Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๖. อปณฺณกสุตฺตวณฺณนา
6. Apaṇṇakasuttavaṇṇanā
๑๖. ฉเฎฺฐ วิรชฺฌนกิริยา นาม ปจฺฉา สมาทาตพฺพตาย อปณฺณกปฺปโยคสมาทานา วิย โหติ, อวิรชฺฌนกิริยา ปน ปจฺฉา อสมาทาตพฺพตาย อนูนาติ ตํสมงฺคิปุคฺคโล อปณฺณโก, ตสฺส ภาโว อปณฺณกตาติ อาห ‘‘อปณฺณกปฎิปทนฺติ อวิรทฺธปฎิปท’’นฺติอาทิฯ ยสฺมา สา อธิเปฺปตตฺถสาธเนน เอกํสิกา วฎฺฎโต นิยฺยานาวหา, ตตฺถ จ ยุตฺติยุตฺตา อสาราปคตา อวิรุทฺธตาย อปจฺจนีกา อนุโลมิกา อนุธมฺมภูตา จ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘เอกํสปฎิปท’’นฺติอาทิฯ น ตกฺกคฺคาเหน วา นยคฺคาเหน วาติ ตกฺกคฺคาเหน วา ปฎิปโนฺน น โหติ นยคฺคาเหน วา อปณฺณกปฎิปทํ ปฎิปโนฺนฯ ตตฺถ ตกฺกคฺคาเหน วาติ อาจริยํ อลภิตฺวา ‘‘เอวํ เม สุคติ, นิพฺพานํ วา ภวิสฺสตี’’ติ อตฺตโน ตกฺกคฺคหณมเตฺตนฯ นยคฺคาเหนาติ ปจฺจกฺขโต อทิสฺวา นยโต อนุมานโต คหเณนฯ เอวํ คเหตฺวา ปฎิปโนฺนติ ตกฺกมเตฺตน, นยคฺคาเหน วา ปฎิปโนฺนฯ ปณฺฑิตสตฺถวาโห วิย สมฺปตฺตีหิ น ปริหายตีติ โยชนาฯ
16. Chaṭṭhe virajjhanakiriyā nāma pacchā samādātabbatāya apaṇṇakappayogasamādānā viya hoti, avirajjhanakiriyā pana pacchā asamādātabbatāya anūnāti taṃsamaṅgipuggalo apaṇṇako, tassa bhāvo apaṇṇakatāti āha ‘‘apaṇṇakapaṭipadanti aviraddhapaṭipada’’ntiādi. Yasmā sā adhippetatthasādhanena ekaṃsikā vaṭṭato niyyānāvahā, tattha ca yuttiyuttā asārāpagatā aviruddhatāya apaccanīkā anulomikā anudhammabhūtā ca, tasmā vuttaṃ ‘‘ekaṃsapaṭipada’’ntiādi. Na takkaggāhena vā nayaggāhena vāti takkaggāhena vā paṭipanno na hoti nayaggāhena vā apaṇṇakapaṭipadaṃ paṭipanno. Tattha takkaggāhena vāti ācariyaṃ alabhitvā ‘‘evaṃ me sugati, nibbānaṃ vā bhavissatī’’ti attano takkaggahaṇamattena. Nayaggāhenāti paccakkhato adisvā nayato anumānato gahaṇena. Evaṃ gahetvā paṭipannoti takkamattena, nayaggāhena vā paṭipanno. Paṇḍitasatthavāho viya sampattīhi na parihāyatīti yojanā.
ยํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ ปริหานญฺจ อปริหานญฺจ สนฺธาย ชาตเก (ชา. ๑.๑.๑) วุตฺตํฯ อยํ ปเนตฺถ คาถาย อตฺถโยชนา – อปณฺณกํ ฐานํ อวิรทฺธการณํ นิยฺยานิกการณํ เอเก โพธิสตฺตปฺปมุขา ปณฺฑิตมนุสฺสา คณฺหิํสุฯ เย ปน เต พาลสตฺถวาหปุตฺตปฺปมุขา ตกฺกิกา อาหุ, เต ทุติยํ สาปราธํ อเนกํสิกํ ฐานํ อนิยฺยานิกํ การณํ อคฺคเหสุํ, เต กณฺหปฎิปทํ ปฎิปนฺนาฯ ตตฺถ สุกฺกปฎิปทา อปริหานิปฎิปทา, กณฺหปฎิปทา ปริหานิปฎิปทา, ตสฺมา เย สุกฺกปฎิปทํ ปฎิปนฺนา, เต อปริหีนา โสตฺถิภาวํ ปตฺตาฯ เย ปน กณฺหปฎิปทํ ปฎิปนฺนา, เต ปริหีนา อนยพฺยสนํ อาปนฺนาติ อิมมตฺถํ ภควา อนาถปิณฺฑิกสฺส คหปติโน วตฺวา อุตฺตริ อิทมาห ‘‘เอตทญฺญาย เมธาวี, ตํ คเณฺห ยทปณฺณก’’นฺติฯ
Yaṃ sandhāya vuttanti parihānañca aparihānañca sandhāya jātake (jā. 1.1.1) vuttaṃ. Ayaṃ panettha gāthāya atthayojanā – apaṇṇakaṃ ṭhānaṃ aviraddhakāraṇaṃ niyyānikakāraṇaṃ eke bodhisattappamukhā paṇḍitamanussā gaṇhiṃsu. Ye pana te bālasatthavāhaputtappamukhā takkikā āhu, te dutiyaṃ sāparādhaṃ anekaṃsikaṃ ṭhānaṃ aniyyānikaṃ kāraṇaṃ aggahesuṃ, te kaṇhapaṭipadaṃ paṭipannā. Tattha sukkapaṭipadā aparihānipaṭipadā, kaṇhapaṭipadā parihānipaṭipadā, tasmā ye sukkapaṭipadaṃ paṭipannā, te aparihīnā sotthibhāvaṃ pattā. Ye pana kaṇhapaṭipadaṃ paṭipannā, te parihīnā anayabyasanaṃ āpannāti imamatthaṃ bhagavā anāthapiṇḍikassa gahapatino vatvā uttari idamāha ‘‘etadaññāya medhāvī, taṃ gaṇhe yadapaṇṇaka’’nti.
ตตฺถ เอตทญฺญาย เมธาวีติ เมธาติ ลทฺธนามาย วิสุทฺธาย อุตฺตมาย ปญฺญาย สมนฺนาคโต กุลปุโตฺต เอตํ อปณฺณกํ ฐานํ ทุติยญฺจาติ ทฺวีสุ อตกฺกคฺคาหตกฺกคฺคาหสงฺขาเตสุ ฐาเนสุ คุณโทสํ วุทฺธิหานิํ อตฺถานตฺถํ ญตฺวาติ อโตฺถฯ ตํ คเณฺห ยทปณฺณกนฺติ ยํ อปณฺณกํ เอกํสิกํ สุกฺกปฎิปทาอปริหานิยปฎิปทาสงฺขาตํ นิยฺยานิกการณํ, ตเทว คเณฺหยฺยฯ กสฺมา? เอกํสิกาทิภาวโตเยวฯ อิตรํ ปน น คเณฺหยฺยฯ กสฺมา? อเนกํสิกาทิภาวโตเยวฯ
Tattha etadaññāya medhāvīti medhāti laddhanāmāya visuddhāya uttamāya paññāya samannāgato kulaputto etaṃ apaṇṇakaṃ ṭhānaṃ dutiyañcāti dvīsu atakkaggāhatakkaggāhasaṅkhātesu ṭhānesu guṇadosaṃ vuddhihāniṃ atthānatthaṃ ñatvāti attho. Taṃ gaṇhe yadapaṇṇakanti yaṃ apaṇṇakaṃ ekaṃsikaṃ sukkapaṭipadāaparihāniyapaṭipadāsaṅkhātaṃ niyyānikakāraṇaṃ, tadeva gaṇheyya. Kasmā? Ekaṃsikādibhāvatoyeva. Itaraṃ pana na gaṇheyya. Kasmā? Anekaṃsikādibhāvatoyeva.
ยวนฺติ ตาย สตฺตา อมิสฺสิตาปิ สมานชาติตาย มิสฺสิตา วิย โหนฺตีติ โยนิฯ สา ปน อตฺถโต อณฺฑาทิอุปฺปตฺติฎฺฐานวิสิโฎฺฐ ขนฺธานํ ภาคโส ปวตฺติวิเสโสติ อาห ‘‘ขนฺธโกฎฺฐาโส โยนิ นามา’’ติฯ การณํ โยนิ นาม, โยนีติ ตํ ตํ ผลํ อนุปจิตญาณสมฺภาเรหิ ทุรวคาธเภทตาย มิสฺสิตํ วิย โหตีติฯ ยโต เอกตฺตนเยน โส เอวายนฺติ พาลานํ มิจฺฉาคาโหฯ ปสฺสาวมโคฺค โยนิ นาม ยวนฺติ ตาย สตฺตา โยนิสมฺพเนฺธน มิสฺสิตา โหนฺตีติฯ ปคฺคหิตา อนุฎฺฐาเนน, ปุนปฺปุนํ อาเสวนาย ปริปุณฺณาฯ
Yavanti tāya sattā amissitāpi samānajātitāya missitā viya hontīti yoni. Sā pana atthato aṇḍādiuppattiṭṭhānavisiṭṭho khandhānaṃ bhāgaso pavattivisesoti āha ‘‘khandhakoṭṭhāso yoni nāmā’’ti. Kāraṇaṃ yoni nāma, yonīti taṃ taṃ phalaṃ anupacitañāṇasambhārehi duravagādhabhedatāya missitaṃ viya hotīti. Yato ekattanayena so evāyanti bālānaṃ micchāgāho. Passāvamaggo yoni nāma yavanti tāya sattā yonisambandhena missitā hontīti. Paggahitā anuṭṭhānena, punappunaṃ āsevanāya paripuṇṇā.
‘‘จกฺขุโตปี’’ติอาทิมฺหิ ปน จกฺขุวิญฺญาณาทิวีถีสุ ตทนุคตมโนวิญฺญาณวีถีสุ จ กิญฺจาปิ กุสลาทีนํ ปวตฺติ อตฺถิ, กามาสวาทโย เอว ปน วณโต ยูสํ วิย ปคฺฆรนกอสุจิภาเวน สนฺทนฺติ, ตสฺมา เต เอว ‘‘อาสวา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตตฺถ หิ ปคฺฆรนกอสุจิมฺหิ อาสวสโทฺท นิรุโฬฺหติฯ ธมฺมโต ยาว โคตฺรภูติ ตโต ปรํ มคฺคผเลสุ อปฺปวตฺตนโต วุตฺตํฯ เอเต หิ อารมฺมณกรณวเสน ธเมฺม คจฺฉนฺตา ตโต ปรํ น คจฺฉนฺติฯ นนุ ตโต ปรํ ภวงฺคาทีนิปิ คจฺฉนฺตีติ เจ? น, เตสมฺปิ ปุเพฺพ อาลมฺพิเตสุ โลกิยธเมฺมสุ สาสวภาเวน อโนฺตคธตฺตา ตโต ปรตาภาวโตฯ เอตฺถ จ โคตฺรภุวจเนน โคตฺรภุโวทานผลสมาปตฺติปุเรจาริกปริกมฺมานิ วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ ปฐมมคฺคปุเรจาริกเมว วา โคตฺรภุ อวธินิทสฺสนภาเวน คหิตํ, ตโต ปรํ ปน มคฺคผลสมานตาย อเญฺญสุ มเคฺคสุ มคฺควีถิยํ สมาปตฺติวีถียํ นิโรธานนฺตรญฺจ ปวตฺตมาเนสุ ผเลสุ นิพฺพาเน จ อาสวานํ ปวตฺติ นิวาริตาติ เวทิตพฺพํฯ สวนฺตีติ คจฺฉนฺติ, อารมฺมณกรณวเสน ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ อวธิอโตฺถ อา-กาโร, อวธิ จ มริยาทาภิวิธิเภทโต ทุวิโธฯ ตตฺถ มริยาทํ กิริยํ พหิ กตฺวา ปวตฺตติ ยถา ‘‘อาปาฎลีปุตฺตํ วุโฎฺฐ เทโว’’ติฯ อภิวิธิ ปน กิริยํ พฺยาเปตฺวา ปวตฺตติ ยถา ‘‘อาภวคฺคํ ภควโต ยโส ปวตฺตตี’’ติฯ อภิวิธิอโตฺถ จายมา-กาโร อิธ คหิโตติ วุตฺตํ ‘‘อโนฺตกรณโตฺถ’’ติฯ
‘‘Cakkhutopī’’tiādimhi pana cakkhuviññāṇādivīthīsu tadanugatamanoviññāṇavīthīsu ca kiñcāpi kusalādīnaṃ pavatti atthi, kāmāsavādayo eva pana vaṇato yūsaṃ viya paggharanakaasucibhāvena sandanti, tasmā te eva ‘‘āsavā’’ti vuccanti. Tattha hi paggharanakaasucimhi āsavasaddo niruḷhoti. Dhammato yāva gotrabhūti tato paraṃ maggaphalesu appavattanato vuttaṃ. Ete hi ārammaṇakaraṇavasena dhamme gacchantā tato paraṃ na gacchanti. Nanu tato paraṃ bhavaṅgādīnipi gacchantīti ce? Na, tesampi pubbe ālambitesu lokiyadhammesu sāsavabhāvena antogadhattā tato paratābhāvato. Ettha ca gotrabhuvacanena gotrabhuvodānaphalasamāpattipurecārikaparikammāni vuttānīti veditabbāni. Paṭhamamaggapurecārikameva vā gotrabhu avadhinidassanabhāvena gahitaṃ, tato paraṃ pana maggaphalasamānatāya aññesu maggesu maggavīthiyaṃ samāpattivīthīyaṃ nirodhānantarañca pavattamānesu phalesu nibbāne ca āsavānaṃ pavatti nivāritāti veditabbaṃ. Savantīti gacchanti, ārammaṇakaraṇavasena pavattantīti attho. Avadhiattho ā-kāro, avadhi ca mariyādābhividhibhedato duvidho. Tattha mariyādaṃ kiriyaṃ bahi katvā pavattati yathā ‘‘āpāṭalīputtaṃ vuṭṭho devo’’ti. Abhividhi pana kiriyaṃ byāpetvā pavattati yathā ‘‘ābhavaggaṃ bhagavato yaso pavattatī’’ti. Abhividhiattho cāyamā-kāro idha gahitoti vuttaṃ ‘‘antokaraṇattho’’ti.
มทิราทโยติ อาทิ-สเทฺทน สินฺธวกาทมฺพริกาโปติกาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ จิรปาริวาสิยโฎฺฐ จิรปริวุฎฺฐตา ปุราณภาโวฯ อวิชฺชา นาโหสีติอาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ ภวตณฺหายา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๒) อิทํ สุตฺตํ สงฺคหิตํฯ อวิชฺชาสวภวาสวานํ จิรปริวุฎฺฐตาย ทสฺสิตาย ตพฺภาวภาวิโน กามาสวสฺส จิรปริวุฎฺฐตา ทสฺสิตาว โหติฯ อเญฺญสุ จ ยถาวุเตฺต ธเมฺม โอกาสญฺจ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตมาเนสุ มานาทีสุ วิชฺชมาเนสุ อตฺตตฺตนิยาทิคฺคาหวเสน อภิพฺยาปนํ มทกรณวเสน อาสวสทิสตา จ เอเตสํเยว, น อเญฺญสนฺติ เอเตเสฺวว อาสวสโทฺท นิรุโฬฺหติ ทฎฺฐโพฺพฯ อายตํ อนาทิกาลิกตฺตาฯ ปสวนฺตีติ ผลนฺติฯ น หิ กิญฺจิ สํสารทุกฺขํ อตฺถิ, ยํ อาสเวหิ วินา อุปฺปเชฺชยฺยฯ ปุริมานิ เจตฺถาติ เอเตสุ จตูสุ อตฺถวิกเปฺปสุ ปุริมานิ ตีณิฯ ยตฺถาติ เยสุ สุตฺตาภิธมฺมปฺปเทเสสุฯ ตตฺถ ยุชฺชนฺติ กิเลเสสุเยว ยถาวุตฺตสฺส อตฺถตฺตยสฺส สมฺภวโตฯ ปจฺฉิมํ กเมฺมปีติ ปจฺฉิมํ ‘‘อายตํ วา สํสารทุกฺขํ สวนฺติ ปสวนฺตี’’ติ วุตฺตนิพฺพจนํ กเมฺมปิ ยุชฺชติ ทุกฺขปฺปสวนสฺส กิเลสกมฺมสาธารณตฺตาฯ
Madirādayoti ādi-saddena sindhavakādambarikāpotikādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Cirapārivāsiyaṭṭho ciraparivuṭṭhatā purāṇabhāvo. Avijjā nāhosītiādīti ettha ādi-saddena ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati bhavataṇhāyā’’ti (a. ni. 10.62) idaṃ suttaṃ saṅgahitaṃ. Avijjāsavabhavāsavānaṃ ciraparivuṭṭhatāya dassitāya tabbhāvabhāvino kāmāsavassa ciraparivuṭṭhatā dassitāva hoti. Aññesu ca yathāvutte dhamme okāsañca ārammaṇaṃ katvā pavattamānesu mānādīsu vijjamānesu attattaniyādiggāhavasena abhibyāpanaṃ madakaraṇavasena āsavasadisatā ca etesaṃyeva, na aññesanti etesveva āsavasaddo niruḷhoti daṭṭhabbo. Āyataṃ anādikālikattā. Pasavantīti phalanti. Na hi kiñci saṃsāradukkhaṃ atthi, yaṃ āsavehi vinā uppajjeyya. Purimāni cetthāti etesu catūsu atthavikappesu purimāni tīṇi. Yatthāti yesu suttābhidhammappadesesu. Tattha yujjanti kilesesuyeva yathāvuttassa atthattayassa sambhavato. Pacchimaṃ kammepīti pacchimaṃ ‘‘āyataṃ vā saṃsāradukkhaṃ savanti pasavantī’’ti vuttanibbacanaṃ kammepi yujjati dukkhappasavanassa kilesakammasādhāraṇattā.
ทิฎฺฐธมฺมา วุจฺจนฺติ ปจฺจกฺขภูตา ขนฺธา, ทิฎฺฐธเมฺม ภวา ทิฎฺฐธมฺมิกาฯ วิวาทมูลภูตาติ วิวาทสฺส มูลการณภูตา โกธูปนาหมกฺขปลาสอิสฺสามจฺฉริยมายาสาเฐยฺยถมฺภสารมฺภมานาติมานาฯ เยน เทวูปปตฺยสฺสาติ เยน กมฺมกิเลสปฺปกาเรน อาสเวน เทเวสุ อุปปตฺติ นิพฺพตฺติ อสฺส มยฺหนฺติ สมฺพโนฺธฯ คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม อากาสจารี อสฺสนฺติ วิภตฺติํ วิปริณาเมตฺวา โยเชตพฺพํฯ เอตฺถ จ ยกฺขคนฺธพฺพวินิมุตฺตา สพฺพา เทวตา เทวคฺคหเณน คหิตาฯ นโฬ วุจฺจติ มูลํ, ตสฺมา วินฬีกตาติ วิคตนฬา วิคตมูลา กตาติ อโตฺถฯ อวเสสา จ อกุสลา ธมฺมาติ อกุสลกมฺมโต อวเสสา อกุสลา ธมฺมา อาสวาติ อาคตาติ สมฺพโนฺธฯ
Diṭṭhadhammā vuccanti paccakkhabhūtā khandhā, diṭṭhadhamme bhavā diṭṭhadhammikā. Vivādamūlabhūtāti vivādassa mūlakāraṇabhūtā kodhūpanāhamakkhapalāsaissāmacchariyamāyāsāṭheyyathambhasārambhamānātimānā. Yena devūpapatyassāti yena kammakilesappakārena āsavena devesu upapatti nibbatti assa mayhanti sambandho. Gandhabbo vā vihaṅgamo ākāsacārī assanti vibhattiṃ vipariṇāmetvā yojetabbaṃ. Ettha ca yakkhagandhabbavinimuttā sabbā devatā devaggahaṇena gahitā. Naḷo vuccati mūlaṃ, tasmā vinaḷīkatāti vigatanaḷā vigatamūlā katāti attho. Avasesā ca akusalā dhammāti akusalakammato avasesā akusalā dhammā āsavāti āgatāti sambandho.
ปฎิฆาตายาติ ปฎิเสธนายฯ ปรูปวาท…เป.… อุปทฺทวาติ อิทํ ยทิ ภควา สิกฺขาปทํ น ปญฺญาเปยฺย, ตโต อสทฺธมฺมปฺปฎิเสวนอทินฺนาทานปาณาติปาตาทิเหตุ เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ ปรูปวาทาทโย ทิฎฺฐธมฺมิกา นานปฺปการา อนตฺถา, เย จ ตนฺนิมิตฺตเมว นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตสฺส ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมการณาทิวเสน มหาทุกฺขานุภวาทิปฺปการา อนตฺถา, เต สนฺธาย วุตฺตํฯ
Paṭighātāyāti paṭisedhanāya. Parūpavāda…pe… upaddavāti idaṃ yadi bhagavā sikkhāpadaṃ na paññāpeyya, tato asaddhammappaṭisevanaadinnādānapāṇātipātādihetu ye uppajjeyyuṃ parūpavādādayo diṭṭhadhammikā nānappakārā anatthā, ye ca tannimittameva nirayādīsu nibbattassa pañcavidhabandhanakammakāraṇādivasena mahādukkhānubhavādippakārā anatthā, te sandhāya vuttaṃ.
เต ปเนเตติ เอเต กามราคาทิกิเลสเตภูมกกมฺมปรูปวาทาทิอุปฺปทฺทวปฺปการา อาสวาฯ ยตฺถาติ ยสฺมิํ วินยาทิปาฬิปฺปเทเสฯ ยถาติ เยน ทุวิธาทิปฺปกาเรน อวเสเสสุ จ สุตฺตเนฺตสุ ติธา อาคตาติ สมฺพโนฺธฯ นิรยํ คเมนฺตีติ นิรยคามินิยาฯ ฉกฺกนิปาเตติ ฉกฺกนิปาเต อาหุเนยฺยสุเตฺต (อ. นิ. ๖.๕๘)ฯ ตตฺถ หิ อาสวา ฉธา อาคตาฯ
Tepaneteti ete kāmarāgādikilesatebhūmakakammaparūpavādādiuppaddavappakārā āsavā. Yatthāti yasmiṃ vinayādipāḷippadese. Yathāti yena duvidhādippakārena avasesesu ca suttantesu tidhā āgatāti sambandho. Nirayaṃ gamentīti nirayagāminiyā. Chakkanipāteti chakkanipāte āhuneyyasutte (a. ni. 6.58). Tattha hi āsavā chadhā āgatā.
สรสเภโทติ ขณิกนิโรโธฯ ขีณากาโรติ อจฺจนฺตาย ขีณตาฯ อาสวา ขียนฺติ ปหียนฺติ เอเตนาติ อาสวกฺขโย, มโคฺคฯ อาสวานํ ขยเนฺต อุปฺปชฺชนโต อาสวกฺขโย, ผลํฯ อาสวกฺขเยน ปตฺตพฺพโต อาสวา ขียนฺติ เอตฺถาติ อาสวกฺขโย, นิพฺพานํฯ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๕๕๗-๕๖๐) วิตฺถาริโต, ตสฺมา ตตฺถ, ตํ สํวณฺณนาย จ วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ
Sarasabhedoti khaṇikanirodho. Khīṇākāroti accantāya khīṇatā. Āsavā khīyanti pahīyanti etenāti āsavakkhayo, maggo. Āsavānaṃ khayante uppajjanato āsavakkhayo, phalaṃ. Āsavakkhayena pattabbato āsavā khīyanti etthāti āsavakkhayo, nibbānaṃ. Visuddhimagge (visuddhi. 2.557-560) vitthārito, tasmā tattha, taṃ saṃvaṇṇanāya ca vuttanayena veditabbo.
ตถาติ อิมินา วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตตํ อุปสํหรติฯ กุสลปฺปวตฺติํ อาวรนฺติ นิวาเรนฺตีติ อาวรณียาฯ ปุริมปฺปวตฺติวเสนาติ นิโทฺทกฺกมนโต ปุเพฺพ กมฺมฎฺฐานสฺส ปวตฺติวเสนฯ ฐเปตฺวาติ หตฺถคตํ กิญฺจิ ฐเปโนฺต วิย กมฺมฎฺฐานํ สติสมฺปชญฺญวเสน ฐเปตฺวา กมฺมฎฺฐานเมว มนสิกโรโนฺต นิทฺทํ โอกฺกมติ, ฌานสมาปโนฺน วิย ยถาปริจฺฉิเนฺนเนว กาเลน ปพุชฺฌมาโน กมฺมฎฺฐานํ ฐปิตฎฺฐาเน คณฺหโนฺตเยว ปพุชฺฌติ นามฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตสฺมา…เป.… นาม โหตี’’ติฯ มูลกมฺมฎฺฐาเนติ อาทิโต ปฎฺฐาย ปริหริยมานกมฺมฎฺฐาเนฯ ปริคฺคหกมฺมฎฺฐานวเสนาติ สยนํ อุปคจฺฉเนฺตน ปริคฺคหมานกมฺมฎฺฐานมนสิการวเสนฯ โส ปน ธาตุมนสิการวเสน อิจฺฉิตโพฺพติ ทเสฺสตุํ ‘‘อยํ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Tathāti iminā visuddhimagge vitthāritataṃ upasaṃharati. Kusalappavattiṃ āvaranti nivārentīti āvaraṇīyā. Purimappavattivasenāti niddokkamanato pubbe kammaṭṭhānassa pavattivasena. Ṭhapetvāti hatthagataṃ kiñci ṭhapento viya kammaṭṭhānaṃ satisampajaññavasena ṭhapetvā kammaṭṭhānameva manasikaronto niddaṃ okkamati, jhānasamāpanno viya yathāparicchinneneva kālena pabujjhamāno kammaṭṭhānaṃ ṭhapitaṭṭhāne gaṇhantoyeva pabujjhati nāma. Tena vuttaṃ ‘‘tasmā…pe… nāma hotī’’ti. Mūlakammaṭṭhāneti ādito paṭṭhāya parihariyamānakammaṭṭhāne. Pariggahakammaṭṭhānavasenāti sayanaṃ upagacchantena pariggahamānakammaṭṭhānamanasikāravasena. So pana dhātumanasikāravasena icchitabboti dassetuṃ ‘‘ayaṃ hī’’tiādi vuttaṃ.
อปณฺณกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Apaṇṇakasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๖. อปณฺณกสุตฺตํ • 6. Apaṇṇakasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๖. อปณฺณกสุตฺตวณฺณนา • 6. Apaṇṇakasuttavaṇṇanā