Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๖. อปณฺณกสุตฺตวณฺณนา

    6. Apaṇṇakasuttavaṇṇanā

    ๑๖. ฉเฎฺฐ อปณฺณกปฎิปทนฺติ อวิรทฺธปฎิปทํ เอกํสปฎิปทํ นิยฺยานิกปฎิปทํ การณปฎิปทํ สารปฎิปทํ มณฺฑปฎิปทํ อปจฺจนีกปฎิปทํ อนุโลมปฎิปทํ ธมฺมานุธมฺมปฎิปทํ ปฎิปโนฺน โหติ, น ตกฺกคฺคาเหน วา นยคฺคาเหน วาฯ เอวํ คเหตฺวา ปฎิปโนฺน หิ ภิกฺขุ วา ภิกฺขุนี วา อุปาสโก วา อุปาสิกา วา มนุสฺสเทวนิพฺพานสมฺปตฺตีหิ หายติ ปริหายติ, อปณฺณกปฎิปทํ ปฎิปโนฺน ปน ตาหิ สมฺปตฺตีหิ น ปริหายติฯ อตีเต กนฺตารทฺธานมคฺคํ ปฎิปเนฺนสุ ทฺวีสุ สตฺถวาเหสุ ยกฺขสฺส วจนํ คเหตฺวา พาลสตฺถวาโห สทฺธิํ สเตฺถน อนยพฺยสนํ ปโตฺต, ยกฺขสฺส วจนํ อคฺคเหตฺวา ‘‘อุทกทิฎฺฐฎฺฐาเน อุทกํ ฉเฑฺฑสฺสามา’’ติ สตฺถเก สญฺญาเปตฺวา มคฺคํ ปฎิปโนฺน ปณฺฑิตสตฺถวาโห วิยฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    16. Chaṭṭhe apaṇṇakapaṭipadanti aviraddhapaṭipadaṃ ekaṃsapaṭipadaṃ niyyānikapaṭipadaṃ kāraṇapaṭipadaṃ sārapaṭipadaṃ maṇḍapaṭipadaṃ apaccanīkapaṭipadaṃ anulomapaṭipadaṃ dhammānudhammapaṭipadaṃ paṭipanno hoti, na takkaggāhena vā nayaggāhena vā. Evaṃ gahetvā paṭipanno hi bhikkhu vā bhikkhunī vā upāsako vā upāsikā vā manussadevanibbānasampattīhi hāyati parihāyati, apaṇṇakapaṭipadaṃ paṭipanno pana tāhi sampattīhi na parihāyati. Atīte kantāraddhānamaggaṃ paṭipannesu dvīsu satthavāhesu yakkhassa vacanaṃ gahetvā bālasatthavāho saddhiṃ satthena anayabyasanaṃ patto, yakkhassa vacanaṃ aggahetvā ‘‘udakadiṭṭhaṭṭhāne udakaṃ chaḍḍessāmā’’ti satthake saññāpetvā maggaṃ paṭipanno paṇḍitasatthavāho viya. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘อปณฺณกํ ฐานเมเก, ทุติยํ อาหุ ตกฺกิกา;

    ‘‘Apaṇṇakaṃ ṭhānameke, dutiyaṃ āhu takkikā;

    เอตทญฺญาย เมธาวี, ตํ คเณฺห ยทปณฺณก’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๑);

    Etadaññāya medhāvī, taṃ gaṇhe yadapaṇṇaka’’nti. (jā. 1.1.1);

    โยนิ จสฺส อารทฺธา โหตีติ เอตฺถ โยนีติ ขนฺธโกฎฺฐาสสฺสปิ การณสฺสปิ ปสฺสาวมคฺคสฺสปิ นามํฯ ‘‘จตโสฺส โข อิมา, สาริปุตฺต, โยนิโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๕๒) หิ ขนฺธโกฎฺฐาโส โยนิ นามฯ ‘‘โยนิ เหสา ภูมิช ผลสฺส อธิคมายา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๒๖) การณํฯ ‘‘น จาหํ พฺราหฺมณํ พฺรูมิ, โยนิชํ มตฺติสมฺภว’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๔๕๗; ธ. ป. ๓๙๖) จ ‘‘ตเมนํ กมฺมชวาตา นิวตฺติตฺวา อุทฺธํปาทํ อโธสิรํ สมฺปริวเตฺตตฺวา มาตุ โยนิมุเข สมฺปฎิปาเทนฺตี’’ติ จ อาทีสุ ปสฺสาวมโคฺคฯ อิธ ปน การณํ อธิเปฺปตํฯ อารทฺธาติ ปคฺคหิตา ปริปุณฺณาฯ

    Yoni cassa āraddhā hotīti ettha yonīti khandhakoṭṭhāsassapi kāraṇassapi passāvamaggassapi nāmaṃ. ‘‘Catasso kho imā, sāriputta, yoniyo’’tiādīsu (ma. ni. 1.152) hi khandhakoṭṭhāso yoni nāma. ‘‘Yoni hesā bhūmija phalassa adhigamāyā’’tiādīsu (ma. ni. 3.226) kāraṇaṃ. ‘‘Na cāhaṃ brāhmaṇaṃ brūmi, yonijaṃ mattisambhava’’nti (ma. ni. 2.457; dha. pa. 396) ca ‘‘tamenaṃ kammajavātā nivattitvā uddhaṃpādaṃ adhosiraṃ samparivattetvā mātu yonimukhe sampaṭipādentī’’ti ca ādīsu passāvamaggo. Idha pana kāraṇaṃ adhippetaṃ. Āraddhāti paggahitā paripuṇṇā.

    อาสวานํ ขยายาติ เอตฺถ อาสวนฺตีติ อาสวา, จกฺขุโตปิ…เป.… มนโตปิ สนฺทนฺติ ปวตฺตนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ธมฺมโต ยาว โคตฺรภุ, โอกาสโต ยาว ภวคฺคา สวนฺตีติ วา อาสวา, เอเต ธเมฺม เอตญฺจ โอกาสํ อโนฺตกริตฺวา ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ อโนฺตกรณโตฺถ หิ อยํ อากาโรฯ จิรปาริวาสิยเฎฺฐน มทิราทโย อาสวา, อาสวา วิยาติปิ อาสวาฯ โลกสฺมิมฺปิ หิ จิรปาริวาสิกา มทิราทโย อาสวาติ วุจฺจนฺติ, ยทิ จ จิรปาริวาสิยเฎฺฐน อาสวา, เอเตเยว ภวิตุมรหนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย, อิโต ปุเพฺพ อวิชฺชา นาโหสี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๑๐.๖๑)ฯ อายตํ วา สํสารทุกฺขํ สวนฺติ ปสวนฺตีติปิ อาสวาฯ ปุริมานิ เจตฺถ นิพฺพจนานิ ยตฺถ กิเลสา อาสวาติ อาคจฺฉนฺติ, ตตฺถ ยุชฺชนฺติ, ปจฺฉิมํ กเมฺมปิฯ น เกวลญฺจ กมฺมกิเลสาเยว อาสวา, อปิจ โข นานปฺปการา อุปทฺทวาปิฯ สุเตฺตสุ หิ ‘‘นาหํ, จุนฺท, ทิฎฺฐธมฺมิกานํเยว อาสวานํ สํวราย ธมฺมํ เทเสมี’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๘๒) เอตฺถ วิวาทมูลภูตา กิเลสา อาสวาติ อาคตาฯ

    Āsavānaṃ khayāyāti ettha āsavantīti āsavā, cakkhutopi…pe… manatopi sandanti pavattantīti vuttaṃ hoti. Dhammato yāva gotrabhu, okāsato yāva bhavaggā savantīti vā āsavā, ete dhamme etañca okāsaṃ antokaritvā pavattantīti attho. Antokaraṇattho hi ayaṃ ākāro. Cirapārivāsiyaṭṭhena madirādayo āsavā, āsavā viyātipi āsavā. Lokasmimpi hi cirapārivāsikā madirādayo āsavāti vuccanti, yadi ca cirapārivāsiyaṭṭhena āsavā, eteyeva bhavitumarahanti. Vuttañhetaṃ – ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati avijjāya, ito pubbe avijjā nāhosī’’tiādi (a. ni. 10.61). Āyataṃ vā saṃsāradukkhaṃ savanti pasavantītipi āsavā. Purimāni cettha nibbacanāni yattha kilesā āsavāti āgacchanti, tattha yujjanti, pacchimaṃ kammepi. Na kevalañca kammakilesāyeva āsavā, apica kho nānappakārā upaddavāpi. Suttesu hi ‘‘nāhaṃ, cunda, diṭṭhadhammikānaṃyeva āsavānaṃ saṃvarāya dhammaṃ desemī’’ti (dī. ni. 3.182) ettha vivādamūlabhūtā kilesā āsavāti āgatā.

    ‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;

    ‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;

    ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺยํ, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;

    Yakkhattaṃ yena gaccheyyaṃ, manussattañca abbaje;

    เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖) –

    Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36) –

    เอตฺถ เตภูมกํ จ กมฺมํ อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมาฯ ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติ (ปารา. ๓๙; อ. นิ. ๒.๒๐๒-๒๓๐) เอตฺถ ปรูปวาทวิปฺปฎิสารวธพนฺธาทโย เจว อปายทุกฺขภูตา จ นานปฺปการา อุปทฺทวาฯ

    Ettha tebhūmakaṃ ca kammaṃ avasesā ca akusalā dhammā. ‘‘Diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti (pārā. 39; a. ni. 2.202-230) ettha parūpavādavippaṭisāravadhabandhādayo ceva apāyadukkhabhūtā ca nānappakārā upaddavā.

    เต ปเนเต อาสวา ยตฺถ ยถา อาคตา, ตตฺถ ตถา เวทิตพฺพาฯ เอเต หิ วินเย ตาว ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย, สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติ (ปารา. ๓๙; อ. นิ. ๒.๒๐๒-๒๓๐) เทฺวธา อาคตาฯ สฬายตเน ‘‘ตโย เม, อาวุโส, อาสวา กามาสโว ภวาสโว อวิชฺชาสโว’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๒๑) ติธา อาคตาฯ อเญฺญสุ จ สุตฺตเนฺตสุ (จูฬนิ. ชตุกณฺณิมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๖๙; ปฎิ. ม. ๑.๑๐๗) อภิธเมฺม (ธ. ส. ๑๑๐๒-๑๑๐๖; วิภ. ๙๓๗) จ เตเยว ทิฎฺฐาสเวน สห จตุธา อาคตาฯ นิเพฺพธิกปริยาเยน ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา นิรยคามินิยา , อตฺถิ อาสวา ติรจฺฉานโยนิคามินิยา, อตฺถิ อาสวา เปตฺติวิสยคามินิยา, อตฺถิ อาสวา มนุสฺสโลกคามินิยา, อตฺถิ อาสวา เทวโลกคามินิยา’’ติ (อ. นิ. ๖.๖๓) ปญฺจธา อาคตาฯ กมฺมเมว เจตฺถ อาสวาติ วุตฺตํฯ ฉกฺกนิปาเต ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา สํวราปหาตพฺพา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๖.๕๘) นเยน ฉธา อาคตาฯ สพฺพาสวปริยาเย (ม. นิ. ๑.๑๔ อาทโย) เตเยว ทสฺสเนน ปหาตเพฺพหิ สทฺธิํ สตฺตธา อาคตาฯ อิธ ปน อภิธมฺมนเยน จตฺตาโร อาสวา อธิเปฺปตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Te panete āsavā yattha yathā āgatā, tattha tathā veditabbā. Ete hi vinaye tāva ‘‘diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya, samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti (pārā. 39; a. ni. 2.202-230) dvedhā āgatā. Saḷāyatane ‘‘tayo me, āvuso, āsavā kāmāsavo bhavāsavo avijjāsavo’’ti (saṃ. ni. 4.321) tidhā āgatā. Aññesu ca suttantesu (cūḷani. jatukaṇṇimāṇavapucchāniddeso 69; paṭi. ma. 1.107) abhidhamme (dha. sa. 1102-1106; vibha. 937) ca teyeva diṭṭhāsavena saha catudhā āgatā. Nibbedhikapariyāyena ‘‘atthi, bhikkhave, āsavā nirayagāminiyā , atthi āsavā tiracchānayonigāminiyā, atthi āsavā pettivisayagāminiyā, atthi āsavā manussalokagāminiyā, atthi āsavā devalokagāminiyā’’ti (a. ni. 6.63) pañcadhā āgatā. Kammameva cettha āsavāti vuttaṃ. Chakkanipāte ‘‘atthi, bhikkhave, āsavā saṃvarāpahātabbā’’tiādinā (a. ni. 6.58) nayena chadhā āgatā. Sabbāsavapariyāye (ma. ni. 1.14 ādayo) teyeva dassanena pahātabbehi saddhiṃ sattadhā āgatā. Idha pana abhidhammanayena cattāro āsavā adhippetāti veditabbā.

    ขยายาติ เอตฺถ ปน อาสวานํ สรสเภโทปิ ขีณากาโรปิ มคฺคผลนิพฺพานานิปิ ‘‘อาสวกฺขโย’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘โย อาสวานํ ขโย วโย เภโท ปริเภโท อนิจฺจตา อนฺตรธาน’’นฺติ เอตฺถ หิ อาสวานํ สรสเภโท ‘‘อาสวกฺขโย’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘ชานโต อหํ, ภิกฺขเว, ปสฺสโต อาสวานํ ขยํ วทามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๕; สํ. นิ. ๒.๒๓; อิติวุ. ๑๐๒) เอตฺถ อาสวปฺปหานํ อาสวานํ อจฺจนฺตกฺขโย อสมุปฺปาโท ขีณากาโร นตฺถิภาโว ‘‘อาสวกฺขโย’’ติ วุโตฺตฯ

    Khayāyāti ettha pana āsavānaṃ sarasabhedopi khīṇākāropi maggaphalanibbānānipi ‘‘āsavakkhayo’’ti vuccati. ‘‘Yo āsavānaṃ khayo vayo bhedo paribhedo aniccatā antaradhāna’’nti ettha hi āsavānaṃ sarasabhedo ‘‘āsavakkhayo’’ti vutto. ‘‘Jānato ahaṃ, bhikkhave, passato āsavānaṃ khayaṃ vadāmī’’ti (ma. ni. 1.15; saṃ. ni. 2.23; itivu. 102) ettha āsavappahānaṃ āsavānaṃ accantakkhayo asamuppādo khīṇākāro natthibhāvo ‘‘āsavakkhayo’’ti vutto.

    ‘‘เสขสฺส สิกฺขมานสฺส, อุชุมคฺคานุสาริโน;

    ‘‘Sekhassa sikkhamānassa, ujumaggānusārino;

    ขยสฺมิํ ปฐมํ ญาณํ, ตโต อญฺญา อนนฺตรา’’ติฯ (อิติวุ. ๖๒) –

    Khayasmiṃ paṭhamaṃ ñāṇaṃ, tato aññā anantarā’’ti. (itivu. 62) –

    เอตฺถ มโคฺค ‘‘อาสวกฺขโย’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘อาสวานํ ขยา สมโณ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๓๘) เอตฺถ ผลํฯ

    Ettha maggo ‘‘āsavakkhayo’’ti vutto. ‘‘Āsavānaṃ khayā samaṇo hotī’’ti (ma. ni. 1.438) ettha phalaṃ.

    ‘‘ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส, นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน;

    ‘‘Paravajjānupassissa, niccaṃ ujjhānasaññino;

    อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ, อารา โส อาสวกฺขยา’’ติฯ (ธ. ป. ๒๕๓) –

    Āsavā tassa vaḍḍhanti, ārā so āsavakkhayā’’ti. (dha. pa. 253) –

    เอตฺถ นิพฺพานํฯ อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต ผลํ สนฺธาย ‘‘อาสวานํ ขยายา’’ติ อาห, อรหตฺตผลตฺถายาติ อโตฺถฯ

    Ettha nibbānaṃ. Imasmiṃ pana sutte phalaṃ sandhāya ‘‘āsavānaṃ khayāyā’’ti āha, arahattaphalatthāyāti attho.

    อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโรติ มนจฺฉเฎฺฐสุ อินฺทฺริเยสุ ปิหิตทฺวาโรฯ โภชเน มตฺตญฺญูติ โภชนสฺมิํ ปมาณญฺญู, ปฎิคฺคหณปริโภคปจฺจเวกฺขณมตฺตํ ชานาติ ปชานาตีติ อโตฺถฯ ชาคริยํ อนุยุโตฺตติ รตฺตินฺทิวํ ฉ โกฎฺฐาเส กตฺวา ปญฺจสุ โกฎฺฐาเสสุ ชาครณภาวํ อนุยุโตฺต, ชาครเณเยว ยุตฺตปฺปยุโตฺตติ อโตฺถฯ

    Indriyesu guttadvāroti manacchaṭṭhesu indriyesu pihitadvāro. Bhojane mattaññūti bhojanasmiṃ pamāṇaññū, paṭiggahaṇaparibhogapaccavekkhaṇamattaṃ jānāti pajānātīti attho. Jāgariyaṃanuyuttoti rattindivaṃ cha koṭṭhāse katvā pañcasu koṭṭhāsesu jāgaraṇabhāvaṃ anuyutto, jāgaraṇeyeva yuttappayuttoti attho.

    เอวํ มาติกํ ฐเปตฺวา อิทานิ ตเมว ฐปิตปฎิปาฎิยา วิภชโนฺต กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูติอาทิมาหฯ ตตฺถ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวาติอาทีนํ อโตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๕) วิตฺถาริโต, ตถา ปฎิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหาเรติ เนว ทวายาติอาทีนํ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๘)ฯ อาวรณีเยหิ ธเมฺมหีติ ปญฺจหิ นีวรเณหิ ธเมฺมหิฯ นีวรณานิ หิ จิตฺตํ อาวริตฺวา ติฎฺฐนฺติ, ตสฺมา อาวรณียา ธมฺมาติ วุจฺจนฺติฯ สีหเสยฺยํ กเปฺปตีติ สีโห วิย เสยฺยํ กเปฺปติฯ ปาเท ปาทํ อจฺจาธายาติ วามปาทํ ทกฺขิณปาเท อติอาธายฯ สมํ ฐปิเต หิ ปาเท ชาณุเกน ชาณุกํ โคปฺผเกน จ โคปฺผกํ ฆฎียติ, ตโต เวทนา อุฎฺฐหนฺติฯ ตสฺมา ตสฺส โทสสฺส ปริวชฺชนตฺถํ โถกํ อติกฺกมิตฺวา เอส ปาทํ ฐเปติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปาเท ปาทํ อจฺจาธายา’’ติฯ

    Evaṃ mātikaṃ ṭhapetvā idāni tameva ṭhapitapaṭipāṭiyā vibhajanto kathañca, bhikkhave, bhikkhūtiādimāha. Tattha cakkhunā rūpaṃ disvātiādīnaṃ attho visuddhimagge (visuddhi. 1.15) vitthārito, tathā paṭisaṅkhā yoniso āhāraṃ āhāreti neva davāyātiādīnaṃ (visuddhi. 1.18). Āvaraṇīyehi dhammehīti pañcahi nīvaraṇehi dhammehi. Nīvaraṇāni hi cittaṃ āvaritvā tiṭṭhanti, tasmā āvaraṇīyā dhammāti vuccanti. Sīhaseyyaṃ kappetīti sīho viya seyyaṃ kappeti. Pāde pādaṃ accādhāyāti vāmapādaṃ dakkhiṇapāde atiādhāya. Samaṃ ṭhapite hi pāde jāṇukena jāṇukaṃ gopphakena ca gopphakaṃ ghaṭīyati, tato vedanā uṭṭhahanti. Tasmā tassa dosassa parivajjanatthaṃ thokaṃ atikkamitvā esa pādaṃ ṭhapeti. Tena vuttaṃ – ‘‘pāde pādaṃ accādhāyā’’ti.

    สโต สมฺปชาโนติ สติยา เจว สมฺปชเญฺญน จ สมนฺนาคโตฯ กถํ ปเนส นิทฺทายโนฺต สโต สมฺปชาโน นาม โหตีติ? ปุริมปฺปวตฺติวเสนฯ อยํ หิ จงฺกเม จงฺกมโนฺต นิทฺทาย โอกฺกมนภาวํ ญตฺวา ปวตฺตมานํ กมฺมฎฺฐานํ ฐเปตฺวา มเญฺจ วา ผลเก วา นิปโนฺน นิทฺทํ อุปคนฺตฺวา ปุน ปพุชฺฌมาโน กมฺมฎฺฐานํ ฐิตฎฺฐาเน คณฺหโนฺตเยว ปพุชฺฌติฯ ตสฺมา นิทฺทายโนฺตปิ สโต สมฺปชาโน นาม โหติฯ อยํ ตาว มูลกมฺมฎฺฐาเน นโยวฯ ปริคฺคหกมฺมฎฺฐานวเสนาปิ ปเนส สโต สมฺปชาโน นาม โหติฯ กถํ? อยํ หิ จงฺกมโนฺต นิทฺทาย โอกฺกมนภาวํ ญตฺวา ปาสาณผลเก วา มเญฺจ วา ทกฺขิเณน ปเสฺสน นิปชฺชิตฺวา ปจฺจเวกฺขติ – ‘‘อเจตโน กาโย อเจตเน มเญฺจ ปติฎฺฐิโต, อเจตโน มโญฺจ อเจตนาย ปถวิยา, อเจตนา ปถวี อเจตเน อุทเก, อเจตนํ อุทกํ อเจตเน วาเต, อเจตโน วาโต อเจตเน อากาเส ปติฎฺฐิโตฯ ตตฺถ อากาสมฺปิ ‘อหํ วาตํ อุกฺขิปิตฺวา ฐิต’นฺติ น ชานาติ, วาโตปิ ‘อหํ อากาเส ปติฎฺฐิโต’ติ น ชานาติฯ ตถา วาโต น ชานาติฯ ‘อหํ อุทกํ อุกฺขิปิตฺวา ฐิโต’ติ…เป.… มโญฺจ น ชานาติ, ‘อหํ กายํ อุกฺขิปิตฺวา ฐิโต’ติ, กาโย น ชานาติ ‘อหํ มเญฺจ ปติฎฺฐิโต’ติฯ น หิ เตสํ อญฺญมญฺญํ อาโภโค วา สมนฺนาหาโร วา มนสิกาโร วา เจตนา วา ปตฺถนา วา อตฺถี’’ติฯ ตสฺส เอวํ ปจฺจเวกฺขโต ตํ ปจฺจเวกฺขณจิตฺตํ ภวเงฺค โอตรติฯ เอวํ นิทฺทายโนฺตปิ สโต สมฺปชาโน นาม โหตีติฯ

    Satosampajānoti satiyā ceva sampajaññena ca samannāgato. Kathaṃ panesa niddāyanto sato sampajāno nāma hotīti? Purimappavattivasena. Ayaṃ hi caṅkame caṅkamanto niddāya okkamanabhāvaṃ ñatvā pavattamānaṃ kammaṭṭhānaṃ ṭhapetvā mañce vā phalake vā nipanno niddaṃ upagantvā puna pabujjhamāno kammaṭṭhānaṃ ṭhitaṭṭhāne gaṇhantoyeva pabujjhati. Tasmā niddāyantopi sato sampajāno nāma hoti. Ayaṃ tāva mūlakammaṭṭhāne nayova. Pariggahakammaṭṭhānavasenāpi panesa sato sampajāno nāma hoti. Kathaṃ? Ayaṃ hi caṅkamanto niddāya okkamanabhāvaṃ ñatvā pāsāṇaphalake vā mañce vā dakkhiṇena passena nipajjitvā paccavekkhati – ‘‘acetano kāyo acetane mañce patiṭṭhito, acetano mañco acetanāya pathaviyā, acetanā pathavī acetane udake, acetanaṃ udakaṃ acetane vāte, acetano vāto acetane ākāse patiṭṭhito. Tattha ākāsampi ‘ahaṃ vātaṃ ukkhipitvā ṭhita’nti na jānāti, vātopi ‘ahaṃ ākāse patiṭṭhito’ti na jānāti. Tathā vāto na jānāti. ‘Ahaṃ udakaṃ ukkhipitvā ṭhito’ti…pe… mañco na jānāti, ‘ahaṃ kāyaṃ ukkhipitvā ṭhito’ti, kāyo na jānāti ‘ahaṃ mañce patiṭṭhito’ti. Na hi tesaṃ aññamaññaṃ ābhogo vā samannāhāro vā manasikāro vā cetanā vā patthanā vā atthī’’ti. Tassa evaṃ paccavekkhato taṃ paccavekkhaṇacittaṃ bhavaṅge otarati. Evaṃ niddāyantopi sato sampajāno nāma hotīti.

    อุฎฺฐานสญฺญํ มนสิกริตฺวาติ ‘‘เอตฺตกํ ฐานํ คเต จเนฺท วา ตารกาย วา อุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ อุฎฺฐานกาลปริเจฺฉทิกํ สญฺญํ มนสิกริตฺวา, จิเตฺต ฐเปตฺวาติ อโตฺถฯ เอวํ กริตฺวา สยิโต หิ ยถาปริจฺฉิเนฺนเยว กาเล อุฎฺฐหติฯ

    Uṭṭhānasaññaṃ manasikaritvāti ‘‘ettakaṃ ṭhānaṃ gate cande vā tārakāya vā uṭṭhahissāmī’’ti uṭṭhānakālaparicchedikaṃ saññaṃ manasikaritvā, citte ṭhapetvāti attho. Evaṃ karitvā sayito hi yathāparicchinneyeva kāle uṭṭhahati.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๖. อปณฺณกสุตฺตํ • 6. Apaṇṇakasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๖. อปณฺณกสุตฺตวณฺณนา • 6. Apaṇṇakasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact