Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๑๐. อปณฺณกสุตฺตํ
10. Apaṇṇakasuttaṃ
๙๒. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ เยน สาลา นาม โกสลานํ พฺราหฺมณคาโม ตทวสริฯ อโสฺสสุํ โข สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา – ‘‘สมโณ ขลุ โภ โคตโม สกฺยปุโตฺต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ สาลํ อนุปฺปโตฺตฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต – ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา’ติฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ, เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี’’ติฯ อถ โข สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อเปฺปกเจฺจ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ อเปฺปกเจฺจ ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทิํสุ; สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ อเปฺปกเจฺจ เยน ภควา เตนญฺชลิํ ปณาเมตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ อเปฺปกเจฺจ ภควโต สนฺติเก นามโคตฺตํ สาเวตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ อเปฺปกเจฺจ ตุณฺหีภูตา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ
92. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā kosalesu cārikaṃ caramāno mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ yena sālā nāma kosalānaṃ brāhmaṇagāmo tadavasari. Assosuṃ kho sāleyyakā brāhmaṇagahapatikā – ‘‘samaṇo khalu bho gotamo sakyaputto sakyakulā pabbajito kosalesu cārikaṃ caramāno mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ sālaṃ anuppatto. Taṃ kho pana bhavantaṃ gotamaṃ evaṃ kalyāṇo kittisaddo abbhuggato – ‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā’ti. So imaṃ lokaṃ sadevakaṃ samārakaṃ sabrahmakaṃ sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedeti. So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ, kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāseti. Sādhu kho pana tathārūpānaṃ arahataṃ dassanaṃ hotī’’ti. Atha kho sāleyyakā brāhmaṇagahapatikā yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā appekacce bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Appekacce bhagavatā saddhiṃ sammodiṃsu; sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Appekacce yena bhagavā tenañjaliṃ paṇāmetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Appekacce bhagavato santike nāmagottaṃ sāvetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Appekacce tuṇhībhūtā ekamantaṃ nisīdiṃsu.
๙๓. เอกมนฺตํ นิสิเนฺน โข สาเลยฺยเก พฺราหฺมณคหปติเก ภควา เอตทโวจ – ‘‘อตฺถิ ปน โว, คหปตโย, โกจิ มนาโป สตฺถา ยสฺมิํ โว อาการวตี สทฺธา ปฎิลทฺธา’’ติ? ‘‘นตฺถิ โข โน, ภเนฺต, โกจิ มนาโป สตฺถา ยสฺมิํ โน อาการวตี สทฺธา ปฎิลทฺธา’’ติฯ ‘‘มนาปํ โว, คหปตโย, สตฺถารํ อลภเนฺตหิ อยํ อปณฺณโก ธโมฺม สมาทาย วตฺติตโพฺพฯ อปณฺณโก หิ, คหปตโย, ธโมฺม สมโตฺต สมาทิโนฺน, โส โว ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ กตโม จ, คหปตโย, อปณฺณโก ธโมฺม’’?
93. Ekamantaṃ nisinne kho sāleyyake brāhmaṇagahapatike bhagavā etadavoca – ‘‘atthi pana vo, gahapatayo, koci manāpo satthā yasmiṃ vo ākāravatī saddhā paṭiladdhā’’ti? ‘‘Natthi kho no, bhante, koci manāpo satthā yasmiṃ no ākāravatī saddhā paṭiladdhā’’ti. ‘‘Manāpaṃ vo, gahapatayo, satthāraṃ alabhantehi ayaṃ apaṇṇako dhammo samādāya vattitabbo. Apaṇṇako hi, gahapatayo, dhammo samatto samādinno, so vo bhavissati dīgharattaṃ hitāya sukhāya. Katamo ca, gahapatayo, apaṇṇako dhammo’’?
๙๔. ‘‘สนฺติ , คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฎฺฐํ, นตฺถิ หุตํ; นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ 1 กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, นตฺถิ อยํ โลโก, นตฺถิ ปโร โลโก; นตฺถิ มาตา, นตฺถิ ปิตา; นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา; นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา 2 สมฺมา ปฎิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี’ติฯ เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทาฯ เต เอวมาหํสุ – ‘อตฺถิ ทินฺนํ, อตฺถิ ยิฎฺฐํ, อตฺถิ หุตํ; อตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก; อตฺถิ อยํ โลโก, อตฺถิ ปโร โลโก; อตฺถิ มาตา, อตฺถิ ปิตา; อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา; อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมา ปฎิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี’ติฯ ตํ กิํ มญฺญถ, คหปตโย – ‘นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา’’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
94. ‘‘Santi , gahapatayo, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi dinnaṃ, natthi yiṭṭhaṃ, natthi hutaṃ; natthi sukatadukkaṭānaṃ 3 kammānaṃ phalaṃ vipāko, natthi ayaṃ loko, natthi paro loko; natthi mātā, natthi pitā; natthi sattā opapātikā; natthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā 4 sammā paṭipannā ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentī’ti. Tesaṃyeva kho, gahapatayo, samaṇabrāhmaṇānaṃ eke samaṇabrāhmaṇā ujuvipaccanīkavādā. Te evamāhaṃsu – ‘atthi dinnaṃ, atthi yiṭṭhaṃ, atthi hutaṃ; atthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko; atthi ayaṃ loko, atthi paro loko; atthi mātā, atthi pitā; atthi sattā opapātikā; atthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā sammā paṭipannā ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentī’ti. Taṃ kiṃ maññatha, gahapatayo – ‘nanume samaṇabrāhmaṇā aññamaññassa ujuvipaccanīkavādā’’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’.
๙๕. ‘‘ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฎฺฐํ…เป.… เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี’ติ เตสเมตํ ปาฎิกงฺขํ? ยมิทํ 5 กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ – อิเม ตโย กุสเล ธเมฺม อภินิวเชฺชตฺวา 6 ยมิทํ 7 กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ – อิเม ตโย อกุสเล ธเมฺม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น หิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา ปสฺสนฺติ อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขเมฺม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ สนฺตํเยว ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก’ ติสฺส ทิฎฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาทิฎฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก’ติ สงฺกเปฺปติ; สฺวาสฺส โหติ มิจฺฉาสงฺกโปฺปฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก’ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก’ติ อาห; เย เต อรหโนฺต ปรโลกวิทุโน เตสมยํ ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘นตฺถิ ปโร โลโก’ติ ปรํ สญฺญาเปติ 8; สาสฺส โหติ อสทฺธมฺมสญฺญตฺติ 9ฯ ตาย จ ปน อสทฺธมฺมสญฺญตฺติยา อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วเมฺภติฯ อิติ ปุเพฺพว โข ปนสฺส สุสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, ทุสฺสีลฺยํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ – อยญฺจ มิจฺฉาทิฎฺฐิ มิจฺฉาสงฺกโปฺป มิจฺฉาวาจา อริยานํ ปจฺจนีกตา อสทฺธมฺมสญฺญตฺติ อตฺตุกฺกํสนา ปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม 10 อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ มิจฺฉาทิฎฺฐิปจฺจยาฯ
95. ‘‘Tatra, gahapatayo, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi dinnaṃ, natthi yiṭṭhaṃ…pe… ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentī’ti tesametaṃ pāṭikaṅkhaṃ? Yamidaṃ 11 kāyasucaritaṃ, vacīsucaritaṃ, manosucaritaṃ – ime tayo kusale dhamme abhinivajjetvā 12 yamidaṃ 13 kāyaduccaritaṃ, vacīduccaritaṃ, manoduccaritaṃ – ime tayo akusale dhamme samādāya vattissanti. Taṃ kissa hetu? Na hi te bhonto samaṇabrāhmaṇā passanti akusalānaṃ dhammānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ nekkhamme ānisaṃsaṃ vodānapakkhaṃ. Santaṃyeva pana paraṃ lokaṃ ‘natthi paro loko’ tissa diṭṭhi hoti; sāssa hoti micchādiṭṭhi. Santaṃyeva kho pana paraṃ lokaṃ ‘natthi paro loko’ti saṅkappeti; svāssa hoti micchāsaṅkappo. Santaṃyeva kho pana paraṃ lokaṃ ‘natthi paro loko’ti vācaṃ bhāsati; sāssa hoti micchāvācā. Santaṃyeva kho pana paraṃ lokaṃ ‘natthi paro loko’ti āha; ye te arahanto paralokaviduno tesamayaṃ paccanīkaṃ karoti. Santaṃyeva kho pana paraṃ lokaṃ ‘natthi paro loko’ti paraṃ saññāpeti 14; sāssa hoti asaddhammasaññatti 15. Tāya ca pana asaddhammasaññattiyā attānukkaṃseti, paraṃ vambheti. Iti pubbeva kho panassa susīlyaṃ pahīnaṃ hoti, dussīlyaṃ paccupaṭṭhitaṃ – ayañca micchādiṭṭhi micchāsaṅkappo micchāvācā ariyānaṃ paccanīkatā asaddhammasaññatti attukkaṃsanā paravambhanā. Evamassime 16 aneke pāpakā akusalā dhammā sambhavanti micchādiṭṭhipaccayā.
‘‘ตตฺร , คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สเจ โข นตฺถิ ปโร โลโก เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา โสตฺถิมตฺตานํ กริสฺสติ; สเจ โข อตฺถิ ปโร โลโก เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ ปโร โลโก, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ คารโยฺห – ทุสฺสีโล ปุริสปุคฺคโล มิจฺฉาทิฎฺฐิ นตฺถิกวาโท’ติฯ สเจ โข อเตฺถว ปโร โลโก, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กลิคฺคโห – ยญฺจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ คารโยฺห, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธโมฺม ทุสฺสมโตฺต สมาทิโนฺน, เอกํสํ ผริตฺวา ติฎฺฐติ, ริญฺจติ กุสลํ ฐานํฯ
‘‘Tatra , gahapatayo, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘sace kho natthi paro loko evamayaṃ bhavaṃ purisapuggalo kāyassa bhedā sotthimattānaṃ karissati; sace kho atthi paro loko evamayaṃ bhavaṃ purisapuggalo kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjissati. Kāmaṃ kho pana māhu paro loko, hotu nesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ; atha ca panāyaṃ bhavaṃ purisapuggalo diṭṭheva dhamme viññūnaṃ gārayho – dussīlo purisapuggalo micchādiṭṭhi natthikavādo’ti. Sace kho attheva paro loko, evaṃ imassa bhoto purisapuggalassa ubhayattha kaliggaho – yañca diṭṭheva dhamme viññūnaṃ gārayho, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjissati. Evamassāyaṃ apaṇṇako dhammo dussamatto samādinno, ekaṃsaṃ pharitvā tiṭṭhati, riñcati kusalaṃ ṭhānaṃ.
๙๖. ‘‘ตตฺร , คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อตฺถิ ทินฺนํ…เป.… เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี’ติ เตสเมตํ ปาฎิกงฺขํ? ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ – อิเม ตโย อกุสเล ธเมฺม อภินิวเชฺชตฺวา ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ – อิเม ตโย กุสเล ธเมฺม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ปสฺสนฺติ หิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขเมฺม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก’ ติสฺส ทิฎฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ สมฺมาทิฎฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก’ติ สงฺกเปฺปติ; สฺวาสฺส โหติ สมฺมาสงฺกโปฺปฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก’ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ สมฺมาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก’ติ อาห; เย เต อรหโนฺต ปรโลกวิทุโน เตสมยํ น ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน ปรํ โลกํ ‘อตฺถิ ปโร โลโก’ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ สทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน สทฺธมฺมสญฺญตฺติยา เนวตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ อิติ ปุเพฺพว โข ปนสฺส ทุสฺสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, สุสีลฺยํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ – อยญฺจ สมฺมาทิฎฺฐิ สมฺมาสงฺกโปฺป สมฺมาวาจา อริยานํ อปจฺจนีกตา สทฺธมฺมสญฺญตฺติ อนตฺตุกฺกํสนา อปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก กุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ สมฺมาทิฎฺฐิปจฺจยาฯ
96. ‘‘Tatra , gahapatayo, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘atthi dinnaṃ…pe… ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentī’ti tesametaṃ pāṭikaṅkhaṃ? Yamidaṃ kāyaduccaritaṃ, vacīduccaritaṃ, manoduccaritaṃ – ime tayo akusale dhamme abhinivajjetvā yamidaṃ kāyasucaritaṃ, vacīsucaritaṃ, manosucaritaṃ – ime tayo kusale dhamme samādāya vattissanti. Taṃ kissa hetu? Passanti hi te bhonto samaṇabrāhmaṇā akusalānaṃ dhammānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ nekkhamme ānisaṃsaṃ vodānapakkhaṃ. Santaṃyeva kho pana paraṃ lokaṃ ‘atthi paro loko’ tissa diṭṭhi hoti; sāssa hoti sammādiṭṭhi. Santaṃyeva kho pana paraṃ lokaṃ ‘atthi paro loko’ti saṅkappeti; svāssa hoti sammāsaṅkappo. Santaṃyeva kho pana paraṃ lokaṃ ‘atthi paro loko’ti vācaṃ bhāsati; sāssa hoti sammāvācā. Santaṃyeva kho pana paraṃ lokaṃ ‘atthi paro loko’ti āha; ye te arahanto paralokaviduno tesamayaṃ na paccanīkaṃ karoti. Santaṃyeva kho pana paraṃ lokaṃ ‘atthi paro loko’ti paraṃ saññāpeti; sāssa hoti saddhammasaññatti. Tāya ca pana saddhammasaññattiyā nevattānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Iti pubbeva kho panassa dussīlyaṃ pahīnaṃ hoti, susīlyaṃ paccupaṭṭhitaṃ – ayañca sammādiṭṭhi sammāsaṅkappo sammāvācā ariyānaṃ apaccanīkatā saddhammasaññatti anattukkaṃsanā aparavambhanā. Evamassime aneke kusalā dhammā sambhavanti sammādiṭṭhipaccayā.
‘‘ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สเจ โข อตฺถิ ปโร โลโก , เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ ปโร โลโก, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ ปาสํโส – สีลวา ปุริสปุคฺคโล สมฺมาทิฎฺฐิ อตฺถิกวาโท’ติฯ สเจ โข อเตฺถว ปโร โลโก, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กฎคฺคโห – ยญฺจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ ปาสํโส, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธโมฺม สุสมโตฺต สมาทิโนฺน, อุภยํสํ ผริตฺวา ติฎฺฐติ, ริญฺจติ อกุสลํ ฐานํฯ
‘‘Tatra, gahapatayo, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘sace kho atthi paro loko , evamayaṃ bhavaṃ purisapuggalo kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissati. Kāmaṃ kho pana māhu paro loko, hotu nesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ; atha ca panāyaṃ bhavaṃ purisapuggalo diṭṭheva dhamme viññūnaṃ pāsaṃso – sīlavā purisapuggalo sammādiṭṭhi atthikavādo’ti. Sace kho attheva paro loko, evaṃ imassa bhoto purisapuggalassa ubhayattha kaṭaggaho – yañca diṭṭheva dhamme viññūnaṃ pāsaṃso, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissati. Evamassāyaṃ apaṇṇako dhammo susamatto samādinno, ubhayaṃsaṃ pharitvā tiṭṭhati, riñcati akusalaṃ ṭhānaṃ.
๙๗. ‘‘สนฺติ, คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต 17, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต; กโรโต น กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต, ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต, ปจโนฺต ปาเจโนฺต; นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต, ยชโนฺต ยชาเปโนฺต; นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน 18 นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติฯ เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทา เต เอวมาหํสุ – ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต; กโรโต กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต, ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต, ปจโนฺต ปาเจโนฺต; อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต, ยชโนฺต ยชาเปโนฺต; อตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน อตฺถิ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติฯ ตํ กิํ มญฺญถ, คหปตโย, นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
97. ‘‘Santi, gahapatayo, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘karoto kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato 19, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato; karoto na karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento, chindanto chedāpento, pacanto pācento; natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento, yajanto yajāpento; natthi tatonidānaṃ puññaṃ, natthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena 20 natthi puññaṃ, natthi puññassa āgamo’ti. Tesaṃyeva kho, gahapatayo, samaṇabrāhmaṇānaṃ eke samaṇabrāhmaṇā ujuvipaccanīkavādā te evamāhaṃsu – ‘karoto kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato; karoto karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento, chindanto chedāpento, pacanto pācento; atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento, yajanto yajāpento; atthi tatonidānaṃ puññaṃ, atthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena atthi puññaṃ, atthi puññassa āgamo’ti. Taṃ kiṃ maññatha, gahapatayo, nanume samaṇabrāhmaṇā aññamaññassa ujuvipaccanīkavādā’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’.
๙๘. ‘‘ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต; กโรโต น กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต…เป.… ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน นตฺถิ ปุญฺญํ, นตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติ เตสเมตํ ปาฎิกงฺขํ? ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ – อิเม ตโย กุสเล ธเมฺม อภินิวเชฺชตฺวา ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ – อิเม ตโย อกุสเล ธเมฺม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น หิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา ปสฺสนฺติ อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขเมฺม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา’ ติสฺส ทิฎฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาทิฎฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา’ติ สงฺกเปฺปติ; สฺวาสฺส โหติ มิจฺฉาสงฺกโปฺปฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา’ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา’ติ อาห, เย เต อรหโนฺต กิริยวาทา เตสมยํ ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘นตฺถิ กิริยา’ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ อสทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน อสทฺธมฺมสญฺญตฺติยา อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วเมฺภติฯ อิติ ปุเพฺพว โข ปนสฺส สุสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, ทุสฺสีลฺยํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ – อยญฺจ มิจฺฉาทิฎฺฐิ มิจฺฉาสงฺกโปฺป มิจฺฉาวาจา อริยานํ ปจฺจนีกตา อสทฺธมฺมสญฺญตฺติ อตฺตุกฺกํสนา ปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ มิจฺฉาทิฎฺฐิปจฺจยาฯ
98. ‘‘Tatra, gahapatayo, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘karoto kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato; karoto na karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento…pe… dānena damena saṃyamena saccavajjena natthi puññaṃ, natthi puññassa āgamo’ti tesametaṃ pāṭikaṅkhaṃ? Yamidaṃ kāyasucaritaṃ, vacīsucaritaṃ, manosucaritaṃ – ime tayo kusale dhamme abhinivajjetvā yamidaṃ kāyaduccaritaṃ, vacīduccaritaṃ, manoduccaritaṃ – ime tayo akusale dhamme samādāya vattissanti. Taṃ kissa hetu? Na hi te bhonto samaṇabrāhmaṇā passanti akusalānaṃ dhammānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ nekkhamme ānisaṃsaṃ vodānapakkhaṃ. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘natthi kiriyā’ tissa diṭṭhi hoti; sāssa hoti micchādiṭṭhi. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘natthi kiriyā’ti saṅkappeti; svāssa hoti micchāsaṅkappo. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘natthi kiriyā’ti vācaṃ bhāsati; sāssa hoti micchāvācā. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘natthi kiriyā’ti āha, ye te arahanto kiriyavādā tesamayaṃ paccanīkaṃ karoti. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘natthi kiriyā’ti paraṃ saññāpeti; sāssa hoti asaddhammasaññatti. Tāya ca pana asaddhammasaññattiyā attānukkaṃseti, paraṃ vambheti. Iti pubbeva kho panassa susīlyaṃ pahīnaṃ hoti, dussīlyaṃ paccupaṭṭhitaṃ – ayañca micchādiṭṭhi micchāsaṅkappo micchāvācā ariyānaṃ paccanīkatā asaddhammasaññatti attukkaṃsanā paravambhanā. Evamassime aneke pāpakā akusalā dhammā sambhavanti micchādiṭṭhipaccayā.
‘‘ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สเจ โข นตฺถิ กิริยา, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา โสตฺถิมตฺตานํ กริสฺสติ; สเจ โข อตฺถิ กิริยา เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ กิริยา, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ คารโยฺห – ทุสฺสีโล ปุริสปุคฺคโล มิจฺฉาทิฎฺฐิ อกิริยวาโท’ติฯ สเจ โข อเตฺถว กิริยา, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กลิคฺคโห – ยญฺจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ คารโยฺห, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธโมฺม ทุสฺสมโตฺต สมาทิโนฺน, เอกํสํ ผริตฺวา ติฎฺฐติ, ริญฺจติ กุสลํ ฐานํฯ
‘‘Tatra, gahapatayo, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘sace kho natthi kiriyā, evamayaṃ bhavaṃ purisapuggalo kāyassa bhedā sotthimattānaṃ karissati; sace kho atthi kiriyā evamayaṃ bhavaṃ purisapuggalo kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjissati. Kāmaṃ kho pana māhu kiriyā, hotu nesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ; atha ca panāyaṃ bhavaṃ purisapuggalo diṭṭheva dhamme viññūnaṃ gārayho – dussīlo purisapuggalo micchādiṭṭhi akiriyavādo’ti. Sace kho attheva kiriyā, evaṃ imassa bhoto purisapuggalassa ubhayattha kaliggaho – yañca diṭṭheva dhamme viññūnaṃ gārayho, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjissati. Evamassāyaṃ apaṇṇako dhammo dussamatto samādinno, ekaṃsaṃ pharitvā tiṭṭhati, riñcati kusalaṃ ṭhānaṃ.
๙๙. ‘‘ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘กโรโต การยโต, ฉินฺทโต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจาปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กิลมโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธิํ ฉินฺทโต, นิโลฺลปํ หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปเนฺถ ติฎฺฐโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต; กโรโต กรียติ ปาปํฯ ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกน โย อิมิสฺสา ปถวิยา ปาเณ เอกํ มํสขลํ เอกํ มํสปุญฺชํ กเรยฺย, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ ทกฺขิณเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย หนโนฺต ฆาเตโนฺต, ฉินฺทโนฺต เฉทาเปโนฺต, ปจโนฺต ปาเจโนฺต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, อตฺถิ ปาปสฺส อาคโมฯ อุตฺตรเญฺจปิ คงฺคาย ตีรํ คเจฺฉยฺย ททโนฺต ทาเปโนฺต, ยชโนฺต ยชาเปโนฺต, อตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโมฯ ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชน อตฺถิ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’ติ เตสเมตํ ปาฎิกงฺขํ? ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ , มโนทุจฺจริตํ – อิเม ตโย อกุสเล ธเมฺม อภินิวเชฺชตฺวา ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ – อิเม ตโย กุสเล ธเมฺม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ปสฺสนฺติ หิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขเมฺม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา’ ติสฺส ทิฎฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ สมฺมาทิฎฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา’ติ สงฺกเปฺปติ; สฺวาสฺส โหติ สมฺมาสงฺกโปฺปฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา’ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ สมฺมาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา’ติ อาห; เย เต อรหโนฺต กิริยวาทา เตสมยํ น ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน กิริยํ ‘อตฺถิ กิริยา’ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ สทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน สทฺธมฺมสญฺญตฺติยา เนวตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ อิติ ปุเพฺพว โข ปนสฺส ทุสฺสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, สุสีลฺยํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ – อยญฺจ สมฺมาทิฎฺฐิ สมฺมาสงฺกโปฺป สมฺมาวาจา อริยานํ อปจฺจนีกตา สทฺธมฺมสญฺญตฺติ อนตฺตุกฺกํสนา อปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก กุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ สมฺมาทิฎฺฐิปจฺจยาฯ
99. ‘‘Tatra, gahapatayo, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘karoto kārayato, chindato chedāpayato, pacato pācāpayato, socayato socāpayato, kilamato kilamāpayato, phandato phandāpayato, pāṇamatipātayato, adinnaṃ ādiyato, sandhiṃ chindato, nillopaṃ harato, ekāgārikaṃ karoto, paripanthe tiṭṭhato, paradāraṃ gacchato, musā bhaṇato; karoto karīyati pāpaṃ. Khurapariyantena cepi cakkena yo imissā pathaviyā pāṇe ekaṃ maṃsakhalaṃ ekaṃ maṃsapuñjaṃ kareyya, atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Dakkhiṇañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya hananto ghātento, chindanto chedāpento, pacanto pācento, atthi tatonidānaṃ pāpaṃ, atthi pāpassa āgamo. Uttarañcepi gaṅgāya tīraṃ gaccheyya dadanto dāpento, yajanto yajāpento, atthi tatonidānaṃ puññaṃ, atthi puññassa āgamo. Dānena damena saṃyamena saccavajjena atthi puññaṃ, atthi puññassa āgamo’ti tesametaṃ pāṭikaṅkhaṃ? Yamidaṃ kāyaduccaritaṃ, vacīduccaritaṃ , manoduccaritaṃ – ime tayo akusale dhamme abhinivajjetvā yamidaṃ kāyasucaritaṃ, vacīsucaritaṃ, manosucaritaṃ – ime tayo kusale dhamme samādāya vattissanti. Taṃ kissa hetu? Passanti hi te bhonto samaṇabrāhmaṇā akusalānaṃ dhammānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ nekkhamme ānisaṃsaṃ vodānapakkhaṃ. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘atthi kiriyā’ tissa diṭṭhi hoti; sāssa hoti sammādiṭṭhi. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘atthi kiriyā’ti saṅkappeti; svāssa hoti sammāsaṅkappo. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘atthi kiriyā’ti vācaṃ bhāsati; sāssa hoti sammāvācā. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘atthi kiriyā’ti āha; ye te arahanto kiriyavādā tesamayaṃ na paccanīkaṃ karoti. Santaṃyeva kho pana kiriyaṃ ‘atthi kiriyā’ti paraṃ saññāpeti; sāssa hoti saddhammasaññatti. Tāya ca pana saddhammasaññattiyā nevattānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Iti pubbeva kho panassa dussīlyaṃ pahīnaṃ hoti, susīlyaṃ paccupaṭṭhitaṃ – ayañca sammādiṭṭhi sammāsaṅkappo sammāvācā ariyānaṃ apaccanīkatā saddhammasaññatti anattukkaṃsanā aparavambhanā. Evamassime aneke kusalā dhammā sambhavanti sammādiṭṭhipaccayā.
‘‘ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สเจ โข อตฺถิ กิริยา, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ กิริยา, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ ปาสํโส – สีลวา ปุริสปุคฺคโล สมฺมาทิฎฺฐิ กิริยวาโท’ติฯ สเจ โข อเตฺถว กิริยา, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กฎคฺคโห – ยญฺจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ ปาสํโส, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธโมฺม สุสมโตฺต สมาทิโนฺน, อุภยํสํ ผริตฺวา ติฎฺฐติ, ริญฺจติ อกุสลํ ฐานํฯ
‘‘Tatra, gahapatayo, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘sace kho atthi kiriyā, evamayaṃ bhavaṃ purisapuggalo kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissati. Kāmaṃ kho pana māhu kiriyā, hotu nesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ; atha ca panāyaṃ bhavaṃ purisapuggalo diṭṭheva dhamme viññūnaṃ pāsaṃso – sīlavā purisapuggalo sammādiṭṭhi kiriyavādo’ti. Sace kho attheva kiriyā, evaṃ imassa bhoto purisapuggalassa ubhayattha kaṭaggaho – yañca diṭṭheva dhamme viññūnaṃ pāsaṃso, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissati. Evamassāyaṃ apaṇṇako dhammo susamatto samādinno, ubhayaṃsaṃ pharitvā tiṭṭhati, riñcati akusalaṃ ṭhānaṃ.
๑๐๐. ‘‘สนฺติ , คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสาย; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติฯ นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ นตฺถิ พลํ, นตฺถิ วีริยํ 21, นตฺถิ ปุริสถาโม, นตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; สเพฺพ สตฺตา สเพฺพ ปาณา สเพฺพ ภูตา สเพฺพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสํคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺตี’ติฯ เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทาฯ เต เอวมาหํสุ – ‘อตฺถิ เหตุ, อตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสาย; สเหตู สปฺปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติฯ อตฺถิ เหตุ, อตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; สเหตู สปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ อตฺถิ พลํ, อตฺถิ วีริยํ, อตฺถิ ปุริสถาโม, อตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; น สเพฺพ สตฺตา สเพฺพ ปาณา สเพฺพ ภูตา สเพฺพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา 22 นิยติสํคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺตี’ติฯ ตํ กิํ มญฺญถ, คหปตโย, นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา’ติ? ‘เอวํ, ภเนฺต’ฯ
100. ‘‘Santi , gahapatayo, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi hetu, natthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāya; ahetū appaccayā sattā saṃkilissanti. Natthi hetu, natthi paccayo sattānaṃ visuddhiyā; ahetū appaccayā sattā visujjhanti. Natthi balaṃ, natthi vīriyaṃ 23, natthi purisathāmo, natthi purisaparakkamo; sabbe sattā sabbe pāṇā sabbe bhūtā sabbe jīvā avasā abalā avīriyā niyatisaṃgatibhāvapariṇatā chasvevābhijātīsu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedentī’ti. Tesaṃyeva kho, gahapatayo, samaṇabrāhmaṇānaṃ eke samaṇabrāhmaṇā ujuvipaccanīkavādā. Te evamāhaṃsu – ‘atthi hetu, atthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāya; sahetū sappaccayā sattā saṃkilissanti. Atthi hetu, atthi paccayo sattānaṃ visuddhiyā; sahetū sappaccayā sattā visujjhanti. Atthi balaṃ, atthi vīriyaṃ, atthi purisathāmo, atthi purisaparakkamo; na sabbe sattā sabbe pāṇā sabbe bhūtā sabbe jīvā avasā abalā avīriyā 24 niyatisaṃgatibhāvapariṇatā chasvevābhijātīsu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedentī’ti. Taṃ kiṃ maññatha, gahapatayo, nanume samaṇabrāhmaṇā aññamaññassa ujuvipaccanīkavādā’ti? ‘Evaṃ, bhante’.
๑๐๑. ‘‘ตตฺร , คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสาย; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติฯ นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ นตฺถิ พลํ, นตฺถิ วีริยํ, นตฺถิ ปุริสถาโม, นตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; สเพฺพ สตฺตา สเพฺพ ปาณา สเพฺพ ภูตา สเพฺพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสํคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺตี’ติ เตสเมตํ ปาฎิกงฺขํ? ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ – อิเม ตโย กุสเล ธเมฺม อภินิวเชฺชตฺวา ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ – อิเม ตโย อกุสเล ธเมฺม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น หิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา ปสฺสนฺติ อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขเมฺม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู’ ติสฺส ทิฎฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาทิฎฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู’ติ สงฺกเปฺปติ ; สฺวาสฺส โหติ มิจฺฉาสงฺกโปฺปฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู’ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ มิจฺฉาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู’ติ อาห; เย เต อรหโนฺต เหตุวาทา เตสมยํ ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘นตฺถิ เหตู’ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ อสทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน อสทฺธมฺมสญฺญตฺติยา อตฺตานุกฺกํเสติ, ปรํ วเมฺภติฯ อิติ ปุเพฺพว โข ปนสฺส สุสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, ทุสฺสีลฺยํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ – อยญฺจ มิจฺฉาทิฎฺฐิ มิจฺฉาสงฺกโปฺป มิจฺฉาวาจา อริยานํ ปจฺจนีกตา อสทฺธมฺมสญฺญตฺติ อตฺตานุกฺกํสนา ปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ มิจฺฉาทิฎฺฐิปจฺจยาฯ
101. ‘‘Tatra , gahapatayo, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi hetu, natthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāya; ahetū appaccayā sattā saṃkilissanti. Natthi hetu, natthi paccayo sattānaṃ visuddhiyā; ahetū appaccayā sattā visujjhanti. Natthi balaṃ, natthi vīriyaṃ, natthi purisathāmo, natthi purisaparakkamo; sabbe sattā sabbe pāṇā sabbe bhūtā sabbe jīvā avasā abalā avīriyā niyatisaṃgatibhāvapariṇatā chasvevābhijātīsu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedentī’ti tesametaṃ pāṭikaṅkhaṃ? Yamidaṃ kāyasucaritaṃ, vacīsucaritaṃ, manosucaritaṃ – ime tayo kusale dhamme abhinivajjetvā yamidaṃ kāyaduccaritaṃ, vacīduccaritaṃ, manoduccaritaṃ – ime tayo akusale dhamme samādāya vattissanti. Taṃ kissa hetu? Na hi te bhonto samaṇabrāhmaṇā passanti akusalānaṃ dhammānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ nekkhamme ānisaṃsaṃ vodānapakkhaṃ. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘natthi hetū’ tissa diṭṭhi hoti; sāssa hoti micchādiṭṭhi. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘natthi hetū’ti saṅkappeti ; svāssa hoti micchāsaṅkappo. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘natthi hetū’ti vācaṃ bhāsati; sāssa hoti micchāvācā. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘natthi hetū’ti āha; ye te arahanto hetuvādā tesamayaṃ paccanīkaṃ karoti. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘natthi hetū’ti paraṃ saññāpeti; sāssa hoti asaddhammasaññatti. Tāya ca pana asaddhammasaññattiyā attānukkaṃseti, paraṃ vambheti. Iti pubbeva kho panassa susīlyaṃ pahīnaṃ hoti, dussīlyaṃ paccupaṭṭhitaṃ – ayañca micchādiṭṭhi micchāsaṅkappo micchāvācā ariyānaṃ paccanīkatā asaddhammasaññatti attānukkaṃsanā paravambhanā. Evamassime aneke pāpakā akusalā dhammā sambhavanti micchādiṭṭhipaccayā.
‘‘ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สเจ โข นตฺถิ เหตุ, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา โสตฺถิมตฺตานํ กริสฺสติ; สเจ โข อตฺถิ เหตุ, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ เหตุ, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ คารโยฺห – ทุสฺสีโล ปุริสปุคฺคโล มิจฺฉาทิฎฺฐิ อเหตุกวาโท’ติฯ สเจ โข อเตฺถว เหตุ, เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กลิคฺคโห – ยญฺจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ คารโยฺห, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธโมฺม ทุสฺสมโตฺต สมาทิโนฺน, เอกํสํ ผริตฺวา ติฎฺฐติ, ริญฺจติ กุสลํ ฐานํฯ
‘‘Tatra, gahapatayo, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘sace kho natthi hetu, evamayaṃ bhavaṃ purisapuggalo kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sotthimattānaṃ karissati; sace kho atthi hetu, evamayaṃ bhavaṃ purisapuggalo kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjissati. Kāmaṃ kho pana māhu hetu, hotu nesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ; atha ca panāyaṃ bhavaṃ purisapuggalo diṭṭheva dhamme viññūnaṃ gārayho – dussīlo purisapuggalo micchādiṭṭhi ahetukavādo’ti. Sace kho attheva hetu, evaṃ imassa bhoto purisapuggalassa ubhayattha kaliggaho – yañca diṭṭheva dhamme viññūnaṃ gārayho, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjissati. Evamassāyaṃ apaṇṇako dhammo dussamatto samādinno, ekaṃsaṃ pharitvā tiṭṭhati, riñcati kusalaṃ ṭhānaṃ.
๑๐๒. ‘‘ตตฺร, คหปตโย, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อตฺถิ เหตุ, อตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสาย; สเหตู สปฺปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติฯ อตฺถิ เหตุ, อตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา; สเหตู สปฺปจฺจยา สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ อตฺถิ พลํ, อตฺถิ วีริยํ, อตฺถิ ปุริสถาโม, อตฺถิ ปุริสปรกฺกโม; น สเพฺพ สตฺตา สเพฺพ ปาณา สเพฺพ ภูตา สเพฺพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสํคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺตี’ติ เตสเมตํ ปาฎิกงฺขํ? ยมิทํ กายทุจฺจริตํ, วจีทุจฺจริตํ, มโนทุจฺจริตํ – อิเม ตโย อกุสเล ธเมฺม อภินิวเชฺชตฺวา ยมิทํ กายสุจริตํ, วจีสุจริตํ, มโนสุจริตํ – อิเม ตโย กุสเล ธเมฺม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ปสฺสนฺติ หิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา อกุสลานํ ธมฺมานํ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขเมฺม อานิสํสํ โวทานปกฺขํฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู’ ติสฺส ทิฎฺฐิ โหติ; สาสฺส โหติ สมฺมาทิฎฺฐิฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู’ติ สงฺกเปฺปติ; สฺวาสฺส โหติ สมฺมาสงฺกโปฺปฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู’ติ วาจํ ภาสติ; สาสฺส โหติ สมฺมาวาจาฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู’ติ อาห, เย เต อรหโนฺต เหตุวาทา เตสมยํ น ปจฺจนีกํ กโรติฯ สนฺตํเยว โข ปน เหตุํ ‘อตฺถิ เหตู’ติ ปรํ สญฺญาเปติ; สาสฺส โหติ สทฺธมฺมสญฺญตฺติฯ ตาย จ ปน สทฺธมฺมสญฺญตฺติยา เนวตฺตานุกฺกํเสติ, น ปรํ วเมฺภติฯ อิติ ปุเพฺพว โข ปนสฺส ทุสฺสีลฺยํ ปหีนํ โหติ, สุสีลฺยํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ – อยญฺจ สมฺมาทิฎฺฐิ สมฺมาสงฺกโปฺป สมฺมาวาจา อริยานํ อปจฺจนีกตา สทฺธมฺมสญฺญตฺติ อนตฺตุกฺกํสนา อปรวมฺภนาฯ เอวมสฺสิเม อเนเก กุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติ สมฺมาทิฎฺฐิปจฺจยาฯ
102. ‘‘Tatra, gahapatayo, ye te samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘atthi hetu, atthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāya; sahetū sappaccayā sattā saṃkilissanti. Atthi hetu, atthi paccayo sattānaṃ visuddhiyā; sahetū sappaccayā sattā visujjhanti. Atthi balaṃ, atthi vīriyaṃ, atthi purisathāmo, atthi purisaparakkamo; na sabbe sattā sabbe pāṇā sabbe bhūtā sabbe jīvā avasā abalā avīriyā niyatisaṃgatibhāvapariṇatā chasvevābhijātīsu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedentī’ti tesametaṃ pāṭikaṅkhaṃ? Yamidaṃ kāyaduccaritaṃ, vacīduccaritaṃ, manoduccaritaṃ – ime tayo akusale dhamme abhinivajjetvā yamidaṃ kāyasucaritaṃ, vacīsucaritaṃ, manosucaritaṃ – ime tayo kusale dhamme samādāya vattissanti. Taṃ kissa hetu? Passanti hi te bhonto samaṇabrāhmaṇā akusalānaṃ dhammānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ nekkhamme ānisaṃsaṃ vodānapakkhaṃ. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘atthi hetū’ tissa diṭṭhi hoti; sāssa hoti sammādiṭṭhi. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘atthi hetū’ti saṅkappeti; svāssa hoti sammāsaṅkappo. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘atthi hetū’ti vācaṃ bhāsati; sāssa hoti sammāvācā. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘atthi hetū’ti āha, ye te arahanto hetuvādā tesamayaṃ na paccanīkaṃ karoti. Santaṃyeva kho pana hetuṃ ‘atthi hetū’ti paraṃ saññāpeti; sāssa hoti saddhammasaññatti. Tāya ca pana saddhammasaññattiyā nevattānukkaṃseti, na paraṃ vambheti. Iti pubbeva kho panassa dussīlyaṃ pahīnaṃ hoti, susīlyaṃ paccupaṭṭhitaṃ – ayañca sammādiṭṭhi sammāsaṅkappo sammāvācā ariyānaṃ apaccanīkatā saddhammasaññatti anattukkaṃsanā aparavambhanā. Evamassime aneke kusalā dhammā sambhavanti sammādiṭṭhipaccayā.
‘‘ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สเจ โข อตฺถิ เหตุ, เอวมยํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ กามํ โข ปน มาหุ เหตุ, โหตุ เนสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ; อถ จ ปนายํ ภวํ ปุริสปุคฺคโล ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ ปาสํโส – สีลวา ปุริสปุคฺคโล สมฺมาทิฎฺฐิ เหตุวาโท’ติฯ สเจ โข อตฺถิ เหตุ , เอวํ อิมสฺส โภโต ปุริสปุคฺคลสฺส อุภยตฺถ กฎคฺคโห – ยญฺจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิญฺญูนํ ปาสํโส, ยญฺจ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติฯ เอวมสฺสายํ อปณฺณโก ธโมฺม สุสมโตฺต สมาทิโนฺน, อุภยํสํ ผริตฺวา ติฎฺฐติ, ริญฺจติ อกุสลํ ฐานํฯ
‘‘Tatra, gahapatayo, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ‘sace kho atthi hetu, evamayaṃ bhavaṃ purisapuggalo kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissati. Kāmaṃ kho pana māhu hetu, hotu nesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ; atha ca panāyaṃ bhavaṃ purisapuggalo diṭṭheva dhamme viññūnaṃ pāsaṃso – sīlavā purisapuggalo sammādiṭṭhi hetuvādo’ti. Sace kho atthi hetu , evaṃ imassa bhoto purisapuggalassa ubhayattha kaṭaggaho – yañca diṭṭheva dhamme viññūnaṃ pāsaṃso, yañca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissati. Evamassāyaṃ apaṇṇako dhammo susamatto samādinno, ubhayaṃsaṃ pharitvā tiṭṭhati, riñcati akusalaṃ ṭhānaṃ.
๑๐๓. ‘‘สนฺติ, คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา’ติฯ เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทาฯ เต เอวมาหํสุ – ‘อตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา’ติฯ ตํ กิํ มญฺญถ, คหปตโย, นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ตตฺร , คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – เย โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา’ติ, อิทํ เม อทิฎฺฐํ; เยปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา’ติ, อิทํ เม อวิทิตํฯ อหเญฺจว 25 โข ปน อชานโนฺต อปสฺสโนฺต เอกํเสน อาทาย โวหเรยฺยํ – อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺติ, น เมตํ อสฺส ปติรูปํฯ เย โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา’ติ, สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ฐานเมตํ วิชฺชติ – เย เต เทวา รูปิโน มโนมยา, อปณฺณกํ เม ตตฺรูปปตฺติ ภวิสฺสติฯ เย ปน เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อตฺถิ สพฺพโส อารุปฺปา’ติ, สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ฐานเมตํ วิชฺชติ – เย เต เทวา อรูปิโน สญฺญามยา, อปณฺณกํ เม ตตฺรูปปตฺติ ภวิสฺสติฯ ทิสฺสนฺติ โข ปน รูปาธิกรณํ 26 ทณฺฑาทาน-สตฺถาทาน-กลห-วิคฺคห-วิวาท-ตุวํตุวํ-เปสุญฺญ-มุสาวาทาฯ ‘นตฺถิ โข ปเนตํ สพฺพโส อรูเป’’’ติฯ โส อิติ ปฎิสงฺขาย รูปานํเยว นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติฯ
103. ‘‘Santi, gahapatayo, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi sabbaso āruppā’ti. Tesaṃyeva kho, gahapatayo, samaṇabrāhmaṇānaṃ eke samaṇabrāhmaṇā ujuvipaccanīkavādā. Te evamāhaṃsu – ‘atthi sabbaso āruppā’ti. Taṃ kiṃ maññatha, gahapatayo, nanume samaṇabrāhmaṇā aññamaññassa ujuvipaccanīkavādā’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Tatra , gahapatayo, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ye kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi sabbaso āruppā’ti, idaṃ me adiṭṭhaṃ; yepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘atthi sabbaso āruppā’ti, idaṃ me aviditaṃ. Ahañceva 27 kho pana ajānanto apassanto ekaṃsena ādāya vohareyyaṃ – idameva saccaṃ, moghamaññanti, na metaṃ assa patirūpaṃ. Ye kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi sabbaso āruppā’ti, sace tesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ, ṭhānametaṃ vijjati – ye te devā rūpino manomayā, apaṇṇakaṃ me tatrūpapatti bhavissati. Ye pana te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘atthi sabbaso āruppā’ti, sace tesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ, ṭhānametaṃ vijjati – ye te devā arūpino saññāmayā, apaṇṇakaṃ me tatrūpapatti bhavissati. Dissanti kho pana rūpādhikaraṇaṃ 28 daṇḍādāna-satthādāna-kalaha-viggaha-vivāda-tuvaṃtuvaṃ-pesuñña-musāvādā. ‘Natthi kho panetaṃ sabbaso arūpe’’’ti. So iti paṭisaṅkhāya rūpānaṃyeva nibbidāya virāgāya nirodhāya paṭipanno hoti.
๑๐๔. ‘‘สนฺติ, คหปตโย, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ’ติฯ เตสํเยว โข, คหปตโย, สมณพฺราหฺมณานํ เอเก สมณพฺราหฺมณา อุชุวิปจฺจนีกวาทาฯ เต เอวมาหํสุ – ‘อตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ’ติฯ ตํ กิํ มญฺญถ, คหปตโย, นนุเม สมณพฺราหฺมณา อญฺญมญฺญสฺส อุชุวิปจฺจนีกวาทา’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ตตฺร, คหปตโย, วิญฺญู ปุริโส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – เย โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ’ติ, อิทํ เม อทิฎฺฐํ; เยปิ เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ’ติ, อิทํ เม อวิทิตํฯ อหเญฺจว โข ปน อชานโนฺต อปสฺสโนฺต เอกํเสน อาทาย โวหเรยฺยํ – อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺติ, น เมตํ อสฺส ปติรูปํฯ เย โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ’ติ, สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ฐานเมตํ วิชฺชติ – เย เต เทวา อรูปิโน สญฺญามยา อปณฺณกํ เม ตตฺรูปปตฺติ ภวิสฺสติฯ เย ปน เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ’ติ, สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ฐานเมตํ วิชฺชติ – ยํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปรินิพฺพายิสฺสามิ ฯ เย โข เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘นตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ’ติ, เตสมยํ ทิฎฺฐิ สาราคาย 29 สนฺติเก, สํโยคาย สนฺติเก, อภินนฺทนาย สนฺติเก, อโชฺฌสานาย สนฺติเก, อุปาทานาย สนฺติเกฯ เย ปน เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อตฺถิ สพฺพโส ภวนิโรโธ’ติ, เตสมยํ ทิฎฺฐิ อสาราคาย สนฺติเก, อสํโยคาย สนฺติเก, อนภินนฺทนาย สนฺติเก, อนโชฺฌสานาย สนฺติเก, อนุปาทานาย สนฺติเก’’’ติฯ โส อิติ ปฎิสงฺขาย ภวานํเยว นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติฯ
104. ‘‘Santi, gahapatayo, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi sabbaso bhavanirodho’ti. Tesaṃyeva kho, gahapatayo, samaṇabrāhmaṇānaṃ eke samaṇabrāhmaṇā ujuvipaccanīkavādā. Te evamāhaṃsu – ‘atthi sabbaso bhavanirodho’ti. Taṃ kiṃ maññatha, gahapatayo, nanume samaṇabrāhmaṇā aññamaññassa ujuvipaccanīkavādā’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Tatra, gahapatayo, viññū puriso iti paṭisañcikkhati – ye kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi sabbaso bhavanirodho’ti, idaṃ me adiṭṭhaṃ; yepi te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘atthi sabbaso bhavanirodho’ti, idaṃ me aviditaṃ. Ahañceva kho pana ajānanto apassanto ekaṃsena ādāya vohareyyaṃ – idameva saccaṃ, moghamaññanti, na metaṃ assa patirūpaṃ. Ye kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi sabbaso bhavanirodho’ti, sace tesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ, ṭhānametaṃ vijjati – ye te devā arūpino saññāmayā apaṇṇakaṃ me tatrūpapatti bhavissati. Ye pana te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘atthi sabbaso bhavanirodho’ti, sace tesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saccaṃ vacanaṃ, ṭhānametaṃ vijjati – yaṃ diṭṭheva dhamme parinibbāyissāmi . Ye kho te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘natthi sabbaso bhavanirodho’ti, tesamayaṃ diṭṭhi sārāgāya 30 santike, saṃyogāya santike, abhinandanāya santike, ajjhosānāya santike, upādānāya santike. Ye pana te bhonto samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘atthi sabbaso bhavanirodho’ti, tesamayaṃ diṭṭhi asārāgāya santike, asaṃyogāya santike, anabhinandanāya santike, anajjhosānāya santike, anupādānāya santike’’’ti. So iti paṭisaṅkhāya bhavānaṃyeva nibbidāya virāgāya nirodhāya paṭipanno hoti.
๑๐๕. ‘‘จตฺตาโรเม, คหปตโย, ปุคฺคลา สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ กตเม จตฺตาโร? อิธ, คหปตโย, เอกโจฺจ ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป โหติ อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺตฯ อิธ, คหปตโย, เอกโจฺจ ปุคฺคโล ปรนฺตโป โหติ ปรปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺตฯ อิธ, คหปตโย, เอกโจฺจ ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป จ โหติ อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต ปรนฺตโป จ ปรปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺตฯ อิธ, คหปตโย, เอกโจฺจ ปุคฺคโล เนวตฺตนฺตโป โหติ นาตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต น ปรนฺตโป น ปรปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต; โส อนตฺตนฺตโป อปรนฺตโป ทิเฎฺฐว ธเมฺม นิจฺฉาโต นิพฺพุโต สีตีภูโต สุขปฺปฎิสํเวที พฺรหฺมภูเตน อตฺตนา วิหรติฯ
105. ‘‘Cattārome, gahapatayo, puggalā santo saṃvijjamānā lokasmiṃ. Katame cattāro? Idha, gahapatayo, ekacco puggalo attantapo hoti attaparitāpanānuyogamanuyutto. Idha, gahapatayo, ekacco puggalo parantapo hoti paraparitāpanānuyogamanuyutto. Idha, gahapatayo, ekacco puggalo attantapo ca hoti attaparitāpanānuyogamanuyutto parantapo ca paraparitāpanānuyogamanuyutto. Idha, gahapatayo, ekacco puggalo nevattantapo hoti nāttaparitāpanānuyogamanuyutto na parantapo na paraparitāpanānuyogamanuyutto; so anattantapo aparantapo diṭṭheva dhamme nicchāto nibbuto sītībhūto sukhappaṭisaṃvedī brahmabhūtena attanā viharati.
๑๐๖. ‘‘กตโม จ, คหปตโย, ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต ? อิธ, คหปตโย, เอกโจฺจ ปุคฺคโล อเจลโก โหติ มุตฺตาจาโร หตฺถาปเลขโน…เป.… 31 อิติ เอวรูปํ อเนกวิหิตํ กายสฺส อาตาปนปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรติฯ อยํ วุจฺจติ, คหปตโย, ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺตฯ
106. ‘‘Katamo ca, gahapatayo, puggalo attantapo attaparitāpanānuyogamanuyutto ? Idha, gahapatayo, ekacco puggalo acelako hoti muttācāro hatthāpalekhano…pe… 32 iti evarūpaṃ anekavihitaṃ kāyassa ātāpanaparitāpanānuyogamanuyutto viharati. Ayaṃ vuccati, gahapatayo, puggalo attantapo attaparitāpanānuyogamanuyutto.
‘‘กตโม จ, คหปตโย, ปุคฺคโล ปรนฺตโป ปรปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต? อิธ, คหปตโย, เอกโจฺจ ปุคฺคโล โอรพฺภิโก โหติ สูกริโก…เป.… เย วา ปนเญฺญปิ เกจิ กุรูรกมฺมนฺตาฯ อยํ วุจฺจติ, คหปตโย, ปุคฺคโล ปรนฺตโป ปรปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺตฯ
‘‘Katamo ca, gahapatayo, puggalo parantapo paraparitāpanānuyogamanuyutto? Idha, gahapatayo, ekacco puggalo orabbhiko hoti sūkariko…pe… ye vā panaññepi keci kurūrakammantā. Ayaṃ vuccati, gahapatayo, puggalo parantapo paraparitāpanānuyogamanuyutto.
‘‘กตโม จ, คหปตโย, ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป จ อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต ปรนฺตโป จ ปรปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต? อิธ, คหปตโย, เอกโจฺจ ปุคฺคโล ราชา วา โหติ ขตฺติโย มุทฺธาวสิโตฺต…เป.… เตปิ ทณฺฑตชฺชิตา ภยตชฺชิตา อสฺสุมุขา รุทมานา ปริกมฺมานิ กโรนฺติฯ อยํ วุจฺจติ, คหปตโย, ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป จ อตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต ปรนฺตโป จ ปรปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺตฯ
‘‘Katamo ca, gahapatayo, puggalo attantapo ca attaparitāpanānuyogamanuyutto parantapo ca paraparitāpanānuyogamanuyutto? Idha, gahapatayo, ekacco puggalo rājā vā hoti khattiyo muddhāvasitto…pe… tepi daṇḍatajjitā bhayatajjitā assumukhā rudamānā parikammāni karonti. Ayaṃ vuccati, gahapatayo, puggalo attantapo ca attaparitāpanānuyogamanuyutto parantapo ca paraparitāpanānuyogamanuyutto.
‘‘กตโม จ, คหปตโย, ปุคฺคโล เนวตฺตนฺตโป นาตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต น ปรนฺตโป น ปรปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต; โส อนตฺตนฺตโป อปรนฺตโป ทิเฎฺฐว ธเมฺม นิจฺฉาโต นิพฺพุโต สีตีภูโต สุขปฺปฎิสํเวที พฺรหฺมภูเตน อตฺตนา วิหรติ? อิธ, คหปตโย, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ…เป.… โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ…เป.… ตติยํ ฌานํ… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ
‘‘Katamo ca, gahapatayo, puggalo nevattantapo nāttaparitāpanānuyogamanuyutto na parantapo na paraparitāpanānuyogamanuyutto; so anattantapo aparantapo diṭṭheva dhamme nicchāto nibbuto sītībhūto sukhappaṭisaṃvedī brahmabhūtena attanā viharati? Idha, gahapatayo, tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho…pe… so ime pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese paññāya dubbalīkaraṇe vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ…pe… tatiyaṃ jhānaṃ… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ, สุคเต ทุคฺคเต…เป.… ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ…เป.… ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ อยํ วุจฺจติ, คหปตโย, ปุคฺคโล เนวตฺตนฺตโป นาตฺตปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต น ปรนฺตโป น ปรปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต; โส อนตฺตนฺตโป อปรนฺตโป ทิเฎฺฐว ธเมฺม นิจฺฉาโต นิพฺพุโต สีตีภูโต สุขปฺปฎิสํเวที พฺรหฺมภูเตน อตฺตนา วิหรตี’’ติฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe, sugate duggate…pe… yathākammūpage satte pajānāti. So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So ‘idaṃ dukkha’nti yathābhūtaṃ pajānāti…pe… ‘ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati. Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti. Ayaṃ vuccati, gahapatayo, puggalo nevattantapo nāttaparitāpanānuyogamanuyutto na parantapo na paraparitāpanānuyogamanuyutto; so anattantapo aparantapo diṭṭheva dhamme nicchāto nibbuto sītībhūto sukhappaṭisaṃvedī brahmabhūtena attanā viharatī’’ti.
เอวํ วุเตฺต, สาเลยฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ – ‘‘อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม! เสยฺยถาปิ, โภ โคตม, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย, ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย ‘จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตี’ติ; เอวเมวํ โภตา โคตเมน อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตฯ เอเต มยํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉาม ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสเก โน ภวํ โคตโม ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คเต’’ติฯ
Evaṃ vutte, sāleyyakā brāhmaṇagahapatikā bhagavantaṃ etadavocuṃ – ‘‘abhikkantaṃ, bho gotama, abhikkantaṃ, bho gotama! Seyyathāpi, bho gotama, nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya, paṭicchannaṃ vā vivareyya, mūḷhassa vā maggaṃ ācikkheyya, andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya ‘cakkhumanto rūpāni dakkhantī’ti; evamevaṃ bhotā gotamena anekapariyāyena dhammo pakāsito. Ete mayaṃ bhavantaṃ gotamaṃ saraṇaṃ gacchāma dhammañca bhikkhusaṅghañca. Upāsake no bhavaṃ gotamo dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gate’’ti.
อปณฺณกสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทสมํฯ
Apaṇṇakasuttaṃ niṭṭhitaṃ dasamaṃ.
คหปติวโคฺค นิฎฺฐิโต ปฐโมฯ
Gahapativaggo niṭṭhito paṭhamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
กนฺทรนาครเสขวโต จ, โปตลิโย ปุน ชีวกภโจฺจ;
Kandaranāgarasekhavato ca, potaliyo puna jīvakabhacco;
อุปาลิทมโถ กุกฺกุรอภโย, พหุเวทนียาปณฺณกโต ทสโมฯ
Upālidamatho kukkuraabhayo, bahuvedanīyāpaṇṇakato dasamo.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. อปณฺณกสุตฺตวณฺณนา • 10. Apaṇṇakasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. อปณฺณกสุตฺตวณฺณนา • 10. Apaṇṇakasuttavaṇṇanā