃ pakampathā’’ti. (cariyā. 1.124) –

    เอวํ มหาปถวิกมฺปนาทีนิ มหาปุญฺญานิ กตฺวา อายุปริโยสาเน ตโต จุโต ตุสิตภวเน นิพฺพตฺติฯ อิติ ทีปงฺกรปาทมูลโต ปฎฺฐาย ยาว อยํ ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติ, เอตฺตกํ ฐานํ ทูเรนิทานํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ

    Evaṃ mahāpathavikampanādīni mahāpuññāni katvā āyupariyosāne tato cuto tusitabhavane nibbatti. Iti dīpaṅkarapādamūlato paṭṭhāya yāva ayaṃ tusitapure nibbatti, ettakaṃ ṭhānaṃ dūrenidānaṃ nāmāti veditabbaṃ.

    ทูเรนิทานกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Dūrenidānakathā niṭṭhitā.

    ๒. อวิทูเรนิทานกถา

    2. Avidūrenidānakathā

    ตุสิตปุเร วสเนฺตเยว ปน โพธิสเตฺต พุทฺธโกลาหลํ นาม อุทปาทิฯ โลกสฺมิญฺหิ ตีณิ โกลาหลานิ อุปฺปชฺชนฺติ – กปฺปโกลาหลํ, พุทฺธโกลาหลํ, จกฺกวตฺติโกลาหลนฺติฯ ตตฺถ ‘‘วสฺสสตสหสฺสสฺส อจฺจเยน กปฺปุฎฺฐานํ ภวิสฺสตี’’ติ โลกพฺยูหา นาม กามาวจรเทวา มุตฺตสิรา วิกิณฺณเกสา รุทมุขา อสฺสูนิ หเตฺถหิ ปุญฺฉมานา รตฺตวตฺถนิวตฺถา อติวิย วิรูปเวสธาริโน หุตฺวา มนุสฺสปเถ วิจรนฺตา เอวํ อาโรเจนฺติ ‘‘มาริสา อิโต วสฺสสตสหสฺสสฺส อจฺจเยน กปฺปุฎฺฐานํ ภวิสฺสติ, อยํ โลโก วินสฺสิสฺสติ, มหาสมุโทฺทปิ สุสฺสิสฺสติ , อยญฺจ มหาปถวี สิเนรุ จ ปพฺพตราชา อุฑฺฑยฺหิสฺสนฺติ วินสฺสิสฺสนฺติ, ยาว พฺรหฺมโลกา โลกวินาโส ภวิสฺสติ, เมตฺตํ มาริสา ภาเวถ, กรุณํ, มุทิตํ, อุเปกฺขํ มาริสา ภาเวถ, มาตรํ อุปฎฺฐหถ, ปิตรํ อุปฎฺฐหถ, กุเล เชฎฺฐาปจายิโน โหถา’’ติฯ อิทํ กปฺปโกลาหลํ นามฯ วสฺสสหสฺสสฺส อจฺจเยน ปน สพฺพญฺญุพุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสตีติ โลกปาลเทวตา ‘‘อิโต มาริสา วสฺสสหสฺสสฺส อจฺจเยน พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ อุโคฺฆเสนฺตา อาหิณฺฑนฺติฯ อิทํ พุทฺธโกลาหลํ นามฯ วสฺสสตสฺส อจฺจเยน จกฺกวตฺตี ราชา อุปฺปชฺชิสฺสตีติ เทวตา ‘‘อิโต มาริสา วสฺสสตสฺส อจฺจเยน จกฺกวตฺตี ราชา โลเก อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ อุโคฺฆเสนฺติโย อาหิณฺฑนฺติฯ อิทํ จกฺกวตฺติโกลาหลํ นามฯ อิมานิ ตีณิ โกลาหลานิ มหนฺตานิ โหนฺติฯ

    Tusitapure vasanteyeva pana bodhisatte buddhakolāhalaṃ nāma udapādi. Lokasmiñhi tīṇi kolāhalāni uppajjanti – kappakolāhalaṃ, buddhakolāhalaṃ, cakkavattikolāhalanti. Tattha ‘‘vassasatasahassassa accayena kappuṭṭhānaṃ bhavissatī’’ti lokabyūhā nāma kāmāvacaradevā muttasirā vikiṇṇakesā rudamukhā assūni hatthehi puñchamānā rattavatthanivatthā ativiya virūpavesadhārino hutvā manussapathe vicarantā evaṃ ārocenti ‘‘mārisā ito vassasatasahassassa accayena kappuṭṭhānaṃ bhavissati, ayaṃ loko vinassissati, mahāsamuddopi sussissati , ayañca mahāpathavī sineru ca pabbatarājā uḍḍayhissanti vinassissanti, yāva brahmalokā lokavināso bhavissati, mettaṃ mārisā bhāvetha, karuṇaṃ, muditaṃ, upekkhaṃ mārisā bhāvetha, mātaraṃ upaṭṭhahatha, pitaraṃ upaṭṭhahatha, kule jeṭṭhāpacāyino hothā’’ti. Idaṃ kappakolāhalaṃ nāma. Vassasahassassa accayena pana sabbaññubuddho loke uppajjissatīti lokapāladevatā ‘‘ito mārisā vassasahassassa accayena buddho loke uppajjissatī’’ti ugghosentā āhiṇḍanti. Idaṃ buddhakolāhalaṃ nāma. Vassasatassa accayena cakkavattī rājā uppajjissatīti devatā ‘‘ito mārisā vassasatassa accayena cakkavattī rājā loke uppajjissatī’’ti ugghosentiyo āhiṇḍanti. Idaṃ cakkavattikolāhalaṃ nāma. Imāni tīṇi kolāhalāni mahantāni honti.

    เตสุ พุทฺธโกลาหลสทฺทํ สุตฺวา สกลทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา เอกโต สนฺนิปติตฺวา ‘‘อสุโก นาม สโตฺต พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา อายาจนฺติฯ อายาจมานา จ ปุพฺพนิมิเตฺตสุ อุปฺปเนฺนสุ อายาจนฺติฯ ตทา ปน สพฺพาปิ เทวตา เอเกกจกฺกวาเฬ จตุมหาราชสกฺกสุยามสนฺตุสิตสุนิมฺมิตวสวตฺติมหาพฺรเหฺมหิ สทฺธิํ เอกจกฺกวาเฬ สนฺนิปติตฺวา ตุสิตภวเน โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘มาริสา ตุเมฺหหิ ทส ปารมิโย ปูเรเนฺตหิ น สกฺกสมฺปตฺติํ, น มารสมฺปตฺติํ, น พฺรหฺมสมฺปตฺติํ, น จกฺกวตฺติสมฺปตฺติํ ปเตฺถเนฺตหิ ปูริตา, โลกนิตฺถรณตฺถาย ปน สพฺพญฺญุตํ ปเตฺถเนฺตหิ ปูริตา, โส โว อิทานิ กาโล มาริสา พุทฺธตฺตาย สมโย, มาริสา พุทฺธตฺตาย สมโย’’ติ ยาจิํสุฯ

    Tesu buddhakolāhalasaddaṃ sutvā sakaladasasahassacakkavāḷadevatā ekato sannipatitvā ‘‘asuko nāma satto buddho bhavissatī’’ti ñatvā taṃ upasaṅkamitvā āyācanti. Āyācamānā ca pubbanimittesu uppannesu āyācanti. Tadā pana sabbāpi devatā ekekacakkavāḷe catumahārājasakkasuyāmasantusitasunimmitavasavattimahābrahmehi saddhiṃ ekacakkavāḷe sannipatitvā tusitabhavane bodhisattassa santikaṃ gantvā ‘‘mārisā tumhehi dasa pāramiyo pūrentehi na sakkasampattiṃ, na mārasampattiṃ, na brahmasampattiṃ, na cakkavattisampattiṃ patthentehi pūritā, lokanittharaṇatthāya pana sabbaññutaṃ patthentehi pūritā, so vo idāni kālo mārisā buddhattāya samayo, mārisā buddhattāya samayo’’ti yāciṃsu.

    อถ มหาสโตฺต เทวตานํ ปฎิญฺญํ อทตฺวาว กาลทีปเทสกุลชเนตฺติอายุปริเจฺฉทวเสน ปญฺจมหาวิโลกนํ นาม วิโลเกสิฯ ตตฺถ ‘‘กาโล นุ โข, อกาโล นุ โข’’ติ ปฐมํ กาลํ วิโลเกสิฯ ตตฺถ วสฺสสตสหสฺสโต อุทฺธํ วฑฺฒิตอายุกาโล กาโล นาม น โหติฯ กสฺมา? ตทา หิ สตฺตานํ ชาติชรามรณานิ น ปญฺญายนฺติฯ พุทฺธานญฺจ ธมฺมเทสนา ติลกฺขณมุตฺตา นาม นตฺถิฯ เตสํ ‘‘อนิจฺจํ, ทุกฺขํ, อนตฺตา’’ติ กเถนฺตานํ ‘‘กิํ นาเมตํ กเถนฺตี’’ติ เนว โสตพฺพํ น สทฺธาตพฺพํ มญฺญนฺติ, ตโต อภิสมโย น โหติ, ตสฺมิํ อสติ อนิยฺยานิกํ สาสนํ โหติฯ ตสฺมา โส อกาโลฯ วสฺสสตโต อูนอายุกาโลปิ กาโล น โหติฯ กสฺมา? ตทา สตฺตา อุสฺสนฺนกิเลสา โหนฺติ, อุสฺสนฺนกิเลสานญฺจ ทิโนฺน โอวาโท โอวาทฎฺฐาเน น ติฎฺฐติ, อุทเก ทณฺฑราชิ วิย ขิปฺปํ วิคจฺฉติ ฯ ตสฺมา โสปิ อกาโลฯ วสฺสสตสหสฺสโต ปน ปฎฺฐาย เหฎฺฐา, วสฺสสตโต ปฎฺฐาย อุทฺธํ อายุกาโล กาโล นามฯ ตทา จ วสฺสสตกาโลฯ อถ มหาสโตฺต ‘‘นิพฺพตฺติตพฺพกาโล’’ติ กาลํ ปสฺสิฯ

    Atha mahāsatto devatānaṃ paṭiññaṃ adatvāva kāladīpadesakulajanettiāyuparicchedavasena pañcamahāvilokanaṃ nāma vilokesi. Tattha ‘‘kālo nu kho, akālo nu kho’’ti paṭhamaṃ kālaṃ vilokesi. Tattha vassasatasahassato uddhaṃ vaḍḍhitaāyukālo kālo nāma na hoti. Kasmā? Tadā hi sattānaṃ jātijarāmaraṇāni na paññāyanti. Buddhānañca dhammadesanā tilakkhaṇamuttā nāma natthi. Tesaṃ ‘‘aniccaṃ, dukkhaṃ, anattā’’ti kathentānaṃ ‘‘kiṃ nāmetaṃ kathentī’’ti neva sotabbaṃ na saddhātabbaṃ maññanti, tato abhisamayo na hoti, tasmiṃ asati aniyyānikaṃ sāsanaṃ hoti. Tasmā so akālo. Vassasatato ūnaāyukālopi kālo na hoti. Kasmā? Tadā sattā ussannakilesā honti, ussannakilesānañca dinno ovādo ovādaṭṭhāne na tiṭṭhati, udake daṇḍarāji viya khippaṃ vigacchati . Tasmā sopi akālo. Vassasatasahassato pana paṭṭhāya heṭṭhā, vassasatato paṭṭhāya uddhaṃ āyukālo kālo nāma. Tadā ca vassasatakālo. Atha mahāsatto ‘‘nibbattitabbakālo’’ti kālaṃ passi.

    ตโต ทีปํ วิโลเกโนฺต สปริวาเร จตฺตาโร ทีเป โอโลเกตฺวา ‘‘ตีสุ ทีเปสุ พุทฺธา น นิพฺพตฺตนฺติ, ชมฺพุทีเปเยว นิพฺพตฺตนฺตี’’ติ ทีปํ ปสฺสิฯ

    Tato dīpaṃ vilokento saparivāre cattāro dīpe oloketvā ‘‘tīsu dīpesu buddhā na nibbattanti, jambudīpeyeva nibbattantī’’ti dīpaṃ passi.

    ตโต ‘‘ชมฺพุทีโป นาม มหา ทสโยชนสหสฺสปริมาโณ, กตรสฺมิํ นุ โข ปเทเส พุทฺธา นิพฺพตฺตนฺตี’’ติ โอกาสํ วิโลเกโนฺต มชฺฌิมเทสํ ปสฺสิฯ มชฺฌิมเทโส นาม – ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย คชงฺคลํ นาม นิคโม, ตสฺส อปเรน มหาสาโล, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ปุพฺพทกฺขิณาย ทิสาย สลฺลวตี นาม นที, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ทกฺขิณาย ทิสาย เสตกณฺณิกํ นาม นิคโม, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ปจฺฉิมาย ทิสาย ถูณํ นาม พฺราหฺมณคาโม, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ อุตฺตราย ทิสาย อุสีรทฺธโช นาม ปพฺพโต, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌ’’ติ เอวํ วินเย (มหาว. ๒๕๙) วุโตฺต ปเทโสฯ โส อายามโต ตีณิ โยชนสตานิ, วิตฺถารโต อฑฺฒเตยฺยานิ, ปริเกฺขปโต นว โยชนสตานีติ เอตสฺมิํ ปเทเส พุทฺธา, ปเจฺจกพุทฺธา, อคฺคสาวกา, อสีติ มหาสาวกา, จกฺกวตฺติราชา อเญฺญ จ มเหสกฺขา ขตฺติยพฺราหฺมณคหปติมหาสาลา อุปฺปชฺชนฺติฯ อิทเญฺจตฺถ กปิลวตฺถุ นาม นครํ, ตตฺถ มยา นิพฺพตฺติตพฺพนฺติ นิฎฺฐํ อคมาสิฯ

    Tato ‘‘jambudīpo nāma mahā dasayojanasahassaparimāṇo, katarasmiṃ nu kho padese buddhā nibbattantī’’ti okāsaṃ vilokento majjhimadesaṃ passi. Majjhimadeso nāma – ‘‘puratthimāya disāya gajaṅgalaṃ nāma nigamo, tassa aparena mahāsālo, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Pubbadakkhiṇāya disāya sallavatī nāma nadī, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Dakkhiṇāya disāya setakaṇṇikaṃ nāma nigamo, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Pacchimāya disāya thūṇaṃ nāma brāhmaṇagāmo, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Uttarāya disāya usīraddhajo nāma pabbato, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe’’ti evaṃ vinaye (mahāva. 259) vutto padeso. So āyāmato tīṇi yojanasatāni, vitthārato aḍḍhateyyāni, parikkhepato nava yojanasatānīti etasmiṃ padese buddhā, paccekabuddhā, aggasāvakā, asīti mahāsāvakā, cakkavattirājā aññe ca mahesakkhā khattiyabrāhmaṇagahapatimahāsālā uppajjanti. Idañcettha kapilavatthu nāma nagaraṃ, tattha mayā nibbattitabbanti niṭṭhaṃ agamāsi.

    ตโต กุลํ วิโลเกโนฺต ‘‘พุทฺธา นาม เวสฺสกุเล วา สุทฺทกุเล วา น นิพฺพตฺตนฺติ, โลกสมฺมเต ปน ขตฺติยกุเล วา พฺราหฺมณกุเลวาติ ทฺวีสุเยว กุเลสุ นิพฺพตฺตนฺติฯ อิทานิ จ ขตฺติยกุลํ โลกสมฺมตํ , ตตฺถ นิพฺพตฺติสฺสามิฯ สุโทฺธทโน นาม ราชา เม ปิตา ภวิสฺสตี’’ติ กุลํ ปสฺสิฯ

    Tato kulaṃ vilokento ‘‘buddhā nāma vessakule vā suddakule vā na nibbattanti, lokasammate pana khattiyakule vā brāhmaṇakulevāti dvīsuyeva kulesu nibbattanti. Idāni ca khattiyakulaṃ lokasammataṃ , tattha nibbattissāmi. Suddhodano nāma rājā me pitā bhavissatī’’ti kulaṃ passi.

    ตโต มาตรํ วิโลเกโนฺต ‘‘พุทฺธมาตา นาม โลลา สุราธุตฺตา น โหติ, กปฺปสตสหสฺสํ ปน ปูริตปารมี ชาติโต ปฎฺฐาย อขณฺฑปญฺจสีลาเยว โหติฯ อยญฺจ มหามายา นาม เทวี เอทิสี, อยํ เม มาตา ภวิสฺสติ, กิตฺตกํ ปนสฺสา อายูติ ทสนฺนํ มาสานํ อุปริ สตฺต ทิวสานี’’ติ ปสฺสิฯ

    Tato mātaraṃ vilokento ‘‘buddhamātā nāma lolā surādhuttā na hoti, kappasatasahassaṃ pana pūritapāramī jātito paṭṭhāya akhaṇḍapañcasīlāyeva hoti. Ayañca mahāmāyā nāma devī edisī, ayaṃ me mātā bhavissati, kittakaṃ panassā āyūti dasannaṃ māsānaṃ upari satta divasānī’’ti passi.

    อิติ อิมํ ปญฺจมหาวิโลกนํ วิโลเกตฺวา ‘‘กาโล เม มาริสา พุทฺธภาวายา’’ติ เทวตานํ สงฺคหํ กโรโนฺต ปฎิญฺญํ ทตฺวา ‘‘คจฺฉถ, ตุเมฺห’’ติ ตา เทวตา อุโยฺยเชตฺวา ตุสิตเทวตาหิ ปริวุโต ตุสิตปุเร นนฺทนวนํ ปาวิสิฯ สพฺพเทวโลเกสุ หิ นนฺทนวนํ อตฺถิเยวฯ ตตฺถ นํ เทวตา ‘‘อิโต จุโต สุคติํ คจฺฉ, อิโต จุโต สุคติํ คจฺฉา’’ติ ปุเพฺพ กตกุสลกโมฺมกาสํ สารยมานา วิจรนฺติฯ โส เอวํ เทวตาหิ กุสลํ สารยมานาหิ ปริวุโต ตตฺถ วิจรโนฺต จวิตฺวา มหามายาย เทวิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ

    Iti imaṃ pañcamahāvilokanaṃ viloketvā ‘‘kālo me mārisā buddhabhāvāyā’’ti devatānaṃ saṅgahaṃ karonto paṭiññaṃ datvā ‘‘gacchatha, tumhe’’ti tā devatā uyyojetvā tusitadevatāhi parivuto tusitapure nandanavanaṃ pāvisi. Sabbadevalokesu hi nandanavanaṃ atthiyeva. Tattha naṃ devatā ‘‘ito cuto sugatiṃ gaccha, ito cuto sugatiṃ gacchā’’ti pubbe katakusalakammokāsaṃ sārayamānā vicaranti. So evaṃ devatāhi kusalaṃ sārayamānāhi parivuto tattha vicaranto cavitvā mahāmāyāya deviyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi.

    ตสฺส อาวิภาวตฺถํ อยมนุปุพฺพิกถา – ตทา กิร กปิลวตฺถุนคเร อาสาฬฺหินกฺขตฺตํ สงฺฆุฎฺฐํ อโหสิ, มหาชโน นกฺขตฺตํ กีฬติฯ มหามายาปิ เทวี ปุเร ปุณฺณมาย สตฺตมทิวสโต ปฎฺฐาย วิคตสุราปานํ มาลาคนฺธวิภูติสมฺปนฺนํ นกฺขตฺตกีฬํ อนุภวมานา สตฺตเม ทิวเส ปาโตว อุฎฺฐาย คโนฺธทเกน นฺหายิตฺวา จตฺตาริ สตสหสฺสานิ วิสฺสเชฺชตฺวา มหาทานํ ทตฺวา สพฺพาลงฺการวิภูสิตา วรโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย อลงฺกตปฎิยตฺตํ สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา สิริสยเน นิปนฺนา นิทฺทํ โอกฺกมมานา อิมํ สุปินํ อทฺทส – ‘จตฺตาโร กิร นํ มหาราชาโน สยเนเนว สทฺธิํ อุกฺขิปิตฺวา หิมวนฺตํ เนตฺวา สฎฺฐิโยชนิเก มโนสิลาตเล สตฺตโยชนิกสฺส มหาสาลรุกฺขสฺส เหฎฺฐา ฐเปตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ อถ เนสํ เทวิโย อาคนฺตฺวา เทวิํ อโนตตฺตทหํ เนตฺวา มนุสฺสมลหรณตฺถํ นฺหาเปตฺวา ทิพฺพวตฺถํ นิวาสาเปตฺวา คเนฺธหิ วิลิมฺปาเปตฺวา ทิพฺพปุปฺผานิ ปิฬนฺธาเปตฺวา ตโต อวิทูเร เอโก รชตปพฺพโต อตฺถิ, ตสฺส อโนฺต กนกวิมานํ อตฺถิ , ตตฺถ ปาจีนสีสกํ ทิพฺพสยนํ ปญฺญาเปตฺวา นิปชฺชาเปสุํฯ อถ โพธิสโตฺต เสตวรวารโณ หุตฺวา ตโต อวิทูเร เอโก สุวณฺณปพฺพโต อตฺถิ, ตตฺถ วิจริตฺวา ตโต โอรุยฺห รชตปพฺพตํ อภิรุหิตฺวา อุตฺตรทิสโต อาคมฺม รชตทามวณฺณาย โสณฺฑาย เสตปทุมํ คเหตฺวา โกญฺจนาทํ นทิตฺวา กนกวิมานํ ปวิสิตฺวา มาตุสยนํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ทกฺขิณปสฺสํ ผาเลตฺวา กุจฺฉิํ ปวิฎฺฐสทิโส อโหสี’ติฯ เอวํ อุตฺตราสาฬฺหนกฺขเตฺตน ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ

    Tassa āvibhāvatthaṃ ayamanupubbikathā – tadā kira kapilavatthunagare āsāḷhinakkhattaṃ saṅghuṭṭhaṃ ahosi, mahājano nakkhattaṃ kīḷati. Mahāmāyāpi devī pure puṇṇamāya sattamadivasato paṭṭhāya vigatasurāpānaṃ mālāgandhavibhūtisampannaṃ nakkhattakīḷaṃ anubhavamānā sattame divase pātova uṭṭhāya gandhodakena nhāyitvā cattāri satasahassāni vissajjetvā mahādānaṃ datvā sabbālaṅkāravibhūsitā varabhojanaṃ bhuñjitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya alaṅkatapaṭiyattaṃ sirigabbhaṃ pavisitvā sirisayane nipannā niddaṃ okkamamānā imaṃ supinaṃ addasa – ‘cattāro kira naṃ mahārājāno sayaneneva saddhiṃ ukkhipitvā himavantaṃ netvā saṭṭhiyojanike manosilātale sattayojanikassa mahāsālarukkhassa heṭṭhā ṭhapetvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Atha nesaṃ deviyo āgantvā deviṃ anotattadahaṃ netvā manussamalaharaṇatthaṃ nhāpetvā dibbavatthaṃ nivāsāpetvā gandhehi vilimpāpetvā dibbapupphāni piḷandhāpetvā tato avidūre eko rajatapabbato atthi, tassa anto kanakavimānaṃ atthi , tattha pācīnasīsakaṃ dibbasayanaṃ paññāpetvā nipajjāpesuṃ. Atha bodhisatto setavaravāraṇo hutvā tato avidūre eko suvaṇṇapabbato atthi, tattha vicaritvā tato oruyha rajatapabbataṃ abhiruhitvā uttaradisato āgamma rajatadāmavaṇṇāya soṇḍāya setapadumaṃ gahetvā koñcanādaṃ naditvā kanakavimānaṃ pavisitvā mātusayanaṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā dakkhiṇapassaṃ phāletvā kucchiṃ paviṭṭhasadiso ahosī’ti. Evaṃ uttarāsāḷhanakkhattena paṭisandhiṃ gaṇhi.

    ปุนทิวเส ปพุทฺธา เทวี ตํ สุปินํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา จตุสฎฺฐิมเตฺต พฺราหฺมณปาโมเกฺข ปโกฺกสาเปตฺวา โคมยหริตูปลิตฺตาย ลาชาทีหิ กตมงฺคลสกฺการาย ภูมิยา มหารหานิ อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา ตตฺถ นิสินฺนานํ พฺราหฺมณานํ สปฺปิมธุสกฺขราภิสงฺขตสฺส วรปายาสสฺส สุวณฺณรชตปาติโย ปูเรตฺวา สุวณฺณรชตปาตีหิเยว ปฎิกุชฺชิตฺวา อทาสิ, อเญฺญหิ จ อหตวตฺถกปิลคาวิทานาทีหิ เต สนฺตเปฺปสิฯ อถ เนสํ สพฺพกาเมหิ สนฺตปฺปิตานํ สุปินํ อาโรจาเปตฺวา ‘‘กิํ ภวิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ พฺราหฺมณา อาหํสุ ‘‘มา จินฺตยิ, มหาราช, เทวิยา เต กุจฺฉิมฺหิ คโพฺภ ปติฎฺฐิโต, โส จ โข ปุริสคโพฺภ, น อิตฺถิคโพฺภ, ปุโตฺต เต ภวิสฺสติฯ โส สเจ อคารํ อชฺฌาวสิสฺสติ, ราชา ภวิสฺสติ จกฺกวตฺตี; สเจ อคารา นิกฺขมฺม ปพฺพชิสฺสติ, พุโทฺธ ภวิสฺสติ โลเก วิวฎฺฎจฺฉโท’’ติฯ

    Punadivase pabuddhā devī taṃ supinaṃ rañño ārocesi. Rājā catusaṭṭhimatte brāhmaṇapāmokkhe pakkosāpetvā gomayaharitūpalittāya lājādīhi katamaṅgalasakkārāya bhūmiyā mahārahāni āsanāni paññāpetvā tattha nisinnānaṃ brāhmaṇānaṃ sappimadhusakkharābhisaṅkhatassa varapāyāsassa suvaṇṇarajatapātiyo pūretvā suvaṇṇarajatapātīhiyeva paṭikujjitvā adāsi, aññehi ca ahatavatthakapilagāvidānādīhi te santappesi. Atha nesaṃ sabbakāmehi santappitānaṃ supinaṃ ārocāpetvā ‘‘kiṃ bhavissatī’’ti pucchi. Brāhmaṇā āhaṃsu ‘‘mā cintayi, mahārāja, deviyā te kucchimhi gabbho patiṭṭhito, so ca kho purisagabbho, na itthigabbho, putto te bhavissati. So sace agāraṃ ajjhāvasissati, rājā bhavissati cakkavattī; sace agārā nikkhamma pabbajissati, buddho bhavissati loke vivaṭṭacchado’’ti.

    โพธิสตฺตสฺส ปน มาตุกุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิคฺคหณกฺขเณ เอกปฺปหาเรเนว สกลทสสหสฺสี โลกธาตุ สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิฯ พาตฺติํสปุพฺพนิมิตฺตานิ ปาตุรเหสุํ – ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ อปฺปมาโณ โอภาโส ผริฯ ตสฺส ตํ สิริํ ทฎฺฐุกามา วิย อนฺธา จกฺขูนิ ปฎิลภิํสุ, พธิรา สทฺทํ สุณิํสุ, มูคา สมาลปิํสุ, ขุชฺชา อุชุคตฺตา อเหสุํ, ปงฺคุลา ปทสา คมนํ ปฎิลภิํสุ, พนฺธนคตา สพฺพสตฺตา อนฺทุพนฺธนาทีหิ มุจฺจิํสุ, สพฺพนรเกสุ อคฺคิ นิพฺพายิ, เปตฺติวิสเย ขุปฺปิปาสา วูปสมิ, ติรจฺฉานานํ ภยํ นาโหสิ, สพฺพสตฺตานํ โรโค วูปสมิ, สพฺพสตฺตา ปิยํวทา อเหสุํ, มธุเรนากาเรน อสฺสา หสิํสุ, วารณา คชฺชิํสุ, สพฺพตูริยานิ สกสกนินฺนาทํ มุญฺจิํสุ, อฆฎฺฎิตานิเยว มนุสฺสานํ หตฺถูปคาทีนิ อาภรณานิ วิรวิํสุ, สพฺพทิสา วิปฺปสนฺนา อเหสุํ , สตฺตานํ สุขํ อุปฺปาทยมาโน มุทุสีตลวาโต วายิ, อกาลเมโฆ วสฺสิ, ปถวิโตปิ อุทกํ อุพฺภิชฺชิตฺวา วิสฺสนฺทิ, ปกฺขิโน อากาสคมนํ วิชหิํสุ, นทิโย อสนฺทมานา อฎฺฐํสุ, มหาสมุเทฺท มธุรํ อุทกํ อโหสิ, สพฺพตฺถกเมว ปญฺจวเณฺณหิ ปทุเมหิ สญฺฉนฺนตโล อโหสิ, ถลชชลชาทีนิ สพฺพปุปฺผานิ ปุปฺผิํสุ, รุกฺขานํ ขเนฺธสุ ขนฺธปทุมานิ, สาขาสุ สาขาปทุมานิ, ลตาสุ ลตาปทุมานิ ปุปฺผิํสุ, ถเล สิลาตลานิ ภินฺทิตฺวา อุปรูปริ สตฺต สตฺต หุตฺวา ทณฺฑปทุมานิ นาม นิกฺขมิํสุ, อากาเส โอลมฺพกปทุมานิ นาม นิพฺพตฺติํสุ, สมนฺตโต ปุปฺผวสฺสา วสฺสิํสุ, อากาเส ทิพฺพตูริยานิ วชฺชิํสุ, สกลทสสหสฺสิโลกธาตุ วเฎฺฎตฺวา วิสฺสฎฺฐมาลาคุโฬ วิย, อุปฺปีเฬตฺวา พทฺธมาลากลาโป วิย, อลงฺกตปฎิยตฺตํ มาลาสนํ วิย จ เอกมาลามาลินี วิปฺผุรนฺตวาฬพีชนี ปุปฺผธูมคนฺธปริวาสิตา ปรมโสภคฺคปฺปตฺตา อโหสิฯ

    Bodhisattassa pana mātukucchimhi paṭisandhiggahaṇakkhaṇe ekappahāreneva sakaladasasahassī lokadhātu saṅkampi sampakampi sampavedhi. Bāttiṃsapubbanimittāni pāturahesuṃ – dasasu cakkavāḷasahassesu appamāṇo obhāso phari. Tassa taṃ siriṃ daṭṭhukāmā viya andhā cakkhūni paṭilabhiṃsu, badhirā saddaṃ suṇiṃsu, mūgā samālapiṃsu, khujjā ujugattā ahesuṃ, paṅgulā padasā gamanaṃ paṭilabhiṃsu, bandhanagatā sabbasattā andubandhanādīhi mucciṃsu, sabbanarakesu aggi nibbāyi, pettivisaye khuppipāsā vūpasami, tiracchānānaṃ bhayaṃ nāhosi, sabbasattānaṃ rogo vūpasami, sabbasattā piyaṃvadā ahesuṃ, madhurenākārena assā hasiṃsu, vāraṇā gajjiṃsu, sabbatūriyāni sakasakaninnādaṃ muñciṃsu, aghaṭṭitāniyeva manussānaṃ hatthūpagādīni ābharaṇāni viraviṃsu, sabbadisā vippasannā ahesuṃ , sattānaṃ sukhaṃ uppādayamāno mudusītalavāto vāyi, akālamegho vassi, pathavitopi udakaṃ ubbhijjitvā vissandi, pakkhino ākāsagamanaṃ vijahiṃsu, nadiyo asandamānā aṭṭhaṃsu, mahāsamudde madhuraṃ udakaṃ ahosi, sabbatthakameva pañcavaṇṇehi padumehi sañchannatalo ahosi, thalajajalajādīni sabbapupphāni pupphiṃsu, rukkhānaṃ khandhesu khandhapadumāni, sākhāsu sākhāpadumāni, latāsu latāpadumāni pupphiṃsu, thale silātalāni bhinditvā uparūpari satta satta hutvā daṇḍapadumāni nāma nikkhamiṃsu, ākāse olambakapadumāni nāma nibbattiṃsu, samantato pupphavassā vassiṃsu, ākāse dibbatūriyāni vajjiṃsu, sakaladasasahassilokadhātu vaṭṭetvā vissaṭṭhamālāguḷo viya, uppīḷetvā baddhamālākalāpo viya, alaṅkatapaṭiyattaṃ mālāsanaṃ viya ca ekamālāmālinī vipphurantavāḷabījanī pupphadhūmagandhaparivāsitā paramasobhaggappattā ahosi.

    เอวํ คหิตปฎิสนฺธิกสฺส โพธิสตฺตสฺส ปฎิสนฺธิโต ปฎฺฐาย โพธิสตฺตสฺส เจว โพธิสตฺตมาตุยา จ อุปทฺทวนิวารณตฺถํ ขคฺคหตฺถา จตฺตาโร เทวปุตฺตา อารกฺขํ คณฺหิํสุฯ โพธิสตฺตมาตุ ปน ปุริเสสุ ราคจิตฺตํ นุปฺปชฺชิ, ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตา จ อโหสิ สุขินี อกิลนฺตกายาฯ โพธิสตฺตญฺจ อโนฺตกุจฺฉิคตํ วิปฺปสเนฺน มณิรตเน อาวุตปณฺฑุสุตฺตํ วิย ปสฺสติฯ ยสฺมา จ โพธิสเตฺตน วสิตกุจฺฉิ นาม เจติยคพฺภสทิสา โหติ, น สกฺกา อเญฺญน สเตฺตน อาวสิตุํ วา ปริภุญฺชิตุํ วา, ตสฺมา โพธิสตฺตมาตา สตฺตาหชาเต โพธิสเตฺต กาลํ กตฺวา ตุสิตปุเร นิพฺพตฺตติฯ ยถา จ อญฺญา อิตฺถิโย ทส มาเส อปตฺวาปิ อติกฺกมิตฺวาปิ นิสินฺนาปิ นิปนฺนาปิ วิชายนฺติ, น เอวํ โพธิสตฺตมาตาฯ สา ปน โพธิสตฺตํ ทส มาเส กุจฺฉินา ปริหริตฺวา ฐิตาว วิชายติฯ อยํ โพธิสตฺตมาตุธมฺมตา

    Evaṃ gahitapaṭisandhikassa bodhisattassa paṭisandhito paṭṭhāya bodhisattassa ceva bodhisattamātuyā ca upaddavanivāraṇatthaṃ khaggahatthā cattāro devaputtā ārakkhaṃ gaṇhiṃsu. Bodhisattamātu pana purisesu rāgacittaṃ nuppajji, lābhaggayasaggappattā ca ahosi sukhinī akilantakāyā. Bodhisattañca antokucchigataṃ vippasanne maṇiratane āvutapaṇḍusuttaṃ viya passati. Yasmā ca bodhisattena vasitakucchi nāma cetiyagabbhasadisā hoti, na sakkā aññena sattena āvasituṃ vā paribhuñjituṃ vā, tasmā bodhisattamātā sattāhajāte bodhisatte kālaṃ katvā tusitapure nibbattati. Yathā ca aññā itthiyo dasa māse apatvāpi atikkamitvāpi nisinnāpi nipannāpi vijāyanti, na evaṃ bodhisattamātā. Sā pana bodhisattaṃ dasa māse kucchinā pariharitvā ṭhitāva vijāyati. Ayaṃ bodhisattamātudhammatā.

    มหามายาปิ เทวี ปเตฺตน เตลํ วิย ทส มาเส กุจฺฉินา โพธิสตฺตํ ปริหริตฺวา ปริปุณฺณคพฺภา ญาติฆรํ คนฺตุกามา สุโทฺธทนมหาราชสฺส อาโรเจสิ – ‘‘อิจฺฉามหํ, เทว, กุลสนฺตกํ เทวทหนครํ คนฺตุ’’นฺติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา กปิลวตฺถุโต ยาว เทวทหนครา มคฺคํ สมํ กาเรตฺวา กทลิปุณฺณฆฎธชปฎากาทีหิ อลงฺการาเปตฺวา เทวิ สุวณฺณสิวิกาย นิสีทาเปตฺวา อมจฺจสหเสฺสน อุกฺขิปาเปตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน เปเสสิฯ ทฺวินฺนํ ปน นครานํ อนฺตเร อุภยนครวาสีนมฺปิ ลุมฺพินีวนํ นาม มงฺคลสาลวนํ อตฺถิ, ตสฺมิํ สมเย มูลโต ปฎฺฐาย ยาว อคฺคสาขา สพฺพํ เอกปาลิผุลฺลํ อโหสิ, สาขนฺตเรหิ เจว ปุปฺผนฺตเรหิ จ ปญฺจวณฺณา ภมรคณา นานปฺปการา จ สกุณสงฺฆา มธุรสฺสเรน วิกูชนฺตา วิจรนฺติฯ สกลํ ลุมฺพินีวนํ จิตฺตลตาวนสทิสํ, มหานุภาวสฺส รโญฺญ สุสชฺชิตํ อาปานมณฺฑลํ วิย อโหสิฯ เทวิยา ตํ ทิสฺวา สาลวนกีฬํ กีฬิตุกามตาจิตฺตํ อุทปาทิฯ อมจฺจา เทวิํ คเหตฺวา สาลวนํ ปวิสิํสุฯ สา มงฺคลสาลมูลํ คนฺตฺวา สาลสาขํ คณฺหิตุกามา อโหสิ, สาลสาขา สุเสทิตเวตฺตคฺคํ วิย โอนมิตฺวา เทวิยา หตฺถปถํ อุปคญฺฉิฯ สา หตฺถํ ปสาเรตฺวา สาขํ อคฺคเหสิฯ ตาวเทว จสฺสา กมฺมชวาตา จลิํสุฯ อถสฺสา สาณิํ ปริกฺขิปิตฺวา มหาชโน ปฎิกฺกมิฯ สาลสาขํ คเหตฺวา ติฎฺฐมานาย เอวสฺสา คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ ตงฺขณํเยว จตฺตาโร วิสุทฺธจิตฺตา มหาพฺรหฺมาโน สุวณฺณชาลํ อาทาย สมฺปตฺตา เตน สุวณฺณชาเลน โพธิสตฺตํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มาตุ ปุรโต ฐเปตฺวา ‘‘อตฺตมนา, เทวิ, โหหิ, มเหสโกฺข เต ปุโตฺต อุปฺปโนฺน’’ติ อาหํสุฯ

    Mahāmāyāpi devī pattena telaṃ viya dasa māse kucchinā bodhisattaṃ pariharitvā paripuṇṇagabbhā ñātigharaṃ gantukāmā suddhodanamahārājassa ārocesi – ‘‘icchāmahaṃ, deva, kulasantakaṃ devadahanagaraṃ gantu’’nti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā kapilavatthuto yāva devadahanagarā maggaṃ samaṃ kāretvā kadalipuṇṇaghaṭadhajapaṭākādīhi alaṅkārāpetvā devi suvaṇṇasivikāya nisīdāpetvā amaccasahassena ukkhipāpetvā mahantena parivārena pesesi. Dvinnaṃ pana nagarānaṃ antare ubhayanagaravāsīnampi lumbinīvanaṃ nāma maṅgalasālavanaṃ atthi, tasmiṃ samaye mūlato paṭṭhāya yāva aggasākhā sabbaṃ ekapāliphullaṃ ahosi, sākhantarehi ceva pupphantarehi ca pañcavaṇṇā bhamaragaṇā nānappakārā ca sakuṇasaṅghā madhurassarena vikūjantā vicaranti. Sakalaṃ lumbinīvanaṃ cittalatāvanasadisaṃ, mahānubhāvassa rañño susajjitaṃ āpānamaṇḍalaṃ viya ahosi. Deviyā taṃ disvā sālavanakīḷaṃ kīḷitukāmatācittaṃ udapādi. Amaccā deviṃ gahetvā sālavanaṃ pavisiṃsu. Sā maṅgalasālamūlaṃ gantvā sālasākhaṃ gaṇhitukāmā ahosi, sālasākhā suseditavettaggaṃ viya onamitvā deviyā hatthapathaṃ upagañchi. Sā hatthaṃ pasāretvā sākhaṃ aggahesi. Tāvadeva cassā kammajavātā caliṃsu. Athassā sāṇiṃ parikkhipitvā mahājano paṭikkami. Sālasākhaṃ gahetvā tiṭṭhamānāya evassā gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. Taṅkhaṇaṃyeva cattāro visuddhacittā mahābrahmāno suvaṇṇajālaṃ ādāya sampattā tena suvaṇṇajālena bodhisattaṃ sampaṭicchitvā mātu purato ṭhapetvā ‘‘attamanā, devi, hohi, mahesakkho te putto uppanno’’ti āhaṃsu.

    ยถา ปน อเญฺญ สตฺตา มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนฺตา ปฎิกูเลน อสุจินา มกฺขิตา นิกฺขมนฺติ, น เอวํ โพธิสโตฺตฯ โส ปน ธมฺมาสนโต โอตรโนฺต ธมฺมกถิโก วิย, นิเสฺสณิโต โอตรโนฺต ปุริโส วิย, จ เทฺว จ หเตฺถ เทฺว จ ปาเท ปสาเรตฺวา ฐิตโกว มาตุกุจฺฉิสมฺภเวน เกนจิ อสุจินา อมกฺขิโต สุโทฺธ วิสโท กาสิกวเตฺถ นิกฺขิตฺตมณิรตนํ วิย โชตยโนฺต มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิฯ เอวํ สเนฺตปิ โพธิสตฺตสฺส จ โพธิสตฺตมาตุยา จ สกฺการตฺถํ อากาสโต เทฺว อุทกธารา นิกฺขมิตฺวา โพธิสตฺตสฺส จ มาตุยา จ สรีเร อุตุํ คาหาเปสุํฯ

    Yathā pana aññe sattā mātukucchito nikkhamantā paṭikūlena asucinā makkhitā nikkhamanti, na evaṃ bodhisatto. So pana dhammāsanato otaranto dhammakathiko viya, nisseṇito otaranto puriso viya, ca dve ca hatthe dve ca pāde pasāretvā ṭhitakova mātukucchisambhavena kenaci asucinā amakkhito suddho visado kāsikavatthe nikkhittamaṇiratanaṃ viya jotayanto mātukucchito nikkhami. Evaṃ santepi bodhisattassa ca bodhisattamātuyā ca sakkāratthaṃ ākāsato dve udakadhārā nikkhamitvā bodhisattassa ca mātuyā ca sarīre utuṃ gāhāpesuṃ.

    อถ นํ สุวณฺณชาเลน ปฎิคฺคเหตฺวา ฐิตานํ พฺรหฺมานํ หตฺถโต จตฺตาโร มหาราชาโน มงฺคลสมฺมตาย สุขสมฺผสฺสาย อชินปฺปเวณิยา คณฺหิํสุ, เตสํ หตฺถโต มนุสฺสา ทุกูลจุมฺพฎเกนฯ มนุสฺสานํ หตฺถโต มุจฺจิตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐาย ปุรตฺถิมทิสํ โอโลเกสิ, อเนกานิ จกฺกวาฬสหสฺสานิ เอกงฺคณานิ อเหสุํฯ ตตฺถ เทวมนุสฺสา คนฺธมาลาทีหิ ปูชยมานา ‘‘มหาปุริส, อิธ ตุเมฺหหิ สทิโส อโญฺญ นตฺถิ, กุเตตฺถ อุตฺตริตโร’’ติ อาหํสุฯ เอวํ จตโสฺส ทิสา, จตโสฺส อนุทิสา, เหฎฺฐา, อุปรีติ ทส ทิสา อนุวิโลเกตฺวา อตฺตนา สทิสํ กญฺจิ อทิสฺวา ‘‘อยํ อุตฺตราทิสา’’ติ สตฺตปทวีติหาเรน อคมาสิ, มหาพฺรหฺมุนา เสตจฺฉตฺตํ ธาริยมาโน, สุยาเมน วาฬพีชนิํ, อญฺญาหิ จ เทวตาหิ เสสราชกกุธภณฺฑหตฺถาหิ อนุคมฺมมาโนฯ ตโต สตฺตมปเท ฐิโต ‘‘อโคฺคหมสฺมิํ โลกสฺสา’’ติอาทิกํ อาสภิํ วาจํ นิจฺฉาเรโนฺต สีหนาทํ นทิฯ

    Atha naṃ suvaṇṇajālena paṭiggahetvā ṭhitānaṃ brahmānaṃ hatthato cattāro mahārājāno maṅgalasammatāya sukhasamphassāya ajinappaveṇiyā gaṇhiṃsu, tesaṃ hatthato manussā dukūlacumbaṭakena. Manussānaṃ hatthato muccitvā pathaviyaṃ patiṭṭhāya puratthimadisaṃ olokesi, anekāni cakkavāḷasahassāni ekaṅgaṇāni ahesuṃ. Tattha devamanussā gandhamālādīhi pūjayamānā ‘‘mahāpurisa, idha tumhehi sadiso añño natthi, kutettha uttaritaro’’ti āhaṃsu. Evaṃ catasso disā, catasso anudisā, heṭṭhā, uparīti dasa disā anuviloketvā attanā sadisaṃ kañci adisvā ‘‘ayaṃ uttarādisā’’ti sattapadavītihārena agamāsi, mahābrahmunā setacchattaṃ dhāriyamāno, suyāmena vāḷabījaniṃ, aññāhi ca devatāhi sesarājakakudhabhaṇḍahatthāhi anugammamāno. Tato sattamapade ṭhito ‘‘aggohamasmiṃ lokassā’’tiādikaṃ āsabhiṃ vācaṃ nicchārento sīhanādaṃ nadi.

    โพธิสโตฺต หิ ตีสุ อตฺตภาเวสุ มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตมโตฺตว วาจํ นิจฺฉาเรสิ มโหสธตฺตภาเว, เวสฺสนฺตรตฺตภาเว, อิมสฺมิํ อตฺตภาเวติฯ มโหสธตฺตภาเว กิรสฺส มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตมตฺตเสฺสว สโกฺก เทวราชา อาคนฺตฺวา จนฺทนสารํ หเตฺถ ฐเปตฺวา คโต, โส ตํ มุฎฺฐิยํ กตฺวาว นิกฺขโนฺตฯ อถ นํ มาตา ‘‘ตาต, กิํ คเหตฺวา อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘โอสธํ, อมฺมา’’ติฯ อิติ โอสธํ คเหตฺวา อาคตตฺตา ‘‘โอสธทารโก’’เตฺววสฺส นามํ อกํสุฯ ตํ โอสธํ คเหตฺวา จาฎิยํ ปกฺขิปิํสุ, อาคตาคตานํ อนฺธพธิราทีนํ ตเทว สพฺพโรควูปสมาย เภสชฺชํ อโหสิฯ ตโต ‘‘มหนฺตํ อิทํ โอสธํ, มหนฺตํ อิทํ โอสธ’’นฺติ อุปฺปนฺนวจนํ อุปาทาย ‘‘มโหสโธ’’เตฺววสฺส นามํ ชาตํฯ เวสฺสนฺตรตฺตภาเว ปน มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขโนฺต ทกฺขิณหตฺถํ ปสาเรตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข, อมฺม, กิญฺจิ เคหสฺมิํ, ทานํ ทสฺสามี’’ติ วทโนฺต นิกฺขมิฯ อถสฺส มาตา ‘‘สธเน กุเล นิพฺพโตฺตสิ, ตาตา’’ติ ปุตฺตสฺส หตฺถํ อตฺตโน หตฺถตเล กตฺวา สหสฺสตฺถวิกํ ฐเปสิฯ อิมสฺมิํ ปน อตฺตภาเว อิมํ สีหนาทํ นทีติ เอวํ โพธิสโตฺต ตีสุ อตฺตภาเวสุ มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตมโตฺตว วาจํ นิจฺฉาเรสิฯ ยถา จ ปฎิสนฺธิคฺคหณกฺขเณ, ชาตกฺขเณปิสฺส ทฺวตฺติํส ปุพฺพนิมิตฺตานิ ปาตุรเหสุํฯ ยสฺมิํ ปน สมเย อมฺหากํ โพธิสโตฺต ลุมฺพินีวเน ชาโต, ตสฺมิํเยว สมเย ราหุลมาตา เทวี, อานนฺทเตฺถโร, ฉโนฺน อมโจฺจ, กาฬุทายี อมโจฺจ, กณฺฑโก อสฺสราชา, มหาโพธิรุโกฺข, จตโสฺส นิธิกุมฺภิโย จ ชาตาฯ ตตฺถ เอกา คาวุตปฺปมาณา, เอกา อฑฺฒโยชนปฺปมาณา, เอกา ติคาวุตปฺปมาณา, เอกา โยชนปฺปมาณา อโหสีติฯ อิเม สตฺต สหชาตา นามฯ

    Bodhisatto hi tīsu attabhāvesu mātukucchito nikkhantamattova vācaṃ nicchāresi mahosadhattabhāve, vessantarattabhāve, imasmiṃ attabhāveti. Mahosadhattabhāve kirassa mātukucchito nikkhantamattasseva sakko devarājā āgantvā candanasāraṃ hatthe ṭhapetvā gato, so taṃ muṭṭhiyaṃ katvāva nikkhanto. Atha naṃ mātā ‘‘tāta, kiṃ gahetvā āgatosī’’ti pucchi. ‘‘Osadhaṃ, ammā’’ti. Iti osadhaṃ gahetvā āgatattā ‘‘osadhadārako’’tvevassa nāmaṃ akaṃsu. Taṃ osadhaṃ gahetvā cāṭiyaṃ pakkhipiṃsu, āgatāgatānaṃ andhabadhirādīnaṃ tadeva sabbarogavūpasamāya bhesajjaṃ ahosi. Tato ‘‘mahantaṃ idaṃ osadhaṃ, mahantaṃ idaṃ osadha’’nti uppannavacanaṃ upādāya ‘‘mahosadho’’tvevassa nāmaṃ jātaṃ. Vessantarattabhāve pana mātukucchito nikkhanto dakkhiṇahatthaṃ pasāretvā ‘‘atthi nu kho, amma, kiñci gehasmiṃ, dānaṃ dassāmī’’ti vadanto nikkhami. Athassa mātā ‘‘sadhane kule nibbattosi, tātā’’ti puttassa hatthaṃ attano hatthatale katvā sahassatthavikaṃ ṭhapesi. Imasmiṃ pana attabhāve imaṃ sīhanādaṃ nadīti evaṃ bodhisatto tīsu attabhāvesu mātukucchito nikkhantamattova vācaṃ nicchāresi. Yathā ca paṭisandhiggahaṇakkhaṇe, jātakkhaṇepissa dvattiṃsa pubbanimittāni pāturahesuṃ. Yasmiṃ pana samaye amhākaṃ bodhisatto lumbinīvane jāto, tasmiṃyeva samaye rāhulamātā devī, ānandatthero, channo amacco, kāḷudāyī amacco, kaṇḍako assarājā, mahābodhirukkho, catasso nidhikumbhiyo ca jātā. Tattha ekā gāvutappamāṇā, ekā aḍḍhayojanappamāṇā, ekā tigāvutappamāṇā, ekā yojanappamāṇā ahosīti. Ime satta sahajātā nāma.

    อุภยนครวาสิโน โพธิสตฺตํ คเหตฺวา กปิลวตฺถุนครเมว อคมํสุฯ ตํ ทิวสํเยว จ ‘‘กปิลวตฺถุนคเร สุโทฺธทนมหาราชสฺส ปุโตฺต ชาโต, อยํ กุมาโร โพธิตเล นิสีทิตฺวา พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ตาวติํสภวเน หฎฺฐตุฎฺฐา เทวสงฺฆา เจลุเกฺขปาทีนิ ปวเตฺตนฺตา กีฬิํสุฯ ตสฺมิํ สมเย สุโทฺธทนมหาราชสฺส กุลูปโก อฎฺฐสมาปตฺติลาภี กาฬเทวีโล นาม ตาปโส ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ทิวาวิหารตฺถาย ตาวติํสภวนํ คนฺตฺวา ตตฺถ ทิวาวิหารํ นิสิโนฺน ตา เทวตา กีฬมานา ทิสฺวา ‘‘กิํการณา ตุเมฺห เอวํ ตุฎฺฐมานสา กีฬถ, มยฺหเมฺปตํ การณํ กเถถา’’ติ ปุจฺฉิฯ เทวตา อาหํสุ ‘‘มาริส, สุโทฺธทนรโญฺญ ปุโตฺต ชาโต, โส โพธิตเล นิสีทิตฺวา พุโทฺธ หุตฺวา ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตสฺสติ, ตสฺส อนนฺตํ พุทฺธลีฬํ ทฎฺฐุํ ธมฺมญฺจ โสตุํ ลจฺฉามาติ อิมินา การเณน ตุฎฺฐามฺหา’’ติฯ ตาปโส ตาสํ วจนํ สุตฺวา ขิปฺปํ เทวโลกโต โอรุยฺห ราชนิเวสนํ ปวิสิตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสิโนฺน ‘‘ปุโตฺต กิร เต, มหาราช, ชาโต, ปสฺสิสฺสามิ น’’นฺติ อาหฯ ราชา อลงฺกตปฎิยตฺตํ กุมารํ อาหราเปตฺวา ตาปสํ วนฺทาเปตุํ อภิหริ, โพธิสตฺตสฺส ปาทา ปริวตฺติตฺวา ตาปสสฺส ชฎาสุ ปติฎฺฐหิํสุฯ โพธิสตฺตสฺส หิ เตนตฺตภาเวน วนฺทิตพฺพยุตฺตโก นาม อโญฺญ นตฺถิฯ สเจ หิ อชานนฺตา โพธิสตฺตสฺส สีสํ ตาปสสฺส ปาทมูเล ฐเปยฺยุํ, สตฺตธา ตสฺส มุทฺธา ผเลยฺยฯ ตาปโส ‘‘น เม อตฺตานํ นาเสตุํ ยุตฺต’’นฺติ อุฎฺฐายาสนา โพธิสตฺตสฺส อญฺชลิํ ปคฺคเหสิฯ ราชา ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา อตฺตโน ปุตฺตํ วนฺทิฯ

    Ubhayanagaravāsino bodhisattaṃ gahetvā kapilavatthunagarameva agamaṃsu. Taṃ divasaṃyeva ca ‘‘kapilavatthunagare suddhodanamahārājassa putto jāto, ayaṃ kumāro bodhitale nisīditvā buddho bhavissatī’’ti tāvatiṃsabhavane haṭṭhatuṭṭhā devasaṅghā celukkhepādīni pavattentā kīḷiṃsu. Tasmiṃ samaye suddhodanamahārājassa kulūpako aṭṭhasamāpattilābhī kāḷadevīlo nāma tāpaso bhattakiccaṃ katvā divāvihāratthāya tāvatiṃsabhavanaṃ gantvā tattha divāvihāraṃ nisinno tā devatā kīḷamānā disvā ‘‘kiṃkāraṇā tumhe evaṃ tuṭṭhamānasā kīḷatha, mayhampetaṃ kāraṇaṃ kathethā’’ti pucchi. Devatā āhaṃsu ‘‘mārisa, suddhodanarañño putto jāto, so bodhitale nisīditvā buddho hutvā dhammacakkaṃ pavattessati, tassa anantaṃ buddhalīḷaṃ daṭṭhuṃ dhammañca sotuṃ lacchāmāti iminā kāraṇena tuṭṭhāmhā’’ti. Tāpaso tāsaṃ vacanaṃ sutvā khippaṃ devalokato oruyha rājanivesanaṃ pavisitvā paññattāsane nisinno ‘‘putto kira te, mahārāja, jāto, passissāmi na’’nti āha. Rājā alaṅkatapaṭiyattaṃ kumāraṃ āharāpetvā tāpasaṃ vandāpetuṃ abhihari, bodhisattassa pādā parivattitvā tāpasassa jaṭāsu patiṭṭhahiṃsu. Bodhisattassa hi tenattabhāvena vanditabbayuttako nāma añño natthi. Sace hi ajānantā bodhisattassa sīsaṃ tāpasassa pādamūle ṭhapeyyuṃ, sattadhā tassa muddhā phaleyya. Tāpaso ‘‘na me attānaṃ nāsetuṃ yutta’’nti uṭṭhāyāsanā bodhisattassa añjaliṃ paggahesi. Rājā taṃ acchariyaṃ disvā attano puttaṃ vandi.

    ตาปโส อตีเต จตฺตาลีส กเปฺป, อนาคเต จตฺตาลีสาติ อสีติ กเปฺป อนุสฺสรติฯ โพธิสตฺตสฺส ลกฺขณสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘ภวิสฺสติ นุ โข พุโทฺธ, อุทาหุ โน’’ติ อาวเชฺชตฺวา อุปธาเรโนฺต ‘‘นิสฺสํสยํ พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘อจฺฉริยปุริโส อย’’นฺติ สิตํ อกาสิฯ ตโต ‘‘อหํ อิมํ พุทฺธภูตํ ทฎฺฐุํ ลภิสฺสามิ นุ โข, โน’’ติ อุปธาเรโนฺต ‘‘น ลภิสฺสามิ, อนฺตราเยว กาลํ กตฺวา พุทฺธสเตนปิ พุทฺธสหเสฺสนปิ คนฺตฺวา โพเธตุํ อสกฺกุเณเยฺย อรูปภเว นิพฺพตฺติสฺสามี’’ติ ทิสฺวา ‘‘เอวรูปํ นาม อจฺฉริยปุริสํ พุทฺธภูตํ ทฎฺฐุํ น ลภิสฺสามิ, มหตี วต เม ชานิ ภวิสฺสตี’’ติ ปโรทิฯ

    Tāpaso atīte cattālīsa kappe, anāgate cattālīsāti asīti kappe anussarati. Bodhisattassa lakkhaṇasampattiṃ disvā ‘‘bhavissati nu kho buddho, udāhu no’’ti āvajjetvā upadhārento ‘‘nissaṃsayaṃ buddho bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘acchariyapuriso aya’’nti sitaṃ akāsi. Tato ‘‘ahaṃ imaṃ buddhabhūtaṃ daṭṭhuṃ labhissāmi nu kho, no’’ti upadhārento ‘‘na labhissāmi, antarāyeva kālaṃ katvā buddhasatenapi buddhasahassenapi gantvā bodhetuṃ asakkuṇeyye arūpabhave nibbattissāmī’’ti disvā ‘‘evarūpaṃ nāma acchariyapurisaṃ buddhabhūtaṃ daṭṭhuṃ na labhissāmi, mahatī vata me jāni bhavissatī’’ti parodi.

    มนุสฺสา ทิสฺวา ‘‘อมฺหากํ อโยฺย อิทาเนว หสิตฺวา ปุน ปโรทิฯ กิํ นุ โข, ภเนฺต, อมฺหากํ อยฺยปุตฺตสฺส โกจิ อนฺตราโย ภวิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘นเตฺถตสฺส อนฺตราโย, นิสฺสํสเยน พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติฯ อถ ‘‘กสฺมา ปโรทิตฺถา’’ติ? ‘‘เอวรูปํ ปุริสํ พุทฺธภูตํ ทฎฺฐุํ น ลภิสฺสามิ, ‘มหตี วต เม ชานิ ภวิสฺสตี’ติ อตฺตานํ อนุโสจโนฺต โรทามี’’ติ อาหฯ ตโต โส ‘‘กิํ นุ โข เม ญาตเกสุ โกจิ เอตํ พุทฺธภูตํ ทฎฺฐุํ ลภิสฺสติ, น ลภิสฺสตี’’ติ อุปธาเรโนฺต อตฺตโน ภาคิเนยฺยํ นาฬกทารกํ อทฺทสฯ โส ภคินิยา เคหํ คนฺตฺวา ‘‘กหํ เต ปุโตฺต นาฬโก’’ติ? ‘‘อตฺถิ เคเห, อยฺยา’’ติฯ ‘‘ปโกฺกสาหิ น’’นฺติ ปโกฺกสาเปตฺวา อตฺตโน สนฺติกํ อาคตํ กุมารํ อาห – ‘‘ตาต, สุโทฺธทนมหาราชสฺส กุเล ปุโตฺต ชาโต, พุทฺธงฺกุโร เอส, ปญฺจติํส วสฺสานิ อติกฺกมิตฺวา พุโทฺธ ภวิสฺสติ, ตฺวํ เอตํ ทฎฺฐุํ ลภิสฺสสิ, อเชฺชว ปพฺพชาหี’’ติฯ สตฺตาสีติโกฎิธเน กุเล นิพฺพตฺตทารโกปิ ‘‘น มํ มาตุโล อนเตฺถ นิโยเชสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตาวเทว อนฺตราปณโต กาสายานิ เจว มตฺติกาปตฺตญฺจ อาหราเปตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา ‘‘โย โลเก อุตฺตมปุคฺคโล, ตํ อุทฺทิสฺส มยฺหํ ปพฺพชฺชา’’ติ โพธิสตฺตาภิมุขํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ปตฺตํ ถวิกาย ปกฺขิปิตฺวา อํสกูเฎ ลเคฺคตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา สมณธมฺมํ อกาสิฯ โส ปรมาภิสโมฺพธิํ ปตฺตํ ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา นาฬกปฎิปทํ กถาเปตฺวา ปุน หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา อุกฺกฎฺฐปฎิปทํ ปฎิปโนฺน สเตฺตว มาเส อายุํ ปาเลตฺวา เอกํ สุวณฺณปพฺพตํ นิสฺสาย ฐิตโกว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ

    Manussā disvā ‘‘amhākaṃ ayyo idāneva hasitvā puna parodi. Kiṃ nu kho, bhante, amhākaṃ ayyaputtassa koci antarāyo bhavissatī’’ti pucchiṃsu. ‘‘Natthetassa antarāyo, nissaṃsayena buddho bhavissatī’’ti. Atha ‘‘kasmā paroditthā’’ti? ‘‘Evarūpaṃ purisaṃ buddhabhūtaṃ daṭṭhuṃ na labhissāmi, ‘mahatī vata me jāni bhavissatī’ti attānaṃ anusocanto rodāmī’’ti āha. Tato so ‘‘kiṃ nu kho me ñātakesu koci etaṃ buddhabhūtaṃ daṭṭhuṃ labhissati, na labhissatī’’ti upadhārento attano bhāgineyyaṃ nāḷakadārakaṃ addasa. So bhaginiyā gehaṃ gantvā ‘‘kahaṃ te putto nāḷako’’ti? ‘‘Atthi gehe, ayyā’’ti. ‘‘Pakkosāhi na’’nti pakkosāpetvā attano santikaṃ āgataṃ kumāraṃ āha – ‘‘tāta, suddhodanamahārājassa kule putto jāto, buddhaṅkuro esa, pañcatiṃsa vassāni atikkamitvā buddho bhavissati, tvaṃ etaṃ daṭṭhuṃ labhissasi, ajjeva pabbajāhī’’ti. Sattāsītikoṭidhane kule nibbattadārakopi ‘‘na maṃ mātulo anatthe niyojessatī’’ti cintetvā tāvadeva antarāpaṇato kāsāyāni ceva mattikāpattañca āharāpetvā kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā ‘‘yo loke uttamapuggalo, taṃ uddissa mayhaṃ pabbajjā’’ti bodhisattābhimukhaṃ añjaliṃ paggayha pañcapatiṭṭhitena vanditvā pattaṃ thavikāya pakkhipitvā aṃsakūṭe laggetvā himavantaṃ pavisitvā samaṇadhammaṃ akāsi. So paramābhisambodhiṃ pattaṃ tathāgataṃ upasaṅkamitvā nāḷakapaṭipadaṃ kathāpetvā puna himavantaṃ pavisitvā arahattaṃ patvā ukkaṭṭhapaṭipadaṃ paṭipanno satteva māse āyuṃ pāletvā ekaṃ suvaṇṇapabbataṃ nissāya ṭhitakova anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi.

    โพธิสตฺตมฺปิ โข ปญฺจเม ทิวเส สีสํ นฺหาเปตฺวา ‘‘นามคฺคหณํ คณฺหิสฺสามา’’ติ ราชภวนํ จตุชฺชาติกคเนฺธหิ วิลิมฺปิตฺวา ลาชาปญฺจมกานิ ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา อสมฺภินฺนปายาสํ ปจาเปตฺวา ติณฺณํ เวทานํ ปารงฺคเต อฎฺฐสตพฺราหฺมเณ นิมเนฺตตฺวา ราชภวเน นิสีทาเปตฺวา สุโภชนํ โภเชตฺวา มหาสกฺการํ กตฺวา ‘‘กิํ นุ โข ภวิสฺสตี’’ติ ลกฺขณานิ ปริคฺคหาเปสุํฯ เตสุ –

    Bodhisattampi kho pañcame divase sīsaṃ nhāpetvā ‘‘nāmaggahaṇaṃ gaṇhissāmā’’ti rājabhavanaṃ catujjātikagandhehi vilimpitvā lājāpañcamakāni pupphāni vikiritvā asambhinnapāyāsaṃ pacāpetvā tiṇṇaṃ vedānaṃ pāraṅgate aṭṭhasatabrāhmaṇe nimantetvā rājabhavane nisīdāpetvā subhojanaṃ bhojetvā mahāsakkāraṃ katvā ‘‘kiṃ nu kho bhavissatī’’ti lakkhaṇāni pariggahāpesuṃ. Tesu –

    ‘‘ราโม ธโช ลกฺขโณ จาปิ มนฺตี, โกณฺฑโญฺญ จ โภโช สุยาโม สุทโตฺต;

    ‘‘Rāmo dhajo lakkhaṇo cāpi mantī, koṇḍañño ca bhojo suyāmo sudatto;

    เอเต ตทา อฎฺฐ อเหสุํ พฺราหฺมณา, ฉฬงฺควา มนฺตํ วิยากริํสู’’ติฯ –

    Ete tadā aṭṭha ahesuṃ brāhmaṇā, chaḷaṅgavā mantaṃ viyākariṃsū’’ti. –

    อิเม อเฎฺฐว พฺราหฺมณา ลกฺขณปริคฺคาหกา อเหสุํฯ ปฎิสนฺธิคฺคหณทิวเส สุปิโนปิ เอเตเหว ปริคฺคหิโตฯ เตสุ สตฺต ชนา เทฺว องฺคุลิโย อุกฺขิปิตฺวา เทฺวธา พฺยากริํสุ – ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต อคารํ อชฺฌาวสมาโน ราชา โหติ จกฺกวตฺตี, ปพฺพชมาโน พุโทฺธ’’ติ, สพฺพํ จกฺกวตฺติรโญฺญ สิริวิภวํ อาจิกฺขิํสุฯ เตสํ ปน สพฺพทหโร โคตฺตโต โกณฺฑโญฺญ นาม มาณโว โพธิสตฺตสฺส วรลกฺขณนิปฺผตฺติํ โอโลเกตฺวา – ‘‘อิมสฺส อคารมเชฺฌ ฐานการณํ นตฺถิ, เอกเนฺตเนส วิวฎฺฎจฺฉโท พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ เอกเมว องฺคุลิํ อุกฺขิปิตฺวา เอกํสพฺยากรณํ พฺยากาสิฯ อยญฺหิ กตาธิกาโร ปจฺฉิมภวิกสโตฺต ปญฺญาย อิตเร สตฺต ชเน อภิภวิตฺวา ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคตสฺส อคารมเชฺฌ ฐานํ นาม นตฺถิ, อสํสยํ พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ เอกเมว คติํ อทฺทส, ตสฺมา เอกํ องฺคุลิํ อุกฺขิปิตฺวา เอวํ พฺยากาสิฯ อถสฺส นามํ คณฺหนฺตา สพฺพโลกสฺส อตฺถสิทฺธิกรตฺตา ‘‘สิทฺธโตฺถ’’ติ นามมกํสุฯ

    Ime aṭṭheva brāhmaṇā lakkhaṇapariggāhakā ahesuṃ. Paṭisandhiggahaṇadivase supinopi eteheva pariggahito. Tesu satta janā dve aṅguliyo ukkhipitvā dvedhā byākariṃsu – ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgato agāraṃ ajjhāvasamāno rājā hoti cakkavattī, pabbajamāno buddho’’ti, sabbaṃ cakkavattirañño sirivibhavaṃ ācikkhiṃsu. Tesaṃ pana sabbadaharo gottato koṇḍañño nāma māṇavo bodhisattassa varalakkhaṇanipphattiṃ oloketvā – ‘‘imassa agāramajjhe ṭhānakāraṇaṃ natthi, ekantenesa vivaṭṭacchado buddho bhavissatī’’ti ekameva aṅguliṃ ukkhipitvā ekaṃsabyākaraṇaṃ byākāsi. Ayañhi katādhikāro pacchimabhavikasatto paññāya itare satta jane abhibhavitvā ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgatassa agāramajjhe ṭhānaṃ nāma natthi, asaṃsayaṃ buddho bhavissatī’’ti ekameva gatiṃ addasa, tasmā ekaṃ aṅguliṃ ukkhipitvā evaṃ byākāsi. Athassa nāmaṃ gaṇhantā sabbalokassa atthasiddhikarattā ‘‘siddhattho’’ti nāmamakaṃsu.

    อถ เต พฺราหฺมณา อตฺตโน ฆรานิ คนฺตฺวา ปุเตฺต อามนฺตยิํสุ – ‘‘ตาตา, อเมฺห มหลฺลกา, สุโทฺธทนมหาราชสฺส ปุตฺตํ สพฺพญฺญุตํ ปตฺตํ มยํ สมฺภเวยฺยาม วา โน วา, ตุเมฺห ตสฺมิํ กุมาเร สพฺพญฺญุตํ ปเตฺต ตสฺส สาสเน ปพฺพเชยฺยาถา’’ติฯ เต สตฺตปิ ชนา ยาวตายุกํ ฐตฺวา ยถากมฺมํ คตา, โกณฺฑญฺญมาณโวว อโรโค อโหสิฯ โส มหาสเตฺต วุฑฺฒิมนฺวาย มหาภินิกฺขมนํ อภินิกฺขมิตฺวา อนุกฺกเมน อุรุเวลํ คนฺตฺวา ‘‘รมณีโย, วต อยํ ภูมิภาโค, อลํ วติทํ กุลปุตฺตสฺส ปธานตฺถิกสฺส ปธานายา’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา ตตฺถ วาสํ อุปคเต ‘‘มหาปุริโส ปพฺพชิโต’’ติ สุตฺวา เตสํ พฺราหฺมณานํ ปุเตฺต อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห ‘‘สิทฺธตฺถกุมาโร กิร ปพฺพชิโต, โส นิสฺสํสยํ พุโทฺธ ภวิสฺสติฯ สเจ ตุมฺหากํ ปิตโร อโรคา อสฺสุ, อชฺช นิกฺขมิตฺวา ปพฺพเชยฺยุํฯ สเจ ตุเมฺหปิ อิเจฺฉยฺยาถ, เอถ, อหํ ตํ ปุริสํ อนุปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ เต สเพฺพ เอกจฺฉนฺทา ภวิตุํ นาสกฺขิํสุ , ตโย ชนา น ปพฺพชิํสุฯ โกณฺฑญฺญพฺราหฺมณํ เชฎฺฐกํ กตฺวา อิตเร จตฺตาโร ปพฺพชิํสุฯ เต ปญฺจปิ ชนา ปญฺจวคฺคิยเตฺถรา นาม ชาตาฯ

    Atha te brāhmaṇā attano gharāni gantvā putte āmantayiṃsu – ‘‘tātā, amhe mahallakā, suddhodanamahārājassa puttaṃ sabbaññutaṃ pattaṃ mayaṃ sambhaveyyāma vā no vā, tumhe tasmiṃ kumāre sabbaññutaṃ patte tassa sāsane pabbajeyyāthā’’ti. Te sattapi janā yāvatāyukaṃ ṭhatvā yathākammaṃ gatā, koṇḍaññamāṇavova arogo ahosi. So mahāsatte vuḍḍhimanvāya mahābhinikkhamanaṃ abhinikkhamitvā anukkamena uruvelaṃ gantvā ‘‘ramaṇīyo, vata ayaṃ bhūmibhāgo, alaṃ vatidaṃ kulaputtassa padhānatthikassa padhānāyā’’ti cittaṃ uppādetvā tattha vāsaṃ upagate ‘‘mahāpuriso pabbajito’’ti sutvā tesaṃ brāhmaṇānaṃ putte upasaṅkamitvā evamāha ‘‘siddhatthakumāro kira pabbajito, so nissaṃsayaṃ buddho bhavissati. Sace tumhākaṃ pitaro arogā assu, ajja nikkhamitvā pabbajeyyuṃ. Sace tumhepi iccheyyātha, etha, ahaṃ taṃ purisaṃ anupabbajissāmī’’ti. Te sabbe ekacchandā bhavituṃ nāsakkhiṃsu , tayo janā na pabbajiṃsu. Koṇḍaññabrāhmaṇaṃ jeṭṭhakaṃ katvā itare cattāro pabbajiṃsu. Te pañcapi janā pañcavaggiyattherā nāma jātā.

    ตทา ปน ราชา ‘‘กิํ ทิสฺวา มยฺหํ ปุโตฺต ปพฺพชิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘จตฺตาริ ปุพฺพนิมิตฺตานี’’ติฯ ‘‘กตรญฺจ กตรญฺจา’’ติ? ‘‘ชราชิณฺณํ, พฺยาธิตํ, กาลกตํ, ปพฺพชิต’’นฺติฯ ราชา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย เอวรูปานํ มม ปุตฺตสฺส สนฺติกํ อุปสงฺกมิตุํ มา อทตฺถ, มยฺหํ ปุตฺตสฺส พุทฺธภาเวน กมฺมํ นตฺถิ, อหํ มม ปุตฺตํ ทฺวิสหสฺสทีปปริวารานํ จตุนฺนํ มหาทีปานํ อิสฺสริยาธิปจฺจํ รชฺชํ กาเรนฺตํ ฉตฺติํสโยชนปริมณฺฑลาย ปริสาย ปริวุตํ คคนตเล วิจรมานํ ปสฺสิตุกาโม’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา อิเมสํ จตุปฺปการานํ นิมิตฺตานํ กุมารสฺส จกฺขุปเถ อาคมนนิวารณตฺถํ จตูสุ ทิสาสุ คาวุเต คาวุเต อารกฺขํ ฐเปสิฯ ตํ ทิวสํ ปน มงฺคลฎฺฐาเน สนฺนิปติเตสุ อสีติยา ญาติกุลสหเสฺสสุ เอเกโก เอกเมกํ ปุตฺตํ ปฎิชานิ – ‘‘อยํ พุโทฺธ วา โหตุ ราชา วา, มยํ เอกเมกํ ปุตฺตํ ทสฺสามฯ สเจปิ พุโทฺธ ภวิสฺสติ, ขตฺติยสมเณเหว ปุรกฺขตปริวาริโต วิจริสฺสติฯ สเจปิ ราชา ภวิสฺสติ, ขตฺติยกุมาเรเหว ปุรกฺขตปริวาริโต วิจริสฺสตี’’ติฯ ราชาปิ โพธิสตฺตสฺส อุตฺตมรูปสมฺปนฺนา วิคตสพฺพโทสา ธาติโย ปจฺจุปฎฺฐาเปสิฯ โพธิสโตฺต อนเนฺตน ปริวาเรน มหเนฺตน สิริโสภเคฺคน วฑฺฒติฯ

    Tadā pana rājā ‘‘kiṃ disvā mayhaṃ putto pabbajissatī’’ti pucchi. ‘‘Cattāri pubbanimittānī’’ti. ‘‘Katarañca katarañcā’’ti? ‘‘Jarājiṇṇaṃ, byādhitaṃ, kālakataṃ, pabbajita’’nti. Rājā ‘‘ito paṭṭhāya evarūpānaṃ mama puttassa santikaṃ upasaṅkamituṃ mā adattha, mayhaṃ puttassa buddhabhāvena kammaṃ natthi, ahaṃ mama puttaṃ dvisahassadīpaparivārānaṃ catunnaṃ mahādīpānaṃ issariyādhipaccaṃ rajjaṃ kārentaṃ chattiṃsayojanaparimaṇḍalāya parisāya parivutaṃ gaganatale vicaramānaṃ passitukāmo’’ti. Evañca pana vatvā imesaṃ catuppakārānaṃ nimittānaṃ kumārassa cakkhupathe āgamananivāraṇatthaṃ catūsu disāsu gāvute gāvute ārakkhaṃ ṭhapesi. Taṃ divasaṃ pana maṅgalaṭṭhāne sannipatitesu asītiyā ñātikulasahassesu ekeko ekamekaṃ puttaṃ paṭijāni – ‘‘ayaṃ buddho vā hotu rājā vā, mayaṃ ekamekaṃ puttaṃ dassāma. Sacepi buddho bhavissati, khattiyasamaṇeheva purakkhataparivārito vicarissati. Sacepi rājā bhavissati, khattiyakumāreheva purakkhataparivārito vicarissatī’’ti. Rājāpi bodhisattassa uttamarūpasampannā vigatasabbadosā dhātiyo paccupaṭṭhāpesi. Bodhisatto anantena parivārena mahantena sirisobhaggena vaḍḍhati.

    อเถกทิวสํ รโญฺญ วปฺปมงฺคลํ นาม อโหสิฯ ตํ ทิวสํ สกลนครํ เทววิมานํ วิย อลงฺกโรนฺติฯ สเพฺพ ทาสกมฺมกราทโย อหตวตฺถนิวตฺถา คนฺธมาลาทิปฎิมณฺฑิตา ราชกุเล สนฺนิปตนฺติฯ รโญฺญ กมฺมเนฺต นงฺคลสหสฺสํ โยชียติฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส เอเกนูนอฎฺฐสตนงฺคลานิ สทฺธิํ พลิพทฺทรสฺมิโยเตฺตหิ รชตปริกฺขตานิ โหนฺติ, รโญฺญ อาลมฺพนนงฺคลํ ปน รตฺตสุวณฺณปริกฺขตํ โหติฯ พลิพทฺทานํ สิงฺครสฺมิปโตทาปิ สุวณฺณปริกฺขตาว โหนฺติฯ ราชา มหตา ปริวาเรน นิกฺขโนฺต ปุตฺตํ คเหตฺวา อคมาสิฯ กมฺมนฺตฎฺฐาเน เอโก ชมฺพุรุโกฺข พหลปลาโส สนฺทจฺฉาโย อโหสิฯ ตสฺส เหฎฺฐา กุมารสฺส สยนํ ปญฺญปาเปตฺวา อุปริ สุวณฺณตารกขจิตํ วิตานํ พนฺธาเปตฺวา สาณิปากาเรน ปริกฺขิปาเปตฺวา อารกฺขํ ฐปาเปตฺวา ราชา สพฺพาลงฺการํ อลงฺกริตฺวา อมจฺจคณปริวุโต นงฺคลกรณฎฺฐานํ อคมาสิฯ ตตฺถ ราชา สุวณฺณนงฺคลํ คณฺหาติ, อมจฺจา เอเกนูนฎฺฐสตรชตนงฺคลานิ, กสฺสกา เสสนงฺคลานิฯ เต ตานิ คเหตฺวา อิโต จิโต จ กสนฺติฯ ราชา ปน โอรโต วา ปารํ คจฺฉติ, ปารโต วา โอรํ อาคจฺฉติฯ เอตสฺมิํ ฐาเน มหาสมฺปตฺติ อโหสิฯ โพธิสตฺตํ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนา ธาติโย ‘‘รโญฺญ สมฺปตฺติํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ อโนฺตสาณิโต พหิ นิกฺขนฺตาฯ โพธิสโตฺต อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต กญฺจิ อทิสฺวา เวเคน อุฎฺฐาย ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อานาปาเน ปริคฺคเหตฺวา ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตสิฯ ธาติโย ขชฺชโภชฺชนฺตเร วิจรมานา โถกํ จิรายิํสุฯ เสสรุกฺขานํ ฉายา นิวตฺตา, ตสฺส ปน รุกฺขสฺส ปริมณฺฑลา หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ ธาติโย ‘‘อยฺยปุโตฺต เอกโต’’ติ เวเคน สาณิํ อุกฺขิปิตฺวา อโนฺต ปวิสมานา โพธิสตฺตํ สยเน ปลฺลเงฺกน นิสินฺนํ ตญฺจ ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํ – ‘‘เทว, กุมาโร เอวํ นิสิโนฺน, อเญฺญสํ รุกฺขานํ ฉายา นิวตฺตา, ชมฺพุรุกฺขสฺส ปน ปริมณฺฑลา ฐิตา’’ติฯ ราชา เวเคนาคนฺตฺวา ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา – ‘‘อิทํ เต, ตาต, ทุติยํ วนฺทน’’นฺติ ปุตฺตํ วนฺทิฯ

    Athekadivasaṃ rañño vappamaṅgalaṃ nāma ahosi. Taṃ divasaṃ sakalanagaraṃ devavimānaṃ viya alaṅkaronti. Sabbe dāsakammakarādayo ahatavatthanivatthā gandhamālādipaṭimaṇḍitā rājakule sannipatanti. Rañño kammante naṅgalasahassaṃ yojīyati. Tasmiṃ pana divase ekenūnaaṭṭhasatanaṅgalāni saddhiṃ balibaddarasmiyottehi rajataparikkhatāni honti, rañño ālambananaṅgalaṃ pana rattasuvaṇṇaparikkhataṃ hoti. Balibaddānaṃ siṅgarasmipatodāpi suvaṇṇaparikkhatāva honti. Rājā mahatā parivārena nikkhanto puttaṃ gahetvā agamāsi. Kammantaṭṭhāne eko jamburukkho bahalapalāso sandacchāyo ahosi. Tassa heṭṭhā kumārassa sayanaṃ paññapāpetvā upari suvaṇṇatārakakhacitaṃ vitānaṃ bandhāpetvā sāṇipākārena parikkhipāpetvā ārakkhaṃ ṭhapāpetvā rājā sabbālaṅkāraṃ alaṅkaritvā amaccagaṇaparivuto naṅgalakaraṇaṭṭhānaṃ agamāsi. Tattha rājā suvaṇṇanaṅgalaṃ gaṇhāti, amaccā ekenūnaṭṭhasatarajatanaṅgalāni, kassakā sesanaṅgalāni. Te tāni gahetvā ito cito ca kasanti. Rājā pana orato vā pāraṃ gacchati, pārato vā oraṃ āgacchati. Etasmiṃ ṭhāne mahāsampatti ahosi. Bodhisattaṃ parivāretvā nisinnā dhātiyo ‘‘rañño sampattiṃ passissāmā’’ti antosāṇito bahi nikkhantā. Bodhisatto ito cito ca olokento kañci adisvā vegena uṭṭhāya pallaṅkaṃ ābhujitvā ānāpāne pariggahetvā paṭhamajjhānaṃ nibbattesi. Dhātiyo khajjabhojjantare vicaramānā thokaṃ cirāyiṃsu. Sesarukkhānaṃ chāyā nivattā, tassa pana rukkhassa parimaṇḍalā hutvā aṭṭhāsi. Dhātiyo ‘‘ayyaputto ekato’’ti vegena sāṇiṃ ukkhipitvā anto pavisamānā bodhisattaṃ sayane pallaṅkena nisinnaṃ tañca pāṭihāriyaṃ disvā gantvā rañño ārocesuṃ – ‘‘deva, kumāro evaṃ nisinno, aññesaṃ rukkhānaṃ chāyā nivattā, jamburukkhassa pana parimaṇḍalā ṭhitā’’ti. Rājā vegenāgantvā pāṭihāriyaṃ disvā – ‘‘idaṃ te, tāta, dutiyaṃ vandana’’nti puttaṃ vandi.

    อถ อนุกฺกเมน โพธิสโตฺต โสฬสวสฺสุเทฺทสิโก ชาโตฯ ราชา โพธิสตฺตสฺส ติณฺณํ อุตูนํ อนุจฺฉวิเก ตโย ปาสาเท กาเรสิ – เอกํ นวภูมกํ, เอกํ สตฺตภูมกํ, เอกํ ปญฺจภูมกํ, จตฺตาลีสสหสฺสา จ นาฎกิตฺถิโย อุปฎฺฐาเปสิฯ โพธิสโตฺต เทโว วิย อจฺฉราสงฺฆปริวุโต, อลงฺกตนาฎกปริวุโต, นิปฺปุริเสหิ ตูริเยหิ ปริจาริยมาโน มหาสมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต อุตุวาเรน เตสุ ปาสาเทสุ วิหรติฯ ราหุลมาตา ปนสฺส เทวี อคฺคมเหสี อโหสิฯ

    Atha anukkamena bodhisatto soḷasavassuddesiko jāto. Rājā bodhisattassa tiṇṇaṃ utūnaṃ anucchavike tayo pāsāde kāresi – ekaṃ navabhūmakaṃ, ekaṃ sattabhūmakaṃ, ekaṃ pañcabhūmakaṃ, cattālīsasahassā ca nāṭakitthiyo upaṭṭhāpesi. Bodhisatto devo viya accharāsaṅghaparivuto, alaṅkatanāṭakaparivuto, nippurisehi tūriyehi paricāriyamāno mahāsampattiṃ anubhavanto utuvārena tesu pāsādesu viharati. Rāhulamātā panassa devī aggamahesī ahosi.

    ตเสฺสวํ มหาสมฺปตฺติํ อนุภวนฺตสฺส เอกทิวสํ ญาติสงฺฆสฺส อพฺภนฺตเร อยํ กถา อุทปาทิ – ‘‘สิทฺธโตฺถ กีฬาปสุโตว วิจรติ, กิญฺจิ สิปฺปํ น สิกฺขติ, สงฺคาเม ปจฺจุปฎฺฐิเต กิํ กริสฺสตี’’ติฯ ราชา โพธิสตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา – ‘‘ตาต, ตว ญาตกา ‘สิทฺธโตฺถ กิญฺจิ สิปฺปํ อสิกฺขิตฺวา กีฬาปสุโตว วิจรตี’ติ วทนฺติ, เอตฺถ กิํ ปตฺตกาเล มญฺญสี’’ติฯ เทว, มม สิปฺปํ สิกฺขนกิจฺจํ นตฺถิ, นคเร มม สิปฺปทสฺสนตฺถํ เภริํ จราเปถ ‘‘อิโต สตฺตเม ทิวเส ญาตกานํ สิปฺปํ ทเสฺสสฺสามี’’ติฯ ราชา ตถา อกาสิฯ โพธิสโตฺต อกฺขณเวธิวาลเวธิธนุคฺคเห สนฺนิปาตาเปตฺวา มหาชนสฺส มเชฺฌ อเญฺญหิ ธนุคฺคเหหิ อสาธารณํ ญาตกานํ ทฺวาทสวิธํ สิปฺปํ ทเสฺสสิฯ ตํ สรภงฺคชาตเก อาคตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ตทาสฺส ญาติสโงฺฆ นิกฺกโงฺข อโหสิฯ

    Tassevaṃ mahāsampattiṃ anubhavantassa ekadivasaṃ ñātisaṅghassa abbhantare ayaṃ kathā udapādi – ‘‘siddhattho kīḷāpasutova vicarati, kiñci sippaṃ na sikkhati, saṅgāme paccupaṭṭhite kiṃ karissatī’’ti. Rājā bodhisattaṃ pakkosāpetvā – ‘‘tāta, tava ñātakā ‘siddhattho kiñci sippaṃ asikkhitvā kīḷāpasutova vicaratī’ti vadanti, ettha kiṃ pattakāle maññasī’’ti. Deva, mama sippaṃ sikkhanakiccaṃ natthi, nagare mama sippadassanatthaṃ bheriṃ carāpetha ‘‘ito sattame divase ñātakānaṃ sippaṃ dassessāmī’’ti. Rājā tathā akāsi. Bodhisatto akkhaṇavedhivālavedhidhanuggahe sannipātāpetvā mahājanassa majjhe aññehi dhanuggahehi asādhāraṇaṃ ñātakānaṃ dvādasavidhaṃ sippaṃ dassesi. Taṃ sarabhaṅgajātake āgatanayeneva veditabbaṃ. Tadāssa ñātisaṅgho nikkaṅkho ahosi.

    อเถกทิวสํ โพธิสโตฺต อุยฺยานภูมิํ คนฺตุกาโม สารถิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘รถํ โยเชหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา มหารหํ อุตฺตมรถํ สพฺพาลงฺกาเรน อลงฺกริตฺวา กุมุทปตฺตวเณฺณ จตฺตาโร มงฺคลสินฺธเว โยเชตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปฎิเวเทสิฯ โพธิสโตฺต เทววิมานสทิสํ รถํ อภิรุหิตฺวา อุยฺยานาภิมุโข อคมาสิฯ เทวตา ‘‘สิทฺธตฺถกุมารสฺส อภิสมฺพุชฺฌนกาโล อาสโนฺน, ปุพฺพนิมิตฺตํ ทเสฺสสฺสามา’’ติ เอกํ เทวปุตฺตํ ชราชชฺชรํ ขณฺฑทนฺตํ ปลิตเกสํ วงฺกํ โอภคฺคสรีรํ ทณฺฑหตฺถํ ปเวธมานํ กตฺวา ทเสฺสสุํฯ ตํ โพธิสโตฺต เจว สารถิ จ ปสฺสนฺติฯ ตโต โพธิสโตฺต สารถิํ – ‘‘สมฺม, โก นาเมส ปุริโส, เกสาปิสฺส น ยถา อเญฺญส’’นฺติ มหาปทาเน อาคตนเยน ปุจฺฉิตฺวา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘ธีรตฺถุ วต โภ ชาติ, ยตฺร หิ นาม ชาตสฺส ชรา ปญฺญายิสฺสตี’’ติ สํวิคฺคหทโย ตโตว ปฎินิวตฺติตฺวา ปาสาทเมว อภิรุหิฯ ราชา ‘‘กิํ การณา มม ปุโตฺต ขิปฺปํ ปฎินิวตฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ชิณฺณกํ ปุริสํ ทิสฺวา เทวา’’ติฯ ‘‘ชิณฺณกํ ทิสฺวา ปพฺพชิสฺสตีติ อาหํสุ, กสฺมา มํ นาเสถ, สีฆํ ปุตฺตสฺส นาฎกานิ สเชฺชถ, สมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต ปพฺพชฺชาย สติํ น กริสฺสตี’’ติ วตฺวา อารกฺขํ วเฑฺฒตฺวา สพฺพทิสาสุ อฑฺฒโยชเน อฑฺฒโยชเน ฐเปสิฯ

    Athekadivasaṃ bodhisatto uyyānabhūmiṃ gantukāmo sārathiṃ āmantetvā ‘‘rathaṃ yojehī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā mahārahaṃ uttamarathaṃ sabbālaṅkārena alaṅkaritvā kumudapattavaṇṇe cattāro maṅgalasindhave yojetvā bodhisattassa paṭivedesi. Bodhisatto devavimānasadisaṃ rathaṃ abhiruhitvā uyyānābhimukho agamāsi. Devatā ‘‘siddhatthakumārassa abhisambujjhanakālo āsanno, pubbanimittaṃ dassessāmā’’ti ekaṃ devaputtaṃ jarājajjaraṃ khaṇḍadantaṃ palitakesaṃ vaṅkaṃ obhaggasarīraṃ daṇḍahatthaṃ pavedhamānaṃ katvā dassesuṃ. Taṃ bodhisatto ceva sārathi ca passanti. Tato bodhisatto sārathiṃ – ‘‘samma, ko nāmesa puriso, kesāpissa na yathā aññesa’’nti mahāpadāne āgatanayena pucchitvā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘dhīratthu vata bho jāti, yatra hi nāma jātassa jarā paññāyissatī’’ti saṃviggahadayo tatova paṭinivattitvā pāsādameva abhiruhi. Rājā ‘‘kiṃ kāraṇā mama putto khippaṃ paṭinivattī’’ti pucchi. ‘‘Jiṇṇakaṃ purisaṃ disvā devā’’ti. ‘‘Jiṇṇakaṃ disvā pabbajissatīti āhaṃsu, kasmā maṃ nāsetha, sīghaṃ puttassa nāṭakāni sajjetha, sampattiṃ anubhavanto pabbajjāya satiṃ na karissatī’’ti vatvā ārakkhaṃ vaḍḍhetvā sabbadisāsu aḍḍhayojane aḍḍhayojane ṭhapesi.

    ปุเนกทิวสํ โพธิสโตฺต ตเถว อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต เทวตาหิ นิมฺมิตํ พฺยาธิตํ ปุริสํ ทิสฺวา ปุริมนเยเนว ปุจฺฉิตฺวา สํวิคฺคหทโย นิวตฺติตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิฯ ราชาปิ ปุจฺฉิตฺวา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว สํวิทหิตฺวา ปุน วเฑฺฒตฺวา สมนฺตา ติคาวุตปฺปมาเณ ปเทเส อารกฺขํ ฐเปสิฯ อปรํ เอกทิวสํ โพธิสโตฺต ตเถว อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต เทวตาหิ นิมฺมิตํ กาลกตํ ทิสฺวา ปุริมนเยเนว ปุจฺฉิตฺวา สํวิคฺคหทโย ปุน นิวตฺติตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิฯ ราชาปิ ปุจฺฉิตฺวา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว สํวิทหิตฺวา ปุน วเฑฺฒตฺวา สมนฺตา โยชนปฺปมาเณ ปเทเส อารกฺขํ ฐเปสิฯ อปรํ ปน เอกทิวสํ อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต ตเถว เทวตาหิ นิมฺมิตํ สุนิวตฺถํ สุปารุตํ ปพฺพชิตํ ทิสฺวา ‘‘โก นาเมโส สมฺมา’’ติ สารถิํ ปุจฺฉิฯ สารถิ กิญฺจาปิ พุทฺธุปฺปาทสฺส อภาวา ปพฺพชิตํ วา ปพฺพชิตคุเณ วา น ชานาติ, เทวตานุภาเวน ปน ‘‘ปพฺพชิโต นามายํ เทวา’’ติ วตฺวา ปพฺพชฺชาย คุเณ วเณฺณสิฯ โพธิสโตฺต ปพฺพชฺชาย รุจิํ อุปฺปาเทตฺวา ตํ ทิวสํ อุยฺยานํ อคมาสิฯ ทีฆภาณกา ปนาหุ ‘‘จตฺตาริ นิมิตฺตานิ เอกทิวเสเนว ทิสฺวา อคมาสี’’ติฯ

    Punekadivasaṃ bodhisatto tatheva uyyānaṃ gacchanto devatāhi nimmitaṃ byādhitaṃ purisaṃ disvā purimanayeneva pucchitvā saṃviggahadayo nivattitvā pāsādaṃ abhiruhi. Rājāpi pucchitvā heṭṭhā vuttanayeneva saṃvidahitvā puna vaḍḍhetvā samantā tigāvutappamāṇe padese ārakkhaṃ ṭhapesi. Aparaṃ ekadivasaṃ bodhisatto tatheva uyyānaṃ gacchanto devatāhi nimmitaṃ kālakataṃ disvā purimanayeneva pucchitvā saṃviggahadayo puna nivattitvā pāsādaṃ abhiruhi. Rājāpi pucchitvā heṭṭhā vuttanayeneva saṃvidahitvā puna vaḍḍhetvā samantā yojanappamāṇe padese ārakkhaṃ ṭhapesi. Aparaṃ pana ekadivasaṃ uyyānaṃ gacchanto tatheva devatāhi nimmitaṃ sunivatthaṃ supārutaṃ pabbajitaṃ disvā ‘‘ko nāmeso sammā’’ti sārathiṃ pucchi. Sārathi kiñcāpi buddhuppādassa abhāvā pabbajitaṃ vā pabbajitaguṇe vā na jānāti, devatānubhāvena pana ‘‘pabbajito nāmāyaṃ devā’’ti vatvā pabbajjāya guṇe vaṇṇesi. Bodhisatto pabbajjāya ruciṃ uppādetvā taṃ divasaṃ uyyānaṃ agamāsi. Dīghabhāṇakā panāhu ‘‘cattāri nimittāni ekadivaseneva disvā agamāsī’’ti.

    โส ตตฺถ ทิวสภาคํ กีฬิตฺวา มงฺคลโปกฺขรณิยํ นฺหายิตฺวา อตฺถงฺคเต สูริเย มงฺคลสิลาปเฎฺฎ นิสีทิ อตฺตานํ อลงฺการาเปตุกาโมฯ อถสฺส ปริจารกปุริสา นานาวณฺณานิ ทุสฺสานิ นานปฺปการา อาภรณวิกติโย มาลาคนฺธวิเลปนานิ จ อาทาย สมนฺตา ปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส นิสินฺนาสนํ อุณฺหํ อโหสิ ฯ โส ‘‘โก นุ โข มํ อิมมฺหา ฐานา จาเวตุกาโม’’ติ อุปธาเรโนฺต โพธิสตฺตสฺส อลงฺกาเรตุกามตํ ญตฺวา วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตสิ ‘‘สมฺม วิสฺสกมฺม, สิทฺธตฺถกุมาโร อชฺช อฑฺฒรตฺตสมเย มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิสฺสติ, อยมสฺส ปจฺฉิโม อลงฺกาโร, อุยฺยานํ คนฺตฺวา มหาปุริสํ ทิพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกโรหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา เทวตานุภาเวน ตงฺขณํเยว อุปสงฺกมิตฺวา ตเสฺสว กปฺปกสทิโส หุตฺวา กปฺปกสฺส หตฺถโต เวฐนทุสฺสํ คเหตฺวา โพธิสตฺตสฺส สีสํ เวเฐสิฯ โพธิสโตฺต หตฺถสมฺผเสฺสเนว ‘‘นายํ มนุโสฺส, เทวปุโตฺต เอโส’’ติ อญฺญาสิฯ เวฐเนน เวฐิตมเตฺต สีเส โมฬิยํ มณิรตนากาเรน ทุสฺสสหสฺสํ อพฺภุคฺคญฺฉิฯ ปุน เวเฐนฺตสฺส ทุสฺสสหสฺสนฺติ ทสกฺขตฺตุํ เวเฐนฺตสฺส ทส ทุสฺสสหสฺสานิ อพฺภุคฺคจฺฉิํสุ ฯ ‘‘สีสํ ขุทฺทกํ, ทุสฺสานิ พหูนิ, กถํ อพฺภุคฺคตานี’’ติ น จิเนฺตตพฺพํฯ เตสุ หิ สพฺพมหนฺตํ อามลกปุปฺผปฺปมาณํ, อวเสสานิ กุสุมฺพกปุปฺผปฺปมาณานิ อเหสุํฯ โพธิสตฺตสฺส สีสํ กิญฺชกฺขควจฺฉิตํ วิย กุยฺยกปุปฺผํ อโหสิฯ

    So tattha divasabhāgaṃ kīḷitvā maṅgalapokkharaṇiyaṃ nhāyitvā atthaṅgate sūriye maṅgalasilāpaṭṭe nisīdi attānaṃ alaṅkārāpetukāmo. Athassa paricārakapurisā nānāvaṇṇāni dussāni nānappakārā ābharaṇavikatiyo mālāgandhavilepanāni ca ādāya samantā parivāretvā aṭṭhaṃsu. Tasmiṃ khaṇe sakkassa nisinnāsanaṃ uṇhaṃ ahosi . So ‘‘ko nu kho maṃ imamhā ṭhānā cāvetukāmo’’ti upadhārento bodhisattassa alaṅkāretukāmataṃ ñatvā vissakammaṃ āmantesi ‘‘samma vissakamma, siddhatthakumāro ajja aḍḍharattasamaye mahābhinikkhamanaṃ nikkhamissati, ayamassa pacchimo alaṅkāro, uyyānaṃ gantvā mahāpurisaṃ dibbālaṅkārehi alaṅkarohī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā devatānubhāvena taṅkhaṇaṃyeva upasaṅkamitvā tasseva kappakasadiso hutvā kappakassa hatthato veṭhanadussaṃ gahetvā bodhisattassa sīsaṃ veṭhesi. Bodhisatto hatthasamphasseneva ‘‘nāyaṃ manusso, devaputto eso’’ti aññāsi. Veṭhanena veṭhitamatte sīse moḷiyaṃ maṇiratanākārena dussasahassaṃ abbhuggañchi. Puna veṭhentassa dussasahassanti dasakkhattuṃ veṭhentassa dasa dussasahassāni abbhuggacchiṃsu . ‘‘Sīsaṃ khuddakaṃ, dussāni bahūni, kathaṃ abbhuggatānī’’ti na cintetabbaṃ. Tesu hi sabbamahantaṃ āmalakapupphappamāṇaṃ, avasesāni kusumbakapupphappamāṇāni ahesuṃ. Bodhisattassa sīsaṃ kiñjakkhagavacchitaṃ viya kuyyakapupphaṃ ahosi.

    อถสฺส สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตสฺส สพฺพตาลาวจเรสุ สกานิ สกานิ ปฎิภานานิ ทสฺสยเนฺตสุ, พฺราหฺมเณสุ ‘‘ชยนนฺทา’’ติอาทิวจเนหิ, สูตมาคธาทีสุ นานปฺปกาเรหิ มงฺคลวจนตฺถุติโฆเสหิ สมฺภาเวเนฺตสุ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ รถวรํ อภิรุหิฯ ตสฺมิํ สมเย ‘‘ราหุลมาตา ปุตฺตํ วิชาตา’’ติ สุตฺวา สุโทฺธทนมหาราชา ‘‘ปุตฺตสฺส เม ตุฎฺฐิํ นิเวเทถา’’ติ สาสนํ ปหิณิฯ โพธิสโตฺต ตํ สุตฺวา ‘‘ราหุ ชาโต, พนฺธนํ ชาต’’นฺติ อาหฯ ราชา ‘‘กิํ เม ปุโตฺต อวจา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตํ วจนํ สุตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย เม นตฺตา ราหุลกุมาโรเยว นาม โหตู’’ติ อาหฯ

    Athassa sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitassa sabbatālāvacaresu sakāni sakāni paṭibhānāni dassayantesu, brāhmaṇesu ‘‘jayanandā’’tiādivacanehi, sūtamāgadhādīsu nānappakārehi maṅgalavacanatthutighosehi sambhāventesu sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ rathavaraṃ abhiruhi. Tasmiṃ samaye ‘‘rāhulamātā puttaṃ vijātā’’ti sutvā suddhodanamahārājā ‘‘puttassa me tuṭṭhiṃ nivedethā’’ti sāsanaṃ pahiṇi. Bodhisatto taṃ sutvā ‘‘rāhu jāto, bandhanaṃ jāta’’nti āha. Rājā ‘‘kiṃ me putto avacā’’ti pucchitvā taṃ vacanaṃ sutvā ‘‘ito paṭṭhāya me nattā rāhulakumāroyeva nāma hotū’’ti āha.

    โพธิสโตฺตปิ โข รถวรํ อารุยฺห มหเนฺตน ยเสน อติมโนรเมน สิริโสภเคฺคน นครํ ปาวิสิฯ ตสฺมิํ สมเย กิสาโคตมี นาม ขตฺติยกญฺญา อุปริปาสาทวรตลคตา นครํ ปทกฺขิณํ กุรุมานสฺส โพธิสตฺตสฺส รูปสิริํ ทิสฺวา ปีติโสมนสฺสชาตา อิทํ อุทานํ อุทาเนสิ –

    Bodhisattopi kho rathavaraṃ āruyha mahantena yasena atimanoramena sirisobhaggena nagaraṃ pāvisi. Tasmiṃ samaye kisāgotamī nāma khattiyakaññā uparipāsādavaratalagatā nagaraṃ padakkhiṇaṃ kurumānassa bodhisattassa rūpasiriṃ disvā pītisomanassajātā idaṃ udānaṃ udānesi –

    ‘‘นิพฺพุตา นูน สา มาตา, นิพฺพุโต นูน โส ปิตา;

    ‘‘Nibbutā nūna sā mātā, nibbuto nūna so pitā;

    นิพฺพุตา นูน สา นารี, ยสฺสายํ อีทิโส ปตี’’ติฯ

    Nibbutā nūna sā nārī, yassāyaṃ īdiso patī’’ti.

    โพธิสโตฺต ตํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ เอวมาห ‘เอวรูปํ อตฺตภาวํ ปสฺสนฺติยา มาตุ หทยํ นิพฺพายติ, ปิตุ หทยํ นิพฺพายติ, ปชาปติยา หทยํ นิพฺพายตี’ติ! กิสฺมิํ นุ โข นิพฺพุเต หทยํ นิพฺพุตํ นาม โหตี’’ติ? อถสฺส กิเลเสสุ วิรตฺตมานสสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ราคคฺคิมฺหิ นิพฺพุเต นิพฺพุตํ นาม โหติ, โทสคฺคิมฺหิ นิพฺพุเต นิพฺพุตํ นาม โหติ, โมหคฺคิมฺหิ นิพฺพุเต นิพฺพุตํ นาม โหติ, มานทิฎฺฐิอาทีสุ สพฺพกิเลสทรเถสุ นิพฺพุเตสุ นิพฺพุตํ นาม โหติฯ อยํ เม สุสฺสวนํ สาเวสิ, อหญฺหิ นิพฺพานํ คเวสโนฺต จรามิ, อเชฺชว มยา ฆราวาสํ ฉเฑฺฑตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวา นิพฺพานํ คเวสิตุํ วฎฺฎติ, อยํ อิมิสฺสา อาจริยภาโค โหตู’’ติ กณฺฐโต โอมุญฺจิตฺวา กิสาโคตมิยา สตสหสฺสคฺฆนกํ มุตฺตาหารํ เปเสสิฯ สา ‘‘สิทฺธตฺถกุมาโร มยิ ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ปณฺณาการํ เปเสสี’’ติ โสมนสฺสชาตา อโหสิฯ

    Bodhisatto taṃ sutvā cintesi ‘‘ayaṃ evamāha ‘evarūpaṃ attabhāvaṃ passantiyā mātu hadayaṃ nibbāyati, pitu hadayaṃ nibbāyati, pajāpatiyā hadayaṃ nibbāyatī’ti! Kismiṃ nu kho nibbute hadayaṃ nibbutaṃ nāma hotī’’ti? Athassa kilesesu virattamānasassa etadahosi – ‘‘rāgaggimhi nibbute nibbutaṃ nāma hoti, dosaggimhi nibbute nibbutaṃ nāma hoti, mohaggimhi nibbute nibbutaṃ nāma hoti, mānadiṭṭhiādīsu sabbakilesadarathesu nibbutesu nibbutaṃ nāma hoti. Ayaṃ me sussavanaṃ sāvesi, ahañhi nibbānaṃ gavesanto carāmi, ajjeva mayā gharāvāsaṃ chaḍḍetvā nikkhamma pabbajitvā nibbānaṃ gavesituṃ vaṭṭati, ayaṃ imissā ācariyabhāgo hotū’’ti kaṇṭhato omuñcitvā kisāgotamiyā satasahassagghanakaṃ muttāhāraṃ pesesi. Sā ‘‘siddhatthakumāro mayi paṭibaddhacitto hutvā paṇṇākāraṃ pesesī’’ti somanassajātā ahosi.

    โพธิสโตฺตปิ มหเนฺตน สิริโสภเคฺคน อตฺตโน ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา สิริสยเน นิปชฺชิฯ ตาวเทว จ นํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา นจฺจคีตาทีสุ สุสิกฺขิตา เทวกญฺญา วิย รูปโสภคฺคปฺปตฺตา อิตฺถิโย นานาตูริยานิ คเหตฺวา สมฺปริวารยิตฺวา อภิรมาเปนฺติโย นจฺจคีตวาทิตานิ ปโยชยิํสุฯ โพธิสโตฺต กิเลเสสุ วิรตฺตจิตฺตตาย นจฺจาทีสุ อนภิรโต มุหุตฺตํ นิทฺทํ โอกฺกมิฯ ตาปิ อิตฺถิโย ‘‘ยสฺสตฺถาย มยํ นจฺจาทีนิ ปโยเชม, โส นิทฺทํ อุปคโต, อิทานิ กิมตฺถํ กิลมามา’’ติ คหิตคฺคหิตานิ ตูริยานิ อโชฺฌตฺถริตฺวา นิปชฺชิํสุ, คนฺธเตลปฺปทีปา ฌายนฺติฯ โพธิสโตฺต ปพุชฺฌิตฺวา สยนปิเฎฺฐ ปลฺลเงฺกน นิสิโนฺน อทฺทส ตา อิตฺถิโย ตูริยภณฺฑานิ อวตฺถริตฺวา นิทฺทายนฺติโย – เอกจฺจา ปคฺฆริตเขฬา, ลาลากิลินฺนคตฺตา, เอกจฺจา ทเนฺต ขาทนฺติโย, เอกจฺจา กากจฺฉนฺติโย, เอกจฺจา วิปฺปลปนฺติโย, เอกจฺจา วิวฎมุขา, เอกจฺจา อปคตวตฺถา, ปากฎพีภจฺฉสมฺพาธฎฺฐานาฯ โส ตาสํ ตํ วิปฺปการํ ทิสฺวา ภิโยฺยโสมตฺตาย กาเมสุ วิรตฺตจิโตฺต อโหสิฯ ตสฺส อลงฺกตปฎิยตฺตํ สกฺกภวนสทิสมฺปิ ตํ มหาตลํ อปวิทฺธนานากุณปภริตํ อามกสุสานํ วิย อุปฎฺฐาสิ, ตโย ภวา อาทิตฺตเคหสทิสา ขายิํสุ – ‘‘อุปทฺทุตํ วต โภ, อุปสฺสฎฺฐํ วต โภ’’ติ อุทานํ ปวเตฺตสิ, อติวิย ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมิฯ

    Bodhisattopi mahantena sirisobhaggena attano pāsādaṃ abhiruhitvā sirisayane nipajji. Tāvadeva ca naṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā naccagītādīsu susikkhitā devakaññā viya rūpasobhaggappattā itthiyo nānātūriyāni gahetvā samparivārayitvā abhiramāpentiyo naccagītavāditāni payojayiṃsu. Bodhisatto kilesesu virattacittatāya naccādīsu anabhirato muhuttaṃ niddaṃ okkami. Tāpi itthiyo ‘‘yassatthāya mayaṃ naccādīni payojema, so niddaṃ upagato, idāni kimatthaṃ kilamāmā’’ti gahitaggahitāni tūriyāni ajjhottharitvā nipajjiṃsu, gandhatelappadīpā jhāyanti. Bodhisatto pabujjhitvā sayanapiṭṭhe pallaṅkena nisinno addasa tā itthiyo tūriyabhaṇḍāni avattharitvā niddāyantiyo – ekaccā paggharitakheḷā, lālākilinnagattā, ekaccā dante khādantiyo, ekaccā kākacchantiyo, ekaccā vippalapantiyo, ekaccā vivaṭamukhā, ekaccā apagatavatthā, pākaṭabībhacchasambādhaṭṭhānā. So tāsaṃ taṃ vippakāraṃ disvā bhiyyosomattāya kāmesu virattacitto ahosi. Tassa alaṅkatapaṭiyattaṃ sakkabhavanasadisampi taṃ mahātalaṃ apaviddhanānākuṇapabharitaṃ āmakasusānaṃ viya upaṭṭhāsi, tayo bhavā ādittagehasadisā khāyiṃsu – ‘‘upaddutaṃ vata bho, upassaṭṭhaṃ vata bho’’ti udānaṃ pavattesi, ativiya pabbajjāya cittaṃ nami.

    โส ‘‘อเชฺชว มยา มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สยนา อุฎฺฐาย ทฺวารสมีปํ คนฺตฺวา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ อาหฯ อุมฺมาเร สีสํ กตฺวา นิปโนฺน ฉโนฺน ‘‘อหํ อยฺยปุตฺต ฉโนฺน’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ อชฺช มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตุกาโม, เอกํ เม อสฺสํ กเปฺปหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธุ เทวา’’ติ อสฺสภณฺฑิกํ คเหตฺวา อสฺสสาลํ คนฺตฺวา คนฺธเตลปทีเปสุ ชลเนฺตสุ สุมนปฎฺฎวิตานสฺส เหฎฺฐา รมณีเย ภูมิภาเค ฐิตํ กณฺฑกํ อสฺสราชานํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช มยา อิมเมว กเปฺปตุํ วฎฺฎตี’’ติ กณฺฑกํ กเปฺปสิฯ โส กปฺปิยมาโนว อญฺญาสิ ‘‘อยํ กปฺปนา อติคาฬฺหา , อเญฺญสุ ทิวเสสุ อุยฺยานกีฬาทิคมเน กปฺปนา วิย น โหติ, มยฺหํ อยฺยปุโตฺต อชฺช มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตุกาโม ภวิสฺสตี’’ติฯ ตโต ตุฎฺฐมานโส มหาหสิตํ หสิฯ โส สโทฺท สกลนครํ ปตฺถริตฺวา คเจฺฉยฺย, เทวตา ปน ตํ สทฺทํ นิรุมฺภิตฺวา น กสฺสจิ โสตุํ อทํสุฯ

    So ‘‘ajjeva mayā mahābhinikkhamanaṃ nikkhamituṃ vaṭṭatī’’ti sayanā uṭṭhāya dvārasamīpaṃ gantvā ‘‘ko etthā’’ti āha. Ummāre sīsaṃ katvā nipanno channo ‘‘ahaṃ ayyaputta channo’’ti āha. ‘‘Ahaṃ ajja mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitukāmo, ekaṃ me assaṃ kappehī’’ti āha. So ‘‘sādhu devā’’ti assabhaṇḍikaṃ gahetvā assasālaṃ gantvā gandhatelapadīpesu jalantesu sumanapaṭṭavitānassa heṭṭhā ramaṇīye bhūmibhāge ṭhitaṃ kaṇḍakaṃ assarājānaṃ disvā ‘‘ajja mayā imameva kappetuṃ vaṭṭatī’’ti kaṇḍakaṃ kappesi. So kappiyamānova aññāsi ‘‘ayaṃ kappanā atigāḷhā , aññesu divasesu uyyānakīḷādigamane kappanā viya na hoti, mayhaṃ ayyaputto ajja mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitukāmo bhavissatī’’ti. Tato tuṭṭhamānaso mahāhasitaṃ hasi. So saddo sakalanagaraṃ pattharitvā gaccheyya, devatā pana taṃ saddaṃ nirumbhitvā na kassaci sotuṃ adaṃsu.

    โพธิสโตฺตปิ โข ฉนฺนํ เปเสตฺวาว ‘‘ปุตฺตํ ตาว ปสฺสิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา นิสินฺนปลฺลงฺกโต อุฎฺฐาย ราหุลมาตาย วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา คพฺภทฺวารํ วิวริฯ ตสฺมิํ ขเณ อโนฺตคเพฺภ คนฺธเตลปทีโป ฌายติ, ราหุลมาตา สุมนมลฺลิกาทีนํ ปุปฺผานํ อมฺพณมเตฺตน อภิปฺปกิณฺณสยเน ปุตฺตสฺส มตฺถเก หตฺถํ ฐเปตฺวา นิทฺทายติฯ โพธิสโตฺต อุมฺมาเร ปาทํ ฐเปตฺวา ฐิตโกว โอโลเกตฺวา ‘‘สจาหํ เทวิยา หตฺถํ อปเนตฺวา มม ปุตฺตํ คณฺหิสฺสามิ, เทวี ปพุชฺฌิสฺสติ, เอวํ เม คมนนฺตราโย ภวิสฺสติ, พุโทฺธ หุตฺวาว อาคนฺตฺวา ปุตฺตํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ ปาสาทตลโต โอตริฯ ยํ ปน ชาตกฎฺฐกถายํ ‘‘ตทา สตฺตาหชาโต ราหุลกุมาโร โหตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ เสสฎฺฐกถาสุ นตฺถิ, ตสฺมา อิทเมว คเหตพฺพํฯ

    Bodhisattopi kho channaṃ pesetvāva ‘‘puttaṃ tāva passissāmī’’ti cintetvā nisinnapallaṅkato uṭṭhāya rāhulamātāya vasanaṭṭhānaṃ gantvā gabbhadvāraṃ vivari. Tasmiṃ khaṇe antogabbhe gandhatelapadīpo jhāyati, rāhulamātā sumanamallikādīnaṃ pupphānaṃ ambaṇamattena abhippakiṇṇasayane puttassa matthake hatthaṃ ṭhapetvā niddāyati. Bodhisatto ummāre pādaṃ ṭhapetvā ṭhitakova oloketvā ‘‘sacāhaṃ deviyā hatthaṃ apanetvā mama puttaṃ gaṇhissāmi, devī pabujjhissati, evaṃ me gamanantarāyo bhavissati, buddho hutvāva āgantvā puttaṃ passissāmī’’ti pāsādatalato otari. Yaṃ pana jātakaṭṭhakathāyaṃ ‘‘tadā sattāhajāto rāhulakumāro hotī’’ti vuttaṃ, taṃ sesaṭṭhakathāsu natthi, tasmā idameva gahetabbaṃ.

    เอวํ โพธิสโตฺต ปาสาทตลา โอตริตฺวา อสฺสสมีปํ คนฺตฺวา เอวมาห – ‘‘ตาต กณฺฑก, ตฺวํ อชฺช เอกรตฺติํ มํ ตารย, อหํ ตํ นิสฺสาย พุโทฺธ หุตฺวา สเทวกํ โลกํ ตาเรสฺสามี’’ติฯ ตโต อุลฺลงฺฆิตฺวา กณฺฑกสฺส ปิฎฺฐิํ อภิรุหิฯ กณฺฑโก คีวโต ปฎฺฐาย อายาเมน อฎฺฐารสหโตฺถ โหติ ตทนุจฺฉวิเกน อุเพฺพเธน สมนฺนาคโต ถามชวสมฺปโนฺน สพฺพเสโต โธตสงฺขสทิโสฯ โส สเจ หเสยฺย วา ปทสทฺทํ วา กเรยฺย, สโทฺท สกลนครํ อวตฺถเรยฺยฯ ตสฺมา เทวตา อตฺตโน อานุภาเวน ตสฺส ยถา น โกจิ สุณาติ, เอวํ หสิตสทฺทํ สนฺนิรุมฺภิตฺวา อกฺกมนอกฺกมนปทวาเร หตฺถตลานิ อุปนาเมสุํฯ โพธิสโตฺต อสฺสวรสฺส ปิฎฺฐิเวมชฺฌคโต ฉนฺนํ อสฺสสฺส วาลธิํ คาหาเปตฺวา อฑฺฒรตฺตสมเย มหาทฺวารสมีปํ ปโตฺตฯ ตทา ปน ราชา ‘‘เอวํ โพธิสโตฺต ยาย กายจิ เวลาย นครทฺวารํ วิวริตฺวา นิกฺขมิตุํ น สกฺขิสฺสตี’’ติ ทฺวีสุ ทฺวารกวาเฎสุ เอเกกํ ปุริสสหเสฺสน วิวริตพฺพํ การาเปสิฯ โพธิสโตฺต ถามพลสมฺปโนฺน, หตฺถิคณนาย โกฎิสหสฺสหตฺถีนํ พลํ ธาเรติ, ปุริสคณนาย ทสโกฎิสหสฺสปุริสานํ ฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘สเจ ทฺวารํ น วิวรียติ, อชฺช กณฺฑกสฺส ปิเฎฺฐ นิสิโนฺนว วาลธิํ คเหตฺวา ฐิเตน ฉเนฺนน สทฺธิํเยว กณฺฑกํ อูรูหิ นิปฺปีเฬตฺวา อฎฺฐารสหตฺถุเพฺพธํ ปาการํ อุปฺปติตฺวา อติกฺกมิสฺสามี’’ติฯ ฉโนฺนปิ จิเนฺตสิ ‘‘สเจ ทฺวารํ น วิวรียติ, อหํ อยฺยปุตฺตํ ขเนฺธ นิสีทาเปตฺวา กณฺฑกํ ทกฺขิเณน หเตฺถน กุจฺฉิยํ ปริกฺขิปโนฺต อุปกจฺฉนฺตเร กตฺวา ปาการํ อุปฺปติตฺวา อติกฺกมิสฺสามี’’ติฯ กณฺฑโกปิ จิเนฺตสิ ‘‘สเจ ทฺวารํ น วิวรียติ, อหํ อตฺตโน สามิกํ ปิฎฺฐิยํ ยถานิสินฺนเมว ฉเนฺนน วาลธิํ คเหตฺวา ฐิเตน สทฺธิํเยว อุกฺขิปิตฺวา ปาการํ อุปฺปติตฺวา อติกฺกมิสฺสามี’’ติฯ สเจ ทฺวารํ น อวาปุรียิตฺถ, ยถาจินฺติตเมว เตสุ ตีสุ ชเนสุ อญฺญตโร สมฺปาเทยฺยฯ ทฺวาเร อธิวตฺถา เทวตา ปน ทฺวารํ วิวริฯ

    Evaṃ bodhisatto pāsādatalā otaritvā assasamīpaṃ gantvā evamāha – ‘‘tāta kaṇḍaka, tvaṃ ajja ekarattiṃ maṃ tāraya, ahaṃ taṃ nissāya buddho hutvā sadevakaṃ lokaṃ tāressāmī’’ti. Tato ullaṅghitvā kaṇḍakassa piṭṭhiṃ abhiruhi. Kaṇḍako gīvato paṭṭhāya āyāmena aṭṭhārasahattho hoti tadanucchavikena ubbedhena samannāgato thāmajavasampanno sabbaseto dhotasaṅkhasadiso. So sace haseyya vā padasaddaṃ vā kareyya, saddo sakalanagaraṃ avatthareyya. Tasmā devatā attano ānubhāvena tassa yathā na koci suṇāti, evaṃ hasitasaddaṃ sannirumbhitvā akkamanaakkamanapadavāre hatthatalāni upanāmesuṃ. Bodhisatto assavarassa piṭṭhivemajjhagato channaṃ assassa vāladhiṃ gāhāpetvā aḍḍharattasamaye mahādvārasamīpaṃ patto. Tadā pana rājā ‘‘evaṃ bodhisatto yāya kāyaci velāya nagaradvāraṃ vivaritvā nikkhamituṃ na sakkhissatī’’ti dvīsu dvārakavāṭesu ekekaṃ purisasahassena vivaritabbaṃ kārāpesi. Bodhisatto thāmabalasampanno, hatthigaṇanāya koṭisahassahatthīnaṃ balaṃ dhāreti, purisagaṇanāya dasakoṭisahassapurisānaṃ . So cintesi ‘‘sace dvāraṃ na vivarīyati, ajja kaṇḍakassa piṭṭhe nisinnova vāladhiṃ gahetvā ṭhitena channena saddhiṃyeva kaṇḍakaṃ ūrūhi nippīḷetvā aṭṭhārasahatthubbedhaṃ pākāraṃ uppatitvā atikkamissāmī’’ti. Channopi cintesi ‘‘sace dvāraṃ na vivarīyati, ahaṃ ayyaputtaṃ khandhe nisīdāpetvā kaṇḍakaṃ dakkhiṇena hatthena kucchiyaṃ parikkhipanto upakacchantare katvā pākāraṃ uppatitvā atikkamissāmī’’ti. Kaṇḍakopi cintesi ‘‘sace dvāraṃ na vivarīyati, ahaṃ attano sāmikaṃ piṭṭhiyaṃ yathānisinnameva channena vāladhiṃ gahetvā ṭhitena saddhiṃyeva ukkhipitvā pākāraṃ uppatitvā atikkamissāmī’’ti. Sace dvāraṃ na avāpurīyittha, yathācintitameva tesu tīsu janesu aññataro sampādeyya. Dvāre adhivatthā devatā pana dvāraṃ vivari.

    ตสฺมิํเยว ขเณ มาโร ‘‘โพธิสตฺตํ นิวเตฺตสฺสามี’’ติ อาคนฺตฺวา อากาเส ฐิโต อาห – ‘‘มาริส, มา นิกฺขม, อิโต เต สตฺตเม ทิวเส จกฺกรตนํ ปาตุภวิสฺสติ, ทฺวิสหสฺสปริตฺตทีปปริวารานํ จตุนฺนํ มหาทีปานํ รชฺชํ กาเรสฺสสิ, นิวตฺต มาริสา’’ติฯ ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ? ‘‘อหํ วสวตฺตี’’ติฯ ‘‘มาร, ชานามหํ มยฺหํ จกฺกรตนสฺส ปาตุภาวํ, อนตฺถิโกหํ รเชฺชน, ทสสหสฺสิโลกธาตุํ อุนฺนาเทตฺวา พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ อาหฯ มาโร ‘‘อิโต ทานิ เต ปฎฺฐาย กามวิตกฺกํ วา พฺยาปาทวิตกฺกํ วา วิหิํสาวิตกฺกํ วา จินฺติตกาเล ชานิสฺสามี’’ติ โอตาราเปโกฺข ฉายา วิย อนปคจฺฉโนฺต อนุพนฺธิฯ

    Tasmiṃyeva khaṇe māro ‘‘bodhisattaṃ nivattessāmī’’ti āgantvā ākāse ṭhito āha – ‘‘mārisa, mā nikkhama, ito te sattame divase cakkaratanaṃ pātubhavissati, dvisahassaparittadīpaparivārānaṃ catunnaṃ mahādīpānaṃ rajjaṃ kāressasi, nivatta mārisā’’ti. ‘‘Kosi tva’’nti? ‘‘Ahaṃ vasavattī’’ti. ‘‘Māra, jānāmahaṃ mayhaṃ cakkaratanassa pātubhāvaṃ, anatthikohaṃ rajjena, dasasahassilokadhātuṃ unnādetvā buddho bhavissāmī’’ti āha. Māro ‘‘ito dāni te paṭṭhāya kāmavitakkaṃ vā byāpādavitakkaṃ vā vihiṃsāvitakkaṃ vā cintitakāle jānissāmī’’ti otārāpekkho chāyā viya anapagacchanto anubandhi.

    โพธิสโตฺตปิ หตฺถคตํ จกฺกวตฺติรชฺชํ เขฬปิณฺฑํ วิย อนเปโกฺข ฉเฑฺฑตฺวา มหเนฺตน สกฺกาเรน นครา นิกฺขมิ อาสาฬฺหิปุณฺณมาย อุตฺตราสาฬฺหนกฺขเตฺต วตฺตมาเนฯ นิกฺขมิตฺวา จ ปุน นครํ โอโลเกตุกาโม ชาโตฯ เอวญฺจ ปนสฺส จิเตฺต อุปฺปนฺนมเตฺตเยว ‘‘มหาปุริส, น ตยา นิวตฺติตฺวา โอโลกนกมฺมํ กต’’นฺติ วทมานา วิย มหาปถวี กุลาลจกฺกํ วิย ภิชฺชิตฺวา ปริวตฺติฯ โพธิสโตฺต นคราภิมุโข ฐตฺวา นครํ โอโลเกตฺวา ตสฺมิํ ปถวิปฺปเทเส กณฺฑกนิวตฺตนเจติยฎฺฐานํ ทเสฺสตฺวา คนฺตพฺพมคฺคาภิมุขํ กณฺฑกํ กตฺวา ปายาสิ มหเนฺตน สกฺกาเรน อุฬาเรน สิริโสภเคฺคนฯ ตทา กิรสฺส เทวตา ปุรโต สฎฺฐิ อุกฺกาสหสฺสานิ ธารยิํสุ, ปจฺฉโต สฎฺฐิ, ทกฺขิณปสฺสโต สฎฺฐิ, วามปสฺสโต สฎฺฐิ, อปรา เทวตา จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ อปริมาณา อุกฺกา ธารยิํสุ, อปรา เทวตา จ นาคสุปณฺณาทโย จ ทิเพฺพหิ คเนฺธหิ มาลาหิ จุเณฺณหิ ธูเมหิ ปูชยมานา คจฺฉนฺติฯ ปาริจฺฉตฺตกปุเปฺผหิ เจว มนฺทารวปุเปฺผหิ จ ฆนเมฆวุฎฺฐิกาเล ธาราหิ วิย นภํ นิรนฺตรํ อโหสิ, ทิพฺพานิ สํคีตานิ ปวตฺติํสุ , สมนฺตโต อฎฺฐสฎฺฐิ ตูริยสตสหสฺสานิ ปวชฺชิํสุ, สมุทฺทกุจฺฉิยํ เมฆตฺถนิตกาโล วิย ยุคนฺธรกุจฺฉิยํ สาครนิโคฺฆสกาโล วิย วตฺตติฯ

    Bodhisattopi hatthagataṃ cakkavattirajjaṃ kheḷapiṇḍaṃ viya anapekkho chaḍḍetvā mahantena sakkārena nagarā nikkhami āsāḷhipuṇṇamāya uttarāsāḷhanakkhatte vattamāne. Nikkhamitvā ca puna nagaraṃ oloketukāmo jāto. Evañca panassa citte uppannamatteyeva ‘‘mahāpurisa, na tayā nivattitvā olokanakammaṃ kata’’nti vadamānā viya mahāpathavī kulālacakkaṃ viya bhijjitvā parivatti. Bodhisatto nagarābhimukho ṭhatvā nagaraṃ oloketvā tasmiṃ pathavippadese kaṇḍakanivattanacetiyaṭṭhānaṃ dassetvā gantabbamaggābhimukhaṃ kaṇḍakaṃ katvā pāyāsi mahantena sakkārena uḷārena sirisobhaggena. Tadā kirassa devatā purato saṭṭhi ukkāsahassāni dhārayiṃsu, pacchato saṭṭhi, dakkhiṇapassato saṭṭhi, vāmapassato saṭṭhi, aparā devatā cakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ aparimāṇā ukkā dhārayiṃsu, aparā devatā ca nāgasupaṇṇādayo ca dibbehi gandhehi mālāhi cuṇṇehi dhūmehi pūjayamānā gacchanti. Pāricchattakapupphehi ceva mandāravapupphehi ca ghanameghavuṭṭhikāle dhārāhi viya nabhaṃ nirantaraṃ ahosi, dibbāni saṃgītāni pavattiṃsu , samantato aṭṭhasaṭṭhi tūriyasatasahassāni pavajjiṃsu, samuddakucchiyaṃ meghatthanitakālo viya yugandharakucchiyaṃ sāgaranigghosakālo viya vattati.

    อิมินา สิริโสภเคฺคน คจฺฉโนฺต โพธิสโตฺต เอกรเตฺตเนว ตีณิ รชฺชานิ อติกฺกมฺม ติํสโยชนมตฺถเก อโนมานทีตีรํ ปาปุณิฯ ‘‘กิํ ปน อโสฺส ตโต ปรํ คนฺตุํ น สโกฺกตี’’ติ? ‘‘โน, น สโกฺก’’ติฯ โส หิ เอกํ จกฺกวาฬคพฺภํ นาภิยา ฐิตจกฺกสฺส เนมิวฎฺฎิํ มทฺทโนฺต วิย อนฺตเนฺตน จริตฺวา ปุเรปาตราสเมว อาคนฺตฺวา อตฺตโน สมฺปาทิตํ ภตฺตํ ภุญฺชิตุํ สมโตฺถฯ ตทา ปน เทวนาคสุปณฺณาทีหิ อากาเส ฐตฺวา โอสฺสเฎฺฐหิ คนฺธมาลาทีหิ ยาว อูรุปฺปเทสา สญฺฉนฺนํ สรีรํ อากฑฺฒิตฺวา คนฺธมาลาชฎํ ฉินฺทนฺตสฺส อติปฺปปโญฺจ อโหสิ, ตสฺมา ติํสโยชนมตฺตเมว อคมาสิฯ อถ โพธิสโตฺต นทีตีเร ฐตฺวา ฉนฺนํ ปุจฺฉิ – ‘‘กินฺนามา อยํ นที’’ติ? ‘‘อโนมา นาม, เทวา’’ติฯ ‘‘อมฺหากมฺปิ ปพฺพชฺชา อโนมา ภวิสฺสตี’’ติ ปณฺหิยา ฆเฎฺฎโนฺต อสฺสสฺส สญฺญํ อทาสิฯ อโสฺส อุปฺปติตฺวา อฎฺฐูสภวิตฺถาราย นทิยา ปาริมตีเร อฎฺฐาสิฯ

    Iminā sirisobhaggena gacchanto bodhisatto ekaratteneva tīṇi rajjāni atikkamma tiṃsayojanamatthake anomānadītīraṃ pāpuṇi. ‘‘Kiṃ pana asso tato paraṃ gantuṃ na sakkotī’’ti? ‘‘No, na sakko’’ti. So hi ekaṃ cakkavāḷagabbhaṃ nābhiyā ṭhitacakkassa nemivaṭṭiṃ maddanto viya antantena caritvā purepātarāsameva āgantvā attano sampāditaṃ bhattaṃ bhuñjituṃ samattho. Tadā pana devanāgasupaṇṇādīhi ākāse ṭhatvā ossaṭṭhehi gandhamālādīhi yāva ūruppadesā sañchannaṃ sarīraṃ ākaḍḍhitvā gandhamālājaṭaṃ chindantassa atippapañco ahosi, tasmā tiṃsayojanamattameva agamāsi. Atha bodhisatto nadītīre ṭhatvā channaṃ pucchi – ‘‘kinnāmā ayaṃ nadī’’ti? ‘‘Anomā nāma, devā’’ti. ‘‘Amhākampi pabbajjā anomā bhavissatī’’ti paṇhiyā ghaṭṭento assassa saññaṃ adāsi. Asso uppatitvā aṭṭhūsabhavitthārāya nadiyā pārimatīre aṭṭhāsi.

    โพธิสโตฺต อสฺสปิฎฺฐิโต โอรุยฺห รชตปฎฺฎสทิเส วาลุกาปุลิเน ฐตฺวา ฉนฺนํ อามเนฺตสิ – ‘‘สมฺม, ฉนฺน, ตฺวํ มยฺหํ อาภรณานิ เจว กณฺฑกญฺจ อาทาย คจฺฉ, อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อหมฺปิ, เทว, ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘น ลพฺภา ตยา ปพฺพชิตุํ, คจฺฉ ตฺว’’นฺติ ติกฺขตฺตุํ ปฎิพาหิตฺวา อาภรณานิ เจว กณฺฑกญฺจ ปฎิจฺฉาเปตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิเม มยฺหํ เกสา สมณสารุปฺปา น โหนฺตี’’ติฯ อโญฺญ โพธิสตฺตสฺส เกเส ฉินฺทิตุํ ยุตฺตรูโป นตฺถิ, ตโต ‘‘สยเมว ขเคฺคน ฉินฺทิสฺสามี’’ติ ทกฺขิเณน หเตฺถน อสิํ คณฺหิตฺวา วามหเตฺถน โมฬิยา สทฺธิํ จูฬํ คเหตฺวา ฉินฺทิ, เกสา ทฺวงฺคุลมตฺตา หุตฺวา ทกฺขิณโต อาวตฺตมานา สีสํ อลฺลียิํสุฯ เตสํ ยาวชีวํ ตเทว ปมาณํ อโหสิ, มสฺสุ จ ตทนุรูปํ, ปุน เกสมสฺสุโอหารณกิจฺจํ นาม นาโหสิฯ โพธิสโตฺต สห โมฬิยา จุฬํ คเหตฺวา ‘‘สจาหํ พุโทฺธ ภวิสฺสามิ, อากาเส ติฎฺฐตุ, โน เจ, ภูมิยํ ปตตู’’ติ อนฺตลิเกฺข ขิปิฯ ตํ จูฬามณิเวฐนํ โยชนปฺปมาณํ ฐานํ คนฺตฺวา อากาเส อฎฺฐาสิฯ สโกฺก เทวราชา ทิพฺพจกฺขุนา โอโลเกตฺวา โยชนิยรตนจโงฺกฎเกน สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตาวติํสภวเน จูฬามณิเจติยํ นาม ปติฎฺฐาเปสิฯ

    Bodhisatto assapiṭṭhito oruyha rajatapaṭṭasadise vālukāpuline ṭhatvā channaṃ āmantesi – ‘‘samma, channa, tvaṃ mayhaṃ ābharaṇāni ceva kaṇḍakañca ādāya gaccha, ahaṃ pabbajissāmī’’ti. ‘‘Ahampi, deva, pabbajissāmī’’ti. Bodhisatto ‘‘na labbhā tayā pabbajituṃ, gaccha tva’’nti tikkhattuṃ paṭibāhitvā ābharaṇāni ceva kaṇḍakañca paṭicchāpetvā cintesi ‘‘ime mayhaṃ kesā samaṇasāruppā na hontī’’ti. Añño bodhisattassa kese chindituṃ yuttarūpo natthi, tato ‘‘sayameva khaggena chindissāmī’’ti dakkhiṇena hatthena asiṃ gaṇhitvā vāmahatthena moḷiyā saddhiṃ cūḷaṃ gahetvā chindi, kesā dvaṅgulamattā hutvā dakkhiṇato āvattamānā sīsaṃ allīyiṃsu. Tesaṃ yāvajīvaṃ tadeva pamāṇaṃ ahosi, massu ca tadanurūpaṃ, puna kesamassuohāraṇakiccaṃ nāma nāhosi. Bodhisatto saha moḷiyā cuḷaṃ gahetvā ‘‘sacāhaṃ buddho bhavissāmi, ākāse tiṭṭhatu, no ce, bhūmiyaṃ patatū’’ti antalikkhe khipi. Taṃ cūḷāmaṇiveṭhanaṃ yojanappamāṇaṃ ṭhānaṃ gantvā ākāse aṭṭhāsi. Sakko devarājā dibbacakkhunā oloketvā yojaniyaratanacaṅkoṭakena sampaṭicchitvā tāvatiṃsabhavane cūḷāmaṇicetiyaṃ nāma patiṭṭhāpesi.

    ‘‘เฉตฺวาน โมฬิํ วรคนฺธวาสิตํ, เวหายสํ อุกฺขิปิ อคฺคปุคฺคโล;

    ‘‘Chetvāna moḷiṃ varagandhavāsitaṃ, vehāyasaṃ ukkhipi aggapuggalo;

    สหสฺสเนโตฺต สิรสา ปฎิคฺคหิ, สุวณฺณจโงฺกฎวเรน วาสโว’’ติฯ

    Sahassanetto sirasā paṭiggahi, suvaṇṇacaṅkoṭavarena vāsavo’’ti.

    ปุน โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อิมานิ กาสิกวตฺถานิ มยฺหํ น สมณสารุปฺปานี’’ติฯ อถสฺส กสฺสปพุทฺธกาเล ปุราณสหายโก ฆฎีการมหาพฺรหฺมา เอกํ พุทฺธนฺตรํ ชรํ อปเตฺตน มิตฺตภาเวน จิเนฺตสิ – ‘‘อชฺช เม สหายโก มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต, สมณปริกฺขารมสฺส คเหตฺวา คจฺฉิสฺสามี’’ติฯ

    Puna bodhisatto cintesi ‘‘imāni kāsikavatthāni mayhaṃ na samaṇasāruppānī’’ti. Athassa kassapabuddhakāle purāṇasahāyako ghaṭīkāramahābrahmā ekaṃ buddhantaraṃ jaraṃ apattena mittabhāvena cintesi – ‘‘ajja me sahāyako mahābhinikkhamanaṃ nikkhanto, samaṇaparikkhāramassa gahetvā gacchissāmī’’ti.

    ‘‘ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, วาสี สูจิ จ พนฺธนํ;

    ‘‘Ticīvarañca patto ca, vāsī sūci ca bandhanaṃ;

    ปริสฺสาวเนน อเฎฺฐเต, ยุตฺตโยคสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ –

    Parissāvanena aṭṭhete, yuttayogassa bhikkhuno’’ti. –

    อิเม อฎฺฐ สมณปริกฺขาเร อาหริตฺวา อทาสิฯ โพธิสโตฺต อรหทฺธชํ นิวาเสตฺวา อุตฺตมปพฺพชฺชาเวสํ คณฺหิตฺวา ‘‘ฉนฺน, มม วจเนน มาตาปิตูนํ อาโรคฺยํ วเทหี’’ติ วตฺวา อุโยฺยเชสิฯ ฉโนฺน โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ กณฺฑโก ปน ฉเนฺนน สทฺธิํ มนฺตยมานสฺส โพธิสตฺตสฺส วจนํ สุณโนฺต ฐตฺวา ‘‘นตฺถิ ทานิ มยฺหํ ปุน สามิโน ทสฺสน’’นฺติ จกฺขุปถํ วิชหโนฺต โสกํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต หทเยน ผลิเตน กาลํ กตฺวา ตาวติํสภวเน กณฺฑโก นาม เทวปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ฉนฺนสฺส ปฐมํ เอโกว โสโก อโหสิ, กณฺฑกสฺส ปน กาลกิริยาย ทุติเยน โสเกน ปีฬิโต โรทโนฺต ปริเทวโนฺต นครํ อคมาสิฯ

    Ime aṭṭha samaṇaparikkhāre āharitvā adāsi. Bodhisatto arahaddhajaṃ nivāsetvā uttamapabbajjāvesaṃ gaṇhitvā ‘‘channa, mama vacanena mātāpitūnaṃ ārogyaṃ vadehī’’ti vatvā uyyojesi. Channo bodhisattaṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi. Kaṇḍako pana channena saddhiṃ mantayamānassa bodhisattassa vacanaṃ suṇanto ṭhatvā ‘‘natthi dāni mayhaṃ puna sāmino dassana’’nti cakkhupathaṃ vijahanto sokaṃ adhivāsetuṃ asakkonto hadayena phalitena kālaṃ katvā tāvatiṃsabhavane kaṇḍako nāma devaputto hutvā nibbatti. Channassa paṭhamaṃ ekova soko ahosi, kaṇḍakassa pana kālakiriyāya dutiyena sokena pīḷito rodanto paridevanto nagaraṃ agamāsi.

    โพธิสโตฺตปิ ปพฺพชิตฺวา ตสฺมิํเยว ปเทเส อนุปิยํ นาม อมฺพวนํ อตฺถิ, ตตฺถ สตฺตาหํ ปพฺพชฺชาสุเขน วีตินาเมตฺวา เอกทิวเสเนว ติํสโยชนมคฺคํ ปทสา คนฺตฺวา ราชคหํ ปาวิสิฯ ปวิสิตฺวา สปทานํ ปิณฺฑาย จริฯ สกลนครํ โพธิสตฺตสฺส รูปทสฺสเนน ธนปาลเกน ปวิฎฺฐราชคหํ วิย อสุริเนฺทน ปวิฎฺฐเทวนครํ วิย จ สโงฺขภํ อคมาสิฯ ราชปุริสา คนฺตฺวา ‘‘เทว, เอวรูโป นาม สโตฺต นคเร ปิณฺฑาย จรติ, ‘เทโว วา มนุโสฺส วา นาโค วา สุปโณฺณ วา โก นาเมโส’ติ น ชานามา’’ติ อาโรเจสุํฯ ราชา ปาสาทตเล ฐตฺวา มหาปุริสํ ทิสฺวา อจฺฉริยพฺภุตชาโต ปุริเส อาณาเปสิ – ‘‘คจฺฉถ ภเณ, วีมํสถ, สเจ อมนุโสฺส ภวิสฺสติ, นครา นิกฺขมิตฺวา อนฺตรธายิสฺสติ, สเจ เทวตา ภวิสฺสติ, อากาเสน คจฺฉิสฺสติ, สเจ นาโค ภวิสฺสติ, ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา คมิสฺสติ, สเจ มนุโสฺส ภวิสฺสติ, ยถาลทฺธํ ภิกฺขํ ปริภุญฺชิสฺสตี’’ติฯ

    Bodhisattopi pabbajitvā tasmiṃyeva padese anupiyaṃ nāma ambavanaṃ atthi, tattha sattāhaṃ pabbajjāsukhena vītināmetvā ekadivaseneva tiṃsayojanamaggaṃ padasā gantvā rājagahaṃ pāvisi. Pavisitvā sapadānaṃ piṇḍāya cari. Sakalanagaraṃ bodhisattassa rūpadassanena dhanapālakena paviṭṭharājagahaṃ viya asurindena paviṭṭhadevanagaraṃ viya ca saṅkhobhaṃ agamāsi. Rājapurisā gantvā ‘‘deva, evarūpo nāma satto nagare piṇḍāya carati, ‘devo vā manusso vā nāgo vā supaṇṇo vā ko nāmeso’ti na jānāmā’’ti ārocesuṃ. Rājā pāsādatale ṭhatvā mahāpurisaṃ disvā acchariyabbhutajāto purise āṇāpesi – ‘‘gacchatha bhaṇe, vīmaṃsatha, sace amanusso bhavissati, nagarā nikkhamitvā antaradhāyissati, sace devatā bhavissati, ākāsena gacchissati, sace nāgo bhavissati, pathaviyaṃ nimujjitvā gamissati, sace manusso bhavissati, yathāladdhaṃ bhikkhaṃ paribhuñjissatī’’ti.

    มหาปุริโสปิ โข มิสฺสกภตฺตํ สํหริตฺวา ‘‘อลํ เม เอตฺตกํ ยาปนายา’’ติ ญตฺวา ปวิฎฺฐทฺวาเรเนว นครา นิกฺขมิตฺวา ปณฺฑวปพฺพตจฺฉายาย ปุรตฺถาภิมุโข นิสีทิตฺวา อาหารํ ปริภุญฺชิตุํ อารโทฺธฯ อถสฺส อนฺตานิ ปริวตฺติตฺวา มุเขน นิกฺขมนาการปฺปตฺตานิ วิย อเหสุํฯ ตโต เตน อตฺตภาเวน เอวรูปสฺส อาหารสฺส จกฺขุนาปิ อทิฎฺฐปุพฺพตาย เตน ปฎิกูลาหาเรน อฎฺฎิยมาโน เอวํ อตฺตนาว อตฺตานํ โอวทิ ‘‘สิทฺธตฺถ, ตฺวํ สุลภนฺนปาเน กุเล ติวสฺสิกคนฺธสาลิโภชนํ นานคฺครเสหิ ภุญฺชนฎฺฐาเน นิพฺพตฺติตฺวาปิ เอกํ ปํสุกูลิกํ ทิสฺวา ‘กทา นุ โข อหมฺปิ เอวรูโป หุตฺวา ปิณฺฑาย จริตฺวา ภุญฺชิสฺสามิ, ภวิสฺสติ นุ โข เม โส กาโล’ติ จิเนฺตตฺวา นิกฺขโนฺต, อิทานิ กิํ นาเมตํ กโรสี’’ติฯ เอวํ อตฺตนาว อตฺตานํ โอวทิตฺวา นิพฺพิกาโร หุตฺวา อาหารํ ปริภุญฺชิฯ

    Mahāpurisopi kho missakabhattaṃ saṃharitvā ‘‘alaṃ me ettakaṃ yāpanāyā’’ti ñatvā paviṭṭhadvāreneva nagarā nikkhamitvā paṇḍavapabbatacchāyāya puratthābhimukho nisīditvā āhāraṃ paribhuñjituṃ āraddho. Athassa antāni parivattitvā mukhena nikkhamanākārappattāni viya ahesuṃ. Tato tena attabhāvena evarūpassa āhārassa cakkhunāpi adiṭṭhapubbatāya tena paṭikūlāhārena aṭṭiyamāno evaṃ attanāva attānaṃ ovadi ‘‘siddhattha, tvaṃ sulabhannapāne kule tivassikagandhasālibhojanaṃ nānaggarasehi bhuñjanaṭṭhāne nibbattitvāpi ekaṃ paṃsukūlikaṃ disvā ‘kadā nu kho ahampi evarūpo hutvā piṇḍāya caritvā bhuñjissāmi, bhavissati nu kho me so kālo’ti cintetvā nikkhanto, idāni kiṃ nāmetaṃ karosī’’ti. Evaṃ attanāva attānaṃ ovaditvā nibbikāro hutvā āhāraṃ paribhuñji.

    ราชปุริสา ตํ ปวตฺติํ ทิสฺวา คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ทูตวจนํ สุตฺวา เวเคน นครา นิกฺขมิตฺวา โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อิริยาปถสฺมิํเยว ปสีทิตฺวา โพธิสตฺตสฺส สพฺพํ อิสฺสริยํ นิยฺยาเทสิ ฯ โพธิสโตฺต ‘‘มยฺหํ, มหาราช, วตฺถุกาเมหิ วา กิเลสกาเมหิ วา อโตฺถ นตฺถิ, อหํ ปรมาภิสโมฺพธิํ ปตฺถยโนฺต นิกฺขโนฺต’’ติ อาหฯ ราชา อเนกปฺปการํ ยาจโนฺตปิ ตสฺส จิตฺตํ อลภิตฺวา ‘‘อทฺธา ตฺวํ พุโทฺธ ภวิสฺสสิ, พุทฺธภูเตน ปน เต ปฐมํ มม วิชิตํ อาคนฺตพฺพ’’นฺติ ปฎิญฺญํ คณฺหิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ‘‘ปพฺพชฺชํ กิตฺตยิสฺสามิ, ยถา ปพฺพชิ จกฺขุมา’’ติ อิมํ ปพฺพชฺชาสุตฺตํ (สุ. นิ. ๔๐๗ อาทโย) สทฺธิํ อฎฺฐกถาย โอโลเกตฺวา เวทิตโพฺพฯ

    Rājapurisā taṃ pavattiṃ disvā gantvā rañño ārocesuṃ. Rājā dūtavacanaṃ sutvā vegena nagarā nikkhamitvā bodhisattassa santikaṃ gantvā iriyāpathasmiṃyeva pasīditvā bodhisattassa sabbaṃ issariyaṃ niyyādesi . Bodhisatto ‘‘mayhaṃ, mahārāja, vatthukāmehi vā kilesakāmehi vā attho natthi, ahaṃ paramābhisambodhiṃ patthayanto nikkhanto’’ti āha. Rājā anekappakāraṃ yācantopi tassa cittaṃ alabhitvā ‘‘addhā tvaṃ buddho bhavissasi, buddhabhūtena pana te paṭhamaṃ mama vijitaṃ āgantabba’’nti paṭiññaṃ gaṇhi. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana ‘‘pabbajjaṃ kittayissāmi, yathā pabbaji cakkhumā’’ti imaṃ pabbajjāsuttaṃ (su. ni. 407 ādayo) saddhiṃ aṭṭhakathāya oloketvā veditabbo.

    โพธิสโตฺตปิ รโญฺญ ปฎิญฺญํ ทตฺวา อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน อาฬารญฺจ กาลามํ อุทกญฺจ รามปุตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา ‘‘นายํ มโคฺค โพธายา’’ติ ตมฺปิ สมาปตฺติภาวนํ อนลงฺกริตฺวา สเทวกสฺส โลกสฺส อตฺตโน ถามวีริยสนฺทสฺสนตฺถํ มหาปธานํ ปทหิตุกาโม อุรุเวลํ คนฺตฺวา ‘‘รมณีโย วตายํ ภูมิภาโค’’ติ ตเตฺถว วาสํ อุปคนฺตฺวา มหาปธานํ ปทหิฯ เตปิ โข โกณฺฑญฺญปฺปมุขา ปญฺจ ปพฺพชิตา คามนิคมราชธานีสุ ภิกฺขาย จรนฺตา ตตฺถ โพธิสตฺตํ สมฺปาปุณิํสุฯ อถ นํ ฉพฺพสฺสานิ มหาปธานํ ปทหนฺตํ ‘‘อิทานิ พุโทฺธ ภวิสฺสติ, อิทานิ พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ปริเวณสมฺมชฺชนาทิกาย วตฺตปฎิปตฺติยา อุปฎฺฐหมานา สนฺติกาวจราวสฺส อเหสุํฯ โพธิสโตฺตปิ โข ‘‘โกฎิปฺปตฺตํ ทุกฺกรการิยํ กริสฺสามี’’ติ เอกติลตณฺฑุลาทีหิปิ วีตินาเมสิ, สพฺพโสปิ อาหารูปเจฺฉทํ อกาสิ, เทวตาปิ โลมกูเปหิ โอชํ อุปสํหรมานา ปฎิกฺขิปิฯ

    Bodhisattopi rañño paṭiññaṃ datvā anupubbena cārikaṃ caramāno āḷārañca kālāmaṃ udakañca rāmaputtaṃ upasaṅkamitvā samāpattiyo nibbattetvā ‘‘nāyaṃ maggo bodhāyā’’ti tampi samāpattibhāvanaṃ analaṅkaritvā sadevakassa lokassa attano thāmavīriyasandassanatthaṃ mahāpadhānaṃ padahitukāmo uruvelaṃ gantvā ‘‘ramaṇīyo vatāyaṃ bhūmibhāgo’’ti tattheva vāsaṃ upagantvā mahāpadhānaṃ padahi. Tepi kho koṇḍaññappamukhā pañca pabbajitā gāmanigamarājadhānīsu bhikkhāya carantā tattha bodhisattaṃ sampāpuṇiṃsu. Atha naṃ chabbassāni mahāpadhānaṃ padahantaṃ ‘‘idāni buddho bhavissati, idāni buddho bhavissatī’’ti pariveṇasammajjanādikāya vattapaṭipattiyā upaṭṭhahamānā santikāvacarāvassa ahesuṃ. Bodhisattopi kho ‘‘koṭippattaṃ dukkarakāriyaṃ karissāmī’’ti ekatilataṇḍulādīhipi vītināmesi, sabbasopi āhārūpacchedaṃ akāsi, devatāpi lomakūpehi ojaṃ upasaṃharamānā paṭikkhipi.

    อถสฺส ตาย นิราหารตาย ปรมกสิมานปฺปตฺตกายสฺส สุวณฺณวโณฺณ กาโย กาฬวโณฺณ อโหสิฯ พาตฺติํสมหาปุริสลกฺขณานิ ปฎิจฺฉนฺนานิ อเหสุํฯ อเปฺปกทา อปฺปาณกํ ฌานํ ฌายโนฺต มหาเวทนาหิ อภิตุโนฺน วิสญฺญีภูโต จงฺกมนโกฎิยํ ปตติฯ อถ นํ เอกจฺจา เทวตา ‘‘กาลกโต สมโณ โคตโม’’ติ วทนฺติ, เอกจฺจา ‘‘วิหาโรเวโส อรหต’’นฺติ อาหํสุฯ ตตฺถ ยาสํ ‘‘กาลกโต’’ติ อโหสิ, ตา คนฺตฺวา สุโทฺธทนมหาราชสฺส อาโรเจสุํ ‘‘ตุมฺหากํ ปุโตฺต กาลกโต’’ติฯ มม ปุโตฺต พุโทฺธ หุตฺวา กาลกโต, อหุตฺวาติ? พุโทฺธ ภวิตุํ นาสกฺขิ, ปธานภูมิยํเยว ปติตฺวา กาลกโตติฯ อิทํ สุตฺวา ราชา ‘‘นาหํ สทฺทหามิ, มม ปุตฺตสฺส โพธิํ อปฺปตฺวา กาลกิริยา นาม นตฺถี’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ กสฺมา ปน ราชา น สทฺทหตีติ? กาฬเทวีลตาปสสฺส วนฺทาปนทิวเส ชมฺพุรุกฺขมูเล จ ปาฎิหาริยานํ ทิฎฺฐตฺตาฯ

    Athassa tāya nirāhāratāya paramakasimānappattakāyassa suvaṇṇavaṇṇo kāyo kāḷavaṇṇo ahosi. Bāttiṃsamahāpurisalakkhaṇāni paṭicchannāni ahesuṃ. Appekadā appāṇakaṃ jhānaṃ jhāyanto mahāvedanāhi abhitunno visaññībhūto caṅkamanakoṭiyaṃ patati. Atha naṃ ekaccā devatā ‘‘kālakato samaṇo gotamo’’ti vadanti, ekaccā ‘‘vihāroveso arahata’’nti āhaṃsu. Tattha yāsaṃ ‘‘kālakato’’ti ahosi, tā gantvā suddhodanamahārājassa ārocesuṃ ‘‘tumhākaṃ putto kālakato’’ti. Mama putto buddho hutvā kālakato, ahutvāti? Buddho bhavituṃ nāsakkhi, padhānabhūmiyaṃyeva patitvā kālakatoti. Idaṃ sutvā rājā ‘‘nāhaṃ saddahāmi, mama puttassa bodhiṃ appatvā kālakiriyā nāma natthī’’ti paṭikkhipi. Kasmā pana rājā na saddahatīti? Kāḷadevīlatāpasassa vandāpanadivase jamburukkhamūle ca pāṭihāriyānaṃ diṭṭhattā.

    ปุน โพธิสเตฺต สญฺญํ ปฎิลภิตฺวา อุฎฺฐิเต ตา เทวตา คนฺตฺวา ‘‘อโรโค เต มหาราช ปุโตฺต’’ติ อาโรเจนฺติฯ ราชา ‘‘ชานามหํ ปุตฺตสฺส อมรณภาว’’นฺติ วทติฯ มหาสตฺตสฺส ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรการิยํ กโรนฺตสฺส อากาเส คณฺฐิกรณกาโล วิย อโหสิฯ โส ‘‘อยํ ทุกฺกรการิกา นาม โพธาย มโคฺค น โหตี’’ติ โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรตุํ คามนิคเมสุ ปิณฺฑาย จริตฺวา อาหารํ อาหริ, อถสฺส พาตฺติํสมหาปุริสลกฺขณานิ ปากติกานิ อเหสุํ, กาโย สุวณฺณวโณฺณ อโหสิฯ ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ‘‘อยํ ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรการิกํ กโรโนฺตปิ สพฺพญฺญุตํ ปฎิวิชฺฌิตุํ นาสกฺขิ, อิทานิ คามาทีสุ ปิณฺฑาย จริตฺวา โอฬาริกํ อาหารํ อาหริยมาโน กิํ สกฺขิสฺสติ, พาหุลิโก เอส ปธานวิพฺภโนฺต, สีสํ นฺหายิตุกามสฺส อุสฺสาวพินฺทุตกฺกนํ วิย อมฺหากํ เอตสฺส สนฺติกา วิเสสตกฺกนํ, กิํ โน อิมินา’’ติ มหาปุริสํ ปหาย อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อฎฺฐารสโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา อิสิปตนํ ปวิสิํสุฯ

    Puna bodhisatte saññaṃ paṭilabhitvā uṭṭhite tā devatā gantvā ‘‘arogo te mahārāja putto’’ti ārocenti. Rājā ‘‘jānāmahaṃ puttassa amaraṇabhāva’’nti vadati. Mahāsattassa chabbassāni dukkarakāriyaṃ karontassa ākāse gaṇṭhikaraṇakālo viya ahosi. So ‘‘ayaṃ dukkarakārikā nāma bodhāya maggo na hotī’’ti oḷārikaṃ āhāraṃ āhāretuṃ gāmanigamesu piṇḍāya caritvā āhāraṃ āhari, athassa bāttiṃsamahāpurisalakkhaṇāni pākatikāni ahesuṃ, kāyo suvaṇṇavaṇṇo ahosi. Pañcavaggiyā bhikkhū ‘‘ayaṃ chabbassāni dukkarakārikaṃ karontopi sabbaññutaṃ paṭivijjhituṃ nāsakkhi, idāni gāmādīsu piṇḍāya caritvā oḷārikaṃ āhāraṃ āhariyamāno kiṃ sakkhissati, bāhuliko esa padhānavibbhanto, sīsaṃ nhāyitukāmassa ussāvabindutakkanaṃ viya amhākaṃ etassa santikā visesatakkanaṃ, kiṃ no iminā’’ti mahāpurisaṃ pahāya attano attano pattacīvaraṃ gahetvā aṭṭhārasayojanamaggaṃ gantvā isipatanaṃ pavisiṃsu.

    เตน โข ปน สมเยน อุรุเวลายํ เสนานิคเม เสนานิกุฎุมฺพิกสฺส เคเห นิพฺพตฺตา สุชาตา นาม ทาริกา วยปฺปตฺตา เอกสฺมิํ นิโคฺรธรุเกฺข ปตฺถนํ อกาสิ ‘‘สเจ สมชาติกํ กุลฆรํ คนฺตฺวา ปฐมคเพฺภ ปุตฺตํ ลภิสฺสามิ, อนุสํวจฺฉรํ เต สตสหสฺสปริจฺจาเคน พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ ตสฺสา สา ปตฺถนา สมิชฺฌิฯ สา มหาสตฺตสฺส ทุกฺกรการิกํ กโรนฺตสฺส ฉเฎฺฐ วเสฺส ปริปุเณฺณ วิสาขปุณฺณมายํ พลิกมฺมํ กาตุกามา หุตฺวา ปุเรตรํ เธนุสหสฺสํ ลฎฺฐิมธุกวเน จราเปตฺวา ตาสํ ขีรํ ปญฺจ เธนุสตานิ ปาเยตฺวา ตาสํ ขีรํ อฑฺฒติยานีติ เอวํ ยาว โสฬสนฺนํ เธนูนํ ขีรํ อฎฺฐ เธนุโย ปิวนฺติ, ตาว ขีรสฺส พหลตญฺจ มธุรตญฺจ โอชวนฺตตญฺจ ปตฺถยมานา ขีรปริวตฺตนํ นาม อกาสิฯ สา วิสาขปุณฺณมทิวเส ‘‘ปาโตว พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ ปจฺจุฎฺฐาย ตา อฎฺฐ เธนุโย ทุหาเปสิฯ วจฺฉกา เธนูนํ ถนมูลํ นาคมิํสุ, ถนมูเล ปน นวภาชเน อุปนีตมเตฺต อตฺตโน ธมฺมตาย ขีรธารา ปวตฺติํสุฯ ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา สุชาตา สหเตฺถเนว ขีรํ คเหตฺวา นวภาชเน ปกฺขิปิตฺวา สหเตฺถเนว อคฺคิํ กตฺวา ปจิตุํ อารภิฯ

    Tena kho pana samayena uruvelāyaṃ senānigame senānikuṭumbikassa gehe nibbattā sujātā nāma dārikā vayappattā ekasmiṃ nigrodharukkhe patthanaṃ akāsi ‘‘sace samajātikaṃ kulagharaṃ gantvā paṭhamagabbhe puttaṃ labhissāmi, anusaṃvaccharaṃ te satasahassapariccāgena balikammaṃ karissāmī’’ti. Tassā sā patthanā samijjhi. Sā mahāsattassa dukkarakārikaṃ karontassa chaṭṭhe vasse paripuṇṇe visākhapuṇṇamāyaṃ balikammaṃ kātukāmā hutvā puretaraṃ dhenusahassaṃ laṭṭhimadhukavane carāpetvā tāsaṃ khīraṃ pañca dhenusatāni pāyetvā tāsaṃ khīraṃ aḍḍhatiyānīti evaṃ yāva soḷasannaṃ dhenūnaṃ khīraṃ aṭṭha dhenuyo pivanti, tāva khīrassa bahalatañca madhuratañca ojavantatañca patthayamānā khīraparivattanaṃ nāma akāsi. Sā visākhapuṇṇamadivase ‘‘pātova balikammaṃ karissāmī’’ti rattiyā paccūsasamayaṃ paccuṭṭhāya tā aṭṭha dhenuyo duhāpesi. Vacchakā dhenūnaṃ thanamūlaṃ nāgamiṃsu, thanamūle pana navabhājane upanītamatte attano dhammatāya khīradhārā pavattiṃsu. Taṃ acchariyaṃ disvā sujātā sahattheneva khīraṃ gahetvā navabhājane pakkhipitvā sahattheneva aggiṃ katvā pacituṃ ārabhi.

    ตสฺมิํ ปายาเส ปจฺจมาเน มหนฺตมหนฺตา พุพฺพุฬา อุฎฺฐหิตฺวา ทกฺขิณาวตฺตา หุตฺวา สญฺจรนฺติ, เอกผุสิตมฺปิ พหิ น ปตติ, อุทฺธนโต อปฺปมตฺตโกปิ ธูโม น อุฎฺฐหติฯ ตสฺมิํ สมเย จตฺตาโร โลกปาลา อาคนฺตฺวา อุทฺธเน อารกฺขํ คณฺหิํสุ, มหาพฺรหฺมา ฉตฺตํ ธาเรสิ, สโกฺก อลาตานิ สมาเนโนฺต อคฺคิํ ชาเลสิฯ เทวตา ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ เทวานญฺจ มนุสฺสานญฺจ อุปกปฺปนโอชํ อตฺตโน เทวานุภาเวน ทณฺฑกพทฺธํ มธุปฎลํ ปีเฬตฺวา มธุํ คณฺหมานา วิย สํหริตฺวา ตตฺถ ปกฺขิปิํสุฯ อเญฺญสุ หิ กาเลสุ เทวตา กพเฬ กพเฬ โอชํ ปกฺขิปนฺติ, สโมฺพธิทิวเส จ ปน ปรินิพฺพานทิวเส จ อุกฺขลิยํเยว ปกฺขิปนฺติฯ สุชาตา เอกทิวเสเยว ตตฺถ อตฺตโน ปากฎานิ อเนกานิ อจฺฉริยานิ ทิสฺวา ปุณฺณํ ทาสิํ อามเนฺตสิ ‘‘อมฺม ปุเณฺณ, อชฺช อมฺหากํ เทวตา อติวิย ปสนฺนา, มยา เอตฺตเก กาเล เอวรูปํ อจฺฉริยํ นาม น ทิฎฺฐปุพฺพํ, เวเคน คนฺตฺวา เทวฎฺฐานํ ปฎิชคฺคาหี’’ติฯ สา ‘‘สาธุ, อเยฺย’’ติ ตสฺสา วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตุริตตุริตา รุกฺขมูลํ อคมาสิฯ

    Tasmiṃ pāyāse paccamāne mahantamahantā bubbuḷā uṭṭhahitvā dakkhiṇāvattā hutvā sañcaranti, ekaphusitampi bahi na patati, uddhanato appamattakopi dhūmo na uṭṭhahati. Tasmiṃ samaye cattāro lokapālā āgantvā uddhane ārakkhaṃ gaṇhiṃsu, mahābrahmā chattaṃ dhāresi, sakko alātāni samānento aggiṃ jālesi. Devatā dvisahassadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu devānañca manussānañca upakappanaojaṃ attano devānubhāvena daṇḍakabaddhaṃ madhupaṭalaṃ pīḷetvā madhuṃ gaṇhamānā viya saṃharitvā tattha pakkhipiṃsu. Aññesu hi kālesu devatā kabaḷe kabaḷe ojaṃ pakkhipanti, sambodhidivase ca pana parinibbānadivase ca ukkhaliyaṃyeva pakkhipanti. Sujātā ekadivaseyeva tattha attano pākaṭāni anekāni acchariyāni disvā puṇṇaṃ dāsiṃ āmantesi ‘‘amma puṇṇe, ajja amhākaṃ devatā ativiya pasannā, mayā ettake kāle evarūpaṃ acchariyaṃ nāma na diṭṭhapubbaṃ, vegena gantvā devaṭṭhānaṃ paṭijaggāhī’’ti. Sā ‘‘sādhu, ayye’’ti tassā vacanaṃ sampaṭicchitvā turitaturitā rukkhamūlaṃ agamāsi.

    โพธิสโตฺตปิ โข ตสฺมิํ รตฺติภาเค ปญฺจ มหาสุปิเน ทิสฺวา ปริคฺคณฺหโนฺต ‘‘นิสฺสํสเยนาหํ อชฺช พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ กตสนฺนิฎฺฐาโน ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน กตสรีรปฎิชคฺคโน ภิกฺขาจารกาลํ อาคมยมาโน ปาโตว อาคนฺตฺวา ตสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทิ อตฺตโน ปภาย สกลรุกฺขํ โอภาสยมาโนฯ อถ โข สา ปุณฺณา อาคนฺตฺวา อทฺทส โพธิสตฺตํ รุกฺขมูเล ปาจีนโลกธาตุํ โอโลกยมานํ นิสินฺนํ, สรีรโต จสฺส นิกฺขนฺตาหิ ปภาหิ สกลรุกฺขํ สุวณฺณวณฺณํฯ ทิสฺวา ตสฺสา เอตทโหสิ – ‘‘อชฺช อมฺหากํ เทวตา รุกฺขโต โอรุยฺห สหเตฺถเนว พลิกมฺมํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ นิสินฺนา มเญฺญ’’ติ อุเพฺพคปฺปตฺตา หุตฺวา เวเคนาคนฺตฺวา สุชาตาย เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ

    Bodhisattopi kho tasmiṃ rattibhāge pañca mahāsupine disvā pariggaṇhanto ‘‘nissaṃsayenāhaṃ ajja buddho bhavissāmī’’ti katasanniṭṭhāno tassā rattiyā accayena katasarīrapaṭijaggano bhikkhācārakālaṃ āgamayamāno pātova āgantvā tasmiṃ rukkhamūle nisīdi attano pabhāya sakalarukkhaṃ obhāsayamāno. Atha kho sā puṇṇā āgantvā addasa bodhisattaṃ rukkhamūle pācīnalokadhātuṃ olokayamānaṃ nisinnaṃ, sarīrato cassa nikkhantāhi pabhāhi sakalarukkhaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ. Disvā tassā etadahosi – ‘‘ajja amhākaṃ devatā rukkhato oruyha sahattheneva balikammaṃ sampaṭicchituṃ nisinnā maññe’’ti ubbegappattā hutvā vegenāgantvā sujātāya etamatthaṃ ārocesi.

    สุชาตา ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ตุฎฺฐมานสา หุตฺวา ‘‘อชฺช ทานิ ปฎฺฐาย มม เชฎฺฐธีตุฎฺฐาเน ติฎฺฐาหี’’ติ ธีตุ อนุจฺฉวิกํ สพฺพาลงฺการํ อทาสิฯ ยสฺมา ปน พุทฺธภาวํ ปาปุณนทิวเส สตสหสฺสคฺฆนิกํ สุวณฺณปาติํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา สา ‘‘สุวณฺณปาติยํ ปายาสํ ปกฺขิปิสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา สตสหสฺสคฺฆนิกํ สุวณฺณปาติํ นีหราเปตฺวา ตตฺถ ปายาสํ ปกฺขิปิตุกามา ปกฺกภาชนํ อาวเชฺชสิฯ ‘สโพฺพ ปายาโส ปทุมปตฺตา อุทกํ วิย วินิวตฺติตฺวา ปาติยํ ปติฎฺฐาสิ, เอกปาติปูรมโตฺตว อโหสิ’ฯ สา ตํ ปาติํ อญฺญาย สุวณฺณปาติยา ปฎิกุชฺชิตฺวา โอทาตวเตฺถน เวเฐตฺวา สพฺพาลงฺกาเรหิ อตฺตภาวํ อลงฺกริตฺวา ตํ ปาติํ อตฺตโน สีเส ฐเปตฺวา มหเนฺตน อานุภาเวน นิโคฺรธรุกฺขมูลํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ โอโลเกตฺวา พลวโสมนสฺสชาตา ‘‘รุกฺขเทวตา’’ติ สญฺญาย ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอนโตนตา คนฺตฺวา สีสโต ปาติํ โอตาเรตฺวา วิวริตฺวา สุวณฺณภิงฺกาเรน คนฺธปุปฺผวาสิตํ อุทกํ คเหตฺวา โพธิสตฺตํ อุปคนฺตฺวา อฎฺฐาสิฯ ฆฎีการมหาพฺรหฺมุนา ทิโนฺน มตฺติกาปโตฺต เอตฺตกํ อทฺธานํ โพธิสตฺตํ อวิชหิตฺวา ตสฺมิํ ขเณ อทสฺสนํ คโต, โพธิสโตฺต ปตฺตํ อปสฺสโนฺต ทกฺขิณหตฺถํ ปสาเรตฺวา อุทกํ สมฺปฎิจฺฉิฯ สุชาตา สเหว ปาติยา ปายาสํ มหาปุริสสฺส หเตฺถ ฐเปสิ, มหาปุริโส สุชาตํ โอโลเกสิฯ สา อาการํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘อยฺย, มยา ตุมฺหากํ ปริจฺจตฺตํ, คณฺหิตฺวา ยถารุจิํ คจฺฉถา’’ติ วนฺทิตฺวา ‘‘ยถา มยฺหํ มโนรโถ นิปฺผโนฺน , เอวํ ตุมฺหากมฺปิ นิปฺผชฺชตู’’ติ วตฺวา สตสหสฺสคฺฆนิกาย สุวณฺณปาติยา ปุราณปเณฺณ วิย อนเปกฺขา หุตฺวา ปกฺกามิฯ

    Sujātā tassā vacanaṃ sutvā tuṭṭhamānasā hutvā ‘‘ajja dāni paṭṭhāya mama jeṭṭhadhītuṭṭhāne tiṭṭhāhī’’ti dhītu anucchavikaṃ sabbālaṅkāraṃ adāsi. Yasmā pana buddhabhāvaṃ pāpuṇanadivase satasahassagghanikaṃ suvaṇṇapātiṃ laddhuṃ vaṭṭati, tasmā sā ‘‘suvaṇṇapātiyaṃ pāyāsaṃ pakkhipissāmī’’ti cittaṃ uppādetvā satasahassagghanikaṃ suvaṇṇapātiṃ nīharāpetvā tattha pāyāsaṃ pakkhipitukāmā pakkabhājanaṃ āvajjesi. ‘Sabbo pāyāso padumapattā udakaṃ viya vinivattitvā pātiyaṃ patiṭṭhāsi, ekapātipūramattova ahosi’. Sā taṃ pātiṃ aññāya suvaṇṇapātiyā paṭikujjitvā odātavatthena veṭhetvā sabbālaṅkārehi attabhāvaṃ alaṅkaritvā taṃ pātiṃ attano sīse ṭhapetvā mahantena ānubhāvena nigrodharukkhamūlaṃ gantvā bodhisattaṃ oloketvā balavasomanassajātā ‘‘rukkhadevatā’’ti saññāya diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya onatonatā gantvā sīsato pātiṃ otāretvā vivaritvā suvaṇṇabhiṅkārena gandhapupphavāsitaṃ udakaṃ gahetvā bodhisattaṃ upagantvā aṭṭhāsi. Ghaṭīkāramahābrahmunā dinno mattikāpatto ettakaṃ addhānaṃ bodhisattaṃ avijahitvā tasmiṃ khaṇe adassanaṃ gato, bodhisatto pattaṃ apassanto dakkhiṇahatthaṃ pasāretvā udakaṃ sampaṭicchi. Sujātā saheva pātiyā pāyāsaṃ mahāpurisassa hatthe ṭhapesi, mahāpuriso sujātaṃ olokesi. Sā ākāraṃ sallakkhetvā ‘‘ayya, mayā tumhākaṃ pariccattaṃ, gaṇhitvā yathāruciṃ gacchathā’’ti vanditvā ‘‘yathā mayhaṃ manoratho nipphanno , evaṃ tumhākampi nipphajjatū’’ti vatvā satasahassagghanikāya suvaṇṇapātiyā purāṇapaṇṇe viya anapekkhā hutvā pakkāmi.

    โพธิสโตฺตปิ โข นิสินฺนฎฺฐานา อุฎฺฐาย รุกฺขํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปาติํ อาทาย เนรญฺชราย ตีรํ คนฺตฺวา อเนเกสํ โพธิสตฺตสหสฺสานํ อภิสมฺพุชฺฌนทิวเส โอตริตฺวา นฺหานฎฺฐานํ สุปฺปติฎฺฐิตติตฺถํ นาม อตฺถิ, ตสฺส ตีเร ปาติํ ฐเปตฺวา โอตริตฺวา นฺหตฺวา อเนกพุทฺธสตสหสฺสานํ นิวาสนํ อรหทฺธชํ นิวาเสตฺวา ปุรตฺถาภิมุโข นิสีทิตฺวา เอกฎฺฐิตาลปกฺกปฺปมาเณ เอกูนปญฺญาส ปิเณฺฑ กตฺวา สพฺพํ อโปฺปทกํ มธุปายาสํ ปริภุญฺชิฯ โส เอว หิสฺส พุทฺธภูตสฺส สตฺตสตฺตาหํ โพธิมเณฺฑ วสนฺตสฺส เอกูนปญฺญาส ทิวสานิ อาหาโร อโหสิฯ เอตฺตกํ กาลํ เนว อโญฺญ อาหาโร อตฺถิ, น นฺหานํ, น มุขโธวนํ, น สรีรวฬโญฺช, ฌานสุเขน มคฺคสุเขน ผลสุเขน จ วีตินาเมสิฯ ตํ ปน ปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา สุวณฺณปาติํ คเหตฺวา ‘‘สจาหํ, อชฺช พุโทฺธ ภวิตุํ สกฺขิสฺสามิ, อยํ ปาติ ปฎิโสตํ คจฺฉตุ, โน เจ สกฺขิสฺสามิ, อนุโสตํ คจฺฉตู’’ติ วตฺวา นทีโสเต ปกฺขิปิฯ สา โสตํ ฉินฺทมานา นทีมชฺฌํ คนฺตฺวา มชฺฌมชฺฌฎฺฐาเนเนว ชวสมฺปโนฺน อโสฺส วิย อสีติหตฺถมตฺตฎฺฐานํ ปฎิโสตํ คนฺตฺวา เอกสฺมิํ อาวเฎฺฎ นิมุชฺชิตฺวา กาฬนาคราชภวนํ คนฺตฺวา ติณฺณํ พุทฺธานํ ปริโภคปาติโย ‘‘กิลิ กิลี’’ติ รวํ การยมานา ปหริตฺวาว ตาสํ สพฺพเหฎฺฐิมา หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ กาโฬ นาคราชา ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘หิโยฺย เอโก พุโทฺธ นิพฺพโตฺต, ปุน อชฺช เอโก นิพฺพโตฺต’’ติ วตฺวา อเนเกหิ ปทสเตหิ ถุติโย วทมาโน อุฎฺฐาสิฯ ตสฺส กิร มหาปถวิยา เอกโยชนติคาวุตปฺปมาณํ นภํ ปูเรตฺวา อาโรหนกาโล ‘‘อชฺช วา หิโยฺย วา’’ติ สทิโส อโหสิฯ

    Bodhisattopi kho nisinnaṭṭhānā uṭṭhāya rukkhaṃ padakkhiṇaṃ katvā pātiṃ ādāya nerañjarāya tīraṃ gantvā anekesaṃ bodhisattasahassānaṃ abhisambujjhanadivase otaritvā nhānaṭṭhānaṃ suppatiṭṭhitatitthaṃ nāma atthi, tassa tīre pātiṃ ṭhapetvā otaritvā nhatvā anekabuddhasatasahassānaṃ nivāsanaṃ arahaddhajaṃ nivāsetvā puratthābhimukho nisīditvā ekaṭṭhitālapakkappamāṇe ekūnapaññāsa piṇḍe katvā sabbaṃ appodakaṃ madhupāyāsaṃ paribhuñji. So eva hissa buddhabhūtassa sattasattāhaṃ bodhimaṇḍe vasantassa ekūnapaññāsa divasāni āhāro ahosi. Ettakaṃ kālaṃ neva añño āhāro atthi, na nhānaṃ, na mukhadhovanaṃ, na sarīravaḷañjo, jhānasukhena maggasukhena phalasukhena ca vītināmesi. Taṃ pana pāyāsaṃ paribhuñjitvā suvaṇṇapātiṃ gahetvā ‘‘sacāhaṃ, ajja buddho bhavituṃ sakkhissāmi, ayaṃ pāti paṭisotaṃ gacchatu, no ce sakkhissāmi, anusotaṃ gacchatū’’ti vatvā nadīsote pakkhipi. Sā sotaṃ chindamānā nadīmajjhaṃ gantvā majjhamajjhaṭṭhāneneva javasampanno asso viya asītihatthamattaṭṭhānaṃ paṭisotaṃ gantvā ekasmiṃ āvaṭṭe nimujjitvā kāḷanāgarājabhavanaṃ gantvā tiṇṇaṃ buddhānaṃ paribhogapātiyo ‘‘kili kilī’’ti ravaṃ kārayamānā paharitvāva tāsaṃ sabbaheṭṭhimā hutvā aṭṭhāsi. Kāḷo nāgarājā taṃ saddaṃ sutvā ‘‘hiyyo eko buddho nibbatto, puna ajja eko nibbatto’’ti vatvā anekehi padasatehi thutiyo vadamāno uṭṭhāsi. Tassa kira mahāpathaviyā ekayojanatigāvutappamāṇaṃ nabhaṃ pūretvā ārohanakālo ‘‘ajja vā hiyyo vā’’ti sadiso ahosi.

    โพธิสโตฺตปิ นทีตีรมฺหิ สุปุปฺผิตสาลวเน ทิวาวิหารํ กตฺวา สายนฺหสมเย ปุปฺผานํ วณฺฎโต มุจฺจนกาเล เทวตาหิ อลงฺกเตน อฎฺฐูสภวิตฺถาเรน มเคฺคน สีโห วิย วิชมฺภมาโน โพธิรุกฺขาภิมุโข ปายาสิฯ นาคยกฺขสุปณฺณาทโย ทิเพฺพหิ คนฺธปุปฺผาทีหิ ปูชยิํสุ, ทิพฺพสงฺคีตาทีนิ ปวตฺตยิํสุ, ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกคนฺธา เอกมาลา เอกสาธุการา อโหสิฯ ตสฺมิํ สมเย โสตฺถิโย นาม ติณหารโก ติณํ อาทาย ปฎิปเถ อาคจฺฉโนฺต มหาปุริสสฺส อาการํ ญตฺวา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย อทาสิฯ โพธิสโตฺต ติณํ คเหตฺวา โพธิมณฺฑํ อารุยฺห ทกฺขิณทิสาภาเค อุตฺตราภิมุโข อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ทกฺขิณจกฺกวาฬํ โอสีทิตฺวา เหฎฺฐา อวีจิสมฺปตฺตํ วิย อโหสิ, อุตฺตรจกฺกวาฬํ อุลฺลงฺฆิตฺวา อุปริ ภวคฺคปฺปตฺตํ วิย อโหสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘อิทํ สโมฺพธิํ ปาปุณนฎฺฐานํ น ภวิสฺสติ มเญฺญ’’ติ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต ปจฺฉิมทิสาภาคํ คนฺตฺวา ปุรตฺถาภิมุโข อฎฺฐาสิ, ตโต ปจฺฉิมจกฺกวาฬํ โอสีทิตฺวา เหฎฺฐา อวีจิสมฺปตฺตํ วิย อโหสิ, ปุรตฺถิมจกฺกวาฬํ อุลฺลงฺฆิตฺวา อุปริ ภวคฺคปฺปตฺตํ วิย อโหสิฯ ฐิตฎฺฐิตฎฺฐาเน กิรสฺส เนมิวฎฺฎิปริยเนฺต อกฺกเนฺต นาภิยา ปติฎฺฐิตมหาสกฎจกฺกํ วิย มหาปถวี โอนตุนฺนตา อโหสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘อิทมฺปิ สโมฺพธิํ ปาปุณนฎฺฐานํ น ภวิสฺสติ มเญฺญ’’ติ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต อุตฺตรทิสาภาคํ คนฺตฺวา ทกฺขิณาภิมุโข อฎฺฐาสิ, ตโต อุตฺตรจกฺกวาฬํ โอสีทิตฺวา เหฎฺฐา อวีจิสมฺปตฺตํ วิย อโหสิ, ทกฺขิณจกฺกวาฬํ อุลฺลงฺฆิตฺวา อุปริ ภวคฺคปฺปตฺตํ วิย อโหสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘อิทมฺปิ สโมฺพธิํ ปาปุณนฎฺฐานํ น ภวิสฺสติ มเญฺญ’’ติ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต ปุรตฺถิมทิสาภาคํ คนฺตฺวา ปจฺฉิมาภิมุโข อฎฺฐาสิฯ ปุรตฺถิมทิสาภาเค ปน สพฺพพุทฺธานํ ปลฺลงฺกฎฺฐานํ, ตํ เนว ฉมฺภติ, น กมฺปติฯ มหาสโตฺต ‘‘อิทํ สพฺพพุทฺธานํ อวิชหิตํ อจลฎฺฐานํ กิเลสปญฺชรวิทฺธํสนฎฺฐาน’’นฺติ ญตฺวา ตานิ ติณานิ อเคฺค คเหตฺวา จาเลสิ, ตาวเทว จุทฺทสหโตฺถ ปลฺลโงฺก อโหสิฯ ตานิปิ โข ติณานิ ตถารูเปน สณฺฐาเนน สณฺฐหิํสุ, ยถารูปํ สุกุสโลปิ จิตฺตกาโร วา โปตฺถกาโร วา อาลิขิตุมฺปิ สมโตฺถ นตฺถิฯ โพธิสโตฺต โพธิกฺขนฺธํ ปิฎฺฐิโต กตฺวา ปุรตฺถาภิมุโข ทฬฺหมานโส หุตฺวา –

    Bodhisattopi nadītīramhi supupphitasālavane divāvihāraṃ katvā sāyanhasamaye pupphānaṃ vaṇṭato muccanakāle devatāhi alaṅkatena aṭṭhūsabhavitthārena maggena sīho viya vijambhamāno bodhirukkhābhimukho pāyāsi. Nāgayakkhasupaṇṇādayo dibbehi gandhapupphādīhi pūjayiṃsu, dibbasaṅgītādīni pavattayiṃsu, dasasahassī lokadhātu ekagandhā ekamālā ekasādhukārā ahosi. Tasmiṃ samaye sotthiyo nāma tiṇahārako tiṇaṃ ādāya paṭipathe āgacchanto mahāpurisassa ākāraṃ ñatvā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo adāsi. Bodhisatto tiṇaṃ gahetvā bodhimaṇḍaṃ āruyha dakkhiṇadisābhāge uttarābhimukho aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe dakkhiṇacakkavāḷaṃ osīditvā heṭṭhā avīcisampattaṃ viya ahosi, uttaracakkavāḷaṃ ullaṅghitvā upari bhavaggappattaṃ viya ahosi. Bodhisatto ‘‘idaṃ sambodhiṃ pāpuṇanaṭṭhānaṃ na bhavissati maññe’’ti padakkhiṇaṃ karonto pacchimadisābhāgaṃ gantvā puratthābhimukho aṭṭhāsi, tato pacchimacakkavāḷaṃ osīditvā heṭṭhā avīcisampattaṃ viya ahosi, puratthimacakkavāḷaṃ ullaṅghitvā upari bhavaggappattaṃ viya ahosi. Ṭhitaṭṭhitaṭṭhāne kirassa nemivaṭṭipariyante akkante nābhiyā patiṭṭhitamahāsakaṭacakkaṃ viya mahāpathavī onatunnatā ahosi. Bodhisatto ‘‘idampi sambodhiṃ pāpuṇanaṭṭhānaṃ na bhavissati maññe’’ti padakkhiṇaṃ karonto uttaradisābhāgaṃ gantvā dakkhiṇābhimukho aṭṭhāsi, tato uttaracakkavāḷaṃ osīditvā heṭṭhā avīcisampattaṃ viya ahosi, dakkhiṇacakkavāḷaṃ ullaṅghitvā upari bhavaggappattaṃ viya ahosi. Bodhisatto ‘‘idampi sambodhiṃ pāpuṇanaṭṭhānaṃ na bhavissati maññe’’ti padakkhiṇaṃ karonto puratthimadisābhāgaṃ gantvā pacchimābhimukho aṭṭhāsi. Puratthimadisābhāge pana sabbabuddhānaṃ pallaṅkaṭṭhānaṃ, taṃ neva chambhati, na kampati. Mahāsatto ‘‘idaṃ sabbabuddhānaṃ avijahitaṃ acalaṭṭhānaṃ kilesapañjaraviddhaṃsanaṭṭhāna’’nti ñatvā tāni tiṇāni agge gahetvā cālesi, tāvadeva cuddasahattho pallaṅko ahosi. Tānipi kho tiṇāni tathārūpena saṇṭhānena saṇṭhahiṃsu, yathārūpaṃ sukusalopi cittakāro vā potthakāro vā ālikhitumpi samattho natthi. Bodhisatto bodhikkhandhaṃ piṭṭhito katvā puratthābhimukho daḷhamānaso hutvā –

    ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ, อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตุ;

    ‘‘Kāmaṃ taco ca nhāru ca, aṭṭhi ca avasissatu;

    อุปสุสฺสตุ นิเสฺสสํ, สรีเร มํสโลหิตํ’’ฯ

    Upasussatu nissesaṃ, sarīre maṃsalohitaṃ’’.

    น เตฺววาหํ สมฺมาสโมฺพธิํ อปฺปตฺวา อิมํ ปลฺลงฺกํ ภินฺทิสฺสามีติ อสนิสตสนฺนิปาเตนปิ อเภชฺชรูปํ อปราชิตปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ

    Na tvevāhaṃ sammāsambodhiṃ appatvā imaṃ pallaṅkaṃ bhindissāmīti asanisatasannipātenapi abhejjarūpaṃ aparājitapallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi.

    ตสฺมิํ สมเย มาโร เทวปุโตฺต ‘‘สิทฺธตฺถกุมาโร มยฺหํ วสํ อติกฺกมิตุกาโม, น ทานิสฺส อติกฺกมิตุํ ทสฺสามี’’ติ มารพลสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจตฺวา มารโฆสนํ นาม โฆสาเปตฺวา มารพลํ อาทาย นิกฺขมิฯ สา มารเสนา มารสฺส ปุรโต ทฺวาทสโยชนา โหติ, ทกฺขิณโต จ วามโต จ ทฺวาทสโยชนา, ปจฺฉโต ยาว จกฺกวาฬปริยนฺตํ กตฺวา ฐิตา, อุทฺธํ นวโยชนุเพฺพธา, ยสฺสา อุนฺนทนฺติยา อุนฺนาทสโทฺท โยชนสหสฺสโต ปฎฺฐาย ปถวิอุนฺทฺริยนสโทฺท วิย สุยฺยติฯ อถ มาโร เทวปุโตฺต ทิยฑฺฒโยชนสติกํ คิริเมขลํ นาม หตฺถิํ อภิรุหิตฺวา พาหุสหสฺสํ มาเปตฺวา นานาวุธานิ อคฺคเหสิฯ อวเสสายปิ มารปริสาย เทฺว ชนา เอกสทิสํ อาวุธํ น คณฺหิํสุ, นานปฺปการวณฺณา นานปฺปการมุขา หุตฺวา มหาสตฺตํ อโชฺฌตฺถรมานา อาคมิํสุฯ

    Tasmiṃ samaye māro devaputto ‘‘siddhatthakumāro mayhaṃ vasaṃ atikkamitukāmo, na dānissa atikkamituṃ dassāmī’’ti mārabalassa santikaṃ gantvā etamatthaṃ ārocetvā māraghosanaṃ nāma ghosāpetvā mārabalaṃ ādāya nikkhami. Sā mārasenā mārassa purato dvādasayojanā hoti, dakkhiṇato ca vāmato ca dvādasayojanā, pacchato yāva cakkavāḷapariyantaṃ katvā ṭhitā, uddhaṃ navayojanubbedhā, yassā unnadantiyā unnādasaddo yojanasahassato paṭṭhāya pathaviundriyanasaddo viya suyyati. Atha māro devaputto diyaḍḍhayojanasatikaṃ girimekhalaṃ nāma hatthiṃ abhiruhitvā bāhusahassaṃ māpetvā nānāvudhāni aggahesi. Avasesāyapi māraparisāya dve janā ekasadisaṃ āvudhaṃ na gaṇhiṃsu, nānappakāravaṇṇā nānappakāramukhā hutvā mahāsattaṃ ajjhottharamānā āgamiṃsu.

    ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา ปน มหาสตฺตสฺส ถุติโย วทมานา อฎฺฐํสุฯ สโกฺก เทวราชา วิชยุตฺตรสงฺขํ ธมมาโน อฎฺฐาสิฯ โส กิร สโงฺข วีสหตฺถสติโก โหติฯ สกิํ วาตํ คาหาเปตฺวา ธมโนฺต จตฺตาโร มาเส สทฺทํ กริตฺวา นิสฺสโทฺท โหติฯ มหากาฬนาคราชา อติเรกปทสเตน วณฺณํ วทโนฺต อฎฺฐาสิ, มหาพฺรหฺมา เสตจฺฉตฺตํ ธารยมาโน อฎฺฐาสิฯ มารพเล ปน โพธิมณฺฑํ อุปสงฺกมเนฺต เตสํ เอโกปิ ฐาตุํ นาสกฺขิ, สมฺมุขสมฺมุขฎฺฐาเนเนว ปลายิํสุฯ กาโฬ นาคราชา ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา ปญฺจโยชนสติกํ มเญฺชริกนาคภวนํ คนฺตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ มุขํ ปิทหิตฺวา นิปโนฺนฯ สโกฺก วิชยุตฺตรสงฺขํ ปิฎฺฐิยํ กตฺวา จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ อฎฺฐาสิฯ มหาพฺรหฺมา เสตจฺฉตฺตํ จกฺกวาฬโกฎิยํ ฐเปตฺวา พฺรหฺมโลกเมว อคมาสิฯ เอกา เทวตาปิ ฐาตุํ สมตฺถา นาโหสิ, มหาปุริโส เอกโกว นิสีทิฯ

    Dasasahassacakkavāḷadevatā pana mahāsattassa thutiyo vadamānā aṭṭhaṃsu. Sakko devarājā vijayuttarasaṅkhaṃ dhamamāno aṭṭhāsi. So kira saṅkho vīsahatthasatiko hoti. Sakiṃ vātaṃ gāhāpetvā dhamanto cattāro māse saddaṃ karitvā nissaddo hoti. Mahākāḷanāgarājā atirekapadasatena vaṇṇaṃ vadanto aṭṭhāsi, mahābrahmā setacchattaṃ dhārayamāno aṭṭhāsi. Mārabale pana bodhimaṇḍaṃ upasaṅkamante tesaṃ ekopi ṭhātuṃ nāsakkhi, sammukhasammukhaṭṭhāneneva palāyiṃsu. Kāḷo nāgarājā pathaviyaṃ nimujjitvā pañcayojanasatikaṃ mañjerikanāgabhavanaṃ gantvā ubhohi hatthehi mukhaṃ pidahitvā nipanno. Sakko vijayuttarasaṅkhaṃ piṭṭhiyaṃ katvā cakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ aṭṭhāsi. Mahābrahmā setacchattaṃ cakkavāḷakoṭiyaṃ ṭhapetvā brahmalokameva agamāsi. Ekā devatāpi ṭhātuṃ samatthā nāhosi, mahāpuriso ekakova nisīdi.

    มาโรปิ อตฺตโน ปริสํ อาห ‘‘ตาตา สุโทฺธทนปุเตฺตน สิทฺธเตฺถน สทิโส อโญฺญ ปุริโส นาม นตฺถิ, มยํ สมฺมุขา ยุทฺธํ ทาตุํ น สกฺขิสฺสาม, ปจฺฉาภาเคน ทสฺสามา’’ติฯ มหาปุริโสปิ ตีณิ ปสฺสานิ โอโลเกตฺวา สพฺพเทวตานํ ปลาตตฺตา สุญฺญานิ อทฺทสฯ ปุน อุตฺตรปเสฺสน มารพลํ อโชฺฌตฺถรมานํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เอตฺตโก ชโน มํ เอกกํ สนฺธาย มหนฺตํ วายามํ ปรกฺกมํ กโรติ, อิมสฺมิํ ฐาเน มยฺหํ มาตา วา ปิตา วา ภาตา วา อโญฺญ วา โกจิ ญาตโก นตฺถิ, อิมา ปน ทส ปารมิโยว มยฺหํ ทีฆรตฺตํ ปุฎฺฐปริชนสทิสา, ตสฺมา ปารมิโยว ผลกํ กตฺวา ปารมิสเตฺถเนว ปหริตฺวา อยํ พลกาโย มยา วิทฺธํเสตุํ วฎฺฎตี’’ติ ทส ปารมิโย อาวชฺชมาโน นิสีทิฯ

    Māropi attano parisaṃ āha ‘‘tātā suddhodanaputtena siddhatthena sadiso añño puriso nāma natthi, mayaṃ sammukhā yuddhaṃ dātuṃ na sakkhissāma, pacchābhāgena dassāmā’’ti. Mahāpurisopi tīṇi passāni oloketvā sabbadevatānaṃ palātattā suññāni addasa. Puna uttarapassena mārabalaṃ ajjhottharamānaṃ disvā ‘‘ayaṃ ettako jano maṃ ekakaṃ sandhāya mahantaṃ vāyāmaṃ parakkamaṃ karoti, imasmiṃ ṭhāne mayhaṃ mātā vā pitā vā bhātā vā añño vā koci ñātako natthi, imā pana dasa pāramiyova mayhaṃ dīgharattaṃ puṭṭhaparijanasadisā, tasmā pāramiyova phalakaṃ katvā pāramisattheneva paharitvā ayaṃ balakāyo mayā viddhaṃsetuṃ vaṭṭatī’’ti dasa pāramiyo āvajjamāno nisīdi.

    อถ โข มาโร เทวปุโตฺต ‘‘เอเตเนว สิทฺธตฺถํ ปลาเปสฺสามี’’ติ วาตมณฺฑลํ สมุฎฺฐาเปสิฯ ตงฺขณํเยว ปุรตฺถิมาทิเภทา วาตา สมุฎฺฐหิตฺวา อฑฺฒโยชนเอกโยชนทฺวิโยชนติโยชนปฺปมาณานิ ปพฺพตกูฎานิ ปทาเลตฺวา วนคจฺฉรุกฺขาทีนิ อุมฺมูเลตฺวา สมนฺตา คามนิคเม จุณฺณวิจุณฺณํ กาตุํ สมตฺถาปิ มหาปุริสสฺส ปุญฺญเตเชน วิหตานุภาวา โพธิสตฺตํ ปตฺวา จีวรกณฺณมตฺตมฺปิ จาเลตุํ นาสกฺขิํสุฯ ตโต ‘‘อุทเกน น อโชฺฌตฺถริตฺวา มาเรสฺสามี’’ติ มหาวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ ตสฺสานุภาเวน อุปรูปริ สตปฎลสหสฺสปฎลาทิเภทา วลาหกา อุฎฺฐหิตฺวา วสฺสิํสุฯ วุฎฺฐิธาราเวเคน ปถวี ฉิทฺทา อโหสิฯ วนรุกฺขาทีนํ อุปริภาเคน มหาเมโฆ อาคนฺตฺวา มหาสตฺตสฺส จีวเร อุสฺสาวพินฺทุฎฺฐานมตฺตมฺปิ เตเมตุํ นาสกฺขิฯ ตโต ปาสาณวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ มหนฺตานิ มหนฺตานิ ปพฺพตกูฎานิ ธูมายนฺตานิ ปชฺชลนฺตานิ อากาเสนาคนฺตฺวา โพธิสตฺตํ ปตฺวา ทิพฺพมาลาคุฬภาวํ อาปชฺชิํสุฯ ตโต ปหรณวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ เอกโตธาราอุภโตธาราอสิสตฺติขุรปฺปาทโย ธูมายนฺตา ปชฺชลนฺตา อากาเสนาคนฺตฺวา โพธิสตฺตํ ปตฺวา ทิพฺพปุปฺผานิ อเหสุํฯ ตโต องฺคารวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ กิํสุกวณฺณา องฺคารา อากาเสนาคนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปาทมูเล ทิพฺพปุปฺผานิ หุตฺวา วิกิริํสุฯ ตโต กุกฺกุฬวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ อจฺจุโณฺห อคฺคิวโณฺณ กุกฺกุโฬ อากาเสนาคนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปาทมูเล ทิพฺพจนฺทนจุณฺณํ หุตฺวา นิปติฯ ตโต วาลุกาวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ อติสุขุมวาลุกา ธูมายนฺตา ปชฺชลนฺตา อากาเสนาคนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปาทมูเล ทิพฺพปุปฺผานิ หุตฺวา นิปติํสุฯ ตโต กลลวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ ตํ กลลํ ธูมายนฺตํ ปชฺชลนฺตํ อากาเสนาคนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปาทมูเล ทิพฺพวิเลปนํ หุตฺวา นิปติฯ ตโต ‘‘อิมินา ภิํเสตฺวา สิทฺธตฺถํ ปลาเปสฺสามี’’ติ อนฺธการํ สมุฎฺฐาเปสิฯ ตํ จตุรงฺคสมนฺนาคตํ วิย มหาตมํ หุตฺวา โพธิสตฺตํ ปตฺวา สูริยปฺปภาวิหตํ วิย อนฺธการํ อนฺตรธายิฯ

    Atha kho māro devaputto ‘‘eteneva siddhatthaṃ palāpessāmī’’ti vātamaṇḍalaṃ samuṭṭhāpesi. Taṅkhaṇaṃyeva puratthimādibhedā vātā samuṭṭhahitvā aḍḍhayojanaekayojanadviyojanatiyojanappamāṇāni pabbatakūṭāni padāletvā vanagaccharukkhādīni ummūletvā samantā gāmanigame cuṇṇavicuṇṇaṃ kātuṃ samatthāpi mahāpurisassa puññatejena vihatānubhāvā bodhisattaṃ patvā cīvarakaṇṇamattampi cāletuṃ nāsakkhiṃsu. Tato ‘‘udakena na ajjhottharitvā māressāmī’’ti mahāvassaṃ samuṭṭhāpesi. Tassānubhāvena uparūpari satapaṭalasahassapaṭalādibhedā valāhakā uṭṭhahitvā vassiṃsu. Vuṭṭhidhārāvegena pathavī chiddā ahosi. Vanarukkhādīnaṃ uparibhāgena mahāmegho āgantvā mahāsattassa cīvare ussāvabinduṭṭhānamattampi temetuṃ nāsakkhi. Tato pāsāṇavassaṃ samuṭṭhāpesi. Mahantāni mahantāni pabbatakūṭāni dhūmāyantāni pajjalantāni ākāsenāgantvā bodhisattaṃ patvā dibbamālāguḷabhāvaṃ āpajjiṃsu. Tato paharaṇavassaṃ samuṭṭhāpesi. Ekatodhārāubhatodhārāasisattikhurappādayo dhūmāyantā pajjalantā ākāsenāgantvā bodhisattaṃ patvā dibbapupphāni ahesuṃ. Tato aṅgāravassaṃ samuṭṭhāpesi. Kiṃsukavaṇṇā aṅgārā ākāsenāgantvā bodhisattassa pādamūle dibbapupphāni hutvā vikiriṃsu. Tato kukkuḷavassaṃ samuṭṭhāpesi. Accuṇho aggivaṇṇo kukkuḷo ākāsenāgantvā bodhisattassa pādamūle dibbacandanacuṇṇaṃ hutvā nipati. Tato vālukāvassaṃ samuṭṭhāpesi. Atisukhumavālukā dhūmāyantā pajjalantā ākāsenāgantvā bodhisattassa pādamūle dibbapupphāni hutvā nipatiṃsu. Tato kalalavassaṃ samuṭṭhāpesi. Taṃ kalalaṃ dhūmāyantaṃ pajjalantaṃ ākāsenāgantvā bodhisattassa pādamūle dibbavilepanaṃ hutvā nipati. Tato ‘‘iminā bhiṃsetvā siddhatthaṃ palāpessāmī’’ti andhakāraṃ samuṭṭhāpesi. Taṃ caturaṅgasamannāgataṃ viya mahātamaṃ hutvā bodhisattaṃ patvā sūriyappabhāvihataṃ viya andhakāraṃ antaradhāyi.

    เอวํ มาโร อิมาหิ นวหิ วาตวสฺสปาสาณปหรณองฺคารกุกฺกุฬวาลุกากลลอนฺธการวุฎฺฐีหิ โพธิสตฺตํ ปลาเปตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘กิํ ภเณ, ติฎฺฐถ, อิมํ สิทฺธตฺถกุมารํ คณฺหถ หนถ ปลาเปถา’’ติ ปริสํ อาณาเปตฺวา สยมฺปิ คิริเมขลสฺส หตฺถิโน ขเนฺธ นิสิโนฺน จกฺกาวุธํ อาทาย โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘สิทฺธตฺถ อุฎฺฐาหิ เอตสฺมา ปลฺลงฺกา, นายํ ตุยฺหํ ปาปุณาติ, มยฺหํ เอว ปาปุณาตี’’ติ อาหฯ มหาสโตฺต ตสฺส วจนํ สุตฺวา อโวจ – ‘‘มาร, เนว ตยา ทส ปารมิโย ปูริตา, น อุปปารมิโย, น ปรมตฺถปารมิโย, นาปิ ปญฺจ มหาปริจฺจาคา ปริจฺจตฺตา , น ญาตตฺถจริยา, น โลกตฺถจริยา, น พุทฺธิจริยา ปูริตา, สพฺพา ตา มยาเยว ปูริตา, ตสฺมา นายํ ปลฺลโงฺก ตุยฺหํ ปาปุณาติ , มเยฺหเวโส ปาปุณาตี’’ติฯ

    Evaṃ māro imāhi navahi vātavassapāsāṇapaharaṇaaṅgārakukkuḷavālukākalalaandhakāravuṭṭhīhi bodhisattaṃ palāpetuṃ asakkonto ‘‘kiṃ bhaṇe, tiṭṭhatha, imaṃ siddhatthakumāraṃ gaṇhatha hanatha palāpethā’’ti parisaṃ āṇāpetvā sayampi girimekhalassa hatthino khandhe nisinno cakkāvudhaṃ ādāya bodhisattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘siddhattha uṭṭhāhi etasmā pallaṅkā, nāyaṃ tuyhaṃ pāpuṇāti, mayhaṃ eva pāpuṇātī’’ti āha. Mahāsatto tassa vacanaṃ sutvā avoca – ‘‘māra, neva tayā dasa pāramiyo pūritā, na upapāramiyo, na paramatthapāramiyo, nāpi pañca mahāpariccāgā pariccattā , na ñātatthacariyā, na lokatthacariyā, na buddhicariyā pūritā, sabbā tā mayāyeva pūritā, tasmā nāyaṃ pallaṅko tuyhaṃ pāpuṇāti , mayheveso pāpuṇātī’’ti.

    มาโร กุโทฺธ โกธเวคํ อสหโนฺต มหาปุริสสฺส จกฺกาวุธํ วิสฺสเชฺชสิฯ ตํ ตสฺส ทส ปารมิโย อาวเชฺชนฺตสฺส อุปริภาเค มาลาวิตานํ หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตํ กิร ขุรธารจกฺกาวุธํ อญฺญทา เตน กุเทฺธน วิสฺสฎฺฐํ เอกฆนปาสาณตฺถเมฺภ วํสกฬีเร วิย ฉินฺทนฺตํ คจฺฉติ, อิทานิ ปน ตสฺมิํ มาลาวิตานํ หุตฺวา ฐิเต อวเสสา มารปริสา ‘‘อิทานิ ปลฺลงฺกโต วุฎฺฐาย ปลายิสฺสตี’’ติ มหนฺตมหนฺตานิ เสลกูฎานิ วิสฺสเชฺชสุํฯ ตานิปิ มหาปุริสสฺส ทส ปารมิโย อาวเชฺชนฺตสฺส มาลาคุฬภาวํ อาปชฺชิตฺวา ภูมิยํ ปติํสุฯ เทวตา จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ ฐิตา คีวํ ปสาเรตฺวา สีสํ อุกฺขิปิตฺวา ‘‘นโฎฺฐ วต โส สิทฺธตฺถกุมารสฺส รูปคฺคปฺปโตฺต อตฺตภาโว, กิํ นุ โข กริสฺสตี’’ติ โอโลเกนฺติฯ

    Māro kuddho kodhavegaṃ asahanto mahāpurisassa cakkāvudhaṃ vissajjesi. Taṃ tassa dasa pāramiyo āvajjentassa uparibhāge mālāvitānaṃ hutvā aṭṭhāsi. Taṃ kira khuradhāracakkāvudhaṃ aññadā tena kuddhena vissaṭṭhaṃ ekaghanapāsāṇatthambhe vaṃsakaḷīre viya chindantaṃ gacchati, idāni pana tasmiṃ mālāvitānaṃ hutvā ṭhite avasesā māraparisā ‘‘idāni pallaṅkato vuṭṭhāya palāyissatī’’ti mahantamahantāni selakūṭāni vissajjesuṃ. Tānipi mahāpurisassa dasa pāramiyo āvajjentassa mālāguḷabhāvaṃ āpajjitvā bhūmiyaṃ patiṃsu. Devatā cakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ ṭhitā gīvaṃ pasāretvā sīsaṃ ukkhipitvā ‘‘naṭṭho vata so siddhatthakumārassa rūpaggappatto attabhāvo, kiṃ nu kho karissatī’’ti olokenti.

    ตโต มหาปุริโส ‘‘ปูริตปารมีนํ โพธิสตฺตานํ อภิสมฺพุชฺฌนทิวเส ปตฺตปลฺลโงฺก มยฺหํว ปาปุณาตี’’ติ วตฺวา ฐิตํ มารํ อาห – ‘‘มาร ตุยฺหํ ทานสฺส ทินฺนภาเว โก สกฺขี’’ติฯ มาโร ‘‘อิเม เอตฺตกา ชนา สกฺขิโน’’ติ มารพลาภิมุขํ หตฺถํ ปสาเรสิฯ ตสฺมิํ ขเณ มารปริสาย ‘‘อหํ สกฺขี, อหํ สกฺขี’’ติ ปวตฺตสโทฺท ปถวิอุนฺทฺริยนสทฺทสทิโส อโหสิฯ อถ มาโร มหาปุริสํ อาห ‘‘สิทฺธตฺถ, ตุยฺหํ ทานสฺส ทินฺนภาเว โก สกฺขี’’ติฯ มหาปุริโส ‘‘ตุยฺหํ ตาว ทานสฺส ทินฺนภาเว สเจตนา สกฺขิโน, มยฺหํ ปน อิมสฺมิํ ฐาเน สเจตโน โกจิ สกฺขี นาม นตฺถิ, ติฎฺฐตุ ตาว เม อวเสสตฺตภาเวสุ ทินฺนทานํ, เวสฺสนฺตรตฺตภาเว ปน ฐตฺวา มยฺหํ สตฺตสตกมหาทานสฺส ทินฺนภาเว อยํ อเจตนาปิ ฆนมหาปถวี สกฺขี’’ติ จีวรคพฺภนฺตรโต ทกฺขิณหตฺถํ อภินีหริตฺวา ‘‘เวสฺสนฺตรตฺตภาเว ฐตฺวา มยฺหํ สตฺตสตกมหาทานสฺส ทินฺนภาเว ตฺวํ สกฺขี น สกฺขี’’ติ มหาปถวิอภิมุขํ หตฺถํ ปสาเรสิฯ มหาปถวี ‘‘อหํ เต ตทา สกฺขี’’ติ วิรวสเตน วิรวสหเสฺสน วิรวสตสหเสฺสน มารพลํ อวตฺถรมานา วิย อุนฺนทิฯ

    Tato mahāpuriso ‘‘pūritapāramīnaṃ bodhisattānaṃ abhisambujjhanadivase pattapallaṅko mayhaṃva pāpuṇātī’’ti vatvā ṭhitaṃ māraṃ āha – ‘‘māra tuyhaṃ dānassa dinnabhāve ko sakkhī’’ti. Māro ‘‘ime ettakā janā sakkhino’’ti mārabalābhimukhaṃ hatthaṃ pasāresi. Tasmiṃ khaṇe māraparisāya ‘‘ahaṃ sakkhī, ahaṃ sakkhī’’ti pavattasaddo pathaviundriyanasaddasadiso ahosi. Atha māro mahāpurisaṃ āha ‘‘siddhattha, tuyhaṃ dānassa dinnabhāve ko sakkhī’’ti. Mahāpuriso ‘‘tuyhaṃ tāva dānassa dinnabhāve sacetanā sakkhino, mayhaṃ pana imasmiṃ ṭhāne sacetano koci sakkhī nāma natthi, tiṭṭhatu tāva me avasesattabhāvesu dinnadānaṃ, vessantarattabhāve pana ṭhatvā mayhaṃ sattasatakamahādānassa dinnabhāve ayaṃ acetanāpi ghanamahāpathavī sakkhī’’ti cīvaragabbhantarato dakkhiṇahatthaṃ abhinīharitvā ‘‘vessantarattabhāve ṭhatvā mayhaṃ sattasatakamahādānassa dinnabhāve tvaṃ sakkhī na sakkhī’’ti mahāpathaviabhimukhaṃ hatthaṃ pasāresi. Mahāpathavī ‘‘ahaṃ te tadā sakkhī’’ti viravasatena viravasahassena viravasatasahassena mārabalaṃ avattharamānā viya unnadi.

    ตโต มหาปุริเส ‘‘ทินฺนํ เต สิทฺธตฺถ มหาทานํ อุตฺตมทาน’’นฺติ เวสฺสนฺตรทานํ สมฺมสเนฺต ทิยฑฺฒโยชนสติโก คิริเมขลหตฺถี ชณฺณุเกหิ ปถวิยํ ปติฎฺฐาสิ, มารปริสา ทิสาวิทิสา ปลายิ, เทฺว เอกมเคฺคน คตา นาม นตฺถิ, สีสาภรณานิ เจว นิวตฺถวตฺถานิ จ ปหาย สมฺมุขสมฺมุขทิสาหิเยว ปลายิํสุฯ ตโต เทวสงฺฆา ปลายมานํ มารพลํ ทิสฺวา ‘‘มารสฺส ปราชโย ชาโต, สิทฺธตฺถกุมารสฺส ชโย, ชยปูชํ กริสฺสามา’’ติ นาคา นาคานํ, สุปณฺณา สุปณฺณานํ , เทวตา เทวตานํ, พฺรหฺมาโน พฺรหฺมานํ, อุโคฺฆเสตฺวา คนฺธมาลาทิหตฺถา มหาปุริสสฺส สนฺติกํ โพธิปลฺลงฺกํ อคมํสุฯ

    Tato mahāpurise ‘‘dinnaṃ te siddhattha mahādānaṃ uttamadāna’’nti vessantaradānaṃ sammasante diyaḍḍhayojanasatiko girimekhalahatthī jaṇṇukehi pathaviyaṃ patiṭṭhāsi, māraparisā disāvidisā palāyi, dve ekamaggena gatā nāma natthi, sīsābharaṇāni ceva nivatthavatthāni ca pahāya sammukhasammukhadisāhiyeva palāyiṃsu. Tato devasaṅghā palāyamānaṃ mārabalaṃ disvā ‘‘mārassa parājayo jāto, siddhatthakumārassa jayo, jayapūjaṃ karissāmā’’ti nāgā nāgānaṃ, supaṇṇā supaṇṇānaṃ , devatā devatānaṃ, brahmāno brahmānaṃ, ugghosetvā gandhamālādihatthā mahāpurisassa santikaṃ bodhipallaṅkaṃ agamaṃsu.

    เอวํ คเตสุ จ ปน เตสุ –

    Evaṃ gatesu ca pana tesu –

    ‘‘ชโย หิ พุทฺธสฺส สิรีมโต อยํ, มารสฺส จ ปาปิมโต ปราชโย;

    ‘‘Jayo hi buddhassa sirīmato ayaṃ, mārassa ca pāpimato parājayo;

    อุโคฺฆสยุํ โพธิมเณฺฑ ปโมทิตา, ชยํ ตทา นาคคณา มเหสิโนฯ

    Ugghosayuṃ bodhimaṇḍe pamoditā, jayaṃ tadā nāgagaṇā mahesino.

    ‘‘ชโย หิ พุทฺธสฺส สิรีมโต อยํ, มารสฺส จ ปาปิมโต ปราชโย;

    ‘‘Jayo hi buddhassa sirīmato ayaṃ, mārassa ca pāpimato parājayo;

    อุโคฺฆสยุํ โพธิมเณฺฑ ปโมทิตา, สุปณฺณสงฺฆาปิ ชยํ มเหสิโนฯ

    Ugghosayuṃ bodhimaṇḍe pamoditā, supaṇṇasaṅghāpi jayaṃ mahesino.

    ‘‘ชโย หิ พุทฺธสฺส สิรีมโต อยํ, มารสฺส จ ปาปิมโต ปราชโย;

    ‘‘Jayo hi buddhassa sirīmato ayaṃ, mārassa ca pāpimato parājayo;

    อุโคฺฆสยุํ โพธิมเณฺฑ ปโมทิตา, ชยํ ตทา เทวคณา มเหสิโนฯ

    Ugghosayuṃ bodhimaṇḍe pamoditā, jayaṃ tadā devagaṇā mahesino.

    ‘‘ชโย หิ พุทฺธสฺส สิรีมโต อยํ, มารสฺส จ ปาปิมโต ปราชโย;

    ‘‘Jayo hi buddhassa sirīmato ayaṃ, mārassa ca pāpimato parājayo;

    อุโคฺฆสยุํ โพธิมเณฺฑ ปโมทิตา, ชยํ ตทา พฺรหฺมคณาปิ ตาทิโน’’ติฯ

    Ugghosayuṃ bodhimaṇḍe pamoditā, jayaṃ tadā brahmagaṇāpi tādino’’ti.

    อวเสสา ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ เทวตา มาลาคนฺธวิเลปเนหิ จ ปูชยมานา นานปฺปการา ถุติโย จ วทมานา อฎฺฐํสุฯ เอวํ อนตฺถงฺคเตเยว สูริเย มหาปุริโส มารพลํ วิธเมตฺวา จีวรูปริ ปตมาเนหิ โพธิรุกฺขงฺกุเรหิ รตฺตปวาฬปลฺลเวหิ วิย ปูชิยมาโน ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสญาณํ อนุสฺสริตฺวา, มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา, ปจฺฉิมยาเม ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ญาณํ โอตาเรสิฯ อถสฺส ทฺวาทสปทิกํ ปจฺจยาการํ วฎฺฎวิวฎฺฎวเสน อนุโลมปฎิโลมโต สมฺมสนฺตสฺส ทสสหสฺสี โลกธาตุ อุทกปริยนฺตํ กตฺวา ทฺวาทสกฺขตฺตุํ สมฺปกมฺปิฯ

    Avasesā dasasu cakkavāḷasahassesu devatā mālāgandhavilepanehi ca pūjayamānā nānappakārā thutiyo ca vadamānā aṭṭhaṃsu. Evaṃ anatthaṅgateyeva sūriye mahāpuriso mārabalaṃ vidhametvā cīvarūpari patamānehi bodhirukkhaṅkurehi rattapavāḷapallavehi viya pūjiyamāno paṭhamayāme pubbenivāsañāṇaṃ anussaritvā, majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhetvā, pacchimayāme paṭiccasamuppāde ñāṇaṃ otāresi. Athassa dvādasapadikaṃ paccayākāraṃ vaṭṭavivaṭṭavasena anulomapaṭilomato sammasantassa dasasahassī lokadhātu udakapariyantaṃ katvā dvādasakkhattuṃ sampakampi.

    มหาปุริเส ปน ทสสหสฺสิโลกธาตุํ อุนฺนาเทตฺวา อรุณุคฺคมนเวลาย สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌเนฺต สกลทสสหสฺสี โลกธาตุ อลงฺกตปฎิยตฺตา อโหสิฯ ปาจีนจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ อุสฺสาปิตานํ ธชานํ ปฎากานํ รํสิโย ปจฺฉิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ ปหรนฺติ, ตถา ปจฺฉิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ อุสฺสาปิตานํ ปาจีนจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ, ทกฺขิณจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ อุสฺสาปิตานํ อุตฺตรจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ, อุตฺตรจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ อุสฺสาปิตานํ ทกฺขิณจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ ปหรนฺติ, ปถวิตเล อุสฺสาปิตานํ ปน ธชานํ ปฎากานํ พฺรหฺมโลกํ อาหจฺจ อฎฺฐํสุ, พฺรหฺมโลเก พทฺธานํ ปถวิตเล ปติฎฺฐหิํสุ, ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ ปุปฺผูปครุกฺขา ปุปฺผํ คณฺหิํสุ, ผลูปครุกฺขา ผลปิณฺฑีภารภริตา อเหสุํฯ ขเนฺธสุ ขนฺธปทุมานิ ปุปฺผิํสุ, สาขาสุ สาขาปทุมานิ, ลตาสุ ลตาปทุมานิ, อากาเส โอลมฺพกปทุมานิ, สิลาตลานิ ภินฺทิตฺวา อุปรูปริ สตฺต สตฺต หุตฺวา ทณฺฑกปทุมานิ อุฎฺฐหิํสุฯ ทสสหสฺสี โลกธาตุ วเฎฺฎตฺวา วิสฺสฎฺฐมาลาคุฬา วิย สุสนฺถตปุปฺผสนฺถาโร วิย จ อโหสิฯ จกฺกวาฬนฺตเรสุ อฎฺฐโยชนสหสฺสโลกนฺตริกา สตฺตสูริยปฺปภายปิ อโนภาสิตปุพฺพา เอโกภาสา อเหสุํ, จตุราสีติโยชนสหสฺสคมฺภีโร มหาสมุโทฺท มธุโรทโก อโหสิ, นทิโย นปฺปวตฺติํสุ, ชจฺจนฺธา รูปานิ ปสฺสิํสุ, ชาติพธิรา สทฺทํ สุณิํสุ, ชาติปีฐสปฺปิโน ปทสา คจฺฉิํสุ, อนฺทุพนฺธนาทีนิ ฉิชฺชิตฺวา ปติํสุฯ

    Mahāpurise pana dasasahassilokadhātuṃ unnādetvā aruṇuggamanavelāya sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhante sakaladasasahassī lokadhātu alaṅkatapaṭiyattā ahosi. Pācīnacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ ussāpitānaṃ dhajānaṃ paṭākānaṃ raṃsiyo pacchimacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ paharanti, tathā pacchimacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ ussāpitānaṃ pācīnacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ, dakkhiṇacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ ussāpitānaṃ uttaracakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ, uttaracakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ ussāpitānaṃ dakkhiṇacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ paharanti, pathavitale ussāpitānaṃ pana dhajānaṃ paṭākānaṃ brahmalokaṃ āhacca aṭṭhaṃsu, brahmaloke baddhānaṃ pathavitale patiṭṭhahiṃsu, dasasahassacakkavāḷesu pupphūpagarukkhā pupphaṃ gaṇhiṃsu, phalūpagarukkhā phalapiṇḍībhārabharitā ahesuṃ. Khandhesu khandhapadumāni pupphiṃsu, sākhāsu sākhāpadumāni, latāsu latāpadumāni, ākāse olambakapadumāni, silātalāni bhinditvā uparūpari satta satta hutvā daṇḍakapadumāni uṭṭhahiṃsu. Dasasahassī lokadhātu vaṭṭetvā vissaṭṭhamālāguḷā viya susanthatapupphasanthāro viya ca ahosi. Cakkavāḷantaresu aṭṭhayojanasahassalokantarikā sattasūriyappabhāyapi anobhāsitapubbā ekobhāsā ahesuṃ, caturāsītiyojanasahassagambhīro mahāsamuddo madhurodako ahosi, nadiyo nappavattiṃsu, jaccandhā rūpāni passiṃsu, jātibadhirā saddaṃ suṇiṃsu, jātipīṭhasappino padasā gacchiṃsu, andubandhanādīni chijjitvā patiṃsu.

    เอวํ อปริมาเณน สิริวิภเวน ปูชิยมาโน มหาปุริโส อเนกปฺปกาเรสุ อจฺฉริยธเมฺมสุ ปาตุภูเตสุ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา สพฺพพุทฺธานํ อวิชหิตํ อุทานํ อุทาเนสิ –

    Evaṃ aparimāṇena sirivibhavena pūjiyamāno mahāpuriso anekappakāresu acchariyadhammesu pātubhūtesu sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhitvā sabbabuddhānaṃ avijahitaṃ udānaṃ udānesi –

    ‘‘อเนกชาติสํสารํ , สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ;

    ‘‘Anekajātisaṃsāraṃ , sandhāvissaṃ anibbisaṃ;

    คหการํ คเวสโนฺต, ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํฯ

    Gahakāraṃ gavesanto, dukkhā jāti punappunaṃ.

    ‘‘คหการก ทิโฎฺฐสิ, ปุน เคหํ น กาหสิ;

    ‘‘Gahakāraka diṭṭhosi, puna gehaṃ na kāhasi;

    สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา, คหกูฎํ วิสงฺขตํ;

    Sabbā te phāsukā bhaggā, gahakūṭaṃ visaṅkhataṃ;

    วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ, ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา’’ติฯ (ธ. ป. ๑๕๓-๑๕๔);

    Visaṅkhāragataṃ cittaṃ, taṇhānaṃ khayamajjhagā’’ti. (dha. pa. 153-154);

    อิติ ตุสิตปุรโต ปฎฺฐาย ยาว อยํ โพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตปฺปตฺติ, เอตฺตกํ ฐานํ อวิทูเรนิทานํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ

    Iti tusitapurato paṭṭhāya yāva ayaṃ bodhimaṇḍe sabbaññutappatti, ettakaṃ ṭhānaṃ avidūrenidānaṃ nāmāti veditabbaṃ.

    อวิทูเรนิทานกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Avidūrenidānakathā niṭṭhitā.

    ๓. สนฺติเกนิทานกถา

    3. Santikenidānakathā

    ‘‘สนฺติเกนิทานํ ปน ‘ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลาย’นฺติ เอวํ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ วิหรโต ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเนเยว ลพฺภตี’’ติ วุตฺตํฯ กิญฺจาปิ เอวํ วุตฺตํ, อถ โข ปน ตมฺปิ อาทิโต ปฎฺฐาย เอวํ เวทิตพฺพํ – อุทานํ อุทาเนตฺวา ชยปลฺลเงฺก นิสินฺนสฺส หิ ภควโต เอตทโหสิ ‘‘อหํ กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ อิมสฺส ปลฺลงฺกสฺส การณา สนฺธาวิํ, เอตฺตกํ เม กาลํ อิมเสฺสว ปลฺลงฺกสฺส การณา อลงฺกตสีสํ คีวาย ฉินฺทิตฺวา ทินฺนํ, สุอญฺชิตานิ อกฺขีนิ หทยมํสญฺจ อุพฺพเฎฺฎตฺวา ทินฺนํ, ชาลีกุมารสทิสา ปุตฺตา กณฺหาชินกุมาริสทิสา ธีตโร มทฺทีเทวิสทิสา ภริยาโย จ ปเรสํ ทาสตฺถาย ทินฺนา, อยํ เม ปลฺลโงฺก ชยปลฺลโงฺก วรปลฺลโงฺก จฯ เอตฺถ เม นิสินฺนสฺส สงฺกปฺปา ปริปุณฺณา, น ตาว อิโต อุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ อเนกโกฎิสตสหสฺสา สมาปตฺติโย สมาปชฺชโนฺต สตฺตาหํ ตเตฺถว นิสีทิฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อถ โข ภควา สตฺตาหํ เอกปลฺลเงฺกน นิสีทิ วิมุตฺติสุขปฎิสํเวที’’ติ (อุทา. ๑; มหาว. ๑)ฯ

    ‘‘Santikenidānaṃ pana ‘bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāya’nti evaṃ tesu tesu ṭhānesu viharato tasmiṃ tasmiṃ ṭhāneyeva labbhatī’’ti vuttaṃ. Kiñcāpi evaṃ vuttaṃ, atha kho pana tampi ādito paṭṭhāya evaṃ veditabbaṃ – udānaṃ udānetvā jayapallaṅke nisinnassa hi bhagavato etadahosi ‘‘ahaṃ kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni imassa pallaṅkassa kāraṇā sandhāviṃ, ettakaṃ me kālaṃ imasseva pallaṅkassa kāraṇā alaṅkatasīsaṃ gīvāya chinditvā dinnaṃ, suañjitāni akkhīni hadayamaṃsañca ubbaṭṭetvā dinnaṃ, jālīkumārasadisā puttā kaṇhājinakumārisadisā dhītaro maddīdevisadisā bhariyāyo ca paresaṃ dāsatthāya dinnā, ayaṃ me pallaṅko jayapallaṅko varapallaṅko ca. Ettha me nisinnassa saṅkappā paripuṇṇā, na tāva ito uṭṭhahissāmī’’ti anekakoṭisatasahassā samāpattiyo samāpajjanto sattāhaṃ tattheva nisīdi. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘atha kho bhagavā sattāhaṃ ekapallaṅkena nisīdi vimuttisukhapaṭisaṃvedī’’ti (udā. 1; mahāva. 1).

    อถ เอกจฺจานํ เทวตานํ ‘‘อชฺชาปิ นูน สิทฺธตฺถสฺส กตฺตพฺพกิจฺจํ อตฺถิ, ปลฺลงฺกสฺมิญฺหิ อาลยํ น วิชหตี’’ติ ปริวิตโกฺก อุทปาทิฯ สตฺถา เทวตานํ ปริวิตกฺกํ ญตฺวา ตาสํ วิตกฺกวูปสมนตฺถํ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ยมกปาฎิหาริยํ ทเสฺสสิฯ มหาโพธิมณฺฑสฺมิญฺหิ กตปาฎิหาริยญฺจ, ญาติสมาคเม กตปาฎิหาริยญฺจ, ปาถิกปุตฺตสมาคเม กตปาฎิหาริยญฺจ, สพฺพํ กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล ยมกปาฎิหาริยสทิสํ อโหสิฯ

    Atha ekaccānaṃ devatānaṃ ‘‘ajjāpi nūna siddhatthassa kattabbakiccaṃ atthi, pallaṅkasmiñhi ālayaṃ na vijahatī’’ti parivitakko udapādi. Satthā devatānaṃ parivitakkaṃ ñatvā tāsaṃ vitakkavūpasamanatthaṃ vehāsaṃ abbhuggantvā yamakapāṭihāriyaṃ dassesi. Mahābodhimaṇḍasmiñhi katapāṭihāriyañca, ñātisamāgame katapāṭihāriyañca, pāthikaputtasamāgame katapāṭihāriyañca, sabbaṃ kaṇḍambarukkhamūle yamakapāṭihāriyasadisaṃ ahosi.

    เอวํ สตฺถา อิมินา ปาฎิหาริเยน เทวตานํ วิตกฺกํ วูปสเมตฺวา ปลฺลงฺกโต อีสกํ ปาจีนนิสฺสิเต อุตฺตรทิสาภาเค ฐตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ วต เม ปลฺลเงฺก สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิทฺธ’’นฺติ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปูริตานํ ปารมีนํ ผลาธิคมฎฺฐานํ ปลฺลงฺกํ โพธิรุกฺขญฺจ อนิมิเสหิ อกฺขีหิ โอโลกยมาโน สตฺตาหํ วีตินาเมสิ, ตํ ฐานํ อนิมิสเจติยํ นาม ชาตํฯ อถ ปลฺลงฺกสฺส จ ฐิตฎฺฐานสฺส จ อนฺตรา จงฺกมํ มาเปตฺวา ปุรตฺถิมปจฺฉิมโต อายเต รตนจงฺกเม จงฺกมโนฺต สตฺตาหํ วีตินาเมสิ, ตํ ฐานํ รตนจงฺกมเจติยํ นาม ชาตํฯ

    Evaṃ satthā iminā pāṭihāriyena devatānaṃ vitakkaṃ vūpasametvā pallaṅkato īsakaṃ pācīnanissite uttaradisābhāge ṭhatvā ‘‘imasmiṃ vata me pallaṅke sabbaññutaññāṇaṃ paṭividdha’’nti cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pūritānaṃ pāramīnaṃ phalādhigamaṭṭhānaṃ pallaṅkaṃ bodhirukkhañca animisehi akkhīhi olokayamāno sattāhaṃ vītināmesi, taṃ ṭhānaṃ animisacetiyaṃ nāma jātaṃ. Atha pallaṅkassa ca ṭhitaṭṭhānassa ca antarā caṅkamaṃ māpetvā puratthimapacchimato āyate ratanacaṅkame caṅkamanto sattāhaṃ vītināmesi, taṃ ṭhānaṃ ratanacaṅkamacetiyaṃ nāma jātaṃ.

    จตุเตฺถ ปน สตฺตาเห โพธิโต ปจฺฉิมุตฺตรทิสาภาเค เทวตา รตนฆรํ มาปยิํสุ, ตตฺถ ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา อภิธมฺมปิฎกํ วิเสสโต เจตฺถ อนนฺตนยํ สมนฺตปฎฺฐานํ วิจินโนฺต สตฺตาหํ วีตินาเมสิฯ อาภิธมฺมิกา ปนาหุ ‘‘รตนฆรํ นาม น สตฺตรตนมยํ เคหํ, สตฺตนฺนํ ปน ปกรณานํ สมฺมสิตฎฺฐานํ ‘รตนฆร’นฺติ วุจฺจตี’’ติฯ ยสฺมา ปเนตฺถ อุโภเปเต ปริยายา ยุชฺชนฺติ, ตสฺมา อุภยเมฺปตํ คเหตพฺพเมวฯ ตโต ปฎฺฐาย ปน ตํ ฐานํ รตนฆรเจติยํ นาม ชาตํฯ เอวํ โพธิสมีเปเยว จตฺตาริ สตฺตาหานิ วีตินาเมตฺวา ปญฺจเม สตฺตาเห โพธิรุกฺขมูลา เยน อชปาลนิโคฺรโธ เตนุปสงฺกมิ, ตตฺราปิ ธมฺมํ วิจินโนฺตเยว วิมุตฺติสุขํ ปฎิสํเวเทโนฺต นิสีทิฯ

    Catutthe pana sattāhe bodhito pacchimuttaradisābhāge devatā ratanagharaṃ māpayiṃsu, tattha pallaṅkena nisīditvā abhidhammapiṭakaṃ visesato cettha anantanayaṃ samantapaṭṭhānaṃ vicinanto sattāhaṃ vītināmesi. Ābhidhammikā panāhu ‘‘ratanagharaṃ nāma na sattaratanamayaṃ gehaṃ, sattannaṃ pana pakaraṇānaṃ sammasitaṭṭhānaṃ ‘ratanaghara’nti vuccatī’’ti. Yasmā panettha ubhopete pariyāyā yujjanti, tasmā ubhayampetaṃ gahetabbameva. Tato paṭṭhāya pana taṃ ṭhānaṃ ratanagharacetiyaṃ nāma jātaṃ. Evaṃ bodhisamīpeyeva cattāri sattāhāni vītināmetvā pañcame sattāhe bodhirukkhamūlā yena ajapālanigrodho tenupasaṅkami, tatrāpi dhammaṃ vicinantoyeva vimuttisukhaṃ paṭisaṃvedento nisīdi.

    ตสฺมิํ สมเย มาโร เทวปุโตฺต ‘‘เอตฺตกํ กาลํ อนุพนฺธโนฺต โอตาราเปโกฺขปิ อิมสฺส น กิญฺจิ ขลิตํ อทฺทสํ, อติกฺกโนฺตทานิ เอส มม วส’’นฺติ โทมนสฺสปฺปโตฺต มหามเคฺค นิสีทิตฺวา โสฬส การณานิ จิเนฺตโนฺต ภูมิยํ โสฬส เลขา กฑฺฒิ – ‘‘อหํ เอโส วิย ทานปารมิํ น ปูเรสิํ, เตนมฺหิ อิมินา สทิโส น ชาโต’’ติ เอกํ เลขํ กฑฺฒิฯ ตถา ‘‘อหํ เอโส วิย สีลปารมิํ, เนกฺขมฺมปารมิํ, ปญฺญาปารมิํ, วีริยปารมิํ, ขนฺติปารมิํ, สจฺจปารมิํ, อธิฎฺฐานปารมิํ, เมตฺตาปารมิํ, อุเปกฺขาปารมิํ น ปูเรสิํ , เตนมฺหิ อิมินา สทิโส น ชาโต’’ติ ทสมํ เลขํ กฑฺฒิฯ ตถา ‘‘อหํ เอโส วิย อสาธารณสฺส อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณสฺส ปฎิเวธาย อุปนิสฺสยภูตา ทส ปารมิโย น ปูเรสิํ, เตนมฺหิ อิมินา สทิโส น ชาโต’’ติ เอกาทสมํ เลขํ กฑฺฒิฯ ตถา ‘‘อหํ เอโส วิย อสาธารณสฺส อาสยานุสยญาณสฺส, มหากรุณาสมาปตฺติญาณสฺส, ยมกปาฎิหีรญาณสฺส, อนาวรณญาณสฺส, สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปฎิเวธาย อุปนิสฺสยภูตา ทส ปารมิโย น ปูเรสิํ, เตนมฺหิ อิมินา สทิโส น ชาโต’’ติ โสฬสมํ เลขํ กฑฺฒิฯ เอวํ อิเมหิ การเณหิ มหามเคฺค โสฬส เลขา กฑฺฒมาโน นิสีทิฯ

    Tasmiṃ samaye māro devaputto ‘‘ettakaṃ kālaṃ anubandhanto otārāpekkhopi imassa na kiñci khalitaṃ addasaṃ, atikkantodāni esa mama vasa’’nti domanassappatto mahāmagge nisīditvā soḷasa kāraṇāni cintento bhūmiyaṃ soḷasa lekhā kaḍḍhi – ‘‘ahaṃ eso viya dānapāramiṃ na pūresiṃ, tenamhi iminā sadiso na jāto’’ti ekaṃ lekhaṃ kaḍḍhi. Tathā ‘‘ahaṃ eso viya sīlapāramiṃ, nekkhammapāramiṃ, paññāpāramiṃ, vīriyapāramiṃ, khantipāramiṃ, saccapāramiṃ, adhiṭṭhānapāramiṃ, mettāpāramiṃ, upekkhāpāramiṃ na pūresiṃ , tenamhi iminā sadiso na jāto’’ti dasamaṃ lekhaṃ kaḍḍhi. Tathā ‘‘ahaṃ eso viya asādhāraṇassa indriyaparopariyattañāṇassa paṭivedhāya upanissayabhūtā dasa pāramiyo na pūresiṃ, tenamhi iminā sadiso na jāto’’ti ekādasamaṃ lekhaṃ kaḍḍhi. Tathā ‘‘ahaṃ eso viya asādhāraṇassa āsayānusayañāṇassa, mahākaruṇāsamāpattiñāṇassa, yamakapāṭihīrañāṇassa, anāvaraṇañāṇassa, sabbaññutaññāṇassa paṭivedhāya upanissayabhūtā dasa pāramiyo na pūresiṃ, tenamhi iminā sadiso na jāto’’ti soḷasamaṃ lekhaṃ kaḍḍhi. Evaṃ imehi kāraṇehi mahāmagge soḷasa lekhā kaḍḍhamāno nisīdi.

    ตสฺมิํ สมเย ตณฺหา, อรติ, รคาติ ติโสฺส มารธีตโร ‘‘ปิตา โน น ปญฺญายติ, กหํ นุ โข เอตรหี’’ติ โอโลกยมานา ตํ โทมนสฺสปฺปตฺตํ ภูมิํ วิเลขมานํ นิสินฺนํ ทิสฺวา ปิตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กสฺมา, ตาต, ทุกฺขี ทุมฺมโน’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ อมฺมา, อยํ มหาสมโณ มยฺหํ วสํ อติกฺกโนฺต, เอตฺตกํ กาลํ โอโลเกโนฺต โอตารมสฺส ทฎฺฐุํ นาสกฺขิํ, เตนาหํ ทุกฺขี ทุมฺมโนติฯ ยทิ เอวํ มา จินฺตยิตฺถ, มยเมตํ อตฺตโน วเส กตฺวา อาทาย อาคมิสฺสามาติฯ น สกฺกา, อมฺมา, เอโส เกนจิ วเส กาตุํ, อจลาย สทฺธาย ปติฎฺฐิโต เอโส ปุริโสติฯ ‘‘ตาต มยํ อิตฺถิโย นาม อิทาเนว นํ ราคปาสาทีหิ พนฺธิตฺวา อาเนสฺสาม, ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถา’’ติ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ปาเท เต สมณ ปริจาเรมา’’ติ อาหํสุฯ ภควา ว ตาสํ วจนํ มนสิ อกาสิ, น อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา โอโลเกสิ, อนุตฺตเร อุปธิสงฺขเย วิมุตฺตมานโส วิเวกสุขเญฺญว อนุภวโนฺต นิสีทิฯ

    Tasmiṃ samaye taṇhā, arati, ragāti tisso māradhītaro ‘‘pitā no na paññāyati, kahaṃ nu kho etarahī’’ti olokayamānā taṃ domanassappattaṃ bhūmiṃ vilekhamānaṃ nisinnaṃ disvā pitu santikaṃ gantvā ‘‘kasmā, tāta, dukkhī dummano’’ti pucchiṃsu. Ammā, ayaṃ mahāsamaṇo mayhaṃ vasaṃ atikkanto, ettakaṃ kālaṃ olokento otāramassa daṭṭhuṃ nāsakkhiṃ, tenāhaṃ dukkhī dummanoti. Yadi evaṃ mā cintayittha, mayametaṃ attano vase katvā ādāya āgamissāmāti. Na sakkā, ammā, eso kenaci vase kātuṃ, acalāya saddhāya patiṭṭhito eso purisoti. ‘‘Tāta mayaṃ itthiyo nāma idāneva naṃ rāgapāsādīhi bandhitvā ānessāma, tumhe mā cintayitthā’’ti bhagavantaṃ upasaṅkamitvā ‘‘pāde te samaṇa paricāremā’’ti āhaṃsu. Bhagavā va tāsaṃ vacanaṃ manasi akāsi, na akkhīni ummīletvā olokesi, anuttare upadhisaṅkhaye vimuttamānaso vivekasukhaññeva anubhavanto nisīdi.

    ปุน มารธีตโร ‘‘อุจฺจาวจา โข ปุริสานํ อธิปฺปายา, เกสญฺจิ กุมาริกาสุ เปมํ โหติ, เกสญฺจิ ปฐมวเย ฐิตาสุ, เกสญฺจิ มชฺฌิมวเย ฐิตาสุ, ยํนูน มยํ นานปฺปกาเรหิ รูเปหิ ปโลเภยฺยามา’’ติ เอกเมกา กุมาริวณฺณาทิวเสน สตํ สตํ อตฺตภาเว อภินิมฺมินิตฺวา กุมาริโย, อวิชาตา, สกิํวิชาตา, ทุวิชาตา, มชฺฌิมิตฺถิโย, มหิตฺถิโย จ หุตฺวา ฉกฺขตฺตุํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ปาเท เต สมณ ปริจาเรมา’’ติ อาหํสุฯ ตมฺปิ ภควา น มนสากาสิ, ยถา ตํ อนุตฺตเร อุปธิสงฺขเยว วิมุโตฺตฯ เกจิ ปนาจริยา วทนฺติ ‘‘ตา มหิตฺถิภาเวน อุปคตา ทิสฺวา ภควา ‘เอวเมวํ เอตา ขณฺฑทนฺตา ปลิตเกสา โหนฺตู’ติ อธิฎฺฐาสี’’ติ, ตํ น คเหตพฺพํฯ น หิ สตฺถา เอวรูปํ อธิฎฺฐานํ กโรติฯ ภควา ปน ‘‘อเปถ ตุเมฺห, กิํ ทิสฺวา เอวํ วายมถ, เอวรูปํ นาม อวีตราคาทีนํ ปุรโต กาตุํ ยุตฺตํ, ตถาคตสฺส ปน ราโค ปหีโน, โทโส ปหีโน, โมโห ปหีโน’’ติ อตฺตโน กิเลสปฺปหานํ อารพฺภ –

    Puna māradhītaro ‘‘uccāvacā kho purisānaṃ adhippāyā, kesañci kumārikāsu pemaṃ hoti, kesañci paṭhamavaye ṭhitāsu, kesañci majjhimavaye ṭhitāsu, yaṃnūna mayaṃ nānappakārehi rūpehi palobheyyāmā’’ti ekamekā kumārivaṇṇādivasena sataṃ sataṃ attabhāve abhinimminitvā kumāriyo, avijātā, sakiṃvijātā, duvijātā, majjhimitthiyo, mahitthiyo ca hutvā chakkhattuṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā ‘‘pāde te samaṇa paricāremā’’ti āhaṃsu. Tampi bhagavā na manasākāsi, yathā taṃ anuttare upadhisaṅkhayeva vimutto. Keci panācariyā vadanti ‘‘tā mahitthibhāvena upagatā disvā bhagavā ‘evamevaṃ etā khaṇḍadantā palitakesā hontū’ti adhiṭṭhāsī’’ti, taṃ na gahetabbaṃ. Na hi satthā evarūpaṃ adhiṭṭhānaṃ karoti. Bhagavā pana ‘‘apetha tumhe, kiṃ disvā evaṃ vāyamatha, evarūpaṃ nāma avītarāgādīnaṃ purato kātuṃ yuttaṃ, tathāgatassa pana rāgo pahīno, doso pahīno, moho pahīno’’ti attano kilesappahānaṃ ārabbha –

    ‘‘ยสฺส ชิตํ นาวชียติ, ชิตมสฺส โนยาติ โกจิ โลเก;

    ‘‘Yassa jitaṃ nāvajīyati, jitamassa noyāti koci loke;

    ตํ พุทฺธมนนฺตโคจรํ, อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถฯ

    Taṃ buddhamanantagocaraṃ, apadaṃ kena padena nessatha.

    ‘‘ยสฺส ชาลินี วิสตฺติกา, ตณฺหา นตฺถิ กุหิญฺจิ เนตเว;

    ‘‘Yassa jālinī visattikā, taṇhā natthi kuhiñci netave;

    ตํ พุทฺธมนนฺตโคจรํ, อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถา’’ติฯ (ธ. ป. ๑๗๙-๑๘๐) –

    Taṃ buddhamanantagocaraṃ, apadaṃ kena padena nessathā’’ti. (dha. pa. 179-180) –

    อิมา ธมฺมปเท พุทฺธวเคฺค เทฺว คาถา วทโนฺต ธมฺมํ กเถสิฯ ตา ‘‘สจฺจํ กิร โน ปิตา อโวจ, อรหํ สุคโต โลเก น ราเคน สุวานโย’’ติอาทีนิ วตฺวา ปิตุ สนฺติกํ อคมํสุฯ

    Imā dhammapade buddhavagge dve gāthā vadanto dhammaṃ kathesi. Tā ‘‘saccaṃ kira no pitā avoca, arahaṃ sugato loke na rāgena suvānayo’’tiādīni vatvā pitu santikaṃ agamaṃsu.

    ภควาปิ ตตฺถ สตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา มุจลินฺทมูลํ อคมาสิฯ ตตฺถ สตฺตาหวทฺทลิกาย อุปฺปนฺนาย สีตาทิปฎิพาหนตฺถํ มุจลิเนฺทน นาคราเชน สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิโตฺต อสมฺพาธาย คนฺธกุฎิยํ วิหรโนฺต วิย วิมุตฺติสุขํ ปฎิสํเวทิยมาโน สตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา ราชายตนํ อุปสงฺกมิ, ตตฺถาปิ วิมุตฺติสุขํ ปฎิสํเวทิยมาโนเยว นิสีทิฯ เอตฺตาวตา สตฺต สตฺตาหานิ ปริปุณฺณานิฯ เอตฺถนฺตเร เนว มุขโธวนํ, น สรีรปฎิชคฺคนํ, น อาหารกิจฺจํ อโหสิ, ฌานสุขผลสุเขเนว วีตินาเมสิฯ

    Bhagavāpi tattha sattāhaṃ vītināmetvā mucalindamūlaṃ agamāsi. Tattha sattāhavaddalikāya uppannāya sītādipaṭibāhanatthaṃ mucalindena nāgarājena sattakkhattuṃ bhogehi parikkhitto asambādhāya gandhakuṭiyaṃ viharanto viya vimuttisukhaṃ paṭisaṃvediyamāno sattāhaṃ vītināmetvā rājāyatanaṃ upasaṅkami, tatthāpi vimuttisukhaṃ paṭisaṃvediyamānoyeva nisīdi. Ettāvatā satta sattāhāni paripuṇṇāni. Etthantare neva mukhadhovanaṃ, na sarīrapaṭijagganaṃ, na āhārakiccaṃ ahosi, jhānasukhaphalasukheneva vītināmesi.

    อถสฺส ตสฺมิํ สตฺตสตฺตาหมตฺถเก เอกูนปญฺญาสติเม ทิวเส ตตฺถ นิสินฺนสฺส ‘‘มุขํ โธวิสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อุทปาทิฯ สโกฺก เทวานมิโนฺท อคทหรีฎกํ อาหริตฺวา อทาสิ, สตฺถา ตํ ปริภุญฺชิ, เตนสฺส สรีรวฬญฺชํ อโหสิฯ อถสฺส สโกฺกเยว นาคลตาทนฺตกฎฺฐเญฺจว มุขโธวนอุทกญฺจ อทาสิฯ สตฺถา ตํ ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา อโนตตฺตทโหทเกน มุขํ โธวิตฺวา ตเตฺถว ราชายตนมูเล นิสีทิฯ

    Athassa tasmiṃ sattasattāhamatthake ekūnapaññāsatime divase tattha nisinnassa ‘‘mukhaṃ dhovissāmī’’ti cittaṃ udapādi. Sakko devānamindo agadaharīṭakaṃ āharitvā adāsi, satthā taṃ paribhuñji, tenassa sarīravaḷañjaṃ ahosi. Athassa sakkoyeva nāgalatādantakaṭṭhañceva mukhadhovanaudakañca adāsi. Satthā taṃ dantakaṭṭhaṃ khāditvā anotattadahodakena mukhaṃ dhovitvā tattheva rājāyatanamūle nisīdi.

    ตสฺมิํ สมเย ตปุสฺสภลฺลิกา นาม เทฺว วาณิชา ปญฺจหิ สกฎสเตหิ อุกฺกลาชนปทา มชฺฌิมเทสํ คจฺฉนฺตา อตฺตโน ญาติสาโลหิตาย เทวตาย สกฎานิ สนฺนิรุมฺภิตฺวา สตฺถุ อาหารสมฺปาทเน อุสฺสาหิตา มนฺถญฺจ มธุปิณฺฑิกญฺจ อาทาย ‘‘ปฎิคฺคณฺหาตุ โน, ภเนฺต, ภควา อิมํ อาหารํ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติ สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา อฎฺฐํสุฯ ภควา ปายาสปฎิคฺคหณทิวเสเยว ปตฺตสฺส อนฺตรหิตตฺตา ‘‘น โข ตถาคตา หเตฺถสุ ปฎิคฺคณฺหนฺติ, กิมฺหิ นุ โข อหํ ปฎิคฺคเณฺหยฺย’’นฺติ จิเนฺตสิฯ อถสฺส จิตฺตํ ญตฺวา จตูหิ ทิสาหิ จตฺตาโร มหาราชาโน อินฺทนีลมณิมเย ปเตฺต อุปนาเมสุํ, ภควา เต ปฎิกฺขิปิฯ ปุน มุคฺควณฺณเสลมเย จตฺตาโร ปเตฺต อุปนาเมสุํฯ ภควา จตุนฺนมฺปิ เทวปุตฺตานํ อนุกมฺปาย จตฺตาโรปิ ปเตฺต ปฎิคฺคเหตฺวา อุปรูปริ ฐเปตฺวา ‘‘เอโก โหตู’’ติ อธิฎฺฐาสิ, จตฺตาโรปิ มุขวฎฺฎิยํ ปญฺญายมานเลขา หุตฺวา มชฺฌิเมน ปมาเณน เอกตฺตํ อุปคมิํสุฯ ภควา ตสฺมิํ ปจฺจเคฺฆ เสลมเย ปเตฺต อาหารํ ปฎิคฺคณฺหิตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา อนุโมทนํ อกาสิฯ เทฺว ภาตโร วาณิชา พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สรณํ คนฺตฺวา เทฺววาจิกา อุปาสกา อเหสุํฯ อถ เนสํ ‘‘เอกํ โน, ภเนฺต, ปริจริตพฺพฎฺฐานํ เทถา’’ติ วทนฺตานํ ทกฺขิณหเตฺถน อตฺตโน สีสํ ปรามสิตฺวา เกสธาตุโย อทาสิฯ เต อตฺตโน นคเร ตา ธาตุโย สุวณฺณสมุคฺคสฺส อโนฺต ปกฺขิปิตฺวา เจติยํ ปติฎฺฐาเปสุํฯ

    Tasmiṃ samaye tapussabhallikā nāma dve vāṇijā pañcahi sakaṭasatehi ukkalājanapadā majjhimadesaṃ gacchantā attano ñātisālohitāya devatāya sakaṭāni sannirumbhitvā satthu āhārasampādane ussāhitā manthañca madhupiṇḍikañca ādāya ‘‘paṭiggaṇhātu no, bhante, bhagavā imaṃ āhāraṃ anukampaṃ upādāyā’’ti satthāraṃ upasaṅkamitvā aṭṭhaṃsu. Bhagavā pāyāsapaṭiggahaṇadivaseyeva pattassa antarahitattā ‘‘na kho tathāgatā hatthesu paṭiggaṇhanti, kimhi nu kho ahaṃ paṭiggaṇheyya’’nti cintesi. Athassa cittaṃ ñatvā catūhi disāhi cattāro mahārājāno indanīlamaṇimaye patte upanāmesuṃ, bhagavā te paṭikkhipi. Puna muggavaṇṇaselamaye cattāro patte upanāmesuṃ. Bhagavā catunnampi devaputtānaṃ anukampāya cattāropi patte paṭiggahetvā uparūpari ṭhapetvā ‘‘eko hotū’’ti adhiṭṭhāsi, cattāropi mukhavaṭṭiyaṃ paññāyamānalekhā hutvā majjhimena pamāṇena ekattaṃ upagamiṃsu. Bhagavā tasmiṃ paccagghe selamaye patte āhāraṃ paṭiggaṇhitvā paribhuñjitvā anumodanaṃ akāsi. Dve bhātaro vāṇijā buddhañca dhammañca saraṇaṃ gantvā dvevācikā upāsakā ahesuṃ. Atha nesaṃ ‘‘ekaṃ no, bhante, paricaritabbaṭṭhānaṃ dethā’’ti vadantānaṃ dakkhiṇahatthena attano sīsaṃ parāmasitvā kesadhātuyo adāsi. Te attano nagare tā dhātuyo suvaṇṇasamuggassa anto pakkhipitvā cetiyaṃ patiṭṭhāpesuṃ.

    สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ โข ตโต อุฎฺฐาย ปุน อชปาลนิโคฺรธเมว คนฺตฺวา นิโคฺรธมูเล นิสีทิฯ อถสฺส ตตฺถ นิสินฺนมตฺตเสฺสว อตฺตนา อธิคตสฺส ธมฺมสฺส คมฺภีรตํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส สพฺพพุทฺธานํ อาจิโณฺณ ‘‘อธิคโต โข มฺยายํ ธโมฺม’’ติ ปเรสํ ธมฺมํ อเทเสตุกมฺยตาการปวโตฺต วิตโกฺก อุทปาทิฯ อถ พฺรหฺมา สหมฺปติ ‘‘นสฺสติ วต โภ โลโก, วินสฺสติ วต โภ โลโก’’ติ ทสหิ จกฺกวาฬสหเสฺสหิ สกฺกสุยามสนฺตุสิตสุนิมฺมิตวสวตฺติมหาพฺรหฺมาโน อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทเสตุ, ภเนฺต, ภควา ธมฺม’’นฺติอาทินา นเยน ธมฺมเทสนํ อายาจิฯ

    Sammāsambuddhopi kho tato uṭṭhāya puna ajapālanigrodhameva gantvā nigrodhamūle nisīdi. Athassa tattha nisinnamattasseva attanā adhigatassa dhammassa gambhīrataṃ paccavekkhantassa sabbabuddhānaṃ āciṇṇo ‘‘adhigato kho myāyaṃ dhammo’’ti paresaṃ dhammaṃ adesetukamyatākārapavatto vitakko udapādi. Atha brahmā sahampati ‘‘nassati vata bho loko, vinassati vata bho loko’’ti dasahi cakkavāḷasahassehi sakkasuyāmasantusitasunimmitavasavattimahābrahmāno ādāya satthu santikaṃ gantvā ‘‘desetu, bhante, bhagavā dhamma’’ntiādinā nayena dhammadesanaṃ āyāci.

    สตฺถา ตสฺส ปฎิญฺญํ ทตฺวา ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ จิเนฺตโนฺต ‘‘อาฬาโร ปณฺฑิโต, โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปํ อาชานิสฺสตี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา ปุน โอโลเกโนฺต ตสฺส สตฺตาหกาลกตภาวํ ญตฺวา อุทกํ อาวเชฺชสิฯ ตสฺสาปิ อภิโทสกาลกตภาวํ ญตฺวา ‘‘พหูปการา โข เม ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู’’ติ ปญฺจวคฺคิเย อารพฺภ มนสิการํ กตฺวา ‘‘กหํ นุ โข เต เอตรหิ วิหรนฺตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย’’ติ ญตฺวา ‘‘ตตฺถ คนฺตฺวา ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตสฺสามี’’ติ กติปาหํ โพธิมณฺฑสามนฺตาเยว ปิณฺฑาย จรโนฺต วิหริตฺวา อาสาฬฺหิปุณฺณมาสิยํ ‘‘พาราณสิํ คมิสฺสามี’’ติ จาตุทฺทสิยํ ปจฺจูสสมเย วิภาตาย รตฺติยา กาลเสฺสว ปตฺตจีวรมาทาย อฎฺฐารสโยชนมคฺคํ ปฎิปโนฺน อนฺตรามเคฺค อุปกํ นาม อาชีวกํ ทิสฺวา ตสฺส อตฺตโน พุทฺธภาวํ อาจิกฺขิตฺวา ตํ ทิวสํเยว สายนฺหสมเย อิสิปตนํ อคมาสิฯ

    Satthā tassa paṭiññaṃ datvā ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti cintento ‘‘āḷāro paṇḍito, so imaṃ dhammaṃ khippaṃ ājānissatī’’ti cittaṃ uppādetvā puna olokento tassa sattāhakālakatabhāvaṃ ñatvā udakaṃ āvajjesi. Tassāpi abhidosakālakatabhāvaṃ ñatvā ‘‘bahūpakārā kho me pañcavaggiyā bhikkhū’’ti pañcavaggiye ārabbha manasikāraṃ katvā ‘‘kahaṃ nu kho te etarahi viharantī’’ti āvajjento ‘‘bārāṇasiyaṃ isipatane migadāye’’ti ñatvā ‘‘tattha gantvā dhammacakkaṃ pavattessāmī’’ti katipāhaṃ bodhimaṇḍasāmantāyeva piṇḍāya caranto viharitvā āsāḷhipuṇṇamāsiyaṃ ‘‘bārāṇasiṃ gamissāmī’’ti cātuddasiyaṃ paccūsasamaye vibhātāya rattiyā kālasseva pattacīvaramādāya aṭṭhārasayojanamaggaṃ paṭipanno antarāmagge upakaṃ nāma ājīvakaṃ disvā tassa attano buddhabhāvaṃ ācikkhitvā taṃ divasaṃyeva sāyanhasamaye isipatanaṃ agamāsi.

    ปญฺจวคฺคิยา เถรา ตถาคตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อาวุโส สมโณ โคตโม ปจฺจยพาหุลฺลาย อาวตฺติตฺวา ปริปุณฺณกาโย ปีณินฺทฺริโย สุวณฺณวโณฺณ หุตฺวา อาคจฺฉติ, อิมสฺส อภิวาทนาทีนิ น กริสฺสาม, มหากุลปสุโต โข ปเนส อาสนาภิหารํ อรหติ, เตนสฺส อาสนมตฺตํ ปญฺญาเปสฺสามา’’ติ กติกํ อกํสุฯ ภควา สเทวกสฺส โลกสฺส จิตฺตาจารํ ชานนสมเตฺถน ญาเณน ‘‘กิํ นุ โข อิเม จินฺตยิํสู’’ติ อาวเชฺชตฺวา จิตฺตํ อญฺญาสิฯ อถ เน สพฺพเทวมนุเสฺสสุ อโนทิสฺสกวเสน ผรณสมตฺถํ เมตฺตจิตฺตํ สงฺขิปิตฺวา โอทิสฺสกวเสน เมตฺตจิเตฺตน ผริฯ เต ภควตา เมตฺตจิเตฺตน ผุฎฺฐา ตถาคเต อุปสงฺกมเนฺต สกาย กติกาย สณฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตา อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานาทีนิ สพฺพกิจฺจานิ อกํสุ, สมฺมาสมฺพุทฺธภาวํ ปนสฺส อชานมานา เกวลํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรนฺติฯ

    Pañcavaggiyā therā tathāgataṃ dūratova āgacchantaṃ disvā ‘‘ayaṃ āvuso samaṇo gotamo paccayabāhullāya āvattitvā paripuṇṇakāyo pīṇindriyo suvaṇṇavaṇṇo hutvā āgacchati, imassa abhivādanādīni na karissāma, mahākulapasuto kho panesa āsanābhihāraṃ arahati, tenassa āsanamattaṃ paññāpessāmā’’ti katikaṃ akaṃsu. Bhagavā sadevakassa lokassa cittācāraṃ jānanasamatthena ñāṇena ‘‘kiṃ nu kho ime cintayiṃsū’’ti āvajjetvā cittaṃ aññāsi. Atha ne sabbadevamanussesu anodissakavasena pharaṇasamatthaṃ mettacittaṃ saṅkhipitvā odissakavasena mettacittena phari. Te bhagavatā mettacittena phuṭṭhā tathāgate upasaṅkamante sakāya katikāya saṇṭhātuṃ asakkontā abhivādanapaccuṭṭhānādīni sabbakiccāni akaṃsu, sammāsambuddhabhāvaṃ panassa ajānamānā kevalaṃ nāmena ca āvusovādena ca samudācaranti.

    อถ เน ภควา ‘‘มา โว, ภิกฺขเว, ตถาคตํ นาเมน จ อาวุโสวาเทน จ สมุทาจรถ, อรหํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ อตฺตโน พุทฺธภาวํ สญฺญาเปตฺวา ปญฺญเตฺต วรพุทฺธาสเน นิสิโนฺน อุตฺตราสาฬฺหนกฺขตฺตโยเค วตฺตมาเน อฎฺฐารสหิ พฺรหฺมโกฎีหิ ปริวุโต ปญฺจวคฺคิเย เถเร อามเนฺตตฺวา ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตนฺตํ เทเสสิฯ เตสุ อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถโร เทสนานุสาเรน ญาณํ เปเสโนฺต สุตฺตปริโยสาเน อฎฺฐารสหิ พฺรหฺมโกฎีหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ สตฺถา ตเตฺถว วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ปุนทิวเส วปฺปเตฺถรํ โอวทโนฺต วิหาเรเยว นิสีทิ, เสสา จตฺตาโร ปิณฺฑาย จริํสุฯ วปฺปเตฺถโร ปุพฺพเณฺหเยว โสตาปตฺติผลํ ปาปุณิฯ เอเตเนว อุปาเยน ปุนทิวเส ภทฺทิยเตฺถรํ, ปุนทิวเส มหานามเตฺถรํ, ปุนทิวเส อสฺสชิเตฺถรนฺติ สเพฺพ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปตฺวา ปญฺจมิยํ ปกฺขสฺส ปญฺจปิ ชเน สนฺนิปาเตตฺวา อนตฺตลกฺขณสุตฺตนฺตํ (สํ. นิ. ๓.๕๙; มหาว. ๒๐ อาทโย) เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน ปญฺจปิ เถรา อรหตฺตผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ อถ สตฺถา ยสกุลปุตฺตสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ตํ รตฺติภาเค นิพฺพิชฺชิตฺวา เคหํ ปหาย นิกฺขนฺตํ ‘‘เอหิ ยสา’’ติ ปโกฺกสิตฺวา ตสฺมิํเยว รตฺติภาเค โสตาปตฺติผเล, ปุนทิวเส อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา, อปเรปิ ตสฺส สหายเก จตุปณฺณาส ชเน เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพาเชตฺวา อรหตฺตํ ปาเปสิฯ

    Atha ne bhagavā ‘‘mā vo, bhikkhave, tathāgataṃ nāmena ca āvusovādena ca samudācaratha, arahaṃ, bhikkhave, tathāgato sammāsambuddho’’ti attano buddhabhāvaṃ saññāpetvā paññatte varabuddhāsane nisinno uttarāsāḷhanakkhattayoge vattamāne aṭṭhārasahi brahmakoṭīhi parivuto pañcavaggiye there āmantetvā dhammacakkappavattanasuttantaṃ desesi. Tesu aññāsikoṇḍaññatthero desanānusārena ñāṇaṃ pesento suttapariyosāne aṭṭhārasahi brahmakoṭīhi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Satthā tattheva vassaṃ upagantvā punadivase vappattheraṃ ovadanto vihāreyeva nisīdi, sesā cattāro piṇḍāya cariṃsu. Vappatthero pubbaṇheyeva sotāpattiphalaṃ pāpuṇi. Eteneva upāyena punadivase bhaddiyattheraṃ, punadivase mahānāmattheraṃ, punadivase assajittheranti sabbe sotāpattiphale patiṭṭhāpetvā pañcamiyaṃ pakkhassa pañcapi jane sannipātetvā anattalakkhaṇasuttantaṃ (saṃ. ni. 3.59; mahāva. 20 ādayo) desesi. Desanāpariyosāne pañcapi therā arahattaphale patiṭṭhahiṃsu. Atha satthā yasakulaputtassa upanissayaṃ disvā taṃ rattibhāge nibbijjitvā gehaṃ pahāya nikkhantaṃ ‘‘ehi yasā’’ti pakkositvā tasmiṃyeva rattibhāge sotāpattiphale, punadivase arahatte patiṭṭhāpetvā, aparepi tassa sahāyake catupaṇṇāsa jane ehibhikkhupabbajjāya pabbājetvā arahattaṃ pāpesi.

    เอวํ โลเก เอกสฎฺฐิยา อรหเนฺตสุ ชาเตสุ สตฺถา วุตฺถวโสฺส ปวาเรตฺวา ‘‘จรถ, ภิกฺขเว, จาริก’’นฺติ สฎฺฐิ ภิกฺขู ทิสาสุ เปเสตฺวา สยํ อุรุเวลํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค กปฺปาสิกวนสเณฺฑ ติํส ชเน ภทฺทวคฺคิยกุมาเร วิเนสิฯ เตสุ สพฺพปจฺฉิมโก โสตาปโนฺน, สพฺพุตฺตโม อนาคามี อโหสิฯ เตปิ สเพฺพ เอหิภิกฺขุภาเวเนว ปพฺพาเชตฺวา ทิสาสุ เปเสตฺวา อุรุเวลํ คนฺตฺวา อฑฺฒุฑฺฒานิ ปาฎิหาริยสหสฺสานิ ทเสฺสตฺวา อุรุเวลกสฺสปาทโย สหสฺสชฎิลปริวาเร เตภาติกชฎิเล วิเนตฺวา เอหิภิกฺขุภาเวเนว ปพฺพาเชตฺวา คยาสีเส นิสีทาเปตฺวา อาทิตฺตปริยายเทสนาย (มหาว. ๕๔) อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา เตน อรหนฺตสหเสฺสน ปริวุโต ‘‘พิมฺพิสารรโญฺญ ทินฺนํ ปฎิญฺญํ โมเจสฺสามี’’ติ ราชคหํ คนฺตฺวา นครูปจาเร ลฎฺฐิวนุยฺยานํ อคมาสิฯ ราชา อุยฺยานปาลสฺส สนฺติกา ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ สุตฺวา ทฺวาทสนหุเตหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ ปริวุโต สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา จกฺกวิจิตฺตตเลสุ สุวณฺณปฎฺฎวิตานํ วิย ปภาสมุทยํ วิสฺสชฺชเนฺตสุ ตถาคตสฺส ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ สทฺธิํ ปริสายฯ

    Evaṃ loke ekasaṭṭhiyā arahantesu jātesu satthā vutthavasso pavāretvā ‘‘caratha, bhikkhave, cārika’’nti saṭṭhi bhikkhū disāsu pesetvā sayaṃ uruvelaṃ gacchanto antarāmagge kappāsikavanasaṇḍe tiṃsa jane bhaddavaggiyakumāre vinesi. Tesu sabbapacchimako sotāpanno, sabbuttamo anāgāmī ahosi. Tepi sabbe ehibhikkhubhāveneva pabbājetvā disāsu pesetvā uruvelaṃ gantvā aḍḍhuḍḍhāni pāṭihāriyasahassāni dassetvā uruvelakassapādayo sahassajaṭilaparivāre tebhātikajaṭile vinetvā ehibhikkhubhāveneva pabbājetvā gayāsīse nisīdāpetvā ādittapariyāyadesanāya (mahāva. 54) arahatte patiṭṭhāpetvā tena arahantasahassena parivuto ‘‘bimbisārarañño dinnaṃ paṭiññaṃ mocessāmī’’ti rājagahaṃ gantvā nagarūpacāre laṭṭhivanuyyānaṃ agamāsi. Rājā uyyānapālassa santikā ‘‘satthā āgato’’ti sutvā dvādasanahutehi brāhmaṇagahapatikehi parivuto satthāraṃ upasaṅkamitvā cakkavicittatalesu suvaṇṇapaṭṭavitānaṃ viya pabhāsamudayaṃ vissajjantesu tathāgatassa pādesu sirasā nipatitvā ekamantaṃ nisīdi saddhiṃ parisāya.

    อถ โข เตสํ พฺราหฺมณคหปติกานํ เอตทโหสิ ‘‘กิํ นุ โข มหาสมโณ อุรุเวลกสฺสเป พฺรหฺมจริยํ จรติ, อุทาหุ อุรุเวลกสฺสโป มหาสมเณ’’ติฯ ภควา เตสํ เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เถรํ คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Atha kho tesaṃ brāhmaṇagahapatikānaṃ etadahosi ‘‘kiṃ nu kho mahāsamaṇo uruvelakassape brahmacariyaṃ carati, udāhu uruvelakassapo mahāsamaṇe’’ti. Bhagavā tesaṃ cetasā cetoparivitakkamaññāya theraṃ gāthāya ajjhabhāsi –

    ‘‘กิเมว ทิสฺวา อุรุเวลวาสิ, ปหาสิ อคฺคิํ กิสโก วทาโน;

    ‘‘Kimeva disvā uruvelavāsi, pahāsi aggiṃ kisako vadāno;

    ปุจฺฉามิ ตํ กสฺสป เอตมตฺถํ, กถํ ปหีนํ ตว อคฺคิหุตฺต’’นฺติฯ (มหาว. ๕๕);

    Pucchāmi taṃ kassapa etamatthaṃ, kathaṃ pahīnaṃ tava aggihutta’’nti. (mahāva. 55);

    เถโรปิ ภควโต อธิปฺปายํ วิทิตฺวา –

    Theropi bhagavato adhippāyaṃ viditvā –

    ‘‘รูเป จ สเทฺท จ อโถ รเส จ, กามิตฺถิโย จาภิวทนฺติ ยญฺญา;

    ‘‘Rūpe ca sadde ca atho rase ca, kāmitthiyo cābhivadanti yaññā;

    เอตํ มลนฺติ อุปธีสุ ญตฺวา, ตสฺมา น ยิเฎฺฐ น หุเต อรญฺชิ’’นฺติฯ (มหาว. ๕๕) –

    Etaṃ malanti upadhīsu ñatvā, tasmā na yiṭṭhe na hute arañji’’nti. (mahāva. 55) –

    อิมํ คาถํ วตฺวา อตฺตโน สาวกภาวปกาสนตฺถํ ตถาคตสฺส ปาทปิเฎฺฐ สีสํ ฐเปตฺวา ‘‘สตฺถา เม, ภเนฺต, ภควา, สาวโกหมสฺมี’’ติ วตฺวา เอกตาลํ ทฺวิตาลํ ติตาลนฺติ ยาว สตฺตตาลปฺปมาณํ สตฺตกฺขตฺตุํ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา โอรุยฺห ตถาคตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ตํ ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา มหาชโน ‘‘อโห มหานุภาวา พุทฺธา, เอวํ ถามคตทิฎฺฐิโก นาม ‘อรหา’ติ มญฺญมาโน อุรุเวลกสฺสโปปิ ทิฎฺฐิชาลํ ภินฺทิตฺวา ตถาคเตน ทมิโต’’ติ สตฺถุ คุณกถํเยว กเถสิฯ ภควา ‘‘นาหํ อิทานิเยว อุรุเวลกสฺสปํ ทเมมิ, อตีเตปิ เอส มยา ทมิโตเยวา’’ติ วตฺวา อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา มหานารทกสฺสปชาตกํ (ชา. ๒.๒๒.๕๔๕ อาทโย) กเถตฺวา จตฺตาริ สจฺจานิ ปกาเสสิฯ มคธราชา เอกาทสหิ นหุเตหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, เอกํ นหุตํ อุปาสกตฺตํ ปฎิเวเทสิฯ ราชา สตฺถุ สนฺติเก นิสิโนฺนเยว ปญฺจ อสฺสาสเก ปเวเทตฺวา สรณํ คนฺตฺวา สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา อาสนา วุฎฺฐาย ภควนฺตํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    Imaṃ gāthaṃ vatvā attano sāvakabhāvapakāsanatthaṃ tathāgatassa pādapiṭṭhe sīsaṃ ṭhapetvā ‘‘satthā me, bhante, bhagavā, sāvakohamasmī’’ti vatvā ekatālaṃ dvitālaṃ titālanti yāva sattatālappamāṇaṃ sattakkhattuṃ vehāsaṃ abbhuggantvā oruyha tathāgataṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Taṃ pāṭihāriyaṃ disvā mahājano ‘‘aho mahānubhāvā buddhā, evaṃ thāmagatadiṭṭhiko nāma ‘arahā’ti maññamāno uruvelakassapopi diṭṭhijālaṃ bhinditvā tathāgatena damito’’ti satthu guṇakathaṃyeva kathesi. Bhagavā ‘‘nāhaṃ idāniyeva uruvelakassapaṃ damemi, atītepi esa mayā damitoyevā’’ti vatvā imissā aṭṭhuppattiyā mahānāradakassapajātakaṃ (jā. 2.22.545 ādayo) kathetvā cattāri saccāni pakāsesi. Magadharājā ekādasahi nahutehi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi, ekaṃ nahutaṃ upāsakattaṃ paṭivedesi. Rājā satthu santike nisinnoyeva pañca assāsake pavedetvā saraṇaṃ gantvā svātanāya nimantetvā āsanā vuṭṭhāya bhagavantaṃ padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi.

    ปุนทิวเส เยหิ จ ภควา ทิโฎฺฐ, เยหิ จ อทิโฎฺฐ, สเพฺพปิ ราชคหวาสิโน อฎฺฐารสโกฎิสงฺขา มนุสฺสา ตถาคตํ ทฎฺฐุกามา ปาโตว ราชคหโต ลฎฺฐิวนุยฺยานํ อคมํสุฯ ติคาวุโต มโคฺค นปฺปโหสิ, สกลลฎฺฐิวนุยฺยานํ นิรนฺตรํ ผุฎํ อโหสิฯ มหาชโน ทสพลสฺส รูปโสภคฺคปฺปตฺตํ อตฺตภาวํ ปสฺสโนฺต ติตฺติํ กาตุํ นาสกฺขิฯ วณฺณภูมิ นาเมสาฯ เอวรูเปสุ หิ ฐาเนสุ ตถาคตสฺส ลกฺขณานุพฺยญฺชนาทิปฺปเภทา สพฺพาปิ รูปกายสิรี วเณฺณตพฺพาฯ เอวํ รูปโสภคฺคปฺปตฺตํ ทสพลสฺส สรีรํ ปสฺสมาเนน มหาชเนน นิรนฺตรํ ผุเฎ อุยฺยาเน จ มเคฺค จ เอกภิกฺขุสฺสปิ นิกฺขมโนกาโส นาโหสิฯ ตํ ทิวสํ กิร ภควา ฉินฺนภโตฺต ภเวยฺย, ตํ มา อโหสีติ สกฺกสฺส นิสินฺนาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ โส อาวชฺชมาโน ตํ การณํ ญตฺวา มาณวกวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา พุทฺธธมฺมสงฺฆปฎิสํยุตฺตา ถุติโย วทมาโน ทสพลสฺส ปุรโต โอตริตฺวา เทวตานุภาเวน โอกาสํ กตฺวา –

    Punadivase yehi ca bhagavā diṭṭho, yehi ca adiṭṭho, sabbepi rājagahavāsino aṭṭhārasakoṭisaṅkhā manussā tathāgataṃ daṭṭhukāmā pātova rājagahato laṭṭhivanuyyānaṃ agamaṃsu. Tigāvuto maggo nappahosi, sakalalaṭṭhivanuyyānaṃ nirantaraṃ phuṭaṃ ahosi. Mahājano dasabalassa rūpasobhaggappattaṃ attabhāvaṃ passanto tittiṃ kātuṃ nāsakkhi. Vaṇṇabhūmi nāmesā. Evarūpesu hi ṭhānesu tathāgatassa lakkhaṇānubyañjanādippabhedā sabbāpi rūpakāyasirī vaṇṇetabbā. Evaṃ rūpasobhaggappattaṃ dasabalassa sarīraṃ passamānena mahājanena nirantaraṃ phuṭe uyyāne ca magge ca ekabhikkhussapi nikkhamanokāso nāhosi. Taṃ divasaṃ kira bhagavā chinnabhatto bhaveyya, taṃ mā ahosīti sakkassa nisinnāsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. So āvajjamāno taṃ kāraṇaṃ ñatvā māṇavakavaṇṇaṃ abhinimminitvā buddhadhammasaṅghapaṭisaṃyuttā thutiyo vadamāno dasabalassa purato otaritvā devatānubhāvena okāsaṃ katvā –

    ‘‘ทโนฺต ทเนฺตหิ สห ปุราณชฎิเลหิ, วิปฺปมุโตฺต วิปฺปมุเตฺตหิ;

    ‘‘Danto dantehi saha purāṇajaṭilehi, vippamutto vippamuttehi;

    สิงฺคีนิกฺขสวโณฺณ, ราชคหํ ปาวิสิ ภควาฯ

    Siṅgīnikkhasavaṇṇo, rājagahaṃ pāvisi bhagavā.

    ‘‘มุโตฺต มุเตฺตหิ สห ปุราณชฎิเลหิ, วิปฺปมุโตฺต วิปฺปมุเตฺตหิ;

    ‘‘Mutto muttehi saha purāṇajaṭilehi, vippamutto vippamuttehi;

    สิงฺคีนิกฺขสวโณฺณ, ราชคหํ ปาวิสิ ภควาฯ

    Siṅgīnikkhasavaṇṇo, rājagahaṃ pāvisi bhagavā.

    ‘‘ติโณฺณ ติเณฺณหิ สห ปุราณชฎิเลหิ, วิปฺปมุโตฺต วิปฺปมุเตฺตหิ;

    ‘‘Tiṇṇo tiṇṇehi saha purāṇajaṭilehi, vippamutto vippamuttehi;

    สิงฺคีนิกฺขสวโณฺณ, ราชคหํ ปาวิสิ ภควาฯ

    Siṅgīnikkhasavaṇṇo, rājagahaṃ pāvisi bhagavā.

    ‘‘ทสวาโส ทสพโล, ทสธมฺมวิทู ทสภิ จุเปโต;

    ‘‘Dasavāso dasabalo, dasadhammavidū dasabhi cupeto;

    โส ทสสตปริวาโร, ราชคหํ ปาวิสิ ภควา’’ติฯ (มหาว. ๕๘) –

    So dasasataparivāro, rājagahaṃ pāvisi bhagavā’’ti. (mahāva. 58) –

    อิมาหิ คาถาหิ สตฺถุ วณฺณํ วทมาโน ปุรโต ปายาสิฯ ตทา มหาชโน มาณวกสฺส รูปสิริํ ทิสฺวา ‘‘อติวิย อภิรูโป อยํ มาณวโก, น โข ปน อเมฺหหิ ทิฎฺฐปุโพฺพ’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘กุโต อยํ มาณวโก, กสฺส วาย’’นฺติ อาหฯ ตํ สุตฺวา มาณโว –

    Imāhi gāthāhi satthu vaṇṇaṃ vadamāno purato pāyāsi. Tadā mahājano māṇavakassa rūpasiriṃ disvā ‘‘ativiya abhirūpo ayaṃ māṇavako, na kho pana amhehi diṭṭhapubbo’’ti cintetvā ‘‘kuto ayaṃ māṇavako, kassa vāya’’nti āha. Taṃ sutvā māṇavo –

    ‘‘โย ธีโร สพฺพธิ ทโนฺต, สุโทฺธ อปฺปฎิปุคฺคโล;

    ‘‘Yo dhīro sabbadhi danto, suddho appaṭipuggalo;

    อรหํ สุคโต โลเก, ตสฺสาหํ ปริจารโก’’ติฯ (มหาว. ๕๘) – คาถมาห;

    Arahaṃ sugato loke, tassāhaṃ paricārako’’ti. (mahāva. 58) – gāthamāha;

    สตฺถา สเกฺกน กโตกาสํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิตฺวา ภิกฺขุสหสฺสปริวุโต ราชคหํ ปาวิสิฯ ราชา พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ตีณิ รตนานิ วินา วตฺติตุํ น สกฺขิสฺสามิ, เวลาย วา อเวลาย วา ภควโต สนฺติกํ อาคมิสฺสามิ, ลฎฺฐิวนุยฺยานํ นาม อติทูเร, อิทํ ปน อมฺหากํ เวฬุวนํ นาม อุยฺยานํ นาติทูเร นาจฺจาสเนฺน คมนาคมนสมฺปนฺนํ พุทฺธารหํ เสนาสนํฯ อิทํ เม ภควา ปฎิคฺคณฺหาตู’’ติ สุวณฺณภิงฺกาเรน ปุปฺผคนฺธวาสิตํ มณิวณฺณํ อุทกํ อาทาย เวฬุวนุยฺยานํ ปริจฺจชโนฺต ทสพลสฺส หเตฺถ อุทกํ ปาเตสิฯ ตสฺมิํ อารามปฎิคฺคหเณ ‘‘พุทฺธสาสนสฺส มูลานิ โอติณฺณานี’’ติ มหาปถวี กมฺปิฯ ชมฺพุทีปสฺมิญฺหิ ฐเปตฺวา เวฬุวนํ อญฺญํ มหาปถวิํ กเมฺปตฺวา คหิตเสนาสนํ นาม นตฺถิฯ ตมฺพปณฺณิทีเปปิ ฐเปตฺวา มหาวิหารํ อญฺญํ ปถวิํ กเมฺปตฺวา คหิตเสนาสนํ นาม นตฺถิฯ สตฺถา เวฬุวนารามํ ปฎิคฺคเหตฺวา รโญฺญ อนุโมทนํ กตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต เวฬุวนํ อคมาสิฯ

    Satthā sakkena katokāsaṃ maggaṃ paṭipajjitvā bhikkhusahassaparivuto rājagahaṃ pāvisi. Rājā buddhappamukhassa saṅghassa mahādānaṃ datvā ‘‘ahaṃ, bhante, tīṇi ratanāni vinā vattituṃ na sakkhissāmi, velāya vā avelāya vā bhagavato santikaṃ āgamissāmi, laṭṭhivanuyyānaṃ nāma atidūre, idaṃ pana amhākaṃ veḷuvanaṃ nāma uyyānaṃ nātidūre nāccāsanne gamanāgamanasampannaṃ buddhārahaṃ senāsanaṃ. Idaṃ me bhagavā paṭiggaṇhātū’’ti suvaṇṇabhiṅkārena pupphagandhavāsitaṃ maṇivaṇṇaṃ udakaṃ ādāya veḷuvanuyyānaṃ pariccajanto dasabalassa hatthe udakaṃ pātesi. Tasmiṃ ārāmapaṭiggahaṇe ‘‘buddhasāsanassa mūlāni otiṇṇānī’’ti mahāpathavī kampi. Jambudīpasmiñhi ṭhapetvā veḷuvanaṃ aññaṃ mahāpathaviṃ kampetvā gahitasenāsanaṃ nāma natthi. Tambapaṇṇidīpepi ṭhapetvā mahāvihāraṃ aññaṃ pathaviṃ kampetvā gahitasenāsanaṃ nāma natthi. Satthā veḷuvanārāmaṃ paṭiggahetvā rañño anumodanaṃ katvā uṭṭhāyāsanā bhikkhusaṅghaparivuto veḷuvanaṃ agamāsi.

    ตสฺมิํ โข ปน สมเย สาริปุโตฺต จ โมคฺคลฺลาโน จาติ เทฺว ปริพฺพาชกา ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรนฺติ อมตํ ปริเยสมานาฯ เตสุ สาริปุโตฺต อสฺสชิเตฺถรํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐํ ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต ปยิรุปาสิตฺวา ‘‘เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา’’ติ คาถํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย อตฺตโน สหายกสฺส โมคฺคลฺลานปริพฺพาชกสฺสปิ ตเมว คาถํ อภาสิฯ โสปิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ เต อุโภปิ ชนา สญฺจยํ โอโลเกตฺวา อตฺตโน ปริสาย สทฺธิํ ภควโต สนฺติเก ปพฺพชิํสุฯ เตสุ มหาโมคฺคลฺลาโน สตฺตาเหน อรหตฺตํ ปาปุณิ, สาริปุตฺตเตฺถโร อฑฺฒมาเสนฯ อุโภปิ จ เน สตฺถา อคฺคสาวกฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สาริปุตฺตเตฺถเรน อรหตฺตปฺปตฺตทิวเสเยว สาวกสนฺนิปาตํ อกาสิฯ

    Tasmiṃ kho pana samaye sāriputto ca moggallāno cāti dve paribbājakā rājagahaṃ upanissāya viharanti amataṃ pariyesamānā. Tesu sāriputto assajittheraṃ piṇḍāya paviṭṭhaṃ disvā pasannacitto payirupāsitvā ‘‘ye dhammā hetuppabhavā’’ti gāthaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāya attano sahāyakassa moggallānaparibbājakassapi tameva gāthaṃ abhāsi. Sopi sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Te ubhopi janā sañcayaṃ oloketvā attano parisāya saddhiṃ bhagavato santike pabbajiṃsu. Tesu mahāmoggallāno sattāhena arahattaṃ pāpuṇi, sāriputtatthero aḍḍhamāsena. Ubhopi ca ne satthā aggasāvakaṭṭhāne ṭhapesi. Sāriputtattherena arahattappattadivaseyeva sāvakasannipātaṃ akāsi.

    ตถาคเต ปน ตสฺมิํเยว เวฬุวนุยฺยาเน วิหรเนฺต สุโทฺธทนมหาราชา ‘‘ปุโตฺต กิร เม ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรการิกํ จริตฺวา ปรมาภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺตวรธมฺมจโกฺก ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน วิหรตี’’ติ สุตฺวา อญฺญตรํ อมจฺจํ อามเนฺตสิ ‘‘เอหิ, ภเณ, ปุริสสหสฺสปริวาโร ราชคหํ คนฺตฺวา มม วจเนน ‘ปิตา โว สุโทฺธทนมหาราชา ทฎฺฐุกาโม’ติ วตฺวา ปุตฺตํ เม คณฺหิตฺวา เอหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘เอวํ, เทวา’’ติ รโญฺญ วจนํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปุริสสหสฺสปริวาโร ขิปฺปเมว สฎฺฐิโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา ทสพลสฺส จตุปริสมเชฺฌ นิสีทิตฺวา ธมฺมเทสนาเวลาย วิหารํ ปาวิสิฯ โส ‘‘ติฎฺฐตุ ตาว รโญฺญ ปหิตสาสน’’นฺติ ปริยเนฺต ฐิโต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ยถาฐิโตว สทฺธิํ ปุริสสหเสฺสน อรหตฺตํ ปตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ ภควา ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิ, สเพฺพ ตงฺขณํเยว อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา สฎฺฐิวสฺสเตฺถรา วิย อเหสุํฯ อรหตฺตํ ปตฺตกาลโต ปฎฺฐาย ปน อริยา นาม มชฺฌตฺตาว โหนฺตีติ โส รญฺญา ปหิตสาสนํ ทสพลสฺส น กเถสิฯ ราชา ‘‘เนว คโต อาคจฺฉติ, น สาสนํ สุยฺยตี’’ติ ‘‘เอหิ, ภเณ, ตฺวํ คจฺฉาหี’’ติ เตเนว นิยาเมน อญฺญํ อมจฺจํ เปเสสิฯ โสปิ คนฺตฺวา ปุริมนเยเนว สทฺธิํ ปริสาย อรหตฺตํ ปตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ ราชา เอเตเนว นิยาเมน ปุริสสหสฺสปริวาเร นว อมเจฺจ เปเสสิ, สเพฺพ อตฺตโน กิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ตุณฺหีภูตา ตเตฺถว วิหริํสุฯ

    Tathāgate pana tasmiṃyeva veḷuvanuyyāne viharante suddhodanamahārājā ‘‘putto kira me chabbassāni dukkarakārikaṃ caritvā paramābhisambodhiṃ patvā pavattavaradhammacakko rājagahaṃ upanissāya veḷuvane viharatī’’ti sutvā aññataraṃ amaccaṃ āmantesi ‘‘ehi, bhaṇe, purisasahassaparivāro rājagahaṃ gantvā mama vacanena ‘pitā vo suddhodanamahārājā daṭṭhukāmo’ti vatvā puttaṃ me gaṇhitvā ehī’’ti āha. So ‘‘evaṃ, devā’’ti rañño vacanaṃ sirasā sampaṭicchitvā purisasahassaparivāro khippameva saṭṭhiyojanamaggaṃ gantvā dasabalassa catuparisamajjhe nisīditvā dhammadesanāvelāya vihāraṃ pāvisi. So ‘‘tiṭṭhatu tāva rañño pahitasāsana’’nti pariyante ṭhito satthu dhammadesanaṃ sutvā yathāṭhitova saddhiṃ purisasahassena arahattaṃ patvā pabbajjaṃ yāci. Bhagavā ‘‘etha bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāresi, sabbe taṅkhaṇaṃyeva iddhimayapattacīvaradharā saṭṭhivassattherā viya ahesuṃ. Arahattaṃ pattakālato paṭṭhāya pana ariyā nāma majjhattāva hontīti so raññā pahitasāsanaṃ dasabalassa na kathesi. Rājā ‘‘neva gato āgacchati, na sāsanaṃ suyyatī’’ti ‘‘ehi, bhaṇe, tvaṃ gacchāhī’’ti teneva niyāmena aññaṃ amaccaṃ pesesi. Sopi gantvā purimanayeneva saddhiṃ parisāya arahattaṃ patvā tuṇhī ahosi. Rājā eteneva niyāmena purisasahassaparivāre nava amacce pesesi, sabbe attano kiccaṃ niṭṭhāpetvā tuṇhībhūtā tattheva vihariṃsu.

    ราชา สาสนมตฺตมฺปิ อาหริตฺวา อาจิกฺขนฺตํ อลภิตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘เอตฺตกา ชนา มยิ สิเนหาภาเวน สาสนมตฺตมฺปิ น ปจฺจาหริํสุ, โก นุ โข มม วจนํ กริสฺสตี’’ติ สพฺพํ ราชพลํ โอโลเกโนฺต กาฬุทายิํ อทฺทสฯ โส กิร รโญฺญ สพฺพตฺถสาธโก อมโจฺจ อพฺภนฺตริโก อติวิสฺสาสิโก โพธิสเตฺตน สทฺธิํ เอกทิวเส ชาโต สหปํสุกีฬโก สหาโยฯ อถ นํ ราชา อามเนฺตสิ ‘‘ตาต, กาฬุทายิ อหํ มม ปุตฺตํ ปสฺสิตุกาโม นว ปุริสสหสฺสานิ เปเสสิํ, เอกปุริโสปิ อาคนฺตฺวา สาสนมตฺตํ อาโรเจโนฺตปิ นตฺถิ, ทุชฺชาโน โข ปน ชีวิตนฺตราโย, อหํ ชีวมาโนว ปุตฺตํ ทฎฺฐุํ อิจฺฉามิ, สกฺขิสฺสสิ นุ โข เม ปุตฺตํ ทเสฺสตุ’’นฺติฯ สกฺขิสฺสามิ, เทว, สเจ ปพฺพชิตุํ ลภิสฺสามีติฯ ตาต, ตฺวํ ปพฺพชิตฺวา วา อปพฺพชิตฺวา วา มยฺหํ ปุตฺตํ ทเสฺสหีติฯ โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ รโญฺญ สาสนํ อาทาย ราชคหํ คนฺตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนาเวลาย ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุตฺวา สปริวาโร อรหตฺตผลํ ปตฺวา เอหิภิกฺขุภาเว ปติฎฺฐาสิฯ

    Rājā sāsanamattampi āharitvā ācikkhantaṃ alabhitvā cintesi ‘‘ettakā janā mayi sinehābhāvena sāsanamattampi na paccāhariṃsu, ko nu kho mama vacanaṃ karissatī’’ti sabbaṃ rājabalaṃ olokento kāḷudāyiṃ addasa. So kira rañño sabbatthasādhako amacco abbhantariko ativissāsiko bodhisattena saddhiṃ ekadivase jāto sahapaṃsukīḷako sahāyo. Atha naṃ rājā āmantesi ‘‘tāta, kāḷudāyi ahaṃ mama puttaṃ passitukāmo nava purisasahassāni pesesiṃ, ekapurisopi āgantvā sāsanamattaṃ ārocentopi natthi, dujjāno kho pana jīvitantarāyo, ahaṃ jīvamānova puttaṃ daṭṭhuṃ icchāmi, sakkhissasi nu kho me puttaṃ dassetu’’nti. Sakkhissāmi, deva, sace pabbajituṃ labhissāmīti. Tāta, tvaṃ pabbajitvā vā apabbajitvā vā mayhaṃ puttaṃ dassehīti. So ‘‘sādhu, devā’’ti rañño sāsanaṃ ādāya rājagahaṃ gantvā satthu dhammadesanāvelāya parisapariyante ṭhito dhammaṃ sutvā saparivāro arahattaphalaṃ patvā ehibhikkhubhāve patiṭṭhāsi.

    สตฺถา พุโทฺธ หุตฺวา ปฐมํ อโนฺตวสฺสํ อิสิปตเน วสิตฺวา วุตฺถวโสฺส ปวาเรตฺวา อุรุเวลํ คนฺตฺวา ตตฺถ ตโย มาเส วสโนฺต เตภาติกชฎิเล วิเนตฺวา ภิกฺขุสหสฺสปริวาโร ผุสฺสมาสปุณฺณมายํ ราชคหํ คนฺตฺวา เทฺว มาเส วสิฯ เอตฺตาวตา พาราณสิโต นิกฺขนฺตสฺส ปญฺจ มาสา ชาตา, สกโล เหมโนฺต อติกฺกโนฺตฯ กาฬุทายิเตฺถรสฺส อาคตทิวสโต สตฺตฎฺฐ ทิวสา วีติวตฺตา, โส ผคฺคุณีปุณฺณมาสิยํ จิเนฺตสิ ‘‘อติกฺกโนฺต เหมโนฺต, วสนฺตสมโย อนุปฺปโตฺต, มนุเสฺสหิ สสฺสาทีนิ อุทฺธริตฺวา สมฺมุขสมฺมุขฎฺฐาเนหิ มคฺคา ทินฺนา, หริตติณสญฺฉนฺนา ปถวี, สุปุปฺผิตา วนสณฺฑา, ปฎิปชฺชนกฺขมา มคฺคา, กาโล ทสพลสฺส ญาติสงฺคหํ กาตุ’’นฺติฯ อถ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา –

    Satthā buddho hutvā paṭhamaṃ antovassaṃ isipatane vasitvā vutthavasso pavāretvā uruvelaṃ gantvā tattha tayo māse vasanto tebhātikajaṭile vinetvā bhikkhusahassaparivāro phussamāsapuṇṇamāyaṃ rājagahaṃ gantvā dve māse vasi. Ettāvatā bārāṇasito nikkhantassa pañca māsā jātā, sakalo hemanto atikkanto. Kāḷudāyittherassa āgatadivasato sattaṭṭha divasā vītivattā, so phagguṇīpuṇṇamāsiyaṃ cintesi ‘‘atikkanto hemanto, vasantasamayo anuppatto, manussehi sassādīni uddharitvā sammukhasammukhaṭṭhānehi maggā dinnā, haritatiṇasañchannā pathavī, supupphitā vanasaṇḍā, paṭipajjanakkhamā maggā, kālo dasabalassa ñātisaṅgahaṃ kātu’’nti. Atha bhagavantaṃ upasaṅkamitvā –

    ‘‘องฺคาริโน ทานิ ทุมา ภทเนฺต, ผเลสิโน ฉทนํ วิปฺปหาย;

    ‘‘Aṅgārino dāni dumā bhadante, phalesino chadanaṃ vippahāya;

    เต อจฺจิมโนฺตว ปภาสยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํ…เป.…ฯ

    Te accimantova pabhāsayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ…pe….

    ‘‘นาติสีตํ นาติอุณฺหํ, นาติทุพฺภิกฺขฉาตกํ;

    ‘‘Nātisītaṃ nātiuṇhaṃ, nātidubbhikkhachātakaṃ;

    สทฺทลา หริตา ภูมิ, เอส กาโล มหามุนี’’ติฯ –

    Saddalā haritā bhūmi, esa kālo mahāmunī’’ti. –

    สฎฺฐิมตฺตาหิ คาถาหิ ทสพลสฺส กุลนครํ คมนตฺถาย คมนวณฺณํ วเณฺณสิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘กิํ นุ โข อุทายิ มธุรสฺสเรน คมนวณฺณํ วเณฺณสี’’ติ อาหฯ ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปิตา สุโทฺธทนมหาราชา ปสฺสิตุกาโม, กโรถ ญาตกานํ สงฺคหนฺติฯ สาธุ อุทายิ, กริสฺสามิ ญาตกานํ สงฺคหํ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาโรเจหิ, คมิกวตฺตํ ปูเรสฺสนฺตีติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ เถโร เตสํ อาโรเจสิฯ

    Saṭṭhimattāhi gāthāhi dasabalassa kulanagaraṃ gamanatthāya gamanavaṇṇaṃ vaṇṇesi. Atha naṃ satthā ‘‘kiṃ nu kho udāyi madhurassarena gamanavaṇṇaṃ vaṇṇesī’’ti āha. Bhante, tumhākaṃ pitā suddhodanamahārājā passitukāmo, karotha ñātakānaṃ saṅgahanti. Sādhu udāyi, karissāmi ñātakānaṃ saṅgahaṃ, bhikkhusaṅghassa ārocehi, gamikavattaṃ pūressantīti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti thero tesaṃ ārocesi.

    ภควา องฺคมคธวาสีนํ กุลปุตฺตานํ ทสหิ สหเสฺสหิ, กปิลวตฺถุวาสีนํ ทสหิ สหเสฺสหีติ สเพฺพเหว วีสติสหเสฺสหิ ขีณาสวภิกฺขูหิ ปริวุโต ราชคหา นิกฺขมิตฺวา ทิวเส ทิวเส โยชนํ คจฺฉติฯ ‘‘ราชคหโต สฎฺฐิโยชนํ กปิลวตฺถุํ ทฺวีหิ มาเสหิ ปาปุณิสฺสามี’’ติ อตุริตจาริกํ ปกฺกามิฯ เถโรปิ ‘‘ภควโต นิกฺขนฺตภาวํ รโญฺญ อาโรเจสฺสามี’’ติ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา รโญฺญ นิเวสเน ปาตุรโหสิฯ ราชา เถรํ ทิสฺวา ตุฎฺฐจิโตฺต มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา อตฺตโน ปฎิยาทิตสฺส นานคฺครสโภชนสฺส ปตฺตํ ปูเรตฺวา อทาสิฯ เถโร อุฎฺฐาย คมนาการํ ทเสฺสสิฯ นิสีทิตฺวา ภุญฺชถ, ตาตาติฯ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ภุญฺชิสฺสามิ, มหาราชาติฯ กหํ ปน, ตาต, สตฺถาติ? วีสติสหสฺสภิกฺขุปริวาโร ตุมฺหากํ ทสฺสนตฺถาย จาริกํ นิกฺขโนฺต, มหาราชาติฯ ราชา ตุฎฺฐมานโส อาห ‘‘ตุเมฺห อิมํ ปริภุญฺชิตฺวา ยาว มม ปุโตฺต อิมํ นครํ ปาปุณาติ, ตาวสฺส อิโตว ปิณฺฑปาตํ หรถา’’ติฯ เถโร อธิวาเสสิฯ ราชา เถรํ ปริวิสิตฺวา ปตฺตํ คนฺธจุเณฺณน อุพฺพเฎฺฎตฺวา อุตฺตมโภชนสฺส ปูเรตฺวา ‘‘ตถาคตสฺส เทถา’’ติ เถรสฺส หเตฺถ ปติฎฺฐาเปสิฯ เถโร สเพฺพสํ ปสฺสนฺตานํเยว ปตฺตํ อากาเส ขิปิตฺวา สยมฺปิ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปิณฺฑปาตํ อาหริตฺวา สตฺถุ หเตฺถ ฐเปสิฯ สตฺถา ตํ ปริภุญฺชิฯ เอเตนุปาเยน เถโร ทิวเส ทิวเส อาหริ, สตฺถาปิ อนฺตรามเคฺค รโญฺญเยว ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิฯ เถโรปิ ภตฺตกิจฺจาวสาเน ทิวเส ทิวเส ‘‘อชฺช เอตฺตกํ ภควา อาคโต, อชฺช เอตฺตก’’นฺติ พุทฺธคุณปฎิสํยุตฺตาย กถาย สกลํ ราชกุลํ สตฺถุ ทสฺสนํ วินาเยว สตฺถริ สญฺชาตปฺปสาทํ อกาสิฯ เตเนว นํ ภควา ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ กุลปฺปสาทกานํ ยทิทํ กาฬุทายี’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙, ๒๒๕) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ

    Bhagavā aṅgamagadhavāsīnaṃ kulaputtānaṃ dasahi sahassehi, kapilavatthuvāsīnaṃ dasahi sahassehīti sabbeheva vīsatisahassehi khīṇāsavabhikkhūhi parivuto rājagahā nikkhamitvā divase divase yojanaṃ gacchati. ‘‘Rājagahato saṭṭhiyojanaṃ kapilavatthuṃ dvīhi māsehi pāpuṇissāmī’’ti aturitacārikaṃ pakkāmi. Theropi ‘‘bhagavato nikkhantabhāvaṃ rañño ārocessāmī’’ti vehāsaṃ abbhuggantvā rañño nivesane pāturahosi. Rājā theraṃ disvā tuṭṭhacitto mahārahe pallaṅke nisīdāpetvā attano paṭiyāditassa nānaggarasabhojanassa pattaṃ pūretvā adāsi. Thero uṭṭhāya gamanākāraṃ dassesi. Nisīditvā bhuñjatha, tātāti. Satthu santikaṃ gantvā bhuñjissāmi, mahārājāti. Kahaṃ pana, tāta, satthāti? Vīsatisahassabhikkhuparivāro tumhākaṃ dassanatthāya cārikaṃ nikkhanto, mahārājāti. Rājā tuṭṭhamānaso āha ‘‘tumhe imaṃ paribhuñjitvā yāva mama putto imaṃ nagaraṃ pāpuṇāti, tāvassa itova piṇḍapātaṃ harathā’’ti. Thero adhivāsesi. Rājā theraṃ parivisitvā pattaṃ gandhacuṇṇena ubbaṭṭetvā uttamabhojanassa pūretvā ‘‘tathāgatassa dethā’’ti therassa hatthe patiṭṭhāpesi. Thero sabbesaṃ passantānaṃyeva pattaṃ ākāse khipitvā sayampi vehāsaṃ abbhuggantvā piṇḍapātaṃ āharitvā satthu hatthe ṭhapesi. Satthā taṃ paribhuñji. Etenupāyena thero divase divase āhari, satthāpi antarāmagge raññoyeva piṇḍapātaṃ paribhuñji. Theropi bhattakiccāvasāne divase divase ‘‘ajja ettakaṃ bhagavā āgato, ajja ettaka’’nti buddhaguṇapaṭisaṃyuttāya kathāya sakalaṃ rājakulaṃ satthu dassanaṃ vināyeva satthari sañjātappasādaṃ akāsi. Teneva naṃ bhagavā ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ kulappasādakānaṃ yadidaṃ kāḷudāyī’’ti (a. ni. 1.219, 225) etadagge ṭhapesi.

    สากิยาปิ โข ‘‘อนุปฺปเตฺต ภควติ อมฺหากํ ญาติเสฎฺฐํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ สนฺนิปติตฺวา ภควโต วสนฎฺฐานํ วีมํสมานา ‘‘นิโคฺรธสกฺกสฺส อาราโม รมณีโย’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ตตฺถ สพฺพํ ปฎิชคฺคนวิธิํ กาเรตฺวา คนฺธปุปฺผหตฺถา ปจฺจุคฺคมนํ กโรนฺตา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิเต ทหรทหเร นาครทารเก จ นาครทาริกาโย จ ปฐมํ ปหิณิํสุ, ตโต ราชกุมาเร จ ราชกุมาริกาโย จ, เตสํ อนนฺตรํ สามํ คนฺธปุปฺผจุณฺณาทีหิ ปูชยมานา ภควนฺตํ คเหตฺวา นิโคฺรธารามเมว อคมํสุฯ ตตฺร ภควา วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิฯ สากิยา นาม มานชาติกา มานตฺถทฺธา, เต ‘‘สิทฺธตฺถกุมาโร อเมฺหหิ ทหรตโร, อมฺหากํ กนิโฎฺฐ, ภาคิเนโยฺย, ปุโตฺต, นตฺตา’’ติ จิเนฺตตฺวา ทหรทหเร ราชกุมาเร อาหํสุ ‘‘ตุเมฺห วนฺทถ, มยํ ตุมฺหากํ ปิฎฺฐิโต นิสีทิสฺสามา’’ติฯ

    Sākiyāpi kho ‘‘anuppatte bhagavati amhākaṃ ñātiseṭṭhaṃ passissāmā’’ti sannipatitvā bhagavato vasanaṭṭhānaṃ vīmaṃsamānā ‘‘nigrodhasakkassa ārāmo ramaṇīyo’’ti sallakkhetvā tattha sabbaṃ paṭijagganavidhiṃ kāretvā gandhapupphahatthā paccuggamanaṃ karontā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍite daharadahare nāgaradārake ca nāgaradārikāyo ca paṭhamaṃ pahiṇiṃsu, tato rājakumāre ca rājakumārikāyo ca, tesaṃ anantaraṃ sāmaṃ gandhapupphacuṇṇādīhi pūjayamānā bhagavantaṃ gahetvā nigrodhārāmameva agamaṃsu. Tatra bhagavā vīsatisahassakhīṇāsavaparivuto paññattavarabuddhāsane nisīdi. Sākiyā nāma mānajātikā mānatthaddhā, te ‘‘siddhatthakumāro amhehi daharataro, amhākaṃ kaniṭṭho, bhāgineyyo, putto, nattā’’ti cintetvā daharadahare rājakumāre āhaṃsu ‘‘tumhe vandatha, mayaṃ tumhākaṃ piṭṭhito nisīdissāmā’’ti.

    เตสุ เอวํ อวนฺทิตฺวา นิสิเนฺนสุ ภควา เตสํ อชฺฌาสยํ โอโลเกตฺวา ‘‘น มํ ญาตโย วนฺทนฺติ, หนฺท ทานิ เน วนฺทาเปสฺสามี’’ติ อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย อากาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา เตสํ สีเส ปาทปํสุํ โอกิรมาโน วิย กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล ยมกปาฎิหาริยสทิสํ ปาฎิหาริยํ อกาสิฯ ราชา ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา อาห – ‘‘ภควา ตุมฺหากํ ชาตทิวเส กาฬเทวลสฺส วนฺทนตฺถํ อุปนีตานํ ปาเท โว ปริวตฺติตฺวา พฺราหฺมณสฺส มตฺถเก ปติฎฺฐิเต ทิสฺวาปิ อหํ ตุเมฺห วนฺทิํ, อยํ เม ปฐมวนฺทนาฯ วปฺปมงฺคลทิวเส ชมฺพุจฺฉายาย สิริสยเน นิสินฺนานํ โว ชมฺพุจฺฉายาย อปริวตฺตนํ ทิสฺวาปิ ปาเท วนฺทิํ, อยํ เม ทุติยวนฺทนาฯ อิทานิ อิมํ อทิฎฺฐปุพฺพํ ปาฎิหาริยํ ทิสฺวาปิ อหํ ตุมฺหากํ ปาเท วนฺทามิ, อยํ เม ตติยวนฺทนา’’ติฯ รญฺญา ปน วนฺทิเต ภควนฺตํ อวนฺทิตฺวา ฐาตุํ สมโตฺถ นาม เอกสากิโยปิ นาโหสิ, สเพฺพ วนฺทิํสุเยวฯ

    Tesu evaṃ avanditvā nisinnesu bhagavā tesaṃ ajjhāsayaṃ oloketvā ‘‘na maṃ ñātayo vandanti, handa dāni ne vandāpessāmī’’ti abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā tato vuṭṭhāya ākāsaṃ abbhuggantvā tesaṃ sīse pādapaṃsuṃ okiramāno viya kaṇḍambarukkhamūle yamakapāṭihāriyasadisaṃ pāṭihāriyaṃ akāsi. Rājā taṃ acchariyaṃ disvā āha – ‘‘bhagavā tumhākaṃ jātadivase kāḷadevalassa vandanatthaṃ upanītānaṃ pāde vo parivattitvā brāhmaṇassa matthake patiṭṭhite disvāpi ahaṃ tumhe vandiṃ, ayaṃ me paṭhamavandanā. Vappamaṅgaladivase jambucchāyāya sirisayane nisinnānaṃ vo jambucchāyāya aparivattanaṃ disvāpi pāde vandiṃ, ayaṃ me dutiyavandanā. Idāni imaṃ adiṭṭhapubbaṃ pāṭihāriyaṃ disvāpi ahaṃ tumhākaṃ pāde vandāmi, ayaṃ me tatiyavandanā’’ti. Raññā pana vandite bhagavantaṃ avanditvā ṭhātuṃ samattho nāma ekasākiyopi nāhosi, sabbe vandiṃsuyeva.

    อิติ ภควา ญาตโย วนฺทาเปตฺวา อากาสโต โอตริตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ นิสิเนฺน ภควติ สิขาปโตฺต ญาติสมาคโม อโหสิ , สเพฺพ เอกคฺคจิตฺตา หุตฺวา นิสีทิํสุฯ ตโต มหาเมโฆ โปกฺขรวสฺสํ วสฺสิฯ ตมฺพวณฺณํ อุทกํ เหฎฺฐา วิรวนฺตํ คจฺฉติ, เตมิตุกาโมว เตเมติ, อเตมิตุกามสฺส สรีเร เอกพินฺทุมตฺตมฺปิ น ปตติฯ ตํ ทิสฺวา สเพฺพ อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา ‘‘อโห อจฺฉริยํ, อโห อพฺภุต’’นฺติ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํฯ สตฺถา ‘‘น อิทาเนว มยฺหํ ญาติสมาคเม โปกฺขรวสฺสํ วสฺสติ, อตีเตปิ วสฺสี’’ติ อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา เวสฺสนฺตรชาตกํ กเถสิฯ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สเพฺพ อุฎฺฐาย วนฺทิตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เอโกปิ ราชา วา ราชมหามโตฺต วา ‘‘เสฺว อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ วตฺวา คโต นาม นตฺถิฯ

    Iti bhagavā ñātayo vandāpetvā ākāsato otaritvā paññattāsane nisīdi. Nisinne bhagavati sikhāpatto ñātisamāgamo ahosi , sabbe ekaggacittā hutvā nisīdiṃsu. Tato mahāmegho pokkharavassaṃ vassi. Tambavaṇṇaṃ udakaṃ heṭṭhā viravantaṃ gacchati, temitukāmova temeti, atemitukāmassa sarīre ekabindumattampi na patati. Taṃ disvā sabbe acchariyabbhutacittajātā ‘‘aho acchariyaṃ, aho abbhuta’’nti kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ. Satthā ‘‘na idāneva mayhaṃ ñātisamāgame pokkharavassaṃ vassati, atītepi vassī’’ti imissā aṭṭhuppattiyā vessantarajātakaṃ kathesi. Dhammadesanaṃ sutvā sabbe uṭṭhāya vanditvā pakkamiṃsu. Ekopi rājā vā rājamahāmatto vā ‘‘sve amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti vatvā gato nāma natthi.

    สตฺถา ปุนทิวเส วีสติสหสฺสภิกฺขุปริวุโต กปิลวตฺถุํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ ตํ น โกจิ คนฺตฺวา นิมเนฺตสิ, ปตฺตํ วา อคฺคโหสิฯ ภควา อินฺทขีเล ฐิโตว อาวเชฺชสิ ‘‘กถํ นุ โข ปุพฺพพุทฺธา กุลนคเร ปิณฺฑาย จริํสุ, กิํ อุปฺปฎิปาฎิยา อิสฺสรชนานํ ฆรานิ อคมํสุ, อุทาหุ สปทานจาริกํ จริํสู’’ติฯ ตโต เอกพุทฺธสฺสปิ อุปฺปฎิปาฎิยา คมนํ อทิสฺวา ‘‘มยาปิ อิทานิ อยเมว วํโส, อยํ ปเวณี ปคฺคเหตพฺพา, อายติญฺจ เม สาวกาปิ มมเญฺญว อนุสิกฺขนฺตา ปิณฺฑจาริกวตฺตํ ปริปูเรสฺสนฺตี’’ติ โกฎิยํ นิวิฎฺฐเคหโต ปฎฺฐาย สปทานํ ปิณฺฑาย จริฯ ‘‘อโยฺย กิร สิทฺธตฺถกุมาโร ปิณฺฑาย จรตี’’ติ ทฺวิภูมกติภูมกาทีสุ ปาสาเทสุ สีหปญฺชเร วิวริตฺวา มหาชโน ทสฺสนพฺยาวโฎ อโหสิฯ

    Satthā punadivase vīsatisahassabhikkhuparivuto kapilavatthuṃ piṇḍāya pāvisi. Taṃ na koci gantvā nimantesi, pattaṃ vā aggahosi. Bhagavā indakhīle ṭhitova āvajjesi ‘‘kathaṃ nu kho pubbabuddhā kulanagare piṇḍāya cariṃsu, kiṃ uppaṭipāṭiyā issarajanānaṃ gharāni agamaṃsu, udāhu sapadānacārikaṃ cariṃsū’’ti. Tato ekabuddhassapi uppaṭipāṭiyā gamanaṃ adisvā ‘‘mayāpi idāni ayameva vaṃso, ayaṃ paveṇī paggahetabbā, āyatiñca me sāvakāpi mamaññeva anusikkhantā piṇḍacārikavattaṃ paripūressantī’’ti koṭiyaṃ niviṭṭhagehato paṭṭhāya sapadānaṃ piṇḍāya cari. ‘‘Ayyo kira siddhatthakumāro piṇḍāya caratī’’ti dvibhūmakatibhūmakādīsu pāsādesu sīhapañjare vivaritvā mahājano dassanabyāvaṭo ahosi.

    ราหุลมาตาปิ เทวี ‘‘อยฺยปุโตฺต กิร อิมสฺมิํเยว นคเร มหเนฺตน ราชานุภาเวน สุวณฺณสิวิกาทีหิ วิจริตฺวา อิทานิ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายวตฺถวสโน กปาลหโตฺถ ปิณฺฑาย จรติ, โสภติ นุ โข’’ติ สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา โอโลกยมานา ภควนฺตํ นานาวิราคสมุชฺชลาย สรีรปฺปภาย นครวีถิโย โอภาเสตฺวา พฺยามปฺปภาปริเกฺขปสมงฺคีภูตาย อสีติอนุพฺยญฺชนาวภาสิตาย ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตาย อโนปมาย พุทฺธสิริยา วิโรจมานํ ทิสฺวา อุณฺหีสโต ปฎฺฐาย ยาว ปาทตลา –

    Rāhulamātāpi devī ‘‘ayyaputto kira imasmiṃyeva nagare mahantena rājānubhāvena suvaṇṇasivikādīhi vicaritvā idāni kesamassuṃ ohāretvā kāsāyavatthavasano kapālahattho piṇḍāya carati, sobhati nu kho’’ti sīhapañjaraṃ vivaritvā olokayamānā bhagavantaṃ nānāvirāgasamujjalāya sarīrappabhāya nagaravīthiyo obhāsetvā byāmappabhāparikkhepasamaṅgībhūtāya asītianubyañjanāvabhāsitāya dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitāya anopamāya buddhasiriyā virocamānaṃ disvā uṇhīsato paṭṭhāya yāva pādatalā –

    ‘‘สินิทฺธนีลมุทุกุญฺจิตเกโส , สูริยนิมฺมลตลาภินลาโฎ;

    ‘‘Siniddhanīlamudukuñcitakeso , sūriyanimmalatalābhinalāṭo;

    ยุตฺตตุงฺคมุทุกายตนาโส, รํสิชาลวิตโต นรสีโหฯ

    Yuttatuṅgamudukāyatanāso, raṃsijālavitato narasīho.

    ‘‘จกฺกวรงฺกิตรตฺตสุปาโท, ลกฺขณมณฺฑิตอายตปณฺหิ;

    ‘‘Cakkavaraṅkitarattasupādo, lakkhaṇamaṇḍitaāyatapaṇhi;

    จามริหตฺถวิภูสิตปโณฺห, เอส หิ ตุยฺหํ ปิตา นรสีโหฯ

    Cāmarihatthavibhūsitapaṇho, esa hi tuyhaṃ pitā narasīho.

    ‘‘สกฺยกุมาโร วรโท สุขุมาโล, ลกฺขณวิจิตฺตปสนฺนสรีโร;

    ‘‘Sakyakumāro varado sukhumālo, lakkhaṇavicittapasannasarīro;

    โลกหิตาย อาคโต นรวีโร, เอส หิ ตุยฺหํ ปิตา นรสีโหฯ

    Lokahitāya āgato naravīro, esa hi tuyhaṃ pitā narasīho.

    ‘‘อายตยุตฺตสุสณฺฐิตโสโต, โคปขุโม อภินีลเนโตฺต;

    ‘‘Āyatayuttasusaṇṭhitasoto, gopakhumo abhinīlanetto;

    อินฺทธนุอภินีลภมุโก, เอส หิ ตุยฺหํ ปิตา นรสีโหฯ

    Indadhanuabhinīlabhamuko, esa hi tuyhaṃ pitā narasīho.

    ‘‘ปุณฺณจนฺทนิโภ มุขวโณฺณ, เทวนรานํ ปิโย นรนาโค;

    ‘‘Puṇṇacandanibho mukhavaṇṇo, devanarānaṃ piyo naranāgo;

    มตฺตคชินฺทวิลาสิตคามี, เอส หิ ตุยฺหํ ปิตา นรสีโหฯ

    Mattagajindavilāsitagāmī, esa hi tuyhaṃ pitā narasīho.

    ‘‘สินิทฺธสุคมฺภีรมญฺชุสโฆโส, หิงฺคุลวณฺณรตฺตสุชิโวฺห;

    ‘‘Siniddhasugambhīramañjusaghoso, hiṅgulavaṇṇarattasujivho;

    วีสติวีสติเสตสุทโนฺต, เอส หิ ตุยฺหํ ปิตา นรสีโหฯ

    Vīsativīsatisetasudanto, esa hi tuyhaṃ pitā narasīho.

    ‘‘ขตฺติยสมฺภวอคฺคกุลิโนฺท, เทวมนุสฺสนมสฺสิตปาโท;

    ‘‘Khattiyasambhavaaggakulindo, devamanussanamassitapādo;

    สีลสมาธิปติฎฺฐิตจิโตฺต, เอส หิ ตุยฺหํ ปิตา นรสีโหฯ

    Sīlasamādhipatiṭṭhitacitto, esa hi tuyhaṃ pitā narasīho.

    ‘‘วฎฺฎสุวฎฺฎสุสณฺฐิตคีโว , สีหหนุมิคราชสรีโร;

    ‘‘Vaṭṭasuvaṭṭasusaṇṭhitagīvo , sīhahanumigarājasarīro;

    กญฺจนสุจฺฉวิอุตฺตมวโณฺณ, เอส หิ ตุยฺหํ ปิตา นรสีโหฯ

    Kañcanasucchaviuttamavaṇṇo, esa hi tuyhaṃ pitā narasīho.

    ‘‘อญฺชนสมวณฺณสุนีลเกโส, กญฺจนปฎฺฎวิสุทฺธนลาโฎ;

    ‘‘Añjanasamavaṇṇasunīlakeso, kañcanapaṭṭavisuddhanalāṭo;

    โอสธิปณฺฑรสุทฺธสุอุโณฺณ, เอส หิ ตุยฺหํ ปิตา นรสีโหฯ

    Osadhipaṇḍarasuddhasuuṇṇo, esa hi tuyhaṃ pitā narasīho.

    ‘‘คจฺฉโนฺตนิลปเถ วิย จโนฺท, ตาราคณปริวฑฺฒิตรูโป;

    ‘‘Gacchantonilapathe viya cando, tārāgaṇaparivaḍḍhitarūpo;

    สาวกมชฺฌคโต สมณิโนฺท, เอส หิ ตุยฺหํ ปิตา นรสีโห’’ติฯ –

    Sāvakamajjhagato samaṇindo, esa hi tuyhaṃ pitā narasīho’’ti. –

    เอวมิมาหิ ทสหิ นรสีหคาถาหิ นาม อภิตฺถวิตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ ปุโตฺต กิร อิทานิ ปิณฺฑาย จรตี’’ติ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา สํวิคฺคหทโย หเตฺถน สาฎกํ สณฺฐเปโนฺต ตุริตตุริตํ นิกฺขมิตฺวา เวเคน คนฺตฺวา ภควโต ปุรโต ฐตฺวา อาห – ‘‘กิํ, ภเนฺต, อเมฺห ลชฺชาเปถ, กิมตฺถํ ปิณฺฑาย จรถ, กิํ ‘เอตฺตกานํ ภิกฺขูนํ น สกฺกา ภตฺตํ ลทฺธุ’นฺติ สญฺญํ กริตฺถา’’ติฯ วํสจาริตฺตเมตํ, มหาราช, อมฺหากนฺติฯ นนุ, ภเนฺต, อมฺหากํ มหาสมฺมตขตฺติยวํโส นาม วํโส, ตตฺถ จ เอกขตฺติโยปิ ภิกฺขาจโร นาม นตฺถีติฯ ‘‘อยํ, มหาราช, ราชวํโส นาม ตว วํโส, อมฺหากํ ปน ทีปงฺกโร โกณฺฑโญฺญ…เป.… กสฺสโปติ อยํ พุทฺธวํโส นามฯ เอเต จ อเญฺญ จ อเนกสหสฺสสงฺขา พุทฺธา ภิกฺขาจรา, ภิกฺขาจาเรเนว ชีวิกํ กเปฺปสุ’’นฺติ อนฺตรวีถิยํ ฐิโตว –

    Evamimāhi dasahi narasīhagāthāhi nāma abhitthavitvā ‘‘tumhākaṃ putto kira idāni piṇḍāya caratī’’ti rañño ārocesi. Rājā saṃviggahadayo hatthena sāṭakaṃ saṇṭhapento turitaturitaṃ nikkhamitvā vegena gantvā bhagavato purato ṭhatvā āha – ‘‘kiṃ, bhante, amhe lajjāpetha, kimatthaṃ piṇḍāya caratha, kiṃ ‘ettakānaṃ bhikkhūnaṃ na sakkā bhattaṃ laddhu’nti saññaṃ karitthā’’ti. Vaṃsacārittametaṃ, mahārāja, amhākanti. Nanu, bhante, amhākaṃ mahāsammatakhattiyavaṃso nāma vaṃso, tattha ca ekakhattiyopi bhikkhācaro nāma natthīti. ‘‘Ayaṃ, mahārāja, rājavaṃso nāma tava vaṃso, amhākaṃ pana dīpaṅkaro koṇḍañño…pe… kassapoti ayaṃ buddhavaṃso nāma. Ete ca aññe ca anekasahassasaṅkhā buddhā bhikkhācarā, bhikkhācāreneva jīvikaṃ kappesu’’nti antaravīthiyaṃ ṭhitova –

    ‘‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺย, ธมฺมํ สุจริตํ จเร;

    ‘‘Uttiṭṭhe nappamajjeyya, dhammaṃ sucaritaṃ care;

    ธมฺมจารี สุขํ เสติ, อสฺมิํ โลเก ปรมฺหิ จา’’ติฯ (ธ. ป. ๑๖๘) –

    Dhammacārī sukhaṃ seti, asmiṃ loke paramhi cā’’ti. (dha. pa. 168) –

    อิมํ คาถมาหฯ คาถาปริโยสาเน ราชา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ

    Imaṃ gāthamāha. Gāthāpariyosāne rājā sotāpattiphale patiṭṭhāsi.

    ‘‘ธมฺมํ จเร สุจริตํ, น นํ ทุจฺจริตํ จเร;

    ‘‘Dhammaṃ care sucaritaṃ, na naṃ duccaritaṃ care;

    ธมฺมจารี สุขํ เสติ, อสฺมิํ โลเก ปรมฺหิ จา’’ติฯ (ธ. ป. ๑๖๙) –

    Dhammacārī sukhaṃ seti, asmiṃ loke paramhi cā’’ti. (dha. pa. 169) –

    อิมํ ปน คาถํ สุตฺวา สกทาคามิผเล ปติฎฺฐาสิฯ มหาธมฺมปาลชาตกํ (ชา. ๑.๑๐.๙๒ อาทโย) สุตฺวา อนาคามิผเล ปติฎฺฐาสิ, มรณสมเย เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา สิริสยเน นิปโนฺนเยว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรญฺญวาเสน ปน ปธานานุโยคกิจฺจํ รโญฺญ นาโหสิฯ โสตาปตฺติผลํ สจฺฉิกตฺวาเยว ปน ภควโต ปตฺตํ คเหตฺวา สปริสํ ภควนฺตํ มหาปาสาทํ อาโรเปตฺวา ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิฯ ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สพฺพํ อิตฺถาคารํ อาคนฺตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิ ฐเปตฺวา ราหุลมาตรํฯ สา ปน ‘‘คจฺฉ, อยฺยปุตฺตํ วนฺทาหี’’ติ ปริชเนน วุจฺจมานาปิ ‘‘สเจ มยฺหํ คุโณ อตฺถิ, สยเมว มม สนฺติกํ อยฺยปุโตฺต อาคมิสฺสติ, อาคตเมว นํ วนฺทิสฺสามี’’ติ วตฺวา น อคมาสิฯ

    Imaṃ pana gāthaṃ sutvā sakadāgāmiphale patiṭṭhāsi. Mahādhammapālajātakaṃ (jā. 1.10.92 ādayo) sutvā anāgāmiphale patiṭṭhāsi, maraṇasamaye setacchattassa heṭṭhā sirisayane nipannoyeva arahattaṃ pāpuṇi. Araññavāsena pana padhānānuyogakiccaṃ rañño nāhosi. Sotāpattiphalaṃ sacchikatvāyeva pana bhagavato pattaṃ gahetvā saparisaṃ bhagavantaṃ mahāpāsādaṃ āropetvā paṇītena khādanīyena bhojanīyena parivisi. Bhattakiccapariyosāne sabbaṃ itthāgāraṃ āgantvā bhagavantaṃ vandi ṭhapetvā rāhulamātaraṃ. Sā pana ‘‘gaccha, ayyaputtaṃ vandāhī’’ti parijanena vuccamānāpi ‘‘sace mayhaṃ guṇo atthi, sayameva mama santikaṃ ayyaputto āgamissati, āgatameva naṃ vandissāmī’’ti vatvā na agamāsi.

    ภควา ราชานํ ปตฺตํ คาหาเปตฺวา ทฺวีหิ อคฺคสาวเกหิ สทฺธิํ ราชธีตาย สิริคพฺภํ คนฺตฺวา ‘‘ราชธีตา ยถารุจิ วนฺทมานา น กิญฺจิ วตฺตพฺพา’’ติ วตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ สา เวเคนาคนฺตฺวา โคปฺผเกสุ คเหตฺวา ปาทปิฎฺฐิยํ สีสํ ปริวเตฺตตฺวา ยถาอชฺฌาสยํ วนฺทิฯ ราชา ราชธีตาย ภควติ สิเนหพหุมานาทิคุณสมฺปตฺติโย กเถสิ ‘‘ภเนฺต, มม ธีตา ‘ตุเมฺหหิ กาสายานิ วตฺถานิ นิวาสิตานี’ติ สุตฺวา ตโต ปฎฺฐาย กาสายวตฺถนิวตฺถา ชาตา, ตุมฺหากํ เอกภตฺติกภาวํ สุตฺวา เอกภตฺติกาว ชาตา, ตุเมฺหหิ มหาสยนสฺส ฉฑฺฑิตภาวํ สุตฺวา ปฎฺฎิกามญฺจเกเยว นิปนฺนา, ตุมฺหากํ มาลาคนฺธาทีหิ วิรตภาวํ ญตฺวา วิรตมาลาคนฺธาว ชาตา, อตฺตโน ญาตเกหิ ‘มยํ ปฎิชคฺคิสฺสามา’ติ สาสเน เปสิเตปิ เอกญาตกมฺปิ น โอโลเกสิ, เอวํ คุณสมฺปนฺนา เม ธีตา ภควา’’ติฯ ‘‘อนจฺฉริยํ, มหาราช, ยํ อิทานิ ตยา รกฺขิยมานา ราชธีตา ปริปเกฺก ญาเณ อตฺตานํ รเกฺขยฺย, เอสา ปุเพฺพ อนารกฺขา ปพฺพตปาเท วิจรมานา อปริปเกฺก ญาเณ อตฺตานํ รกฺขี’’ติ วตฺวา จนฺทกินฺนรีชาตกํ (ชา. ๑.๑๔.๑๘ อาทโย) กเถตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    Bhagavā rājānaṃ pattaṃ gāhāpetvā dvīhi aggasāvakehi saddhiṃ rājadhītāya sirigabbhaṃ gantvā ‘‘rājadhītā yathāruci vandamānā na kiñci vattabbā’’ti vatvā paññattāsane nisīdi. Sā vegenāgantvā gopphakesu gahetvā pādapiṭṭhiyaṃ sīsaṃ parivattetvā yathāajjhāsayaṃ vandi. Rājā rājadhītāya bhagavati sinehabahumānādiguṇasampattiyo kathesi ‘‘bhante, mama dhītā ‘tumhehi kāsāyāni vatthāni nivāsitānī’ti sutvā tato paṭṭhāya kāsāyavatthanivatthā jātā, tumhākaṃ ekabhattikabhāvaṃ sutvā ekabhattikāva jātā, tumhehi mahāsayanassa chaḍḍitabhāvaṃ sutvā paṭṭikāmañcakeyeva nipannā, tumhākaṃ mālāgandhādīhi viratabhāvaṃ ñatvā viratamālāgandhāva jātā, attano ñātakehi ‘mayaṃ paṭijaggissāmā’ti sāsane pesitepi ekañātakampi na olokesi, evaṃ guṇasampannā me dhītā bhagavā’’ti. ‘‘Anacchariyaṃ, mahārāja, yaṃ idāni tayā rakkhiyamānā rājadhītā paripakke ñāṇe attānaṃ rakkheyya, esā pubbe anārakkhā pabbatapāde vicaramānā aparipakke ñāṇe attānaṃ rakkhī’’ti vatvā candakinnarījātakaṃ (jā. 1.14.18 ādayo) kathetvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi.

    ทุติยทิวเส ปน นนฺทสฺส ราชกุมารสฺส อภิเสกเคหปฺปเวสนวิวาหมงฺคเลสุ วตฺตมาเนสุ ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา กุมารํ ปตฺตํ คาหาเปตฺวา ปพฺพาเชตุกาโม มงฺคลํ วตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ ชนปทกลฺยาณี กุมารํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘ตุวฎํ โข, อยฺยปุตฺต, อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ วตฺวา คีวํ ปสาเรตฺวา โอโลเกสิฯ โสปิ ภควนฺตํ ‘‘ปตฺตํ คณฺหถา’’ติ วตฺตุํ อวิสหมาโน วิหารํเยว อคมาสิ, ตํ อนิจฺฉมานํเยว ภควา ปพฺพาเชสิฯ อิติ ภควา กปิลวตฺถุํ คนฺตฺวา ตติยทิวเส นนฺทํ ปพฺพาเชสิฯ

    Dutiyadivase pana nandassa rājakumārassa abhisekagehappavesanavivāhamaṅgalesu vattamānesu tassa gehaṃ gantvā kumāraṃ pattaṃ gāhāpetvā pabbājetukāmo maṅgalaṃ vatvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Janapadakalyāṇī kumāraṃ gacchantaṃ disvā ‘‘tuvaṭaṃ kho, ayyaputta, āgaccheyyāsī’’ti vatvā gīvaṃ pasāretvā olokesi. Sopi bhagavantaṃ ‘‘pattaṃ gaṇhathā’’ti vattuṃ avisahamāno vihāraṃyeva agamāsi, taṃ anicchamānaṃyeva bhagavā pabbājesi. Iti bhagavā kapilavatthuṃ gantvā tatiyadivase nandaṃ pabbājesi.

    สตฺตเม ทิวเส ราหุลมาตา กุมารํ อลงฺกริตฺวา ภควโต สนฺติกํ เปเสสิ ‘‘ปสฺส, ตาต, เอตํ วีสติสหสฺสสมณปริวุตํ สุวณฺณวณฺณํ พฺรหฺมรูปวณฺณํ สมณํ, อยํ เต ปิตา, เอตสฺส มหนฺตา นิธโย อเหสุํ, ตฺยาสฺส นิกฺขมนกาลโต ปฎฺฐาย น ปสฺสาม, คจฺฉ, นํ ทายชฺชํ ยาจาหิ – ‘อหํ ตาต กุมาโร อภิเสกํ ปตฺวา จกฺกวตฺตี ภวิสฺสามิ, ธเนน เม อโตฺถ, ธนํ เม เทหิฯ สามิโก หิ ปุโตฺต ปิตุ สนฺตกสฺสา’ติ’’ฯ กุมาโร จ ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา ปิตุ สิเนหํ ปฎิลภิตฺวา หฎฺฐตุโฎฺฐ ‘‘สุขา เต, สมณ, ฉายา’’ติ วตฺวา อญฺญญฺจ พหุํ อตฺตโน อนุรูปํ วทโนฺต อฎฺฐาสิฯ ภควา กตภตฺตกิโจฺจ อนุโมทนํ กตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ กุมาโรปิ ‘‘ทายชฺชํ เม, สมณ, เทหิ, ทายชฺชํ เม, สมณ, เทหี’’ติ ภควนฺตํ อนุพนฺธิฯ ภควา กุมารํ น นิวตฺตาเปสิ, ปริชโนปิ ภควตา สทฺธิํ คจฺฉนฺตํ นิวเตฺตตุํ นาสกฺขิฯ อิติ โส ภควตา สทฺธิํ อารามเมว อคมาสิฯ

    Sattame divase rāhulamātā kumāraṃ alaṅkaritvā bhagavato santikaṃ pesesi ‘‘passa, tāta, etaṃ vīsatisahassasamaṇaparivutaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ brahmarūpavaṇṇaṃ samaṇaṃ, ayaṃ te pitā, etassa mahantā nidhayo ahesuṃ, tyāssa nikkhamanakālato paṭṭhāya na passāma, gaccha, naṃ dāyajjaṃ yācāhi – ‘ahaṃ tāta kumāro abhisekaṃ patvā cakkavattī bhavissāmi, dhanena me attho, dhanaṃ me dehi. Sāmiko hi putto pitu santakassā’ti’’. Kumāro ca bhagavato santikaṃ gantvā pitu sinehaṃ paṭilabhitvā haṭṭhatuṭṭho ‘‘sukhā te, samaṇa, chāyā’’ti vatvā aññañca bahuṃ attano anurūpaṃ vadanto aṭṭhāsi. Bhagavā katabhattakicco anumodanaṃ katvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Kumāropi ‘‘dāyajjaṃ me, samaṇa, dehi, dāyajjaṃ me, samaṇa, dehī’’ti bhagavantaṃ anubandhi. Bhagavā kumāraṃ na nivattāpesi, parijanopi bhagavatā saddhiṃ gacchantaṃ nivattetuṃ nāsakkhi. Iti so bhagavatā saddhiṃ ārāmameva agamāsi.

    ตโต ภควา จิเนฺตสิ ‘‘ยํ อยํ ปิตุ สนฺตกํ ธนํ อิจฺฉติ, ตํ วฎฺฎานุคตํ สวิฆาตํ, หนฺทสฺส โพธิมเณฺฑ ปฎิลทฺธํ สตฺตวิธํ อริยธนํ เทมิ, โลกุตฺตรทายชฺชสฺส นํ สามิกํ กโรมี’’ติ อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ อามเนฺตสิ ‘‘เตน หิ, ตฺวํ สาริปุตฺต, ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชหี’’ติฯ เถโร ตํ ปพฺพาเชสิฯ ปพฺพชิเต ปน กุมาเร รโญฺญ อธิมตฺตํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชิฯ ตํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต ภควโต นิเวเทตฺวา ‘‘สาธุ, ภเนฺต, อยฺยา มาตาปิตูหิ อนนุญฺญาตํ ปุตฺตํ น ปพฺพาเชยฺยุ’’นฺติ วรํ ยาจิฯ ภควา ตสฺส ตํ วรํ ทตฺวา ปุนทิวเส ราชนิเวสเน กตปาตราโส เอกมนฺตํ นิสิเนฺนน รญฺญา ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ทุกฺกรการิกกาเล เอกา เทวตา มํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘ปุโตฺต เต กาลกโต’ติ อาห, ตสฺสา วจนํ อสทฺทหโนฺต ‘น มยฺหํ ปุโตฺต โพธิํ อปฺปตฺวา กาลํ กโรตี’ติ ตํ ปฎิกฺขิปิ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อิทานิ กิํ สทฺทหิสฺสถ, เย ตุเมฺห ปุเพฺพปิ อฎฺฐิกานิ ทเสฺสตฺวา ‘ปุโตฺต เต มโต’ติ วุเตฺต น สทฺทหิตฺถา’’ติ อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา มหาธมฺมปาลชาตกํ กเถสิฯ กถาปริโยสาเน ราชา อนาคามิผเล ปติฎฺฐาสิฯ

    Tato bhagavā cintesi ‘‘yaṃ ayaṃ pitu santakaṃ dhanaṃ icchati, taṃ vaṭṭānugataṃ savighātaṃ, handassa bodhimaṇḍe paṭiladdhaṃ sattavidhaṃ ariyadhanaṃ demi, lokuttaradāyajjassa naṃ sāmikaṃ karomī’’ti āyasmantaṃ sāriputtaṃ āmantesi ‘‘tena hi, tvaṃ sāriputta, rāhulakumāraṃ pabbājehī’’ti. Thero taṃ pabbājesi. Pabbajite pana kumāre rañño adhimattaṃ dukkhaṃ uppajji. Taṃ adhivāsetuṃ asakkonto bhagavato nivedetvā ‘‘sādhu, bhante, ayyā mātāpitūhi ananuññātaṃ puttaṃ na pabbājeyyu’’nti varaṃ yāci. Bhagavā tassa taṃ varaṃ datvā punadivase rājanivesane katapātarāso ekamantaṃ nisinnena raññā ‘‘bhante, tumhākaṃ dukkarakārikakāle ekā devatā maṃ upasaṅkamitvā ‘putto te kālakato’ti āha, tassā vacanaṃ asaddahanto ‘na mayhaṃ putto bodhiṃ appatvā kālaṃ karotī’ti taṃ paṭikkhipi’’nti vutte ‘‘idāni kiṃ saddahissatha, ye tumhe pubbepi aṭṭhikāni dassetvā ‘putto te mato’ti vutte na saddahitthā’’ti imissā aṭṭhuppattiyā mahādhammapālajātakaṃ kathesi. Kathāpariyosāne rājā anāgāmiphale patiṭṭhāsi.

    อิติ ภควา ปิตรํ ตีสุ ผเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ปุนเทว ราชคหํ คนฺตฺวา เวฬุวเน วิหาสิฯ ตสฺมิํ สมเย อนาถปิณฺฑิโก คหปติ ปญฺจหิ สกฎสเตหิ ภณฺฑํ อาทาย ราชคเห อตฺตโน ปิยสหายกสฺส เสฎฺฐิโน เคหํ คนฺตฺวา ตตฺถ พุทฺธสฺส ภควโต อุปฺปนฺนภาวํ สุตฺวา พลวปจฺจูสสมเย เทวตานุภาเวน วิวเฎน ทฺวาเรน สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย ทุติยทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา สาวตฺถิํ อาคมนตฺถาย สตฺถุ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อนฺตรามเคฺค ปญฺจจตฺตาลีสโยชนฎฺฐาเน สตสหสฺสํ สตสหสฺสํ ทตฺวา โยชนิเก โยชนิเก วิหาเร กาเรตฺวา เชตวนํ โกฎิสนฺถาเรน อฎฺฐารสหิรญฺญโกฎีหิ กิณิตฺวา นวกมฺมํ ปฎฺฐเปสิฯ โส มเชฺฌ ทสพลสฺส คนฺธกุฎิํ กาเรสิ, ตํ ปริวาเรตฺวา อสีติมหาเถรานํ ปาฎิเยกฺกสนฺนิเวสเน อาวาเส เอกกูฎาคารทฺวิกูฎาคารหํสวฎฺฎกทีฆสาลามณฺฑปาทิวเสน เสสเสนาสนานิ โปกฺขรณีจงฺกมนรตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ จาติ อฎฺฐารสโกฎิปริจฺจาเคน รมณีเย ภูมิภาเค มโนรมํ วิหารํ การาเปตฺวา ทสพลสฺส อาคมนตฺถาย ทูตํ เปเสสิฯ สตฺถา ทูตสฺส วจนํ สุตฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ราชคหา นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน สาวตฺถินครํ ปาปุณิฯ

    Iti bhagavā pitaraṃ tīsu phalesu patiṭṭhāpetvā bhikkhusaṅghaparivuto punadeva rājagahaṃ gantvā veḷuvane vihāsi. Tasmiṃ samaye anāthapiṇḍiko gahapati pañcahi sakaṭasatehi bhaṇḍaṃ ādāya rājagahe attano piyasahāyakassa seṭṭhino gehaṃ gantvā tattha buddhassa bhagavato uppannabhāvaṃ sutvā balavapaccūsasamaye devatānubhāvena vivaṭena dvārena satthāraṃ upasaṅkamitvā dhammaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāya dutiyadivase buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā sāvatthiṃ āgamanatthāya satthu paṭiññaṃ gahetvā antarāmagge pañcacattālīsayojanaṭṭhāne satasahassaṃ satasahassaṃ datvā yojanike yojanike vihāre kāretvā jetavanaṃ koṭisanthārena aṭṭhārasahiraññakoṭīhi kiṇitvā navakammaṃ paṭṭhapesi. So majjhe dasabalassa gandhakuṭiṃ kāresi, taṃ parivāretvā asītimahātherānaṃ pāṭiyekkasannivesane āvāse ekakūṭāgāradvikūṭāgārahaṃsavaṭṭakadīghasālāmaṇḍapādivasena sesasenāsanāni pokkharaṇīcaṅkamanarattiṭṭhānadivāṭṭhānāni cāti aṭṭhārasakoṭipariccāgena ramaṇīye bhūmibhāge manoramaṃ vihāraṃ kārāpetvā dasabalassa āgamanatthāya dūtaṃ pesesi. Satthā dūtassa vacanaṃ sutvā mahābhikkhusaṅghaparivuto rājagahā nikkhamitvā anupubbena sāvatthinagaraṃ pāpuṇi.

    มหาเสฎฺฐิปิ โข วิหารมหํ สเชฺชตฺวา ตถาคตสฺส เชตวนปฺปวิสนทิวเส ปุตฺตํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ กตฺวา อลงฺกตปฎิยเตฺตเหว ปญฺจหิ กุมารสเตหิ สทฺธิํ เปเสสิฯ โส สปริวาโร ปญฺจวณฺณวตฺถสมุชฺชลานิ ปญฺจ ธชสตานิ คเหตฺวา ทสพลสฺส ปุรโต อโหสิฯ เตสํ ปจฺฉโต มหาสุภทฺทา จูฬสุภทฺทาติ เทฺว เสฎฺฐิธีตโร ปญฺจหิ กุมาริกาสเตหิ สทฺธิํ ปุณฺณฆเฎ คเหตฺวา นิกฺขมิํสุฯ ตาสํ ปจฺฉโต เสฎฺฐิภริยา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา ปญฺจหิ มาตุคามสเตหิ สทฺธิํ ปุณฺณปาติโย คเหตฺวา นิกฺขมิฯ สเพฺพสํ ปจฺฉโต สยํ มหาเสฎฺฐิ อหตวตฺถนิวโตฺถ อหตวตฺถนิวเตฺถเหว ปญฺจหิ เสฎฺฐิสเตหิ สทฺธิํ ภควนฺตํ อพฺภุคฺคญฺฉิฯ ภควา อิมํ อุปาสกปริสํ ปุรโต กตฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อตฺตโน สรีรปฺปภาย สุวณฺณรสเสกปิญฺชรานิ วิย วนนฺตรานิ กุรุมาโน อนนฺตาย พุทฺธลีฬาย อปฎิสมาย พุทฺธสิริยา เชตวนวิหารํ ปาวิสิฯ

    Mahāseṭṭhipi kho vihāramahaṃ sajjetvā tathāgatassa jetavanappavisanadivase puttaṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ katvā alaṅkatapaṭiyatteheva pañcahi kumārasatehi saddhiṃ pesesi. So saparivāro pañcavaṇṇavatthasamujjalāni pañca dhajasatāni gahetvā dasabalassa purato ahosi. Tesaṃ pacchato mahāsubhaddā cūḷasubhaddāti dve seṭṭhidhītaro pañcahi kumārikāsatehi saddhiṃ puṇṇaghaṭe gahetvā nikkhamiṃsu. Tāsaṃ pacchato seṭṭhibhariyā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā pañcahi mātugāmasatehi saddhiṃ puṇṇapātiyo gahetvā nikkhami. Sabbesaṃ pacchato sayaṃ mahāseṭṭhi ahatavatthanivattho ahatavatthanivattheheva pañcahi seṭṭhisatehi saddhiṃ bhagavantaṃ abbhuggañchi. Bhagavā imaṃ upāsakaparisaṃ purato katvā mahābhikkhusaṅghaparivuto attano sarīrappabhāya suvaṇṇarasasekapiñjarāni viya vanantarāni kurumāno anantāya buddhalīḷāya apaṭisamāya buddhasiriyā jetavanavihāraṃ pāvisi.

    อถ นํ อนาถปิณฺฑิโก ปุจฺฉิ – ‘‘กถาหํ, ภเนฺต, อิมสฺมิํ วิหาเร ปฎิปชฺชามี’’ติฯ เตน หิ คหปติ อิมํ วิหารํ อาคตานาคตสฺส จาตุทฺทิสสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส เทหีติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ มหาเสฎฺฐิ สุวณฺณภิงฺการํ อาทาย ทสพลสฺส หเตฺถ อุทกํ ปาเตตฺวา ‘‘อิมํ เชตวนวิหารํ อาคตานาคตสฺส จาตุทฺทิสสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ อทาสิฯ สตฺถา วิหารํ ปฎิคฺคเหตฺวา อนุโมทนํ กโรโนฺต –

    Atha naṃ anāthapiṇḍiko pucchi – ‘‘kathāhaṃ, bhante, imasmiṃ vihāre paṭipajjāmī’’ti. Tena hi gahapati imaṃ vihāraṃ āgatānāgatassa cātuddisassa bhikkhusaṅghassa dehīti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti mahāseṭṭhi suvaṇṇabhiṅkāraṃ ādāya dasabalassa hatthe udakaṃ pātetvā ‘‘imaṃ jetavanavihāraṃ āgatānāgatassa cātuddisassa bhikkhusaṅghassa dammī’’ti adāsi. Satthā vihāraṃ paṭiggahetvā anumodanaṃ karonto –

    ‘‘สีตํ อุณฺหํ ปฎิหนฺติ, ตโต วาฬมิคานิ จ;

    ‘‘Sītaṃ uṇhaṃ paṭihanti, tato vāḷamigāni ca;

    สรีสเป จ มกเส, สิสิเร จาปิ วุฎฺฐิโยฯ

    Sarīsape ca makase, sisire cāpi vuṭṭhiyo.

    ‘‘ตโต วาตาตโป โฆโร, สญฺชาโต ปฎิหญฺญติ;

    ‘‘Tato vātātapo ghoro, sañjāto paṭihaññati;

    เลณตฺถญฺจ สุขตฺถญฺจ, ฌายิตุญฺจ วิปสฺสิตุํฯ

    Leṇatthañca sukhatthañca, jhāyituñca vipassituṃ.

    ‘‘วิหารทานํ สงฺฆสฺส, อคฺคํ พุเทฺธน วณฺณิตํ;

    ‘‘Vihāradānaṃ saṅghassa, aggaṃ buddhena vaṇṇitaṃ;

    ตสฺมา หิ ปณฺฑิโต โปโส, สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโนฯ

    Tasmā hi paṇḍito poso, sampassaṃ atthamattano.

    ‘‘วิหาเร การเย รเมฺม, วาสเยตฺถ พหุสฺสุเต;

    ‘‘Vihāre kāraye ramme, vāsayettha bahussute;

    เตสํ อนฺนญฺจ ปานญฺจ, วตฺถเสนาสนานิ จฯ

    Tesaṃ annañca pānañca, vatthasenāsanāni ca.

    ‘‘ทเทยฺย อุชุภูเตสุ, วิปฺปสเนฺนน เจตสา;

    ‘‘Dadeyya ujubhūtesu, vippasannena cetasā;

    เต ตสฺส ธมฺมํ เทเสนฺติ, สพฺพทุกฺขาปนูทนํ;

    Te tassa dhammaṃ desenti, sabbadukkhāpanūdanaṃ;

    ยํ โส ธมฺมํ อิธญฺญาย, ปรินิพฺพาติ อนาสโว’’ติฯ (จูฬว. ๒๙๕) –

    Yaṃ so dhammaṃ idhaññāya, parinibbāti anāsavo’’ti. (cūḷava. 295) –

    วิหารานิสํสํ กเถสิฯ อนาถปิณฺฑิโก ทุติยทิวสโต ปฎฺฐาย วิหารมหํ อารภิฯ วิสาขาย ปาสาทมโห จตูหิ มาเสหิ นิฎฺฐิโต, อนาถปิณฺฑิกสฺส ปน วิหารมโห นวหิ มาเสหิ นิฎฺฐาสิฯ วิหารมเหปิ อฎฺฐารเสว โกฎิโย ปริจฺจาคํ อคมํสุฯ อิติ เอกสฺมิํเยว วิหาเร จตุปณฺณาสโกฎิสงฺขฺยํ ธนํ ปริจฺจชิฯ

    Vihārānisaṃsaṃ kathesi. Anāthapiṇḍiko dutiyadivasato paṭṭhāya vihāramahaṃ ārabhi. Visākhāya pāsādamaho catūhi māsehi niṭṭhito, anāthapiṇḍikassa pana vihāramaho navahi māsehi niṭṭhāsi. Vihāramahepi aṭṭhāraseva koṭiyo pariccāgaṃ agamaṃsu. Iti ekasmiṃyeva vihāre catupaṇṇāsakoṭisaṅkhyaṃ dhanaṃ pariccaji.

    อตีเต ปน วิปสฺสิสฺส ภควโต กาเล ปุนพฺพสุมิโตฺต นาม เสฎฺฐิ สุวณฺณิฎฺฐกาสนฺถาเรน กิณิตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน โยชนปฺปมาณํ สงฺฆารามํ กาเรสิฯ สิขิสฺส ภควโต กาเล สิริวโฑฺฒ นาม เสฎฺฐิ สุวณฺณผาลสนฺถาเรน กิณิตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน ติคาวุตปฺปมาณํ สงฺฆารามํ กาเรสิฯ เวสฺสภุสฺส ภควโต กาเล โสตฺถิโช นาม เสฎฺฐิ สุวณฺณหตฺถิปทสนฺถาเรน กิณิตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน อฑฺฒโยชนปฺปมาณํ สงฺฆารามํ กาเรสิฯ กกุสนฺธสฺส ภควโต กาเล อจฺจุโต นาม เสฎฺฐิ สุวณฺณิฎฺฐกาสนฺถาเรน กิณิตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน คาวุตปฺปมาณํ สงฺฆารามํ กาเรสิฯ โกณาคมนสฺส ภควโต กาเล อุโคฺค นาม เสฎฺฐิ สุวณฺณกจฺฉปสนฺถาเรน กิณิตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน อฑฺฒคาวุตปฺปมาณํ สงฺฆารามํ กาเรสิฯ กสฺสปสฺส ภควโต กาเล สุมงฺคโล นาม เสฎฺฐิ สุวณฺณกฎฺฎิสนฺถาเรน กิณิตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน โสฬสกรีสปฺปมาณํ สงฺฆารามํ กาเรสิฯ อมฺหากํ ปน ภควโต กาเล อนาถปิณฺฑิโก นาม เสฎฺฐิ กหาปณโกฎิสนฺถาเรน กิณิตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน อฎฺฐกรีสปฺปมาณํ สงฺฆารามํ กาเรสิฯ อิทํ กิร ฐานํ สพฺพพุทฺธานํ อวิชหิตฎฺฐานเมวฯ

    Atīte pana vipassissa bhagavato kāle punabbasumitto nāma seṭṭhi suvaṇṇiṭṭhakāsanthārena kiṇitvā tasmiṃyeva ṭhāne yojanappamāṇaṃ saṅghārāmaṃ kāresi. Sikhissa bhagavato kāle sirivaḍḍho nāma seṭṭhi suvaṇṇaphālasanthārena kiṇitvā tasmiṃyeva ṭhāne tigāvutappamāṇaṃ saṅghārāmaṃ kāresi. Vessabhussa bhagavato kāle sotthijo nāma seṭṭhi suvaṇṇahatthipadasanthārena kiṇitvā tasmiṃyeva ṭhāne aḍḍhayojanappamāṇaṃ saṅghārāmaṃ kāresi. Kakusandhassa bhagavato kāle accuto nāma seṭṭhi suvaṇṇiṭṭhakāsanthārena kiṇitvā tasmiṃyeva ṭhāne gāvutappamāṇaṃ saṅghārāmaṃ kāresi. Koṇāgamanassa bhagavato kāle uggo nāma seṭṭhi suvaṇṇakacchapasanthārena kiṇitvā tasmiṃyeva ṭhāne aḍḍhagāvutappamāṇaṃ saṅghārāmaṃ kāresi. Kassapassa bhagavato kāle sumaṅgalo nāma seṭṭhi suvaṇṇakaṭṭisanthārena kiṇitvā tasmiṃyeva ṭhāne soḷasakarīsappamāṇaṃ saṅghārāmaṃ kāresi. Amhākaṃ pana bhagavato kāle anāthapiṇḍiko nāma seṭṭhi kahāpaṇakoṭisanthārena kiṇitvā tasmiṃyeva ṭhāne aṭṭhakarīsappamāṇaṃ saṅghārāmaṃ kāresi. Idaṃ kira ṭhānaṃ sabbabuddhānaṃ avijahitaṭṭhānameva.

    อิติ มหาโพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตปฺปตฺติโต ยาว มหาปรินิพฺพานมญฺจา ยสฺมิํ ยสฺมิํ ฐาเน ภควา วิหาสิ, อิทํ สนฺติเกนิทานํ นาม, ตสฺส วเสน สพฺพชาตกานิ วณฺณยิสฺสามฯ

    Iti mahābodhimaṇḍe sabbaññutappattito yāva mahāparinibbānamañcā yasmiṃ yasmiṃ ṭhāne bhagavā vihāsi, idaṃ santikenidānaṃ nāma, tassa vasena sabbajātakāni vaṇṇayissāma.

    นิทานกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Nidānakathā niṭṭhitā.

    ๑. เอกกนิปาโต

    1. Ekakanipāto

    ๑. อปณฺณกวโคฺค

    1. Apaṇṇakavaggo

    ๑. อปณฺณกชาตกวณฺณนา

    1. Apaṇṇakajātakavaṇṇanā

    อิมํ ตาว อปณฺณกธมฺมเทสนํ ภควา สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย เชตวนมหาวิหาเร วิหรโนฺต กเถสิฯ กํ ปน อารพฺภ อยํ กถา สมุฎฺฐิตาติ? เสฎฺฐิสฺส สหายเก ปญฺจสเต ติตฺถิยสาวเกฯ เอกสฺมิญฺหิ ทิวเส อนาถปิณฺฑิโก เสฎฺฐิ อตฺตโน สหายเก ปญฺจสเต อญฺญติตฺถิยสาวเก อาทาย พหุํ มาลาคนฺธวิเลปนเญฺจว สปฺปิเตลมธุผาณิตวตฺถจฺฉาทนานิ จ คาหาเปตฺวา เชตวนํ คนฺตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา เภสชฺชานิ เจว วตฺถานิ จ ภิกฺขุสงฺฆสฺส วิสฺสเชฺชตฺวา ฉ นิสชฺชาโทเส วเชฺชตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เตปิ อญฺญติตฺถิยสาวกา ตถาคตํ วนฺทิตฺวา สตฺถุ ปุณฺณจนฺทสสฺสิริกํ มุขํ, ลกฺขณานุพฺยญฺชนปฎิมณฺฑิตํ พฺยามปฺปภาปริกฺขิตฺตํ พฺรหฺมกายํ, อาเวฬาเวฬา ยมกยมกา หุตฺวา นิจฺฉรนฺติโย ฆนพุทฺธรสฺมิโย จ โอโลกยมานา อนาถปิณฺฑิกสฺส สมีเปเยว นิสีทิํสุฯ

    Imaṃ tāva apaṇṇakadhammadesanaṃ bhagavā sāvatthiṃ upanissāya jetavanamahāvihāre viharanto kathesi. Kaṃ pana ārabbha ayaṃ kathā samuṭṭhitāti? Seṭṭhissa sahāyake pañcasate titthiyasāvake. Ekasmiñhi divase anāthapiṇḍiko seṭṭhi attano sahāyake pañcasate aññatitthiyasāvake ādāya bahuṃ mālāgandhavilepanañceva sappitelamadhuphāṇitavatthacchādanāni ca gāhāpetvā jetavanaṃ gantvā bhagavantaṃ vanditvā gandhamālādīhi pūjetvā bhesajjāni ceva vatthāni ca bhikkhusaṅghassa vissajjetvā cha nisajjādose vajjetvā ekamantaṃ nisīdi. Tepi aññatitthiyasāvakā tathāgataṃ vanditvā satthu puṇṇacandasassirikaṃ mukhaṃ, lakkhaṇānubyañjanapaṭimaṇḍitaṃ byāmappabhāparikkhittaṃ brahmakāyaṃ, āveḷāveḷā yamakayamakā hutvā niccharantiyo ghanabuddharasmiyo ca olokayamānā anāthapiṇḍikassa samīpeyeva nisīdiṃsu.

    อถ เนสํ สตฺถา มโนสิลาตเล สีหนาทํ นทโนฺต ตรุณสีโห วิย คชฺชโนฺต ปาวุสฺสกเมโฆ วิย จ อากาสคงฺคํ โอตาเรโนฺต วิย จ รตนทามํ คเนฺถโนฺต วิย จ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคเตน สวนีเยน กมนีเยน พฺรหฺมสฺสเรน นานานยวิจิตฺตํ มธุรธมฺมกถํ กเถสิฯ เต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปสนฺนจิตฺตา อุฎฺฐาย ทสพลํ วนฺทิตฺวา อญฺญติตฺถิยสรณํ ภินฺทิตฺวา พุทฺธํ สรณํ อคมํสุฯ เต ตโต ปฎฺฐาย นิจฺจกาลํ อนาถปิณฺฑิเกน สทฺธิํ คนฺธมาลาทิหตฺถา วิหารํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณนฺติ, ทานํ เทนฺติ, สีลํ รกฺขนฺติ, อุโปสถกมฺมํ กโรนฺติฯ

    Atha nesaṃ satthā manosilātale sīhanādaṃ nadanto taruṇasīho viya gajjanto pāvussakamegho viya ca ākāsagaṅgaṃ otārento viya ca ratanadāmaṃ ganthento viya ca aṭṭhaṅgasamannāgatena savanīyena kamanīyena brahmassarena nānānayavicittaṃ madhuradhammakathaṃ kathesi. Te satthu dhammadesanaṃ sutvā pasannacittā uṭṭhāya dasabalaṃ vanditvā aññatitthiyasaraṇaṃ bhinditvā buddhaṃ saraṇaṃ agamaṃsu. Te tato paṭṭhāya niccakālaṃ anāthapiṇḍikena saddhiṃ gandhamālādihatthā vihāraṃ gantvā dhammaṃ suṇanti, dānaṃ denti, sīlaṃ rakkhanti, uposathakammaṃ karonti.

    อถ ภควา สาวตฺถิโต ปุนเทว ราชคหํ อคมาสิฯ เต ตถาคตสฺส คตกาเล ตํ สรณํ ภินฺทิตฺวา ปุน อญฺญติตฺถิยสรณํ คนฺตฺวา อตฺตโน มูลฎฺฐาเนเยว ปติฎฺฐิตาฯ ภควาปิ สตฺตฎฺฐ มาเส วีตินาเมตฺวา ปุน เชตวนเมว อคมาสิฯ อนาถปิณฺฑิโก ปุนปิ เต อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา สตฺถารํ คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เตปิ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ อถ เนสํ ตถาคเต จาริกํ ปกฺกเนฺต คหิตสรณํ ภินฺทิตฺวา ปุน อญฺญติตฺถิยสรณเมว คเหตฺวา มูเล ปติฎฺฐิตภาวํ ภควโต อาโรเจสิฯ

    Atha bhagavā sāvatthito punadeva rājagahaṃ agamāsi. Te tathāgatassa gatakāle taṃ saraṇaṃ bhinditvā puna aññatitthiyasaraṇaṃ gantvā attano mūlaṭṭhāneyeva patiṭṭhitā. Bhagavāpi sattaṭṭha māse vītināmetvā puna jetavanameva agamāsi. Anāthapiṇḍiko punapi te ādāya satthu santikaṃ gantvā satthāraṃ gandhamālādīhi pūjetvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Tepi bhagavantaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Atha nesaṃ tathāgate cārikaṃ pakkante gahitasaraṇaṃ bhinditvā puna aññatitthiyasaraṇameva gahetvā mūle patiṭṭhitabhāvaṃ bhagavato ārocesi.

    ภควา อปริมิตกปฺปโกฎิโย นิรนฺตรํ ปวตฺติตวจีสุจริตานุภาเวน ทิพฺพคนฺธคนฺธิตํ นานาคนฺธปูริตํ รตนกรณฺฑกํ วิวรโนฺต วิย มุขปทุมํ วิวริตฺวา มธุรสฺสรํ นิจฺฉาเรโนฺต ‘‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห อุปาสกา ตีณิ สรณานิ ภินฺทิตฺวา อญฺญติตฺถิยสรณํ คตา’’ติ ปุจฺฉิฯ อถ เตหิ ปฎิจฺฉาเทตุํ อสโกฺกเนฺตหิ ‘‘สจฺจํ ภควา’’ติ วุเตฺต สตฺถา ‘‘อุปาสกา เหฎฺฐา อวีจิํ อุปริ ภวคฺคํ ปริเจฺฉทํ กตฺวา ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ สีลาทีหิ คุเณหิ พุเทฺธน สทิโส นาม นตฺถิ, กุโต อธิกตโร’’ติฯ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา ทฺวิปทา วา จตุปฺปทา วา พหุปฺปทา วา, ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายติ (สํ. นิ. ๕.๑๓๙; อ. นิ. ๔.๓๔), ยํ กิญฺจิ วิตฺตํ อิธ วา หุรํ วา…เป.… (ขุ. ปา. ๖.๓; สุ. นิ. ๒๒๖) อคฺคโต เว ปสนฺนาน’’นฺติอาทีหิ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐) สุเตฺตหิ ปกาสิเต รตนตฺตยคุเณ ปกาเสตฺวา ‘‘เอวํ อุตฺตมคุเณหิ สมนฺนาคตํ รตนตฺตยํ สรณํ คตา อุปาสกา วา อุปาสิกา วา นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตกา นาม นตฺถิ, อปายนิพฺพตฺติโต ปน มุจฺจิตฺวา เทวโลเก อุปฺปชฺชิตฺวา มหาสมฺปตฺติํ อนุโภนฺติ, ตสฺมา ตุเมฺหหิ เอวรูปํ สรณํ ภินฺทิตฺวา อญฺญติตฺถิยสรณํ คจฺฉเนฺตหิ อยุตฺตํ กต’’นฺติ อาหฯ

    Bhagavā aparimitakappakoṭiyo nirantaraṃ pavattitavacīsucaritānubhāvena dibbagandhagandhitaṃ nānāgandhapūritaṃ ratanakaraṇḍakaṃ vivaranto viya mukhapadumaṃ vivaritvā madhurassaraṃ nicchārento ‘‘saccaṃ kira tumhe upāsakā tīṇi saraṇāni bhinditvā aññatitthiyasaraṇaṃ gatā’’ti pucchi. Atha tehi paṭicchādetuṃ asakkontehi ‘‘saccaṃ bhagavā’’ti vutte satthā ‘‘upāsakā heṭṭhā avīciṃ upari bhavaggaṃ paricchedaṃ katvā tiriyaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu sīlādīhi guṇehi buddhena sadiso nāma natthi, kuto adhikataro’’ti. ‘‘Yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā dvipadā vā catuppadā vā bahuppadā vā, tathāgato tesaṃ aggamakkhāyati (saṃ. ni. 5.139; a. ni. 4.34), yaṃ kiñci vittaṃ idha vā huraṃ vā…pe… (khu. pā. 6.3; su. ni. 226) aggato ve pasannāna’’ntiādīhi (a. ni. 4.34; itivu. 90) suttehi pakāsite ratanattayaguṇe pakāsetvā ‘‘evaṃ uttamaguṇehi samannāgataṃ ratanattayaṃ saraṇaṃ gatā upāsakā vā upāsikā vā nirayādīsu nibbattakā nāma natthi, apāyanibbattito pana muccitvā devaloke uppajjitvā mahāsampattiṃ anubhonti, tasmā tumhehi evarūpaṃ saraṇaṃ bhinditvā aññatitthiyasaraṇaṃ gacchantehi ayuttaṃ kata’’nti āha.

    เอตฺถ จ ตีณิ รตนานิ โมกฺขวเสน อุตฺตมวเสน สรณคตานํ อปาเยสุ นิพฺพตฺติยา อภาวทีปนตฺถํ อิมานิ สุตฺตานิ ทเสฺสตพฺพานิ –

    Ettha ca tīṇi ratanāni mokkhavasena uttamavasena saraṇagatānaṃ apāyesu nibbattiyā abhāvadīpanatthaṃ imāni suttāni dassetabbāni –

    ‘‘เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส, น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;

    ‘‘Ye keci buddhaṃ saraṇaṃ gatāse, na te gamissanti apāyabhūmiṃ;

    ปหาย มานุสํ เทหํ, เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);

    Pahāya mānusaṃ dehaṃ, devakāyaṃ paripūressanti. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);

    ‘‘เย เกจิ ธมฺมํ สรณํ คตาเส, น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;

    ‘‘Ye keci dhammaṃ saraṇaṃ gatāse, na te gamissanti apāyabhūmiṃ;

    ปหาย มานุสํ เทหํ, เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติฯ

    Pahāya mānusaṃ dehaṃ, devakāyaṃ paripūressanti.

    ‘‘เย เกจิ สงฺฆํ สรณํ คตาเส, น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;

    ‘‘Ye keci saṅghaṃ saraṇaṃ gatāse, na te gamissanti apāyabhūmiṃ;

    ปหาย มานุสํ เทหํ, เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติฯ

    Pahāya mānusaṃ dehaṃ, devakāyaṃ paripūressanti.

    ‘‘พหุํ เว สรณํ ยนฺติ, ปพฺพตานิ วนานิ จ;

    ‘‘Bahuṃ ve saraṇaṃ yanti, pabbatāni vanāni ca;

    อารามรุกฺขเจตฺยานิ, มนุสฺสา ภยตชฺชิตาฯ

    Ārāmarukkhacetyāni, manussā bhayatajjitā.

    ‘‘เนตํ โข สรณํ เขมํ, เนตํ สรณมุตฺตมํ;

    ‘‘Netaṃ kho saraṇaṃ khemaṃ, netaṃ saraṇamuttamaṃ;

    เนตํ สรณมาคมฺม, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติฯ

    Netaṃ saraṇamāgamma, sabbadukkhā pamuccati.

    ‘‘โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ, สงฺฆญฺจ สรณํ คโต;

    ‘‘Yo ca buddhañca dhammañca, saṅghañca saraṇaṃ gato;

    จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติฯ

    Cattāri ariyasaccāni, sammappaññāya passati.

    ‘‘ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ, ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ;

    ‘‘Dukkhaṃ dukkhasamuppādaṃ, dukkhassa ca atikkamaṃ;

    อริยญฺจฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ, ทุกฺขูปสมคามินํฯ

    Ariyañcaṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ, dukkhūpasamagāminaṃ.

    ‘‘เอตํ โข สรณํ เขมํ, เอตํ สรณมุตฺตมํ;

    ‘‘Etaṃ kho saraṇaṃ khemaṃ, etaṃ saraṇamuttamaṃ;

    เอตํ สรณมาคมฺม, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๘๘-๑๙๒);

    Etaṃ saraṇamāgamma, sabbadukkhā pamuccatī’’ti. (dha. pa. 188-192);

    น เกวลญฺจ เนสํ สตฺถา เอตฺตกํเยว ธมฺมํ เทเสสิ, อปิจ โข ‘‘อุปาสกา พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานํ นาม, ธมฺมานุสฺสติกมฺมฎฺฐานํ นาม, สงฺฆานุสฺสติกมฺมฎฺฐานํ นาม โสตาปตฺติมคฺคํ เทติ, โสตาปตฺติผลํ เทติ, สกทาคามิมคฺคํ เทติ, สกทาคามิผลํ เทติ, อนาคามิมคฺคํ เทติ, อนาคามิผลํ เทติ, อรหตฺตมคฺคํ เทติ, อรหตฺตผลํ เทตี’’ติเอวมาทีหิปิ นเยหิ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘เอวรูปํ นาม สรณํ ภินฺทเนฺตหิ อยุตฺตํ ตุเมฺหหิ กต’’นฺติ อาหฯ เอตฺถ จ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานาทีนํ โสตาปตฺติมคฺคาทิปฺปทานํ ‘‘เอกธโมฺม, ภิกฺขเว, ภาวิโต พหุลีกโต เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สโมฺพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติฯ กตโม เอกธโมฺม? พุทฺธานุสฺสตี’’ติเอวมาทีหิ (อ. นิ. ๑.๒๙๖) สุเตฺตหิ ทีเปตพฺพํฯ

    Na kevalañca nesaṃ satthā ettakaṃyeva dhammaṃ desesi, apica kho ‘‘upāsakā buddhānussatikammaṭṭhānaṃ nāma, dhammānussatikammaṭṭhānaṃ nāma, saṅghānussatikammaṭṭhānaṃ nāma sotāpattimaggaṃ deti, sotāpattiphalaṃ deti, sakadāgāmimaggaṃ deti, sakadāgāmiphalaṃ deti, anāgāmimaggaṃ deti, anāgāmiphalaṃ deti, arahattamaggaṃ deti, arahattaphalaṃ detī’’tievamādīhipi nayehi dhammaṃ desetvā ‘‘evarūpaṃ nāma saraṇaṃ bhindantehi ayuttaṃ tumhehi kata’’nti āha. Ettha ca buddhānussatikammaṭṭhānādīnaṃ sotāpattimaggādippadānaṃ ‘‘ekadhammo, bhikkhave, bhāvito bahulīkato ekantanibbidāya virāgāya nirodhāya upasamāya abhiññāya sambodhāya nibbānāya saṃvattati. Katamo ekadhammo? Buddhānussatī’’tievamādīhi (a. ni. 1.296) suttehi dīpetabbaṃ.

    เอวํ ภควา นานปฺปกาเรหิ อุปาสเก โอวทิตฺวา ‘‘อุปาสกา ปุเพฺพปิ มนุสฺสา อสรณํ ‘สรณ’นฺติ ตกฺกคฺคาเหน วิรทฺธคฺคาเหน คเหตฺวา อมนุสฺสปริคฺคหิเต กนฺตาเร ยกฺขภกฺขา หุตฺวา มหาวินาสํ ปตฺตา, อปณฺณกคฺคาหํ ปน เอกํสิกคฺคาหํ อวิรทฺธคฺคาหํ คหิตมนุสฺสา ตสฺมิํเยว กนฺตาเร โสตฺถิภาวํ ปตฺตา’’ติ วตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ อถ โข อนาถปิณฺฑิโก คหปติ อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อภิตฺถวิตฺวา สิรสฺมิํ อญฺชลิํ ปติฎฺฐาเปตฺวา เอวมาห ‘‘ภเนฺต, อิทานิ ตาว อิเมสํ อุปาสกานํ อุตฺตมสรณํ ภินฺทิตฺวา ตกฺกคฺคหณํ อมฺหากํ ปากฎํ, ปุเพฺพ ปน อมนุสฺสปริคฺคหิเต กนฺตาเร ตกฺกิกานํ วินาโส, อปณฺณกคฺคาหํ คหิตมนุสฺสานญฺจ โสตฺถิภาโว อมฺหากํ ปฎิจฺฉโนฺน, ตุมฺหากเมว ปากโฎ, สาธุ วต โน ภควา อากาเส ปุณฺณจนฺทํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย อิมํ การณํ ปากฎํ กโรตู’’ติฯ อถ ภควา ‘‘มยา โข, คหปติ, อปริมิตกาลํ ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา โลกสฺส กงฺขเจฺฉทนตฺถเมว สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิทฺธํ, สีหวสาย สุวณฺณนาฬิํ ปูเรโนฺต วิย สกฺกจฺจํ โสตํ โอทหิตฺวา สุโณหี’’ติ เสฎฺฐิโน สตุปฺปาทํ ชเนตฺวา หิมคพฺภํ ปทาเลตฺวา ปุณฺณจนฺทํ นีหรโนฺต วิย ภวนฺตเรน ปฎิจฺฉนฺนการณํ ปากฎํ อกาสิฯ

    Evaṃ bhagavā nānappakārehi upāsake ovaditvā ‘‘upāsakā pubbepi manussā asaraṇaṃ ‘saraṇa’nti takkaggāhena viraddhaggāhena gahetvā amanussapariggahite kantāre yakkhabhakkhā hutvā mahāvināsaṃ pattā, apaṇṇakaggāhaṃ pana ekaṃsikaggāhaṃ aviraddhaggāhaṃ gahitamanussā tasmiṃyeva kantāre sotthibhāvaṃ pattā’’ti vatvā tuṇhī ahosi. Atha kho anāthapiṇḍiko gahapati uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ vanditvā abhitthavitvā sirasmiṃ añjaliṃ patiṭṭhāpetvā evamāha ‘‘bhante, idāni tāva imesaṃ upāsakānaṃ uttamasaraṇaṃ bhinditvā takkaggahaṇaṃ amhākaṃ pākaṭaṃ, pubbe pana amanussapariggahite kantāre takkikānaṃ vināso, apaṇṇakaggāhaṃ gahitamanussānañca sotthibhāvo amhākaṃ paṭicchanno, tumhākameva pākaṭo, sādhu vata no bhagavā ākāse puṇṇacandaṃ uṭṭhāpento viya imaṃ kāraṇaṃ pākaṭaṃ karotū’’ti. Atha bhagavā ‘‘mayā kho, gahapati, aparimitakālaṃ dasa pāramiyo pūretvā lokassa kaṅkhacchedanatthameva sabbaññutaññāṇaṃ paṭividdhaṃ, sīhavasāya suvaṇṇanāḷiṃ pūrento viya sakkaccaṃ sotaṃ odahitvā suṇohī’’ti seṭṭhino satuppādaṃ janetvā himagabbhaṃ padāletvā puṇṇacandaṃ nīharanto viya bhavantarena paṭicchannakāraṇaṃ pākaṭaṃ akāsi.

    อตีเต กาสิรเฎฺฐ พาราณสินคเร พฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ ตทา โพธิสโตฺต สตฺถวาหกุเล ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา ทสมาสจฺจเยน มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน วยปฺปโตฺต ปญฺจหิ สกฎสเตหิ วณิชฺชํ กโรโนฺต วิจรติฯ โส กทาจิ ปุพฺพนฺตโต อปรนฺตํ คจฺฉติ, กทาจิ อปรนฺตโต ปุพฺพนฺตํฯ พาราณสิยํเยว อโญฺญปิ สตฺถวาหปุโตฺต อตฺถิ พาโล อพฺยโตฺต อนุปายกุสโลฯ ตทา โพธิสโตฺต พาราณสิโต มหคฺฆํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ปญฺจ สกฎสตานิ ปูเรตฺวา คมนสชฺชานิ กตฺวา ฐเปสิฯ โสปิ พาลสตฺถวาหปุโตฺต ตเถว ปญฺจ สกฎสตานิ ปูเรตฺวา คมนสชฺชานิ กตฺวา ฐเปสิฯ

    Atīte kāsiraṭṭhe bārāṇasinagare brahmadatto nāma rājā ahosi. Tadā bodhisatto satthavāhakule paṭisandhiṃ gahetvā dasamāsaccayena mātukucchito nikkhamitvā anupubbena vayappatto pañcahi sakaṭasatehi vaṇijjaṃ karonto vicarati. So kadāci pubbantato aparantaṃ gacchati, kadāci aparantato pubbantaṃ. Bārāṇasiyaṃyeva aññopi satthavāhaputto atthi bālo abyatto anupāyakusalo. Tadā bodhisatto bārāṇasito mahagghaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā pañca sakaṭasatāni pūretvā gamanasajjāni katvā ṭhapesi. Sopi bālasatthavāhaputto tatheva pañca sakaṭasatāni pūretvā gamanasajjāni katvā ṭhapesi.

    ตทา โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘สเจ อยํ พาลสตฺถวาหปุโตฺต มยา สทฺธิํเยว คมิสฺสติ, สกฎสหเสฺส เอกโต มคฺคํ คจฺฉเนฺต มโคฺคปิ นปฺปโหสฺสติ, มนุสฺสานํ ทารุทกาทีนิปิ, พลิพทฺทานํ ติณานิปิ ทุลฺลภานิ ภวิสฺสนฺติ, เอเตน วา มยา วา ปุรโต คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ทฺวีหิปิ อเมฺหหิ เอกโต คนฺตุํ น สกฺกา, กิํ ตฺวํ ปุรโต คมิสฺสสิ, อุทาหุ ปจฺฉโต’’ติ อาหฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘มยิ ปุรโต คจฺฉเนฺต พหู อานิสํสา, มเคฺคน อภิเนฺนเนว คมิสฺสามิ, โคณา อนามฎฺฐติณํ ขาทิสฺสนฺติ, มนุสฺสานํ อนามฎฺฐํ สูเปยฺยปณฺณํ ภวิสฺสติ, ปสนฺนํ อุทกํ ภวิสฺสติ, ยถารุจิํ อคฺฆํ ฐเปตฺวา ภณฺฑํ วิกฺกิณิสฺสามี’’ติฯ โส ‘‘อหํ, สมฺม, ปุรโต คมิสฺสามี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺตปิ ปจฺฉโต คมเน พหู อานิสํเส อทฺทสฯ เอวํ หิสฺส อโหสิ – ‘‘ปุรโต คจฺฉนฺตา มเคฺค วิสมฎฺฐานํ สมํ กริสฺสนฺติ, อหํ เตหิ คตมเคฺคน คมิสฺสามิ, ปุรโต คเตหิ พลิพเทฺทหิ ปริณตถทฺธติเณ ขาทิเต มม โคณา ปุน อุฎฺฐิตานิ มธุรติณานิ ขาทิสฺสนฺติ, คหิตปณฺณฎฺฐานโต อุฎฺฐิตํ มนุสฺสานํ สูเปยฺยปณฺณํ มธุรํ ภวิสฺสติ, อนุทเก ฐาเน อาวาฎํ ขนิตฺวา เอเต อุทกํ อุปฺปาเทสฺสนฺติ, เตหิ กเตสุ อาวาเฎสุ มยํ อุทกํ ปิวิสฺสาม, อคฺฆฎฺฐปนํ นาม มนุสฺสานํ ชีวิตา โวโรปนสทิสํ, อหํ ปจฺฉโต คนฺตฺวา เอเตหิ ฐปิตเคฺฆน ภณฺฑํ วิกฺกิณิสฺสามี’’ติฯ อถ โส เอตฺตเก อานิสํเส ทิสฺวา ‘‘สมฺม, ตฺวํ ปุรโต คจฺฉาหี’’ติ อาหฯ ‘‘สาธุ, สมฺมา’’ติ พาลสตฺถวาโห สกฎานิ โยเชตฺวา นิกฺขโนฺต อนุปุเพฺพน มนุสฺสาวาสํ อติกฺกมิตฺวา กนฺตารมุขํ ปาปุณิฯ

    Tadā bodhisatto cintesi ‘‘sace ayaṃ bālasatthavāhaputto mayā saddhiṃyeva gamissati, sakaṭasahasse ekato maggaṃ gacchante maggopi nappahossati, manussānaṃ dārudakādīnipi, balibaddānaṃ tiṇānipi dullabhāni bhavissanti, etena vā mayā vā purato gantuṃ vaṭṭatī’’ti. So taṃ pakkosāpetvā etamatthaṃ ārocetvā ‘‘dvīhipi amhehi ekato gantuṃ na sakkā, kiṃ tvaṃ purato gamissasi, udāhu pacchato’’ti āha. So cintesi ‘‘mayi purato gacchante bahū ānisaṃsā, maggena abhinneneva gamissāmi, goṇā anāmaṭṭhatiṇaṃ khādissanti, manussānaṃ anāmaṭṭhaṃ sūpeyyapaṇṇaṃ bhavissati, pasannaṃ udakaṃ bhavissati, yathāruciṃ agghaṃ ṭhapetvā bhaṇḍaṃ vikkiṇissāmī’’ti. So ‘‘ahaṃ, samma, purato gamissāmī’’ti āha. Bodhisattopi pacchato gamane bahū ānisaṃse addasa. Evaṃ hissa ahosi – ‘‘purato gacchantā magge visamaṭṭhānaṃ samaṃ karissanti, ahaṃ tehi gatamaggena gamissāmi, purato gatehi balibaddehi pariṇatathaddhatiṇe khādite mama goṇā puna uṭṭhitāni madhuratiṇāni khādissanti, gahitapaṇṇaṭṭhānato uṭṭhitaṃ manussānaṃ sūpeyyapaṇṇaṃ madhuraṃ bhavissati, anudake ṭhāne āvāṭaṃ khanitvā ete udakaṃ uppādessanti, tehi katesu āvāṭesu mayaṃ udakaṃ pivissāma, agghaṭṭhapanaṃ nāma manussānaṃ jīvitā voropanasadisaṃ, ahaṃ pacchato gantvā etehi ṭhapitagghena bhaṇḍaṃ vikkiṇissāmī’’ti. Atha so ettake ānisaṃse disvā ‘‘samma, tvaṃ purato gacchāhī’’ti āha. ‘‘Sādhu, sammā’’ti bālasatthavāho sakaṭāni yojetvā nikkhanto anupubbena manussāvāsaṃ atikkamitvā kantāramukhaṃ pāpuṇi.

    กนฺตารํ นาม – โจรกนฺตารํ, วาฬกนฺตารํ, นิรุทกกนฺตารํ, อมนุสฺสกนฺตารํ, อปฺปภกฺขกนฺตารนฺติ ปญฺจวิธํฯ ตตฺถ โจเรหิ อธิฎฺฐิตมโคฺค โจรกนฺตารํ นามฯ สีหาทีหิ อธิฎฺฐิตมโคฺค วาฬกนฺตารํ นามฯ ยตฺถ นฺหายิตุํ วา ปาตุํ วา อุทกํ นตฺถิ, อิทํ นิรุทกกนฺตารํ นามฯ อมนุสฺสาธิฎฺฐิตํ อมนุสฺสกนฺตารํ นามฯ มูลขาทนียาทิวิรหิตํ อปฺปภกฺขกนฺตารํ นามฯ อิมสฺมิํ ปญฺจวิเธ กนฺตาเร ตํ กนฺตารํ นิรุทกกนฺตารเญฺจว อมนุสฺสกนฺตารญฺจฯ ตสฺมา โส พาลสตฺถวาหปุโตฺต สกเฎสุ มหนฺตมหนฺตา จาฎิโย ฐเปตฺวา อุทกสฺส ปูราเปตฺวา สฎฺฐิโยชนิกํ กนฺตารํ ปฎิปชฺชิฯ

    Kantāraṃ nāma – corakantāraṃ, vāḷakantāraṃ, nirudakakantāraṃ, amanussakantāraṃ, appabhakkhakantāranti pañcavidhaṃ. Tattha corehi adhiṭṭhitamaggo corakantāraṃ nāma. Sīhādīhi adhiṭṭhitamaggo vāḷakantāraṃ nāma. Yattha nhāyituṃ vā pātuṃ vā udakaṃ natthi, idaṃ nirudakakantāraṃ nāma. Amanussādhiṭṭhitaṃ amanussakantāraṃ nāma. Mūlakhādanīyādivirahitaṃ appabhakkhakantāraṃ nāma. Imasmiṃ pañcavidhe kantāre taṃ kantāraṃ nirudakakantārañceva amanussakantārañca. Tasmā so bālasatthavāhaputto sakaṭesu mahantamahantā cāṭiyo ṭhapetvā udakassa pūrāpetvā saṭṭhiyojanikaṃ kantāraṃ paṭipajji.

    อถสฺส กนฺตารมชฺฌํ คตกาเล กนฺตาเร อธิวตฺถยโกฺข ‘‘อิเมหิ มนุเสฺสหิ คหิตํ อุทกํ ฉฑฺฑาเปตฺวา ทุพฺพเล กตฺวา สเพฺพว เน ขาทิสฺสามี’’ติ สพฺพเสตตรุณพลิพทฺทยุตฺตํ มโนรมํ ยานกํ มาเปตฺวา ธนุกลาปผลกาวุธหเตฺถหิ ทสหิ ทฺวาทสหิ อมนุเสฺสหิ ปริวุโต อุปฺปลกุมุทานิ ปิฬนฺธิตฺวา อลฺลโกโส อลฺลวโตฺถ อิสฺสรปุริโส วิย ตสฺมิํ ยานเก นิสีทิตฺวา กทฺทมมกฺขิเตหิ จเกฺกหิ ปฎิปถํ อคมาสิฯ ปริวารอมนุสฺสาปิสฺส ปุรโต จ ปจฺฉโต จ คจฺฉนฺตา อลฺลเกสา อลฺลวตฺถา อุปฺปลกุมุทมาลา ปิฬนฺธิตฺวา ปทุมปุณฺฑรีกกลาเป คเหตฺวา ภิสมุฬาลานิ ขาทนฺตา อุทกพินฺทูหิ เจว กลเลหิ จ ปคฺฆรเนฺตหิ อคมํสุฯ สตฺถวาหา จ นาม ยทา ธุรวาโต วายติ, ตทา ยานเก นิสีทิตฺวา อุปฎฺฐากปริวุตา รชํ ปริหรนฺตา ปุรโต คจฺฉนฺติฯ ยทา ปจฺฉโต วาโต วายติ, ตทา เตเนว นเยน ปจฺฉโต คจฺฉนฺติฯ ตทา ปน ธุรวาโต อโหสิ, ตสฺมา โส สตฺถวาหปุโตฺต ปุรโต อคมาสิฯ

    Athassa kantāramajjhaṃ gatakāle kantāre adhivatthayakkho ‘‘imehi manussehi gahitaṃ udakaṃ chaḍḍāpetvā dubbale katvā sabbeva ne khādissāmī’’ti sabbasetataruṇabalibaddayuttaṃ manoramaṃ yānakaṃ māpetvā dhanukalāpaphalakāvudhahatthehi dasahi dvādasahi amanussehi parivuto uppalakumudāni piḷandhitvā allakoso allavattho issarapuriso viya tasmiṃ yānake nisīditvā kaddamamakkhitehi cakkehi paṭipathaṃ agamāsi. Parivāraamanussāpissa purato ca pacchato ca gacchantā allakesā allavatthā uppalakumudamālā piḷandhitvā padumapuṇḍarīkakalāpe gahetvā bhisamuḷālāni khādantā udakabindūhi ceva kalalehi ca paggharantehi agamaṃsu. Satthavāhā ca nāma yadā dhuravāto vāyati, tadā yānake nisīditvā upaṭṭhākaparivutā rajaṃ pariharantā purato gacchanti. Yadā pacchato vāto vāyati, tadā teneva nayena pacchato gacchanti. Tadā pana dhuravāto ahosi, tasmā so satthavāhaputto purato agamāsi.

    ยโกฺข ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อตฺตโน ยานกํ มคฺคา โอกฺกมาเปตฺวา ‘‘กหํ คจฺฉถา’’ติ เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ อกาสิฯ สตฺถวาโหปิ อตฺตโน ยานกํ มคฺคา โอกฺกมาเปตฺวา สกฎานํ คมโนกาสํ ทตฺวา เอกมเนฺต ฐิโต ตํ ยกฺขํ อโวจ ‘‘โภ, อเมฺห ตาว พาราณสิโต อาคจฺฉามฯ ตุเมฺห ปน อุปฺปลกุมุทานิ ปิฬนฺธิตฺวา ปทุมปุณฺฑรีกหตฺถา ภิสมุฬาลานิ ขาทนฺตา กทฺทมมกฺขิตา อุทกพินฺทูหิ ปคฺฆรเนฺตหิ อาคจฺฉถฯ กิํ นุ โข ตุเมฺหหิ อาคตมเคฺค เทโว วสฺสติ, อุปฺปลาทิสญฺฉนฺนานิ วา สรานิ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ยโกฺข ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘สมฺม, กิํ นาเมตํ กเถสิฯ เอสา นีลวนราชิ ปญฺญายติฯ ตโต ปฎฺฐาย สกลํ อรญฺญํ เอโกทกํ, นิพทฺธํ เทโว วสฺสติ, กนฺทรา ปูรา, ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน ปทุมาทิสญฺฉนฺนานิ สรานิ อตฺถี’’ติ วตฺวา ปฎิปาฎิยา คจฺฉเนฺตสุ สกเฎสุ ‘‘อิมานิ สกฎานิ อาทาย กหํ คจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อสุกชนปทํ นามา’’ติฯ ‘‘อิมสฺมิํ จิมสฺมิญฺจ สกเฎ กิํ นาม ภณฺฑ’’นฺติ? ‘‘อสุกญฺจ อสุกญฺจา’’ติฯ ‘‘ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตํ สกฎํ อติวิย ครุกํ หุตฺวา อาคจฺฉติ, เอตสฺมิํ กิํ ภณฺฑ’’นฺติ? ‘‘อุทกํ เอตฺถา’’ติฯ ‘‘ปรโต ตาว อุทกํ อาเนเนฺตหิ โว มนาปํ กตํ, อิโต ปฎฺฐาย ปน อุทเกน กิจฺจํ นตฺถิ, ปุรโต พหุ อุทกํ, จาฎิโย ภินฺทิตฺวา อุทกํ ฉเฑฺฑตฺวา สุเขน คจฺฉถา’’ติ อาหฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘ตุเมฺห คจฺฉถ, อมฺหากํ ปปโญฺจ โหตี’’ติ โถกํ คนฺตฺวา เตสํ อทสฺสนํ ปตฺวา อตฺตโน ยกฺขนครเมว อคมาสิฯ

    Yakkho taṃ āgacchantaṃ disvā attano yānakaṃ maggā okkamāpetvā ‘‘kahaṃ gacchathā’’ti tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ akāsi. Satthavāhopi attano yānakaṃ maggā okkamāpetvā sakaṭānaṃ gamanokāsaṃ datvā ekamante ṭhito taṃ yakkhaṃ avoca ‘‘bho, amhe tāva bārāṇasito āgacchāma. Tumhe pana uppalakumudāni piḷandhitvā padumapuṇḍarīkahatthā bhisamuḷālāni khādantā kaddamamakkhitā udakabindūhi paggharantehi āgacchatha. Kiṃ nu kho tumhehi āgatamagge devo vassati, uppalādisañchannāni vā sarāni atthī’’ti pucchi. Yakkho tassa kathaṃ sutvā ‘‘samma, kiṃ nāmetaṃ kathesi. Esā nīlavanarāji paññāyati. Tato paṭṭhāya sakalaṃ araññaṃ ekodakaṃ, nibaddhaṃ devo vassati, kandarā pūrā, tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne padumādisañchannāni sarāni atthī’’ti vatvā paṭipāṭiyā gacchantesu sakaṭesu ‘‘imāni sakaṭāni ādāya kahaṃ gacchathā’’ti pucchi. ‘‘Asukajanapadaṃ nāmā’’ti. ‘‘Imasmiṃ cimasmiñca sakaṭe kiṃ nāma bhaṇḍa’’nti? ‘‘Asukañca asukañcā’’ti. ‘‘Pacchato āgacchantaṃ sakaṭaṃ ativiya garukaṃ hutvā āgacchati, etasmiṃ kiṃ bhaṇḍa’’nti? ‘‘Udakaṃ etthā’’ti. ‘‘Parato tāva udakaṃ ānentehi vo manāpaṃ kataṃ, ito paṭṭhāya pana udakena kiccaṃ natthi, purato bahu udakaṃ, cāṭiyo bhinditvā udakaṃ chaḍḍetvā sukhena gacchathā’’ti āha. Evañca pana vatvā ‘‘tumhe gacchatha, amhākaṃ papañco hotī’’ti thokaṃ gantvā tesaṃ adassanaṃ patvā attano yakkhanagarameva agamāsi.

    โสปิ พาลสตฺถวาโห อตฺตโน พาลตาย ยกฺขสฺส วจนํ คเหตฺวา จาฎิโย ภินฺทาเปตฺวา ปสตมตฺตมฺปิ อุทกํ อนวเสเสตฺวา สพฺพํ ฉฑฺฑาเปตฺวา สกฎานิ ปาชาเปสิ, ปุรโต อปฺปมตฺตกมฺปิ อุทกํ นาโหสิ, มนุสฺสา ปานียํ อลภนฺตา กิลมิํสุฯ เต ยาว สูริยตฺถงฺคมนา คนฺตฺวา สกฎานิ โมเจตฺวา ปริวฎฺฎเกน ฐเปตฺวา โคเณ จเกฺกสุ พนฺธิํสุฯ เนว โคณานํ อุทกํ อโหสิ, น มนุสฺสานํ ยาคุภตฺตํ วาฯ ทุพฺพลมนุสฺสา ตตฺถ ตตฺถ นิปชฺชิตฺวา สยิํสุฯ รตฺติภาคสมนนฺตเร ยกฺขา ยกฺขนครโต อาคนฺตฺวา สเพฺพปิ โคเณ จ มนุเสฺส จ ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา มํสํ ขาทิตฺวา อฎฺฐีนิ อวเสเสตฺวา อคมํสุฯ เอวเมกํ พาลสตฺถวาหปุตฺตํ นิสฺสาย สเพฺพปิ เต วินาสํ ปาปุณิํสุ, หตฺถฎฺฐิกาทีนิ ทิสาวิทิสาสุ วิปฺปกิณฺณานิ อเหสุํฯ ปญฺจ สกฎสตานิ ยถาปูริตาเนว อฎฺฐํสุฯ

    Sopi bālasatthavāho attano bālatāya yakkhassa vacanaṃ gahetvā cāṭiyo bhindāpetvā pasatamattampi udakaṃ anavasesetvā sabbaṃ chaḍḍāpetvā sakaṭāni pājāpesi, purato appamattakampi udakaṃ nāhosi, manussā pānīyaṃ alabhantā kilamiṃsu. Te yāva sūriyatthaṅgamanā gantvā sakaṭāni mocetvā parivaṭṭakena ṭhapetvā goṇe cakkesu bandhiṃsu. Neva goṇānaṃ udakaṃ ahosi, na manussānaṃ yāgubhattaṃ vā. Dubbalamanussā tattha tattha nipajjitvā sayiṃsu. Rattibhāgasamanantare yakkhā yakkhanagarato āgantvā sabbepi goṇe ca manusse ca jīvitakkhayaṃ pāpetvā maṃsaṃ khāditvā aṭṭhīni avasesetvā agamaṃsu. Evamekaṃ bālasatthavāhaputtaṃ nissāya sabbepi te vināsaṃ pāpuṇiṃsu, hatthaṭṭhikādīni disāvidisāsu vippakiṇṇāni ahesuṃ. Pañca sakaṭasatāni yathāpūritāneva aṭṭhaṃsu.

    โพธิสโตฺตปิ โข พาลสตฺถวาหปุตฺตสฺส นิกฺขนฺตทิวสโต มาสฑฺฒมาสํ วีตินาเมตฺวา ปญฺจหิ สกฎสเตหิ นครา นิกฺขมฺม อนุปุเพฺพน กนฺตารมุขํ ปาปุณิฯ โส ตตฺถ อุทกจาฎิโย ปูเรตฺวา พหุํ อุทกํ อาทาย ขนฺธาวาเร เภริํ จราเปตฺวา มนุเสฺส สนฺนิปาเตตฺวา เอวมาห ‘‘ตุเมฺห มํ อนาปุจฺฉิตฺวา ปสตมตฺตมฺปิ อุทกํ มา วฬญฺชยิตฺถ, กนฺตาเร วิสรุกฺขา นาม โหนฺติ, ปตฺตํ วา ปุปฺผํ วา ผลํ วา ตุเมฺหหิ ปุเร อขาทิตปุพฺพํ มํ อนาปุจฺฉิตฺวา มา ขาทิตฺถา’’ติฯ เอวํ มนุสฺสานํ โอวาทํ ทตฺวา ปญฺจหิ สกฎสเตหิ กนฺตารํ ปฎิปชฺชิฯ ตสฺมิํ กนฺตารมชฺฌํ สมฺปเตฺต โส ยโกฺข ปุริมนเยเนว โพธิสตฺตสฺส ปฎิปเถ อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ โพธิสโตฺต ตํ ทิสฺวาว อญฺญาสิ ‘‘อิมสฺมิํ กนฺตาเร อุทกํ นตฺถิ, นิรุทกกนฺตาโร นาเมส, อยญฺจ นิพฺภโย รตฺตเนโตฺต, ฉายาปิสฺส น ปญฺญายติ, นิสฺสํสยํ อิมินา ปุรโต คโต พาลสตฺถวาหปุโตฺต สพฺพํ อุทกํ ฉฑฺฑาเปตฺวา กิลเมตฺวา สปริโส ขาทิโต ภวิสฺสติ, มยฺหํ ปน ปณฺฑิตภาวํ อุปายโกสลฺลํ น ชานาติ มเญฺญ’’ติฯ ตโต นํ อาห ‘‘คจฺฉถ ตุเมฺห, มยํ วาณิชา นาม อญฺญํ อุทกํ อทิสฺวา คหิตอุทกํ น ฉเฑฺฑม, ทิฎฺฐฎฺฐาเน ปน ฉเฑฺฑตฺวา สกฎานิ สลฺลหุกานิ กตฺวา คมิสฺสามา’’ติ ยโกฺข โถกํ คนฺตฺวา อทสฺสนํ อุปคมฺม อตฺตโน ยกฺขนครเมว คโตฯ

    Bodhisattopi kho bālasatthavāhaputtassa nikkhantadivasato māsaḍḍhamāsaṃ vītināmetvā pañcahi sakaṭasatehi nagarā nikkhamma anupubbena kantāramukhaṃ pāpuṇi. So tattha udakacāṭiyo pūretvā bahuṃ udakaṃ ādāya khandhāvāre bheriṃ carāpetvā manusse sannipātetvā evamāha ‘‘tumhe maṃ anāpucchitvā pasatamattampi udakaṃ mā vaḷañjayittha, kantāre visarukkhā nāma honti, pattaṃ vā pupphaṃ vā phalaṃ vā tumhehi pure akhāditapubbaṃ maṃ anāpucchitvā mā khāditthā’’ti. Evaṃ manussānaṃ ovādaṃ datvā pañcahi sakaṭasatehi kantāraṃ paṭipajji. Tasmiṃ kantāramajjhaṃ sampatte so yakkho purimanayeneva bodhisattassa paṭipathe attānaṃ dassesi. Bodhisatto taṃ disvāva aññāsi ‘‘imasmiṃ kantāre udakaṃ natthi, nirudakakantāro nāmesa, ayañca nibbhayo rattanetto, chāyāpissa na paññāyati, nissaṃsayaṃ iminā purato gato bālasatthavāhaputto sabbaṃ udakaṃ chaḍḍāpetvā kilametvā sapariso khādito bhavissati, mayhaṃ pana paṇḍitabhāvaṃ upāyakosallaṃ na jānāti maññe’’ti. Tato naṃ āha ‘‘gacchatha tumhe, mayaṃ vāṇijā nāma aññaṃ udakaṃ adisvā gahitaudakaṃ na chaḍḍema, diṭṭhaṭṭhāne pana chaḍḍetvā sakaṭāni sallahukāni katvā gamissāmā’’ti yakkho thokaṃ gantvā adassanaṃ upagamma attano yakkhanagarameva gato.

    ยเกฺข ปน คเต มนุสฺสา โพธิสตฺตํ อาหํสุ ‘‘อยฺย, เอเต มนุสฺสา ‘เอสา นีลวนราชิ ปญฺญายติ, ตโต ปฎฺฐาย นิพทฺธํ เทโว วสฺสตี’ติ วตฺวา อุปฺปลกุมุทมาลาธาริโน ปทุมปุณฺฑรีกกลาเป อาทาย ภิสมุฬาลานิ ขาทนฺตา อลฺลวตฺถา อลฺลเกสา อุทกพินฺทูหิ ปคฺฆรเนฺตหิ อาคตา, อุทกํ ฉเฑฺฑตฺวา สลฺลหุเกหิ สกเฎหิ ขิปฺปํ คจฺฉามา’’ติฯ โพธิสโตฺต เตสํ กถํ สุตฺวา สกฎานิ ฐปาเปตฺวา สเพฺพ มนุเสฺส สนฺนิปาตาเปตฺวา ‘‘ตุเมฺหหิ ‘อิมสฺมิํ กนฺตาเร สโร วา โปกฺขรณี วา อตฺถี’ติ กสฺสจิ สุตปุพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น, อยฺย, สุตปุพฺพ’’นฺติฯ นิรุทกกนฺตาโร นาม เอโส, อิทานิ เอกเจฺจ มนุสฺสา ‘‘เอตาย นีลวนราชิยา ปุรโต เทโว วสฺสตี’’ติ วทนฺติ, ‘‘วุฎฺฐิวาโต นาม กิตฺตกํ ฐานํ วายตี’’ติ? ‘‘โยชนมตฺตํ, อยฺยา’’ติฯ ‘‘กจฺจิ ปน โว เอกสฺสาปิ สรีรํ วุฎฺฐิวาโต ปหรตี’’ติ? ‘‘นตฺถิ อยฺยา’’ติฯ ‘‘เมฆสีสํ นาม กิตฺตเก ฐาเน ปญฺญายตี’’ติ? ‘‘ติโยชนมเตฺต อยฺยา’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน โว เกนจิ เอกมฺปิ เมฆสีสํ ทิฎฺฐ’’นฺติ? ‘‘นตฺถิ, อยฺยา’’ติฯ ‘‘วิชฺชุลตา นาม กิตฺตเก ฐาเน ปญฺญายตี’’ติ? ‘‘จตุปฺปญฺจโยชนมเตฺต, อยฺยา’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน โว เกนจิ วิชฺชุลโตภาโส ทิโฎฺฐ’’ติ? ‘‘นตฺถิ, อยฺยา’’ติฯ ‘‘เมฆสโทฺท นาม กิตฺตเก ฐาเน สุยฺยตี’’ติ? ‘‘เอกทฺวิโยชนมเตฺต, อยฺยา’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน โว เกนจิ เมฆสโทฺท สุโต’’ติ? ‘‘นตฺถิ, อยฺยา’’ติฯ ‘‘น เอเต มนุสฺสา, ยกฺขา เอเต, อเมฺห อุทกํ ฉฑฺฑาเปตฺวา ทุพฺพเล กตฺวา ขาทิตุกามา อาคตา ภวิสฺสนฺติฯ ปุรโต คโต พาลสตฺถวาหปุโตฺต น อุปายกุสโลฯ อทฺธา โส เอเตหิ อุทกํ ฉฑฺฑาเปตฺวา กิลเมตฺวา ขาทิโต ภวิสฺสติ, ปญฺจ สกฎสตานิ ยถาปูริตาเนว ฐิตานิ ภวิสฺสนฺติฯ อชฺช มยํ ตานิ ปสฺสิสฺสาม, ปสตมตฺตมฺปิ อุทกํ อฉเฑฺฑตฺวา สีฆสีฆํ ปาเชถา’’ติ ปาชาเปสิฯ

    Yakkhe pana gate manussā bodhisattaṃ āhaṃsu ‘‘ayya, ete manussā ‘esā nīlavanarāji paññāyati, tato paṭṭhāya nibaddhaṃ devo vassatī’ti vatvā uppalakumudamālādhārino padumapuṇḍarīkakalāpe ādāya bhisamuḷālāni khādantā allavatthā allakesā udakabindūhi paggharantehi āgatā, udakaṃ chaḍḍetvā sallahukehi sakaṭehi khippaṃ gacchāmā’’ti. Bodhisatto tesaṃ kathaṃ sutvā sakaṭāni ṭhapāpetvā sabbe manusse sannipātāpetvā ‘‘tumhehi ‘imasmiṃ kantāre saro vā pokkharaṇī vā atthī’ti kassaci sutapubba’’nti pucchi. ‘‘Na, ayya, sutapubba’’nti. Nirudakakantāro nāma eso, idāni ekacce manussā ‘‘etāya nīlavanarājiyā purato devo vassatī’’ti vadanti, ‘‘vuṭṭhivāto nāma kittakaṃ ṭhānaṃ vāyatī’’ti? ‘‘Yojanamattaṃ, ayyā’’ti. ‘‘Kacci pana vo ekassāpi sarīraṃ vuṭṭhivāto paharatī’’ti? ‘‘Natthi ayyā’’ti. ‘‘Meghasīsaṃ nāma kittake ṭhāne paññāyatī’’ti? ‘‘Tiyojanamatte ayyā’’ti. ‘‘Atthi pana vo kenaci ekampi meghasīsaṃ diṭṭha’’nti? ‘‘Natthi, ayyā’’ti. ‘‘Vijjulatā nāma kittake ṭhāne paññāyatī’’ti? ‘‘Catuppañcayojanamatte, ayyā’’ti. ‘‘Atthi pana vo kenaci vijjulatobhāso diṭṭho’’ti? ‘‘Natthi, ayyā’’ti. ‘‘Meghasaddo nāma kittake ṭhāne suyyatī’’ti? ‘‘Ekadviyojanamatte, ayyā’’ti. ‘‘Atthi pana vo kenaci meghasaddo suto’’ti? ‘‘Natthi, ayyā’’ti. ‘‘Na ete manussā, yakkhā ete, amhe udakaṃ chaḍḍāpetvā dubbale katvā khāditukāmā āgatā bhavissanti. Purato gato bālasatthavāhaputto na upāyakusalo. Addhā so etehi udakaṃ chaḍḍāpetvā kilametvā khādito bhavissati, pañca sakaṭasatāni yathāpūritāneva ṭhitāni bhavissanti. Ajja mayaṃ tāni passissāma, pasatamattampi udakaṃ achaḍḍetvā sīghasīghaṃ pājethā’’ti pājāpesi.

    โส คจฺฉโนฺต ยถาปูริตาเนว ปญฺจ สกฎสตานิ โคณมนุสฺสานญฺจ หตฺถฎฺฐิกาทีนิ ทิสาวิทิสาสุ วิปฺปกิณฺณานิ ทิสฺวา สกฎานิ โมจาเปตฺวา สกฎปริวฎฺฎเกน ขนฺธาวารํ พนฺธาเปตฺวา กาลเสฺสว มนุเสฺส จ โคเณ จ สายมาสภตฺตํ โภชาเปตฺวา มนุสฺสานํ มเชฺฌ โคเณ นิปชฺชาเปตฺวา สยํ พลนายโก หุตฺวา ขคฺคหโตฺถ ติยามรตฺติํ อารกฺขํ คเหตฺวา ฐิตโกว อรุณํ อุฎฺฐาเปสิฯ ปุนทิวเส ปน ปาโตว สพฺพกิจฺจานิ นิฎฺฐาเปตฺวา โคเณ โภเชตฺวา ทุพฺพลสกฎานิ ฉฑฺฑาเปตฺวา ถิรานิ คาหาเปตฺวา อปฺปคฺฆํ ภณฺฑํ ฉฑฺฑาเปตฺวา มหคฺฆํ ภณฺฑํ อาโรปาเปตฺวา ยถาธิเปฺปตํ ฐานํ คนฺตฺวา ทิคุณติคุเณน มูเลน ภณฺฑํ วิกฺกิณิตฺวา สพฺพํ ปริสํ อาทาย ปุน อตฺตโน นครเมว อคมาสิฯ

    So gacchanto yathāpūritāneva pañca sakaṭasatāni goṇamanussānañca hatthaṭṭhikādīni disāvidisāsu vippakiṇṇāni disvā sakaṭāni mocāpetvā sakaṭaparivaṭṭakena khandhāvāraṃ bandhāpetvā kālasseva manusse ca goṇe ca sāyamāsabhattaṃ bhojāpetvā manussānaṃ majjhe goṇe nipajjāpetvā sayaṃ balanāyako hutvā khaggahattho tiyāmarattiṃ ārakkhaṃ gahetvā ṭhitakova aruṇaṃ uṭṭhāpesi. Punadivase pana pātova sabbakiccāni niṭṭhāpetvā goṇe bhojetvā dubbalasakaṭāni chaḍḍāpetvā thirāni gāhāpetvā appagghaṃ bhaṇḍaṃ chaḍḍāpetvā mahagghaṃ bhaṇḍaṃ āropāpetvā yathādhippetaṃ ṭhānaṃ gantvā diguṇatiguṇena mūlena bhaṇḍaṃ vikkiṇitvā sabbaṃ parisaṃ ādāya puna attano nagarameva agamāsi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมกถํ กเถตฺวา ‘‘เอวํ, คหปติ, ปุเพฺพ ตกฺกคฺคาหคาหิโน มหาวินาสํ ปตฺตา, อปณฺณกคฺคาหคาหิโน ปน อมนุสฺสานํ หตฺถโต มุจฺจิตฺวา โสตฺถินา อิจฺฉิตฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปุน สกฎฺฐานเมว ปจฺจาคมิํสู’’ติ วตฺวา เทฺวปิ วตฺถูนิ ฆเฎตฺวา อิมิสฺสา อปณฺณกธมฺมเทสนาย อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Satthā imaṃ dhammakathaṃ kathetvā ‘‘evaṃ, gahapati, pubbe takkaggāhagāhino mahāvināsaṃ pattā, apaṇṇakaggāhagāhino pana amanussānaṃ hatthato muccitvā sotthinā icchitaṭṭhānaṃ gantvā puna sakaṭṭhānameva paccāgamiṃsū’’ti vatvā dvepi vatthūni ghaṭetvā imissā apaṇṇakadhammadesanāya abhisambuddho hutvā imaṃ gāthamāha –

    .

    1.

    ‘‘อปณฺณกํ ฐานเมเก, ทุติยํ อาหุ ตกฺกิกา;

    ‘‘Apaṇṇakaṃ ṭhānameke, dutiyaṃ āhu takkikā;

    เอตทญฺญาย เมธาวี, ตํ คเณฺห ยทปณฺณก’’นฺติฯ

    Etadaññāya medhāvī, taṃ gaṇhe yadapaṇṇaka’’nti.

    ตตฺถ อปณฺณกนฺติ เอกํสิกํ อวิรทฺธํ นิยฺยานิกํฯ ฐานนฺติ การณํฯ การณญฺหิ ยสฺมา ตทายตฺตวุตฺติตาย ผลํ ติฎฺฐติ นาม, ตสฺมา ‘‘ฐาน’’นฺติ วุจฺจติ, ‘‘ฐานญฺจ ฐานโต อฎฺฐานญฺจ อฎฺฐานโต’’ติอาทีสุ (วิภ. ๘๐๙) จสฺส ปโยโค เวทิตโพฺพฯ อิติ ‘‘อปณฺณกํ ฐาน’’นฺติ ปททฺวเยนาปิ ‘‘ยํ เอกนฺตหิตสุขาวหตฺตา ปณฺฑิเตหิ ปฎิปนฺนํ เอกํสิกการณํ อวิรทฺธการณํ นิยฺยานิกการณํ, ตํ อิท’’นฺติ ทีเปติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, ปเภทโต ปน ตีณิ สรณคมนานิ, ปญฺจ สีลานิ, ทส สีลานิ, ปาติโมกฺขสํวโร, อินฺทฺริยสํวโร, อาชีวปาริสุทฺธิ, ปจฺจยปฎิเสวนํ, สพฺพมฺปิ จตุปาริสุทฺธิสีลํ; อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา, โภชเน มตฺตญฺญุตา, ชาคริยานุโยโค, ฌานํ, วิปสฺสนา, อภิญฺญา, สมาปตฺติ, อริยมโคฺค, อริยผลํ, สพฺพเมฺปตํ อปณฺณกฎฺฐานํ อปณฺณกปฎิปทา, นิยฺยานิกปฎิปทาติ อโตฺถฯ

    Tattha apaṇṇakanti ekaṃsikaṃ aviraddhaṃ niyyānikaṃ. Ṭhānanti kāraṇaṃ. Kāraṇañhi yasmā tadāyattavuttitāya phalaṃ tiṭṭhati nāma, tasmā ‘‘ṭhāna’’nti vuccati, ‘‘ṭhānañca ṭhānato aṭṭhānañca aṭṭhānato’’tiādīsu (vibha. 809) cassa payogo veditabbo. Iti ‘‘apaṇṇakaṃ ṭhāna’’nti padadvayenāpi ‘‘yaṃ ekantahitasukhāvahattā paṇḍitehi paṭipannaṃ ekaṃsikakāraṇaṃ aviraddhakāraṇaṃ niyyānikakāraṇaṃ, taṃ ida’’nti dīpeti. Ayamettha saṅkhepo, pabhedato pana tīṇi saraṇagamanāni, pañca sīlāni, dasa sīlāni, pātimokkhasaṃvaro, indriyasaṃvaro, ājīvapārisuddhi, paccayapaṭisevanaṃ, sabbampi catupārisuddhisīlaṃ; indriyesu guttadvāratā, bhojane mattaññutā, jāgariyānuyogo, jhānaṃ, vipassanā, abhiññā, samāpatti, ariyamaggo, ariyaphalaṃ, sabbampetaṃ apaṇṇakaṭṭhānaṃ apaṇṇakapaṭipadā, niyyānikapaṭipadāti attho.

    ยสฺมา จ ปน นิยฺยานิกปฎิปทาย เอตํ นามํ, ตสฺมาเยว ภควา อปณฺณกปฎิปทํ ทเสฺสโนฺต อิมํ สุตฺตมาห –

    Yasmā ca pana niyyānikapaṭipadāya etaṃ nāmaṃ, tasmāyeva bhagavā apaṇṇakapaṭipadaṃ dassento imaṃ suttamāha –

    ‘‘ตีหิ, ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อปณฺณกปฎิปทํ ปฎิปโนฺน โหติ, โยนิ จสฺส อารทฺธา โหติ อาสวานํ ขยาย ฯ กตเมหิ ตีหิ? อิธ, ภิกฺขเว , ภิกฺขุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ, โภชเน มตฺตญฺญู โหติ, ชาคริยํ อนุยุโตฺต โหติฯ กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ…เป.… เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติฯ

    ‘‘Tīhi, bhikkhave, dhammehi samannāgato bhikkhu apaṇṇakapaṭipadaṃ paṭipanno hoti, yoni cassa āraddhā hoti āsavānaṃ khayāya . Katamehi tīhi? Idha, bhikkhave , bhikkhu indriyesu guttadvāro hoti, bhojane mattaññū hoti, jāgariyaṃ anuyutto hoti. Kathañca, bhikkhave, bhikkhu indriyesu guttadvāro hoti? Idha, bhikkhave, bhikkhu cakkhunā rūpaṃ disvā na nimittaggāhī hoti…pe… evaṃ kho, bhikkhave, bhikkhu indriyesu guttadvāro hoti.

    ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ โภชเน มตฺตญฺญู โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปฎิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหาเรติ เนว ทวาย น มทาย…เป.… เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ โภชเน มตฺตญฺญู โหติฯ

    ‘‘Kathañca, bhikkhave, bhikkhu bhojane mattaññū hoti? Idha, bhikkhave, bhikkhu paṭisaṅkhā yoniso āhāraṃ āhāreti neva davāya na madāya…pe… evaṃ kho, bhikkhave, bhikkhu bhojane mattaññū hoti.

    ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ชาคริยํ อนุยุโตฺต โหติฯ อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย…เป.… เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ชาคริยํ อนุยุโตฺต โหตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๖)ฯ

    ‘‘Kathañca, bhikkhave, bhikkhu jāgariyaṃ anuyutto hoti. Idha, bhikkhave, bhikkhu divasaṃ caṅkamena nisajjāya…pe… evaṃ kho, bhikkhave, bhikkhu jāgariyaṃ anuyutto hotī’’ti (a. ni. 3.16).

    อิมสฺมิญฺจาปิ สุเตฺต ตโยว ธมฺมา วุตฺตาฯ อยํ ปน อปณฺณกปฎิปทา ยาว อรหตฺตผลํ ลพฺภเตว ฯ ตตฺถ อรหตฺตผลมฺปิ, ผลสมาปตฺติวิหารสฺส เจว, อนุปาทาปรินิพฺพานสฺส จ, ปฎิปทาเยว นาม โหติฯ

    Imasmiñcāpi sutte tayova dhammā vuttā. Ayaṃ pana apaṇṇakapaṭipadā yāva arahattaphalaṃ labbhateva . Tattha arahattaphalampi, phalasamāpattivihārassa ceva, anupādāparinibbānassa ca, paṭipadāyeva nāma hoti.

    เอเกติ เอกเจฺจ ปณฺฑิตมนุสฺสาฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘อสุกา นามา’’ติ นิยโม นตฺถิ, อิทํ ปน สปริสํ โพธิสตฺตํเยว สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ทุติยํ อาหุ ตกฺกิกาติ ทุติยนฺติ ปฐมโต อปณฺณกฎฺฐานโต นิยฺยานิกการณโต ทุติยํ ตกฺกคฺคาหการณํ อนิยฺยานิกการณํฯ อาหุ ตกฺกิกาติ เอตฺถ ปน สทฺธิํ ปุริมปเทน อยํ โยชนา – อปณฺณกฎฺฐานํ เอกํสิกการณํ อวิรทฺธการณํ นิยฺยานิกการณํ เอเก โพธิสตฺตปฺปมุขา ปณฺฑิตมนุสฺสา คณฺหิํสุฯ เย ปน พาลสตฺถวาหปุตฺตปฺปมุขา ตกฺกิกา อาหุ, เต ทุติยํ สาปราธํ อเนกํสิกฎฺฐานํ วิรทฺธการณํ อนิยฺยานิกการณํ อคฺคเหสุํฯ เตสุ เย อปณฺณกฎฺฐานํ อคฺคเหสุํ, เต สุกฺกปฎิปทํ ปฎิปนฺนาฯ เย ทุติยํ ‘‘ปุรโต ภวิตพฺพํ อุทเกนา’’ติ ตกฺกคฺคาหสงฺขาตํ อนิยฺยานิกการณํ อคฺคเหสุํฯ เต กณฺหปฎิปทํ ปฎิปนฺนาฯ

    Eketi ekacce paṇḍitamanussā. Tattha kiñcāpi ‘‘asukā nāmā’’ti niyamo natthi, idaṃ pana saparisaṃ bodhisattaṃyeva sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Dutiyaṃ āhu takkikāti dutiyanti paṭhamato apaṇṇakaṭṭhānato niyyānikakāraṇato dutiyaṃ takkaggāhakāraṇaṃ aniyyānikakāraṇaṃ. Āhu takkikāti ettha pana saddhiṃ purimapadena ayaṃ yojanā – apaṇṇakaṭṭhānaṃ ekaṃsikakāraṇaṃ aviraddhakāraṇaṃ niyyānikakāraṇaṃ eke bodhisattappamukhā paṇḍitamanussā gaṇhiṃsu. Ye pana bālasatthavāhaputtappamukhā takkikā āhu, te dutiyaṃ sāparādhaṃ anekaṃsikaṭṭhānaṃ viraddhakāraṇaṃ aniyyānikakāraṇaṃ aggahesuṃ. Tesu ye apaṇṇakaṭṭhānaṃ aggahesuṃ, te sukkapaṭipadaṃ paṭipannā. Ye dutiyaṃ ‘‘purato bhavitabbaṃ udakenā’’ti takkaggāhasaṅkhātaṃ aniyyānikakāraṇaṃ aggahesuṃ. Te kaṇhapaṭipadaṃ paṭipannā.

    ตตฺถ สุกฺกปฎิปทา อปริหานิปฎิปทา, กณฺหปฎิปทา ปริหานิปฎิปทาฯ ตสฺมา เย สุกฺกปฎิปทํ ปฎิปนฺนา, เต อปริหีนา โสตฺถิภาวํ ปตฺตาฯ เย ปน กณฺหปฎิปทํ ปฎิปนฺนา, เต ปริหีนา อนยพฺยสนํ อาปนฺนาติ อิมมตฺถํ ภควา อนาถปิณฺฑิกสฺส คหปติโน วตฺวา อุตฺตริ อิทมาห ‘‘เอตทญฺญาย เมธาวี, ตํ คเณฺห ยทปณฺณก’’นฺติฯ

    Tattha sukkapaṭipadā aparihānipaṭipadā, kaṇhapaṭipadā parihānipaṭipadā. Tasmā ye sukkapaṭipadaṃ paṭipannā, te aparihīnā sotthibhāvaṃ pattā. Ye pana kaṇhapaṭipadaṃ paṭipannā, te parihīnā anayabyasanaṃ āpannāti imamatthaṃ bhagavā anāthapiṇḍikassa gahapatino vatvā uttari idamāha ‘‘etadaññāya medhāvī, taṃ gaṇhe yadapaṇṇaka’’nti.

    ตตฺถ เอตทญฺญาย เมธาวีติ ‘‘เมธา’’ติ ลทฺธนามาย วิปุลาย วิสุทฺธาย อุตฺตมาย ปญฺญาย สมนฺนาคโต กุลปุโตฺต เอตํ อปณฺณเก เจว สปณฺณเก จาติ ทฺวีสุ อตกฺกคฺคาหตกฺกคฺคาหสงฺขาเตสุ ฐาเนสุ คุณโทสํ วุทฺธิหานิํ อตฺถานตฺถํ ญตฺวาติ อโตฺถฯ ตํ คเณฺห ยทปณฺณกนฺติ ยํ อปณฺณกํ เอกํสิกํ สุกฺกปฎิปทาอปริหานิยปฎิปทาสงฺขาตํ นิยฺยานิกการณํ, ตเทว คเณฺหยฺยฯ กสฺมา? เอกํสิกาทิภาวโตเยวฯ อิตรํ ปน น คเณฺหยฺยฯ กสฺมา? อเนกํสิกาทิภาวโตเยวฯ อยญฺหิ อปณฺณกปฎิปทา นาม สเพฺพสํ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธปุตฺตานํ ปฎิปทาฯ สพฺพพุทฺธา หิ อปณฺณกปฎิปทายเมว ฐตฺวา ทเฬฺหน วีริเยน ปารมิโย ปูเรตฺวา โพธิมูเล พุทฺธา นาม โหนฺติ, ปเจฺจกพุทฺธา ปเจฺจกโพธิํ อุปฺปาเทนฺติ, พุทฺธปุตฺตา สาวกปารมิญาณํ ปฎิวิชฺฌนฺติฯ

    Tattha etadaññāya medhāvīti ‘‘medhā’’ti laddhanāmāya vipulāya visuddhāya uttamāya paññāya samannāgato kulaputto etaṃ apaṇṇake ceva sapaṇṇake cāti dvīsu atakkaggāhatakkaggāhasaṅkhātesu ṭhānesu guṇadosaṃ vuddhihāniṃ atthānatthaṃ ñatvāti attho. Taṃ gaṇhe yadapaṇṇakanti yaṃ apaṇṇakaṃ ekaṃsikaṃ sukkapaṭipadāaparihāniyapaṭipadāsaṅkhātaṃ niyyānikakāraṇaṃ, tadeva gaṇheyya. Kasmā? Ekaṃsikādibhāvatoyeva. Itaraṃ pana na gaṇheyya. Kasmā? Anekaṃsikādibhāvatoyeva. Ayañhi apaṇṇakapaṭipadā nāma sabbesaṃ buddhapaccekabuddhabuddhaputtānaṃ paṭipadā. Sabbabuddhā hi apaṇṇakapaṭipadāyameva ṭhatvā daḷhena vīriyena pāramiyo pūretvā bodhimūle buddhā nāma honti, paccekabuddhā paccekabodhiṃ uppādenti, buddhaputtā sāvakapāramiñāṇaṃ paṭivijjhanti.

    อิติ ภควา เตสํ อุปาสกานํ ติโสฺส กุลสมฺปตฺติโย จ ฉ กามสเคฺค พฺรหฺมโลกสมฺปตฺติโย จ ทตฺวาปิ ปริโยสาเน อรหตฺตมคฺคผลทายิกา อปณฺณกปฎิปทา นาม, จตูสุ อปาเยสุ ปญฺจสุ จ นีจกุเลสุ นิพฺพตฺติทายิกา สปณฺณกปฎิปทา นามาติ อิมํ อปณฺณกธมฺมเทสนํ ทเสฺสตฺวา อุตฺตริ จตฺตาริ สจฺจานิ โสฬสหิ อากาเรหิ ปกาเสสิฯ จตุสจฺจปริโยสาเน สเพฺพปิ เต ปญฺจสตา อุปาสกา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ

    Iti bhagavā tesaṃ upāsakānaṃ tisso kulasampattiyo ca cha kāmasagge brahmalokasampattiyo ca datvāpi pariyosāne arahattamaggaphaladāyikā apaṇṇakapaṭipadā nāma, catūsu apāyesu pañcasu ca nīcakulesu nibbattidāyikā sapaṇṇakapaṭipadā nāmāti imaṃ apaṇṇakadhammadesanaṃ dassetvā uttari cattāri saccāni soḷasahi ākārehi pakāsesi. Catusaccapariyosāne sabbepi te pañcasatā upāsakā sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ทเสฺสตฺวา เทฺว วตฺถูนิ กเถตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนตฺวา ทเสฺสสิ – ‘‘ตสฺมิํ สมเย พาลสตฺถวาหปุโตฺต เทวทโตฺต อโหสิ, ตสฺส ปริสา เทวทตฺตปริสาว, ปณฺฑิตสตฺถวาหปุตฺตปริสา พุทฺธปริสา, ปณฺฑิตสตฺถวาหปุโตฺต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติ เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā dassetvā dve vatthūni kathetvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānetvā dassesi – ‘‘tasmiṃ samaye bālasatthavāhaputto devadatto ahosi, tassa parisā devadattaparisāva, paṇḍitasatthavāhaputtaparisā buddhaparisā, paṇḍitasatthavāhaputto pana ahameva ahosi’’nti desanaṃ niṭṭhāpesi.

    อปณฺณกชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Apaṇṇakajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑. อปณฺณกชาตกํ • 1. Apaṇṇakajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact