Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๑๘. อปรอจฺฉราสงฺฆาตวคฺควณฺณนา

    18. Aparaaccharāsaṅghātavaggavaṇṇanā

    ๓๘๒. อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตมฺปีติ อิทมฺปิ สุตฺตํ อคฺคิกฺขนฺธูปมอฎฺฐุปฺปตฺติยํเยว (อ. นิ. ๗.๗๒) วุตฺตํฯ อปฺปนาปฺปตฺตาย หิ เมตฺตาย วิปาเก กถาเยว นตฺถิฯ ตสฺสาเยว อฎฺฐุปฺปตฺติยา อยํ เทสนา อารทฺธาติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ปฐมนฺติ ‘‘คณนานุปุพฺพตา ปฐมํ, อิทํ ปฐมํ สมาปชฺชตีติ ปฐม’’นฺติ วิภเงฺค (วิภ. ๕๖๘) วุตฺตตฺถเมวฯ ฌานนฺติ ฌานํ นาม ทุวิธํ อารมฺมณูปนิชฺฌานญฺจ ลกฺขณูปนิชฺฌานญฺจาติฯ ตตฺถ อารมฺมณูปนิชฺฌานํ นาม อฎฺฐ สมาปตฺติโยฯ ตา หิ ปถวีกสิณาทิโน อารมฺมณสฺส อุปนิชฺฌานโต อารมฺมณูปนิชฺฌานนฺติ วุจฺจนฺติฯ ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติ วิปสฺสนามคฺคผลานิฯ วิปสฺสนา หิ อนิจฺจาทิวเสน สงฺขารลกฺขณสฺส อุปนิชฺฌานโต ลกฺขณูปนิชฺฌานํ นาม, วิปสฺสนาย ปน ลกฺขณูปนิชฺฌานกิจฺจํ มเคฺคน สิชฺฌตีติ มโคฺค ลกฺขณูปนิชฺฌานํ, ผลํ สุญฺญตอนิมิตฺตอปฺปณิหิต-ลกฺขณสฺส นิพฺพานเสฺสว อุปนิชฺฌานโต ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติ วุจฺจติฯ ตตฺถ อิมสฺมิํ ปน อเตฺถ อารมฺมณูปนิชฺฌานํ อธิเปฺปตํฯ โก ปน วาโท เย นํ พหุลีกโรนฺตีติ เย นํ ปฐมชฺฌานํ พหุลี กโรนฺติ, ปุนปฺปุนํ กโรนฺติ, เตสุ วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ เสสเมตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    382.Accharāsaṅghātamattampīti idampi suttaṃ aggikkhandhūpamaaṭṭhuppattiyaṃyeva (a. ni. 7.72) vuttaṃ. Appanāppattāya hi mettāya vipāke kathāyeva natthi. Tassāyeva aṭṭhuppattiyā ayaṃ desanā āraddhāti veditabbā. Tattha paṭhamanti ‘‘gaṇanānupubbatā paṭhamaṃ, idaṃ paṭhamaṃ samāpajjatīti paṭhama’’nti vibhaṅge (vibha. 568) vuttatthameva. Jhānanti jhānaṃ nāma duvidhaṃ ārammaṇūpanijjhānañca lakkhaṇūpanijjhānañcāti. Tattha ārammaṇūpanijjhānaṃ nāma aṭṭha samāpattiyo. Tā hi pathavīkasiṇādino ārammaṇassa upanijjhānato ārammaṇūpanijjhānanti vuccanti. Lakkhaṇūpanijjhānanti vipassanāmaggaphalāni. Vipassanā hi aniccādivasena saṅkhāralakkhaṇassa upanijjhānato lakkhaṇūpanijjhānaṃ nāma, vipassanāya pana lakkhaṇūpanijjhānakiccaṃ maggena sijjhatīti maggo lakkhaṇūpanijjhānaṃ, phalaṃ suññataanimittaappaṇihita-lakkhaṇassa nibbānasseva upanijjhānato lakkhaṇūpanijjhānanti vuccati. Tattha imasmiṃ pana atthe ārammaṇūpanijjhānaṃ adhippetaṃ. Ko pana vādo ye naṃ bahulīkarontīti ye naṃ paṭhamajjhānaṃ bahulī karonti, punappunaṃ karonti, tesu vattabbameva natthi. Sesamettha heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ.

    ๓๘๓. ทุติยนฺติอาทีสุปิ ‘‘คณนานุปุพฺพตา ทุติย’’นฺติอาทินา (วิภ. ๕๗๙) นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    383.Dutiyantiādīsupi ‘‘gaṇanānupubbatā dutiya’’ntiādinā (vibha. 579) nayena attho veditabbo.

    ๓๘๖-๓๘๗. เมตฺตนฺติ สพฺพสเตฺตสุ หิตผรณํฯ เจโตวิมุตฺตินฺติ จิตฺตวิมุตฺติํฯ อิธ อปฺปนาปฺปตฺตาว เมตฺตา อธิเปฺปตาฯ กรุณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อิเม ปน จตฺตาโร พฺรหฺมวิหารา วฎฺฎํ โหนฺติ, วฎฺฎปาทา โหนฺติ, วิปสฺสนาปาทา โหนฺติ, ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารา โหนฺติ, อภิญฺญาปาทา วา นิโรธปาทา วา โหนฺติฯ โลกุตฺตรา ปน น โหนฺติฯ กสฺมา? สตฺตารมฺมณตฺตาติฯ

    386-387.Mettanti sabbasattesu hitapharaṇaṃ. Cetovimuttinti cittavimuttiṃ. Idha appanāppattāva mettā adhippetā. Karuṇādīsupi eseva nayo. Ime pana cattāro brahmavihārā vaṭṭaṃ honti, vaṭṭapādā honti, vipassanāpādā honti, diṭṭhadhammasukhavihārā honti, abhiññāpādā vā nirodhapādā vā honti. Lokuttarā pana na honti. Kasmā? Sattārammaṇattāti.

    ๓๙๐. กาเย กายานุปสฺสีติ อานาปานปพฺพํ, อิริยาปถปพฺพํ, จตุสมฺปชญฺญปพฺพํ, ปฎิกูลมนสิการปพฺพํ , ธาตุมนสิการปพฺพํ, นวสิวถิกาปพฺพานิ, อชฺฌตฺตปริกมฺมวเสน จตฺตาริ นีลาทิกสิณานีติ อิมสฺมิํ อฎฺฐารสวิเธ กาเย ตเมว กายํ ปญฺญาย อนุปสฺสโนฺตฯ วิหรตีติ อิริยติ วตฺตติฯ อิมินา อิมสฺส อฎฺฐารสวิเธน กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานภาวกสฺส ภิกฺขุโน อิริยาปโถ กถิโต โหติฯ อาตาปีติ ตเสฺสว วุตฺตปฺปการสฺส สติปฎฺฐานสฺส ภาวนกวีริเยน วีริยวาฯ สมฺปชาโนติ อฎฺฐารสวิเธน กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานสฺส ปริคฺคาหิกปญฺญาย สมฺมา ปชานโนฺตฯ สติมาติ อฎฺฐารสวิเธน กายานุปสฺสนาปริคฺคาหิกาย สติยา สมนฺนาคโตฯ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสนฺติ ตสฺมิํเยว กายสงฺขาเต โลเก ปญฺจกามคุณิกตณฺหญฺจ ปฎิฆสมฺปยุตฺตโทมนสฺสญฺจ วิเนตฺวา วิกฺขเมฺภตฺวา กาเย กายานุปสฺสี วิหรตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺตาวตา กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานวเสน สุทฺธรูปสมฺมสนเมว กถิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    390.Kāyekāyānupassīti ānāpānapabbaṃ, iriyāpathapabbaṃ, catusampajaññapabbaṃ, paṭikūlamanasikārapabbaṃ , dhātumanasikārapabbaṃ, navasivathikāpabbāni, ajjhattaparikammavasena cattāri nīlādikasiṇānīti imasmiṃ aṭṭhārasavidhe kāye tameva kāyaṃ paññāya anupassanto. Viharatīti iriyati vattati. Iminā imassa aṭṭhārasavidhena kāyānupassanāsatipaṭṭhānabhāvakassa bhikkhuno iriyāpatho kathito hoti. Ātāpīti tasseva vuttappakārassa satipaṭṭhānassa bhāvanakavīriyena vīriyavā. Sampajānoti aṭṭhārasavidhena kāyānupassanāsatipaṭṭhānassa pariggāhikapaññāya sammā pajānanto. Satimāti aṭṭhārasavidhena kāyānupassanāpariggāhikāya satiyā samannāgato. Vineyya loke abhijjhādomanassanti tasmiṃyeva kāyasaṅkhāte loke pañcakāmaguṇikataṇhañca paṭighasampayuttadomanassañca vinetvā vikkhambhetvā kāye kāyānupassī viharatīti vuttaṃ hoti. Ettāvatā kāyānupassanāsatipaṭṭhānavasena suddharūpasammasanameva kathitanti veditabbaṃ.

    เวทนาสุ เวทนานุปสฺสีติ สุขาทิเภทาสุ เวทนาสุ ‘‘สุขํ เวทนํ เวทิยมาโน สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติฯ ทุกฺขํ, อทุกฺขมสุขํ, สามิสํ วา สุขํ, นิรามิสํ วา สุขํ, สามิสํ วา ทุกฺขํ, นิรามิสํ วา ทุกฺขํ, สามิสํ วา อทุกฺขมสุขํ, นิรามิสํ วา อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยมาโน นิรามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๘๐; วิภ. ๓๖๓; ม. นิ. ๑.๑๑๓) เอวํ วุตฺตํ นววิธํ เวทนํ อนุปสฺสโนฺตฯ อาตาปีติอาทินา ปเนตฺถ นววิเธน เวทนานุปสฺสนาสติปฎฺฐานสฺส ภาวนาปริคฺคาหิกานํ วีริยปญฺญาสตีนํ วเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โลโกติ เจตฺถ เวทนา เวทิตพฺพาฯ

    Vedanāsu vedanānupassīti sukhādibhedāsu vedanāsu ‘‘sukhaṃ vedanaṃ vediyamāno sukhaṃ vedanaṃ vediyāmīti pajānāti. Dukkhaṃ, adukkhamasukhaṃ, sāmisaṃ vā sukhaṃ, nirāmisaṃ vā sukhaṃ, sāmisaṃ vā dukkhaṃ, nirāmisaṃ vā dukkhaṃ, sāmisaṃ vā adukkhamasukhaṃ, nirāmisaṃ vā adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vediyamāno nirāmisaṃ adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vediyāmīti pajānātī’’ti (dī. ni. 2.380; vibha. 363; ma. ni. 1.113) evaṃ vuttaṃ navavidhaṃ vedanaṃ anupassanto. Ātāpītiādinā panettha navavidhena vedanānupassanāsatipaṭṭhānassa bhāvanāpariggāhikānaṃ vīriyapaññāsatīnaṃ vasena attho veditabbo. Lokoti cettha vedanā veditabbā.

    จิตฺตธเมฺมสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ ปน จิเตฺต จิตฺตานุปสฺสีติ ‘‘สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๘๑; วิภ. ๓๖๕; ม. นิ. ๑.๑๑๔) เอวํ วิตฺถาริเต โสฬสปฺปเภเท จิเตฺต ตเมว จิตฺตํ ปริคฺคาหิกาย อนุปสฺสนาย อนุปสฺสโนฺตติ อโตฺถฯ ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสีติ ‘‘ปญฺจ นีวรณานิ, ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา, ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรายตนานิ, สตฺต โพชฺฌงฺคา, จตฺตาริ อริยสจฺจานี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๘๒-๔๐๓; วิภ. ๓๖๗-๓๗๓; ม. นิ. ๑.๑๑๕-๑๓๖) เอวํ โกฎฺฐาสวเสน ปญฺจธา วุเตฺตสุ ธเมฺมสุ ธมฺมปริคฺคาหิกาย อนุปสฺสนาย เต ธเมฺม อนุปสฺสโนฺตติ อโตฺถฯ เอตฺถ ปน เวทนานุปสฺสนาสติปฎฺฐาเน จ จิตฺตานุปสฺสนาสติปฎฺฐาเน จ สุทฺธอรูปสมฺมสนเมว กถิตํ, ธมฺมานุปสฺสนาสติปฎฺฐาเน รูปารูปสมฺมสนํฯ อิติ อิมานิ จตฺตาริปิ สติปฎฺฐานานิ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกาเนว กถิตานีติ เวทิตพฺพานิฯ

    Cittadhammesupi eseva nayo. Ettha pana citte cittānupassīti ‘‘sarāgaṃ vā cittaṃ sarāgaṃ cittanti pajānātī’’ti (dī. ni. 2.381; vibha. 365; ma. ni. 1.114) evaṃ vitthārite soḷasappabhede citte tameva cittaṃ pariggāhikāya anupassanāya anupassantoti attho. Dhammesu dhammānupassīti ‘‘pañca nīvaraṇāni, pañcupādānakkhandhā, cha ajjhattikabāhirāyatanāni, satta bojjhaṅgā, cattāri ariyasaccānī’’ti (dī. ni. 2.382-403; vibha. 367-373; ma. ni. 1.115-136) evaṃ koṭṭhāsavasena pañcadhā vuttesu dhammesu dhammapariggāhikāya anupassanāya te dhamme anupassantoti attho. Ettha pana vedanānupassanāsatipaṭṭhāne ca cittānupassanāsatipaṭṭhāne ca suddhaarūpasammasanameva kathitaṃ, dhammānupassanāsatipaṭṭhāne rūpārūpasammasanaṃ. Iti imāni cattāripi satipaṭṭhānāni lokiyalokuttaramissakāneva kathitānīti veditabbāni.

    ๓๙๔. อนุปฺปนฺนานนฺติ อนิพฺพตฺตานํฯ ปาปกานนฺติ ลามกานํฯ อกุสลานํ ธมฺมานนฺติ อโกสลฺลสมฺภูตานํ โลภาทิธมฺมานํฯ อนุปฺปาทายาติ อนิพฺพตฺตนตฺถายฯ ฉนฺทํ ชเนตีติ กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉนฺทํ อุปฺปาเทติฯ วายมตีติ ปโยคํ ปรกฺกมํ กโรติฯ วีริยํ อารภตีติ กายิกเจตสิกวีริยํ กโรติฯ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาตีติ เตเนว สหชาตวีริเยน จิตฺตํ อุกฺขิปติฯ ปทหตีติ ปธานวีริยํ กโรติฯ

    394.Anuppannānanti anibbattānaṃ. Pāpakānanti lāmakānaṃ. Akusalānaṃ dhammānanti akosallasambhūtānaṃ lobhādidhammānaṃ. Anuppādāyāti anibbattanatthāya. Chandaṃ janetīti kattukamyatākusalacchandaṃ uppādeti. Vāyamatīti payogaṃ parakkamaṃ karoti. Vīriyaṃ ārabhatīti kāyikacetasikavīriyaṃ karoti. Cittaṃpaggaṇhātīti teneva sahajātavīriyena cittaṃ ukkhipati. Padahatīti padhānavīriyaṃ karoti.

    อุปฺปนฺนานนฺติ ชาตานํ นิพฺพตฺตานํฯ กุสลานํ ธมฺมานนฺติ โกสลฺลสมฺภูตานํ อโลภาทิธมฺมานํฯ ฐิติยาติ ฐิตตฺถํฯ อสโมฺมสายาติ อนสฺสนตฺถํฯ ภิโยฺยภาวายาติ ปุนปฺปุนภาวายฯ เวปุลฺลายาติ วิปุลภาวายฯ ภาวนายาติ วฑฺฒิยาฯ ปริปูริยาติ ปริปูรณตฺถายฯ อยํ ตาว จตุนฺนํ สมฺมปฺปธานานํ เอกปทิโก อตฺถุทฺธาโรฯ

    Uppannānanti jātānaṃ nibbattānaṃ. Kusalānaṃ dhammānanti kosallasambhūtānaṃ alobhādidhammānaṃ. Ṭhitiyāti ṭhitatthaṃ. Asammosāyāti anassanatthaṃ. Bhiyyobhāvāyāti punappunabhāvāya. Vepullāyāti vipulabhāvāya. Bhāvanāyāti vaḍḍhiyā. Paripūriyāti paripūraṇatthāya. Ayaṃ tāva catunnaṃ sammappadhānānaṃ ekapadiko atthuddhāro.

    อยํ ปน สมฺมปฺปธานกถา นาม ทุวิธา โลกิยา โลกุตฺตรา จฯ ตตฺถ โลกิยา สพฺพปุพฺพภาเค โหติ, สา กสฺสปสํยุตฺตปริยาเยน โลกิยมคฺคกฺขเณเยว เวทิตพฺพาฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ –

    Ayaṃ pana sammappadhānakathā nāma duvidhā lokiyā lokuttarā ca. Tattha lokiyā sabbapubbabhāge hoti, sā kassapasaṃyuttapariyāyena lokiyamaggakkhaṇeyeva veditabbā. Vuttañhi tattha –

    ‘‘จตฺตาโรเม, อาวุโส, สมฺมปฺปธานาฯ กตเม จตฺตาโร? อิธาวุโส, ภิกฺขุ ‘อนุปฺปนฺนา เม ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’นฺติ อาตปฺปํ กโรติ, ‘อุปฺปนฺนา เม ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปฺปหียมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’นฺติ อาตปฺปํ กโรติ, ‘อนุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา อนุปฺปชฺชมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’นฺติ อาตปฺปํ กโรติ, ‘อุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา นิรุชฺฌมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’นฺติ อาตปฺปํ กโรตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๔๕)ฯ

    ‘‘Cattārome, āvuso, sammappadhānā. Katame cattāro? Idhāvuso, bhikkhu ‘anuppannā me pāpakā akusalā dhammā uppajjamānā anatthāya saṃvatteyyu’nti ātappaṃ karoti, ‘uppannā me pāpakā akusalā dhammā appahīyamānā anatthāya saṃvatteyyu’nti ātappaṃ karoti, ‘anuppannā me kusalā dhammā anuppajjamānā anatthāya saṃvatteyyu’nti ātappaṃ karoti, ‘uppannā me kusalā dhammā nirujjhamānā anatthāya saṃvatteyyu’nti ātappaṃ karotī’’ti (saṃ. ni. 2.145).

    เอตฺถ จ ปาปกา อกุสลาติ โลภาทโย เวทิตพฺพาฯ อนุปฺปนฺนา กุสลา ธมฺมาติ สมถวิปสฺสนา เจว มโคฺค จฯ อุปฺปนฺนา กุสลา นาม สมถวิปสฺสนาวฯ มโคฺค ปน สกิํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌมาโน อนตฺถาย สํวตฺตนโก นาม นตฺถิฯ โส หิ ผลสฺส ปจฺจยํ ทตฺวาว นิรุชฺฌติ ฯ ปุริมสฺมิมฺปิ วา สมถวิปสฺสนาว คเหตพฺพาติ วุตฺตํ, ตํ ปน น ยุตฺตํฯ เอวํ โลกิยา สมฺมปฺปธานกถา สพฺพปุพฺพภาเค กสฺสปสํยุตฺตปริยาเยน เวทิตพฺพาฯ โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ ปเนตํ เอกเมว วีริยํ จตุกิจฺจสาธนวเสน จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ

    Ettha ca pāpakā akusalāti lobhādayo veditabbā. Anuppannākusalā dhammāti samathavipassanā ceva maggo ca. Uppannā kusalā nāma samathavipassanāva. Maggo pana sakiṃ uppajjitvā nirujjhamāno anatthāya saṃvattanako nāma natthi. So hi phalassa paccayaṃ datvāva nirujjhati . Purimasmimpi vā samathavipassanāva gahetabbāti vuttaṃ, taṃ pana na yuttaṃ. Evaṃ lokiyā sammappadhānakathā sabbapubbabhāge kassapasaṃyuttapariyāyena veditabbā. Lokuttaramaggakkhaṇe panetaṃ ekameva vīriyaṃ catukiccasādhanavasena cattāri nāmāni labhati.

    ตตฺถ อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานนฺติ เอตฺถ ‘‘อนุปฺปโนฺน เจว กามจฺฉโนฺท’’ติอาทีสุ วุตฺตนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อุปฺปนฺนานํ ปาปกานนฺติ เอตฺถ จตุพฺพิธํ อุปฺปนฺนํ วตฺตมานุปฺปนฺนํ, ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺนํ, โอกาสกตุปฺปนฺนํ, ภูมิลทฺธุปฺปนฺนนฺติฯ ตตฺถ เย กิเลสา วิชฺชมานา อุปฺปาทาทิสมงฺคิโน, อิทํ วตฺตมานุปฺปนฺนํ นามฯ กเมฺม ปน ชวิเต อารมฺมณรสํ อนุภวิตฺวา นิรุทฺธวิปาโก ภุตฺวา วิคตํ นาม, กมฺมํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธํ ภุตฺวา วิคตํ นามฯ ตทุภยมฺปิ ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺนนฺติ สงฺขํ คจฺฉติฯ กุสลากุสลกมฺมํ อญฺญกมฺมสฺส วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา อตฺตโน วิปากสฺส โอกาสํ กโรติ, เอวํ กเต โอกาเส วิปาโก อุปฺปชฺชมาโน โอกาสกรณโต ปฎฺฐาย อุปฺปโนฺนติ วุจฺจติ, อิทํ โอกาสกตุปฺปนฺนํ นามฯ ปญฺจกฺขนฺธา ปน วิปสฺสนาย ภูมิ นาม, เต อตีตาทิเภทา โหนฺติฯ เตสุ อนุสยิตกิเลสา ปน อตีตา วา อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วาติ น วตฺตพฺพาฯ อตีตกฺขเนฺธสุ อนุสยิตาปิ หิ อปฺปหีนาว โหนฺติ, อนาคตกฺขเนฺธสุ อนุสยิตาปิ อปฺปหีนาว โหนฺติ, ปจฺจุปฺปนฺนกฺขเนฺธสุ อนุสยิตาปิ อปฺปหีนาว โหนฺติ, อิทํ ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นามฯ เตนาหุ โปราณา – ‘‘ตาสุ ตาสุ ภูมิสุ อสมุคฺฆาตคตา กิเลสา ภูมิลทฺธุปฺปนฺนาติ สงฺขํ คจฺฉนฺตี’’ติฯ

    Tattha anuppannānaṃ pāpakānanti ettha ‘‘anuppanno ceva kāmacchando’’tiādīsu vuttanayena attho veditabbo. Uppannānaṃ pāpakānanti ettha catubbidhaṃ uppannaṃ vattamānuppannaṃ, bhutvāvigatuppannaṃ, okāsakatuppannaṃ, bhūmiladdhuppannanti. Tattha ye kilesā vijjamānā uppādādisamaṅgino, idaṃ vattamānuppannaṃ nāma. Kamme pana javite ārammaṇarasaṃ anubhavitvā niruddhavipāko bhutvā vigataṃ nāma, kammaṃ uppajjitvā niruddhaṃ bhutvā vigataṃ nāma. Tadubhayampi bhutvāvigatuppannanti saṅkhaṃ gacchati. Kusalākusalakammaṃ aññakammassa vipākaṃ paṭibāhitvā attano vipākassa okāsaṃ karoti, evaṃ kate okāse vipāko uppajjamāno okāsakaraṇato paṭṭhāya uppannoti vuccati, idaṃ okāsakatuppannaṃ nāma. Pañcakkhandhā pana vipassanāya bhūmi nāma, te atītādibhedā honti. Tesu anusayitakilesā pana atītā vā anāgatā vā paccuppannā vāti na vattabbā. Atītakkhandhesu anusayitāpi hi appahīnāva honti, anāgatakkhandhesu anusayitāpi appahīnāva honti, paccuppannakkhandhesu anusayitāpi appahīnāva honti, idaṃ bhūmiladdhuppannaṃ nāma. Tenāhu porāṇā – ‘‘tāsu tāsu bhūmisu asamugghātagatā kilesā bhūmiladdhuppannāti saṅkhaṃ gacchantī’’ti.

    อปรมฺปิ จตุพฺพิธํ อุปฺปนฺนํ สมุทาจารุปฺปนฺนํ, อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปนฺนํ, อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ, อสมุคฺฆาติตุปฺปนฺนนฺติฯ ตตฺถ สมฺปติ วตฺตมานํเยว สมุทาจารุปฺปนฺนํ นามฯ สกิํ จกฺขูนิ อุมฺมีเลตฺวา อารมฺมเณ นิมิเตฺต คหิเต อนุสฺสริตานุสฺสริตกฺขเณ กิเลสา นุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ น วตฺตพฺพาฯ กสฺมา? อารมฺมณสฺส อธิคฺคหิตตฺตาฯ ยถา กิํ? ยถา ขีรุกฺขสฺส กุฐาริยา อาหตาหตฎฺฐาเน ขีรํ น นิกฺขมิสฺสตีติ น วตฺตพฺพา, เอวํฯ อิทํ อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปนฺนํ นามฯ สมาปตฺติยา อวิกฺขมฺภิตกิเลสา ปน อิมสฺมิํ นาม ฐาเนน อุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ น วตฺตพฺพาฯ กสฺมา? อวิกฺขมฺภิตตฺตาฯ ยถา กิํ? ยถา ขีรรุกฺขํ กุฐาริยา อาหเนยฺยุํ, อิมสฺมิํ นาม ฐาเน ขีรํ น นิกฺขเมยฺยาติ น วตฺตพฺพํ, เอวํฯ อิทํ อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ นามฯ มเคฺคน อสมุคฺฆาติตกิเลสา ปน ภวเคฺค นิพฺพตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชนฺตีติ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ อิทํ อสมุคฺฆาติตุปฺปนฺนํ นามฯ

    Aparampi catubbidhaṃ uppannaṃ samudācāruppannaṃ, ārammaṇādhiggahituppannaṃ, avikkhambhituppannaṃ, asamugghātituppannanti. Tattha sampati vattamānaṃyeva samudācāruppannaṃ nāma. Sakiṃ cakkhūni ummīletvā ārammaṇe nimitte gahite anussaritānussaritakkhaṇe kilesā nuppajjissantīti na vattabbā. Kasmā? Ārammaṇassa adhiggahitattā. Yathā kiṃ? Yathā khīrukkhassa kuṭhāriyā āhatāhataṭṭhāne khīraṃ na nikkhamissatīti na vattabbā, evaṃ. Idaṃ ārammaṇādhiggahituppannaṃ nāma. Samāpattiyā avikkhambhitakilesā pana imasmiṃ nāma ṭhānena uppajjissantīti na vattabbā. Kasmā? Avikkhambhitattā. Yathā kiṃ? Yathā khīrarukkhaṃ kuṭhāriyā āhaneyyuṃ, imasmiṃ nāma ṭhāne khīraṃ na nikkhameyyāti na vattabbaṃ, evaṃ. Idaṃ avikkhambhituppannaṃ nāma. Maggena asamugghātitakilesā pana bhavagge nibbattassāpi uppajjantīti purimanayeneva vitthāretabbaṃ. Idaṃ asamugghātituppannaṃ nāma.

    อิเมสุ อุปฺปเนฺนสุ วตฺตมานุปฺปนฺนํ, ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺนํ, โอกาสกตุปฺปนฺนํ, สมุทาจารุปฺปนฺนนฺติ จตุพฺพิธํ อุปฺปนฺนํ น มคฺควชฺฌํ, ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ, อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปนฺนํ, อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ, อสมุคฺฆาติตุปฺปนฺนนฺติ จตุพฺพิธํ มคฺควชฺฌํฯ มโคฺค หิ อุปฺปชฺชมาโน เอเต กิเลเส ปชหติฯ โส เย กิเลเส ปชหติ, เต อตีตา วา อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วาติ น วตฺตพฺพาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Imesu uppannesu vattamānuppannaṃ, bhutvāvigatuppannaṃ, okāsakatuppannaṃ, samudācāruppannanti catubbidhaṃ uppannaṃ na maggavajjhaṃ, bhūmiladdhuppannaṃ, ārammaṇādhiggahituppannaṃ, avikkhambhituppannaṃ, asamugghātituppannanti catubbidhaṃ maggavajjhaṃ. Maggo hi uppajjamāno ete kilese pajahati. So ye kilese pajahati, te atītā vā anāgatā vā paccuppannā vāti na vattabbā. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘หญฺจิ อตีเต กิเลเส ปชหติ? เตน หิ ขีณํเยว เขเปติ, นิรุทฺธํ นิโรเธติ, อตฺถงฺคตํ อตฺถงฺคเมติ, อตีตํ ยํ นตฺถิ, ตํ ปชหติฯ หญฺจิ อนาคเต กิเลเส ปชหติ? เตน หิ อชาตํ ปชหติ, อนิพฺพตฺตํ อนุปฺปนฺนํ อปาตุภูตํ ปชหติ, อนาคตํ ยํ นตฺถิ, ตํ ปชหติฯ หญฺจิ ปจฺจุปฺปเนฺน กิเลเส ปชหติ? เตน หิ รโตฺต ราคํ ปชหติ, ทุโฎฺฐ โทสํ, มูโฬฺห โมหํ, วินิพโทฺธ มานํ, ปรามโฎฺฐ ทิฎฺฐิํ, อนิฎฺฐงฺคโต วิจิกิจฺฉํ, ถามคโต อนุสยํ ปชหติ, กณฺหสุกฺกา ธมฺมา ยุคนทฺธา วตฺตนฺติ, สํกิเลสิยา มคฺคภาวนา โหตีติ…เป.… เตน หิ นตฺถิ มคฺคภาวนา, นตฺถิ ผลสจฺฉิกิริยา, นตฺถิ กิเลสปฺปหานํ, นตฺถิ ธมฺมาภิสมโยติฯ อตฺถิ มคฺคภาวนา…เป.… อตฺถิ ธมฺมาภิสมโยติฯ ยถา กถํ วิย? เสยฺยถาปิ ตรุโณ รุโกฺข…เป.… อปาตุภูตาเยว น ปาตุภวนฺตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๓.๒๑)ฯ

    ‘‘Hañci atīte kilese pajahati? Tena hi khīṇaṃyeva khepeti, niruddhaṃ nirodheti, atthaṅgataṃ atthaṅgameti, atītaṃ yaṃ natthi, taṃ pajahati. Hañci anāgate kilese pajahati? Tena hi ajātaṃ pajahati, anibbattaṃ anuppannaṃ apātubhūtaṃ pajahati, anāgataṃ yaṃ natthi, taṃ pajahati. Hañci paccuppanne kilese pajahati? Tena hi ratto rāgaṃ pajahati, duṭṭho dosaṃ, mūḷho mohaṃ, vinibaddho mānaṃ, parāmaṭṭho diṭṭhiṃ, aniṭṭhaṅgato vicikicchaṃ, thāmagato anusayaṃ pajahati, kaṇhasukkā dhammā yuganaddhā vattanti, saṃkilesiyā maggabhāvanā hotīti…pe… tena hi natthi maggabhāvanā, natthi phalasacchikiriyā, natthi kilesappahānaṃ, natthi dhammābhisamayoti. Atthi maggabhāvanā…pe… atthi dhammābhisamayoti. Yathā kathaṃ viya? Seyyathāpi taruṇo rukkho…pe… apātubhūtāyeva na pātubhavantī’’ti (paṭi. ma. 3.21).

    อิติ ปาฬิยํ อชาตผลรุโกฺข อาคโต, ชาตผลรุโกฺข ปน ทีเปตโพฺพฯ ยถา หิ สผโล ตรุณมฺพรุโกฺข, ตสฺส ผลานิ มนุสฺสา ปริภุเญฺชยฺยุํ, เสสานิ ปาเตตฺวา ปจฺฉิโย ปูเรยฺยุํ, อถโญฺญ ปุริโส ตํ ผรสุนา ฉิเนฺทยฺยฯ เตนสฺส เนว อตีตานิ ผลานิ นาสิตานิ โหนฺติ, น อนาคตปจฺจุปฺปนฺนานิ จ นาสิตานิฯ อตีตานิ หิ มนุเสฺสหิ ปริภุตฺตานิ, อนาคตานิ อนิพฺพตฺตานิ, น สกฺกา นาเสตุํฯ ยสฺมิํ ปน สมเย โส ฉิโนฺน, ตทา ผลานิเยว นตฺถีติ ปจฺจุปฺปนฺนานิปิ อนาสิตานิฯ สเจ ปน รุโกฺข อจฺฉิโนฺน อสฺส, อถสฺส ปถวีรสญฺจ อาโปรสญฺจ อาคมฺม ยานิ ผลานิ นิพฺพเตฺตยฺยุํ, ตานิ นาสิตานิ โหนฺติฯ ตานิ หิ อชาตาเนว น ชายนฺติ, อนิพฺพตฺตาเนว น นิพฺพตฺตนฺติ, อปาตุภูตาเนว น ปาตุภวนฺติฯ เอวเมว มโคฺค นาปิ อตีตาทิเภเท กิเลเส ปชหติ, นาปิ น ปชหติฯ เยสญฺหิ กิเลสานํ มเคฺคน ขเนฺธสุ อปริญฺญาเตสุ อุปฺปตฺติ สิยา, มเคฺคน อุปฺปชฺชิตฺวา ขนฺธานํ ปริญฺญาตตฺตา เต กิเลสา อชาตาว น ชายนฺติ, อนิพฺพตฺตาว น นิพฺพตฺตนฺติ, อปาตุภูตาว น ปาตุภวนฺติฯ ตรุณปุตฺตาย อิตฺถิยา ปุน อวิชายนตฺถํ พฺยาธิตานํ โรควูปสมนตฺถํ ปีตเภสเชฺชหิ วาปิ อยมโตฺถ วิภาเวตโพฺพฯ เอวํ มโคฺค เย กิเลเส ปชหติ, เต อตีตา วา อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วาติ น วตฺตพฺพาฯ น จ มโคฺค กิเลเส น ปชหติฯ เย ปน มโคฺค กิเลเส ปชหติ, เต สนฺธาย ‘‘อุปฺปนฺนานํ ปาปกาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Iti pāḷiyaṃ ajātaphalarukkho āgato, jātaphalarukkho pana dīpetabbo. Yathā hi saphalo taruṇambarukkho, tassa phalāni manussā paribhuñjeyyuṃ, sesāni pātetvā pacchiyo pūreyyuṃ, athañño puriso taṃ pharasunā chindeyya. Tenassa neva atītāni phalāni nāsitāni honti, na anāgatapaccuppannāni ca nāsitāni. Atītāni hi manussehi paribhuttāni, anāgatāni anibbattāni, na sakkā nāsetuṃ. Yasmiṃ pana samaye so chinno, tadā phalāniyeva natthīti paccuppannānipi anāsitāni. Sace pana rukkho acchinno assa, athassa pathavīrasañca āporasañca āgamma yāni phalāni nibbatteyyuṃ, tāni nāsitāni honti. Tāni hi ajātāneva na jāyanti, anibbattāneva na nibbattanti, apātubhūtāneva na pātubhavanti. Evameva maggo nāpi atītādibhede kilese pajahati, nāpi na pajahati. Yesañhi kilesānaṃ maggena khandhesu apariññātesu uppatti siyā, maggena uppajjitvā khandhānaṃ pariññātattā te kilesā ajātāva na jāyanti, anibbattāva na nibbattanti, apātubhūtāva na pātubhavanti. Taruṇaputtāya itthiyā puna avijāyanatthaṃ byādhitānaṃ rogavūpasamanatthaṃ pītabhesajjehi vāpi ayamattho vibhāvetabbo. Evaṃ maggo ye kilese pajahati, te atītā vā anāgatā vā paccuppannā vāti na vattabbā. Na ca maggo kilese na pajahati. Ye pana maggo kilese pajahati, te sandhāya ‘‘uppannānaṃ pāpakāna’’ntiādi vuttaṃ.

    น เกวลญฺจ มโคฺค กิเลเสเยว ปชหติ, กิเลสานํ ปน อปฺปหีนตฺตา เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ อุปาทินฺนกฺขนฺธา, เตปิ ปชหติเยวฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘โสตาปตฺติมคฺคญาเณน อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรเธน สตฺต ภเว ฐเปตฺวา อนมตเคฺค สํสาเร เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ นามญฺจ รูปญฺจ, เอเตฺถเต นิรุชฺฌนฺตี’’ติ (จูฬว. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๖) วิตฺถาโรฯ อิติ มโคฺค อุปาทินฺนโต อนุปาทินฺนโต จ วุฎฺฐาติฯ ภววเสน ปน โสตาปตฺติมโคฺค อปายภวโต วุฎฺฐาติ, สกทาคามิมโคฺค สุคติภเวกเทสโต, อนาคามิมโคฺค สุคติกามภวโต, อรหตฺตมโคฺค รูปารูปภวโต วุฎฺฐาติฯ สพฺพภเวหิ วุฎฺฐาติเยวาติปิ วทนฺติฯ

    Na kevalañca maggo kileseyeva pajahati, kilesānaṃ pana appahīnattā ye uppajjeyyuṃ upādinnakkhandhā, tepi pajahatiyeva. Vuttampi cetaṃ – ‘‘sotāpattimaggañāṇena abhisaṅkhāraviññāṇassa nirodhena satta bhave ṭhapetvā anamatagge saṃsāre ye uppajjeyyuṃ nāmañca rūpañca, etthete nirujjhantī’’ti (cūḷava. ajitamāṇavapucchāniddeso 6) vitthāro. Iti maggo upādinnato anupādinnato ca vuṭṭhāti. Bhavavasena pana sotāpattimaggo apāyabhavato vuṭṭhāti, sakadāgāmimaggo sugatibhavekadesato, anāgāmimaggo sugatikāmabhavato, arahattamaggo rūpārūpabhavato vuṭṭhāti. Sabbabhavehi vuṭṭhātiyevātipi vadanti.

    อถ มคฺคกฺขเณ กถํ อนุปฺปนฺนานํ อุปฺปาทาย ภาวนา โหติ, กถํ วา อุปฺปนฺนานํ ฐิติยาติ? มคฺคปฺปวตฺติยา เอวฯ มโคฺค หิ ปวตฺตมาโน ปุเพฺพ อนุปฺปนฺนปุพฺพตฺตา อนุปฺปโนฺน นาม วุจฺจติฯ อนาคตปุพฺพญฺหิ ฐานํ คนฺตฺวา อนนุภูตปุพฺพํ วา อารมฺมณํ อนุภวิตฺวา วตฺตาโร ภวนฺติ; ‘‘อนาคตฎฺฐานํ อาคตมฺห, อนนุภูตํ อารมฺมณํ อนุภวามา’’ติฯ ยา จสฺส ปวตฺติ, อยเมว ฐิติ นามาติ ‘‘ฐิติยา ภาเวตี’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอวเมตสฺส ภิกฺขุโน อิทํ โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ วีริยํ ‘‘อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทายา’’ติอาทีนิ จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ อยํ โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ สมฺมปฺปธานกถาฯ อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกาเนว สมฺมปฺปธานานิ กถิตานิฯ

    Atha maggakkhaṇe kathaṃ anuppannānaṃ uppādāya bhāvanā hoti, kathaṃ vā uppannānaṃ ṭhitiyāti? Maggappavattiyā eva. Maggo hi pavattamāno pubbe anuppannapubbattā anuppanno nāma vuccati. Anāgatapubbañhi ṭhānaṃ gantvā ananubhūtapubbaṃ vā ārammaṇaṃ anubhavitvā vattāro bhavanti; ‘‘anāgataṭṭhānaṃ āgatamha, ananubhūtaṃ ārammaṇaṃ anubhavāmā’’ti. Yā cassa pavatti, ayameva ṭhiti nāmāti ‘‘ṭhitiyā bhāvetī’’ti vattuṃ vaṭṭati. Evametassa bhikkhuno idaṃ lokuttaramaggakkhaṇe vīriyaṃ ‘‘anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāyā’’tiādīni cattāri nāmāni labhati. Ayaṃ lokuttaramaggakkhaṇe sammappadhānakathā. Imasmiṃ pana sutte lokiyalokuttaramissakāneva sammappadhānāni kathitāni.

    ๓๙๘-๔๐๑. อิทฺธิปาเทสุ ฉนฺทํ นิสฺสาย ปวโตฺต สมาธิ ฉนฺทสมาธิ, ปธานภูตา สงฺขารา ปธานสงฺขาราฯ สมนฺนาคตนฺติ เตหิ ธเมฺมหิ อุเปตํฯ อิทฺธิยา ปาทํ, อิทฺธิภูตํ วา ปาทนฺติ อิทฺธิปาทํฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน อิทฺธิปาทวิภเงฺค (วิภ. ๔๓๑ อาทโย) อาคโต เอวฯ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๓๘๒) ปนสฺส อโตฺถ ทีปิโตฯ ตตฺรายํ ภิกฺขุ ยทา ฉนฺทาทีสุ เอกํ ธุรํ นิสฺสาย วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ , ตทาสฺส ปฐมิทฺธิปาโท ปุพฺพภาเค โลกิโย, อปรภาเค โลกุตฺตโรฯ เอวํ เสสาปีติฯ อิมสฺมิมฺปิ สุเตฺต โลกิยโลกุตฺตราว อิทฺธิปาทา กถิตาฯ

    398-401. Iddhipādesu chandaṃ nissāya pavatto samādhi chandasamādhi, padhānabhūtā saṅkhārā padhānasaṅkhārā. Samannāgatanti tehi dhammehi upetaṃ. Iddhiyā pādaṃ, iddhibhūtaṃ vā pādanti iddhipādaṃ. Sesesupi eseva nayo. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana iddhipādavibhaṅge (vibha. 431 ādayo) āgato eva. Visuddhimagge (visuddhi. 2.382) panassa attho dīpito. Tatrāyaṃ bhikkhu yadā chandādīsu ekaṃ dhuraṃ nissāya vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇāti , tadāssa paṭhamiddhipādo pubbabhāge lokiyo, aparabhāge lokuttaro. Evaṃ sesāpīti. Imasmimpi sutte lokiyalokuttarāva iddhipādā kathitā.

    ๔๐๒-๔๐๖. สทฺธินฺทฺริยํ ภาเวตีติอาทีสุ สทฺธาว อตฺตโน สทฺธาธุเร อินฺทฎฺฐํ กโรตีติ สทฺธินฺทฺริยํฯ วีริยินฺทฺริยาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ภาเวตีติ เอตฺถ ปน อาทิกมฺมิโก โยคาวจโร ตีหิ การเณหิ สทฺธินฺทฺริยํ วิโสเธโนฺต สทฺธินฺทฺริยํ ภาเวติ นามฯ วีริยินฺทฺริยาทีสุปิ เอเสว นโยฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    402-406.Saddhindriyaṃ bhāvetītiādīsu saddhāva attano saddhādhure indaṭṭhaṃ karotīti saddhindriyaṃ. Vīriyindriyādīsupi eseva nayo. Bhāvetīti ettha pana ādikammiko yogāvacaro tīhi kāraṇehi saddhindriyaṃ visodhento saddhindriyaṃ bhāveti nāma. Vīriyindriyādīsupi eseva nayo. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อสฺสเทฺธ ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, สเทฺธ ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, ปสาทนีเย สุตฺตเนฺต ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ สทฺธินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ

    ‘‘Assaddhe puggale parivajjayato, saddhe puggale sevato bhajato payirupāsato, pasādanīye suttante paccavekkhato imehi tīhākārehi saddhindriyaṃ visujjhati.

    ‘‘กุสีเต ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, อารทฺธวีริเย ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, สมฺมปฺปธาเน ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ วีริยินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ

    ‘‘Kusīte puggale parivajjayato, āraddhavīriye puggale sevato bhajato payirupāsato, sammappadhāne paccavekkhato imehi tīhākārehi vīriyindriyaṃ visujjhati.

    ‘‘มุฎฺฐสฺสตี ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, อุปฎฺฐิตสฺสตี ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, สติปฎฺฐาเน ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ สตินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ

    ‘‘Muṭṭhassatī puggale parivajjayato, upaṭṭhitassatī puggale sevato bhajato payirupāsato, satipaṭṭhāne paccavekkhato imehi tīhākārehi satindriyaṃ visujjhati.

    ‘‘อสมาหิเต ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, สมาหิเต ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, ฌานวิโมเกฺข ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ สมาธินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ

    ‘‘Asamāhite puggale parivajjayato, samāhite puggale sevato bhajato payirupāsato, jhānavimokkhe paccavekkhato imehi tīhākārehi samādhindriyaṃ visujjhati.

    ‘‘ทุปฺปเญฺญ ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, ปญฺญวเนฺต ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, คมฺภีรญาณจริยํ ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ ปญฺญินฺทฺริยํ วิสุชฺฌตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๘๔-๑๘๕)ฯ

    ‘‘Duppaññe puggale parivajjayato, paññavante puggale sevato bhajato payirupāsato, gambhīrañāṇacariyaṃ paccavekkhato imehi tīhākārehi paññindriyaṃ visujjhatī’’ti (paṭi. ma. 1.184-185).

    เอตฺถ จ คมฺภีรญาณจริยํ ปจฺจเวกฺขโตติ สณฺหสุขุมํ ขนฺธนฺตรํ, อายตนนฺตรํ, ธาตนฺตรํ, อินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคนฺตรํ, มคฺคนฺตรํ, ผลนฺตรญฺจ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ อิเมสญฺหิ ติณฺณํ ติณฺณํ การณานํ วเสน อกตาภินิเวโส อาทิกมฺมิโก โยคาวจโร สทฺธาธุราทีสุ อภินิเวสํ ปฎฺฐเปตฺวา ภาเวโนฺต อวสาเน วิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหติฯ โส ยาว อรหตฺตมคฺคา อิมานิ อินฺทฺริยานิ ภาเวติ นาม, อรหตฺตผเล ปเตฺต ภาวิตินฺทฺริโย นาม โหตีติฯ เอวํ อิมานิปิ ปญฺจินฺทฺริยานิ โลกิยโลกุตฺตราเนว กถิตานีติฯ

    Ettha ca gambhīrañāṇacariyaṃ paccavekkhatoti saṇhasukhumaṃ khandhantaraṃ, āyatanantaraṃ, dhātantaraṃ, indriyabalabojjhaṅgantaraṃ, maggantaraṃ, phalantarañca paccavekkhantassāti attho. Imesañhi tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ kāraṇānaṃ vasena akatābhiniveso ādikammiko yogāvacaro saddhādhurādīsu abhinivesaṃ paṭṭhapetvā bhāvento avasāne vivaṭṭetvā arahattaṃ gaṇhati. So yāva arahattamaggā imāni indriyāni bhāveti nāma, arahattaphale patte bhāvitindriyo nāma hotīti. Evaṃ imānipi pañcindriyāni lokiyalokuttarāneva kathitānīti.

    สทฺธาพลาทีสุ สทฺธาเยว อกมฺปิยเฎฺฐน พลนฺติ สทฺธาพลํฯ วีริยพลาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ หิ สทฺธา อสฺสทฺธิเย น กมฺปติ, วีริยํ โกสเชฺชน น กมฺปติ, สติ มุฎฺฐสฺสเจฺจน น กมฺปติ, สมาธิ อุทฺธเจฺจ น กมฺปติ, ปญฺญา อวิชฺชาย น กมฺปตีติ สพฺพานิปิ อกมฺปิยเฎฺฐน พลานีติ วุจฺจนฺติฯ ภาวนานโย ปเนตฺถ อินฺทฺริยภาวนายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพติฯ อิมานิ โลกิยโลกุตฺตราเนว กถิตานีติฯ

    Saddhābalādīsu saddhāyeva akampiyaṭṭhena balanti saddhābalaṃ. Vīriyabalādīsupi eseva nayo. Ettha hi saddhā assaddhiye na kampati, vīriyaṃ kosajjena na kampati, sati muṭṭhassaccena na kampati, samādhi uddhacce na kampati, paññā avijjāya na kampatīti sabbānipi akampiyaṭṭhena balānīti vuccanti. Bhāvanānayo panettha indriyabhāvanāyaṃ vuttanayeneva veditabboti. Imāni lokiyalokuttarāneva kathitānīti.

    ๔๑๘. สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวตีติ เอตฺถ อยํ อาทิกมฺมิกานํ กุลปุตฺตานํ วเสน สทฺธิํ อตฺถวณฺณนาย ภาวนานโยฯ ตตฺถ สติสโมฺพชฺฌงฺคนฺติอาทินา นเยน วุตฺตานํ สตฺตนฺนํ อาทิปทานํ ตาว อยมตฺถวณฺณนา – สติสโมฺพชฺฌเงฺค ตาว สรณเฎฺฐน สติ, สา ปเนสา อุปฎฺฐานลกฺขณา, อปิลาปนลกฺขณา วาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘ยถา, มหาราช , รโญฺญ ภณฺฑาคาริโก รโญฺญ สาปเตยฺยํ อปิลาเปติ ‘เอตฺตกํ, มหาราช, หิรญฺญํ, เอตฺตกํ สุวณฺณํ, เอตฺตกํ สาปเตยฺย’นฺติฯ เอวเมว โข, มหาราช, สติ อุปฺปชฺชมานา กุสลากุสลสาวชฺชานวชฺชหีนปฺปณีตกณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาเค ธเมฺม อปิลาเปติ อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๓) วิตฺถาโรฯ อปิลาปนรสา, กิจฺจวเสเนว หิสฺสา เอตํ ลกฺขณํ เถเรน วุตฺตํฯ อสโมฺมสรสา วา, โคจราภิมุขีภาวปจฺจุปฎฺฐานาฯ สติ เอว สโมฺพชฺฌโงฺคติ สติสโมฺพชฺฌโงฺค

    418.Satisambojjhaṅgaṃ bhāvetīti ettha ayaṃ ādikammikānaṃ kulaputtānaṃ vasena saddhiṃ atthavaṇṇanāya bhāvanānayo. Tattha satisambojjhaṅgantiādinā nayena vuttānaṃ sattannaṃ ādipadānaṃ tāva ayamatthavaṇṇanā – satisambojjhaṅge tāva saraṇaṭṭhena sati, sā panesā upaṭṭhānalakkhaṇā, apilāpanalakkhaṇā vā. Vuttampi cetaṃ – ‘‘yathā, mahārāja , rañño bhaṇḍāgāriko rañño sāpateyyaṃ apilāpeti ‘ettakaṃ, mahārāja, hiraññaṃ, ettakaṃ suvaṇṇaṃ, ettakaṃ sāpateyya’nti. Evameva kho, mahārāja, sati uppajjamānā kusalākusalasāvajjānavajjahīnappaṇītakaṇhasukkasappaṭibhāge dhamme apilāpeti ime cattāro satipaṭṭhānā’’ti (mi. pa. 2.1.13) vitthāro. Apilāpanarasā, kiccavaseneva hissā etaṃ lakkhaṇaṃ therena vuttaṃ. Asammosarasā vā, gocarābhimukhībhāvapaccupaṭṭhānā. Sati eva sambojjhaṅgoti satisambojjhaṅgo.

    ตตฺถ โพธิยา, โพธิสฺส วา อโงฺคติ โพชฺฌโงฺคฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยา หิ อยํ ธมฺมสามคฺคียาย โลกิยโลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ อุปฺปชฺชมานาย ลีนุทฺธจฺจปติฎฺฐานายูหนกามสุขอตฺตกิลมถานุโยคอุเจฺฉทสสฺสตาภินิเวสาทีนํ อเนเกสํ อุปทฺทวานํ ปฎิปกฺขภูตาย สติธมฺมวิจยวีริยปีติปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสงฺขาตาย ธมฺมสามคฺคิยา อริยสาวโก พุชฺฌตีติ กตฺวา โพธีติ วุจฺจติ, พุชฺฌตีติ กิเลสสนฺตานนิทฺทาย อุฎฺฐหติ, จตฺตาริ วา อริยสจฺจานิ ปฎิวิชฺฌติ, นิพฺพานเมว วา สจฺฉิกโรตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห – ‘‘สตฺต โพชฺฌเงฺค ภาเวตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๗๘; ที. นิ. ๓.๑๔๓)ฯ ตสฺสา ธมฺมสามคฺคิสงฺขาตาย โพธิยา อโงฺคติปิ โพชฺฌโงฺค ฌานงฺคมคฺคงฺคาทโย วิย ฯ โยเปส ยถาวุตฺตปฺปการาย เอตาย ธมฺมสามคฺคิยา พุชฺฌตีติ กตฺวา อริยสาวโก โพธีติ วุจฺจติ, ตสฺส อโงฺคติปิ โพชฺฌโงฺค เสนงฺครถงฺคาทโย วิยฯ เตนาหุ อฎฺฐกถาจริยา – ‘‘พุชฺฌนกสฺส ปุคฺคลสฺส องฺคาติ วา โพชฺฌงฺคา’’ติฯ

    Tattha bodhiyā, bodhissa vā aṅgoti bojjhaṅgo. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yā hi ayaṃ dhammasāmaggīyāya lokiyalokuttaramaggakkhaṇe uppajjamānāya līnuddhaccapatiṭṭhānāyūhanakāmasukhaattakilamathānuyogaucchedasassatābhinivesādīnaṃ anekesaṃ upaddavānaṃ paṭipakkhabhūtāya satidhammavicayavīriyapītipassaddhisamādhiupekkhāsaṅkhātāya dhammasāmaggiyā ariyasāvako bujjhatīti katvā bodhīti vuccati, bujjhatīti kilesasantānaniddāya uṭṭhahati, cattāri vā ariyasaccāni paṭivijjhati, nibbānameva vā sacchikarotīti vuttaṃ hoti. Yathāha – ‘‘satta bojjhaṅge bhāvetvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho’’ti (saṃ. ni. 5.378; dī. ni. 3.143). Tassā dhammasāmaggisaṅkhātāya bodhiyā aṅgotipi bojjhaṅgo jhānaṅgamaggaṅgādayo viya . Yopesa yathāvuttappakārāya etāya dhammasāmaggiyā bujjhatīti katvā ariyasāvako bodhīti vuccati, tassa aṅgotipi bojjhaṅgo senaṅgarathaṅgādayo viya. Tenāhu aṭṭhakathācariyā – ‘‘bujjhanakassa puggalassa aṅgāti vā bojjhaṅgā’’ti.

    อปิจ ‘‘โพชฺฌงฺคาติ เกนเฎฺฐน โพชฺฌงฺคา? โพธาย สํวตฺตนฺตีติ โพชฺฌงฺคา, พุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา, อนุพุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา, ปฎิพุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา, สมฺพุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา’’ติ อิมินา ปฎิสมฺภิทานเยนาปิ (ปฎิ. ม. ๒.๑๗) โพชฺฌงฺคโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปสโตฺถ สุนฺทโร จ โพชฺฌโงฺค สโมฺพชฺฌโงฺค, สติ เอว สโมฺพชฺฌโงฺค สติสโมฺพชฺฌโงฺค, ตํ สติสโมฺพชฺฌงฺคํฯ

    Apica ‘‘bojjhaṅgāti kenaṭṭhena bojjhaṅgā? Bodhāya saṃvattantīti bojjhaṅgā, bujjhantīti bojjhaṅgā, anubujjhantīti bojjhaṅgā, paṭibujjhantīti bojjhaṅgā, sambujjhantīti bojjhaṅgā’’ti iminā paṭisambhidānayenāpi (paṭi. ma. 2.17) bojjhaṅgattho veditabbo. Pasattho sundaro ca bojjhaṅgo sambojjhaṅgo, sati eva sambojjhaṅgo satisambojjhaṅgo, taṃ satisambojjhaṅgaṃ.

    ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคนฺติอาทีสุปิ จตุสจฺจธเมฺม วิจินตีติ ธมฺมวิจโยฯ โส ปวิจยลกฺขโณ, โอภาสนรโส, อสโมฺมหปจฺจุปฎฺฐาโนฯ วีรภาวโต, วิธินา อีรยิตพฺพโต จ วีริยํฯ ตํ ปคฺคหลกฺขณํ, อุปถมฺภนรสํ , อโนสีทนปจฺจุปฎฺฐานํฯ ปีณยตีติ ปีติฯ สา ผรณลกฺขณา, ตุฎฺฐิลกฺขณา วา, กายจิตฺตานํ ปีณนรสา, เนสํเยว โอทคฺยปจฺจุปฎฺฐานาฯ กายจิตฺตทรถปฺปสฺสมฺภนโต ปสฺสทฺธิฯ สา อุปสมลกฺขณา, กายจิตฺตทรถมทฺทนรสา, กายจิตฺตานํ อปริปฺผนฺทสีติภาวปจฺจุปฎฺฐานาฯ สมาธานโต สมาธิฯ โส อวิเกฺขปลกฺขโณ, อวิสารลกฺขโณ วา, จิตฺตเจตสิกานํ สมฺปิณฺฑนรโส, จิตฺตฎฺฐิติปจฺจุปฎฺฐาโนฯ อชฺฌุเปกฺขนโต อุเปกฺขาฯ สา ปฎิสงฺขานลกฺขณา, สมวาหิตลกฺขณา วา, อูนาธิกนิวารณรสา, ปกฺขปาตุปเจฺฉทนรสา วา, มชฺฌตฺตภาวปจฺจุปฎฺฐานาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ ภาเวตีติ พฺรูเหติ วเฑฺฒติ, อุปฺปาเทตีติ อโตฺถฯ

    Dhammavicayasambojjhaṅgantiādīsupi catusaccadhamme vicinatīti dhammavicayo. So pavicayalakkhaṇo, obhāsanaraso, asammohapaccupaṭṭhāno. Vīrabhāvato, vidhinā īrayitabbato ca vīriyaṃ. Taṃ paggahalakkhaṇaṃ, upathambhanarasaṃ , anosīdanapaccupaṭṭhānaṃ. Pīṇayatīti pīti. Sā pharaṇalakkhaṇā, tuṭṭhilakkhaṇā vā, kāyacittānaṃ pīṇanarasā, nesaṃyeva odagyapaccupaṭṭhānā. Kāyacittadarathappassambhanato passaddhi. Sā upasamalakkhaṇā, kāyacittadarathamaddanarasā, kāyacittānaṃ aparipphandasītibhāvapaccupaṭṭhānā. Samādhānato samādhi. So avikkhepalakkhaṇo, avisāralakkhaṇo vā, cittacetasikānaṃ sampiṇḍanaraso, cittaṭṭhitipaccupaṭṭhāno. Ajjhupekkhanato upekkhā. Sā paṭisaṅkhānalakkhaṇā, samavāhitalakkhaṇā vā, ūnādhikanivāraṇarasā, pakkhapātupacchedanarasā vā, majjhattabhāvapaccupaṭṭhānā. Sesaṃ vuttanayameva. Bhāvetīti brūheti vaḍḍheti, uppādetīti attho.

    ตตฺถ จตฺตาโร ธมฺมา สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺตีติ เวทิตพฺพา สติสมฺปชญฺญํ มุฎฺฐสฺสติปุคฺคลปริวชฺชนตา อุปฎฺฐิตสฺสติปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ อภิกฺกนฺตาทีสุ หิ สตฺตสุ ฐาเนสุ สติสมฺปชเญฺญน, ภตฺตนิกฺขิตฺตกากสทิเส มุฎฺฐสฺสติปุคฺคเล ปริวชฺชเนน, ติสฺสทตฺตเตฺถรอภยเตฺถราทิสทิเส อุปฎฺฐิตสฺสติปุคฺคเล เสวเนน, ฐานนิสชฺชาทีสุ สติสมุฎฺฐาปนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตตาย จ สติสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมา อาทิกมฺมิโก กุลปุโตฺต อิเมหิ จตูหิ การเณหิ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ตเทว ธุรํ กตฺวา อภินิเวสํ ปฎฺฐเปตฺวา อนุกฺกเมน อรหตฺตํ คณฺหาติฯ โส ยาว อรหตฺตมคฺคา สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ นาม, ผเล ปเตฺต ภาวิโต นาม โหติฯ

    Tattha cattāro dhammā satisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattantīti veditabbā satisampajaññaṃ muṭṭhassatipuggalaparivajjanatā upaṭṭhitassatipuggalasevanatā tadadhimuttatāti. Abhikkantādīsu hi sattasu ṭhānesu satisampajaññena, bhattanikkhittakākasadise muṭṭhassatipuggale parivajjanena, tissadattattheraabhayattherādisadise upaṭṭhitassatipuggale sevanena, ṭhānanisajjādīsu satisamuṭṭhāpanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittatāya ca satisambojjhaṅgo uppajjati. Tasmā ādikammiko kulaputto imehi catūhi kāraṇehi satisambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpetvā tadeva dhuraṃ katvā abhinivesaṃ paṭṭhapetvā anukkamena arahattaṃ gaṇhāti. So yāva arahattamaggā satisambojjhaṅgaṃ bhāveti nāma, phale patte bhāvito nāma hoti.

    สตฺต ธมฺมา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ ปริปุจฺฉกตา, วตฺถุวิสทกิริยา, อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนา, ทุปฺปญฺญปุคฺคลปริวชฺชนา, ปญฺญวนฺตปุคฺคลเสวนา, คมฺภีรญาณจริยปจฺจเวกฺขณา, ตทธิมุตฺตตาติฯ ตตฺถ ปริปุจฺฉกตาติ ขนฺธธาตุอายตนอินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคงฺคฌานสมถวิปสฺสนานํ อตฺถสนฺนิสฺสิตปริปุจฺฉาพหุลตาฯ

    Satta dhammā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti paripucchakatā, vatthuvisadakiriyā, indriyasamattapaṭipādanā, duppaññapuggalaparivajjanā, paññavantapuggalasevanā, gambhīrañāṇacariyapaccavekkhaṇā, tadadhimuttatāti. Tattha paripucchakatāti khandhadhātuāyatanaindriyabalabojjhaṅgamaggaṅgajhānasamathavipassanānaṃ atthasannissitaparipucchābahulatā.

    วตฺถุวิสทกิริยาติ อชฺฌตฺติกพาหิรานํ วตฺถูนํ วิสทภาวกรณํฯ ยทา หิสฺส เกสนขโลมา ทีฆา โหนฺติ, สรีรํ วา อุปฺปนฺนโทสเญฺจว เสทมลมกฺขิตญฺจ , ตทา อชฺฌตฺติกํ วตฺถุ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํฯ ยทา ปน จีวรํ ชิณฺณํ กิลิฎฺฐํ ทุคฺคนฺธํ วา โหติ, เสนาสนํ วา อุกฺลาปํ, ตทา พาหิรํ วตฺถุ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํฯ ตสฺมา เกสาทิเจฺฉทเนน อุทฺธํวิเรจนอโธวิเรจนาทีหิ สรีรสลฺลหุกภาวกรเณน อุจฺฉาทนนหาปเนน จ อชฺฌตฺติกวตฺถุ วิสทํ กาตพฺพํฯ สูจิกมฺมโธวนรชนปริภณฺฑกรณาทีหิ พาหิรวตฺถุ วิสทํ กาตพฺพํฯ เอตสฺมิญฺหิ อชฺฌตฺติกพาหิเร วตฺถุมฺหิ อวิสเท อุปฺปเนฺนสุ จิตฺตเจตสิเกสุ ญาณมฺปิ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํ อปริสุทฺธานิ ทีปกปลฺลวฎฺฎิเตลาทีนิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนทีปสิขาย โอภาโส วิยฯ วิสเท ปน อชฺฌตฺติกพาหิเร วตฺถุมฺหิ อุปฺปเนฺนสุ จิตฺตเจตสิเกสุ ญาณมฺปิ วิสทํ โหติ ปริสุทฺธานิ ทีปกปลฺลวฎฺฎิเตลาทีนิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนทีปสิขาย โอภาโส วิยฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วตฺถุวิสทกิริยา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตตี’’ติฯ

    Vatthuvisadakiriyāti ajjhattikabāhirānaṃ vatthūnaṃ visadabhāvakaraṇaṃ. Yadā hissa kesanakhalomā dīghā honti, sarīraṃ vā uppannadosañceva sedamalamakkhitañca , tadā ajjhattikaṃ vatthu avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ. Yadā pana cīvaraṃ jiṇṇaṃ kiliṭṭhaṃ duggandhaṃ vā hoti, senāsanaṃ vā uklāpaṃ, tadā bāhiraṃ vatthu avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ. Tasmā kesādicchedanena uddhaṃvirecanaadhovirecanādīhi sarīrasallahukabhāvakaraṇena ucchādananahāpanena ca ajjhattikavatthu visadaṃ kātabbaṃ. Sūcikammadhovanarajanaparibhaṇḍakaraṇādīhi bāhiravatthu visadaṃ kātabbaṃ. Etasmiñhi ajjhattikabāhire vatthumhi avisade uppannesu cittacetasikesu ñāṇampi avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ aparisuddhāni dīpakapallavaṭṭitelādīni nissāya uppannadīpasikhāya obhāso viya. Visade pana ajjhattikabāhire vatthumhi uppannesu cittacetasikesu ñāṇampi visadaṃ hoti parisuddhāni dīpakapallavaṭṭitelādīni nissāya uppannadīpasikhāya obhāso viya. Tena vuttaṃ – ‘‘vatthuvisadakiriyā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattatī’’ti.

    อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนา นาม สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ สมภาวกรณํฯ สเจ หิสฺส สทฺธินฺทฺริยํ พลวํ โหติ, อิตรานิ มนฺทานิ, ตโต วีริยินฺทฺริยํ ปคฺคหกิจฺจํ, สตินฺทฺริยํ อุปฎฺฐานกิจฺจํ, สมาธินฺทฺริยํ อวิเกฺขปกิจฺจํ, ปญฺญินฺทฺริยํ ทสฺสนกิจฺจํ กาตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺมา ตํ ธมฺมสภาวปจฺจเวกฺขเณน วา, ยถา วา มนสิกโรโต พลวํ ชาตํ, ตถา อมนสิกาเรน หาเปตพฺพํฯ วกฺกลิเตฺถรวตฺถุ เจตฺถ นิทสฺสนํฯ สเจ ปน วีริยินฺทฺริยํ พลวํ โหติ, อถ เนว สทฺธินฺทฺริยํ อธิโมกฺขกิจฺจํ กาตุํ สโกฺกติ, น อิตรานิ อิตรกิจฺจเภทํฯ ตสฺมา ตํ ปสฺสทฺธาทิภาวนาย หาเปตพฺพํฯ ตตฺราปิ โสณเตฺถรสฺส วตฺถุ ทเสฺสตพฺพํฯ เอวํ เสเสสุปิ เอกสฺส พลวภาเว สติ อิตเรสํ อตฺตโน กิเจฺจสุ อสมตฺถตา เวทิตพฺพาฯ

    Indriyasamattapaṭipādanā nāma saddhādīnaṃ indriyānaṃ samabhāvakaraṇaṃ. Sace hissa saddhindriyaṃ balavaṃ hoti, itarāni mandāni, tato vīriyindriyaṃ paggahakiccaṃ, satindriyaṃ upaṭṭhānakiccaṃ, samādhindriyaṃ avikkhepakiccaṃ, paññindriyaṃ dassanakiccaṃ kātuṃ na sakkoti. Tasmā taṃ dhammasabhāvapaccavekkhaṇena vā, yathā vā manasikaroto balavaṃ jātaṃ, tathā amanasikārena hāpetabbaṃ. Vakkalittheravatthu cettha nidassanaṃ. Sace pana vīriyindriyaṃ balavaṃ hoti, atha neva saddhindriyaṃ adhimokkhakiccaṃ kātuṃ sakkoti, na itarāni itarakiccabhedaṃ. Tasmā taṃ passaddhādibhāvanāya hāpetabbaṃ. Tatrāpi soṇattherassa vatthu dassetabbaṃ. Evaṃ sesesupi ekassa balavabhāve sati itaresaṃ attano kiccesu asamatthatā veditabbā.

    วิเสสโต ปเนตฺถ สทฺธาปญฺญานํ สมาธิวีริยานญฺจ สมตํ ปสํสนฺติฯ พลวสโทฺธ หิ มนฺทปโญฺญ มุธปฺปสโนฺน โหติ, อวตฺถุมฺหิ ปสีทติฯ พลวปโญฺญ มนฺทสโทฺธ เกราฎิกปกฺขํ ภชติ , เภสชฺชสมุฎฺฐิโต วิย โรโค อเตกิโจฺฉ โหติฯ จิตฺตุปฺปาทมเตฺตเนว กุสลํ โหตีติ อติธาวิตฺวา ทานาทีนิ อกโรโนฺต นิรเย อุปฺปชฺชติฯ อุภินฺนํ สมตาย วตฺถุสฺมิํเยว ปสีทติฯ พลวสมาธิํ ปน มนฺทวีริยํ สมาธิสฺส โกสชฺชปกฺขตฺตา โกสชฺชํ อภิภวติฯ พลววีริยํ มนฺทสมาธิํ วีริยสฺส อุทฺธจฺจปกฺขตฺตา อุทฺธจฺจํ อภิภวติฯ สมาธิ ปน วีริเยน สํโยชิโต โกสเชฺช ปติตุํ น ลภติ, วีริยํ สมาธินา สํโยชิตํ อุทฺธเจฺจ ปติตุํ น ลภติฯ ตสฺมา ตํ อุภยํ สมํ กตฺตพฺพํฯ อุภยสมตาย หิ อปฺปนา โหติฯ

    Visesato panettha saddhāpaññānaṃ samādhivīriyānañca samataṃ pasaṃsanti. Balavasaddho hi mandapañño mudhappasanno hoti, avatthumhi pasīdati. Balavapañño mandasaddho kerāṭikapakkhaṃ bhajati , bhesajjasamuṭṭhito viya rogo atekiccho hoti. Cittuppādamatteneva kusalaṃ hotīti atidhāvitvā dānādīni akaronto niraye uppajjati. Ubhinnaṃ samatāya vatthusmiṃyeva pasīdati. Balavasamādhiṃ pana mandavīriyaṃ samādhissa kosajjapakkhattā kosajjaṃ abhibhavati. Balavavīriyaṃ mandasamādhiṃ vīriyassa uddhaccapakkhattā uddhaccaṃ abhibhavati. Samādhi pana vīriyena saṃyojito kosajje patituṃ na labhati, vīriyaṃ samādhinā saṃyojitaṃ uddhacce patituṃ na labhati. Tasmā taṃ ubhayaṃ samaṃ kattabbaṃ. Ubhayasamatāya hi appanā hoti.

    อปิจ สมาธิกมฺมิกสฺส พลวตีปิ สทฺธา วฎฺฎติฯ เอวญฺหิ สทฺทหโนฺต โอกเปฺปโนฺต อปฺปนํ ปาปุณิสฺสติฯ สมาธิปญฺญาสุ ปน สมาธิกมฺมิกสฺส เอกคฺคตา พลวตี วฎฺฎติฯ เอวญฺหิ โส อปฺปนํ ปาปุณาติฯ วิปสฺสนากมฺมิกสฺส ปญฺญา พลวตี วฎฺฎติฯ เอวญฺหิ โส ลกฺขณปฎิเวธํ ปาปุณาติฯ อุภินฺนํ ปน สมตายปิ อปฺปนา โหติเยวฯ สติ ปน สพฺพตฺถ พลวตี วฎฺฎติฯ สติ หิ จิตฺตํ อุทฺธจฺจปกฺขิกานํ สทฺธาวีริยปญฺญานํ วเสน อุทฺธจฺจปาตโต โกสชฺชปกฺขิเกน จ สมาธินา โกสชฺชปาตโต รกฺขติฯ ตสฺมา สา โลณธูปนํ วิย สพฺพพฺยญฺชเนสุ, สพฺพกมฺมิโก อมโจฺจ วิย จ สพฺพราชกิเจฺจสุ, สพฺพตฺถ อิจฺฉิตพฺพาฯ เตนาห – ‘‘สติ จ ปน สพฺพตฺถิกา วุตฺตา (สํ. นิ. ๕.๒๓๔) ภควตาฯ กิํ การณา? จิตฺตญฺหิ สติปฎิสรณํ, อารกฺขปจฺจุปฎฺฐานา จ สติ, น วินา สติยา จิตฺตสฺส ปคฺคหนิคฺคโห โหตี’’ติฯ

    Apica samādhikammikassa balavatīpi saddhā vaṭṭati. Evañhi saddahanto okappento appanaṃ pāpuṇissati. Samādhipaññāsu pana samādhikammikassa ekaggatā balavatī vaṭṭati. Evañhi so appanaṃ pāpuṇāti. Vipassanākammikassa paññā balavatī vaṭṭati. Evañhi so lakkhaṇapaṭivedhaṃ pāpuṇāti. Ubhinnaṃ pana samatāyapi appanā hotiyeva. Sati pana sabbattha balavatī vaṭṭati. Sati hi cittaṃ uddhaccapakkhikānaṃ saddhāvīriyapaññānaṃ vasena uddhaccapātato kosajjapakkhikena ca samādhinā kosajjapātato rakkhati. Tasmā sā loṇadhūpanaṃ viya sabbabyañjanesu, sabbakammiko amacco viya ca sabbarājakiccesu, sabbattha icchitabbā. Tenāha – ‘‘sati ca pana sabbatthikā vuttā (saṃ. ni. 5.234) bhagavatā. Kiṃ kāraṇā? Cittañhi satipaṭisaraṇaṃ, ārakkhapaccupaṭṭhānā ca sati, na vinā satiyā cittassa paggahaniggaho hotī’’ti.

    ทุปฺปญฺญปุคฺคลปริวชฺชนา นาม ขนฺธาทิเภเทสุ อโนคาฬฺหปญฺญานํ ทุเมฺมธปุคฺคลานํ อารกา ปริวชฺชนํฯ ปญฺญวนฺตปุคฺคลเสวนา นาม สมปญฺญาสลกฺขณปริคฺคาหิกาย อุทยพฺพยปญฺญาย สมนฺนาคตปุคฺคลเสวนาฯ คมฺภีรญาณจริยปจฺจเวกฺขณา นาม คมฺภีเรสุ ขนฺธาทีสุ ปวตฺตาย คมฺภีรปญฺญาย ปเภทปจฺจเวกฺขณาฯ ตทธิมุตฺตตา นาม ฐานนิสชฺชาทีสุ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสมุฎฺฐาปนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตตาฯ ตสฺมา อาทิกมฺมิโก กุลปุโตฺต อิเมหิ สตฺตหิ การเณหิ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ตเทว ธุรํ กตฺวา อภินิเวสํ ปฎฺฐเปตฺวา อนุกฺกเมน อรหตฺตํ คณฺหาติฯ โส ยาว อรหตฺตมคฺคา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ นาม, ผเล ปเตฺต ภาวิโต นาม โหติฯ

    Duppaññapuggalaparivajjanā nāma khandhādibhedesu anogāḷhapaññānaṃ dummedhapuggalānaṃ ārakā parivajjanaṃ. Paññavantapuggalasevanā nāma samapaññāsalakkhaṇapariggāhikāya udayabbayapaññāya samannāgatapuggalasevanā. Gambhīrañāṇacariyapaccavekkhaṇā nāma gambhīresu khandhādīsu pavattāya gambhīrapaññāya pabhedapaccavekkhaṇā. Tadadhimuttatā nāma ṭhānanisajjādīsu dhammavicayasambojjhaṅgasamuṭṭhāpanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittatā. Tasmā ādikammiko kulaputto imehi sattahi kāraṇehi dhammavicayasambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpetvā tadeva dhuraṃ katvā abhinivesaṃ paṭṭhapetvā anukkamena arahattaṃ gaṇhāti. So yāva arahattamaggā dhammavicayasambojjhaṅgaṃ bhāveti nāma, phale patte bhāvito nāma hoti.

    เอกาทส ธมฺมา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – อปายภยปจฺจเวกฺขณตา, อานิสํสทสฺสาวิตา , คมนวีถิปจฺจเวกฺขณตา, ปิณฺฑปาตาปจายนตา, ทายชฺชมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา, สตฺถุมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา, ชาติมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา , สพฺรหฺมจาริมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา, กุสีตปุคฺคลปริวชฺชนตา, อารทฺธวีริยปุคฺคลเสวนตา, ตทธิมุตฺตตาติฯ

    Ekādasa dhammā vīriyasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – apāyabhayapaccavekkhaṇatā, ānisaṃsadassāvitā , gamanavīthipaccavekkhaṇatā, piṇḍapātāpacāyanatā, dāyajjamahattapaccavekkhaṇatā, satthumahattapaccavekkhaṇatā, jātimahattapaccavekkhaṇatā , sabrahmacārimahattapaccavekkhaṇatā, kusītapuggalaparivajjanatā, āraddhavīriyapuggalasevanatā, tadadhimuttatāti.

    ตตฺถ ‘‘นิรเยสุ ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมกรณโต ปฎฺฐาย มหาทุกฺขํ อนุภวนกาเลปิ, ติรจฺฉานโยนิยํ ชาลกฺขิปกุมินาทีหิ คหิตกาเลปิ, ปาชนกณฺฎกาทิปฺปหารตุนฺนสฺส ปน สกฎวหนาทิกาเลปิ, เปตฺติวิสเย อเนกานิปิ วสฺสสหสฺสานิ เอกํ พุทฺธนฺตรมฺปิ ขุปฺปิปาสาหิ อาตุรีภูตกาเลปิ, กาลกญฺชิกอสุเรสุ สฎฺฐิหตฺถอสีติหตฺถปฺปมาเณน อฎฺฐิจมฺมมเตฺตเนว อตฺตภาเวน วาตาตปาทิทุกฺขานุภวนกาเลปิ น สกฺกา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคํ อุปฺปาเทตุํฯ อยเมว เต ภิกฺขุ กาโล’’ติ เอวํ อปายภยํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ วีริยสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ

    Tattha ‘‘nirayesu pañcavidhabandhanakammakaraṇato paṭṭhāya mahādukkhaṃ anubhavanakālepi, tiracchānayoniyaṃ jālakkhipakuminādīhi gahitakālepi, pājanakaṇṭakādippahāratunnassa pana sakaṭavahanādikālepi, pettivisaye anekānipi vassasahassāni ekaṃ buddhantarampi khuppipāsāhi āturībhūtakālepi, kālakañjikaasuresu saṭṭhihatthaasītihatthappamāṇena aṭṭhicammamatteneva attabhāvena vātātapādidukkhānubhavanakālepi na sakkā vīriyasambojjhaṅgaṃ uppādetuṃ. Ayameva te bhikkhu kālo’’ti evaṃ apāyabhayaṃ paccavekkhantassāpi vīriyasambojjhaṅgo uppajjati.

    ‘‘น สกฺกา กุสีเตน นว โลกุตฺตรธมฺมา ลทฺธุํ, อารทฺธวีริเยเนว สกฺกา, อยมานิสํโส วีริยสฺสา’’ติ เอวํ อานิสํสทสฺสาวิโนปิ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘สพฺพพุทฺธปเจฺจกพุทฺธมหาสาวเกหิ คตมโคฺคว คนฺตโพฺพ, โส จ น สกฺกา กุสีเตน คนฺตุ’’นฺติ เอวํ คมนวีถิํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ

    ‘‘Na sakkā kusītena nava lokuttaradhammā laddhuṃ, āraddhavīriyeneva sakkā, ayamānisaṃso vīriyassā’’ti evaṃ ānisaṃsadassāvinopi uppajjati. ‘‘Sabbabuddhapaccekabuddhamahāsāvakehi gatamaggova gantabbo, so ca na sakkā kusītena gantu’’nti evaṃ gamanavīthiṃ paccavekkhantassāpi uppajjati.

    ‘‘เย ตํ ปิณฺฑปาตาทีหิ อุปฎฺฐหนฺติ, อิเม เต มนุสฺสา เนว ญาตกา, น ทาสกมฺมกรา, นาปิ ตํ นิสฺสาย ชีวิสฺสามาติ เต ปณีตานิ ปิณฺฑปาตาทีนิ เทนฺติฯ อถ โข อตฺตโน การานํ มหปฺผลตํ ปจฺจาสีสมานา เทนฺติฯ สตฺถาราปิ ‘อยํ อิเม ปจฺจเย ปริภุญฺชิตฺวา กายทฬฺหีพหุโล สุขํ วิหริสฺสตี’ติ น เอวํ สมฺปสฺสตา ตุยฺหํ ปจฺจยา อนุญฺญาตา, อถ โข ‘อยํ อิเม ปริภุญฺชมาโน สมณธมฺมํ กตฺวา วฎฺฎทุกฺขโต มุจฺจิสฺสตี’ติ เต ปจฺจยา อนุญฺญาตาฯ โส ทานิ ตฺวํ กุสีโต วิหรโนฺต น ตํ ปิณฺฑปาตํ อปจายิสฺสสิฯ อารทฺธวีริยเสฺสว หิ ปิณฺฑาปจายนํ นาม โหตี’’ติ เอวํ ปิณฺฑปาตาปจายนํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติ มหามิตฺตเตฺถรสฺส วิย ปิณฺฑปาติยติสฺสเตฺถรสฺส วิย จฯ

    ‘‘Ye taṃ piṇḍapātādīhi upaṭṭhahanti, ime te manussā neva ñātakā, na dāsakammakarā, nāpi taṃ nissāya jīvissāmāti te paṇītāni piṇḍapātādīni denti. Atha kho attano kārānaṃ mahapphalataṃ paccāsīsamānā denti. Satthārāpi ‘ayaṃ ime paccaye paribhuñjitvā kāyadaḷhībahulo sukhaṃ viharissatī’ti na evaṃ sampassatā tuyhaṃ paccayā anuññātā, atha kho ‘ayaṃ ime paribhuñjamāno samaṇadhammaṃ katvā vaṭṭadukkhato muccissatī’ti te paccayā anuññātā. So dāni tvaṃ kusīto viharanto na taṃ piṇḍapātaṃ apacāyissasi. Āraddhavīriyasseva hi piṇḍāpacāyanaṃ nāma hotī’’ti evaṃ piṇḍapātāpacāyanaṃ paccavekkhantassāpi uppajjati mahāmittattherassa viya piṇḍapātiyatissattherassa viya ca.

    มหามิตฺตเตฺถโร กิร กสฺสกเลเณ นาม ปฎิวสติฯ ตสฺส จ โคจรคาเม เอกา มหาอุปาสิกา เถรํ ปุตฺตํ กตฺวา ปฎิชคฺคติฯ สา เอกทิวสํ อรญฺญํ คจฺฉนฺตี ธีตรํ อาห – ‘‘อมฺม , อสุกสฺมิํ ฐาเน ปุราณตณฺฑุลา, อสุกสฺมิํ ขีรํ, อสุกสฺมิํ สปฺปิ, อสุกสฺมิํ ผาณิตํ, ตว ภาติกสฺส อยฺยมิตฺตสฺส อาคตกาเล ภตฺตํ ปจิตฺวา ขีรสปฺปิผาณิเตหิ สทฺธิํ เทหิ, ทตฺวา ตฺวญฺจ ภุเญฺชยฺยาสิฯ อหํ ปน หิโยฺย ปกฺกํ ปาริวาสิกภตฺตํ กญฺชิเยน ภุตฺตมฺหี’’ติฯ ทิวา กิํ ภุญฺชิสฺสสิ, อมฺมาติ? สากปณฺณํ ปกฺขิปิตฺวา กณตณฺฑุเลหิ อมฺพิลยาคุํ ปจิตฺวา ฐเปหิ, อมฺมาติฯ

    Mahāmittatthero kira kassakaleṇe nāma paṭivasati. Tassa ca gocaragāme ekā mahāupāsikā theraṃ puttaṃ katvā paṭijaggati. Sā ekadivasaṃ araññaṃ gacchantī dhītaraṃ āha – ‘‘amma , asukasmiṃ ṭhāne purāṇataṇḍulā, asukasmiṃ khīraṃ, asukasmiṃ sappi, asukasmiṃ phāṇitaṃ, tava bhātikassa ayyamittassa āgatakāle bhattaṃ pacitvā khīrasappiphāṇitehi saddhiṃ dehi, datvā tvañca bhuñjeyyāsi. Ahaṃ pana hiyyo pakkaṃ pārivāsikabhattaṃ kañjiyena bhuttamhī’’ti. Divā kiṃ bhuñjissasi, ammāti? Sākapaṇṇaṃ pakkhipitvā kaṇataṇḍulehi ambilayāguṃ pacitvā ṭhapehi, ammāti.

    เถโร จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ นีหรโนฺตว ตํ สทฺทํ สุตฺวา อตฺตานํ โอวทิ – ‘‘มหาอุปาสิกา กิร กญฺชิเยน ปาริวาสิกภตฺตํ ภุญฺชิ, ทิวาปิ กณปณฺณมฺพิลยาคุํ ภุญฺชิสฺสติ, ตุยฺหํ อตฺถาย ปน ปุราณตณฺฑุลาทีนิ อาจิกฺขติฯ ตํ นิสฺสาย โข ปเนสา เนว เขตฺตํ น วตฺถุํ น ภตฺตํ น วตฺถํ ปจฺจาสีสติ, ติโสฺส ปน สมฺปตฺติโย ปตฺถยมานา เทติฯ ตฺวํ เอติสฺสา ตา สมฺปตฺติโย ทาตุํ สกฺขิสฺสสิ, น สกฺขิสฺสสีติ, อยํ โข ปน ปิณฺฑปาโต ตยา สราเคน สโทเสน สโมเหน น สกฺกา คณฺหิตุ’’นฺติ ปตฺตํ ถวิกาย ปกฺขิปิตฺวา คณฺฐิกํ มุญฺจิตฺวา นิวตฺติตฺวา กสฺสกเลณเมว คนฺตฺวา ปตฺตํ เหฎฺฐามเญฺจ, จีวรญฺจ จีวรวํเส ฐเปตฺวา, ‘‘อรหตฺตํ อปาปุณิตฺวา น นิกฺขมิสฺสามี’’ติ วีริยํ อธิฎฺฐหิตฺวา นิสีทิฯ ทีฆรตฺตํ อปฺปมโตฺต หุตฺวา นิวุตฺถภิกฺขุ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปุเรภตฺตเมว อรหตฺตํ ปตฺวา วิกสมานมิว ปทุมํ มหาขีณาสโว สิตํ กโรโนฺตว นิกฺขมิฯ เลณทฺวาเร รุกฺขมฺหิ อธิวตฺถา เทวตา –

    Thero cīvaraṃ pārupitvā pattaṃ nīharantova taṃ saddaṃ sutvā attānaṃ ovadi – ‘‘mahāupāsikā kira kañjiyena pārivāsikabhattaṃ bhuñji, divāpi kaṇapaṇṇambilayāguṃ bhuñjissati, tuyhaṃ atthāya pana purāṇataṇḍulādīni ācikkhati. Taṃ nissāya kho panesā neva khettaṃ na vatthuṃ na bhattaṃ na vatthaṃ paccāsīsati, tisso pana sampattiyo patthayamānā deti. Tvaṃ etissā tā sampattiyo dātuṃ sakkhissasi, na sakkhissasīti, ayaṃ kho pana piṇḍapāto tayā sarāgena sadosena samohena na sakkā gaṇhitu’’nti pattaṃ thavikāya pakkhipitvā gaṇṭhikaṃ muñcitvā nivattitvā kassakaleṇameva gantvā pattaṃ heṭṭhāmañce, cīvarañca cīvaravaṃse ṭhapetvā, ‘‘arahattaṃ apāpuṇitvā na nikkhamissāmī’’ti vīriyaṃ adhiṭṭhahitvā nisīdi. Dīgharattaṃ appamatto hutvā nivutthabhikkhu vipassanaṃ vaḍḍhetvā purebhattameva arahattaṃ patvā vikasamānamiva padumaṃ mahākhīṇāsavo sitaṃ karontova nikkhami. Leṇadvāre rukkhamhi adhivatthā devatā –

    ‘‘นโม เต ปุริสาชญฺญ, นโม เต ปุริสุตฺตม;

    ‘‘Namo te purisājañña, namo te purisuttama;

    ยสฺส เต อาสวา ขีณา, ทกฺขิเณโยฺยสิ มาริสา’’ติฯ –

    Yassa te āsavā khīṇā, dakkhiṇeyyosi mārisā’’ti. –

    อุทานํ อุทาเนตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐานํ ตุมฺหาทิสานํ อรหนฺตานํ ภิกฺขํ ทตฺวา มหลฺลกิตฺถิโย ทุกฺขา มุจฺจิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ เถโร อุฎฺฐหิตฺวา ทฺวารํ วิวริตฺวา กาลํ โอโลเกโนฺต ‘‘ปาโตเยวา’’ติ ญตฺวา ปตฺตจีวรํ อาทาย คามํ ปาวิสิฯ

    Udānaṃ udānetvā, ‘‘bhante, piṇḍāya paviṭṭhānaṃ tumhādisānaṃ arahantānaṃ bhikkhaṃ datvā mahallakitthiyo dukkhā muccissantī’’ti āha. Thero uṭṭhahitvā dvāraṃ vivaritvā kālaṃ olokento ‘‘pātoyevā’’ti ñatvā pattacīvaraṃ ādāya gāmaṃ pāvisi.

    ทาริกาปิ ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา ‘‘อิทานิ เม ภาตา อาคมิสฺสติ, อิทานิ เม ภาตา อาคมิสฺสตี’’ติ ทฺวารํ โอโลกยมานา นิสีทิฯ สา เถเร ฆรทฺวารํ สมฺปเตฺต ปตฺตํ คเหตฺวา สปฺปิผาณิตโยชิตสฺส ขีรปิณฺฑปาตสฺส ปูเรตฺวา หเตฺถ ฐเปสิฯ เถโร ‘‘สุขํ โหตู’’ติ อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ สาปิ ตํ โอโลกยมานาว อฎฺฐาสิฯ เถรสฺส หิ ตทา อติวิย ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ อโหสิ, วิปฺปสนฺนานิ อินฺทฺริยานิ, มุขํ พนฺธนา ปวุตฺตตาลปกฺกํ วิย อติวิย วิโรจิตฺถฯ

    Dārikāpi bhattaṃ sampādetvā ‘‘idāni me bhātā āgamissati, idāni me bhātā āgamissatī’’ti dvāraṃ olokayamānā nisīdi. Sā there gharadvāraṃ sampatte pattaṃ gahetvā sappiphāṇitayojitassa khīrapiṇḍapātassa pūretvā hatthe ṭhapesi. Thero ‘‘sukhaṃ hotū’’ti anumodanaṃ katvā pakkāmi. Sāpi taṃ olokayamānāva aṭṭhāsi. Therassa hi tadā ativiya parisuddho chavivaṇṇo ahosi, vippasannāni indriyāni, mukhaṃ bandhanā pavuttatālapakkaṃ viya ativiya virocittha.

    มหาอุปาสิกา อรญฺญโต อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ, อมฺม, ภาติโก เต อาคโต’’ติ ปุจฺฉิฯ สา สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ อุปาสิกา ‘‘อชฺช เม ปุตฺตสฺส ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺต’’นฺติ ญตฺวา ‘‘อภิรมติ เต, อมฺม, ภาตา พุทฺธสาสเน, น อุกฺกณฺฐตี’’ติ อาหฯ

    Mahāupāsikā araññato āgantvā ‘‘kiṃ, amma, bhātiko te āgato’’ti pucchi. Sā sabbaṃ taṃ pavattiṃ ārocesi. Upāsikā ‘‘ajja me puttassa pabbajitakiccaṃ matthakaṃ patta’’nti ñatvā ‘‘abhiramati te, amma, bhātā buddhasāsane, na ukkaṇṭhatī’’ti āha.

    ปิณฺฑปาติกติสฺสเตฺถรวตฺถุ ปน เอวํ เวทิตพฺพํ – มหาคาเม กิร เอโก ทลิทฺทปุริโส ทารุวิกฺกเยน ชีวิกํ กเปฺปติฯ โส เตเนว การเณน นามํ ลภิตฺวา ทารุภณฺฑกมหาติโสฺส นาม ชาโตฯ โส เอกทิวสํ อตฺตโน ภริยํ อาห – ‘‘กิํ อมฺหากํ ชีวิตํ นาม, สตฺถารา ทฬิทฺททานสฺส มหปฺผลภาโว กถิโต, มยญฺจ นิพทฺธํ ทาตุํ น สโกฺกม, ปกฺขิกภตฺตมตฺตํ ทตฺวา ปุน อุปฺปนฺนํ สลากภตฺตมฺปิ ทสฺสามา’’ติฯ สา ‘‘สาธุ สามี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปุนทิวเส ยถาลาเภน ปกฺขิกภตฺตํ อทาสิฯ ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ปจฺจเยหิ นิปฺปริสฺสยกาโล โหติ, ทหรสามเณรา ปณีตโภชนานิ ภุญฺชิตฺวา ‘‘อยํ ลูขาหาโร’’ติ เตสํ ปกฺขิกภตฺตํ คหิตมตฺตกเมว กตฺวา เตสํ ปสฺสนฺตานํเยว ฉเฑฺฑตฺวา คจฺฉนฺติฯ

    Piṇḍapātikatissattheravatthu pana evaṃ veditabbaṃ – mahāgāme kira eko daliddapuriso dāruvikkayena jīvikaṃ kappeti. So teneva kāraṇena nāmaṃ labhitvā dārubhaṇḍakamahātisso nāma jāto. So ekadivasaṃ attano bhariyaṃ āha – ‘‘kiṃ amhākaṃ jīvitaṃ nāma, satthārā daḷiddadānassa mahapphalabhāvo kathito, mayañca nibaddhaṃ dātuṃ na sakkoma, pakkhikabhattamattaṃ datvā puna uppannaṃ salākabhattampi dassāmā’’ti. Sā ‘‘sādhu sāmī’’ti sampaṭicchitvā punadivase yathālābhena pakkhikabhattaṃ adāsi. Bhikkhusaṅghassa ca paccayehi nipparissayakālo hoti, daharasāmaṇerā paṇītabhojanāni bhuñjitvā ‘‘ayaṃ lūkhāhāro’’ti tesaṃ pakkhikabhattaṃ gahitamattakameva katvā tesaṃ passantānaṃyeva chaḍḍetvā gacchanti.

    สา อิตฺถี ตํ ทิสฺวา สามิกสฺส กเถสิ, ‘‘มยา ทินฺนํ ฉเฑฺฑนฺตี’’ติ น ปน วิปฺปฎิสารินี อโหสิฯ ตสฺสา สามิโก อาห – ‘‘มยํ ทุคฺคตภาเวน อยฺยานํ สุเขน ปริภุญฺชาเปตุํ นาสกฺขิมฺหฯ กิํ นุ โข กตฺวา อยฺยานํ มนํ คเหตุํ สกฺขิสฺสามา’’ติ? อถสฺส ภริยา อาห – ‘‘กิํ วเทสิ, สามิ, สปุตฺตกา ทุคฺคตา นาม นตฺถีติ อยํ เต ธีตา, อิมํ เอกสฺมิํ กุเล ฐเปตฺวา ทฺวาทส กหาปเณ คณฺหิตฺวา เอกํ ขีรเธนุํ อาหร, อยฺยานํ ขีรสลากภตฺตํ ทสฺสาม, เอวํ เตสํ จิตฺตํ คณฺหิตุํ สกฺขิสฺสามา’’ติฯ โส สาธูติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา อกาสิฯ เตสํ ปุเญฺญน สา เธนุ สายํ ตีณิ มาณิกานิ, ปาโต ตีณิ มาณิกานิ ขีรํ เทติฯ สายํ ลทฺธํ ทธิํ กตฺวา ปุนทิวเส ตโต คหิตนวนีเตน สปฺปิํ กตฺวา สสปฺปิปริเสกํ ขีรสลากภตฺตํ เทนฺติฯ ตโต ปฎฺฐาย ตสฺส เคเห สลากภตฺตํ ปุญฺญวนฺตาว ลภนฺติฯ

    Sā itthī taṃ disvā sāmikassa kathesi, ‘‘mayā dinnaṃ chaḍḍentī’’ti na pana vippaṭisārinī ahosi. Tassā sāmiko āha – ‘‘mayaṃ duggatabhāvena ayyānaṃ sukhena paribhuñjāpetuṃ nāsakkhimha. Kiṃ nu kho katvā ayyānaṃ manaṃ gahetuṃ sakkhissāmā’’ti? Athassa bhariyā āha – ‘‘kiṃ vadesi, sāmi, saputtakā duggatā nāma natthīti ayaṃ te dhītā, imaṃ ekasmiṃ kule ṭhapetvā dvādasa kahāpaṇe gaṇhitvā ekaṃ khīradhenuṃ āhara, ayyānaṃ khīrasalākabhattaṃ dassāma, evaṃ tesaṃ cittaṃ gaṇhituṃ sakkhissāmā’’ti. So sādhūti sampaṭicchitvā tathā akāsi. Tesaṃ puññena sā dhenu sāyaṃ tīṇi māṇikāni, pāto tīṇi māṇikāni khīraṃ deti. Sāyaṃ laddhaṃ dadhiṃ katvā punadivase tato gahitanavanītena sappiṃ katvā sasappiparisekaṃ khīrasalākabhattaṃ denti. Tato paṭṭhāya tassa gehe salākabhattaṃ puññavantāva labhanti.

    โส เอกทิวสํ ภริยํ อาห – ‘‘มยํ ธีตุ อตฺถิตาย ลชฺชิตพฺพโต จ มุตฺตา, เคเห จ โน ภตฺตํ อยฺยานํ ปริโภคารหํ ชาตํฯ ตฺวํ ยาว อหํ อาคจฺฉามิ, ตาว อิมสฺมิํ กลฺยาณวเตฺต มา ปมชฺชิฯ อหํ กิญฺจิเทว กตฺวา ธีตรํ โมเจสฺสามี’’ติฯ โส เอกํ ปเทสํ คนฺตฺวา อุจฺฉุยนฺตกมฺมํ กตฺวา ฉหิ มาเสหิ ทฺวาทส กหาปเณ ลภิตฺวา ‘‘อลํ เอตฺตกํ มม ธีตุ โมจนตฺถายา’’ติ เต กหาปเณ ทุสฺสเนฺต พนฺธิตฺวา ‘‘เคหํ คมิสฺสามี’’ติ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ

    So ekadivasaṃ bhariyaṃ āha – ‘‘mayaṃ dhītu atthitāya lajjitabbato ca muttā, gehe ca no bhattaṃ ayyānaṃ paribhogārahaṃ jātaṃ. Tvaṃ yāva ahaṃ āgacchāmi, tāva imasmiṃ kalyāṇavatte mā pamajji. Ahaṃ kiñcideva katvā dhītaraṃ mocessāmī’’ti. So ekaṃ padesaṃ gantvā ucchuyantakammaṃ katvā chahi māsehi dvādasa kahāpaṇe labhitvā ‘‘alaṃ ettakaṃ mama dhītu mocanatthāyā’’ti te kahāpaṇe dussante bandhitvā ‘‘gehaṃ gamissāmī’’ti maggaṃ paṭipajji.

    ตสฺมิํ สมเย อมฺพริยมหาวิหารวาสี ปิณฺฑปาติยติสฺสเตฺถโร ‘‘ติสฺสมหาวิหารํ คนฺตฺวา เจติยํ วนฺทิสฺสามี’’ติ อตฺตโน วสนฎฺฐานโต มหาคามํ คจฺฉโนฺต ตเมว มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ โส อุปาสโก เถรํ ทูรโตว ทิสฺวา ‘‘เอกโกว อคนฺตฺวา อิมินา อเยฺยน สทฺธิํ เอกํ ธมฺมกถํ สุณโนฺต คมิสฺสามิฯ สีลวโนฺต หิ สพฺพกาลํ ทุลฺลภา’’ติ เวเคน เถรํ สมฺปาปุณิตฺวา อภิวาเทตฺวา สทฺธิํ คจฺฉโนฺต เวลาย อุปกฎฺฐาย จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ หเตฺถ ปุฎกภตฺตํ นตฺถิ, อยฺยสฺส จ ภิกฺขากาโล สมฺปโตฺต, อยญฺจ เม ปริพฺพโย หเตฺถ อตฺถิ, เอกํ คามทฺวารํ ปตฺตกาเล อยฺยสฺส ปิณฺฑปาตํ ทสฺสามี’’ติฯ

    Tasmiṃ samaye ambariyamahāvihāravāsī piṇḍapātiyatissatthero ‘‘tissamahāvihāraṃ gantvā cetiyaṃ vandissāmī’’ti attano vasanaṭṭhānato mahāgāmaṃ gacchanto tameva maggaṃ paṭipajji. So upāsako theraṃ dūratova disvā ‘‘ekakova agantvā iminā ayyena saddhiṃ ekaṃ dhammakathaṃ suṇanto gamissāmi. Sīlavanto hi sabbakālaṃ dullabhā’’ti vegena theraṃ sampāpuṇitvā abhivādetvā saddhiṃ gacchanto velāya upakaṭṭhāya cintesi – ‘‘mayhaṃ hatthe puṭakabhattaṃ natthi, ayyassa ca bhikkhākālo sampatto, ayañca me paribbayo hatthe atthi, ekaṃ gāmadvāraṃ pattakāle ayyassa piṇḍapātaṃ dassāmī’’ti.

    ตเสฺสวํ จิเตฺต อุปฺปนฺนมเตฺตเยว เอโก ปุฎกภตฺตํ คเหตฺวา ตํ ฐานํ สมฺปโตฺตฯ อุปาสโก ตํ ทิสฺวา, ‘‘ภเนฺต, โถกํ อาคเมถา’’ติ วตฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘กหาปณํ เต, โภ ปุริส, ทมฺมิ, ตํ เม ปุฎกภตฺตํ เทหี’’ติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิมํ ภตฺตํ อิมสฺมิํ กาเล มาสกมฺปิ น อคฺฆติ, อยญฺจ มยฺหํ เอกวาเรเนว กหาปณํ เทติ, ภวิสฺสเตตฺถ การณ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘นาหํ กหาปเณน เทมี’’ติ อาหฯ เอวํ สเนฺต เทฺว คณฺห, ตีณิ คณฺหาติ อิมินา นิยาเมน สเพฺพปิ เต กหาปเณ ทาตุกาโม ชาโตฯ อิตโร ‘‘อเญฺญปิสฺส อตฺถี’’ติ สญฺญาย ‘‘น เทมิ’’เจฺจว อาหฯ อถ นํ โส อาห – ‘‘สเจ เม, โภ, อเญฺญปิ อสฺสุ, เตปิ ทเทยฺยํฯ น โข ปนาหํ อตฺตโน อตฺถาย คณฺหามิ, เอตสฺมิํ เม รุกฺขมูเล เอโก อโยฺย นิสีทาปิโต, ตุยฺหมฺปิ กุสลํ ภวิสฺสติ, เทหิ เม ภตฺต’’นฺติฯ เตน หิ, โภ, คณฺห, อาหร เต กหาปเณติ กหาปเณ คเหตฺวา ปุฎกภตฺตํ อทาสิฯ อุปาสโก ภตฺตํ คเหตฺวา หเตฺถ โธวิตฺวา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ปตฺตํ นีหรถ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ เถโร ปตฺตํ นีหริตฺวา อุปฑฺฒภเตฺต ทิเนฺน ปตฺตํ ปิทหิฯ อุปาสโก อาห – ‘‘อยํ, ภเนฺต, เอกเสฺสว ปฎิวิโส, น สกฺกา มยา อิโต ภุญฺชิตุํฯ ตุมฺหากํเยว เม อตฺถาย อิมํ ปริเยสิตฺวา ลทฺธํ, คณฺหถ นํ มํ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติฯ เถโร ‘‘อตฺถิ เอตฺถ การณ’’นฺติ คเหตฺวา สพฺพํ ปริภุญฺชิฯ อุปาสโก ธมกรเณน ปานียํ ปริสฺสาเวตฺวา อทาสิฯ ตโต นิฎฺฐิตภตฺตกิเจฺจ เถเร อุโภปิ มคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุฯ

    Tassevaṃ citte uppannamatteyeva eko puṭakabhattaṃ gahetvā taṃ ṭhānaṃ sampatto. Upāsako taṃ disvā, ‘‘bhante, thokaṃ āgamethā’’ti vatvā taṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘kahāpaṇaṃ te, bho purisa, dammi, taṃ me puṭakabhattaṃ dehī’’ti. So cintesi – ‘‘imaṃ bhattaṃ imasmiṃ kāle māsakampi na agghati, ayañca mayhaṃ ekavāreneva kahāpaṇaṃ deti, bhavissatettha kāraṇa’’nti cintetvā ‘‘nāhaṃ kahāpaṇena demī’’ti āha. Evaṃ sante dve gaṇha, tīṇi gaṇhāti iminā niyāmena sabbepi te kahāpaṇe dātukāmo jāto. Itaro ‘‘aññepissa atthī’’ti saññāya ‘‘na demi’’cceva āha. Atha naṃ so āha – ‘‘sace me, bho, aññepi assu, tepi dadeyyaṃ. Na kho panāhaṃ attano atthāya gaṇhāmi, etasmiṃ me rukkhamūle eko ayyo nisīdāpito, tuyhampi kusalaṃ bhavissati, dehi me bhatta’’nti. Tena hi, bho, gaṇha, āhara te kahāpaṇeti kahāpaṇe gahetvā puṭakabhattaṃ adāsi. Upāsako bhattaṃ gahetvā hatthe dhovitvā theraṃ upasaṅkamitvā ‘‘pattaṃ nīharatha, bhante’’ti āha. Thero pattaṃ nīharitvā upaḍḍhabhatte dinne pattaṃ pidahi. Upāsako āha – ‘‘ayaṃ, bhante, ekasseva paṭiviso, na sakkā mayā ito bhuñjituṃ. Tumhākaṃyeva me atthāya imaṃ pariyesitvā laddhaṃ, gaṇhatha naṃ maṃ anukampaṃ upādāyā’’ti. Thero ‘‘atthi ettha kāraṇa’’nti gahetvā sabbaṃ paribhuñji. Upāsako dhamakaraṇena pānīyaṃ parissāvetvā adāsi. Tato niṭṭhitabhattakicce there ubhopi maggaṃ paṭipajjiṃsu.

    เถโร อุปาสกํ ปุจฺฉิ – ‘‘เกน การเณน ตฺวํ น ภุญฺชสี’’ติฯ โส อตฺตโน คมนาคมนวิธานํ สพฺพํ กเถสิฯ เถโร ตํ สุตฺวา สํเวคปฺปโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘ทุกฺกรํ อุปาสเกน กตํ, มยา ปน เอวรูปํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา เอตสฺส กตญฺญุนา ภวิตพฺพํฯ สปฺปายเสนาสนํ ลภิตฺวา ตเตฺถว ฉวิมํสโลหิเตสุ สุกฺขเนฺตสุปิ นิสินฺนปลฺลเงฺกเนว อรหตฺตํ อปฺปตฺวา น อุฎฺฐหิสฺสามี’’ติฯ โส ติสฺสมหาวิหารํ คนฺตฺวา อาคนฺตุกวตฺตํ กตฺวา อตฺตโน ปตฺตเสนาสนํ ปวิสิตฺวา ปจฺจตฺถรณํ อตฺถริตฺวา ตตฺถ นิสิโนฺน อตฺตโน มูลกมฺมฎฺฐานเมว คณฺหิฯ โส ตาย รตฺติยา โอภาสมตฺตมฺปิ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิฯ ปุนทิวสโต ปฎฺฐาย ภิกฺขาจารปลิโพธํ ฉินฺทิตฺวา ตเทว กมฺมฎฺฐานํ อนุโลมปฎิโลมํ วิปสฺสิฯ เอเตนุปาเยน วิปสฺสโนฺต สตฺตเม อรุเณ สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อติวิย เม กิลนฺตํ สรีรํ, กิํ นุ โข เม ชีวิตํ จิรํ ปวตฺติสฺสติ, น ปวตฺติสฺสตี’’ติฯ อถสฺส อปฺปวตฺตนภาวํ ทิสฺวา เสนาสนํ ปฎิสาเมตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย วิหารมชฺฌํ คนฺตฺวา เภริํ ปหราเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตสิฯ

    Thero upāsakaṃ pucchi – ‘‘kena kāraṇena tvaṃ na bhuñjasī’’ti. So attano gamanāgamanavidhānaṃ sabbaṃ kathesi. Thero taṃ sutvā saṃvegappatto cintesi – ‘‘dukkaraṃ upāsakena kataṃ, mayā pana evarūpaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā etassa kataññunā bhavitabbaṃ. Sappāyasenāsanaṃ labhitvā tattheva chavimaṃsalohitesu sukkhantesupi nisinnapallaṅkeneva arahattaṃ appatvā na uṭṭhahissāmī’’ti. So tissamahāvihāraṃ gantvā āgantukavattaṃ katvā attano pattasenāsanaṃ pavisitvā paccattharaṇaṃ attharitvā tattha nisinno attano mūlakammaṭṭhānameva gaṇhi. So tāya rattiyā obhāsamattampi nibbattetuṃ nāsakkhi. Punadivasato paṭṭhāya bhikkhācārapalibodhaṃ chinditvā tadeva kammaṭṭhānaṃ anulomapaṭilomaṃ vipassi. Etenupāyena vipassanto sattame aruṇe saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā cintesi – ‘‘ativiya me kilantaṃ sarīraṃ, kiṃ nu kho me jīvitaṃ ciraṃ pavattissati, na pavattissatī’’ti. Athassa appavattanabhāvaṃ disvā senāsanaṃ paṭisāmetvā pattacīvaramādāya vihāramajjhaṃ gantvā bheriṃ paharāpetvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātesi.

    สงฺฆเตฺถโร ‘‘เกน ภิกฺขุนาสโงฺฆ สนฺนิปาติโต’’ติ ปุจฺฉิฯ มยา, ภเนฺตติฯ กิมตฺถํ สปฺปุริสาติฯ ภเนฺต, อญฺญํ กมฺมํ นตฺถิ, เยสํ ปน มเคฺค วา ผเล วา กงฺขา อตฺถิ, เต มํ ปุจฺฉนฺตูติฯ สปฺปุริส ตาทิสา นาม ภิกฺขู อสนฺตํ คุณํ น กเถนฺติ, อมฺหากํ เอตฺถ กงฺขา นตฺถิฯ กิํ ปน เต สํเวคการณํ อโหสิ, กิํ ปจฺจยํ กตฺวา อรหตฺตํ นิพฺพตฺตนฺติฯ ภเนฺต, อิมสฺมิํ มหาคาเม วลฺลิยวีถิยํ ทารุภณฺฑกมหาติโสฺส นาม อุปาสโก อตฺตโน ธีตรํ พหิ ฐเปตฺวา ทฺวาทส กหาปเณ คณฺหิตฺวา เตหิ เอกํ ขีรเธนุํ คเหตฺวา สงฺฆสฺส ขีรภตฺตสลากํ ปฎฺฐเปสิ, โส ‘‘ธีตรํ โมเจสฺสามี’’ติ ฉ มาเส ยนฺตสาลาย ภติํ กตฺวา ทฺวาทส กหาปเณ ลภิตฺวา ‘‘ธีตรํ โมเจสฺสามี’’ติ อตฺตโน เคหํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค มํ ทิสฺวา ภิกฺขาจารเวลาย สเพฺพปิ เต กหาปเณ ทตฺวา ปุฎกภตฺตํ คณฺหิตฺวา สพฺพํ มยฺหํ อทาสิฯ อหํ ตํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา อิธาคนฺตฺวา สปฺปายเสนาสนํ ลภิตฺวา ‘‘ปิณฺฑาปจายนกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ วิเสสํ นิพฺพเตฺตสิํ, ภเนฺตติฯ ตํ ฐานํ สมฺปตฺตา จตโสฺสปิ ปริสา เถรสฺส สาธุการํ อทํสุฯ สกภาเวน สณฺฐาตุํ สมโตฺถ นาม นาโหสิฯ เถโร สงฺฆมเชฺฌ นิสีทิตฺวา กเถโนฺต กเถโนฺตว ‘‘มยฺหํ กูฎาคารํ ทารุภณฺฑกมหาติสฺสสฺส หเตฺถน ผุฎฺฐกาเลเยว จลตู’’ติ อธิฎฺฐาย อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ

    Saṅghatthero ‘‘kena bhikkhunāsaṅgho sannipātito’’ti pucchi. Mayā, bhanteti. Kimatthaṃ sappurisāti. Bhante, aññaṃ kammaṃ natthi, yesaṃ pana magge vā phale vā kaṅkhā atthi, te maṃ pucchantūti. Sappurisa tādisā nāma bhikkhū asantaṃ guṇaṃ na kathenti, amhākaṃ ettha kaṅkhā natthi. Kiṃ pana te saṃvegakāraṇaṃ ahosi, kiṃ paccayaṃ katvā arahattaṃ nibbattanti. Bhante, imasmiṃ mahāgāme valliyavīthiyaṃ dārubhaṇḍakamahātisso nāma upāsako attano dhītaraṃ bahi ṭhapetvā dvādasa kahāpaṇe gaṇhitvā tehi ekaṃ khīradhenuṃ gahetvā saṅghassa khīrabhattasalākaṃ paṭṭhapesi, so ‘‘dhītaraṃ mocessāmī’’ti cha māse yantasālāya bhatiṃ katvā dvādasa kahāpaṇe labhitvā ‘‘dhītaraṃ mocessāmī’’ti attano gehaṃ gacchanto antarāmagge maṃ disvā bhikkhācāravelāya sabbepi te kahāpaṇe datvā puṭakabhattaṃ gaṇhitvā sabbaṃ mayhaṃ adāsi. Ahaṃ taṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā idhāgantvā sappāyasenāsanaṃ labhitvā ‘‘piṇḍāpacāyanakammaṃ karissāmī’’ti visesaṃ nibbattesiṃ, bhanteti. Taṃ ṭhānaṃ sampattā catassopi parisā therassa sādhukāraṃ adaṃsu. Sakabhāvena saṇṭhātuṃ samattho nāma nāhosi. Thero saṅghamajjhe nisīditvā kathento kathentova ‘‘mayhaṃ kūṭāgāraṃ dārubhaṇḍakamahātissassa hatthena phuṭṭhakāleyeva calatū’’ti adhiṭṭhāya anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi.

    กากวณฺณติสฺสมหาราชา ‘‘เอโก กิร เถโร ปรินิพฺพุโต’’ติ สุตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สกฺการสมฺมานํ กตฺวา กูฎาคารํ สเชฺชตฺวา เถรํ ตตฺถ อาโรเปตฺวา ‘‘อิทานิ จิตกฎฺฐานํ คมิสฺสามา’’ติ อุกฺขิปโนฺต จาเลตุํ นาสกฺขิฯ ราชา ภิกฺขุสงฺฆํ ปุจฺฉิ – ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต, เถเรน กิญฺจิ กถิต’’นฺติฯ ภิกฺขู เถเรน กถิตวิธานํ อาจิกฺขิํสุฯ ราชา ตํ อุปาสกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตยา อิโต สตฺตทิวสมตฺถเก กสฺสจิ มคฺคปฎิปนฺนสฺส ภิกฺขุโน ปุฎกภตฺตํ ทินฺน’’นฺติ ปุจฺฉิฯ อาม, เทวาติฯ เกน เต นิยาเมน ทินฺนนฺติ? โส ตํ การณํ สพฺพํ อาโรเจสิฯ อถ นํ ราชา เถรสฺส กูฎาคารฎฺฐานํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ ตํ เถรํ สญฺชาน, โส วา อโญฺญ วา’’ติฯ โส คนฺตฺวา สาณิํ อุกฺขิปิตฺวา เถรสฺส มุขํ ทิสฺวา สญฺชานิตฺวา ทฺวีหิ หเตฺถหิ หทยํ สนฺธาเรโนฺต รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘เทว, มยฺหํ อโยฺย’’ติ อาหฯ อถสฺส ราชา มหาปสาธนํ ทาเปสิฯ ตํ ปสาเธตฺวา อาคตํ ‘‘คจฺฉ ภาติก มหาติสฺส มยฺหํ, อยฺยาติ วตฺวา กูฎาคารํ อุกฺขิปา’’ติ อาหฯ อุปาสโก ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ คนฺตฺวา เถรสฺส ปาเท วนฺทิตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ อุกฺขิปิตฺวา อตฺตโน มตฺถเก อกาสิฯ ตสฺมิํเยว ขเณ กูฎาคารํ อากาเส อุปฺปติตฺวา จิตกมตฺถเก ปติฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ กาเล จิตกสฺส จตูหิปิ กเณฺณหิ สยเมว อคฺคิชาลา อุฎฺฐหิํสูติฯ

    Kākavaṇṇatissamahārājā ‘‘eko kira thero parinibbuto’’ti sutvā vihāraṃ gantvā sakkārasammānaṃ katvā kūṭāgāraṃ sajjetvā theraṃ tattha āropetvā ‘‘idāni citakaṭṭhānaṃ gamissāmā’’ti ukkhipanto cāletuṃ nāsakkhi. Rājā bhikkhusaṅghaṃ pucchi – ‘‘atthi, bhante, therena kiñci kathita’’nti. Bhikkhū therena kathitavidhānaṃ ācikkhiṃsu. Rājā taṃ upāsakaṃ pakkosāpetvā ‘‘tayā ito sattadivasamatthake kassaci maggapaṭipannassa bhikkhuno puṭakabhattaṃ dinna’’nti pucchi. Āma, devāti. Kena te niyāmena dinnanti? So taṃ kāraṇaṃ sabbaṃ ārocesi. Atha naṃ rājā therassa kūṭāgāraṭṭhānaṃ pesesi – ‘‘gaccha taṃ theraṃ sañjāna, so vā añño vā’’ti. So gantvā sāṇiṃ ukkhipitvā therassa mukhaṃ disvā sañjānitvā dvīhi hatthehi hadayaṃ sandhārento rañño santikaṃ gantvā, ‘‘deva, mayhaṃ ayyo’’ti āha. Athassa rājā mahāpasādhanaṃ dāpesi. Taṃ pasādhetvā āgataṃ ‘‘gaccha bhātika mahātissa mayhaṃ, ayyāti vatvā kūṭāgāraṃ ukkhipā’’ti āha. Upāsako ‘‘sādhu, devā’’ti gantvā therassa pāde vanditvā ubhohi hatthehi ukkhipitvā attano matthake akāsi. Tasmiṃyeva khaṇe kūṭāgāraṃ ākāse uppatitvā citakamatthake patiṭṭhāsi. Tasmiṃ kāle citakassa catūhipi kaṇṇehi sayameva aggijālā uṭṭhahiṃsūti.

    ‘‘มหนฺตํ โข ปเนตํ สตฺถุ ทายชฺชํ, ยทิทํ สตฺต อริยธนานิ นาม, ตํ น สกฺกา กุสีเตน คเหตุํฯ ยถา หิ วิปฺปฎิปนฺนํ ปุตฺตํ มาตาปิตโร ‘อยํ อมฺหากํ อปุโตฺต’ติ ปริพาหิรํ กโรนฺติ, โส เตสํ อจฺจเยน ทายชฺชํ น ลภติ, เอวํ กุสีโตปิ อิทํ อริยธนทายชฺชํ น ลภติ, อารทฺธวีริโยว ลภตี’’ติ ทายชฺชมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ

    ‘‘Mahantaṃ kho panetaṃ satthu dāyajjaṃ, yadidaṃ satta ariyadhanāni nāma, taṃ na sakkā kusītena gahetuṃ. Yathā hi vippaṭipannaṃ puttaṃ mātāpitaro ‘ayaṃ amhākaṃ aputto’ti paribāhiraṃ karonti, so tesaṃ accayena dāyajjaṃ na labhati, evaṃ kusītopi idaṃ ariyadhanadāyajjaṃ na labhati, āraddhavīriyova labhatī’’ti dāyajjamahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati.

    ‘‘มหา โข ปน เต สตฺถาฯ สตฺถุโน หิ เต มาตุกุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คหณกาเลปิ, อภินิกฺขมเนปิ, อภิสโมฺพธิยมฺปิ, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนยมกปาฎิหาริยเทโวโรหนอายุสงฺขารโวสฺสชฺชเนสุปิ, ปรินิพฺพานกาเลปิ ทสสหสฺสิโลกธาตุ กมฺปิตฺถฯ ยุตฺตํ นุ เต เอวรูปสฺส สตฺถุโน สาสเน ปพฺพชิตฺวา กุสีเตน ภวิตุ’’นฺติ เอวํ สตฺถุมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ

    ‘‘Mahā kho pana te satthā. Satthuno hi te mātukucchimhi paṭisandhiṃ gahaṇakālepi, abhinikkhamanepi, abhisambodhiyampi, dhammacakkappavattanayamakapāṭihāriyadevorohanaāyusaṅkhāravossajjanesupi, parinibbānakālepi dasasahassilokadhātu kampittha. Yuttaṃ nu te evarūpassa satthuno sāsane pabbajitvā kusītena bhavitu’’nti evaṃ satthumahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati.

    ‘‘ชาติยาปิ ตฺวํ อิทานิ น ลามกชาติโก, อสมฺภินฺนาย มหาสมฺมตปเวณิยา อาคตโอกฺกากราชวํเส ชาโตสิ, สุโทฺธทนมหาราชสฺส จ มหามายาเทวิยา จ นตฺตา, ราหุลภทฺทสฺส กนิโฎฺฐ, ตยา นาม เอวรูเปน ชินปุเตฺตน หุตฺวา น ยุตฺตํ กุสีเตน วิหริตุ’’นฺติ เอวํ ชาติมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ

    ‘‘Jātiyāpi tvaṃ idāni na lāmakajātiko, asambhinnāya mahāsammatapaveṇiyā āgataokkākarājavaṃse jātosi, suddhodanamahārājassa ca mahāmāyādeviyā ca nattā, rāhulabhaddassa kaniṭṭho, tayā nāma evarūpena jinaputtena hutvā na yuttaṃ kusītena viharitu’’nti evaṃ jātimahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati.

    ‘‘สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา เจว อสีติ มหาสาวกา จ วีริเยเนว โลกุตฺตรธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิํสุ, ตฺวํ เอเตสํ สพฺรหฺมจารีนํ มคฺคํ ปฎิปชฺชสิ, น ปฎิปชฺชสี’’ติ เอวํ สพฺรหฺมจาริมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ

    ‘‘Sāriputtamoggallānā ceva asīti mahāsāvakā ca vīriyeneva lokuttaradhammaṃ paṭivijjhiṃsu, tvaṃ etesaṃ sabrahmacārīnaṃ maggaṃ paṭipajjasi, na paṭipajjasī’’ti evaṃ sabrahmacārimahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati.

    กุจฺฉิํ ปูเรตฺวา ฐิตอชครสทิเส วิสฺสฎฺฐกายิกเจตสิกวีริเย กุสีตปุคฺคเล ปริวเชฺชนฺตสฺสาปิ, อารทฺธวีริเย ปหิตเตฺต ปุคฺคเล เสวนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ วิริยุปฺปาทนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมา อาทิกมฺมิโก กุลปุโตฺต อิเมหิ เอกาทสหิ การเณหิ วีริยสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ตเทว ธุรํ กตฺวา อภินิเวสํ ปฎฺฐเปตฺวา อนุกฺกเมน อรหตฺตํ คณฺหาติฯ โส ยาว อรหตฺตมคฺคา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ นาม, ผเล ปเตฺต ภาวิโต นาม โหติฯ

    Kucchiṃ pūretvā ṭhitaajagarasadise vissaṭṭhakāyikacetasikavīriye kusītapuggale parivajjentassāpi, āraddhavīriye pahitatte puggale sevantassāpi, ṭhānanisajjādīsu viriyuppādanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Tasmā ādikammiko kulaputto imehi ekādasahi kāraṇehi vīriyasambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpetvā tadeva dhuraṃ katvā abhinivesaṃ paṭṭhapetvā anukkamena arahattaṃ gaṇhāti. So yāva arahattamaggā vīriyasambojjhaṅgaṃ bhāveti nāma, phale patte bhāvito nāma hoti.

    เอกาทส ธมฺมา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – พุทฺธานุสฺสติ, ธมฺมสงฺฆสีล^ จาคเทวตานุสฺสติ อุปสมานุสฺสติ, ลูขปุคฺคลปริวชฺชนตา, สินิทฺธปุคฺคลเสวนตา, ปสาทนียสุตฺตนฺตปจฺจเวกฺขณตา, ตทธิมุตฺตตาติฯ

    Ekādasa dhammā pītisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – buddhānussati, dhammasaṅghasīla^ cāgadevatānussati upasamānussati, lūkhapuggalaparivajjanatā, siniddhapuggalasevanatā, pasādanīyasuttantapaccavekkhaṇatā, tadadhimuttatāti.

    พุทฺธคุเณ อนุสฺสรนฺตสฺสาปิ หิ ยาว อุปจารา สกลสรีรํ ผรมาโน ปีติสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติ, ธมฺมสงฺฆคุเณ อนุสฺสรนฺตสฺสาปิ, ทีฆรตฺตํ อขณฺฑํ กตฺวา รกฺขิตํ จตุปาริสุทฺธิสีลํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, คิหิโน ทสสีลํ ปญฺจสีลํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, ทุพฺภิกฺขภยาทีสุ ปณีตโภชนํ สพฺรหฺมจารีนํ ทตฺวา ‘‘เอวํนาม อทมฺหา’’ติ จาคํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, คิหิโนปิ เอวรูเป กาเล สีลวนฺตานํ ทินฺนทานํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, เยหิ คุเณหิ สมนฺนาคตา เทวตฺตํ ปตฺตา, ตถารูปานํ คุณานํ อตฺตนิ อตฺถิตํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, สมาปตฺติยา วิกฺขมฺภิเต กิเลสา สฎฺฐิปิ สตฺตติปิ วสฺสานิ น สมุทาจรนฺตีติ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, เจติยทสฺสนโพธิทสฺสนเถรทสฺสเนสุ อสกฺกจฺจกิริยาย สํสูจิตลูขภาเว พุทฺธาทีสุ ปสาทสิเนหาภาเวน คทฺรภปิเฎฺฐ รชสทิเส ลูขปุคฺคเล ปริวเชฺชนฺตสฺสาปิ, พุทฺธาทีสุ ปสาทพหุเล มุทุจิเตฺต สินิทฺธปุคฺคเล เสวนฺตสฺสาปิ, รตนตฺตยคุณปริทีปเก ปสาทนียสุตฺตเนฺต ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ปีติอุปฺปาทนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมา อาทิกมฺมิโก กุลปุโตฺต อิเมหิ เอกาทสหิ การเณหิ ปีติสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ตเทว ธุรํ กตฺวา อภินิเวสํ ปฎฺฐเปตฺวา อนุกฺกเมน อรหตฺตํ คณฺหาติฯ โส ยาว อรหตฺตมคฺคา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ นาม, ผเล ปเตฺต ภาวิโต นาม โหติฯ

    Buddhaguṇe anussarantassāpi hi yāva upacārā sakalasarīraṃ pharamāno pītisambojjhaṅgo uppajjati, dhammasaṅghaguṇe anussarantassāpi, dīgharattaṃ akhaṇḍaṃ katvā rakkhitaṃ catupārisuddhisīlaṃ paccavekkhantassāpi, gihino dasasīlaṃ pañcasīlaṃ paccavekkhantassāpi, dubbhikkhabhayādīsu paṇītabhojanaṃ sabrahmacārīnaṃ datvā ‘‘evaṃnāma adamhā’’ti cāgaṃ paccavekkhantassāpi, gihinopi evarūpe kāle sīlavantānaṃ dinnadānaṃ paccavekkhantassāpi, yehi guṇehi samannāgatā devattaṃ pattā, tathārūpānaṃ guṇānaṃ attani atthitaṃ paccavekkhantassāpi, samāpattiyā vikkhambhite kilesā saṭṭhipi sattatipi vassāni na samudācarantīti paccavekkhantassāpi, cetiyadassanabodhidassanatheradassanesu asakkaccakiriyāya saṃsūcitalūkhabhāve buddhādīsu pasādasinehābhāvena gadrabhapiṭṭhe rajasadise lūkhapuggale parivajjentassāpi, buddhādīsu pasādabahule muducitte siniddhapuggale sevantassāpi, ratanattayaguṇaparidīpake pasādanīyasuttante paccavekkhantassāpi, ṭhānanisajjādīsu pītiuppādanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Tasmā ādikammiko kulaputto imehi ekādasahi kāraṇehi pītisambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpetvā tadeva dhuraṃ katvā abhinivesaṃ paṭṭhapetvā anukkamena arahattaṃ gaṇhāti. So yāva arahattamaggā pītisambojjhaṅgaṃ bhāveti nāma, phale patte bhāvito nāma hoti.

    สตฺต ธมฺมา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – ปณีตโภชนเสวนตา, อุตุสุขเสวนตา, อิริยาปถสุขเสวนตา, มชฺฌตฺตปโยคตา, สารทฺธกายปุคฺคลปริวชฺชนตา, ปสฺสทฺธกายปุคฺคลเสวนตา, ตทธิมุตฺตตาติฯ

    Satta dhammā passaddhisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – paṇītabhojanasevanatā, utusukhasevanatā, iriyāpathasukhasevanatā, majjhattapayogatā, sāraddhakāyapuggalaparivajjanatā, passaddhakāyapuggalasevanatā, tadadhimuttatāti.

    ปณีตญฺหิ สินิทฺธํ สปฺปายโภชนํ ภุญฺชนฺตสฺสาปิ, สีตุเณฺหสุ จ อุตูสุ ฐานาทีสุ จ อิริยาปเถสุ สปฺปายอุตุญฺจ อิริยาปถญฺจ เสวนฺตสฺสาปิ ปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชติฯ โย ปน มหาปุริสชาติโก สพฺพอุตุอิริยาปถกฺขโม โหติ, น ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ยสฺส สภาควิสภาคตา อตฺถิ, ตเสฺสว วิสภาเค อุตุอิริยาปเถ วเชฺชตฺวา สภาเค เสวนฺตสฺส อุปฺปชฺชติฯ มชฺฌตฺตปโยโค วุจฺจติ อตฺตโน จ ปรสฺส จ กมฺมสฺสกตปจฺจเวกฺขณาฯ อิมินา มชฺฌตฺตปโยเคน อุปฺปชฺชติฯ โย เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ ปรํ วิเหฐยมาโน วิจรติ, เอวรูปํ สารทฺธกายํ ปุคฺคลํ ปริวเชฺชนฺตสฺสาปิ, สํยตปาทปาณิํ ปสฺสทฺธกายํ ปุคฺคลํ เสวนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ปสฺสทฺธิอุปฺปาทนตฺถาย นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมา อาทิกมฺมิโก กุลปุโตฺต อิเมหิ สตฺตหิ การเณหิ ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ตเทว ธุรํ กตฺวา อภินิเวสํ ปฎฺฐเปตฺวา อนุกฺกเมน อรหตฺตํ คณฺหาติฯ โส ยาว อรหตฺตมคฺคา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ นาม, ผเล ปเตฺต ภาวิโต นาม โหติฯ

    Paṇītañhi siniddhaṃ sappāyabhojanaṃ bhuñjantassāpi, sītuṇhesu ca utūsu ṭhānādīsu ca iriyāpathesu sappāyautuñca iriyāpathañca sevantassāpi passaddhi uppajjati. Yo pana mahāpurisajātiko sabbautuiriyāpathakkhamo hoti, na taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Yassa sabhāgavisabhāgatā atthi, tasseva visabhāge utuiriyāpathe vajjetvā sabhāge sevantassa uppajjati. Majjhattapayogo vuccati attano ca parassa ca kammassakatapaccavekkhaṇā. Iminā majjhattapayogena uppajjati. Yo leḍḍudaṇḍādīhi paraṃ viheṭhayamāno vicarati, evarūpaṃ sāraddhakāyaṃ puggalaṃ parivajjentassāpi, saṃyatapādapāṇiṃ passaddhakāyaṃ puggalaṃ sevantassāpi, ṭhānanisajjādīsu passaddhiuppādanatthāya ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Tasmā ādikammiko kulaputto imehi sattahi kāraṇehi passaddhisambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpetvā tadeva dhuraṃ katvā abhinivesaṃ paṭṭhapetvā anukkamena arahattaṃ gaṇhāti. So yāva arahattamaggā passaddhisambojjhaṅgaṃ bhāveti nāma, phale patte bhāvito nāma hoti.

    เอกาทส ธมฺมา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – วตฺถุวิสทกิริยตา, อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนตา, นิมิตฺตกุสลตา, สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคณฺหนตา, สมเย จิตฺตสฺส นิคฺคณฺหนตา, สมเย สมฺปหํสนตา, สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา, อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนตา, สมาหิตปุคฺคลเสวนตา, ฌานวิโมกฺขปจฺจเวกฺขณตา, ตทธิมุตฺตตาติฯ ตตฺถ วตฺถุวิสทกิริยตาอินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนตา จ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ

    Ekādasa dhammā samādhisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – vatthuvisadakiriyatā, indriyasamattapaṭipādanatā, nimittakusalatā, samaye cittassa paggaṇhanatā, samaye cittassa niggaṇhanatā, samaye sampahaṃsanatā, samaye ajjhupekkhanatā, asamāhitapuggalaparivajjanatā, samāhitapuggalasevanatā, jhānavimokkhapaccavekkhaṇatā, tadadhimuttatāti. Tattha vatthuvisadakiriyatā ca indriyasamattapaṭipādanatā ca vuttanayeneva veditabbā.

    นิมิตฺตกุสลตา นาม กสิณนิมิตฺตสฺส อุคฺคหกุสลตาฯ สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคณฺหนตาติ ยสฺมิํ สมเย อติสิถิลวีริยตาทีหิ ลีนํ จิตฺตํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย ธมฺมวิจยวีริยปีติสโมฺพชฺฌงฺคสมุฎฺฐาปเนน ตสฺส ปคฺคณฺหนํฯ สมเย จิตฺตสฺส นิคฺคณฺหนตาติ ยสฺมิํ สมเย อจฺจารทฺธวีริยตาทีหิ อุทฺธตํ จิตฺตํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย ปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสมุฎฺฐาปเนน ตสฺส นิคฺคณฺหนํฯ สมเย สมฺปหํสนตาติ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ ปญฺญาปโยคมนฺทตาย วา อุปสมสุขานธิคเมน วา นิรสฺสาทํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย อฎฺฐสํเวควตฺถุปจฺจเวกฺขเณน สํเวเชติฯ อฎฺฐ สํเวควตฺถูนิ นาม – ชาติชราพฺยาธิมรณานิ จตฺตาริ, อปายทุกฺขํ ปญฺจมํ, อตีเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, อนาคเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, ปจฺจุปฺปเนฺน อาหารปริเยฎฺฐิมูลกํ ทุกฺขนฺติฯ รตนตฺตยคุณานุสฺสรเณน จ ปสาทํ ชเนติฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘สมเย สมฺปหํสนตา’’ติฯ

    Nimittakusalatā nāma kasiṇanimittassa uggahakusalatā. Samaye cittassa paggaṇhanatāti yasmiṃ samaye atisithilavīriyatādīhi līnaṃ cittaṃ hoti, tasmiṃ samaye dhammavicayavīriyapītisambojjhaṅgasamuṭṭhāpanena tassa paggaṇhanaṃ. Samaye cittassa niggaṇhanatāti yasmiṃ samaye accāraddhavīriyatādīhi uddhataṃ cittaṃ hoti, tasmiṃ samaye passaddhisamādhiupekkhāsambojjhaṅgasamuṭṭhāpanena tassa niggaṇhanaṃ. Samaye sampahaṃsanatāti yasmiṃ samaye cittaṃ paññāpayogamandatāya vā upasamasukhānadhigamena vā nirassādaṃ hoti, tasmiṃ samaye aṭṭhasaṃvegavatthupaccavekkhaṇena saṃvejeti. Aṭṭha saṃvegavatthūni nāma – jātijarābyādhimaraṇāni cattāri, apāyadukkhaṃ pañcamaṃ, atīte vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, anāgate vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, paccuppanne āhārapariyeṭṭhimūlakaṃ dukkhanti. Ratanattayaguṇānussaraṇena ca pasādaṃ janeti. Ayaṃ vuccati ‘‘samaye sampahaṃsanatā’’ti.

    สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา นาม ยสฺมิํ สมเย สมฺมาปฎิปตฺติํ อาคมฺม อลีนํ อนุทฺธตํ อนิรสฺสาทํ อารมฺมเณ สมปฺปวตฺตํ สมถวีถิปฎิปนฺนํ จิตฺตํ โหติ, ตทาสฺส ปคฺคหนิคฺคหสมฺปหํสเนสุ น พฺยาปารํ อาปชฺชติ สารถิ วิย สมปฺปวเตฺตสุ อเสฺสสุฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา’’ติฯ อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนตา นาม อุปจารํ วา อปฺปนํ วา อปฺปตฺตานํ วิกฺขิตฺตจิตฺตานํ ปุคฺคลานํ อารกา ปริวชฺชนํฯ สมาหิตปุคฺคลเสวนตา นาม อุปจาเรน วา อปฺปนาย วา สมาหิตจิตฺตานํ เสวนา ภชนา ปยิรุปาสนาฯ ตทธิมุตฺตตา นาม ฐานนิสชฺชาทีสุ สมาธิอุปฺปาทนตฺถํเยว นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตตาฯ เอวญฺหิ ปฎิปชฺชโต เอส อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมา อาทิกมฺมิโก กุลปุโตฺต อิเมหิ เอกาทสหิ การเณหิ สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ตเทว ธุรํ กตฺวา อภินิเวสํ ปฎฺฐเปตฺวา อนุกฺกเมน อรหตฺตํ คณฺหาติฯ โส ยาว อรหตฺตมคฺคา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ นาม, ผเล ปเตฺต ภาวิโต นาม โหติฯ

    Samaye ajjhupekkhanatā nāma yasmiṃ samaye sammāpaṭipattiṃ āgamma alīnaṃ anuddhataṃ anirassādaṃ ārammaṇe samappavattaṃ samathavīthipaṭipannaṃ cittaṃ hoti, tadāssa paggahaniggahasampahaṃsanesu na byāpāraṃ āpajjati sārathi viya samappavattesu assesu. Ayaṃ vuccati ‘‘samaye ajjhupekkhanatā’’ti. Asamāhitapuggalaparivajjanatā nāma upacāraṃ vā appanaṃ vā appattānaṃ vikkhittacittānaṃ puggalānaṃ ārakā parivajjanaṃ. Samāhitapuggalasevanatā nāma upacārena vā appanāya vā samāhitacittānaṃ sevanā bhajanā payirupāsanā. Tadadhimuttatā nāma ṭhānanisajjādīsu samādhiuppādanatthaṃyeva ninnapoṇapabbhāracittatā. Evañhi paṭipajjato esa uppajjati. Tasmā ādikammiko kulaputto imehi ekādasahi kāraṇehi samādhisambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpetvā tadeva dhuraṃ katvā abhinivesaṃ paṭṭhapetvā anukkamena arahattaṃ gaṇhāti. So yāva arahattamaggā samādhisambojjhaṅgaṃ bhāveti nāma, phale patte bhāvito nāma hoti.

    ปญฺจ ธมฺมา อุเปขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ – สตฺตมชฺฌตฺตตา, สงฺขารมชฺฌตฺตตา, สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลปริวชฺชนตา, สตฺตสงฺขารมชฺฌตฺตปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ ตตฺถ ทฺวีหากาเรหิ สตฺตมชฺฌตฺตตํ สมุฎฺฐาเปติ ‘‘ตฺวํ อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโนว กเมฺมน คมิสฺสสิ, เอโสปิ อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโนว กเมฺมน คมิสฺสติ, ตฺวํ กํ เกลายสี’’ติ เอวํ กมฺมสฺสกตปจฺจเวกฺขเณน จ, ‘‘ปรมตฺถโต สโตฺตเยว นตฺถิ, โส ตฺวํ กํ เกลายสี’’ติ เอวํ นิสฺสตฺตปจฺจเวกฺขเณน จาติฯ ทฺวีเหวากาเรหิ สงฺขารมชฺฌตฺตตํ สมุฎฺฐาเปติ ‘‘อิทํ จีวรํ อนุปุเพฺพน วณฺณวิการเญฺจว ชิณฺณภาวญฺจ อุปคนฺตฺวา ปาทปุญฺฉนโจฬกํ หุตฺวา ยฎฺฐิโกฎิยา ฉฑฺฑนียํ ภวิสฺสติ, สเจ ปนสฺส สามิโก ภเวยฺย, นาสฺส เอวํ วินสฺสิตุํ ทเทยฺยา’’ติ เอวํ อสฺสามิกภาวปจฺจเวกฺขเณน จ, ‘‘อนทฺธนิยํ อิทํ ตาวกาลิก’’นฺติ เอวํ ตาวกาลิกภาวปจฺจเวกฺขเณน จาติฯ ยถา จ จีวเร, เอวํ ปตฺตาทีสุปิ โยชนา กาตพฺพาฯ

    Pañca dhammā upekhāsambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti – sattamajjhattatā, saṅkhāramajjhattatā, sattasaṅkhārakelāyanapuggalaparivajjanatā, sattasaṅkhāramajjhattapuggalasevanatā tadadhimuttatāti. Tattha dvīhākārehi sattamajjhattataṃ samuṭṭhāpeti ‘‘tvaṃ attano kammena āgantvā attanova kammena gamissasi, esopi attano kammena āgantvā attanova kammena gamissati, tvaṃ kaṃ kelāyasī’’ti evaṃ kammassakatapaccavekkhaṇena ca, ‘‘paramatthato sattoyeva natthi, so tvaṃ kaṃ kelāyasī’’ti evaṃ nissattapaccavekkhaṇena cāti. Dvīhevākārehi saṅkhāramajjhattataṃ samuṭṭhāpeti ‘‘idaṃ cīvaraṃ anupubbena vaṇṇavikārañceva jiṇṇabhāvañca upagantvā pādapuñchanacoḷakaṃ hutvā yaṭṭhikoṭiyā chaḍḍanīyaṃ bhavissati, sace panassa sāmiko bhaveyya, nāssa evaṃ vinassituṃ dadeyyā’’ti evaṃ assāmikabhāvapaccavekkhaṇena ca, ‘‘anaddhaniyaṃ idaṃ tāvakālika’’nti evaṃ tāvakālikabhāvapaccavekkhaṇena cāti. Yathā ca cīvare, evaṃ pattādīsupi yojanā kātabbā.

    สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลปริวชฺชนตาติ เอตฺถ โย ปุคฺคโล คิหี วา อตฺตโน ปุตฺตธีตาทิเก, ปพฺพชิโต วา อตฺตโน อเนฺตวาสิกสมานุปชฺฌายกาทิเก มมายติ, สหเตฺถเนว เนสํ เกสเจฺฉทนสูจิกมฺมจีวรโธวนรชนปตฺตปจนาทีนิ กโรติ, มุหุตฺตมฺปิ อปสฺสโนฺต ‘‘อสุโก สามเณโร กุหิํ, อสุโก ทหโร กุหิ’’นฺติ ภนฺตมิโค วิย อิโต จิโต จ โอโลเกติ, อเญฺญน เกสเจฺฉทนาทีนํ อตฺถาย ‘‘มุหุตฺตํ ตาว อสุกํ เปเสถา’’ติ ยาจิยมาโนปิ ‘‘อเมฺหปิ ตํ อตฺตโน กมฺมํ น กาเรม, ตุเมฺห นํ คเหตฺวา กิลมิสฺสถา’’ติ น เทติ, อยํ สตฺตเกลายโน นามฯ โย ปน จีวรปตฺตถาลกกตฺตรยฎฺฐิอาทีนิ มมายติ, อญฺญสฺส หเตฺถน ปรามสิตุมฺปิ น เทติ, ตาวกาลิกํ ยาจิโต ‘‘มยมฺปิ อิมํ ธนายนฺตา น ปริภุญฺชาม, ตุมฺหากํ กิํ ทสฺสามา’’ติ วทติ, อยํ สงฺขารเกลายโน นามฯ

    Sattasaṅkhārakelāyanapuggalaparivajjanatāti ettha yo puggalo gihī vā attano puttadhītādike, pabbajito vā attano antevāsikasamānupajjhāyakādike mamāyati, sahattheneva nesaṃ kesacchedanasūcikammacīvaradhovanarajanapattapacanādīni karoti, muhuttampi apassanto ‘‘asuko sāmaṇero kuhiṃ, asuko daharo kuhi’’nti bhantamigo viya ito cito ca oloketi, aññena kesacchedanādīnaṃ atthāya ‘‘muhuttaṃ tāva asukaṃ pesethā’’ti yāciyamānopi ‘‘amhepi taṃ attano kammaṃ na kārema, tumhe naṃ gahetvā kilamissathā’’ti na deti, ayaṃ sattakelāyano nāma. Yo pana cīvarapattathālakakattarayaṭṭhiādīni mamāyati, aññassa hatthena parāmasitumpi na deti, tāvakālikaṃ yācito ‘‘mayampi imaṃ dhanāyantā na paribhuñjāma, tumhākaṃ kiṃ dassāmā’’ti vadati, ayaṃ saṅkhārakelāyano nāma.

    โย ปน เตสุ ทฺวีสุปิ วตฺถูสุ มชฺฌโตฺต อุทาสิโน, อยํ สตฺตสงฺขารมชฺฌโตฺต นามฯ อิติ อยํ อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌโงฺค เอวรูปํ สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลํ อารกา ปริวเชฺชนฺตสฺสาปิ, สตฺตสงฺขารมชฺฌตฺตปุคฺคลํ เสวนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ตทุปฺปาทนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมา อาทิกมฺมิโก กุลปุโตฺต อิเมหิ ปญฺจหิ การเณหิ อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ตเทว ธุรํ กตฺวา อภินิเวสํ ปฎฺฐเปตฺวา อนุกฺกเมน อรหตฺตํ คณฺหาติฯ โส ยาว อรหตฺตมคฺคา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ นาม, ผเล ปเตฺต ภาวิโต นาม โหติฯ อิติ อิเมปิ สตฺต โพชฺฌงฺคา โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกาว กถิตาฯ

    Yo pana tesu dvīsupi vatthūsu majjhatto udāsino, ayaṃ sattasaṅkhāramajjhatto nāma. Iti ayaṃ upekkhāsambojjhaṅgo evarūpaṃ sattasaṅkhārakelāyanapuggalaṃ ārakā parivajjentassāpi, sattasaṅkhāramajjhattapuggalaṃ sevantassāpi, ṭhānanisajjādīsu taduppādanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Tasmā ādikammiko kulaputto imehi pañcahi kāraṇehi upekkhāsambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpetvā tadeva dhuraṃ katvā abhinivesaṃ paṭṭhapetvā anukkamena arahattaṃ gaṇhāti. So yāva arahattamaggā upekkhāsambojjhaṅgaṃ bhāveti nāma, phale patte bhāvito nāma hoti. Iti imepi satta bojjhaṅgā lokiyalokuttaramissakāva kathitā.

    ๔๑๙. สมฺมาทิฎฺฐิํ ภาเวตีติ อฎฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส อาทิภูตํ สมฺมาทิฎฺฐิํ พฺรูเหติ วเฑฺฒติฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ ปน สมฺมาทสฺสนลกฺขณา สมฺมาทิฎฺฐิฯ สมฺมาอภินิโรปนลกฺขโณ สมฺมาสงฺกโปฺปฯ สมฺมาปริคฺคาหลกฺขณา สมฺมาวาจาฯ สมฺมาสมุฎฺฐาปนลกฺขโณ สมฺมากมฺมโนฺตฯ สมฺมาโวทาปนลกฺขโณ สมฺมาอาชีโวฯ สมฺมาปคฺคหลกฺขโณ สมฺมาวายาโมฯ สมฺมาอุปฎฺฐานลกฺขณา สมฺมาสติฯ สมฺมาสมาธานลกฺขโณ สมฺมาสมาธิ

    419.Sammādiṭṭhiṃ bhāvetīti aṭṭhaṅgikassa maggassa ādibhūtaṃ sammādiṭṭhiṃ brūheti vaḍḍheti. Sesapadesupi eseva nayo. Ettha pana sammādassanalakkhaṇā sammādiṭṭhi. Sammāabhiniropanalakkhaṇo sammāsaṅkappo. Sammāpariggāhalakkhaṇā sammāvācā. Sammāsamuṭṭhāpanalakkhaṇo sammākammanto. Sammāvodāpanalakkhaṇo sammāājīvo. Sammāpaggahalakkhaṇo sammāvāyāmo. Sammāupaṭṭhānalakkhaṇā sammāsati. Sammāsamādhānalakkhaṇo sammāsamādhi.

    เตสุ เอเกกสฺส ตีณิ ตีณิ กิจฺจานิ โหนฺติฯ เสยฺยถิทํ, สมฺมาทิฎฺฐิ ตาว อเญฺญหิปิ อตฺตโน ปจฺจนีกกิเลเสหิ สทฺธิํ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ ปชหติ, นิโรธํ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ ปสฺสติ ตปฺปฎิจฺฉาทกโมหวิธมนวเสน อสโมฺมหโตฯ สมฺมาสงฺกปฺปาทโยปิ ตเถว มิจฺฉาสงฺกปฺปาทีนิ จ ปชหนฺติ, นิโรธญฺจ อารมฺมณํ กโรนฺติฯ วิเสสโต ปเนตฺถ สมฺมาสงฺกโปฺป สหชาตธเมฺม สมฺมา อภินิโรเปติ, สมฺมาวาจา สมฺมา ปริคฺคณฺหาติ, สมฺมากมฺมโนฺต สมฺมา สมุฎฺฐาเปติ, สมฺมาอาชีโว สมฺมา โวทาเปติ, สมฺมาวายาโม สมฺมา ปคฺคณฺหาติ, สมฺมาสติ สมฺมา อุปฎฺฐาติ, สมฺมาสมาธิ สมฺมา ปทหติฯ

    Tesu ekekassa tīṇi tīṇi kiccāni honti. Seyyathidaṃ, sammādiṭṭhi tāva aññehipi attano paccanīkakilesehi saddhiṃ micchādiṭṭhiṃ pajahati, nirodhaṃ ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca passati tappaṭicchādakamohavidhamanavasena asammohato. Sammāsaṅkappādayopi tatheva micchāsaṅkappādīni ca pajahanti, nirodhañca ārammaṇaṃ karonti. Visesato panettha sammāsaṅkappo sahajātadhamme sammā abhiniropeti, sammāvācā sammā pariggaṇhāti, sammākammanto sammā samuṭṭhāpeti, sammāājīvo sammā vodāpeti, sammāvāyāmo sammā paggaṇhāti, sammāsati sammā upaṭṭhāti, sammāsamādhi sammā padahati.

    อปิ เจสา สมฺมาทิฎฺฐิ นาม ปุพฺพภาเค นานากฺขณา นานารมฺมณา โหติ, มคฺคกาเล เอกกฺขณา เอการมฺมณาฯ กิจฺจโต ปน ทุเกฺข ญาณนฺติอาทีนิ จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ สมฺมาสงฺกปฺปาทโยปิ ปุพฺพภาเค นานกฺขณา นานารมฺมณา โหนฺติ, มคฺคกาเล เอกกฺขณา เอการมฺมณาฯ เตสุ สมฺมาสงฺกโปฺป กิจฺจโต เนกฺขมฺมสงฺกโปฺป อวิหิํสาสงฺกโปฺป อพฺยาปาทสงฺกโปฺปติ ตีณิ นามานิ ลภติฯ สมฺมาวาจาทโย ตโย ปุพฺพภาเค วิรติโยปิ โหนฺติ เจตนาโยปิ, มคฺคกฺขเณ ปน วิรติโยวฯ สมฺมาวายาโม สมฺมาสตีติ อิทมฺปิ ทฺวยํ กิจฺจโต สมฺมปฺปธานสติปฎฺฐานวเสน จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ สมฺมาสมาธิ ปน ปุพฺพภาเคปิ มคฺคกฺขเณปิ สมฺมาสมาธิเยวฯ

    Api cesā sammādiṭṭhi nāma pubbabhāge nānākkhaṇā nānārammaṇā hoti, maggakāle ekakkhaṇā ekārammaṇā. Kiccato pana dukkhe ñāṇantiādīni cattāri nāmāni labhati. Sammāsaṅkappādayopi pubbabhāge nānakkhaṇā nānārammaṇā honti, maggakāle ekakkhaṇā ekārammaṇā. Tesu sammāsaṅkappo kiccato nekkhammasaṅkappo avihiṃsāsaṅkappo abyāpādasaṅkappoti tīṇi nāmāni labhati. Sammāvācādayo tayo pubbabhāge viratiyopi honti cetanāyopi, maggakkhaṇe pana viratiyova. Sammāvāyāmo sammāsatīti idampi dvayaṃ kiccato sammappadhānasatipaṭṭhānavasena cattāri nāmāni labhati. Sammāsamādhi pana pubbabhāgepi maggakkhaṇepi sammāsamādhiyeva.

    อิติ อิเมสุ อฎฺฐสุ ธเมฺมสุ ภควตา นิพฺพานาธิคมาย ปฎิปนฺนสฺส โยคิโน พหุการตฺตา ปฐมํ สมฺมาทิฎฺฐิ เทสิตาฯ อยญฺหิ ‘‘ปญฺญาปโชฺชโต ปญฺญาสตฺถ’’นฺติ (ธ. ส. ๑๖, ๒๐, ๒๙, ๓๔) จ วุตฺตาฯ ตสฺมา เอตาย ปุพฺพภาเค วิปสฺสนาญาณสงฺขาตาย สมฺมาทิฎฺฐิยา อวิชฺชนฺธการํ วิธมิตฺวา กิเลสโจเร ฆาเตโนฺต เขเมน โยคาวจโร นิพฺพานํ ปาปุณาติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘นิพฺพานาธิคมาย ปฎิปนฺนสฺส โยคิโน พหุการตฺตา ปฐมํ สมฺมาทิฎฺฐิ เทสิตา’’ติฯ

    Iti imesu aṭṭhasu dhammesu bhagavatā nibbānādhigamāya paṭipannassa yogino bahukārattā paṭhamaṃ sammādiṭṭhi desitā. Ayañhi ‘‘paññāpajjoto paññāsattha’’nti (dha. sa. 16, 20, 29, 34) ca vuttā. Tasmā etāya pubbabhāge vipassanāñāṇasaṅkhātāya sammādiṭṭhiyā avijjandhakāraṃ vidhamitvā kilesacore ghātento khemena yogāvacaro nibbānaṃ pāpuṇāti. Tena vuttaṃ – ‘‘nibbānādhigamāya paṭipannassa yogino bahukārattā paṭhamaṃ sammādiṭṭhi desitā’’ti.

    สมฺมาสงฺกโปฺป ปน ตสฺสา พหุกาโร, ตสฺมา ตทนนฺตรํ วุโตฺตฯ ยถา หิ เหรญฺญิโก หเตฺถน ปริวเตฺตตฺวา ปริวเตฺตตฺวา จกฺขุนา กหาปณํ โอโลเกโนฺต ‘อยํ กูโฎ, อยํ เฉโก’’ติ ชานาติ , เอวํ โยคาวจโรปิ ปุพฺพภาเค วิตเกฺกน วิตเกฺกตฺวา วิตเกฺกตฺวา วิปสฺสนาปญฺญาย โอโลกยมาโน ‘‘อิเม ธมฺมา กามาวจรา, อิเม ธมฺมา รูปาวจราทโย’’ติ ชานาติฯ ยถา วา ปน ปุริเสน โกฎิยํ คเหตฺวา ปริวเตฺตตฺวา ปริวเตฺตตฺวา ทินฺนํ มหารุกฺขํ ตจฺฉโก วาสิยา ตเจฺฉตฺวา กเมฺม อุปเนติ, เอวํ วิตเกฺกน วิตเกฺกตฺวา วิตเกฺกตฺวา ทินฺนธเมฺม โยคาวจโร ปญฺญาย ‘‘อิเม ธมฺมา กามาวจรา, อิเม ธมฺมา รูปาวจรา’’ติอาทินา นเยน ปริจฺฉินฺทิตฺวา กเมฺม อุปเนติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สมฺมาสงฺกโปฺป ปน ตสฺสา พหุกาโร, ตสฺมา ตทนนฺตรํ วุโตฺต’’ติฯ

    Sammāsaṅkappo pana tassā bahukāro, tasmā tadanantaraṃ vutto. Yathā hi heraññiko hatthena parivattetvā parivattetvā cakkhunā kahāpaṇaṃ olokento ‘ayaṃ kūṭo, ayaṃ cheko’’ti jānāti , evaṃ yogāvacaropi pubbabhāge vitakkena vitakketvā vitakketvā vipassanāpaññāya olokayamāno ‘‘ime dhammā kāmāvacarā, ime dhammā rūpāvacarādayo’’ti jānāti. Yathā vā pana purisena koṭiyaṃ gahetvā parivattetvā parivattetvā dinnaṃ mahārukkhaṃ tacchako vāsiyā tacchetvā kamme upaneti, evaṃ vitakkena vitakketvā vitakketvā dinnadhamme yogāvacaro paññāya ‘‘ime dhammā kāmāvacarā, ime dhammā rūpāvacarā’’tiādinā nayena paricchinditvā kamme upaneti. Tena vuttaṃ – ‘‘sammāsaṅkappo pana tassā bahukāro, tasmā tadanantaraṃ vutto’’ti.

    สฺวายํ ยถา สมฺมาทิฎฺฐิยา, เอวํ สมฺมาวาจายปิ อุปการโกฯ ยถาห – ‘‘ปุเพฺพ โข, คหปติ, วิตเกฺกตฺวา วิจาเรตฺวา ปจฺฉา วาจํ ภินฺทตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๓)ฯ ตสฺมา ตทนนฺตรํ สมฺมาวาจา วุตฺตาฯ

    Svāyaṃ yathā sammādiṭṭhiyā, evaṃ sammāvācāyapi upakārako. Yathāha – ‘‘pubbe kho, gahapati, vitakketvā vicāretvā pacchā vācaṃ bhindatī’’ti (ma. ni. 1.463). Tasmā tadanantaraṃ sammāvācā vuttā.

    ยสฺมา ปน อิทญฺจิทญฺจ กริสฺสามาติ ปฐมํ วาจาย สํวิทหิตฺวา โลเก กมฺมเนฺต ปโยเชนฺติ, ตสฺมา วาจา กายกมฺมสฺส อุปการิกาติ สมฺมาวาจาย อนนฺตรํ สมฺมากมฺมโนฺต วุโตฺตฯ

    Yasmā pana idañcidañca karissāmāti paṭhamaṃ vācāya saṃvidahitvā loke kammante payojenti, tasmā vācā kāyakammassa upakārikāti sammāvācāya anantaraṃ sammākammanto vutto.

    จตุพฺพิธํ ปน วจีทุจฺจริตํ, ติวิธํ กายทุจฺจริตํ ปหาย อุภยสุจริตํ ปูเรนฺตเสฺสว ยสฺมา อาชีวฎฺฐมกสีลํ ปูเรติ, น อิตรสฺสฯ ตสฺมา ตทุภยานนฺตรํ สมฺมาอาชีโว วุโตฺตฯ

    Catubbidhaṃ pana vacīduccaritaṃ, tividhaṃ kāyaduccaritaṃ pahāya ubhayasucaritaṃ pūrentasseva yasmā ājīvaṭṭhamakasīlaṃ pūreti, na itarassa. Tasmā tadubhayānantaraṃ sammāājīvo vutto.

    เอวํ สุทฺธาชีเวน ‘‘ปริสุโทฺธ เม อาชีโว’’ติ เอตฺตาวตา ปริโตสํ กตฺวา สุตฺตปฺปมเตฺตน วิหริตุํ น ยุตฺตํ, อถ โข สพฺพอิริยาปเถสุ อิทํ วีริยมารภิตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ตทนนฺตรํ สมฺมาวายาโม วุโตฺตฯ

    Evaṃ suddhājīvena ‘‘parisuddho me ājīvo’’ti ettāvatā paritosaṃ katvā suttappamattena viharituṃ na yuttaṃ, atha kho sabbairiyāpathesu idaṃ vīriyamārabhitabbanti dassetuṃ tadanantaraṃ sammāvāyāmo vutto.

    ตโต อารทฺธวีริเยนาปิ กายาทีสุ จตูสุ วตฺถูสุ สติ สูปฎฺฐิตา กาตพฺพาติ ทสฺสนตฺถํ ตทนนฺตรํ สมฺมาสติ เทสิตาฯ

    Tato āraddhavīriyenāpi kāyādīsu catūsu vatthūsu sati sūpaṭṭhitā kātabbāti dassanatthaṃ tadanantaraṃ sammāsati desitā.

    ยสฺมา ปน เอวํ สูปฎฺฐิตา สติ สมาธิสฺส อุปการานุปการานํ ธมฺมานํ คติโย สมเนฺวสิตฺวา ปโหติ เอกตฺตารมฺมเณ จิตฺตํ สมาเธตุํ, ตสฺมา สมฺมาสติยา อนนฺตรํ สมฺมาสมาธิ เทสิโตติ เวทิตโพฺพฯ อิติ อยมฺปิ อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสโกว กถิโตฯ

    Yasmā pana evaṃ sūpaṭṭhitā sati samādhissa upakārānupakārānaṃ dhammānaṃ gatiyo samanvesitvā pahoti ekattārammaṇe cittaṃ samādhetuṃ, tasmā sammāsatiyā anantaraṃ sammāsamādhi desitoti veditabbo. Iti ayampi aṭṭhaṅgiko maggo lokiyalokuttaramissakova kathito.

    ๔๒๗. อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญีติอาทีสุ อชฺฌตฺตรูเป ปริกมฺมวเสน อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี นาม โหติฯ อชฺฌตฺตญฺหิ นีลปริกมฺมํ กโรโนฺต เกเส วา ปิเตฺต วา อกฺขิตารกาย วา กโรติ, ปีตปริกมฺมํ กโรโนฺต เมเท วา ฉวิยา วา หตฺถปาทตเลสุ วา อกฺขีนํ ปีตกฎฺฐาเน วา กโรติ, โลหิตปริกมฺมํ กโรโนฺต มํเส วา โลหิเต วา ชิวฺหาย วา อกฺขีนํ รตฺตฎฺฐาเน วา กโรติ, โอทาตปริกมฺมํ กโรโนฺต อฎฺฐิมฺหิ วา ทเนฺต วา นเข วา อกฺขีนํ เสตฎฺฐาเน วา กโรติฯ ตํ ปน สุนีลํ สุปีตํ สุโลหิตกํ สุโอทาตกํ น โหติ, อวิสุทฺธเมว โหติฯ

    427.Ajjhattaṃ rūpasaññītiādīsu ajjhattarūpe parikammavasena ajjhattaṃ rūpasaññī nāma hoti. Ajjhattañhi nīlaparikammaṃ karonto kese vā pitte vā akkhitārakāya vā karoti, pītaparikammaṃ karonto mede vā chaviyā vā hatthapādatalesu vā akkhīnaṃ pītakaṭṭhāne vā karoti, lohitaparikammaṃ karonto maṃse vā lohite vā jivhāya vā akkhīnaṃ rattaṭṭhāne vā karoti, odātaparikammaṃ karonto aṭṭhimhi vā dante vā nakhe vā akkhīnaṃ setaṭṭhāne vā karoti. Taṃ pana sunīlaṃ supītaṃ sulohitakaṃ suodātakaṃ na hoti, avisuddhameva hoti.

    เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตีติ ยเสฺสวํ ปริกมฺมํ อชฺฌตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, นิมิตฺตํ ปน พหิทฺธาฯ โส เอวํ อชฺฌตฺตํ ปริกมฺมสฺส พหิทฺธา จ อปฺปนาย วเสน ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ วุจฺจติฯ ปริตฺตานีติ อวฑฺฒิตานิฯ สุวณฺณทุพฺพณฺณานีติ สุวณฺณานิ วา โหนฺติ ทุพฺพณฺณานิ วา, ปริตฺตวเสเนว อิทํ อภิภายตนํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตานิ อภิภุยฺยาติ ยถา นาม สมฺปนฺนคหณิโก กฎจฺฉุมตฺตํ ภตฺตํ ลภิตฺวา ‘‘กิํ เอตฺถ ภุญฺชิตพฺพํ อตฺถี’’ติ สงฺกฑฺฒิตฺวา เอกกพลเมว กโรติ, เอวเมว ญาณุตฺตริโก ปุคฺคโล วิสทญาโณ ‘‘กิํ เอตฺถ ปริตฺตเก อารมฺมเณ สมาปชฺชิตพฺพํ อตฺถิ, นายํ มม ภาโร’’ติ ตานิ รูปานิ อภิภวิตฺวา สมาปชฺชติ, สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตีติ อโตฺถฯ ชานามิ ปสฺสามีติ อิมินา ปนสฺส อาโภโค กถิโตฯ โส จ โข สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสฺส, น อโนฺตสมาปตฺติยํฯ เอวํสญฺญี โหตีติ อาโภคสญฺญายปิ ฌานสญฺญายปิ เอวํสญฺญี โหติฯ อภิภวสญฺญา หิสฺส อโนฺตสมาปตฺติยมฺปิ อตฺถิ, อาโภคสญฺญา ปน สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตเสฺสวฯ

    Ekobahiddhā rūpāni passatīti yassevaṃ parikammaṃ ajjhattaṃ uppannaṃ hoti, nimittaṃ pana bahiddhā. So evaṃ ajjhattaṃ parikammassa bahiddhā ca appanāya vasena ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passatī’’ti vuccati. Parittānīti avaḍḍhitāni. Suvaṇṇadubbaṇṇānīti suvaṇṇāni vā honti dubbaṇṇāni vā, parittavaseneva idaṃ abhibhāyatanaṃ vuttanti veditabbaṃ. Tāni abhibhuyyāti yathā nāma sampannagahaṇiko kaṭacchumattaṃ bhattaṃ labhitvā ‘‘kiṃ ettha bhuñjitabbaṃ atthī’’ti saṅkaḍḍhitvā ekakabalameva karoti, evameva ñāṇuttariko puggalo visadañāṇo ‘‘kiṃ ettha parittake ārammaṇe samāpajjitabbaṃ atthi, nāyaṃ mama bhāro’’ti tāni rūpāni abhibhavitvā samāpajjati, saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetīti attho. Jānāmipassāmīti iminā panassa ābhogo kathito. So ca kho samāpattito vuṭṭhitassa, na antosamāpattiyaṃ. Evaṃsaññī hotīti ābhogasaññāyapi jhānasaññāyapi evaṃsaññī hoti. Abhibhavasaññā hissa antosamāpattiyampi atthi, ābhogasaññā pana samāpattito vuṭṭhitasseva.

    อปฺปมาณานีติ วฑฺฒิตปฺปมาณานิ, มหนฺตานีติ อโตฺถฯ อภิภุยฺยาติ เอตฺถ ปน ยถา มหคฺฆโส ปุริโส เอกํ ภตฺตวฑฺฒิตกํ ลภิตฺวา ‘‘อญฺญมฺปิ โหตุ, กิํ เอตํ มยฺหํ กริสฺสตี’’ติ ตํ น มหนฺตโต ปสฺสติ, เอวเมว ญาณุตฺตโร ปุคฺคโล วิสทญาโณ ‘‘กิํ เอตฺถ สมาปชฺชิตพฺพํ , นยิทํ อปฺปมาณํ, น มยฺหํ จิเตฺตกคฺคตากรเณ ภาโร อตฺถี’’ติ ตานิ อภิภวิตฺวา สมาปชฺชติ, สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตีติ อโตฺถฯ

    Appamāṇānīti vaḍḍhitappamāṇāni, mahantānīti attho. Abhibhuyyāti ettha pana yathā mahagghaso puriso ekaṃ bhattavaḍḍhitakaṃ labhitvā ‘‘aññampi hotu, kiṃ etaṃ mayhaṃ karissatī’’ti taṃ na mahantato passati, evameva ñāṇuttaro puggalo visadañāṇo ‘‘kiṃ ettha samāpajjitabbaṃ , nayidaṃ appamāṇaṃ, na mayhaṃ cittekaggatākaraṇe bhāro atthī’’ti tāni abhibhavitvā samāpajjati, saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetīti attho.

    อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญีติ อลาภิตาย วา อนตฺถิกตาย วา อชฺฌตฺตรูเป ปริกมฺมสญฺญาวิรหิโตฯ

    Ajjhattaṃ arūpasaññīti alābhitāya vā anatthikatāya vā ajjhattarūpe parikammasaññāvirahito.

    พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตีติ ยสฺส ปริกมฺมมฺปิ นิมิตฺตมฺปิ พหิทฺธาว อุปฺปนฺนํ, โส เอวํ พหิทฺธา ปริกมฺมสฺส เจว อปฺปนาย จ วเสน ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโกว พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ วุจฺจติฯ เสสเมตฺถ จตุตฺถอภิภายตเน วุตฺตนยเมวฯ อิเมสุ ปน จตูสุ ปริตฺตํ วิตกฺกจริตวเสน อาคตํ, อปฺปมาณํ โมหจริตวเสน, สุวณฺณํ โทสจริตวเสน, ทุพฺพณฺณํ ราคจริตวเสน ฯ เอเตสญฺหิ เอตานิ สปฺปายานิ, สา จ เนสํ สปฺปายตา วิตฺถารโต วิสุทฺธิมเคฺค จริยนิเทฺทเส วุตฺตาฯ

    Bahiddhā rūpāni passatīti yassa parikammampi nimittampi bahiddhāva uppannaṃ, so evaṃ bahiddhā parikammassa ceva appanāya ca vasena ‘‘ajjhattaṃ arūpasaññī ekova bahiddhā rūpāni passatī’’ti vuccati. Sesamettha catutthaabhibhāyatane vuttanayameva. Imesu pana catūsu parittaṃ vitakkacaritavasena āgataṃ, appamāṇaṃ mohacaritavasena, suvaṇṇaṃ dosacaritavasena, dubbaṇṇaṃ rāgacaritavasena . Etesañhi etāni sappāyāni, sā ca nesaṃ sappāyatā vitthārato visuddhimagge cariyaniddese vuttā.

    ปญฺจมอภิภายตนาทีสุ นีลานีติ สพฺพสงฺคาหกวเสน วุตฺตํฯ นีลวณฺณานีติ วณฺณวเสนฯ นีลนิทสฺสนานีติ นิทสฺสนวเสน, อปญฺญายมานวิวรานิ อสมฺภินฺนวณฺณานิ เอกนีลาเนว หุตฺวา ทิสฺสนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ นีลนิภาสานีติ อิทํ ปน โอภาสวเสน วุตฺตํ, นีโลภาสานิ นีลปฺปภายุตฺตานีติ อโตฺถฯ เอเตน เนสํ สุวิสุทฺธตํ ทเสฺสติฯ วิสุทฺธวณฺณวเสเนว หิ อิมานิ จตฺตาริ อภิภายตนานิ วุตฺตานิฯ ‘‘นีลกสิณํ คณฺหโนฺต นีลสฺมิํ นิมิตฺตํ คณฺหาติ ปุปฺผสฺมิํ วา วตฺถสฺมิํ วา วณฺณธาตุยา วา’’ติอาทิกํ ปเนตฺถ กสิณกรณญฺจ ปริกมฺมญฺจ อปฺปนาวิธานญฺจ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถารโต วุตฺตเมวฯ อิมานิ ปน อฎฺฐ อภิภายตนชฺฌานานิ วฎฺฎานิปิ โหนฺติ วฎฺฎปาทกานิปิ วิปสฺสนาปาทกานิปิ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารานิปิ อภิญฺญาปาทกานิปิ นิโรธปาทกานิปิ, โลกิยาเนว ปน น โลกุตฺตรานีติ เวทิตพฺพานิฯ

    Pañcamaabhibhāyatanādīsu nīlānīti sabbasaṅgāhakavasena vuttaṃ. Nīlavaṇṇānīti vaṇṇavasena. Nīlanidassanānīti nidassanavasena, apaññāyamānavivarāni asambhinnavaṇṇāni ekanīlāneva hutvā dissantīti vuttaṃ hoti. Nīlanibhāsānīti idaṃ pana obhāsavasena vuttaṃ, nīlobhāsāni nīlappabhāyuttānīti attho. Etena nesaṃ suvisuddhataṃ dasseti. Visuddhavaṇṇavaseneva hi imāni cattāri abhibhāyatanāni vuttāni. ‘‘Nīlakasiṇaṃ gaṇhanto nīlasmiṃ nimittaṃ gaṇhāti pupphasmiṃ vā vatthasmiṃ vā vaṇṇadhātuyā vā’’tiādikaṃ panettha kasiṇakaraṇañca parikammañca appanāvidhānañca sabbaṃ visuddhimagge vitthārato vuttameva. Imāni pana aṭṭha abhibhāyatanajjhānāni vaṭṭānipi honti vaṭṭapādakānipi vipassanāpādakānipi diṭṭhadhammasukhavihārānipi abhiññāpādakānipi nirodhapādakānipi, lokiyāneva pana na lokuttarānīti veditabbāni.

    ๔๓๕. รูปี รูปานิ ปสฺสตีติ เอตฺถ อชฺฌตฺตํ เกสาทีสุ นีลกสิณาทีสุ นีลกสิณาทิวเสน อุปฺปาทิตํ รูปชฺฌานํ รูปํ, ตํ อสฺส อตฺถีติ รูปีฯ พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตีติ พหิทฺธาปิ นีลกสิณาทีนิ รูปานิ ฌานจกฺขุนา ปสฺสติฯ อิมินา อชฺฌตฺตพหิทฺธาวตฺถุเกสุ กสิเณสุ อุปฺปาทิตชฺฌานสฺส ปุคฺคลสฺส จตฺตาริปิ รูปาวจรชฺฌานานิ ทสฺสิตานิ ฯ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญีติ อชฺฌตฺตํ น รูปสญฺญี, อตฺตโน เกสาทีสุ อนุปฺปาทิตรูปาวจรชฺฌาโนติ อโตฺถฯ อิมินา พหิทฺธาปริกมฺมํ กตฺวา พหิทฺธาว อุปฺปาทิตชฺฌานสฺส ปุคฺคลสฺส รูปาวจรชฺฌานานิ ทสฺสิตานิฯ

    435.Rūpī rūpāni passatīti ettha ajjhattaṃ kesādīsu nīlakasiṇādīsu nīlakasiṇādivasena uppāditaṃ rūpajjhānaṃ rūpaṃ, taṃ assa atthīti rūpī. Bahiddhā rūpāni passatīti bahiddhāpi nīlakasiṇādīni rūpāni jhānacakkhunā passati. Iminā ajjhattabahiddhāvatthukesu kasiṇesu uppāditajjhānassa puggalassa cattāripi rūpāvacarajjhānāni dassitāni . Ajjhattaṃ arūpasaññīti ajjhattaṃ na rūpasaññī, attano kesādīsu anuppāditarūpāvacarajjhānoti attho. Iminā bahiddhāparikammaṃ katvā bahiddhāva uppāditajjhānassa puggalassa rūpāvacarajjhānāni dassitāni.

    สุภเนฺตฺวว อธิมุโตฺต โหตีติ อิมินา สุวิสุเทฺธสุ นีลาทีสุ วณฺณกสิเณสุ ฌานานิ ทสฺสิตานิฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ อโนฺตอปฺปนายํ สุภนฺติ อาโภโค นตฺถิ, โย ปน วิสุทฺธํ สุภํ กสิณารมฺมณํ กตฺวา วิหรติ, โส ยสฺมา ‘‘สุภนฺติ อธิมุโตฺต โหตี’’ติ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติ, ตสฺมา เอวํ เทสนา กตาฯ ปฎิสมฺภิทามเคฺค ปน ‘‘กถํ สุภเนฺตฺวว อธิมุโตฺต โหตีติ วิโมโกฺข – อิธ ภิกฺขุ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ…เป.… เมตฺตาย ภาวิตตฺตา สตฺตา อปฺปฎิกฺกูลา โหนฺติฯ กรุณาสหคเตน…เป.… มุทิตาสหคเตน…เป.… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ…เป.… อุเปกฺขาย ภาวิตตฺตา สตฺตา อปฺปฎิกฺกูลา โหนฺติฯ เอวํ สุภเนฺตฺวว อธิมุโตฺต โหตีติ วิโมโกฺข’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๑๒) วุตฺตํฯ สพฺพโส รูปสญฺญานนฺติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตเมวฯ

    Subhantvevaadhimutto hotīti iminā suvisuddhesu nīlādīsu vaṇṇakasiṇesu jhānāni dassitāni. Tattha kiñcāpi antoappanāyaṃ subhanti ābhogo natthi, yo pana visuddhaṃ subhaṃ kasiṇārammaṇaṃ katvā viharati, so yasmā ‘‘subhanti adhimutto hotī’’ti vattabbataṃ āpajjati, tasmā evaṃ desanā katā. Paṭisambhidāmagge pana ‘‘kathaṃ subhantveva adhimutto hotīti vimokkho – idha bhikkhu mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati…pe… mettāya bhāvitattā sattā appaṭikkūlā honti. Karuṇāsahagatena…pe… muditāsahagatena…pe… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati…pe… upekkhāya bhāvitattā sattā appaṭikkūlā honti. Evaṃ subhantveva adhimutto hotīti vimokkho’’ti (paṭi. ma. 1.212) vuttaṃ. Sabbaso rūpasaññānantiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ visuddhimagge vuttameva.

    ๔๔๓. ปถวิกสิณํ ภาเวตีติ เอตฺถ ปน สกลเฎฺฐน กสิณํ, ปถวิ เอว กสิณํ ปถวิกสิณํฯ ปริกมฺมปถวิยาปิ อุคฺคหนิมิตฺตสฺสาปิ ปฎิภาคนิมิตฺตสฺสาปิ ตํ นิมิตฺตํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปนฺนชฺฌานสฺสาปิ เอตํ อธิวจนํฯ อิธ ปน ปถวิกสิณารมฺมณํ ฌานํ อธิเปฺปตํฯ ตํ เหส ภาเวติฯ อาโปกสิณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    443.Pathavikasiṇaṃ bhāvetīti ettha pana sakalaṭṭhena kasiṇaṃ, pathavi eva kasiṇaṃ pathavikasiṇaṃ. Parikammapathaviyāpi uggahanimittassāpi paṭibhāganimittassāpi taṃ nimittaṃ ārammaṇaṃ katvā uppannajjhānassāpi etaṃ adhivacanaṃ. Idha pana pathavikasiṇārammaṇaṃ jhānaṃ adhippetaṃ. Taṃ hesa bhāveti. Āpokasiṇādīsupi eseva nayo.

    อิมานิ ปน กสิณานิ ภาเวเนฺตน สีลานิ โสเธตฺวา ปริสุทฺธสีเล ปติฎฺฐิเตน ยฺวาสฺส ทสสุ ปลิโพเธสุ ปลิโพโธ อตฺถิ, ตํ อุปจฺฉินฺทิตฺวา กมฺมฎฺฐานทายกํ กลฺยาณมิตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตโน จริยานุกูลวเสน ยํ ยสฺส สปฺปายํ, ตํ เตน คเหตฺวา กสิณภาวนาย อนนุรูปํ วิหารํ ปหาย อนุรูเป วิหรเนฺตน ขุทฺทกปลิโพธุปเจฺฉทํ กตฺวา สพฺพํ ภาวนาวิธานํ อปริหาเปเนฺตน ภาเวตพฺพานิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๓๘ อาทโย) วุโตฺตฯ เกวลญฺหิ ตตฺถ วิญฺญาณกสิณํ นาคตํ, ตํ อตฺถโต อากาสกสิเณ ปวตฺตวิญฺญาณํฯ ตญฺจ โข อารมฺมณวเสน วุตฺตํ, น สมาปตฺติวเสนฯ ตญฺหิ อนนฺตํ วิญฺญาณนฺติ อารมฺมณํ กตฺวา เอส วิญฺญาณญฺจายตนสมาปตฺติํ ภาเวโนฺต วิญฺญาณกสิณํ ภาเวตีติ วุจฺจติฯ อิมานิปิ ทส กสิณานิ วฎฺฎานิปิ โหนฺติ วฎฺฎปาทกานิปิ วิปสฺสนาปาทกานิปิ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถานิปิ อภิญฺญาปาทกานิปิ นิโรธปาทกานิปิ, โลกิยาเนว ปน น โลกุตฺตรานีติฯ

    Imāni pana kasiṇāni bhāventena sīlāni sodhetvā parisuddhasīle patiṭṭhitena yvāssa dasasu palibodhesu palibodho atthi, taṃ upacchinditvā kammaṭṭhānadāyakaṃ kalyāṇamittaṃ upasaṅkamitvā attano cariyānukūlavasena yaṃ yassa sappāyaṃ, taṃ tena gahetvā kasiṇabhāvanāya ananurūpaṃ vihāraṃ pahāya anurūpe viharantena khuddakapalibodhupacchedaṃ katvā sabbaṃ bhāvanāvidhānaṃ aparihāpentena bhāvetabbāni. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimagge (visuddhi. 1.38 ādayo) vutto. Kevalañhi tattha viññāṇakasiṇaṃ nāgataṃ, taṃ atthato ākāsakasiṇe pavattaviññāṇaṃ. Tañca kho ārammaṇavasena vuttaṃ, na samāpattivasena. Tañhi anantaṃ viññāṇanti ārammaṇaṃ katvā esa viññāṇañcāyatanasamāpattiṃ bhāvento viññāṇakasiṇaṃ bhāvetīti vuccati. Imānipi dasa kasiṇāni vaṭṭānipi honti vaṭṭapādakānipi vipassanāpādakānipi diṭṭhadhammasukhavihāratthānipi abhiññāpādakānipi nirodhapādakānipi, lokiyāneva pana na lokuttarānīti.

    ๔๕๓. อสุภสญฺญํ ภาเวตีติ อสุภสญฺญา วุจฺจติ อุทฺธุมาตกาทีสุ ทสสุ อารมฺมเณสุ อุปฺปนฺนา ปฐมชฺฌานสหคตา สญฺญา, ตํ ภาเวติ พฺรูเหติ วเฑฺฒติ, อนุปฺปนฺนํ อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนํ อนุรกฺขตีติ อโตฺถฯ ทสนฺนํ ปน อสุภานํ ภาวนานโย สโพฺพ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๐๒ อาทโย) วิตฺถาริโตเยว ฯ มรณสญฺญํ ภาเวตีติ สมฺมุติมรณํ, ขณิกมรณํ, สมุเจฺฉทมรณนฺติ ติวิธมฺปิ มรณํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกสญฺญํ ภาเวติ, อนุปฺปนฺนํ อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนํ อนุรกฺขตีติ อโตฺถฯ เหฎฺฐา วุตฺตลกฺขณา วา มรณสฺสติเยว อิธ มรณสญฺญาติ วุตฺตา, ตํ ภาเวติ อุปฺปาเทติ วเฑฺฒตีติ อโตฺถฯ ภาวนานโย ปนสฺสา วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๖๗ อาทโย) วิตฺถาริโตเยวฯ อาหาเร ปฎิกูลสญฺญํ ภาเวตีติ อสิตปีตาทิเภเท กพฬีกาเร อาหาเร คมนปฎิกูลาทีนิ นว ปฎิกูลานิ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส อุปฺปชฺชนกสญฺญํ ภาเวติ, อุปฺปาเทติ วเฑฺฒตีติ อโตฺถฯ ตสฺสาปิ ภาวนานโย วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริโตเยวฯ สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญํ ภาเวตีติ สพฺพสฺมิมฺปิ เตธาตุเก โลเก อนภิรติสญฺญํ อุกฺกณฺฐิตสญฺญํ ภาเวตีติ อโตฺถฯ อนิจฺจสญฺญํ ภาเวตีติ ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ อุทยพฺพยญฺญถตฺตปริคฺคาหิกํ ปญฺจสุ ขเนฺธสุ อนิจฺจนฺติ อุปฺปชฺชนกสญฺญํ ภาเวติฯ อนิเจฺจ ทุกฺขสญฺญํ ภาเวตีติ อนิเจฺจ ขนฺธปญฺจเก ปฎิปีฬนสงฺขาตทุกฺขลกฺขณปริคฺคาหิกํ ทุกฺขนฺติ อุปฺปชฺชนกสญฺญํ ภาเวติฯ ทุเกฺข อนตฺตสญฺญํ ภาเวตีติ ปฎิปีฬนเฎฺฐน ทุเกฺข ขนฺธปญฺจเก อวสวตฺตนาการสงฺขาตอนตฺตลกฺขณปริคฺคาหิกํ อนตฺตาติ อุปฺปชฺชนกสญฺญํ ภาเวติฯ ปหานสญฺญํ ภาเวตีติ ปญฺจวิธํ ปหานํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกสญฺญํ ภาเวติฯ วิราคสญฺญํ ภาเวตีติ ปญฺจวิธเมว วิราคํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกสญฺญํ ภาเวติฯ นิโรธสญฺญํ ภาเวตีติ สงฺขารนิโรธํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกสญฺญํ ภาเวติฯ นิพฺพานํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกสญฺญนฺติปิ วทนฺติฯ เอตฺถ จ สพฺพโลเก อนภิรตสญฺญา, อนิจฺจสญฺญา, อนิเจฺจ ทุกฺขสญฺญาติ อิมาหิ ตีหิ สญฺญาหิ พลววิปสฺสนา กถิตาฯ ปุน อนิจฺจสญฺญํ ภาเวตีติอาทิกาหิ ทสหิ สญฺญาหิ วิปสฺสนาสมารโมฺภว กถิโตฯ

    453.Asubhasaññaṃ bhāvetīti asubhasaññā vuccati uddhumātakādīsu dasasu ārammaṇesu uppannā paṭhamajjhānasahagatā saññā, taṃ bhāveti brūheti vaḍḍheti, anuppannaṃ uppādeti, uppannaṃ anurakkhatīti attho. Dasannaṃ pana asubhānaṃ bhāvanānayo sabbo visuddhimagge (visuddhi. 1.102 ādayo) vitthāritoyeva . Maraṇasaññaṃ bhāvetīti sammutimaraṇaṃ, khaṇikamaraṇaṃ, samucchedamaraṇanti tividhampi maraṇaṃ ārammaṇaṃ katvā uppajjanakasaññaṃ bhāveti, anuppannaṃ uppādeti, uppannaṃ anurakkhatīti attho. Heṭṭhā vuttalakkhaṇā vā maraṇassatiyeva idha maraṇasaññāti vuttā, taṃ bhāveti uppādeti vaḍḍhetīti attho. Bhāvanānayo panassā visuddhimagge (visuddhi. 1.167 ādayo) vitthāritoyeva. Āhāre paṭikūlasaññaṃ bhāvetīti asitapītādibhede kabaḷīkāre āhāre gamanapaṭikūlādīni nava paṭikūlāni paccavekkhantassa uppajjanakasaññaṃ bhāveti, uppādeti vaḍḍhetīti attho. Tassāpi bhāvanānayo visuddhimagge vitthāritoyeva. Sabbaloke anabhiratisaññaṃ bhāvetīti sabbasmimpi tedhātuke loke anabhiratisaññaṃ ukkaṇṭhitasaññaṃ bhāvetīti attho. Aniccasaññaṃbhāvetīti pañcannaṃ upādānakkhandhānaṃ udayabbayaññathattapariggāhikaṃ pañcasu khandhesu aniccanti uppajjanakasaññaṃ bhāveti. Anicce dukkhasaññaṃ bhāvetīti anicce khandhapañcake paṭipīḷanasaṅkhātadukkhalakkhaṇapariggāhikaṃ dukkhanti uppajjanakasaññaṃ bhāveti. Dukkhe anattasaññaṃ bhāvetīti paṭipīḷanaṭṭhena dukkhe khandhapañcake avasavattanākārasaṅkhātaanattalakkhaṇapariggāhikaṃ anattāti uppajjanakasaññaṃ bhāveti. Pahānasaññaṃ bhāvetīti pañcavidhaṃ pahānaṃ ārammaṇaṃ katvā uppajjanakasaññaṃ bhāveti. Virāgasaññaṃ bhāvetīti pañcavidhameva virāgaṃ ārammaṇaṃ katvā uppajjanakasaññaṃ bhāveti. Nirodhasaññaṃ bhāvetīti saṅkhāranirodhaṃ ārammaṇaṃ katvā uppajjanakasaññaṃ bhāveti. Nibbānaṃ ārammaṇaṃ katvā uppajjanakasaññantipi vadanti. Ettha ca sabbaloke anabhiratasaññā, aniccasaññā, anicce dukkhasaññāti imāhi tīhi saññāhi balavavipassanā kathitā. Puna aniccasaññaṃ bhāvetītiādikāhi dasahi saññāhi vipassanāsamārambhova kathito.

    ๔๗๓. พุทฺธานุสฺสตินฺติอาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ

    473.Buddhānussatintiādīni vuttatthāneva.

    ๔๘๓. ปฐมชฺฌานสหคตนฺติ ปฐมชฺฌาเนน สทฺธิํ คตํ ปวตฺตํ, ปฐมชฺฌานสมฺปยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ สทฺธินฺทฺริยํ ภาเวตีติ ปฐมชฺฌานสหคตํ กตฺวา สทฺธินฺทฺริยํ ภาเวติ พฺรูเหติ วเฑฺฒติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ

    483.Paṭhamajjhānasahagatanti paṭhamajjhānena saddhiṃ gataṃ pavattaṃ, paṭhamajjhānasampayuttanti attho. Saddhindriyaṃ bhāvetīti paṭhamajjhānasahagataṃ katvā saddhindriyaṃ bhāveti brūheti vaḍḍheti. Esa nayo sabbattha.

    อปรอจฺฉราสงฺฆาตวคฺควณฺณนาฯ

    Aparaaccharāsaṅghātavaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๘. อปรอจฺฉราสงฺฆาตวโคฺค • 18. Aparaaccharāsaṅghātavaggo

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๘. อปรอจฺฉราสงฺฆาตวคฺควณฺณนา • 18. Aparaaccharāsaṅghātavaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact