Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๑๐. อปณฺณกสุตฺตวณฺณนา
10. Apaṇṇakasuttavaṇṇanā
๙๓. นานาวิธาติ นานาวิธทิฎฺฐิกา สมณพฺราหฺมณาติ ปพฺพชฺชามเตฺตน สมณา, ชาติมเตฺตน พฺราหฺมณา จฯ ทสฺสนนฺติ ทิฎฺฐิฯ คหิตนฺติ อภินิวิสฺส คหิตํฯ อิติ เต อตฺตโน ทสฺสนํ คเหตุกามา ปุจฺฉนฺติฯ วินา ทสฺสเนน โลโก น นิยฺยาตีติ วิโมกฺขภาวนาย เอเกน ทสฺสเนน วินา โลโก สํสารทุกฺขโต น นิคจฺฉติฯ เอกทิฎฺฐิยมฺปิ ปติฎฺฐาตุํ นาสกฺขิํสุ สทฺธาการาภาวโตฯ ตถา หิ เต อิมาย เทสนาย สรเณสุ ปติฎฺฐหิํสุฯ ยสฺมา อวิปรีเต สเทฺธยฺยวตฺถุสฺมิํ อุปฺปนฺนสทฺธา ‘‘อาการวตี’’ติ อธิเปฺปตา, ตสฺมา โย โลเก อวิปรีตธมฺมเทสนา, อยเมเวสาติ ปวตฺตา มคฺคสาธนคตาย สทฺธาย การณภาวโต ตนฺนิสฺสยา สทฺธา, สา อาการวตีติ วุตฺตาฯ อวตฺถุสฺมิญฺหิ สทฺธา อยุตฺตการณตาย น อาการวตีฯ อาการวตีติ เอตฺถ วตี-สโทฺท น เกวลํ อตฺถิตามตฺตทีปโก, อถ โข อติสยตฺถทีปโก ปาสํสตฺถทีปโก วา ทฎฺฐโพฺพฯ เตน อาการวตีติ สเทฺธยฺยวตฺถุวเสน อติสยการณวตีติ วา ปาสํสการณวตีติ วา อยเมตฺถ อโตฺถฯ อปณฺณโกติ เอตฺถ ยถา กญฺจิ อตฺถํ สาเธตุํ อารทฺธสฺส ปโยโค วิรโทฺธ, ตตฺถ อการโก วิย โหติ ปุนปิ อารภิตพฺพตายฯ อวิรโทฺธ ปน อตฺถสฺส สาธนโต อปณฺณโก, เอวํ อยมฺปิ ธโมฺม อภิภวิตฺวา ปวตฺตนโต เอกํสโต ‘‘อปณฺณโก’’ติ วุโตฺตฯ เตนาห ‘‘อวิรโทฺธ อเทฺวชฺฌคามี เอกํสคาหิโก’’ติฯ
93.Nānāvidhāti nānāvidhadiṭṭhikā samaṇabrāhmaṇāti pabbajjāmattena samaṇā, jātimattena brāhmaṇā ca. Dassananti diṭṭhi. Gahitanti abhinivissa gahitaṃ. Iti te attano dassanaṃ gahetukāmā pucchanti. Vinā dassanena loko na niyyātīti vimokkhabhāvanāya ekena dassanena vinā loko saṃsāradukkhato na nigacchati. Ekadiṭṭhiyampi patiṭṭhātuṃ nāsakkhiṃsu saddhākārābhāvato. Tathā hi te imāya desanāya saraṇesu patiṭṭhahiṃsu. Yasmā aviparīte saddheyyavatthusmiṃ uppannasaddhā ‘‘ākāravatī’’ti adhippetā, tasmā yo loke aviparītadhammadesanā, ayamevesāti pavattā maggasādhanagatāya saddhāya kāraṇabhāvato tannissayā saddhā, sā ākāravatīti vuttā. Avatthusmiñhi saddhā ayuttakāraṇatāya na ākāravatī. Ākāravatīti ettha vatī-saddo na kevalaṃ atthitāmattadīpako, atha kho atisayatthadīpako pāsaṃsatthadīpako vā daṭṭhabbo. Tena ākāravatīti saddheyyavatthuvasena atisayakāraṇavatīti vā pāsaṃsakāraṇavatīti vā ayamettha attho. Apaṇṇakoti ettha yathā kañci atthaṃ sādhetuṃ āraddhassa payogo viraddho, tattha akārako viya hoti punapi ārabhitabbatāya. Aviraddho pana atthassa sādhanato apaṇṇako, evaṃ ayampi dhammo abhibhavitvā pavattanato ekaṃsato ‘‘apaṇṇako’’ti vutto. Tenāha ‘‘aviraddho advejjhagāmī ekaṃsagāhiko’’ti.
๙๔. ตพฺพิปจฺจนีกภูตาติ ตสฺสา มิจฺฉาทิฎฺฐิยา ปจฺจนีกภูตาฯ
94.Tabbipaccanīkabhūtāti tassā micchādiṭṭhiyā paccanīkabhūtā.
๙๕. เนสนฺติ กุสลานํ ธมฺมานํฯ อกุสลโต นิกฺขนฺตภาเวติ อสํกิลิฎฺฐภาเวฯ อานิสํโสติ สุทฺธวิปากตาฯ วิสุทฺธิปโกฺขติ วิสุทฺธิภาโว ปริโยทาตตาฯ อภูตธมฺมสฺส ทิฎฺฐิภาวสฺส สญฺญาปนา อาจิกฺขนา อภูตธมฺมสญฺญาปนาฯ สาวเชฺชสุ ปรมวเชฺช มิจฺฉาทสฺสเน ปคฺคหณนฺติ กุโต สุสีลฺยสฺส ปคฺคโหติ อาห – ‘‘มิจฺฉาทสฺสนํ คณฺหนฺตเสฺสว สุสีลฺยํ ปหีนํ โหตี’’ติฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิอาทโยติ เอตฺถ มิจฺฉาสงฺกโปฺป ปรโลกาภาวจินฺตา, มิจฺฉาวาจา ปรโลกาภาววาทภูโต มุสาวาโท, อริยานํ ปจฺจนีกตาทโยฯ อปราปรํ อุปฺปชฺชนวเสนาติ ปุนปฺปุนํ จิเตฺต อุปฺปชฺชนวเสนฯ ปาปกา อกุสลา ธมฺมาติ ปจฺจเวกฺขณสญฺญาปนาทิกาเล อุปฺปชฺชนกา ตถาปวตฺตา อกุสลขนฺธาฯ
95.Nesanti kusalānaṃ dhammānaṃ. Akusalato nikkhantabhāveti asaṃkiliṭṭhabhāve. Ānisaṃsoti suddhavipākatā. Visuddhipakkhoti visuddhibhāvo pariyodātatā. Abhūtadhammassa diṭṭhibhāvassa saññāpanā ācikkhanā abhūtadhammasaññāpanā. Sāvajjesu paramavajje micchādassane paggahaṇanti kuto susīlyassa paggahoti āha – ‘‘micchādassanaṃ gaṇhantasseva susīlyaṃ pahīnaṃ hotī’’ti. Micchādiṭṭhiādayoti ettha micchāsaṅkappo paralokābhāvacintā, micchāvācā paralokābhāvavādabhūto musāvādo, ariyānaṃ paccanīkatādayo. Aparāparaṃ uppajjanavasenāti punappunaṃ citte uppajjanavasena. Pāpakā akusalā dhammāti paccavekkhaṇasaññāpanādikāle uppajjanakā tathāpavattā akusalakhandhā.
กลิคฺคโหติ อนตฺถปริคฺคโหฯ โส ปน ยสฺมา ทิเฎฺฐว ธเมฺม อภิสมฺปรายญฺจ ปราชโย โหตีติ อาห ‘‘ปราชยคฺคาโห’’ติฯ ทุสฺสมโตฺตติ เอตฺถ ทุ-สโทฺท ‘‘สมาทิโนฺน’’ติ เอตฺถาปิ อาเนตฺวา โยเชตโพฺพติ อาห ‘‘ทุปฺปรามโฎฺฐ’’ติฯ ยถา ทุปฺปรามโฎฺฐ โหติ, เอวํ สมาทิโนฺน ทุสฺสมโตฺต ทุสมาทิโนฺน วุโตฺตฯ สกวาทเมว ผริตฺวาติ อตฺตโน นตฺถิกวาทเมว ‘‘อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๑๘๗; ๓.๒๗-๒๘) อวธาเรโนฺต อญฺญสฺส โอกาสอทานวเสน ผริตฺวาฯ เตนาห ‘‘อธิมุจฺจิตฺวา’’ติฯ ‘‘สมฺพุโทฺธ’’ติอาทิ อธิมุจฺจนาการทสฺสนํฯ ริญฺจตีติ วิเวเจติ อปเนติฯ เตนาห ‘‘วเชฺชตี’’ติฯ
Kaliggahoti anatthapariggaho. So pana yasmā diṭṭheva dhamme abhisamparāyañca parājayo hotīti āha ‘‘parājayaggāho’’ti. Dussamattoti ettha du-saddo ‘‘samādinno’’ti etthāpi ānetvā yojetabboti āha ‘‘dupparāmaṭṭho’’ti. Yathā dupparāmaṭṭho hoti, evaṃ samādinno dussamatto dusamādinno vutto. Sakavādameva pharitvāti attano natthikavādameva ‘‘idameva saccaṃ moghamañña’’nti (ma. ni. 2.187; 3.27-28) avadhārento aññassa okāsaadānavasena pharitvā. Tenāha ‘‘adhimuccitvā’’ti. ‘‘Sambuddho’’tiādi adhimuccanākāradassanaṃ. Riñcatīti viveceti apaneti. Tenāha ‘‘vajjetī’’ti.
๙๖. กฎคฺคโหติ กตํ สพฺพโส สิทฺธิเมว กตฺวา คหณํฯ โส ปน ชยลาโภ โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ชยคฺคาโห’’ติฯ สุคฺคหิโตติ สุฎฺฐุกรณวเสน คหิโตฯ สุปรามโฎฺฐติ สุฎฺฐุ ปราปรํ อาเสวนวเสน อามโฎฺฐ ฯ อุภเยนปิ ตสฺส กมฺมสฺส กตูปจิตภาวํ ทเสฺสติ, โสตฺถิภาวาวหตฺตญฺจ สคฺคุปปตฺติสํวตฺตนโต ปาปสภาวปหานโต จฯ
96.Kaṭaggahoti kataṃ sabbaso siddhimeva katvā gahaṇaṃ. So pana jayalābho hotīti vuttaṃ ‘‘jayaggāho’’ti. Suggahitoti suṭṭhukaraṇavasena gahito. Suparāmaṭṭhoti suṭṭhu parāparaṃ āsevanavasena āmaṭṭho . Ubhayenapi tassa kammassa katūpacitabhāvaṃ dasseti, sotthibhāvāvahattañca saggupapattisaṃvattanato pāpasabhāvapahānato ca.
๙๗. สหตฺถา กโรนฺตสฺสาติ (ที. นิ. ฎี. ๑.๑๖๖; สํ. นิ. ฎี. ๒.๓.๒๑๑) สหเตฺถเนว กโรนฺตสฺสฯ นิสฺสคฺคิยถาวราทโยปิ อิธ สหตฺถกรเณเนว สงฺคหิตาฯ ปจนํ ทหนํ วิพาธนนฺติ อาห ‘‘ทเณฺฑน ปีเฬนฺตสฺสา’’ติฯ โสกํ สยํ กโรนฺตสฺสาติ ปรสฺส โสกการณํ สยํ กโรนฺตสฺส, โสกํ วา อุปฺปาเทนฺตสฺสฯ ปเรหิ อตฺตโน วจนกเรหิฯ สยมฺปิ ผนฺทโตติ ปรสฺส วิพาธนปโยเคน สยมฺปิ ผนฺทโตฯ อติปาตยโตติ ปทํ สุทฺธกตฺตุอเตฺถ เหตุกตฺตุอเตฺถ จ วตฺตตีติ อาห ‘‘หนนฺตสฺสปิ หนาเปนฺตสฺสาปี’’ติฯ
97.Sahatthā karontassāti (dī. ni. ṭī. 1.166; saṃ. ni. ṭī. 2.3.211) sahattheneva karontassa. Nissaggiyathāvarādayopi idha sahatthakaraṇeneva saṅgahitā. Pacanaṃ dahanaṃ vibādhananti āha ‘‘daṇḍena pīḷentassā’’ti. Sokaṃ sayaṃ karontassāti parassa sokakāraṇaṃ sayaṃ karontassa, sokaṃ vā uppādentassa. Parehi attano vacanakarehi. Sayampi phandatoti parassa vibādhanapayogena sayampi phandato. Atipātayatoti padaṃ suddhakattuatthe hetukattuatthe ca vattatīti āha ‘‘hanantassapi hanāpentassāpī’’ti.
ฆรสฺส ภิตฺติ อโนฺต พหิ จ สนฺธิตา หุตฺวา ฐิตา ฆรสนฺธิฯ กิญฺจิปิ อเสเสตฺวา นิรวเสสเมว โลโปติ นิโลฺลโปฯ เอกาคาเร นิยุโตฺต วิโลโป เอกาคาริโกฯ ปริโต สพฺพโส ปเนฺถ หนนํ ปริปโนฺถฯ ปาปํ น กรียติ ปุเพฺพ อสโต อุปฺปาเทตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา, ตสฺมา นตฺถิ ปาปํฯ ยทิ เอวํ กถํ สตฺตา ปาปํ ปฎิปชฺชนฺตีติ อาห – ‘‘สตฺตา ปน กโรมาติ เอวํสญฺญิโน โหนฺตี’’ติฯ เอวํ กิรสฺส โหติ ‘‘อิเมสญฺหิ สตฺตานํ หิํสาทิกิริยา น อตฺตานํ ผุสติ ตสฺส นิจฺจตาย นิพฺพิการตฺตา, สรีรํ ปน อเจตนํ กฎฺฐกลิงฺครูปมํ, ตสฺมิํ วิโกปิเตปิ น กิญฺจิ ปาป’’นฺติฯ ขุรเนมินาติ นิสิตขุรมยเนมินาฯ คงฺคาย ทกฺขิณทิสา อปฺปติรูปเทโส, อุตฺตรทิสา ปติรูปเทโสติ อธิปฺปาเยน ‘‘ทกฺขิณเญฺจ’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ ‘‘ทกฺขิณตีเร มนุสฺสา กกฺขฬา’’ติอาทิมาหฯ
Gharassa bhitti anto bahi ca sandhitā hutvā ṭhitā gharasandhi. Kiñcipi asesetvā niravasesameva lopoti nillopo. Ekāgāre niyutto vilopo ekāgāriko. Parito sabbaso panthe hananaṃ paripantho. Pāpaṃ na karīyati pubbe asato uppādetuṃ asakkuṇeyyattā, tasmā natthi pāpaṃ. Yadi evaṃ kathaṃ sattā pāpaṃ paṭipajjantīti āha – ‘‘sattā pana karomāti evaṃsaññino hontī’’ti. Evaṃ kirassa hoti ‘‘imesañhi sattānaṃ hiṃsādikiriyā na attānaṃ phusati tassa niccatāya nibbikārattā, sarīraṃ pana acetanaṃ kaṭṭhakaliṅgarūpamaṃ, tasmiṃ vikopitepi na kiñci pāpa’’nti. Khuranemināti nisitakhuramayaneminā. Gaṅgāya dakkhiṇadisā appatirūpadeso, uttaradisā patirūpadesoti adhippāyena ‘‘dakkhiṇañce’’tiādi vuttanti ‘‘dakkhiṇatīre manussā kakkhaḷā’’tiādimāha.
มหายาคนฺติ มหาวิชิตยญฺญสทิสํ มหายาคํฯ สีลสํยเมนาติ กายิกวาจสิกสํวเรนฯ สจฺจวจเนนาติ สจฺจวาจายฯ ตสฺส วิสุํ วจนํ โลเก ครุตรปุญฺญสมฺมตภาวโตฯ ยถา หิ ปาปธเมฺมสุ มุสาวาโท ครุ, เอวํ ปุญฺญธเมฺมสุ สจฺจวาจาฯ เตนาห ภควา – ‘‘เอกํ ธมฺมมตีตสฺสา’’ติอาทิ (ธ. ป. ๑๗๖)ฯ วุตฺตนเยเนวาติ กณฺหปเกฺข วุตฺตนเยนฯ ตตฺถ หิ – ‘‘นตฺถิ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโม’’ติ อาคตํ, อิธ ‘‘อตฺถิ ปุญฺญํ, อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม’’ติ อาคตํ, อยเมว วิเสโสฯ เสสํ วุตฺตสทิสเมวาติ ‘‘เตสเมตํ ปาฎิกงฺข’’นฺติ เอวมาทิํ สนฺธาย วทติ, ตํ เหฎฺฐา ปุริมวารสทิสํฯ
Mahāyāganti mahāvijitayaññasadisaṃ mahāyāgaṃ. Sīlasaṃyamenāti kāyikavācasikasaṃvarena. Saccavacanenāti saccavācāya. Tassa visuṃ vacanaṃ loke garutarapuññasammatabhāvato. Yathā hi pāpadhammesu musāvādo garu, evaṃ puññadhammesu saccavācā. Tenāha bhagavā – ‘‘ekaṃ dhammamatītassā’’tiādi (dha. pa. 176). Vuttanayenevāti kaṇhapakkhe vuttanayena. Tattha hi – ‘‘natthi pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo’’ti āgataṃ, idha ‘‘atthi puññaṃ, atthi puññassa āgamo’’ti āgataṃ, ayameva viseso. Sesaṃ vuttasadisamevāti ‘‘tesametaṃ pāṭikaṅkha’’nti evamādiṃ sandhāya vadati, taṃ heṭṭhā purimavārasadisaṃ.
๑๐๐. อุภเยนาติ เหตุปจฺจยปฎิเสธวจเนนฯ สํกิเลสปจฺจยนฺติ สํสาเร ปริพฺภมเนน กิลินฺนสฺส มลินภาวสฺส การณํฯ วุตฺตวิปริยาเยน วิสุทฺธิปจฺจยนฺติ สทฺทโตฺถ เวทิตโพฺพฯ พลนฺติอาทีสุ สตฺตานํ สํกิเลสาวหํ โวทานาวหญฺจ อุสฺสาหสงฺขาตํ พลํ วา, สูรวีรภาวสงฺขาตํ วีริยํ วา, ปุริเสน กตฺตโพฺพ ปุริสถาโม วา, โส เอว ปรํ ปรํ ฐานํ อกฺกมนปฺปตฺติยา ปุริสปรกฺกโม วา นตฺถิ น อุปลพฺภติฯ
100.Ubhayenāti hetupaccayapaṭisedhavacanena. Saṃkilesapaccayanti saṃsāre paribbhamanena kilinnassa malinabhāvassa kāraṇaṃ. Vuttavipariyāyena visuddhipaccayanti saddattho veditabbo. Balantiādīsu sattānaṃ saṃkilesāvahaṃ vodānāvahañca ussāhasaṅkhātaṃ balaṃ vā, sūravīrabhāvasaṅkhātaṃ vīriyaṃ vā, purisena kattabbo purisathāmo vā, so eva paraṃ paraṃ ṭhānaṃ akkamanappattiyā purisaparakkamo vā natthi na upalabbhati.
สตฺวโยคโต, รูปาทีสุ สตฺตวิสตฺตตาย จ สตฺตาฯ ปาณนโต อสฺสาสปสฺสาสวเสน ปวตฺติยา ปาณาฯ เต ปน โส เอกินฺทฺริยาทิวเสน วิภชิตฺวา วทตีติ อาห ‘‘เอกินฺทฺริโย’’ติอาทิฯ อณฺฑโกสาทีสุ ภวนโต ภูตาติ วุจฺจนฺตีติ อาห ‘‘อณฺฑโกส…เป.… วทนฺตี’’ติฯ ชีวนโต ปาณํ ธาเรโนฺต วิย วฑฺฒนโต ชีวาติ เอวํ สตฺตปาณภูตชีเวสุ สทฺทโตฺถ เวทิตโพฺพฯ นตฺถิ เอเตสํ สํกิเลสวิสุทฺธีสุ วโสติ อวสาฯ นตฺถิ เนสํ พลํ วีริยญฺจาติ อพลา อวีริยาฯ นิยตตาติ อเจฺฉชฺชสุตฺตาวุตาเภชฺชมณิ วิย นิยตปวตฺตนตาย คติชาติพนฺธปชหวเสน นิยาโมฯ ตตฺถ ตตฺถ คมนนฺติ ฉนฺนํ อภิชาตีนํ ตาสุ ตาสุ คตีสุ อุปคมนํ สมวาเยน สมาคโมฯ สภาโวเยวาติ ยถา กณฺฎกสฺส ติกฺขตา, กพิฎฺฐผลานํ ปริมณฺฑลตา, มิคปกฺขีนํ วิจิตฺตาการตา, เอวํ สพฺพสฺสปิ โลกสฺส เหตุปจฺจเยน วินา ตถา ตถา ปริณาโม, อยํ สภาโวเยว อกิตฺติโมเยวฯ เตนาห ‘‘เยน หี’’ติอาทิฯ
Satvayogato, rūpādīsu sattavisattatāya ca sattā. Pāṇanato assāsapassāsavasena pavattiyā pāṇā. Te pana so ekindriyādivasena vibhajitvā vadatīti āha ‘‘ekindriyo’’tiādi. Aṇḍakosādīsu bhavanato bhūtāti vuccantīti āha ‘‘aṇḍakosa…pe… vadantī’’ti. Jīvanato pāṇaṃ dhārento viya vaḍḍhanato jīvāti evaṃ sattapāṇabhūtajīvesu saddattho veditabbo. Natthi etesaṃ saṃkilesavisuddhīsu vasoti avasā. Natthi nesaṃ balaṃ vīriyañcāti abalā avīriyā. Niyatatāti acchejjasuttāvutābhejjamaṇi viya niyatapavattanatāya gatijātibandhapajahavasena niyāmo. Tattha tattha gamananti channaṃ abhijātīnaṃ tāsu tāsu gatīsu upagamanaṃ samavāyena samāgamo. Sabhāvoyevāti yathā kaṇṭakassa tikkhatā, kabiṭṭhaphalānaṃ parimaṇḍalatā, migapakkhīnaṃ vicittākāratā, evaṃ sabbassapi lokassa hetupaccayena vinā tathā tathā pariṇāmo, ayaṃ sabhāvoyeva akittimoyeva. Tenāha ‘‘yena hī’’tiādi.
สกุเณ หนตีติ สากุณิโก, ตถา สูกริโกฯ ลุโทฺทติ อโญฺญปิ โย โกจิ มาควิโก เนสาโทฯ ปาปกมฺมปสุตตาย กณฺหาภิชาติ นามฯ ภิกฺขูติ สากิยา ภิกฺขู, มจฺฉมํสขาทนโต นีลาภิชาตีติ วทนฺติฯ ญายลเทฺธปิ ปจฺจเย ภุญฺชมานา อาชีวกสมยสฺส วิโลมคาหิตาย ‘‘ปจฺจเยสุ กณฺฎเก ปกฺขิปิตฺวา ขาทนฺตี’’ติ วทนฺติฯ เอเก ปพฺพชิตา , เย สวิเสสํ อตฺตกิลมถานุโยคมนุยุตฺตาฯ ตถา หิ เต กณฺฎเก วเตฺตนฺตา วิย โหนฺตีติ กณฺฎกวุตฺติกาติ วุตฺตาฯ ฐตฺวา ภุญฺชนทานปฎิเกฺขปาทิวตสมาโยเคน ปณฺฑรตราฯ อเจลกสาวกาติ อาชีวกสาวเก วทติฯ เต กิร อาชีวกลทฺธิยา วิสุทฺธจิตฺตตาย นิคเณฺฐหิปิ ปณฺฑรตราฯ นนฺทาทโย หิ ตถารูปาย ปฎิปตฺติยา ปตฺตพฺพา, ตสฺมา นนฺทาทโย นิคเณฺฐหิ อาชีวกสาวเกหิ จ ปณฺฑรตราติ วุตฺตา ‘‘สุกฺกาภิชาตี’’ติฯ
Sakuṇe hanatīti sākuṇiko, tathā sūkariko. Luddoti aññopi yo koci māgaviko nesādo. Pāpakammapasutatāya kaṇhābhijāti nāma. Bhikkhūti sākiyā bhikkhū, macchamaṃsakhādanato nīlābhijātīti vadanti. Ñāyaladdhepi paccaye bhuñjamānā ājīvakasamayassa vilomagāhitāya ‘‘paccayesu kaṇṭake pakkhipitvā khādantī’’ti vadanti. Eke pabbajitā, ye savisesaṃ attakilamathānuyogamanuyuttā. Tathā hi te kaṇṭake vattentā viya hontīti kaṇṭakavuttikāti vuttā. Ṭhatvā bhuñjanadānapaṭikkhepādivatasamāyogena paṇḍaratarā. Acelakasāvakāti ājīvakasāvake vadati. Te kira ājīvakaladdhiyā visuddhacittatāya nigaṇṭhehipi paṇḍaratarā. Nandādayo hi tathārūpāya paṭipattiyā pattabbā, tasmā nandādayo nigaṇṭhehi ājīvakasāvakehi ca paṇḍaratarāti vuttā ‘‘sukkābhijātī’’ti.
อยเมเตสํ ลทฺธีติ สากุณิกาทิภาวูปคมเนน กณฺหาภิชาติอาทีสุ ทุกฺขํ สุขญฺจ ปฎิสํเวเทนฺตา อนุกฺกเมน มหากปฺปานํ จุลฺลาสีติสหสฺสานิ เขเปตฺวา อาชีวกภาวูปคมเนน ปรมสุกฺกาภิชาติยํ ฐตฺวา สํสารโต สุชฺฌนฺตีติ อยํ เตสํ นิยติ อาชีวกานํ ลทฺธิฯ
Ayametesaṃ laddhīti sākuṇikādibhāvūpagamanena kaṇhābhijātiādīsu dukkhaṃ sukhañca paṭisaṃvedentā anukkamena mahākappānaṃ cullāsītisahassāni khepetvā ājīvakabhāvūpagamanena paramasukkābhijātiyaṃ ṭhatvā saṃsārato sujjhantīti ayaṃ tesaṃ niyati ājīvakānaṃ laddhi.
‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติ วทโนฺต นตฺถิโก ทานสฺส ผลํ ปฎิกฺขิปตีติ อาห – ‘‘นตฺถิกทิฎฺฐิ วิปากํ ปฎิพาหตี’’ติฯ ตถา เจว เหฎฺฐา สํวณฺณิตํ ‘‘นตฺถิกทิฎฺฐิ หิ นตฺถิตมาหา’’ติฯ อเหตุกทิฎฺฐิ อุภยนฺติ กมฺมํ วิปากญฺจ อุภยํฯ โส หิ ‘‘อเหตู อปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ วิสุชฺฌนฺตี’’ติ วทโนฺต กมฺมสฺส วิย วิปากสฺสปิ สํกิเลสวิสุทฺธีนํ ปจฺจยตฺตาภาววจนโต ตทุภยํ ปฎิพาหติ นามฯ วิปาโก ปฎิพาหิโต โหติ อสติ กเมฺม วิปากาภาวโตฯ กมฺมํ ปฎิพาหิตํ โหติ อสติ วิปาเก กมฺมสฺส นิรตฺถกภาวาปตฺติโตฯ อตฺถโตติ สรูเปนฯ อุภยปฎิพาหกาติ วิสุํ วิสุํ ตํตํทิฎฺฐิตา วุตฺตาปิ สเพฺพ เต นตฺถิกาทโย นตฺถิกทิฎฺฐิอาทิวเสน ปเจฺจกํ ติวิธทิฎฺฐิกา เอว อุภยปฎิพาหกตฺตาฯ ‘‘อุภยปฎิพาหกา’’ติ หิ เหตุวจนํฯ อเหตุกวาทา จาติอาทิ ปฎิญฺญาวจนํฯ โย หิ วิปากปฎิพาหเนน นตฺถิกทิฎฺฐิโก, โส อตฺถโต กมฺมปฎิพาหเนน อกิริยทิฎฺฐิโก, อุภยปฎิพาหเนน อเหตุกทิฎฺฐิโก จ โหติฯ เสสทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ
‘‘Natthi dinna’’nti vadanto natthiko dānassa phalaṃ paṭikkhipatīti āha – ‘‘natthikadiṭṭhi vipākaṃ paṭibāhatī’’ti. Tathā ceva heṭṭhā saṃvaṇṇitaṃ ‘‘natthikadiṭṭhi hi natthitamāhā’’ti. Ahetukadiṭṭhi ubhayanti kammaṃ vipākañca ubhayaṃ. So hi ‘‘ahetū apaccayā sattā saṃkilissanti visujjhantī’’ti vadanto kammassa viya vipākassapi saṃkilesavisuddhīnaṃ paccayattābhāvavacanato tadubhayaṃ paṭibāhati nāma. Vipāko paṭibāhito hoti asati kamme vipākābhāvato. Kammaṃ paṭibāhitaṃ hoti asati vipāke kammassa niratthakabhāvāpattito. Atthatoti sarūpena. Ubhayapaṭibāhakāti visuṃ visuṃ taṃtaṃdiṭṭhitā vuttāpi sabbe te natthikādayo natthikadiṭṭhiādivasena paccekaṃ tividhadiṭṭhikā eva ubhayapaṭibāhakattā. ‘‘Ubhayapaṭibāhakā’’ti hi hetuvacanaṃ. Ahetukavādā cātiādi paṭiññāvacanaṃ. Yo hi vipākapaṭibāhanena natthikadiṭṭhiko, so atthato kammapaṭibāhanena akiriyadiṭṭhiko, ubhayapaṭibāhanena ahetukadiṭṭhiko ca hoti. Sesadvayepi eseva nayo.
สชฺฌายนฺตีติ ตํ ทิฎฺฐิทีปกํ คนฺถํ อุคฺคเหตฺวา ปฐนฺติฯ วีมํสนฺตีติ ตสฺส อตฺถํ วิจาเรนฺติฯ เตสนฺติอาทิ วีมํสนาการทสฺสนํฯ ตสฺมิํ อารมฺมเณติ ยถาปริกปฺปิตกมฺมผลาภาวทีปเก ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทินยปฺปวตฺตาย ลทฺธิยา อารมฺมเณฯ มิจฺฉาสติ สนฺติฎฺฐตีติ ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทิวเสน อนุสฺสวูปลเทฺธ อเตฺถ ตทาการปริวิตกฺกเนหิ สวิคฺคเห วิย สรูปโต จิตฺตสฺส ปจฺจุปฎฺฐิเต จิรกาลปริจเยน ‘‘เอวเมต’’นฺติ นิชฺฌานกฺขมภาวูปคมเนน นิชฺฌานกฺขนฺติยา ตถา คหิเต ปุนปฺปุนํ ตเถว อาเสวนฺตสฺส พหุลีกโรนฺตสฺส มิจฺฉาวิตเกฺกน สมาทิยมานา มิจฺฉาวายามุปตฺถมฺภิตา อตํสภาวํ ‘‘ตํสภาว’’นฺติ คณฺหนฺตี มิจฺฉาสตีติ ลทฺธนามา ตํลทฺธิสหคตา ตณฺหา สนฺติฎฺฐติ ฯ จิตฺตํ เอกคฺคํ โหตีติ ยถาวุตฺตวิตกฺกาทิปจฺจยลาเภน ตสฺมิํ อารมฺมเณ อวฎฺฐิตตาย อเนกคฺคํ ปหาย เอกคฺคํ อปฺปิตํ วิย โหติฯ มิจฺฉาสมาธิปิ หิ ปจฺจยวิเสเสหิ ลทฺธภาวนาพเลหิ กทาจิ สมาธานปติรูปกิจฺจกโร โหติเยว วาลวิชฺฌนาทีสุ วิยาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ชวนานิ ชวนฺตีติ อเนกกฺขตฺตุํ เตนากาเรน ปุพฺพภาคิเยสุ ชวนวาเรสุ ปวเตฺตสุ สพฺพปจฺฉิเม ชวนวาเร สตฺต ชวนานิ ชวนฺติฯ ปฐมชวเน ปน สเตกิจฺฉา โหนฺติ, ตถา ทุติยาทีสูติ ธมฺมสภาวทสฺสนเมตํ, น ปน ตสฺมิํ ขเณ เตสํ สเตกิจฺฉภาวาปาทนํ เกนจิ สกฺกา กาตุํฯ
Sajjhāyantīti taṃ diṭṭhidīpakaṃ ganthaṃ uggahetvā paṭhanti. Vīmaṃsantīti tassa atthaṃ vicārenti. Tesantiādi vīmaṃsanākāradassanaṃ. Tasmiṃ ārammaṇeti yathāparikappitakammaphalābhāvadīpake ‘‘natthi dinna’’ntiādinayappavattāya laddhiyā ārammaṇe. Micchāsati santiṭṭhatīti ‘‘natthi dinna’’ntiādivasena anussavūpaladdhe atthe tadākāraparivitakkanehi saviggahe viya sarūpato cittassa paccupaṭṭhite cirakālaparicayena ‘‘evameta’’nti nijjhānakkhamabhāvūpagamanena nijjhānakkhantiyā tathā gahite punappunaṃ tatheva āsevantassa bahulīkarontassa micchāvitakkena samādiyamānā micchāvāyāmupatthambhitā ataṃsabhāvaṃ ‘‘taṃsabhāva’’nti gaṇhantī micchāsatīti laddhanāmā taṃladdhisahagatā taṇhā santiṭṭhati . Cittaṃ ekaggaṃ hotīti yathāvuttavitakkādipaccayalābhena tasmiṃ ārammaṇe avaṭṭhitatāya anekaggaṃ pahāya ekaggaṃ appitaṃ viya hoti. Micchāsamādhipi hi paccayavisesehi laddhabhāvanābalehi kadāci samādhānapatirūpakiccakaro hotiyeva vālavijjhanādīsu viyāti daṭṭhabbaṃ. Javanāni javantīti anekakkhattuṃ tenākārena pubbabhāgiyesu javanavāresu pavattesu sabbapacchime javanavāre satta javanāni javanti. Paṭhamajavane pana satekicchā honti, tathā dutiyādīsūti dhammasabhāvadassanametaṃ, na pana tasmiṃ khaṇe tesaṃ satekicchabhāvāpādanaṃ kenaci sakkā kātuṃ.
ตตฺถาติ เตสุ ตีสุ มิจฺฉาทสฺสเนสุฯ โกจิ เอกํ ทสฺสนํ โอกฺกมตีติ ยสฺส เอกสฺมิํเยว อภินิเวโส อาเสวนา จ ปวตฺตา, โส เอกํเยว ทสฺสนํ โอกฺกมติฯ ยสฺส ปน ทฺวีสุ, ตีสุปิ วา อภินิเวสนา ปวตฺตา, โส เทฺว ตีณิ โอกฺกมติฯ เอเตน ยา ปุเพฺพ อุภยปฎิพาหนตามุเขน วุตฺตา อตฺถสิทฺธา สพฺพทิฎฺฐิกตา, สา ปุพฺพภาคิยาฯ ยา ปน มิจฺฉตฺตนิยาโมกฺกนฺติ ภูตา, สา ยถาสกํ ปจฺจยสมุทาคมสิทฺธิโต ภินฺนารมฺมณานํ วิย วิเสสาธิคมานํ อญฺญมญฺญํ เอกชฺฌํ อนุปฺปตฺติยา อสํกิณฺณา เอวาติ ทเสฺสติฯ เอกสฺมิํ โอกฺกเนฺตปีติอาทินา ติสฺสนฺนมฺปิ ทิฎฺฐีนํ สมานพลตํ สมานผลตญฺจ ทเสฺสติ, ตสฺมา ติโสฺสปิ เจตา เอกสฺส อุปฺปนฺนา อญฺญมญฺญํ อโพฺพกิณฺณา เอว, เอกาย วิปาเก ทิเนฺน อิตรา อนุพลปฺปทายิกา โหนฺติฯ วฎฺฎขาณุ นามาติ อิทํ วจนํ เนยฺยตฺถํ, น นีตตฺถนฺติ ตํ วิวริตฺวา ทเสฺสตุํ กิํ ปเนสาติอาทิ วุตฺตํ, อกุสลํ นาเมตํ อพลํ ทุพฺพลํ, น กุสลํ วิย มหาพลนฺติ อาห – ‘‘เอกสฺมิํเยว อตฺตภาเว นิยโต’’ติฯ อญฺญถา สมฺมตฺตนิยาโม วิย มิจฺฉตฺตนิยาโมปิ อจฺจนฺติโก สิยาฯ ยทิ เอวํ วฎฺฎขาณุกโชตนา กถนฺติ อาห ‘‘อาเสวนวเสน ปนา’’ติอาทิ, ตสฺมา ยถา ‘‘สกิํ นิมุโคฺค นิมุโคฺคว โหตี’’ติ (อ. นิ. ๗.๑๕) วุตฺตํ, เอวํ วฎฺฎขาณุกโชตนาฯ ยาทิเส หิ ปจฺจเย ปฎิจฺจ อยํ ตํตํทสฺสนํ โอกฺกโนฺต ปุน กทาจิ ตปฺปฎิปเกฺข ปจฺจเย ปฎิจฺจ ตโต สีสุกฺขิปนมสฺส น โหตีติ น วตฺตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เยภุเยฺยนา’’ติฯ
Tatthāti tesu tīsu micchādassanesu. Koci ekaṃ dassanaṃ okkamatīti yassa ekasmiṃyeva abhiniveso āsevanā ca pavattā, so ekaṃyeva dassanaṃ okkamati. Yassa pana dvīsu, tīsupi vā abhinivesanā pavattā, so dve tīṇi okkamati. Etena yā pubbe ubhayapaṭibāhanatāmukhena vuttā atthasiddhā sabbadiṭṭhikatā, sā pubbabhāgiyā. Yā pana micchattaniyāmokkanti bhūtā, sā yathāsakaṃ paccayasamudāgamasiddhito bhinnārammaṇānaṃ viya visesādhigamānaṃ aññamaññaṃ ekajjhaṃ anuppattiyā asaṃkiṇṇā evāti dasseti. Ekasmiṃ okkantepītiādinā tissannampi diṭṭhīnaṃ samānabalataṃ samānaphalatañca dasseti, tasmā tissopi cetā ekassa uppannā aññamaññaṃ abbokiṇṇā eva, ekāya vipāke dinne itarā anubalappadāyikā honti. Vaṭṭakhāṇu nāmāti idaṃ vacanaṃ neyyatthaṃ, na nītatthanti taṃ vivaritvā dassetuṃ kiṃ panesātiādi vuttaṃ, akusalaṃ nāmetaṃ abalaṃ dubbalaṃ, na kusalaṃ viya mahābalanti āha – ‘‘ekasmiṃyeva attabhāve niyato’’ti. Aññathā sammattaniyāmo viya micchattaniyāmopi accantiko siyā. Yadi evaṃ vaṭṭakhāṇukajotanā kathanti āha ‘‘āsevanavasena panā’’tiādi, tasmā yathā ‘‘sakiṃ nimuggo nimuggova hotī’’ti (a. ni. 7.15) vuttaṃ, evaṃ vaṭṭakhāṇukajotanā. Yādise hi paccaye paṭicca ayaṃ taṃtaṃdassanaṃ okkanto puna kadāci tappaṭipakkhe paccaye paṭicca tato sīsukkhipanamassa na hotīti na vattabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘yebhuyyenā’’ti.
ตสฺมาติ ยสฺมา เอวํ สํสารขาณุภาวสฺสปิ ปจฺจโย อกลฺยาณชโน, ตสฺมาฯ ภูติกาโมติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถานํ วเสน อตฺตโน คุเณหิ วฑฺฒิกาโมฯ ยํ ปเนตฺถ เกจิ วทนฺติ ‘‘ยถา จิรกาลภาวนาย ปริปากูปคมลทฺธพลตฺตา อุปนิสฺสยกุสลา อกุสเล สพฺพโส สมุจฺฉินฺทนฺติ, เอวํ อกุสลธมฺมา ตโตปิ จิรกาลภาวนาสมฺภวโต ลทฺธพลา หุตฺวา กทาจิ กุสลธเมฺมปิ สมุจฺฉินฺทนฺติฯ เอวญฺจ กตฺวา ทฬฺหมิจฺฉาภินิเวสสฺส มิจฺฉาทิฎฺฐิกสฺส วฎฺฎขาณุกภาวโชตนาปิ สมตฺถิตา โหตี’’ติ ยถา ตํ ‘‘วสฺสภญฺญานํ ทิฎฺฐี’’ติ, ตํ น, มิจฺฉตฺตนิยตธมฺมานํ จิรกาลภาวนามเตฺตน น ปฎิปกฺขสฺส ปชหนสมตฺถตา, อถ โข ธมฺมตาสิเทฺธน ปจฺจยวิเสสาหิตสามตฺถิเยน อตฺตโน ปหายกสภาเวน ปหายกภาโว ภาวนากุสลานํเยว วุโตฺต, อกุสลานํเยว จ ปหาตพฺพภาโว ‘‘ทสฺสเนน ปหาตพฺพา’’ติอาทินา นเยน, อกุสลานํเยว ทุพฺพลภาโว ‘‘อพลานํ พลียนฺตี’’ติอาทินา (สุ. นิ. ๗๗๖; มหานิ. ๕) (ยุตฺตินาปิ นามโต วา อธิคมนิโย อาโลโก อาโลกภาวโต พาหิรารเณกา วิย น เจตฺถ ปฎิญฺญเตฺต ภาเวสตา โสตุโน อาสํกิตพฺพา วิเสสวสฺส สาเธตพฺพโต สามญฺญสฺส จ โสตุภาเวน อธิเปฺปตตฺตา เวท-สทฺทสฺส โลโป ทีเป สภาเว สาธเน ยถา ตํ สทฺทยภาวสฺส นาปิ วิสุทฺธกอนุมานาทิวิโรธสมฺภาวโตฯ น หิ สกฺกา อนฺตราโลกสฺส พาหิราโลกสฺส วิย รูปกายํ อุปาทาย รูปตา จกฺขุวิเญฺญยฺยตฺตาทิเก ปติฎฺฐาเปตุํ สกฺกาติ วุตฺตํ, นนุปิ อนฺตราโลโก อวิคฺคหตฺตา เวทนา วิยาติ สเทฺธว ญาณาโลกสฺส อวิชฺชนฺธการา วิย วิธมนิยภาเว สเพฺพสมฺปิ กุสลธมฺมานํ เกนจิปิ อกุสลธเมฺมน สมุจฺฉินฺทนิยตา สิทฺธาว โหติ)ฯ วฎฺฎขาณุกโจทนาย ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวาติ ติฎฺฐเตสา พาลชนวิกตฺถนาฯ
Tasmāti yasmā evaṃ saṃsārakhāṇubhāvassapi paccayo akalyāṇajano, tasmā. Bhūtikāmoti diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthānaṃ vasena attano guṇehi vaḍḍhikāmo. Yaṃ panettha keci vadanti ‘‘yathā cirakālabhāvanāya paripākūpagamaladdhabalattā upanissayakusalā akusale sabbaso samucchindanti, evaṃ akusaladhammā tatopi cirakālabhāvanāsambhavato laddhabalā hutvā kadāci kusaladhammepi samucchindanti. Evañca katvā daḷhamicchābhinivesassa micchādiṭṭhikassa vaṭṭakhāṇukabhāvajotanāpi samatthitā hotī’’ti yathā taṃ ‘‘vassabhaññānaṃ diṭṭhī’’ti, taṃ na, micchattaniyatadhammānaṃ cirakālabhāvanāmattena na paṭipakkhassa pajahanasamatthatā, atha kho dhammatāsiddhena paccayavisesāhitasāmatthiyena attano pahāyakasabhāvena pahāyakabhāvo bhāvanākusalānaṃyeva vutto, akusalānaṃyeva ca pahātabbabhāvo ‘‘dassanena pahātabbā’’tiādinā nayena, akusalānaṃyeva dubbalabhāvo ‘‘abalānaṃ balīyantī’’tiādinā (su. ni. 776; mahāni. 5) (yuttināpi nāmato vā adhigamaniyo āloko ālokabhāvato bāhirāraṇekā viya na cettha paṭiññatte bhāvesatā sotuno āsaṃkitabbā visesavassa sādhetabbato sāmaññassa ca sotubhāvena adhippetattā veda-saddassa lopo dīpe sabhāve sādhane yathā taṃ saddayabhāvassa nāpi visuddhakaanumānādivirodhasambhāvato. Na hi sakkā antarālokassa bāhirālokassa viya rūpakāyaṃ upādāya rūpatā cakkhuviññeyyattādike patiṭṭhāpetuṃ sakkāti vuttaṃ, nanupi antarāloko aviggahattā vedanā viyāti saddheva ñāṇālokassa avijjandhakārā viya vidhamaniyabhāve sabbesampi kusaladhammānaṃ kenacipi akusaladhammena samucchindaniyatā siddhāva hoti). Vaṭṭakhāṇukacodanāya yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttamevāti tiṭṭhatesā bālajanavikatthanā.
๑๐๓. ฌานจิตฺตมยาติ รูปาวจรชฺฌานจิเตฺตน นิพฺพตฺตาฯ ตถา หิ เตสํ วิเสเสน ฌานมนสา นิพฺพตฺตตฺตา ‘‘มโนมยา’’ติ วุตฺตา, อวิเสเสน ปน อภิสงฺขารมนสา สเพฺพปิ สตฺตา มโนมยา เอวฯ สญฺญามยาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ เตนาห ‘‘อรูปชฺฌานสญฺญายา’’ติฯ อยนฺติ รูปิตาภาวปฎิปชฺชนกปุคฺคโลฯ อปฺปฎิลทฺธชฺฌาโนติ อนธิคตรูปชฺฌาโนฯ ตสฺสปีติ ตกฺกิโนปิฯ รูปชฺฌาเน กงฺขา นตฺถิ อนุสฺสววเสน ลทฺธวินิจฺฉยตฺตาฯ
103.Jhānacittamayāti rūpāvacarajjhānacittena nibbattā. Tathā hi tesaṃ visesena jhānamanasā nibbattattā ‘‘manomayā’’ti vuttā, avisesena pana abhisaṅkhāramanasā sabbepi sattā manomayā eva. Saññāmayāti etthāpi eseva nayo. Tenāha ‘‘arūpajjhānasaññāyā’’ti. Ayanti rūpitābhāvapaṭipajjanakapuggalo. Appaṭiladdhajjhānoti anadhigatarūpajjhāno. Tassapīti takkinopi. Rūpajjhāne kaṅkhā natthi anussavavasena laddhavinicchayattā.
๑๐๔. สาราคายาติ สราคภาวายฯ สนฺติเกติ สมีเป, น ถามคตา ทิฎฺฐินาติทูรตฺตา สราคา, น สมฺปยุตฺตตฺตาฯ สา หิ น ถามคตา วฎฺฎปริยาปเนฺนสุ ธเมฺมสุ รชฺชตีติ วิญฺญายตีติ อาห – ‘‘ราควเสน วเฎฺฎ รชฺชนสฺสา’’ติฯ สเพฺพปิ สํโยชนา ตณฺหาวเสเนว สมฺภวนฺตีติ อาห – ‘‘ตณฺหาวเสน สํโยชนตฺถายา’’ติฯ อารุเปฺป ปนสฺส กงฺขา นตฺถีติ อนุสฺสววเสน ลทฺธนิจฺฉยํ สนฺธาย วุตฺตํฯ กามํ ทุคฺคติทุกฺขานํ เอกนฺตสํวตฺตเนน นตฺถิกทิฎฺฐิอาทีนํ อปณฺณกตา ปากฎา เอว, นิปฺปริยาเยน ปน อนวชฺชสฺส อตฺถสฺส เอกนฺตสาธกํ อปณฺณกนฺติ กตฺวา โจทนา, สาวชฺชสฺสปิ อตฺถสฺส สาธเน เอกํสิกภาวํ คเหตฺวา ปริหาโรฯ เตนาห ‘‘คหณวเสนา’’ติอาทิฯ เตน รุฬฺหีวเสน ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทีนิ อปณฺณกงฺคานิ ชาตานีติ ทเสฺสติฯ
104.Sārāgāyāti sarāgabhāvāya. Santiketi samīpe, na thāmagatā diṭṭhinātidūrattā sarāgā, na sampayuttattā. Sā hi na thāmagatā vaṭṭapariyāpannesu dhammesu rajjatīti viññāyatīti āha – ‘‘rāgavasena vaṭṭe rajjanassā’’ti. Sabbepi saṃyojanā taṇhāvaseneva sambhavantīti āha – ‘‘taṇhāvasena saṃyojanatthāyā’’ti. Āruppe panassa kaṅkhā natthīti anussavavasena laddhanicchayaṃ sandhāya vuttaṃ. Kāmaṃ duggatidukkhānaṃ ekantasaṃvattanena natthikadiṭṭhiādīnaṃ apaṇṇakatā pākaṭā eva, nippariyāyena pana anavajjassa atthassa ekantasādhakaṃ apaṇṇakanti katvā codanā, sāvajjassapi atthassa sādhane ekaṃsikabhāvaṃ gahetvā parihāro. Tenāha ‘‘gahaṇavasenā’’tiādi. Tena ruḷhīvasena ‘‘natthi dinna’’ntiādīni apaṇṇakaṅgāni jātānīti dasseti.
๑๐๕. เหฎฺฐา ตโย ปุคฺคลาว โหนฺตีติ อตฺตนฺตโป ปรนฺตโปติ อิมสฺมิํ จตุเกฺก เหฎฺฐา ตโย ปุคฺคลา โหนฺติฯ ยถาวุตฺตา ปญฺจปิ ปุคฺคลา ทุปฺปฎิปนฺนาว, ตโต อตฺถิกวาทาทโย ปญฺจปุคฺคลา สมฺมาปฎิปนฺนตาย อิมสฺมิํ จตุเกฺก เอโก จตุตฺถปุคฺคโลว โหติฯ เอตมตฺถํ ทเสฺสตุนฺติ อิธ เหฎฺฐา วุตฺตปุคฺคลปญฺจกทฺวยํ อิมสฺมิํ จตุเกฺก เอว สงฺคหํ คจฺฉตีติ วิภาเคน ทุปฺปฎิปตฺติสุปฺปฎิปตฺติโย ทเสฺสตุํ ภควา อิมํ เทสนํ อารภีติฯ ยํ ปเนตฺถ อตฺถโต อวิภตฺตํ, ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
105.Heṭṭhātayo puggalāva hontīti attantapo parantapoti imasmiṃ catukke heṭṭhā tayo puggalā honti. Yathāvuttā pañcapi puggalā duppaṭipannāva, tato atthikavādādayo pañcapuggalā sammāpaṭipannatāya imasmiṃ catukke eko catutthapuggalova hoti. Etamatthaṃ dassetunti idha heṭṭhā vuttapuggalapañcakadvayaṃ imasmiṃ catukke eva saṅgahaṃ gacchatīti vibhāgena duppaṭipattisuppaṭipattiyo dassetuṃ bhagavā imaṃ desanaṃ ārabhīti. Yaṃ panettha atthato avibhattaṃ, taṃ suviññeyyameva.
อปณฺณกสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Apaṇṇakasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
นิฎฺฐิตา จ คหปติวคฺควณฺณนาฯ
Niṭṭhitā ca gahapativaggavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. อปณฺณกสุตฺตํ • 10. Apaṇṇakasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. อปณฺณกสุตฺตวณฺณนา • 10. Apaṇṇakasuttavaṇṇanā