English Edition
    Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๖๐

    The Middle-Length Suttas Collection 60

    อปณฺณกสุตฺต

    Guaranteed

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน สาลา นาม โกสลานํ พฺราหฺมณคาโม ตทวสริฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was wandering in the land of the Kosalans together with a large Saṅgha of bhikkhus when he arrived at a village of the Kosalan brahmins named Sālā.

    อโสฺสสุํ โข สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา:

    The brahmins and householders of Sālā heard:

    “สมโณ ขลุ โภ โคตโม สกฺยปุตฺโต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ สาลํ อนุปฺปตฺโตฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต: ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา'ติฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ, เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี”ติฯ

    “It seems the ascetic Gotama—a Sakyan, gone forth from a Sakyan family—wandering in the land of the Kosalans has arrived at Sālā, together with a large Saṅgha of bhikkhus. He has this good reputation: ‘That Blessed One is perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed.’ He has realized with his own insight this world—with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—and he makes it known to others. He teaches Dhamma that’s good in the beginning, good in the middle, and good in the end, meaningful and well-phrased. And he reveals a spiritual practice that’s entirely full and pure. It’s good to see such perfected ones.”

    อถ โข สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อปฺเปกจฺเจ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ อปฺเปกจฺเจ ภควตา สทฺธึ สมฺโมทึสุ; สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ อปฺเปกจฺเจ เยน ภควา เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ อปฺเปกจฺเจ ภควโต สนฺติเก นามโคตฺตํ สาเวตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ อปฺเปกจฺเจ ตุณฺหีภูตา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺเน โข สาเลยฺยเก พฺราหฺมณคหปติเก ภควา เอตทโวจ:

    Then the brahmins and householders of Sālā went up to the Buddha. Before sitting down to one side, some bowed, some exchanged greetings and polite conversation, some held up their joined palms toward the Buddha, some announced their name and clan, while some kept silent. The Buddha said to them:

    “อตฺถิ ปน โว, คหปตโย, โกจิ มนาโป สตฺถา ยสฺมึ โว อาการวตี สทฺธา ปฏิลทฺธา”ติ?

    “So, householders, is there some other teacher you’re happy with, in whom you have acquired grounded faith?”

    “นตฺถิ โข โน, ภนฺเต, โกจิ มนาโป สตฺถา ยสฺมึ โน อาการวตี สทฺธา ปฏิลทฺธา”ติฯ

    “No, sir.”

    “มนาปํ โว, คหปตโย, สตฺถารํ อลภนฺเตหิ อยํ อปณฺณโก ธมฺโม สมาทาย วตฺติตพฺโพฯ อปณฺณโก หิ, คหปตโย, ธมฺโม สมตฺโต สมาทินฺโน, โส โว ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ กตโม จ, คหปตโย, อปณฺณโก ธมฺโม?

    “Since you haven’t found a teacher you’re happy with, you should undertake and implement this guaranteed teaching. For when the guaranteed teaching is undertaken, it will be for your lasting welfare and happiness. And what is the guaranteed teaching?

    สนฺติ, คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฏฺฐํ, นตฺถิ หุตํ; นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก, นตฺถิ ปโร โลโก; นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา; นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา; นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมา ปฏิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี'ติฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘There’s no meaning in giving, sacrifice, or offerings. There’s no fruit or result of good and bad deeds. There’s no afterlife. There’s no such thing as mother and father, or beings that are reborn spontaneously. And there’s no ascetic or brahmin who is well attained and practiced, and who describes the afterlife after realizing it with their own insight.’

    เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทาฯ เต เอวมาหํสุ: ‘อตฺถิ ทินฺนํ, อตฺถิ ยิฏฺฐํ, อตฺถิ หุตํ; อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก; อตฺถิ อยํ โลโก, อตฺถิ ปโร โลโก; อตฺถิ มาตา, อตฺถิ ปิตา; อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา; อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมา ปฏิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี'ติฯ

    And there are some ascetics and brahmins whose doctrine directly contradicts this. They say: ‘There is meaning in giving, sacrifice, and offerings. There are fruits and results of good and bad deeds. There is an afterlife. There are such things as mother and father, and beings that are reborn spontaneously. And there are ascetics and brahmins who are well attained and practiced, and who describe the afterlife after realizing it with their own insight.’

    ตํ กึ มญฺญถ, คหปตโย: ‘นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา'”ติ?

    What do you think, householders? Don’t these doctrines directly contradict each other?”

    “เอวํ, ภนฺเต”ฯ

    “Yes, sir.”

    “ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฏฺฐํ …เป… เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี'ติ เตสเมตํ ปาฏิกงฺขํ—ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ—อิเม ตโย กุสเล ธมฺเม อภินิวชฺเชตฺวา ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ—อิเม ตโย อกุสเล ธมฺเม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น หิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา ปสฺสนฺติ อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ

    “Since this is so, consider those ascetics and brahmins whose view is that there’s no meaning in giving, etc. You can expect that they will reject good conduct by way of body, speech, and mind, and undertake and implement bad conduct by way of body, speech, and mind. Why is that? Because those ascetics and brahmins don’t see that unskillful qualities are full of drawbacks, sordidness, and corruption, or that skillful qualities have the benefit and cleansing power of renunciation.

    สนฺตํเยว ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก' ติสฺส ทิฏฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาทิฏฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก'ติ สงฺกปฺเปติ; สฺวาสฺส โหติ มิจฺฉาสงฺกปฺโปฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก'ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก'ติ อาห; เย เต อรหนฺโต ปรโลกวิทุโน เตสมยํ ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก'ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ อสทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน อสทฺธมฺมสญฺญตฺติยา อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วมฺเภติฯ อิติ ปุพฺเพว โข ปนสฺส สุสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, ทุสฺสีลฺยํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ—อยญฺจ มิจฺฉาทิฏฺฐิ มิจฺฉาสงฺกปฺโป มิจฺฉาวาจา อริยานํ ปจฺจนีกตา อสทฺธมฺมสญฺญตฺติ อตฺตุกฺกํสนา ปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ มิจฺฉาทิฏฺฐิปจฺจยาฯ

    Moreover, since there actually is another world, their view that there is no other world is wrong view. Since there actually is another world, their thought that there is no other world is wrong thought. Since there actually is another world, their speech that there is no other world is wrong speech. Since there actually is another world, in saying that there is no other world they contradict those perfected ones who know the other world. Since there actually is another world, in convincing another that there is no other world they are convincing them to accept an untrue teaching. And on account of that they glorify themselves and put others down. So they give up their former ethical conduct and are established in unethical conduct. And that is how these many bad, unskillful qualities come to be with wrong view as condition—wrong view, wrong thought, wrong speech, contradicting the noble ones, convincing others to accept untrue teachings, and glorifying oneself and putting others down.

    ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘สเจ โข นตฺถิ ปโร โลโก เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา โสตฺถิมตฺตานํ กริสฺสติ; สเจ โข อตฺถิ ปโร โลโก, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ ปโร โลโก, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ คารโยฺห—ทุสฺสีโล ปุริสปุคฺคโล มิจฺฉาทิฏฺฐิ นตฺถิกวาโท'ติฯ สเจ โข อตฺเถว ปโร โลโก, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กลิคฺคโห—ยญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ คารโยฺห, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธมฺโม ทุสฺสมตฺโต สมาทินฺโน, เอกํสํ ผริตฺวา ติฏฺฐติ, ริญฺจติ กุสลํ ฐานํฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘If there is no other world, when this individual’s body breaks up they will keep themselves safe. And if there is another world, when their body breaks up, after death, they will be reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. But let’s assume that those who say that there is no other world are correct. Regardless, that individual is still criticized by sensible people in the present life as being an immoral individual of wrong view, a nihilist.’ But if there really is another world, they lose on both counts. For they are criticized by sensible people in the present life, and when their body breaks up, after death, they will be reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. They have wrongly undertaken this guaranteed teaching in such a way that it encompasses the positive outcomes of one side only, leaving out the skillful premise.

    ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อตฺถิ ทินฺนํ …เป… เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี'ติ เตสเมตํ ปาฏิกงฺขํ—ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ—อิเม ตโย อกุสเล ธมฺเม อภินิวชฺเชตฺวา ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ—อิเม ตโย กุสเล ธมฺเม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ปสฺสนฺติ หิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ

    Since this is so, consider those ascetics and brahmins whose view is that there is meaning in giving, etc. You can expect that they will reject bad conduct by way of body, speech, and mind, and undertake and implement good conduct by way of body, speech, and mind. Why is that? Because those ascetics and brahmins see that unskillful qualities are full of drawbacks, sordidness, and corruption, and that skillful qualities have the benefit and cleansing power of renunciation.

    สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก' ติสฺส ทิฏฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ สมฺมาทิฏฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก'ติ สงฺกปฺเปติ; สฺวาสฺส โหติ สมฺมาสงฺกปฺโปฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก'ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ สมฺมาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก'ติ อาห; เย เต อรหนฺโต ปรโลกวิทุโน เตสมยํ น ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก'ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ สทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน สทฺธมฺมสญฺญตฺติยา เนวตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วมฺเภติฯ อิติ ปุพฺเพว โข ปนสฺส ทุสฺสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, สุสีลฺยํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ—อยญฺจ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา อริยานํ อปจฺจนีกตา สทฺธมฺมสญฺญตฺติ อนตฺตุกฺกํสนา อปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก กุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ สมฺมาทิฏฺฐิปจฺจยาฯ

    Moreover, since there actually is another world, their view that there is another world is right view. Since there actually is another world, their thought that there is another world is right thought. Since there actually is another world, their speech that there is another world is right speech. Since there actually is another world, in saying that there is another world they don’t contradict those perfected ones who know the other world. Since there actually is another world, in convincing another that there is another world they are convincing them to accept a true teaching. And on account of that they don’t glorify themselves or put others down. So they give up their former unethical conduct and are established in ethical conduct. And that is how these many skillful qualities come to be with right view as condition—right view, right thought, right speech, not contradicting the noble ones, convincing others to accept true teachings, and not glorifying oneself or putting others down.

    ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘สเจ โข อตฺถิ ปโร โลโก, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ ปโร โลโก, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ ปาสํโส—สีลวา ปุริสปุคฺคโล สมฺมาทิฏฺฐิ อตฺถิกวาโท'ติฯ สเจ โข อตฺเถว ปโร โลโก, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กฏคฺคโห—ยญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ ปาสํโส, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธมฺโม สุสมตฺโต สมาทินฺโน อุภยํสํ ผริตฺวา ติฏฺฐติ, ริญฺจติ อกุสลํ ฐานํฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘If there is another world, when this individual’s body breaks up, after death, they will be reborn in a good place, a heavenly realm. But let’s assume that those who say that there is no other world are correct. Regardless, that individual is still praised by sensible people in the present life as being a moral individual of right view, who affirms a positive teaching.’ So if there really is another world, they win on both counts. For they are praised by sensible people in the present life, and when their body breaks up, after death, they will be reborn in a good place, a heavenly realm. They have rightly undertaken this guaranteed teaching in such a way that it encompasses the positive outcomes of both sides, leaving out the unskillful premise.

    สนฺติ, คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธึ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปนฺเถ ติฏฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต; กโรโต น กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยนฺเตน เจปิ จกฺเกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย หนนฺโต ฆาเตนฺโต, ฉินฺทนฺโต เฉทาเปนฺโต, ปจนฺโต ปาเจนฺโต; นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย ททนฺโต ทาเปนฺโต, ยชนฺโต ยชาเปนฺโต; นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวชฺเชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม'ติฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘The one who acts does nothing wrong when they punish, mutilate, torture, aggrieve, oppress, intimidate, or when they encourage others to do the same. They do nothing wrong when they kill, steal, break into houses, plunder wealth, steal from isolated buildings, commit highway robbery, commit adultery, and lie. If you were to reduce all the living creatures of this earth to one heap and mass of flesh with a razor-edged chakram, no evil comes of that, and no outcome of evil. If you were to go along the south bank of the Ganges killing, mutilating, and torturing, and encouraging others to do the same, no evil comes of that, and no outcome of evil. If you were to go along the north bank of the Ganges giving and sacrificing and encouraging others to do the same, no merit comes of that, and no outcome of merit. In giving, self-control, restraint, and truthfulness there is no merit or outcome of merit.’

    เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทา เต เอวมาหํสุ: ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธึ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปนฺเถ ติฏฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต; กโรโต กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยนฺเตน เจปิ จกฺเกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย หนนฺโต ฆาเตนฺโต, ฉินฺทนฺโต เฉทาเปนฺโต, ปจนฺโต ปาเจนฺโต; อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย ททนฺโต ทาเปนฺโต, ยชนฺโต ยชาเปนฺโต; อตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวชฺเชน อตฺถิ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม'ติฯ

    And there are some ascetics and brahmins whose doctrine directly contradicts this. They say: ‘The one who acts does a bad deed when they punish, mutilate, torture, aggrieve, oppress, intimidate, or when they encourage others to do the same. They do a bad deed when they kill, steal, break into houses, plunder wealth, steal from isolated buildings, commit highway robbery, commit adultery, and lie. If you were to reduce all the living creatures of this earth to one heap and mass of flesh with a razor-edged chakram, evil comes of that, and an outcome of evil. If you were to go along the south bank of the Ganges killing, mutilating, and torturing, and encouraging others to do the same, evil comes of that, and an outcome of evil. If you were to go along the north bank of the Ganges giving and sacrificing and encouraging others to do the same, merit comes of that, and an outcome of merit. In giving, self-control, restraint, and truthfulness there is merit and outcome of merit.’

    ตํ กึ มญฺญถ, คหปตโย, นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา”ติ?

    What do you think, householders? Don’t these doctrines directly contradict each other?”

    “เอวํ, ภนฺเต”ฯ

    “Yes, sir.”

    “ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธึ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปนฺเถ ติฏฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต; กโรโต น กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยนฺเตน เจปิ จกฺเกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย หนนฺโต ฆาเตนฺโต …เป… ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวชฺเชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม'ติ เตสเมตํ ปาฏิกงฺขํ—ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ—อิเม ตโย กุสเล ธมฺเม อภินิวชฺเชตฺวา ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ—อิเม ตโย อกุสเล ธมฺเม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น หิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา ปสฺสนฺติ อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ

    “Since this is so, consider those ascetics and brahmins whose view is that the one who acts does nothing wrong when they punish, etc. You can expect that they will reject good conduct by way of body, speech, and mind, and undertake and implement bad conduct by way of body, speech, and mind. Why is that? Because those ascetics and brahmins don’t see that unskillful qualities are full of drawbacks, sordidness, and corruption, or that skillful qualities have the benefit and cleansing power of renunciation.

    สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา' ติสฺส ทิฏฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาทิฏฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา'ติ สงฺกปฺเปติ; สฺวาสฺส โหติ มิจฺฉาสงฺกปฺโปฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา'ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา'ติ อาห, เย เต อรหนฺโต กิริยวาทา เตสมยํ ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา'ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ อสทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน อสทฺธมฺมสญฺญตฺติยา อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วมฺเภติฯ อิติ ปุพฺเพว โข ปนสฺส สุสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, ทุสฺสีลฺยํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ—อยญฺจ มิจฺฉาทิฏฺฐิ มิจฺฉาสงฺกปฺโป มิจฺฉาวาจา อริยานํ ปจฺจนีกตา อสทฺธมฺมสญฺญตฺติ อตฺตุกฺกํสนา ปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ มิจฺฉาทิฏฺฐิปจฺจยาฯ

    Moreover, since action actually does have an effect, their view that action is ineffective is wrong view. Since action actually does have an effect, their thought that action is ineffective is wrong thought. Since action actually does have an effect, their speech that action is ineffective is wrong speech. Since action actually does have an effect, in saying that action is ineffective they contradict those perfected ones who teach that action is effective. Since action actually does have an effect, in convincing another that action is ineffective they are convincing them to accept an untrue teaching. And on account of that they glorify themselves and put others down. So they give up their former ethical conduct and are established in unethical conduct. And that is how these many bad, unskillful qualities come to be with wrong view as condition—wrong view, wrong thought, wrong speech, contradicting the noble ones, convincing others to accept untrue teachings, and glorifying oneself and putting others down.

    ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘สเจ โข นตฺถิ กิริยา, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา โสตฺถิมตฺตานํ กริสฺสติ; สเจ โข อตฺถิ กิริยา เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ กิริยา, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ คารโยฺห—ทุสฺสีโล ปุริสปุคฺคโล มิจฺฉาทิฏฺฐิ อกิริยวาโท'ติฯ สเจ โข อตฺเถว กิริยา, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กลิคฺคโห—ยญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ คารโยฺห, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธมฺโม ทุสฺสมตฺโต สมาทินฺโน, เอกํสํ ผริตฺวา ติฏฺฐติ, ริญฺจติ กุสลํ ฐานํฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘If there is no effective action, when this individual’s body breaks up they will keep themselves safe. And if there is effective action, when their body breaks up, after death, they will be reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. But let’s assume that those who say that there is no effective action are correct. Regardless, that individual is still criticized by sensible people in the present life as being an immoral individual of wrong view, one who denies the efficacy of action.’ But if there really is effective action, they lose on both counts. For they are criticized by sensible people in the present life, and when their body breaks up, after death, they will be reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. They have wrongly undertaken this guaranteed teaching in such a way that it encompasses the positive outcomes of one side only, leaving out the skillful premise.

    ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธึ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปนฺเถ ติฏฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต; กโรโต กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยนฺเตน เจปิ จกฺเกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย หนนฺโต ฆาเตนฺโต, ฉินฺทนฺโต เฉทาเปนฺโต, ปจนฺโต ปาเจนฺโต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรญฺเจปิ คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย ททนฺโต ทาเปนฺโต, ยชนฺโต ยชาเปนฺโต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวชฺเชน อตฺถิ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม'ติ เตสเมตํ ปาฏิกงฺขํ ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ—อิเม ตโย อกุสเล ธมฺเม อภินิวชฺเชตฺวา ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ—อิเม ตโย กุสเล ธมฺเม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ปสฺสนฺติ หิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ

    Since this is so, consider those ascetics and brahmins whose view is that the one who acts does a bad deed when they punish, etc. You can expect that they will reject bad conduct by way of body, speech, and mind, and undertake and implement good conduct by way of body, speech, and mind. Why is that? Because those ascetics and brahmins see that unskillful qualities are full of drawbacks, sordidness, and corruption, and that skillful qualities have the benefit and cleansing power of renunciation.

    สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา' ติสฺส ทิฏฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ สมฺมาทิฏฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา'ติ สงฺกปฺเปติ; สฺวาสฺส โหติ สมฺมาสงฺกปฺโปฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา'ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ สมฺมาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา'ติ อาห; เย เต อรหนฺโต กิริยวาทา เตสมยํ น ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา'ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ สทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน สทฺธมฺมสญฺญตฺติยา เนวตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วมฺเภติฯ อิติ ปุพฺเพว โข ปนสฺส ทุสฺสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, สุสีลฺยํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ—อยญฺจ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา อริยานํ อปจฺจนีกตา สทฺธมฺมสญฺญตฺติ อนตฺตุกฺกํสนา อปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก กุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ สมฺมาทิฏฺฐิปจฺจยาฯ

    Moreover, since action actually does have an effect, their view that action is effective is right view. Since action actually does have an effect, their thought that action is effective is right thought. Since action actually does have an effect, their speech that action is effective is right speech. Since action actually does have an effect, in saying that action is effective they don’t contradict those perfected ones who teach that action is effective. Since action actually does have an effect, in convincing another that action is effective they are convincing them to accept a true teaching. And on account of that they don’t glorify themselves or put others down. So they give up their former unethical conduct and are established in ethical conduct. And that is how these many skillful qualities come to be with right view as condition—right view, right thought, right speech, not contradicting the noble ones, convincing others to accept true teachings, and not glorifying oneself or putting others down.

    ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘สเจ โข อตฺถิ กิริยา, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ กิริยา, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ ปาสํโส—สีลวา ปุริสปุคฺคโล สมฺมาทิฏฺฐิ กิริยวาโท'ติฯ สเจ โข อตฺเถว กิริยา, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กฏคฺคโห—ยญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ ปาสํโส, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธมฺโม สุสมตฺโต สมาทินฺโน, อุภยํสํ ผริตฺวา ติฏฺฐติ, ริญฺจติ อกุสลํ ฐานํฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘If there is effective action, when this individual’s body breaks up, after death, they will be reborn in a good place, a heavenly realm. But let’s assume that those who say that there is no effective action are correct. Regardless, that individual is still praised by sensible people in the present life as being a moral individual of right view, who affirms the efficacy of action.’ So if there really is effective action, they win on both counts. For they are praised by sensible people in the present life, and when their body breaks up, after death, they will be reborn in a good place, a heavenly realm. They have rightly undertaken this guaranteed teaching in such a way that it encompasses the positive outcomes of both sides, leaving out the unskillful premise.

    สนฺติ, คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สงฺกิเลสาย; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สงฺกิลิสฺสนฺติฯ นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ นตฺถิ พลํ, นตฺถิ วีริยํ, นตฺถิ ปุริสถาโม, นตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพฺเพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฏิสํเวเทนฺตี'ติฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘There is no cause or reason for the corruption of sentient beings. Sentient beings are corrupted without cause or reason. There’s no cause or reason for the purification of sentient beings. Sentient beings are purified without cause or reason. There is no power, no energy, no human strength or vigor. All sentient beings, all living creatures, all beings, all souls lack control, power, and energy. Molded by destiny, circumstance, and nature, they experience pleasure and pain in the six classes of rebirth.’

    เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทาฯ เต เอวมาหํสุ: ‘อตฺถิ เหตุ, อตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สงฺกิเลสาย; สเหตู สปฺปจฺจยา สตฺตา สงฺกิลิสฺสนฺติฯ อตฺถิ เหตุ, อตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; สเหตู สปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ อตฺถิ พลํ, อตฺถิ วีริยํ, อตฺถิ ปุริสถาโม, อตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; น สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพฺเพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฏิสํเวเทนฺตี'ติฯ

    And there are some ascetics and brahmins whose doctrine directly contradicts this. They say: ‘There is a cause and reason for the corruption of sentient beings. Sentient beings are corrupted with cause and reason. There is a cause and reason for the purification of sentient beings. Sentient beings are purified with cause and reason. There is power, energy, human strength and vigor. It is not the case that all sentient beings, all living creatures, all beings, all souls lack control, power, and energy, or that, molded by destiny, circumstance, and nature, they experience pleasure and pain in the six classes of rebirth.’

    ตํ กึ มญฺญถ, คหปตโย, นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา”ติ?

    What do you think, householders? Don’t these doctrines directly contradict each other?”

    “เอวํ, ภนฺเต”ฯ

    “Yes, sir.”

    “ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สงฺกิเลสาย; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สงฺกิลิสฺสนฺติฯ นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ นตฺถิ พลํ, นตฺถิ วีริยํ, นตฺถิ ปุริสถาโม, นตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพฺเพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฏิสํเวเทนฺตี'ติ เตสเมตํ ปาฏิกงฺขํ—ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ—อิเม ตโย กุสเล ธมฺเม อภินิวชฺเชตฺวา ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ—อิเม ตโย อกุสเล ธมฺเม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น หิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา ปสฺสนฺติ อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ

    “Since this is so, consider those ascetics and brahmins whose view is that there’s no cause or reason for the corruption of sentient beings, etc. You can expect that they will reject good conduct by way of body, speech, and mind, and undertake and implement bad conduct by way of body, speech, and mind. Why is that? Because those ascetics and brahmins don’t see that unskillful qualities are full of drawbacks, sordidness, and corruption, or that skillful qualities have the benefit and cleansing power of renunciation.

    สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู' ติสฺส ทิฏฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาทิฏฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู'ติ สงฺกปฺเปติ; สฺวาสฺส โหติ มิจฺฉาสงฺกปฺโปฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู'ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู'ติ อาห; เย เต อรหนฺโต เหตุวาทา เตสมยํ ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู'ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ อสทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน อสทฺธมฺมสญฺญตฺติยา อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วมฺเภติฯ อิติ ปุพฺเพว โข ปนสฺส สุสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, ทุสฺสีลฺยํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ—อยญฺจ มิจฺฉาทิฏฺฐิ มิจฺฉาสงฺกปฺโป มิจฺฉาวาจา อริยานํ ปจฺจนีกตา อสทฺธมฺมสญฺญตฺติ อตฺตานุกฺกํสนา ปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ มิจฺฉาทิฏฺฐิปจฺจยาฯ

    Moreover, since there actually is causality, their view that there is no causality is wrong view. Since there actually is causality, their thought that there is no causality is wrong thought. Since there actually is causality, their speech that there is no causality is wrong speech. Since there actually is causality, in saying that there is no causality they contradict those perfected ones who teach that there is causality. Since there actually is causality, in convincing another that there is no causality they are convincing them to accept an untrue teaching. And on account of that they glorify themselves and put others down. So they give up their former ethical conduct and are established in unethical conduct. And that is how these many bad, unskillful qualities come to be with wrong view as condition—wrong view, wrong thought, wrong speech, contradicting the noble ones, convincing others to accept untrue teachings, and glorifying oneself and putting others down.

    ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘สเจ โข นตฺถิ เหตุ, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา โสตฺถิมตฺตานํ กริสฺสติ; สเจ โข อตฺถิ เหตุ, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ เหตุ, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ คารโยฺห—ทุสฺสีโล ปุริสปุคฺคโล มิจฺฉาทิฏฺฐิ อเหตุกวาโท'ติฯ สเจ โข อตฺเถว เหตุ, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กลิคฺคโห—ยญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ คารโยฺห, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธมฺโม ทุสฺสมตฺโต สมาทินฺโน, เอกํสํ ผริตฺวา ติฏฺฐติ, ริญฺจติ กุสลํ ฐานํฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘If there is no causality, when this individual’s body breaks up they will keep themselves safe. And if there is causality, when their body breaks up, after death, they will be reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. But let’s assume that those who say that there is no causality are correct. Regardless, that individual is still criticized by sensible people in the present life as being an immoral individual of wrong view, one who denies causality.’ But if there really is causality, they lose on both counts. For they are criticized by sensible people in the present life, and when their body breaks up, after death, they will be reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. They have wrongly undertaken this guaranteed teaching in such a way that it encompasses the positive outcomes of one side only, leaving out the skillful premise.

    ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อตฺถิ เหตุ, อตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สงฺกิเลสาย; สเหตู สปฺปจฺจยา สตฺตา สงฺกิลิสฺสนฺติฯ อตฺถิ เหตุ, อตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; สเหตู สปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ อตฺถิ พลํ, อตฺถิ วีริยํ, อตฺถิ ปุริสถาโม, อตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; น สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพฺเพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฏิสํเวเทนฺตี'ติ เตสเมตํ ปาฏิกงฺขํ—ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ—อิเม ตโย อกุสเล ธมฺเม อภินิวชฺเชตฺวา ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ—อิเม ตโย กุสเล ธมฺเม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ปสฺสนฺติ หิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ

    Since this is so, consider those ascetics and brahmins whose view is that there is a cause and reason for the corruption of sentient beings, etc. You can expect that they will reject bad conduct by way of body, speech, and mind, and undertake and implement good conduct by way of body, speech, and mind. Why is that? Because those ascetics and brahmins see that unskillful qualities are full of drawbacks, sordidness, and corruption, and that skillful qualities have the benefit and cleansing power of renunciation.

    สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู' ติสฺส ทิฏฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ สมฺมาทิฏฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู'ติ สงฺกปฺเปติ; สฺวาสฺส โหติ สมฺมาสงฺกปฺโปฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู'ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ สมฺมาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู'ติ อาห, เย เต อรหนฺโต เหตุวาทา เตสมยํ น ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู'ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ สทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน สทฺธมฺมสญฺญตฺติยา เนวตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วมฺเภติฯ อิติ ปุพฺเพว โข ปนสฺส ทุสฺสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, สุสีลฺยํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ—อยญฺจ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา อริยานํ อปจฺจนีกตา สทฺธมฺมสญฺญตฺติ อนตฺตุกฺกํสนา อปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก กุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ สมฺมาทิฏฺฐิปจฺจยาฯ

    Moreover, since there actually is causality, their view that there is causality is right view. Since there actually is causality, their thought that there is causality is right thought. Since there actually is causality, their speech that there is causality is right speech. Since there actually is causality, in saying that there is causality they don’t contradict those perfected ones who teach that there is causality. Since there actually is causality, in convincing another that there is causality they are convincing them to accept a true teaching. And on account of that they don’t glorify themselves or put others down. So they give up their former unethical conduct and are established in ethical conduct. And that is how these many skillful qualities come to be with right view as condition—right view, right thought, right speech, not contradicting the noble ones, convincing others to accept true teachings, and not glorifying oneself or putting others down.

    ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘สเจ โข อตฺถิ เหตุ, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ เหตุ, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ ปาสํโส—สีลวา ปุริสปุคฺคโล สมฺมาทิฏฺฐิ เหตุวาโท'ติฯ สเจ โข อตฺถิ เหตุ, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กฏคฺคโห—ยญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิญฺญูนํ ปาสํโส, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธมฺโม สุสมตฺโต สมาทินฺโน, อุภยํสํ ผริตฺวา ติฏฺฐติ, ริญฺจติ อกุสลํ ฐานํฯ

    A sensible person reflects on this matter in this way: ‘If there is causality, when this individual’s body breaks up, after death, they will be reborn in a good place, a heavenly realm. But let’s assume that those who say that there is no causality are correct. Regardless, that individual is still praised by sensible people in the present life as being a moral individual of right view, who affirms causality.’ So if there really is causality, they win on both counts. For they are praised by sensible people in the present life, and when their body breaks up, after death, they will be reborn in a good place, a heavenly realm. They have rightly undertaken this guaranteed teaching in such a way that it encompasses the positive outcomes of both sides, leaving out the unskillful premise.

    สนฺติ, คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา'ติฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘There are no totally formless states of meditation.’

    เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทาฯ เต เอวมาหํสุ: ‘อตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา'ติฯ

    And there are some ascetics and brahmins whose doctrine directly contradicts this. They say: ‘There are totally formless states of meditation.’

    ตํ กึ มญฺญถ, คหปตโย, นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา”ติ?

    What do you think, householders? Don’t these doctrines directly contradict each other?”

    “เอวํ, ภนฺเต”ฯ

    “Yes, sir.”

    “ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ—เย โข เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา'ติ, อิทํ เม อทิฏฺฐํ; เยปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา'ติ, อิทํ เม อวิทิตํฯ อหญฺเจว โข ปน อชานนฺโต อปสฺสนฺโต เอกํเสน อาทาย โวหเรยฺยํ—อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺติ, น เมตํ อสฺส ปติรูปํฯ เย โข เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา'ติ, สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ฐานเมตํ วิชฺชติ—เย เต เทวา รูปิโน มโนมยา, อปณฺณกํ เม ตตฺรูปปตฺติ ภวิสฺสติฯ เย ปน เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา'ติ, สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ฐานเมตํ วิชฺชติ—เย เต เทวา อรูปิโน สญฺญามยา, อปณฺณกํ เม ตตฺรูปปตฺติ ภวิสฺสติฯ ทิสฺสนฺติ โข ปน รูปาธิกรณํ ทณฺฑาทานสตฺถาทานกลหวิคฺคหวิวาทตุวํตุวํเปสุญฺญมุสาวาทาฯ ‘นตฺถิ โข ปเนตํ สพฺพโส อรูเป'ติฯ โส อิติ ปฏิสงฺขาย รูปานํเยว นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย ปฏิปนฺโน โหติฯ

    “A sensible person reflects on this matter in this way: ‘Some ascetics and brahmins say that there are no totally formless meditations, but I have not seen that. Some ascetics and brahmins say that there are totally formless meditations, but I have not known that. Without knowing or seeing, it would not be appropriate for me to take one side and declare, ‘This is the only truth, other ideas are silly.’ If those ascetics and brahmins who say that there are no totally formless meditations are correct, it is possible that I will be guaranteed rebirth among the gods who possess form and made of mind. If those ascetics and brahmins who say that there are totally formless meditations are correct, it is possible that I will be guaranteed rebirth among the gods who are formless and made of perception. Now, owing to form, bad things are seen: taking up the rod and the sword, quarrels, arguments, and disputes, accusations, divisive speech, and lies. But those things don’t exist where it is totally formless.’ Reflecting like this, they simply practice for disillusionment, dispassion, and cessation regarding forms.

    สนฺติ, คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ'ติฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘There is no such thing as the total cessation of future lives.’

    เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทาฯ เต เอวมาหํสุ: ‘อตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ'ติฯ

    And there are some ascetics and brahmins whose doctrine directly contradicts this. They say: ‘There is such a thing as the total cessation of future lives.’

    ตํ กึ มญฺญถ, คหปตโย, นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา”ติ?

    What do you think, householders? Don’t these doctrines directly contradict each other?”

    “เอวํ, ภนฺเต”ฯ

    “Yes, sir.”

    “ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ—เย โข เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ'ติ, อิทํ เม อทิฏฺฐํ; เยปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ'ติ, อิทํ เม อวิทิตํฯ อหญฺเจว โข ปน อชานนฺโต อปสฺสนฺโต เอกํเสน อาทาย โวหเรยฺยํ—อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺติ, น เมตํ อสฺส ปติรูปํฯ เย โข เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ'ติ, สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ฐานเมตํ วิชฺชติ—เย เต เทวา อรูปิโน สญฺญามยา อปณฺณกํ เม ตตฺรูปปตฺติ ภวิสฺสติฯ เย ปน เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ'ติ, สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ฐานเมตํ วิชฺชติ—ยํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม ปรินิพฺพายิสฺสามิฯ เย โข เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘นตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ'ติ, เตสมยํ ทิฏฺฐิ สาราคาย สนฺติเก, สํโยคาย สนฺติเก, อภินนฺทนาย สนฺติเก, อชฺโฌสานาย สนฺติเก, อุปาทานาย สนฺติเกฯ เย ปน เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ'ติ, เตสมยํ ทิฏฺฐิ อสาราคาย สนฺติเก, อสํโยคาย สนฺติเก, อนภินนฺทนาย สนฺติเก, อนชฺโฌสานาย สนฺติเก, อนุปาทานาย สนฺติเกติฯ โส อิติ ปฏิสงฺขาย ภวานํเยว นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย ปฏิปนฺโน โหติฯ

    “A sensible person reflects on this matter in this way: ‘Some ascetics and brahmins say that there is no such thing as the total cessation of future lives, but I have not seen that. Some ascetics and brahmins say that there is such a thing as the total cessation of future lives, but I have not known that. Without knowing or seeing, it would not be appropriate for me to take one side and declare, ‘This is the only truth, other ideas are silly.’ If those ascetics and brahmins who say that there is no such thing as the total cessation of future lives are correct, it is possible that I will be guaranteed rebirth among the gods who are formless and made of perception. If those ascetics and brahmins who say that there is such a thing as the total cessation of future lives are correct, it is possible that I will be fully extinguished in the present life. The view of those ascetics and brahmins who say that there is no such thing as the total cessation of future lives is close to greed, yoking, relishing, attachment, and grasping. The view of those ascetics and brahmins who say that there is such a thing as the total cessation of future lives is close to non-greed, non-yoking, non-relishing, non-attachment, and non-grasping.’ Reflecting like this, they simply practice for disillusionment, dispassion, and cessation regarding future lives.

    จตฺตาโรเม, คหปตโย, ปุคฺคลา สนฺโต สํวิชฺชมานา โลกสฺมึฯ กตเม จตฺตาโร?

    Householders, these four people are found in the world. What four?

      อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป โหติ อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโตฯ

      One person mortifies themselves, committed to the practice of mortifying themselves.

    อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ ปุคฺคโล ปรนฺตโป โหติ ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโตฯ

    One person mortifies others, committed to the practice of mortifying others.

    อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป จ โหติ อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต ปรนฺตโป จ ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโตฯ

    One person mortifies themselves and others, committed to the practice of mortifying themselves and others.

    อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ ปุคฺคโล เนวตฺตนฺตโป โหติ นาตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต น ปรนฺตโป น ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต; โส อนตฺตนฺตโป อปรนฺตโป ทิฏฺเฐว ธมฺเม นิจฺฉาโต นิพฺพุโต สีตีภูโต สุขปฺปฏิสํเวที พฺรหฺมภูเตน อตฺตนา วิหรติฯ

    One person doesn’t mortify either themselves or others, committed to the practice of not mortifying themselves or others. They live without wishes in the present life, extinguished, cooled, experiencing bliss, with self become divine.

    กตโม จ, คหปตโย, ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต? อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ ปุคฺคโล อเจลโก โหติ มุตฺตาจาโร หตฺถาปเลขโน …เป… อิติ เอวรูปํ อเนกวิหิตํ กายสฺส อาตาปนปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, คหปตโย, ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโตฯ

    And what person mortifies themselves, committed to the practice of mortifying themselves? It’s when someone goes naked, ignoring conventions. … And so they live committed to practicing these various ways of mortifying and tormenting the body. This is called a person who mortifies themselves, being committed to the practice of mortifying themselves.

    กตโม จ, คหปตโย, ปุคฺคโล ปรนฺตโป ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต? อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ ปุคฺคโล โอรพฺภิโก โหติ สูกริโก …เป… เย วา ปนญฺเญปิ เกจิ กุรูรกมฺมนฺตาฯ อยํ วุจฺจติ, คหปตโย, ปุคฺคโล ปรนฺตโป ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโตฯ

    And what person mortifies others, committed to the practice of mortifying others? It’s when a person is a butcher of sheep, pigs, poultry, or deer, a hunter or fisher, a bandit, an executioner, a butcher of cattle, a jailer, or has some other cruel livelihood. This is called a person who mortifies others, being committed to the practice of mortifying others.

    กตโม จ, คหปตโย, ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป จ อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต ปรนฺตโป จ ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต? อิธ, คหปตโย, เอกจฺโจ ปุคฺคโล ราชา วา โหติ ขตฺติโย มุทฺธาวสิตฺโต …เป… เตปิ ทณฺฑตชฺชิตา ภยตชฺชิตา อสฺสุมุขา รุทมานา ปริกมฺมานิ กโรนฺติฯ อยํ วุจฺจติ, คหปตโย, ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป จ อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต ปรนฺตโป จ ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโตฯ

    And what person mortifies themselves and others, being committed to the practice of mortifying themselves and others? It’s when a person is an anointed aristocratic king or a well-to-do brahmin. … His bondservants, employees, and workers do their jobs under threat of punishment and danger, weeping, with tearful faces. This is called a person who mortifies themselves and others, being committed to the practice of mortifying themselves and others.

    กตโม จ, คหปตโย, ปุคฺคโล เนวตฺตนฺตโป นาตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต น ปรนฺตโป น ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต; โส อนตฺตนฺตโป อปรนฺตโป ทิฏฺเฐว ธมฺเม นิจฺฉาโต นิพฺพุโต สีตีภูโต สุขปฺปฏิสํเวที พฺรหฺมภูเตน อตฺตนา วิหรติ?

    And what person doesn’t mortify either themselves or others, committed to the practice of not mortifying themselves or others, living without wishes in the present life, extinguished, cooled, experiencing bliss, with self become divine?

    อิธ, คหปตโย, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ … เป… โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ …เป… ตติยํ ฌานํ …เป… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ

    It’s when a Realized One arises in the world, perfected, a fully awakened Buddha … A householder hears that teaching, or a householder’s child, or someone reborn in some good family. … They give up these five hindrances, corruptions of the heart that weaken wisdom. Then, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, they enter and remain in the first jhāna … second jhāna … third jhāna … fourth jhāna.

    โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ

    When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward recollection of past lives. … They recollect their many kinds of past lives, with features and details.

    โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ, สุคเต ทุคฺคเต …เป… ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติฯ

    When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward knowledge of the death and rebirth of sentient beings. With clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. … They understand how sentient beings are reborn according to their deeds.

    โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺขนฺ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ …เป… ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฏิปทา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ

    When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward knowledge of the ending of defilements. They truly understand: ‘This is suffering’ … ‘This is the origin of suffering’ … ‘This is the cessation of suffering’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of suffering’. They truly understand: ‘These are defilements’ … ‘This is the origin of defilements’ … ‘This is the cessation of defilements’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of defilements’. Knowing and seeing like this, their mind is freed from the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance. When they’re freed, they know they’re freed.

    ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานาติฯ

    They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’

    อยํ วุจฺจติ, คหปตโย, ปุคฺคโล เนวตฺตนฺตโป นาตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต น ปรนฺตโป น ปรปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต; โส อนตฺตนฺตโป อปรนฺตโป ทิฏฺเฐว ธมฺเม นิจฺฉาโต นิพฺพุโต สีตีภูโต สุขปฺปฏิสํเวที พฺรหฺมภูเตน อตฺตนา วิหรตี”ติฯ

    This is called a person who neither mortifies themselves or others, being committed to the practice of not mortifying themselves or others. They live without wishes in the present life, extinguished, cooled, experiencing bliss, with self become divine.”

    เอวํ วุตฺเต, สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตมฯ เสยฺยถาปิ, โภ โคตม, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย ‘จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี'ติ; เอวเมวํ โภตา โคตเมน อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอเต มยํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉาม ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสเก โน ภวํ โคตโม ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คเต”ติฯ

    When he had spoken, the brahmins and householders of Sālā said to the Buddha, “Excellent, Master Gotama! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, Master Gotama has made the teaching clear in many ways. We go for refuge to Master Gotama, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may Master Gotama remember us as lay followers who have gone for refuge for life.”

    อปณฺณกสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ทสมํฯ

    คหปติวคฺโค นิฏฺฐิโต ปฐโมฯ

    ตสฺสุทฺทานํ

    กนฺทรนาครเสขวโต จ, โปตลิโย ปุน ชีวกภจฺโจ; อุปาลิทมโถ กุกฺกุรอภโย, พหุเวทนียาปณฺณกโต ทสโมฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact