Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๑๘. อปรอจฺฉราสงฺฆาตวคฺควณฺณนา
18. Aparaaccharāsaṅghātavaggavaṇṇanā
๓๘๒. อิทมฺปิ สุตฺตนฺติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท เหฎฺฐา วุตฺตจูฬจฺฉราสงฺฆาตสุตฺตํ สมฺปิเณฺฑติฯ จูฬจฺฉราสงฺฆาตสุเตฺต อปฺปนํ อปฺปตฺตาย เมตฺตาย ตาวมหโนฺต วิปาโก ทสฺสิโต, กิมงฺคํ ปน อิมิสฺสา อปฺปนาปฺปตฺตาย เมตฺตายาติ ทเสฺสตุํ – ‘‘อปฺปนาปฺปตฺตาย หี’’ติอาทิมาหฯ วิปากกถาเยว นตฺถีติ วิปาเก กถาเยว นตฺถิ, อยเมว วา ปาโฐฯ คณนานุปุพฺพตาติ คณนานุปุพฺพตายฯ ปฐมํ อุปฺปนฺนนฺติปิ ปฐมํ, ปฐมํ สมาปชฺชตีติ อิทํ ปน น เอกนฺตลกฺขณํฯ จิณฺณวสีภาโว หิ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี อาทิโต ปฎฺฐาย มตฺถกํ ปาเปโนฺตปิ สมาปชฺชิตุํ สโกฺกติ, มตฺถกโต ปฎฺฐาย อาทิํ ปาเปโนฺตปิ, อนฺตรนฺตรา โอกฺกโนฺตปิ สมาปชฺชิตุํ สโกฺกติ เอวฯ ปุพฺพุปฺปตฺติยเฎฺฐน ปน ปฐมํ นาม โหติฯ วิภเงฺคติ ฌานวิภเงฺคฯ วิปสฺสนํ กยิรมานํ ลกฺขณูปนิชฺฌานกิจฺจํ มเคฺคน สิชฺฌติ ตคฺคตสโมฺมหวิทฺธํสนโต ฯ อปิจ วิปสฺสนาย ลกฺขณูปนิชฺฌานํ มเคฺคน อุปฺปเนฺนน สิชฺฌติ อิตรถา ปริวตฺตนโต, ตสฺมา มโคฺค ลกฺขณูปนิชฺฌานํ, น อนิจฺจาทิลกฺขณานํ อารมฺมณกรณโตฯ ยถา ผลํ นิพฺพานสฺส อสงฺขตลกฺขณํ อารมฺมณกรณวเสน อุปนิชฺฌายติ, เอวํ มโคฺคปิฯ เอวมฺปิสฺส ลกฺขณูปนิชฺฌานตํ เวทิตพฺพํฯ วตฺตพฺพเมว นตฺถิ อริตฺตชฺฌานตายฯ เสสํ วิเสสํ, อริตฺตชฺฌานา เอวาติ อโตฺถฯ
382.Idampisuttanti ettha pi-saddo heṭṭhā vuttacūḷaccharāsaṅghātasuttaṃ sampiṇḍeti. Cūḷaccharāsaṅghātasutte appanaṃ appattāya mettāya tāvamahanto vipāko dassito, kimaṅgaṃ pana imissā appanāppattāya mettāyāti dassetuṃ – ‘‘appanāppattāya hī’’tiādimāha. Vipākakathāyeva natthīti vipāke kathāyeva natthi, ayameva vā pāṭho. Gaṇanānupubbatāti gaṇanānupubbatāya. Paṭhamaṃ uppannantipi paṭhamaṃ, paṭhamaṃ samāpajjatīti idaṃ pana na ekantalakkhaṇaṃ. Ciṇṇavasībhāvo hi aṭṭhasamāpattilābhī ādito paṭṭhāya matthakaṃ pāpentopi samāpajjituṃ sakkoti, matthakato paṭṭhāya ādiṃ pāpentopi, antarantarā okkantopi samāpajjituṃ sakkoti eva. Pubbuppattiyaṭṭhena pana paṭhamaṃ nāma hoti. Vibhaṅgeti jhānavibhaṅge. Vipassanaṃ kayiramānaṃ lakkhaṇūpanijjhānakiccaṃ maggena sijjhati taggatasammohaviddhaṃsanato . Apica vipassanāya lakkhaṇūpanijjhānaṃ maggena uppannena sijjhati itarathā parivattanato, tasmā maggo lakkhaṇūpanijjhānaṃ, na aniccādilakkhaṇānaṃ ārammaṇakaraṇato. Yathā phalaṃ nibbānassa asaṅkhatalakkhaṇaṃ ārammaṇakaraṇavasena upanijjhāyati, evaṃ maggopi. Evampissa lakkhaṇūpanijjhānataṃ veditabbaṃ. Vattabbameva natthi arittajjhānatāya. Sesaṃ visesaṃ, arittajjhānā evāti attho.
๓๘๖-๓๘๗. หิตผรณนฺติ สเตฺตสุ หิตานุรูปํ ฌานสฺส ผริตฺวา ปวตฺตนํฯ เจโตปฎิปกฺขโต วิมุจฺจติ เอตายาติ เจโตวิมุตฺติ, อปฺปนาปฺปตฺตา เมตฺตาฯ เตนาห – ‘‘อิธา’’ติอาทิฯ เอเสว นโยติ อิมินา กรุณาทีนมฺปิ อปฺปนาปฺปตฺตตํ อติทิสติฯ วฎฺฎํ โหนฺติ กมฺมวฎฺฎภาวโตฯ วฎฺฎปาทา โหนฺตีติ วิปากวฎฺฎสฺส การณํ โหนฺติฯ
386-387.Hitapharaṇanti sattesu hitānurūpaṃ jhānassa pharitvā pavattanaṃ. Cetopaṭipakkhato vimuccati etāyāti cetovimutti, appanāppattā mettā. Tenāha – ‘‘idhā’’tiādi. Eseva nayoti iminā karuṇādīnampi appanāppattataṃ atidisati. Vaṭṭaṃ honti kammavaṭṭabhāvato. Vaṭṭapādā hontīti vipākavaṭṭassa kāraṇaṃ honti.
๓๙๐. อชฺฌตฺตปริกมฺมวเสนาติ อตฺตโน เกสาทีสุ ปริกมฺมกรณวเสนฯ อฎฺฐารสวิเธติ อฎฺฐารสปฺปเภเทฯ กาเยติ รูปกาเยฯ รูปกาโย หิ อิธ องฺคปจฺจงฺคานํ เกสาทีนญฺจ ธมฺมานํ สมูหเฎฺฐน หตฺถิกายรถกายาทโย วิย กาโยติ อธิเปฺปโตฯ สมูหวิสยตาย จสฺส กายสทฺทสฺส สมุทายูปาทนตาย จ อสุภาการสฺส ‘‘กาเย’’ติ เอกวจนํฯ ตถา อารมฺมณาทิวิภาเคน อเนกเภทภินฺนมฺปิ จิตฺตํ จิตฺตภาวสามเญฺญน เอกชฺฌํ คเหตฺวา ‘‘จิเตฺต’’ติ เอกวจนํ กตํฯ กายานุปสฺสีติ อิมสฺส อตฺถํ ทเสฺสตุํ – ‘‘ตเมว กายํ ปญฺญาย อนุปสฺสโนฺต’’ติ อาหฯ ตเมว กายนฺติ จ อวธารเณน เวทนาทิอนุปสฺสนํ นิวเตฺตติฯ เตน จ ปุน กายคฺคหณสฺส ปโยชนํ สูจิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘กาเย’’ติ หิ วตฺวาปิ ปุน ‘‘กายานุปสฺสี’’ติ ทุติยํ กายคฺคหณํ อสมฺมิสฺสโต ววตฺถานฆนวินิโพฺภคาทิทสฺสนตฺถํ กตํฯ เตน เวทนาทโยปิ เอตฺถ สิตา, เอตฺถ ปฎิพทฺธาติ กายเวทนาทิอนุปสฺสนปฺปสเงฺคปิ อาปเนฺน น กาเย เวทนานุปสฺสี จิตฺตานุปสฺสี ธมฺมานุปสฺสี วาฯ อถ โข กายานุปสฺสีเยวาติ กายสงฺขาตวตฺถุสฺมิํ กายานุปสฺสนาการเสฺสว ทสฺสเนน อสมฺมิสฺสโต ววตฺถานํ ทสฺสิตํ โหติฯ ตถา น กาเย องฺคปจฺจงฺควินิมุตฺตเอกธมฺมานุปสฺสี, นาปิ เกสโลมาทิวินิมุตฺตอิตฺถิปุริสานุปสฺสีฯ โยปิ เจตฺถ เกสโลมาทิโก ภูตุปาทายสมูหสงฺขาโต กาโย, กตฺถปิ น ภูตุปาทายวินิมุตฺตเอกธมฺมานุปสฺสี, อถ โข รถสมฺภารานุปสฺสโก วิย องฺคปจฺจงฺคสมูหานุปสฺสี , นาคราวยวานุปสฺสโก วิย เกสโลมาทิสมูหานุปสฺสี, กทลิกฺขนฺธปตฺตวฎฺฎิวินิพฺภุชฺชโก ริตฺตมุฎฺฐิวินิเวฐโก วิย จ ภูตุปาทายสมูหานุปสฺสีเยวาติ นานปฺปการโต สมูหวเสเนว กายสงฺขาตสฺส วตฺถุโน ทสฺสเนน ฆนวินิโพฺภโค ทสฺสิโต โหติฯ น เหตฺถ ยถาวุตฺตสมูหวินิมุโตฺต กาโย วา อิตฺถี วา ปุริโส วา อโญฺญ วา โกจิ ธโมฺม ทิสฺสติ, ยถาวุตฺตธมฺมสมูหมเตฺตเยว ปน ตถา ตถา สตฺตา มิจฺฉาภินิเวสํ กโรนฺติฯ
390.Ajjhattaparikammavasenāti attano kesādīsu parikammakaraṇavasena. Aṭṭhārasavidheti aṭṭhārasappabhede. Kāyeti rūpakāye. Rūpakāyo hi idha aṅgapaccaṅgānaṃ kesādīnañca dhammānaṃ samūhaṭṭhena hatthikāyarathakāyādayo viya kāyoti adhippeto. Samūhavisayatāya cassa kāyasaddassa samudāyūpādanatāya ca asubhākārassa ‘‘kāye’’ti ekavacanaṃ. Tathā ārammaṇādivibhāgena anekabhedabhinnampi cittaṃ cittabhāvasāmaññena ekajjhaṃ gahetvā ‘‘citte’’ti ekavacanaṃ kataṃ. Kāyānupassīti imassa atthaṃ dassetuṃ – ‘‘tameva kāyaṃ paññāya anupassanto’’ti āha. Tameva kāyanti ca avadhāraṇena vedanādianupassanaṃ nivatteti. Tena ca puna kāyaggahaṇassa payojanaṃ sūcitanti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Kāye’’ti hi vatvāpi puna ‘‘kāyānupassī’’ti dutiyaṃ kāyaggahaṇaṃ asammissato vavatthānaghanavinibbhogādidassanatthaṃ kataṃ. Tena vedanādayopi ettha sitā, ettha paṭibaddhāti kāyavedanādianupassanappasaṅgepi āpanne na kāye vedanānupassī cittānupassī dhammānupassī vā. Atha kho kāyānupassīyevāti kāyasaṅkhātavatthusmiṃ kāyānupassanākārasseva dassanena asammissato vavatthānaṃ dassitaṃ hoti. Tathā na kāye aṅgapaccaṅgavinimuttaekadhammānupassī, nāpi kesalomādivinimuttaitthipurisānupassī. Yopi cettha kesalomādiko bhūtupādāyasamūhasaṅkhāto kāyo, katthapi na bhūtupādāyavinimuttaekadhammānupassī, atha kho rathasambhārānupassako viya aṅgapaccaṅgasamūhānupassī , nāgarāvayavānupassako viya kesalomādisamūhānupassī, kadalikkhandhapattavaṭṭivinibbhujjako rittamuṭṭhiviniveṭhako viya ca bhūtupādāyasamūhānupassīyevāti nānappakārato samūhavaseneva kāyasaṅkhātassa vatthuno dassanena ghanavinibbhogo dassito hoti. Na hettha yathāvuttasamūhavinimutto kāyo vā itthī vā puriso vā añño vā koci dhammo dissati, yathāvuttadhammasamūhamatteyeva pana tathā tathā sattā micchābhinivesaṃ karonti.
อฎฺฐารสวิเธนาติ อฎฺฐารสวิธาฯ สติปฎฺฐานภาวกสฺสาติ สติปฎฺฐานภาวํ ภาเวนฺตสฺสฯ ตีสุ ภเวสุ กิเลเส อาตเปตีติ อาตาโป, วีริยเสฺสตํ นามํฯ ยทิปิ หิ กิเลสานํ ปหานํ อาตาปนนฺติ, ตํ สมฺมาทิฎฺฐิอาทีนมฺปิ อเตฺถวฯ อาตปสโทฺท วิย ปน อาตาปสโทฺทปิ วีริเยว นิรุโฬฺหฯ อถ วา ปฎิปกฺขปฺปหาเน สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อพฺภุสฺสหนวเสน ปวตฺตมานสฺส วีริยสฺส สาติสยํ ตทาตาปนนฺติ วีริยเมว ตถา วุจฺจติ, น อญฺญธมฺมา, ตสฺมา อาตาโปติ วีริยสฺส นามํ, โส อสฺส อตฺถีติ อาตาปีฯ อยญฺจ อีกาโร ปสํสาย อติสยสฺส วา ทีปโกติ อาตาปิคฺคหเณน สมฺมปฺปธานสมงฺคิตํ ทเสฺสติฯ เตเนวาห – ‘‘อาตาปีติ…เป.… วีริเยน วีริยวา’’ติฯ สมฺปชาโนติ สมฺปชญฺญสงฺขาเตน ญาเณน สมนฺนาคโตฯ เตนาห – ‘‘อฎฺฐารสวิเธน…เป.… สมฺมา ปชานโนฺต’’ติฯ อยํ ปเนตฺถ วจนโตฺถ – สมฺมา สมนฺตโต สามญฺจ ปชานโนฺต สมฺปชาโน, อสมฺมิสฺสโต ววตฺถาเน อญฺญธมฺมานุปสฺสิตาภาเวน สมฺมา อวิปรีตํ สพฺพาการปฺปชาเนน สมนฺตโต อุปรูปริวิเสสาวหภาเวน ปวตฺติยา สมฺมา ปชานโนฺตติ อโตฺถฯ
Aṭṭhārasavidhenāti aṭṭhārasavidhā. Satipaṭṭhānabhāvakassāti satipaṭṭhānabhāvaṃ bhāventassa. Tīsu bhavesu kilese ātapetīti ātāpo, vīriyassetaṃ nāmaṃ. Yadipi hi kilesānaṃ pahānaṃ ātāpananti, taṃ sammādiṭṭhiādīnampi attheva. Ātapasaddo viya pana ātāpasaddopi vīriyeva niruḷho. Atha vā paṭipakkhappahāne sampayuttadhammānaṃ abbhussahanavasena pavattamānassa vīriyassa sātisayaṃ tadātāpananti vīriyameva tathā vuccati, na aññadhammā, tasmā ātāpoti vīriyassa nāmaṃ, so assa atthīti ātāpī. Ayañca īkāro pasaṃsāya atisayassa vā dīpakoti ātāpiggahaṇena sammappadhānasamaṅgitaṃ dasseti. Tenevāha – ‘‘ātāpīti…pe… vīriyena vīriyavā’’ti. Sampajānoti sampajaññasaṅkhātena ñāṇena samannāgato. Tenāha – ‘‘aṭṭhārasavidhena…pe… sammā pajānanto’’ti. Ayaṃ panettha vacanattho – sammā samantato sāmañca pajānanto sampajāno, asammissato vavatthāne aññadhammānupassitābhāvena sammā aviparītaṃ sabbākārappajānena samantato uparūparivisesāvahabhāvena pavattiyā sammā pajānantoti attho.
กาโย จ อิธ ลุชฺชนปฺปลุชฺชนเฎฺฐน โลโกติ อธิเปฺปโตติ อาห – ‘‘ตสฺมิํเยว กายสงฺขาเต โลเก’’ติฯ ปญฺจกามคุณิกตณฺหนฺติ รูปาทีสุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ ปวตฺตมานํ ตณฺหํ ฯ ยสฺมา ปเนตฺถ อภิชฺฌาคหเณน กามจฺฉโนฺท, โทมนสฺสคฺคหเณน พฺยาปาโท สงฺคหํ คจฺฉติ, ตสฺมา นีวรณปริยาปนฺนพลวธมฺมทฺวยทสฺสเนน นีวรณปฺปหานํ วุตฺตํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ วิเสเสน เจตฺถ อภิชฺฌาวินเยน กายสมฺปตฺติมูลกสฺส อนุโรธสฺส, โทมนสฺสวินเยน กายวิปตฺติมูลกสฺส วิโรธสฺส, อภิชฺฌาวินเยน จ กาเย อภิรติยา, โทมนสฺสวินเยน กายภาวนาย อนภิรติยา, อภิชฺฌาวินเยน กาเย อภูตานํ สุภสุขภาวาทีนํ ปเกฺขปสฺส, โทมนสฺสวินเยน กาเย ภูตานํ อสุภาสุขภาวาทีนํ อปนยนสฺส จ ปหานํ วุตฺตํฯ เตน โยคาวจรสฺส โยคานุภาโว โยคสมตฺถตา จ ทีปิตา โหติฯ โยคานุภาโว หิ เอส, ยทิทํ อนุโรธวิโรธวิปฺปมุโตฺต อรติรติสโห อภูตปเกฺขปภูตาปนยนวิรหิโต จ โหติฯ อนุโรธวิโรธวิปฺปมุโตฺต เจส อรติรติสโห อภูตํ อปกฺขิปโนฺต ภูตญฺจ อนปเนโนฺต โยคสมโตฺถ โหตีติฯ สุทฺธรูปสมฺมสนเมว กถิตนฺติ เกวลํ กายานุปสฺสนาภาวโต วุตฺตํฯ
Kāyo ca idha lujjanappalujjanaṭṭhena lokoti adhippetoti āha – ‘‘tasmiṃyeva kāyasaṅkhāte loke’’ti. Pañcakāmaguṇikataṇhanti rūpādīsu pañcasu kāmaguṇesu pavattamānaṃ taṇhaṃ . Yasmā panettha abhijjhāgahaṇena kāmacchando, domanassaggahaṇena byāpādo saṅgahaṃ gacchati, tasmā nīvaraṇapariyāpannabalavadhammadvayadassanena nīvaraṇappahānaṃ vuttaṃ hotīti veditabbaṃ. Visesena cettha abhijjhāvinayena kāyasampattimūlakassa anurodhassa, domanassavinayena kāyavipattimūlakassa virodhassa, abhijjhāvinayena ca kāye abhiratiyā, domanassavinayena kāyabhāvanāya anabhiratiyā, abhijjhāvinayena kāye abhūtānaṃ subhasukhabhāvādīnaṃ pakkhepassa, domanassavinayena kāye bhūtānaṃ asubhāsukhabhāvādīnaṃ apanayanassa ca pahānaṃ vuttaṃ. Tena yogāvacarassa yogānubhāvo yogasamatthatā ca dīpitā hoti. Yogānubhāvo hi esa, yadidaṃ anurodhavirodhavippamutto aratiratisaho abhūtapakkhepabhūtāpanayanavirahito ca hoti. Anurodhavirodhavippamutto cesa aratiratisaho abhūtaṃ apakkhipanto bhūtañca anapanento yogasamattho hotīti. Suddharūpasammasanameva kathitanti kevalaṃ kāyānupassanābhāvato vuttaṃ.
สุขาทิเภทาสุ เวทนาสูติ สุขทุกฺขอทุกฺขมสุขสามิสนิรามิสเภทาสุ เวทนาสุฯ ตตฺถ สุขยตีติ สุขา, สมฺปยุตฺตธเมฺม กายญฺจ ลทฺธสฺสาเท กโรตีติ อโตฺถฯ สุฎฺฐุ วา ขาทติ, ขนติ วา กายิกํ เจตสิกญฺจ อาพาธนฺติ สุขา, สุกรํ โอกาสทานํ เอติสฺสาติ วา สุขาฯ ทุกฺขยตีติ ทุกฺขา, สมฺปยุตฺตธเมฺม กายญฺจ ปีเฬติ วิพาธตีติ อโตฺถฯ ทุฎฺฐุ วา ขาทติ, ขนติ วา กายิกํ เจตสิกญฺจ สาตนฺติ ทุกฺขา, ทุกฺกรํ โอกาสทานํ เอติสฺสาติ วา ทุกฺขาฯ ทุกฺขสุขปฺปฎิเกฺขเปน อทุกฺขมสุขาติ อุเปกฺขา วุตฺตาฯ เวทิยติ อารมฺมณรสํ อนุภวตีติ เวทนาฯ เวทิยมาโนติ อนุภวมาโนฯ สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาตีติ กายิกํ วา เจตสิกํ วา สุขํ เวทนํ เวทิยมาโน ‘‘อหํ สุขํ เวทนํ เวทิยามี’’ติ ปชานาตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ กามํ อุตฺตานเสยฺยกาปิ ทารกา ถญฺญปิวนาทิกาเล สุขํ เวทนํ เวทิยมานา ‘‘สุขํ เวทนํ เวทิยามา’’ติ ปชานนฺติ, น ปเนตํ เอวรูปํ ปชานนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เอวรูปญฺหิ ชานนํ สตฺตุปลทฺธิํ น ชหติ, อตฺตสญฺญํ น อุคฺฆาเฎติ, กมฺมฎฺฐานํ วา สติปฎฺฐานภาวนา วา น โหติฯ อิมสฺส ปน ภิกฺขุโน ชานนํ สตฺตุปลทฺธิํ ชหติ, อตฺตสญฺญํ อุคฺฆาเฎติ, กมฺมฎฺฐานเญฺจว สติปฎฺฐานภาวนา จ โหติฯ อิทญฺหิ ‘‘โก เวทิยติ, ตสฺส เวทนา, กิํ การณา เวทนา’’ติ เอวํ สมฺปชานนฺตสฺส เวทิยนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
Sukhādibhedāsu vedanāsūti sukhadukkhaadukkhamasukhasāmisanirāmisabhedāsu vedanāsu. Tattha sukhayatīti sukhā, sampayuttadhamme kāyañca laddhassāde karotīti attho. Suṭṭhu vā khādati, khanati vā kāyikaṃ cetasikañca ābādhanti sukhā, sukaraṃ okāsadānaṃ etissāti vā sukhā. Dukkhayatīti dukkhā, sampayuttadhamme kāyañca pīḷeti vibādhatīti attho. Duṭṭhu vā khādati, khanati vā kāyikaṃ cetasikañca sātanti dukkhā, dukkaraṃ okāsadānaṃ etissāti vā dukkhā. Dukkhasukhappaṭikkhepena adukkhamasukhāti upekkhā vuttā. Vediyati ārammaṇarasaṃ anubhavatīti vedanā. Vediyamānoti anubhavamāno. Sukhaṃ vedanaṃ vediyāmīti pajānātīti kāyikaṃ vā cetasikaṃ vā sukhaṃ vedanaṃ vediyamāno ‘‘ahaṃ sukhaṃ vedanaṃ vediyāmī’’ti pajānātīti attho. Tattha kāmaṃ uttānaseyyakāpi dārakā thaññapivanādikāle sukhaṃ vedanaṃ vediyamānā ‘‘sukhaṃ vedanaṃ vediyāmā’’ti pajānanti, na panetaṃ evarūpaṃ pajānanaṃ sandhāya vuttaṃ. Evarūpañhi jānanaṃ sattupaladdhiṃ na jahati, attasaññaṃ na ugghāṭeti, kammaṭṭhānaṃ vā satipaṭṭhānabhāvanā vā na hoti. Imassa pana bhikkhuno jānanaṃ sattupaladdhiṃ jahati, attasaññaṃ ugghāṭeti, kammaṭṭhānañceva satipaṭṭhānabhāvanā ca hoti. Idañhi ‘‘ko vediyati, tassa vedanā, kiṃ kāraṇā vedanā’’ti evaṃ sampajānantassa vediyanaṃ sandhāya vuttaṃ.
ตตฺถ โก เวทิยตีติ? น โกจิ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา เวทิยติฯ กสฺส เวทนาติ? น กสฺสจิ สตฺตสฺส วา ปุคฺคลสฺส วา เวทนาฯ กิํ การณา เวทนาติ? วตฺถุอารมฺมณา จ ปนสฺส เวทนาติฯ ตสฺมา เอส เอวํ ปชานาติ ‘‘ตํ ตํ สุขาทีนํ วตฺถุภูตํ รูปาทิํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนาว เวทิยติ, ตํ ปน เวทนาปวตฺติํ อุปาทาย ‘อหํ เวทิยามี’ติ โวหารมตฺตํ โหตี’’ติฯ เอวํ ‘‘สุขาทีนํ วตฺถุภูตํ รูปาทิํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนาว เวทิยตี’’ติ สลฺลเกฺขโนฺต เอส ‘‘สุขํ เวทนํ เวทิยามี’’ติ ปชานาตีติ เวทิตโพฺพฯ
Tattha ko vediyatīti? Na koci satto vā puggalo vā vediyati. Kassa vedanāti? Na kassaci sattassa vā puggalassa vā vedanā. Kiṃ kāraṇā vedanāti? Vatthuārammaṇā ca panassa vedanāti. Tasmā esa evaṃ pajānāti ‘‘taṃ taṃ sukhādīnaṃ vatthubhūtaṃ rūpādiṃ ārammaṇaṃ katvā vedanāva vediyati, taṃ pana vedanāpavattiṃ upādāya ‘ahaṃ vediyāmī’ti vohāramattaṃ hotī’’ti. Evaṃ ‘‘sukhādīnaṃ vatthubhūtaṃ rūpādiṃ ārammaṇaṃ katvā vedanāva vediyatī’’ti sallakkhento esa ‘‘sukhaṃ vedanaṃ vediyāmī’’ti pajānātīti veditabbo.
อถ วา สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาตีติ สุขเวทนากฺขเณ ทุกฺขาย เวทนาย อภาวโต สุขํ เวทนํ เวทิยมาโน ‘‘สุขํ เวทนํเยว เวทิยามี’’ติ ปชานาติฯ เตน ยา ปุเพฺพ ภูตปุพฺพา ทุกฺขา เวทนา, ตสฺสา อิทานิ อภาวโต อิมิสฺสา จ สุขาย เวทนาย อิโต ปรํ ปฐมํ อภาวโต ‘‘เวทนา นาม อนิจฺจา อทฺธุวา วิปริณามธมฺมา’’ติ อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหติฯ ทุกฺขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาตีติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Atha vā sukhaṃ vedanaṃ vediyāmīti pajānātīti sukhavedanākkhaṇe dukkhāya vedanāya abhāvato sukhaṃ vedanaṃ vediyamāno ‘‘sukhaṃ vedanaṃyeva vediyāmī’’ti pajānāti. Tena yā pubbe bhūtapubbā dukkhā vedanā, tassā idāni abhāvato imissā ca sukhāya vedanāya ito paraṃ paṭhamaṃ abhāvato ‘‘vedanā nāma aniccā addhuvā vipariṇāmadhammā’’ti itiha tattha sampajāno hoti. Dukkhaṃ vedanaṃ vediyāmīti pajānātītiādīsupi eseva nayo.
สามิสํ วา สุขนฺติอาทีสุ ยสฺมา กิเลเสหิ อามสิตพฺพโต อามิสา นาม ปญฺจ กามคุณาฯ อารมฺมณกรณวเสน สห อามิเสหีติ สามิสา, ตสฺมา สามิสา สุขา นาม ปญฺจกามคุณามิสนิสฺสิตา ฉสุ ทฺวาเรสุ อุปฺปนฺนา ฉเคหสฺสิตา โสมนสฺสเวทนาฯ สามิสา ทุกฺขา นาม ฉเคหสฺสิตา โทมนสฺสเวทนาฯ สา จ ฉสุ ทฺวาเรสุ ‘‘อิฎฺฐารมฺมณํ นานุภวิสฺสามิ นานุภวามี’’ติ วิตกฺกยโต อุปฺปนฺนา กามคุณนิสฺสิตา โทมนสฺสเวทนา เวทิตพฺพาฯ นิรามิสา สุขา นาม ฉเนกฺขมฺมสฺสิตา โสมนสฺสเวทนาฯ สา จ ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐารมฺมเณ อาปาถคเต อนิจฺจาทิวเสน วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อุสฺสุกฺกาเปตุํ สโกฺกนฺตสฺส ‘‘อุสฺสกฺกิตา เม วิปสฺสนา’’ติ โสมนสฺสชาตสฺส อุปฺปนฺนา โสมนสฺสเวทนา ทฎฺฐพฺพาฯ
Sāmisaṃ vā sukhantiādīsu yasmā kilesehi āmasitabbato āmisā nāma pañca kāmaguṇā. Ārammaṇakaraṇavasena saha āmisehīti sāmisā, tasmā sāmisā sukhā nāma pañcakāmaguṇāmisanissitā chasu dvāresu uppannā chagehassitā somanassavedanā. Sāmisā dukkhā nāma chagehassitā domanassavedanā. Sā ca chasu dvāresu ‘‘iṭṭhārammaṇaṃ nānubhavissāmi nānubhavāmī’’ti vitakkayato uppannā kāmaguṇanissitā domanassavedanā veditabbā. Nirāmisā sukhā nāma chanekkhammassitā somanassavedanā. Sā ca chasu dvāresu iṭṭhārammaṇe āpāthagate aniccādivasena vipassanaṃ paṭṭhapetvā ussukkāpetuṃ sakkontassa ‘‘ussakkitā me vipassanā’’ti somanassajātassa uppannā somanassavedanā daṭṭhabbā.
นิรามิสา ทุกฺขา นาม ฉเนกฺขมฺมสฺสิตา โทมนสฺสเวทนาฯ สา ปน ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐารมฺมเณ อาปาถคเต อนุตฺตรวิโมกฺขสงฺขาตอริยผลธเมฺมสุ ปิหํ ปฎฺฐเปตฺวา ตทธิคมาย อนิจฺจาทิวเสน วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อุสฺสุกฺกาเปตุํ อสโกฺกนฺตสฺส ‘‘อิมมฺปิ ปกฺขํ อิมมฺปิ มาสํ อิมมฺปิ สํวจฺฉรํ วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อริยภูมิํ ปาปุณิตุํ นาสกฺขิ’’นฺติ อนุโสจโต อุปฺปนฺนา โทมนสฺสเวทนาฯ
Nirāmisā dukkhā nāma chanekkhammassitā domanassavedanā. Sā pana chasu dvāresu iṭṭhārammaṇe āpāthagate anuttaravimokkhasaṅkhātaariyaphaladhammesu pihaṃ paṭṭhapetvā tadadhigamāya aniccādivasena vipassanaṃ paṭṭhapetvā ussukkāpetuṃ asakkontassa ‘‘imampi pakkhaṃ imampi māsaṃ imampi saṃvaccharaṃ vipassanaṃ ussukkāpetvā ariyabhūmiṃ pāpuṇituṃ nāsakkhi’’nti anusocato uppannā domanassavedanā.
สามิสา อทุกฺขมสุขา นาม ฉเคหสฺสิตา อุเปกฺขาเวทนาฯ สา จ ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐารมฺมเณ อาปาถคเต คุฬปิณฺฑเก นิลีนมกฺขิกา วิย รูปาทีนิ อนุวตฺตมานา ตเตฺถว ลคฺคา ลคฺคิตา หุตฺวา อุปฺปนฺนา กามคุณนิสฺสิตา อุเปกฺขาเวทนาฯ นิรามิสา อทุกฺขมสุขา นาม ฉเนกฺขมฺมสฺสิตา อุเปกฺขาเวทนาฯ สา ปน ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐาทิอารมฺมเณ อาปาถคเต อิเฎฺฐ อรชฺชนฺตสฺส, อนิเฎฺฐ อทุสฺสนฺตสฺส, อสมเปกฺขเนน อมุยฺหนฺตสฺส อุปฺปนฺนา วิปสฺสนาญาณสมฺปยุตฺตา อุเปกฺขาเวทนาฯ เอวํ วุตฺตนฺติ มหาสติปฎฺฐานสุเตฺต วุตฺตํฯ สาว เวทนา เวทิตพฺพาติ ลุชฺชนปฺปลุชฺชนเฎฺฐน สา เวทนา ‘‘โลโก’’ติ เวทิตพฺพาฯ
Sāmisā adukkhamasukhā nāma chagehassitā upekkhāvedanā. Sā ca chasu dvāresu iṭṭhārammaṇe āpāthagate guḷapiṇḍake nilīnamakkhikā viya rūpādīni anuvattamānā tattheva laggā laggitā hutvā uppannā kāmaguṇanissitā upekkhāvedanā. Nirāmisā adukkhamasukhā nāma chanekkhammassitā upekkhāvedanā. Sā pana chasu dvāresu iṭṭhādiārammaṇe āpāthagate iṭṭhe arajjantassa, aniṭṭhe adussantassa, asamapekkhanena amuyhantassa uppannā vipassanāñāṇasampayuttā upekkhāvedanā. Evaṃ vuttanti mahāsatipaṭṭhānasutte vuttaṃ. Sāva vedanā veditabbāti lujjanappalujjanaṭṭhena sā vedanā ‘‘loko’’ti veditabbā.
เอวํ วิตฺถาริเตติ ‘‘สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ…เป.… สโทสํ วา จิตฺตํ, วีตโทสํ วา จิตฺตํ, สโมหํ วา จิตฺตํ, วีตโมหํ วา จิตฺตํ, สํขิตฺตํ วา จิตฺตํ, วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ, มหคฺคตํ วา จิตฺตํ, อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ, สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ, อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ, สมาหิตํ วา จิตฺตํ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ, วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ, อวิมุตฺตํ วา จิตฺตนฺติ ปชานาตี’’ติ เอวํ สติปฎฺฐานสุเตฺต (ที. นิ. ๒.๓๘๑; ม. นิ. ๑.๑๑๔) วิตฺถาเรตฺวา ทสฺสิเต โสฬสวิเธ จิเตฺตฯ
Evaṃ vitthāriteti ‘‘sarāgaṃ vā cittaṃ sarāgaṃ cittanti pajānāti, vītarāgaṃ vā cittaṃ…pe… sadosaṃ vā cittaṃ, vītadosaṃ vā cittaṃ, samohaṃ vā cittaṃ, vītamohaṃ vā cittaṃ, saṃkhittaṃ vā cittaṃ, vikkhittaṃ vā cittaṃ, mahaggataṃ vā cittaṃ, amahaggataṃ vā cittaṃ, sauttaraṃ vā cittaṃ, anuttaraṃ vā cittaṃ, samāhitaṃ vā cittaṃ, asamāhitaṃ vā cittaṃ, vimuttaṃ vā cittaṃ, avimuttaṃ vā cittanti pajānātī’’ti evaṃ satipaṭṭhānasutte (dī. ni. 2.381; ma. ni. 1.114) vitthāretvā dassite soḷasavidhe citte.
ตตฺถ สราคนฺติ อฎฺฐวิธํ โลภสหคตํฯ วีตราคนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํฯ อิทํ ปน ยสฺมา สมฺมสนํ น ธมฺมสโมธานํ, ตสฺมา อิธ เอกปเทปิ โลกุตฺตรํ น ลพฺภติฯ เสสานิ จตฺตาริ อกุสลจิตฺตานิ เนว ปุริมปทํ, น ปจฺฉิมปทํ ภชนฺติฯ สโทสนฺติ ทุวิธํ โทมนสฺสสหคตํฯ วีตโทสนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํฯ เสสานิ ทส อกุสลจิตฺตานิ เนว ปุริมปทํ, น ปจฺฉิมปทํ ภชนฺติฯ สโมหนฺติ วิจิกิจฺฉาสหคตเญฺจว อุทฺธจฺจสหคตญฺจาติ ทุวิธํฯ ยสฺมา ปน โมโห สพฺพากุสเลสุ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา เสสานิปิ อิธ วตฺตนฺติเยวฯ อิมสฺมิเญฺญว หิ ทุเก ทฺวาทสากุสลจิตฺตานิ ปริยาทินฺนานีติฯ วีตโมหนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํฯ
Tattha sarāganti aṭṭhavidhaṃ lobhasahagataṃ. Vītarāganti lokiyakusalābyākataṃ. Idaṃ pana yasmā sammasanaṃ na dhammasamodhānaṃ, tasmā idha ekapadepi lokuttaraṃ na labbhati. Sesāni cattāri akusalacittāni neva purimapadaṃ, na pacchimapadaṃ bhajanti. Sadosanti duvidhaṃ domanassasahagataṃ. Vītadosanti lokiyakusalābyākataṃ. Sesāni dasa akusalacittāni neva purimapadaṃ, na pacchimapadaṃ bhajanti. Samohanti vicikicchāsahagatañceva uddhaccasahagatañcāti duvidhaṃ. Yasmā pana moho sabbākusalesu uppajjati, tasmā sesānipi idha vattantiyeva. Imasmiññeva hi duke dvādasākusalacittāni pariyādinnānīti. Vītamohanti lokiyakusalābyākataṃ.
สํขิตฺตนฺติ ถินมิทฺธานุปติตํฯ เอตญฺหิ สงฺกุจิตจิตฺตํ นาม อารมฺมเณ สโงฺกจวเสน ปวตฺตนโตฯ วิกฺขิตฺตนฺติ อุทฺธจฺจสหคตํฯ เอตญฺหิ ปสฎจิตฺตํ นาม อารมฺมเณ สวิเสสํ วิเกฺขปวเสน วิสฎภาเวน ปวตฺตนโตฯ มหคฺคตนฺติ รูปาวจรํ อรูปาวจรญฺจฯ อมหคฺคตนฺติ กามาวจรํฯ สอุตฺตรนฺติ กามาวจรํฯ อนุตฺตรนฺติ รูปาวจรํ อรูปาวจรญฺจฯ ตตฺราปิ สอุตฺตรํ รูปาวจรํ, อนุตฺตรํ อรูปาวจรเมวฯ สมาหิตนฺติ ยสฺส อปฺปนาสมาธิ วา อุปจารสมาธิ วา อตฺถิฯ อสมาหิตนฺติ อุภยสมาธิวิรหิตํฯ วิมุตฺตนฺติ ตทงฺควิกฺขมฺภนวิมุตฺตีหิ วิมุตฺตํฯ อวิมุตฺตนฺติ อุภยวิมุตฺติรหิตํฯ สมุเจฺฉทปฺปฎิปฺปสฺสทฺธินิสฺสรณวิมุตฺตีนํ ปน อิธ โอกาโสว นตฺถิ, โอกาสาภาโว จ สมฺมสนจารสฺส อธิเปฺปตตฺตา เวทิตโพฺพฯ
Saṃkhittanti thinamiddhānupatitaṃ. Etañhi saṅkucitacittaṃ nāma ārammaṇe saṅkocavasena pavattanato. Vikkhittanti uddhaccasahagataṃ. Etañhi pasaṭacittaṃ nāma ārammaṇe savisesaṃ vikkhepavasena visaṭabhāvena pavattanato. Mahaggatanti rūpāvacaraṃ arūpāvacarañca. Amahaggatanti kāmāvacaraṃ. Sauttaranti kāmāvacaraṃ. Anuttaranti rūpāvacaraṃ arūpāvacarañca. Tatrāpi sauttaraṃ rūpāvacaraṃ, anuttaraṃ arūpāvacarameva. Samāhitanti yassa appanāsamādhi vā upacārasamādhi vā atthi. Asamāhitanti ubhayasamādhivirahitaṃ. Vimuttanti tadaṅgavikkhambhanavimuttīhi vimuttaṃ. Avimuttanti ubhayavimuttirahitaṃ. Samucchedappaṭippassaddhinissaraṇavimuttīnaṃ pana idha okāsova natthi, okāsābhāvo ca sammasanacārassa adhippetattā veditabbo.
อุปาทานสฺส ขนฺธา อุปาทานกฺขนฺธา, อุปาทานสฺส ปจฺจยภูตา ธมฺมปุญฺชา ธมฺมราสโยติ อโตฺถฯ อุปาทาเนหิ อารมฺมณกรณาทิวเสน อุปาทาตพฺพา วา ขนฺธา อุปาทานกฺขนฺธาฯ ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรายตนานีติ จกฺขุ โสตํ ฆานํ ชิวฺหา กาโย มโนติ อิมานิ ฉ อชฺฌตฺติกายตนานิ เจว, รูปํ สโทฺท คโนฺธ รโส โผฎฺฐโพฺพ ธมฺมาติ อิมานิ ฉ พาหิรายตนานิ จฯ เอตฺถ ปน โลกุตฺตรธมฺมา น คเหตพฺพา สมฺมสนจารสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ สตฺต สโมฺพชฺฌงฺคาติ สติสโมฺพชฺฌงฺคาทโย สตฺต สโมฺพชฺฌงฺคาฯ สติอาทโย หิ สโมฺพธิสฺส, สโมฺพธิยา วา องฺคาติ สโมฺพชฺฌงฺคาฯ ตถา หิ สมฺพุชฺฌติ อารทฺธวิปสฺสกโต ปฎฺฐาย โยคาวจโรติ สโมฺพธิ, ยาย วา โส สติอาทิกาย สตฺตธมฺมสามคฺคิยา สมฺพุชฺฌติ, กิเลสนิทฺทาโต อุฎฺฐาติ, สจฺจานิ วา ปฎิวิชฺฌติ, สา ธมฺมสามคฺคี สโมฺพธิ, ตสฺส สโมฺพธิสฺส, ตสฺสา วา สโมฺพธิยา องฺคาติ สโมฺพชฺฌงฺคาฯ
Upādānassa khandhā upādānakkhandhā, upādānassa paccayabhūtā dhammapuñjā dhammarāsayoti attho. Upādānehi ārammaṇakaraṇādivasena upādātabbā vā khandhā upādānakkhandhā. Cha ajjhattikabāhirāyatanānīti cakkhu sotaṃ ghānaṃ jivhā kāyo manoti imāni cha ajjhattikāyatanāni ceva, rūpaṃ saddo gandho raso phoṭṭhabbo dhammāti imāni cha bāhirāyatanāni ca. Ettha pana lokuttaradhammā na gahetabbā sammasanacārassa adhippetattā. Satta sambojjhaṅgāti satisambojjhaṅgādayo satta sambojjhaṅgā. Satiādayo hi sambodhissa, sambodhiyā vā aṅgāti sambojjhaṅgā. Tathā hi sambujjhati āraddhavipassakato paṭṭhāya yogāvacaroti sambodhi, yāya vā so satiādikāya sattadhammasāmaggiyā sambujjhati, kilesaniddāto uṭṭhāti, saccāni vā paṭivijjhati, sā dhammasāmaggī sambodhi, tassa sambodhissa, tassā vā sambodhiyā aṅgāti sambojjhaṅgā.
จตฺตาริ อริยสจฺจานีติ ‘‘ทุกฺขํ ทุกฺขสมุทโย ทุกฺขนิโรโธ ทุกฺขนิโรธคามินิปฎิปทา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๗๑-๑๐๗๒) เอวํ วุตฺตานิ จตฺตาริ อริยสจฺจานิฯ ตตฺถ ปุริมานิ เทฺว สจฺจานิ วฎฺฎํ ปวตฺติเหตุภาวโตฯ ปจฺฉิมานิ วิวฎฺฎํ นิวฎฺฎตทธิคมูปายภาวโตฯ เตสุ ภิกฺขุโน วเฎฺฎ กมฺมฎฺฐานาภินิเวโส โหติ สรูปโต ปริคฺคหสมฺภวโตฯ วิวเฎฺฎ นตฺถิ อภินิเวโส อวิสยตฺตา อวิสยเตฺต จ ปโยชนาภาวโตฯ ปญฺจธา วุเตฺตสูติ สติปฎฺฐานสุเตฺต วุเตฺตสุฯ สุทฺธอรูปสมฺมสนเมวาติ รูเปน อมิสฺสิตตฺตา เกวลํ อรูปสมฺมสนเมวฯ ขนฺธายตนสจฺจโกฎฺฐาสานํ ปญฺจกฺขนฺธสงฺคหโต ‘‘รูปารูปสมฺมสน’’นฺติ วุตฺตํฯ ปุพฺพภาคิยานมฺปิ สติปฎฺฐานานํ สงฺคหิตตฺตา ‘‘โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกาเนว กถิตานี’’ติ อาหฯ
Cattāri ariyasaccānīti ‘‘dukkhaṃ dukkhasamudayo dukkhanirodho dukkhanirodhagāminipaṭipadā’’ti (saṃ. ni. 5.1071-1072) evaṃ vuttāni cattāri ariyasaccāni. Tattha purimāni dve saccāni vaṭṭaṃ pavattihetubhāvato. Pacchimāni vivaṭṭaṃ nivaṭṭatadadhigamūpāyabhāvato. Tesu bhikkhuno vaṭṭe kammaṭṭhānābhiniveso hoti sarūpato pariggahasambhavato. Vivaṭṭe natthi abhiniveso avisayattā avisayatte ca payojanābhāvato. Pañcadhā vuttesūti satipaṭṭhānasutte vuttesu. Suddhaarūpasammasanamevāti rūpena amissitattā kevalaṃ arūpasammasanameva. Khandhāyatanasaccakoṭṭhāsānaṃ pañcakkhandhasaṅgahato ‘‘rūpārūpasammasana’’nti vuttaṃ. Pubbabhāgiyānampi satipaṭṭhānānaṃ saṅgahitattā ‘‘lokiyalokuttaramissakāneva kathitānī’’ti āha.
๓๙๔. อนิพฺพตฺตานนฺติ อชาตานํฯ ปโยคํ ปรกฺกมนฺติ เอตฺถ ภุสํ โยโค ปโยโค, ปโยโคว ปรกฺกโม, ปโยคสงฺขาตํ ปรกฺกมนฺติ อโตฺถฯ จิตฺตํ อุกฺขิปตีติ โกสชฺชปเกฺข ปติตุํ อปทานวเสน อุกฺขิปติฯ ปธานวีริยนฺติ สมฺมปฺปธานลกฺขณปฺปตฺตวีริยํฯ โลกิยาติ โลกิยสมฺมปฺปธานกถาฯ สพฺพปุพฺพภาเคติ สพฺพมคฺคานํ ปุพฺพภาเคฯ กสฺสปสํยุตฺตปริยาเยนาติ กสฺสปสํยุเตฺต อาคตสุเตฺตน ‘‘อุปฺปนฺนา เม ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปฺปหียมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๔๕) อาคตตฺตาฯ สา โลกิยาติ เวทิตพฺพาฯ
394.Anibbattānanti ajātānaṃ. Payogaṃ parakkamanti ettha bhusaṃ yogo payogo, payogova parakkamo, payogasaṅkhātaṃ parakkamanti attho. Cittaṃ ukkhipatīti kosajjapakkhe patituṃ apadānavasena ukkhipati. Padhānavīriyanti sammappadhānalakkhaṇappattavīriyaṃ. Lokiyāti lokiyasammappadhānakathā. Sabbapubbabhāgeti sabbamaggānaṃ pubbabhāge. Kassapasaṃyuttapariyāyenāti kassapasaṃyutte āgatasuttena ‘‘uppannā me pāpakā akusalā dhammā appahīyamānā anatthāya saṃvatteyyu’’nti (saṃ. ni. 2.145) āgatattā. Sā lokiyāti veditabbā.
สมถวิปสฺสนาวาติ อวธารเณน มคฺคํ นิวเตฺตตฺวา ตสฺส นิวตฺตเน การณํ ทเสฺสโนฺต, ‘‘มโคฺค ปนา’’ติอาทิมาหฯ สกิํ อุปฺปชฺชิตฺวาติ อิทํ ภูตกถนมตฺตํฯ นิรุทฺธสฺส ปุน อนุปฺปชฺชนโต ‘‘น โกจิ คุโณ’’ติ อาสเงฺกยฺยาติ อาห – ‘‘โส หี’’ติอาทิฯ อนนฺตรเมว ยถา ผลํ อุปฺปชฺชติ, ตถา ปวตฺติเยวสฺส ปจฺจยทานํฯ ปุริมสฺมิมฺปีติ ‘‘อนุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’’นฺติ เอตฺถปิฯ วุตฺตนฺติ โปราณฎฺฐกถายํฯ ตํ ปน ตถาวุตฺตวจนํ น ยุตฺตํ ทุติยสฺมิํ วิย ปุริมสฺมิํ มคฺคสฺส อคฺคหเณ การณาภาวโตฯ ปุริมสฺมิํ อคฺคหิเต มเคฺค อนุปฺปชฺชมาโน มโคฺค อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยาติ อาปเชฺชยฺย, น เจตํ ยุตฺตํ อาปชฺชมาเน ตสฺมิํ ปธานตฺถสมฺภวโตฯ จตุกิจฺจสาธนวเสนาติ อนุปฺปนฺนากุสลานุปฺปาทนาทิจตุกิจฺจสาธนวเสนฯ
Samathavipassanāvāti avadhāraṇena maggaṃ nivattetvā tassa nivattane kāraṇaṃ dassento, ‘‘maggo panā’’tiādimāha. Sakiṃ uppajjitvāti idaṃ bhūtakathanamattaṃ. Niruddhassa puna anuppajjanato ‘‘na koci guṇo’’ti āsaṅkeyyāti āha – ‘‘so hī’’tiādi. Anantarameva yathā phalaṃ uppajjati, tathā pavattiyevassa paccayadānaṃ. Purimasmimpīti ‘‘anuppannā me kusalā dhammā uppajjamānā anatthāya saṃvatteyyu’’nti etthapi. Vuttanti porāṇaṭṭhakathāyaṃ. Taṃ pana tathāvuttavacanaṃ na yuttaṃ dutiyasmiṃ viya purimasmiṃ maggassa aggahaṇe kāraṇābhāvato. Purimasmiṃ aggahite magge anuppajjamāno maggo anatthāya saṃvatteyyāti āpajjeyya, na cetaṃ yuttaṃ āpajjamāne tasmiṃ padhānatthasambhavato. Catukiccasādhanavasenāti anuppannākusalānuppādanādicatukiccasādhanavasena.
วุตฺตนเยนาติ ‘‘อสมุทาจารวเสน วา อนนุภูตารมฺมณวเสน วา’’ติอาทินา วุตฺตนเยนฯ วิชฺชมานาติ ธรมานสภาวาฯ ขณตฺตยปริยาปนฺนตฺตา อุปฺปาทาทิสมงฺคิโน วตฺตมานภาเวน อุปฺปนฺนํ วตฺตมานุปฺปนฺนํฯ ตญฺหิ อุปฺปาทโต ปฎฺฐาย ยาว ภงฺคา อุทฺธํ ปนฺนํ ปตฺตนฺติ นิปฺปริยายโต ‘‘อุปฺปนฺน’’นฺติ วุจฺจติฯ อนุภวิตฺวา ภวิตฺวา จ วิคตํ ภุตฺวาวิคตํฯ อนุภวนภวนานิ หิ ภวนสามเญฺญน ภุตฺวา-สเทฺทน วุตฺตานิฯ สามญฺญเมว หิ อุปสเคฺคน วิเสสียติฯ อิธ วิปากานุภวนวเสน ตทารมฺมณํ อวิปกฺกวิปากสฺส สพฺพถา อวิคตตฺตา ภวิตฺวาวิคตมตฺตวเสน กมฺมญฺจ ‘‘ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺน’’นฺติ วุตฺตํฯ น อฎฺฐสาลินิยํ วิย รชฺชนาทิวเสน อนุภูตาปคตํ ชวนํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธตาวเสน ภูตาปคตญฺจ สงฺขตํ ภูตาปคตุปฺปนฺนนฺติฯ ตสฺมา อิธ โอกาสกตุปฺปนฺนํ วิปากเมว วทติ, น ตตฺถ วิย กมฺมมฺปิฯ อฎฺฐสาลินิยญฺหิ ภูตาวิคตุปฺปนฺนํ โอกาสกตุปฺปนฺนญฺจ อญฺญถา ทสฺสิตํฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑ กามาวจรกุสลปทภาชนีย) –
Vuttanayenāti ‘‘asamudācāravasena vā ananubhūtārammaṇavasena vā’’tiādinā vuttanayena. Vijjamānāti dharamānasabhāvā. Khaṇattayapariyāpannattā uppādādisamaṅgino vattamānabhāvena uppannaṃ vattamānuppannaṃ. Tañhi uppādato paṭṭhāya yāva bhaṅgā uddhaṃ pannaṃ pattanti nippariyāyato ‘‘uppanna’’nti vuccati. Anubhavitvā bhavitvā ca vigataṃ bhutvāvigataṃ. Anubhavanabhavanāni hi bhavanasāmaññena bhutvā-saddena vuttāni. Sāmaññameva hi upasaggena visesīyati. Idha vipākānubhavanavasena tadārammaṇaṃ avipakkavipākassa sabbathā avigatattā bhavitvāvigatamattavasena kammañca ‘‘bhutvāvigatuppanna’’nti vuttaṃ. Na aṭṭhasāliniyaṃ viya rajjanādivasena anubhūtāpagataṃ javanaṃ uppajjitvā niruddhatāvasena bhūtāpagatañca saṅkhataṃ bhūtāpagatuppannanti. Tasmā idha okāsakatuppannaṃ vipākameva vadati, na tattha viya kammampi. Aṭṭhasāliniyañhi bhūtāvigatuppannaṃ okāsakatuppannañca aññathā dassitaṃ. Vuttañhi tattha (dha. sa. aṭṭha. 1 kāmāvacarakusalapadabhājanīya) –
‘‘อารมฺมณรสํ อนุภวิตฺวา นิรุทฺธํ อนุภูตาปคตสงฺขาตํ กุสลากุสลํ, อุปาทาทิตฺตยํ อนุปฺปตฺวา นิรุทฺธํ ภูตาปคตสงฺขาตํ เสสสงฺขตญฺจ ภูตาปคตุปฺปนฺนํ นามฯ ‘ยานิสฺส ตานิ ปุเพฺพ กตานิ กมฺมานี’ติ เอวมาทินา นเยน วุตฺตํ กมฺมํ อตีตมฺปิ สมานํ อญฺญํ วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา อตฺตโน วิปากโสฺสกาสํ กตฺวา ฐิตตฺตา, ตถากโตกาสญฺจ วิปากํ อนุปฺปนฺนมฺปิ สมานํ เอวํ กเต โอกาเส เอกเนฺตน อุปฺปชฺชนโต โอกาสกตุปฺปนฺนํ นามา’’ติฯ
‘‘Ārammaṇarasaṃ anubhavitvā niruddhaṃ anubhūtāpagatasaṅkhātaṃ kusalākusalaṃ, upādādittayaṃ anuppatvā niruddhaṃ bhūtāpagatasaṅkhātaṃ sesasaṅkhatañca bhūtāpagatuppannaṃ nāma. ‘Yānissa tāni pubbe katāni kammānī’ti evamādinā nayena vuttaṃ kammaṃ atītampi samānaṃ aññaṃ vipākaṃ paṭibāhitvā attano vipākassokāsaṃ katvā ṭhitattā, tathākatokāsañca vipākaṃ anuppannampi samānaṃ evaṃ kate okāse ekantena uppajjanato okāsakatuppannaṃ nāmā’’ti.
อิธ ปน สโมฺมหวิโนทนิยํ วุตฺตนเยเนว ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺนํ โอกาสกตุปฺปนฺนญฺจ ทสฺสิตํฯ วุตฺตญฺหิ, สโมฺมหวิโนทนิยํ (วิภ. อฎฺฐ. ๔๐๖) –
Idha pana sammohavinodaniyaṃ vuttanayeneva bhutvāvigatuppannaṃ okāsakatuppannañca dassitaṃ. Vuttañhi, sammohavinodaniyaṃ (vibha. aṭṭha. 406) –
‘‘กเมฺม ปน ชหิเต อารมฺมณรสํ อนุภวิตฺวา นิรุโทฺธ วิปาโก ภุตฺวาวิคตํ นามฯ กมฺมํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธํ ภุตฺวาวิคตํ นามฯ ตทุภยมฺปิ ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺนนฺติ สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ กุสลากุสลํ กมฺมํ อญฺญกมฺมสฺส วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา อตฺตโน วิปากสฺส โอกาสํ กโรติฯ เอวํ กเต โอกาเส วิปาโก อุปฺปชฺชมาโน โอกาสกรณโต ปฎฺฐาย อุปฺปโนฺนติ วุจฺจติฯ อิทํ โอกาสกตุปฺปนฺนํ นามา’’ติฯ
‘‘Kamme pana jahite ārammaṇarasaṃ anubhavitvā niruddho vipāko bhutvāvigataṃ nāma. Kammaṃ uppajjitvā niruddhaṃ bhutvāvigataṃ nāma. Tadubhayampi bhutvāvigatuppannanti saṅkhyaṃ gacchati. Kusalākusalaṃ kammaṃ aññakammassa vipākaṃ paṭibāhitvā attano vipākassa okāsaṃ karoti. Evaṃ kate okāse vipāko uppajjamāno okāsakaraṇato paṭṭhāya uppannoti vuccati. Idaṃ okāsakatuppannaṃ nāmā’’ti.
ตตฺถ อฎฺฐสาลินิยา อยมธิปฺปาโย – ‘‘สติปิ สเพฺพสมฺปิ จิตฺตุปฺปาทานํ สํเวทยิตสภาวา อารมฺมณานุภวเน สวิปลฺลาเส ปน สนฺตาเน จิตฺตาภิสงฺขารวเสน ปวตฺติโต อพฺยากเตหิ วิสิโฎฺฐ กุสลากุสลานํ สาติสโย วิสยานุภวนากาโรฯ ยถา วิกปฺปคฺคาหวเสน ราคาทีหิ ตพฺพิปเกฺขหิ จ อกุสลํ กุสลญฺจ นิปฺปริยายโต อารมฺมณรสํ อนุภวติ, น ตถา วิปาโก กมฺมเวคกฺขิตฺตตฺตา, นาปิ กิริยา อเหตุกานํ อติทุพฺพลตาย, สเหตุกานญฺจ ขีณกิเลสสฺส ฉฬงฺคุเปกฺขาวโต อุปฺปชฺชมานานํ อติสนฺตวุตฺติตฺตา, ตสฺมา รชฺชนาทิวเสน อารมฺมณรสานุภวนํ สาติสยนฺติ อกุสลํ กุสลญฺจ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธตาสามเญฺญน เสสสงฺขตญฺจ ภูตาปคต’’นฺติ วุตฺตํฯ สโมฺมหวิโนทนิยา ปน วิปากานุภวนวเสน ตทารมฺมณํ อวิปกฺกปากสฺส สพฺพถา อวิคตตฺตา ภวิตฺวาวิคตมตฺตวเสน กมฺมญฺจ ภุตฺวาปคตนฺติ วุตฺตํฯ เตเนว ตตฺถ โอกาสกตุปฺปนฺนนฺติ วิปากเมวาห, น กมฺมมฺปิ, ตสฺมา อิธาปิ สโมฺมหวิโนทนิยํ วุตฺตนเยเนว ภุตฺวาปคตุปฺปนฺนํ โอกาสกตุปฺปนฺนญฺจ วิภตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tattha aṭṭhasāliniyā ayamadhippāyo – ‘‘satipi sabbesampi cittuppādānaṃ saṃvedayitasabhāvā ārammaṇānubhavane savipallāse pana santāne cittābhisaṅkhāravasena pavattito abyākatehi visiṭṭho kusalākusalānaṃ sātisayo visayānubhavanākāro. Yathā vikappaggāhavasena rāgādīhi tabbipakkhehi ca akusalaṃ kusalañca nippariyāyato ārammaṇarasaṃ anubhavati, na tathā vipāko kammavegakkhittattā, nāpi kiriyā ahetukānaṃ atidubbalatāya, sahetukānañca khīṇakilesassa chaḷaṅgupekkhāvato uppajjamānānaṃ atisantavuttittā, tasmā rajjanādivasena ārammaṇarasānubhavanaṃ sātisayanti akusalaṃ kusalañca uppajjitvā niruddhatāsāmaññena sesasaṅkhatañca bhūtāpagata’’nti vuttaṃ. Sammohavinodaniyā pana vipākānubhavanavasena tadārammaṇaṃ avipakkapākassa sabbathā avigatattā bhavitvāvigatamattavasena kammañca bhutvāpagatanti vuttaṃ. Teneva tattha okāsakatuppannanti vipākamevāha, na kammampi, tasmā idhāpi sammohavinodaniyaṃ vuttanayeneva bhutvāpagatuppannaṃ okāsakatuppannañca vibhattanti daṭṭhabbaṃ.
ปญฺจกฺขนฺธา ปน วิปสฺสนาย ภูมิ นามาติ สมฺมสนสฺส ฐานภาวโต วุตฺตํฯ เตสูติ อตีตาทิเภเทสุฯ อนุสยิตกิเลสาติ อปฺปหีนา มเคฺคน ปหาตพฺพา อธิเปฺปตาฯ เตนาห – ‘‘อตีตา วา…เป.… น วตฺตพฺพา’’ติฯ โหนฺตุ ตาว ‘‘อตีตา’’ติ วา ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนา’’ติ วา น วตฺตพฺพา, ‘‘อนาคตา’’ติ ปน กสฺมา น วตฺตพฺพา, นนุ การณลาเภ อุปฺปชฺชนารหา อปฺปหีนเฎฺฐน ถามคตา กิเลสา อนุสยาติ วุจฺจนฺตีติ? สจฺจเมตํ, อนาคตภาโวปิ เนสํ น ปริจฺฉิโนฺน อิตรานาคตกฺขนฺธานํ วิยาติ ‘‘อนาคตา วาติ น วตฺตพฺพา’’ติ วุตฺตํฯ ยทิ หิ เนสํ ปริจฺฉิโนฺน อนาคตภาโว สิยา, ตโต ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนา, อตีตา’’ติ จ วตฺตพฺพา สิยุํ, ปจฺจยสมวาเย ปน อุปฺปชฺชนารหตํ อุปาทาย อนาคตโวหาโร ตตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Pañcakkhandhā pana vipassanāya bhūmi nāmāti sammasanassa ṭhānabhāvato vuttaṃ. Tesūti atītādibhedesu. Anusayitakilesāti appahīnā maggena pahātabbā adhippetā. Tenāha – ‘‘atītā vā…pe… na vattabbā’’ti. Hontu tāva ‘‘atītā’’ti vā ‘‘paccuppannā’’ti vā na vattabbā, ‘‘anāgatā’’ti pana kasmā na vattabbā, nanu kāraṇalābhe uppajjanārahā appahīnaṭṭhena thāmagatā kilesā anusayāti vuccantīti? Saccametaṃ, anāgatabhāvopi nesaṃ na paricchinno itarānāgatakkhandhānaṃ viyāti ‘‘anāgatā vāti na vattabbā’’ti vuttaṃ. Yadi hi nesaṃ paricchinno anāgatabhāvo siyā, tato ‘‘paccuppannā, atītā’’ti ca vattabbā siyuṃ, paccayasamavāye pana uppajjanārahataṃ upādāya anāgatavohāro tattha veditabbo.
อิทํ ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นามาติ อิทํ ยถาวุตฺตํ กิเลสชาตํ อปฺปหีนเฎฺฐน ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นาม การณลาเภ สติ วิชฺชมานกิจฺจกรณโตฯ ตาสุ ตาสุ ภูมิสูติ มนุสฺสเทวาทิอตฺตภาวสงฺขาเตสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุฯ อารมฺมณกรณวเสน หิ ภวนฺติ เอตฺถ กิเลสาติ ภูมิโย, อุปาทานกฺขนฺธาฯ อสมุคฺฆาตคตาติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สนฺตาเน อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อนาปาทิตตาย สมุคฺฆาตํ สมุเจฺฉทํ น คตาติ อสมุคฺฆาตคตาฯ ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นามาติ เอตฺถ ลทฺธภูมิกํ ภูมิลทฺธนฺติ วุตฺตํ อคฺคิอาหิโต วิยฯ โอกาสกตุปฺปนฺนสเทฺทปิ จ อฎฺฐสาลินิยํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑ กามาวจรกุสลปทภาชนีย) อาคตนเยน โอกาโส กโต เอเตน กุสลากุสลกเมฺมน, โอกาโส กโต เอตสฺส วิปากสฺสาติ จ ทุวิธเตฺถปิ เอวเมว กตสทฺทสฺส ปรนิปาโต เวทิตโพฺพฯ อิธ ปน โอกาสกตุปฺปนฺนสเทฺทน วิปากเสฺสว คหิตตฺตา ‘‘โอกาโส กโต เอตสฺส วิปากสฺสา’’ติ เอวํ วิคฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ
Idaṃ bhūmiladdhuppannaṃ nāmāti idaṃ yathāvuttaṃ kilesajātaṃ appahīnaṭṭhena bhūmiladdhuppannaṃ nāma kāraṇalābhe sati vijjamānakiccakaraṇato. Tāsu tāsu bhūmisūti manussadevādiattabhāvasaṅkhātesu upādānakkhandhesu. Ārammaṇakaraṇavasena hi bhavanti ettha kilesāti bhūmiyo, upādānakkhandhā. Asamugghātagatāti tasmiṃ tasmiṃ santāne anuppattidhammataṃ anāpāditatāya samugghātaṃ samucchedaṃ na gatāti asamugghātagatā. Bhūmiladdhuppannaṃ nāmāti ettha laddhabhūmikaṃ bhūmiladdhanti vuttaṃ aggiāhito viya. Okāsakatuppannasaddepi ca aṭṭhasāliniyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 1 kāmāvacarakusalapadabhājanīya) āgatanayena okāso kato etena kusalākusalakammena, okāso kato etassa vipākassāti ca duvidhatthepi evameva katasaddassa paranipāto veditabbo. Idha pana okāsakatuppannasaddena vipākasseva gahitattā ‘‘okāso kato etassa vipākassā’’ti evaṃ viggaho daṭṭhabbo.
ขณตฺตยสมงฺคิตาย สมุทาจารปฺปตฺตํ สมุทาจารุปฺปนฺนํฯ เตนาห – ‘‘สมฺปติ วตฺตมานํเยวา’’ติฯ อารมฺมณํ อธิคฺคยฺห ทฬฺหํ คเหตฺวา ปวตฺตํ อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปนฺนํฯ วิกฺขมฺภนปฺปหานวเสน อปฺปหีนา อวิกฺขมฺภิตาฯ สมุเจฺฉทปฺปหานวเสน อปฺปหีนา อสมุคฺฆาติตาฯ นิมิตฺตคฺคาหวเสน อารมฺมณสฺส อธิคฺคหิตตฺตา ตํ อารมฺมณํ อนุสฺสริตานุสฺสริตกฺขเณ กิเลสุปฺปตฺติเหตุภาเวน อุปติฎฺฐนโต อธิคฺคหิตเมว นามํ โหตีติ อาห – ‘‘อารมฺมณสฺส อธิคฺคหิตตฺตา’’ติฯ เอตฺถ จ อาหฎขีรรุโกฺข วิย นิมิตฺตคฺคาหวเสน อธิคฺคหิตํ อารมฺมณํ, อนาหฎขีรรุโกฺข วิย อวิกฺขมฺภิตตาย อโนฺตคตกิเลสอารมฺมณํ ทฎฺฐพฺพํฯ นิมิตฺตคฺคาหิกา อวิกฺขมฺภิตกิเลสา วา ปุคฺคลา วา อาหฎานาหฎขีรรุกฺขสทิสาฯ ปุริมนเยเนวาติ อวิกฺขมฺภิตุปฺปเนฺน วุตฺตนเยเนวฯ วิตฺถาเรตพฺพนฺติ ‘‘อิมสฺมิํ นาม ฐาเน นุปฺปชฺชิสฺสนฺตี’’ติ น วตฺตพฺพาฯ กสฺมา? อสมุคฺฆาติตตฺตาฯ ยถา กิํ? ยถา สเจ ขีรรุกฺขํ กุฐาริยา อาหเนยฺยุํ, อิมสฺมิํ นาม ฐาเน ขีรํ น นิกฺขเมยฺยาติ น วตฺตพฺพํ, เอวํฯ อิทํ อสมุคฺฆาติตุปฺปนฺนํ นามาติ เอวํ โยเชตฺวา วิตฺถาเรตพฺพํฯ
Khaṇattayasamaṅgitāya samudācārappattaṃ samudācāruppannaṃ. Tenāha – ‘‘sampati vattamānaṃyevā’’ti. Ārammaṇaṃ adhiggayha daḷhaṃ gahetvā pavattaṃ ārammaṇādhiggahituppannaṃ. Vikkhambhanappahānavasena appahīnā avikkhambhitā. Samucchedappahānavasena appahīnā asamugghātitā. Nimittaggāhavasena ārammaṇassa adhiggahitattā taṃ ārammaṇaṃ anussaritānussaritakkhaṇe kilesuppattihetubhāvena upatiṭṭhanato adhiggahitameva nāmaṃ hotīti āha – ‘‘ārammaṇassa adhiggahitattā’’ti. Ettha ca āhaṭakhīrarukkho viya nimittaggāhavasena adhiggahitaṃ ārammaṇaṃ, anāhaṭakhīrarukkho viya avikkhambhitatāya antogatakilesaārammaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Nimittaggāhikā avikkhambhitakilesā vā puggalā vā āhaṭānāhaṭakhīrarukkhasadisā. Purimanayenevāti avikkhambhituppanne vuttanayeneva. Vitthāretabbanti ‘‘imasmiṃ nāma ṭhāne nuppajjissantī’’ti na vattabbā. Kasmā? Asamugghātitattā. Yathā kiṃ? Yathā sace khīrarukkhaṃ kuṭhāriyā āhaneyyuṃ, imasmiṃ nāma ṭhāne khīraṃ na nikkhameyyāti na vattabbaṃ, evaṃ. Idaṃ asamugghātituppannaṃ nāmāti evaṃ yojetvā vitthāretabbaṃ.
อิเมสุ อุปฺปเนฺนสูติ ยถาวุเตฺตสุ อฎฺฐสุ อุปฺปเนฺนสุฯ อิทํ น มคฺควชฺฌํ อปฺปหาตพฺพวตฺถุตฺตาฯ มคฺควชฺฌํ มเคฺคน ปเหยฺยวตฺถุตฺตาฯ รโตฺตติ ราเคน สมนฺนาคโตฯ เอส นโย ทุโฎฺฐ มูโฬฺหติ เอตฺถาปิฯ วินิพโทฺธติ มานสํโยชเนน วิรูปํ นิพนฺธิโตฯ ปรามโฎฺฐติ ทิฎฺฐิปรามาเสน ธมฺมสภาวํ อติกฺกมฺม ปรโต อามโฎฺฐฯ อนิฎฺฐงฺคโตติ นิฎฺฐํ อคโต, สํสยาปโนฺนติ อโตฺถฯ ถามคโตติ อนุสยวเสน ทฬฺหตํ อุปคโตฯ ยุคนทฺธาติ ปหาตพฺพปฺปหายกยุเค นทฺธา วิย วตฺตนกา เอกกาลิกตฺตาฯ สํกิเลสิกาติ สํกิเลสธมฺมสหิตาฯ
Imesu uppannesūti yathāvuttesu aṭṭhasu uppannesu. Idaṃ na maggavajjhaṃ appahātabbavatthuttā. Maggavajjhaṃ maggena paheyyavatthuttā. Rattoti rāgena samannāgato. Esa nayo duṭṭho mūḷhoti etthāpi. Vinibaddhoti mānasaṃyojanena virūpaṃ nibandhito. Parāmaṭṭhoti diṭṭhiparāmāsena dhammasabhāvaṃ atikkamma parato āmaṭṭho. Aniṭṭhaṅgatoti niṭṭhaṃ agato, saṃsayāpannoti attho. Thāmagatoti anusayavasena daḷhataṃ upagato. Yuganaddhāti pahātabbappahāyakayuge naddhā viya vattanakā ekakālikattā. Saṃkilesikāti saṃkilesadhammasahitā.
ปาฬิยนฺติ ปฎิสมฺภิทาปาฬิยํ (ปฎิ. ม. ๓.๒๑)ฯ ติกาลิเกสุปิ กิเลเสสุ วายามาภาวทสฺสนตฺถํ อชาตผลตรุณรุโกฺข ปาฬิยํ นิทสฺสิโต, อฎฺฐกถายํ ปน ชาโต สโตฺต อสมุทาหฎกิเลโส นาม นตฺถีติ ‘‘ชาตผลรุเกฺขน ทีเปตพฺพ’’นฺติ วตฺวา ตมตฺถํ วิวริตุํ ‘‘ยถา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อถ วา มเคฺคน ปหีนกิเลสานเมว อตีตาทิเภเทน ติธา นวตฺตพฺพตํ ปากฎํ กาตุํ อชาตผลรุโกฺข อุปมาวเสน ปาฬิยํ อาภโต, อตีตาทีนํ อปฺปหีนตาทสฺสนตฺถมฺปิ ‘‘ชาตผลรุเกฺขน ทีเปตพฺพ’’นฺติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยถา อจฺฉิเนฺน รุเกฺข นิพฺพตฺตนารหานิ ผลานิ ฉิเนฺน อนุปฺปชฺชมานานิ กทาจิ สสภาวานิ อเหสุํ, โหนฺติ, ภวิสฺสนฺติ วาติ อตีตาทิภาเวน น วตฺตพฺพานิ, เอวํ มเคฺคน ปหีนกิเลสา จ ทฎฺฐพฺพา มเคฺค อนุปฺปเนฺน อุปฺปตฺติรหานํ อุปฺปเนฺน สเพฺพน สพฺพํ อภาวโต ฯ ยถา จ เฉเท อสติ ผลานิ อุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ เฉทนสฺส สาตฺถกตา, เอวํ มคฺคภาวนาย จ สาตฺถกตา โยเชตพฺพาฯ นาปิ น ปชหตีติ อุปฺปชฺชนารหานํ ปชหนโต วุตฺตํฯ อุปฺปชฺชิตฺวาติ ลกฺขเณ ตฺวา-สโทฺทฯ มคฺคสฺส อุปฺปชฺชนกิริยาย หิ สมุทยปฺปหานนิพฺพานสฉิกรณกิริยา วิย ขนฺธานํ ปริชานนกิริยา ลกฺขียติฯ
Pāḷiyanti paṭisambhidāpāḷiyaṃ (paṭi. ma. 3.21). Tikālikesupi kilesesu vāyāmābhāvadassanatthaṃ ajātaphalataruṇarukkho pāḷiyaṃ nidassito, aṭṭhakathāyaṃ pana jāto satto asamudāhaṭakileso nāma natthīti ‘‘jātaphalarukkhena dīpetabba’’nti vatvā tamatthaṃ vivarituṃ ‘‘yathā hī’’tiādi vuttaṃ. Atha vā maggena pahīnakilesānameva atītādibhedena tidhā navattabbataṃ pākaṭaṃ kātuṃ ajātaphalarukkho upamāvasena pāḷiyaṃ ābhato, atītādīnaṃ appahīnatādassanatthampi ‘‘jātaphalarukkhena dīpetabba’’nti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Tattha yathā acchinne rukkhe nibbattanārahāni phalāni chinne anuppajjamānāni kadāci sasabhāvāni ahesuṃ, honti, bhavissanti vāti atītādibhāvena na vattabbāni, evaṃ maggena pahīnakilesā ca daṭṭhabbā magge anuppanne uppattirahānaṃ uppanne sabbena sabbaṃ abhāvato . Yathā ca chede asati phalāni uppajjissantīti chedanassa sātthakatā, evaṃ maggabhāvanāya ca sātthakatā yojetabbā. Nāpi na pajahatīti uppajjanārahānaṃ pajahanato vuttaṃ. Uppajjitvāti lakkhaṇe tvā-saddo. Maggassa uppajjanakiriyāya hi samudayappahānanibbānasachikaraṇakiriyā viya khandhānaṃ parijānanakiriyā lakkhīyati.
เตปิ ปชหติเยวาติ เย เตหิ กิเลเสหิ ชเนตพฺพา อุปาทินฺนกฺขนฺธา, เตปิ ปชหติเยว ตนฺนิมิตฺตสฺส อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรธนโตฯ เตนาห – ‘‘วุตฺตมฺปิ เจต’’นฺติอาทิฯ อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรเธนาติ กมฺมวิญฺญาณสฺส อนุปฺปตฺติธมฺมตาปาทเนนฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ โสตาปตฺติมคฺคญาเณ เหตุภูเตฯ เอเตติ นามรูปสญฺญิตา สงฺขาราฯ สพฺพภเวหิ วุฎฺฐาติเยวาติปิ วทนฺตีติ อรหตฺตมโคฺค สพฺพภเวหิ วุฎฺฐาติเยวาติ วทนฺติ ตทุปฺปตฺติโต อุทฺธํ ภวูปปตฺติยา กิเลสสฺสปิ อภาวโตฯ
Tepi pajahatiyevāti ye tehi kilesehi janetabbā upādinnakkhandhā, tepi pajahatiyeva tannimittassa abhisaṅkhāraviññāṇassa nirodhanato. Tenāha – ‘‘vuttampi ceta’’ntiādi. Abhisaṅkhāraviññāṇassa nirodhenāti kammaviññāṇassa anuppattidhammatāpādanena. Etthāti etasmiṃ sotāpattimaggañāṇe hetubhūte. Eteti nāmarūpasaññitā saṅkhārā. Sabbabhavehi vuṭṭhātiyevātipi vadantīti arahattamaggo sabbabhavehi vuṭṭhātiyevāti vadanti taduppattito uddhaṃ bhavūpapattiyā kilesassapi abhāvato.
เอกจิตฺตกฺขณิกตฺตา มคฺคสฺสาติ อธิปฺปาเยน ‘‘กถํ อนุปฺปนฺนานํ…เป.… ฐิติยา ภาวนา โหตี’’ติ ปุจฺฉติฯ มคฺคปฺปวตฺติยาเยว อุภยกิจฺจสิทฺธิโต อาห – ‘‘มคฺคปฺปวตฺติยาเยวา’’ติฯ มโคฺค หีติอาทินา ตมตฺถํ วิวรติฯ อนุปฺปโนฺน นาม วุจฺจติ, ตสฺมา ตสฺส ภาวนา อนุปฺปนฺนานํ อุปฺปาทาย ภาวนา วุตฺตาติ โยเชตพฺพาฯ วตฺตุํ วฎฺฎตีติ ยาวตา มคฺคสฺส ปวตฺติเยว ฐิติ, ตตฺตกาเนว นิพฺพตฺติตโลกุตฺตรานิฯ
Ekacittakkhaṇikattā maggassāti adhippāyena ‘‘kathaṃ anuppannānaṃ…pe… ṭhitiyā bhāvanā hotī’’ti pucchati. Maggappavattiyāyeva ubhayakiccasiddhito āha – ‘‘maggappavattiyāyevā’’ti. Maggo hītiādinā tamatthaṃ vivarati. Anuppanno nāma vuccati, tasmā tassa bhāvanā anuppannānaṃ uppādāya bhāvanā vuttāti yojetabbā. Vattuṃ vaṭṭatīti yāvatā maggassa pavattiyeva ṭhiti, tattakāneva nibbattitalokuttarāni.
๓๙๘-๔๐๑. กตฺตุกมฺยตาฉนฺทํ อธิปติํ กริตฺวา ปฎิลทฺธสมาธิ ฉนฺทสมาธีติ อาห – ‘‘ฉนฺทํ นิสฺสาย ปวโตฺต สมาธิ ฉนฺทสมาธี’’ติ ปธานสงฺขาราติ จตุกิจฺจสาธกสฺส สมฺมปฺปธานวีริยเสฺสตํ อธิวจนํฯ เตนาห – ‘‘ปธานภูตา สงฺขารา ปธานสงฺขารา’’ติฯ ตตฺถ ปธานภูตาติ วีริยภูตาฯ สงฺขตสงฺขาราทินิวตฺตนตฺถํ ปธานคฺคหณนฺติฯ อถ วา ตํ ตํ วิเสสํ สงฺขโรตีติ สงฺขาโร, สพฺพํ วีริยํฯ ตตฺถ จตุกิจฺจสาธกโต เสสนิวตฺตนตฺถํ ปธานคฺคหณนฺติ, ปธานภูตา เสฎฺฐภูตาติ อโตฺถฯ จตุพฺพิธสฺส ปน วีริยสฺส อธิเปฺปตตฺตา พหุวจนนิเทฺทโส กโตฯ เตหิ ธเมฺมหีติ ฉนฺทสมาธินา ปธานสงฺขาเรหิ จฯ อิทฺธิปาทนฺติ เอตฺถ อิชฺฌตีติ อิทฺธิ, สมิชฺฌติ นิปฺผชฺชตีติ อโตฺถฯ อิชฺฌนฺติ วา เอตาย สตฺตา อิทฺธา วุทฺธา อุกฺกํสคตา โหนฺตีติปิ อิทฺธิฯ ปฐเมนเตฺถน อิทฺธิ เอว ปาโท อิทฺธิปาโท, อิทฺธิโกฎฺฐาโสติ อโตฺถฯ ทุติเยนเตฺถน อิทฺธิยา ปาโทติ อิทฺธิปาโท, ปาโทติ ปติฎฺฐา, อธิคมูปาโยติ อโตฺถฯ เตน หิ ยสฺมา อุปรูปริวิเสสสงฺขาตํ อิทฺธิํ ปชฺชนฺติ ปาปุณนฺติ, ตสฺมา ปาโทติ วุจฺจติฯ เตนาห – ‘‘อิทฺธิยา ปาทํ, อิทฺธิภูตํ วา ปาทํ อิทฺธิปาท’’นฺติฯ
398-401. Kattukamyatāchandaṃ adhipatiṃ karitvā paṭiladdhasamādhi chandasamādhīti āha – ‘‘chandaṃ nissāya pavatto samādhi chandasamādhī’’ti padhānasaṅkhārāti catukiccasādhakassa sammappadhānavīriyassetaṃ adhivacanaṃ. Tenāha – ‘‘padhānabhūtā saṅkhārā padhānasaṅkhārā’’ti. Tattha padhānabhūtāti vīriyabhūtā. Saṅkhatasaṅkhārādinivattanatthaṃ padhānaggahaṇanti. Atha vā taṃ taṃ visesaṃ saṅkharotīti saṅkhāro, sabbaṃ vīriyaṃ. Tattha catukiccasādhakato sesanivattanatthaṃ padhānaggahaṇanti, padhānabhūtā seṭṭhabhūtāti attho. Catubbidhassa pana vīriyassa adhippetattā bahuvacananiddeso kato. Tehi dhammehīti chandasamādhinā padhānasaṅkhārehi ca. Iddhipādanti ettha ijjhatīti iddhi, samijjhati nipphajjatīti attho. Ijjhanti vā etāya sattā iddhā vuddhā ukkaṃsagatā hontītipi iddhi. Paṭhamenatthena iddhi eva pādo iddhipādo, iddhikoṭṭhāsoti attho. Dutiyenatthena iddhiyā pādoti iddhipādo, pādoti patiṭṭhā, adhigamūpāyoti attho. Tena hi yasmā uparūparivisesasaṅkhātaṃ iddhiṃ pajjanti pāpuṇanti, tasmā pādoti vuccati. Tenāha – ‘‘iddhiyā pādaṃ, iddhibhūtaṃ vā pādaṃ iddhipāda’’nti.
อถ วา อิทฺธิปาทนฺติ นิปฺผตฺติปริยาเยน อิชฺฌนเฎฺฐน, อิชฺฌนฺติ เอตาย สตฺตา อิทฺธา วุทฺธา อุกฺกํสคตา โหนฺตีติ อิมินา วา ปริยาเยน อิทฺธีติ สงฺขํ คตานํ อุปจารชฺฌานาทิกุสลจิตฺตสมฺปยุตฺตานํ ฉนฺทสมาธิปธานสงฺขารานํ อธิฎฺฐานเฎฺฐน ปาทภูตํ เสสจิตฺตเจตสิกราสินฺติ อโตฺถฯ เตเนว อิทฺธิปาทวิภเงฺค (วิภ. ๔๓๔-๔๓๗) ‘‘อิทฺธิปาโทติ ตถาภูตสฺส เวทนากฺขโนฺธ…เป.… วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติ วุตฺตํฯ สา เอว จ ตถาวุตฺตา อิทฺธิ ยสฺมา เหฎฺฐิมา เหฎฺฐิมา อุปริมาย อุปริมาย ตโย ฉนฺทสมาธิปฺปธานสงฺขารา ปาทภูตา อธิฎฺฐานภูตา, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อิทฺธิภูตํ วา ปาท’’นฺติฯ ตถา เหฎฺฐา ธมฺมา อิทฺธิปิ โหนฺติ อิทฺธิปาทาปิ, เสสา ปน สมฺปยุตฺตกา จตฺตาโร ขนฺธา อิทฺธิปาทาเยวฯ วีริยจิตฺตวีมํสาสมาธิปฺปธานสงฺขารสงฺขาตาปิ ตโย ตโย ธมฺมา อิทฺธิปิ โหนฺติ อิทฺธิปาทาปิ, เสสา ปน สมฺปยุตฺตกา จตฺตาโร ขนฺธา อิทฺธิปาทาเยวฯ
Atha vā iddhipādanti nipphattipariyāyena ijjhanaṭṭhena, ijjhanti etāya sattā iddhā vuddhā ukkaṃsagatā hontīti iminā vā pariyāyena iddhīti saṅkhaṃ gatānaṃ upacārajjhānādikusalacittasampayuttānaṃ chandasamādhipadhānasaṅkhārānaṃ adhiṭṭhānaṭṭhena pādabhūtaṃ sesacittacetasikarāsinti attho. Teneva iddhipādavibhaṅge (vibha. 434-437) ‘‘iddhipādoti tathābhūtassa vedanākkhandho…pe… viññāṇakkhandho’’ti vuttaṃ. Sā eva ca tathāvuttā iddhi yasmā heṭṭhimā heṭṭhimā uparimāya uparimāya tayo chandasamādhippadhānasaṅkhārā pādabhūtā adhiṭṭhānabhūtā, tasmā vuttaṃ ‘‘iddhibhūtaṃ vā pāda’’nti. Tathā heṭṭhā dhammā iddhipi honti iddhipādāpi, sesā pana sampayuttakā cattāro khandhā iddhipādāyeva. Vīriyacittavīmaṃsāsamādhippadhānasaṅkhārasaṅkhātāpi tayo tayo dhammā iddhipi honti iddhipādāpi, sesā pana sampayuttakā cattāro khandhā iddhipādāyeva.
อปิจ ปุพฺพภาโค ปุพฺพภาโค อิทฺธิปาโท นาม, ปฎิลาโภ ปฎิลาโภ อิทฺธิ นามาติ เวทิตพฺพาฯ อยมโตฺถ อุปจาเรน วา วิปสฺสนาย วา ทีเปตโพฺพฯ ปฐมชฺฌานปริกมฺมญฺหิ อิทฺธิปาโท นาม, ปฐมชฺฌานํ อิทฺธิ นามฯ ทุติยฌาน… ตติยฌาน… จตุตฺถฌาน… อากาสานญฺจายตน… วิญฺญาณญฺจายตน… อากิญฺจญฺญายตน… เนวสญฺญานาสญฺญายตนปริกมฺมํ อิทฺธิปาโท นาม, เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อิทฺธิ นามฯ โสตาปตฺติมคฺคสฺส วิปสฺสนา อิทฺธิปาโท นาม, โสตาปตฺติมโคฺค อิทฺธิ นามฯ สกทาคามิ-อนาคามิ-อรหตฺตมคฺคสฺส วิปสฺสนา อิทฺธิปาโท นาม, อรหตฺตมโคฺค อิทฺธิ นามฯ ปฎิลาเภนปิ ทีเปตุํ วฎฺฎติเยวฯ ปฐมชฺฌานญฺหิ อิทฺธิปาโท นาม, ทุติยชฺฌานํ อิทฺธิ นามฯ ทุติยชฺฌานํ อิทฺธิปาโท นาม, ตติยชฺฌานํ อิทฺธิ นาม…เป.… อนาคามิมโคฺค อิทฺธิปาโท นาม, อรหตฺตมโคฺค อิทฺธิ นามฯ
Apica pubbabhāgo pubbabhāgo iddhipādo nāma, paṭilābho paṭilābho iddhi nāmāti veditabbā. Ayamattho upacārena vā vipassanāya vā dīpetabbo. Paṭhamajjhānaparikammañhi iddhipādo nāma, paṭhamajjhānaṃ iddhi nāma. Dutiyajhāna… tatiyajhāna… catutthajhāna… ākāsānañcāyatana… viññāṇañcāyatana… ākiñcaññāyatana… nevasaññānāsaññāyatanaparikammaṃ iddhipādo nāma, nevasaññānāsaññāyatanaṃ iddhi nāma. Sotāpattimaggassa vipassanā iddhipādo nāma, sotāpattimaggo iddhi nāma. Sakadāgāmi-anāgāmi-arahattamaggassa vipassanā iddhipādo nāma, arahattamaggo iddhi nāma. Paṭilābhenapi dīpetuṃ vaṭṭatiyeva. Paṭhamajjhānañhi iddhipādo nāma, dutiyajjhānaṃ iddhi nāma. Dutiyajjhānaṃ iddhipādo nāma, tatiyajjhānaṃ iddhi nāma…pe… anāgāmimaggo iddhipādo nāma, arahattamaggo iddhi nāma.
เสเสสุปีติ วีริยสมาธิอาทีสุปิฯ ตตฺถ หิ วีริยํ, จิตฺตํ, วีมํสํ อธิปติํ กริตฺวา ปฎิลทฺธสมาธิ วีริยสมาธิ, จิตฺตสมาธิ, วีมํสาสมาธีติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ฉนฺทาทีสุ เอกนฺติ ฉนฺทาทีสุ จตูสุ อาทิโต วุตฺตตฺตา อาทิภูตํ เอกํ ปธานํ ฉนฺทนฺติ อธิปฺปาโยฯ เตเนวาห – ‘‘ตทาสฺส ปฐมิทฺธิปาโท’’ติฯ เอวํ เสสาปีติ เอเตน วีริยํ จิตฺตํ วีมํสํ นิสฺสาย วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณนฺตานํ วเสน ทุติยวีริยิทฺธิปาทาทโย โยเชตพฺพาติ ทเสฺสติฯ อิมินา หิ สุตฺตเนฺตน จตุนฺนํ ภิกฺขูนํ มตฺถกปฺปตฺตํ กมฺมฎฺฐานํ ทสฺสิตํฯ เอโก หิ ภิกฺขุ ฉนฺทํ อวสฺสยติ, กตฺตุกมฺยตากุสลธมฺมจฺฉเนฺทน อตฺถนิปฺผตฺติยํ สติ ‘‘อหํ โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตสฺสามิ, นตฺถิ มยฺหํ เอตสฺส นิพฺพตฺตเน ภาโร’’ติ ฉนฺทํ เชฎฺฐกํ ฉนฺทํ ธุรํ ฉนฺทํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตติฯ เอโก วีริยํ อวสฺสยติ, เอโก จิตฺตํ, เอโก ปญฺญํ อวสฺสยติ, ปญฺญาย อตฺถนิปฺผตฺติยํ สติ ‘‘อหํ โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตสฺสามิ, นตฺถิ มยฺหํ เอตสฺส นิพฺพตฺตเน ภาโร’’ติ ปญฺญํ เชฎฺฐกํ ปญฺญํ ธุรํ ปญฺญํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตติฯ
Sesesupīti vīriyasamādhiādīsupi. Tattha hi vīriyaṃ, cittaṃ, vīmaṃsaṃ adhipatiṃ karitvā paṭiladdhasamādhi vīriyasamādhi, cittasamādhi, vīmaṃsāsamādhīti attho veditabbo. Chandādīsu ekanti chandādīsu catūsu ādito vuttattā ādibhūtaṃ ekaṃ padhānaṃ chandanti adhippāyo. Tenevāha – ‘‘tadāssa paṭhamiddhipādo’’ti. Evaṃ sesāpīti etena vīriyaṃ cittaṃ vīmaṃsaṃ nissāya vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇantānaṃ vasena dutiyavīriyiddhipādādayo yojetabbāti dasseti. Iminā hi suttantena catunnaṃ bhikkhūnaṃ matthakappattaṃ kammaṭṭhānaṃ dassitaṃ. Eko hi bhikkhu chandaṃ avassayati, kattukamyatākusaladhammacchandena atthanipphattiyaṃ sati ‘‘ahaṃ lokuttaradhammaṃ nibbattessāmi, natthi mayhaṃ etassa nibbattane bhāro’’ti chandaṃ jeṭṭhakaṃ chandaṃ dhuraṃ chandaṃ pubbaṅgamaṃ katvā lokuttaradhammaṃ nibbatteti. Eko vīriyaṃ avassayati, eko cittaṃ, eko paññaṃ avassayati, paññāya atthanipphattiyaṃ sati ‘‘ahaṃ lokuttaradhammaṃ nibbattessāmi, natthi mayhaṃ etassa nibbattane bhāro’’ti paññaṃ jeṭṭhakaṃ paññaṃ dhuraṃ paññaṃ pubbaṅgamaṃ katvā lokuttaradhammaṃ nibbatteti.
กถํ? ยถา หิ จตูสุ อมจฺจปุเตฺตสุ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา วิจรเนฺตสุ เอโก อุปฎฺฐานํ อวสฺสยติ, เอโก สูรภาวํ, เอโก ชาติํ, เอโก มนฺตํฯ กถํ? เตสุ หิ ปฐโม อุปฎฺฐาเน อปฺปมาทการิตาย อตฺถนิปฺผตฺติยา สติ ลพฺภมานํ ‘‘ลจฺฉาเมตํ ฐานนฺตร’’นฺติ อุปฎฺฐานํ อวสฺสยติฯ ทุติโย อุปฎฺฐาเน อปฺปมโตฺตปิ ‘‘เอกโจฺจ สงฺคาเม ปจฺจุปฎฺฐิเต สณฺฐาตุํ น สโกฺกติ, อวสฺสํ ปน รโญฺญ ปจฺจโนฺต กุปฺปิสฺสติ, ตสฺมิํ กุปฺปิเต รถสฺส ปุรโต กมฺมํ กตฺวา ราชานํ อาราเธตฺวา อาหราเปสฺสาเมตํ ฐานนฺตร’’นฺติ สูรภาวํ อวสฺสยติฯ ตติโย ‘‘สูรภาเวปิ สติ เอกโจฺจ หีนชาติโก โหติ, ชาติํ โสเธตฺวา ฐานนฺตรํ เทโนฺต มยฺหํ ทสฺสตี’’ติ ชาติํ อวสฺสยติฯ จตุโตฺถ ‘‘ชาติมาปิ เอโก อมนฺตนีโย โหติ, มเนฺตน กตฺตพฺพกิเจฺจ อุปฺปเนฺน อาหราเปสฺสาเมตํ ฐานนฺตร’’นฺติ มนฺตํ อวสฺสยติฯ เต สเพฺพปิ อตฺตโน อตฺตโน อวสฺสยพเลน ฐานนฺตรานิ ปาปุณิํสุฯ
Kathaṃ? Yathā hi catūsu amaccaputtesu ṭhānantaraṃ patthetvā vicarantesu eko upaṭṭhānaṃ avassayati, eko sūrabhāvaṃ, eko jātiṃ, eko mantaṃ. Kathaṃ? Tesu hi paṭhamo upaṭṭhāne appamādakāritāya atthanipphattiyā sati labbhamānaṃ ‘‘lacchāmetaṃ ṭhānantara’’nti upaṭṭhānaṃ avassayati. Dutiyo upaṭṭhāne appamattopi ‘‘ekacco saṅgāme paccupaṭṭhite saṇṭhātuṃ na sakkoti, avassaṃ pana rañño paccanto kuppissati, tasmiṃ kuppite rathassa purato kammaṃ katvā rājānaṃ ārādhetvā āharāpessāmetaṃ ṭhānantara’’nti sūrabhāvaṃ avassayati. Tatiyo ‘‘sūrabhāvepi sati ekacco hīnajātiko hoti, jātiṃ sodhetvā ṭhānantaraṃ dento mayhaṃ dassatī’’ti jātiṃ avassayati. Catuttho ‘‘jātimāpi eko amantanīyo hoti, mantena kattabbakicce uppanne āharāpessāmetaṃ ṭhānantara’’nti mantaṃ avassayati. Te sabbepi attano attano avassayabalena ṭhānantarāni pāpuṇiṃsu.
ตตฺถ อุปฎฺฐาเน อปฺปมโตฺต หุตฺวา ฐานนฺตรํ ปโตฺต วิย ฉนฺทํ อวสฺสาย กตฺตุกมฺยตากุสลธมฺมจฺฉเนฺทน ‘‘อตฺถนิปฺผตฺติยํ สติ อหํ โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตสฺสามิ, นตฺถิ มยฺหํ เอตสฺส นิพฺพตฺตเน สาโร’’ติ ฉนฺทํ เชฎฺฐกํ ฉนฺทํ ธุรํ ฉนฺทํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา โลกุตฺตรธมฺมนิพฺพตฺตโก ทฎฺฐโพฺพ รฎฺฐปาลเตฺถโร (ม. นิ. ๒.๒๙๓ อาทโย) วิยฯ โส หิ อายสฺมา ‘‘ฉเนฺท สติ กถํ นานุชานิสฺสนฺตี’’ติ สตฺตาหมฺปิ ภตฺตานิ อภุญฺชิตฺวา มาตาปิตโร อนุชานาเปตฺวา ปพฺพชิตฺวา ฉนฺทเมว อวสฺสาย โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตสิฯ สูรภาเวน ราชานํ อาราเธตฺวา ฐานนฺตรํ ปโตฺต วิย วีริยํ เชฎฺฐกํ วีริยํ ธุรํ วีริยํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา โลกุตฺตรธมฺมนิพฺพตฺตโก ทฎฺฐโพฺพ โสณเตฺถโร (มหาว. ๒๔๓ อาทโย) วิยฯ โส หิ อายสฺมา วีริยํ ธุรํ กตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตสิฯ
Tattha upaṭṭhāne appamatto hutvā ṭhānantaraṃ patto viya chandaṃ avassāya kattukamyatākusaladhammacchandena ‘‘atthanipphattiyaṃ sati ahaṃ lokuttaradhammaṃ nibbattessāmi, natthi mayhaṃ etassa nibbattane sāro’’ti chandaṃ jeṭṭhakaṃ chandaṃ dhuraṃ chandaṃ pubbaṅgamaṃ katvā lokuttaradhammanibbattako daṭṭhabbo raṭṭhapālatthero (ma. ni. 2.293 ādayo) viya. So hi āyasmā ‘‘chande sati kathaṃ nānujānissantī’’ti sattāhampi bhattāni abhuñjitvā mātāpitaro anujānāpetvā pabbajitvā chandameva avassāya lokuttaradhammaṃ nibbattesi. Sūrabhāvena rājānaṃ ārādhetvā ṭhānantaraṃ patto viya vīriyaṃ jeṭṭhakaṃ vīriyaṃ dhuraṃ vīriyaṃ pubbaṅgamaṃ katvā lokuttaradhammanibbattako daṭṭhabbo soṇatthero (mahāva. 243 ādayo) viya. So hi āyasmā vīriyaṃ dhuraṃ katvā lokuttaradhammaṃ nibbattesi.
ชาติสมฺปตฺติยา ฐานนฺตรํ ปโตฺตวิย จิตฺตํ เชฎฺฐกํ จิตฺตํ ธุรํ จิตฺตํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา โลกุตฺตรธมฺมนิพฺพตฺตโก ทฎฺฐโพฺพ สมฺภูตเตฺถโร (เถรคา. อฎฺฐ. ๒ สมฺภูตเตฺถรคาถาวณฺณนา) วิยฯ โส หิ อายสฺมา จิตฺตํ เชฎฺฐกํ จิตฺตํ ธุรํ จิตฺตํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตสิฯ มนฺตํ อวสฺสาย ฐานนฺตรํ ปโตฺต วิย วีมํสํ เชฎฺฐกํ วีมํสํ ธุรํ วีมํสํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา โลกุตฺตรธมฺมนิพฺพตฺตโก ทฎฺฐโพฺพ เถโร โมฆราชา (สุ. นิ. ๑๑๒๒ อาทโย; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๘๕) วิยฯ โส หิ อายสฺมา วีมํสํ เชฎฺฐกํ วีมํสํ ธุรํ วีมํสํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตสิฯ ตสฺส หิ ภควา ‘‘สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสู’’ติ (สุ. นิ. ๑๑๒๕; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๘๘) สุญฺญตากถํ กเถสิฯ ปญฺญานิสฺสิตมานนิคฺคหตฺถญฺจ ทฺวิกฺขตฺตุํ ปุจฺฉิโต ปญฺหํ น กเถสิฯ เอตฺถ จ ปุนปฺปุนํ ฉนฺทุปฺปาทนํ โตสนํ วิย โหตีติ ฉนฺทสฺส อุปฎฺฐานสทิสตา วุตฺตา, ถามภาวโต วีริยสฺส สูรตฺตสทิสตา, ‘‘ฉทฺวาราธิปติ ราชา’’ติ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.เอรกปตฺตนาคราชวตฺถุ) วจนโต ปุพฺพงฺคมตา จิตฺตสฺส วิสิฎฺฐชาติสทิสตาฯ
Jātisampattiyā ṭhānantaraṃ pattoviya cittaṃ jeṭṭhakaṃ cittaṃ dhuraṃ cittaṃ pubbaṅgamaṃ katvā lokuttaradhammanibbattako daṭṭhabbo sambhūtatthero (theragā. aṭṭha. 2 sambhūtattheragāthāvaṇṇanā) viya. So hi āyasmā cittaṃ jeṭṭhakaṃ cittaṃ dhuraṃ cittaṃ pubbaṅgamaṃ katvā lokuttaradhammaṃ nibbattesi. Mantaṃ avassāya ṭhānantaraṃ patto viya vīmaṃsaṃ jeṭṭhakaṃ vīmaṃsaṃ dhuraṃ vīmaṃsaṃ pubbaṅgamaṃ katvā lokuttaradhammanibbattako daṭṭhabbo thero mogharājā (su. ni. 1122 ādayo; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddeso 85) viya. So hi āyasmā vīmaṃsaṃ jeṭṭhakaṃ vīmaṃsaṃ dhuraṃ vīmaṃsaṃ pubbaṅgamaṃ katvā lokuttaradhammaṃ nibbattesi. Tassa hi bhagavā ‘‘suññato lokaṃ avekkhassū’’ti (su. ni. 1125; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddeso 88) suññatākathaṃ kathesi. Paññānissitamānaniggahatthañca dvikkhattuṃ pucchito pañhaṃ na kathesi. Ettha ca punappunaṃ chanduppādanaṃ tosanaṃ viya hotīti chandassa upaṭṭhānasadisatā vuttā, thāmabhāvato vīriyassa sūrattasadisatā, ‘‘chadvārādhipati rājā’’ti (dha. pa. aṭṭha. 2.erakapattanāgarājavatthu) vacanato pubbaṅgamatā cittassa visiṭṭhajātisadisatā.
๔๐๒-๔๐๖. อตฺตโน สทฺธาธุเรติ อตฺตโน สทฺธากิเจฺจ สทฺทหนกิริยายฯ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อนุวตฺตนวเสน สมฺปยุตฺตธเมฺมสุ อินฺทฎฺฐํ กาเรติ, ตสฺมา อาธิปเตยฺยเฎฺฐน สทฺธา เอว อินฺทฺริยนฺติ สทฺธินฺทฺริยํฯ ตถา วีริยาทีนํ สกสกกิเจฺจสูติ อาห – ‘‘วีริยินฺทฺริยาทีสุปิ เอเสว นโย’’ติฯ วิโสเธโนฺตติ วิปกฺขวิวชฺชนสปกฺขนิเสวนสริกฺขูปนิสฺสยสงฺคณฺหนลกฺขเณหิ ตีหิ การเณหิ วิโสธนวเสน โสเธโนฺตฯ
402-406.Attano saddhādhureti attano saddhākicce saddahanakiriyāya. Indaṭṭhaṃ kāretīti anuvattanavasena sampayuttadhammesu indaṭṭhaṃ kāreti, tasmā ādhipateyyaṭṭhena saddhā eva indriyanti saddhindriyaṃ. Tathā vīriyādīnaṃ sakasakakiccesūti āha – ‘‘vīriyindriyādīsupi eseva nayo’’ti. Visodhentoti vipakkhavivajjanasapakkhanisevanasarikkhūpanissayasaṅgaṇhanalakkhaṇehi tīhi kāraṇehi visodhanavasena sodhento.
อสฺสเทฺธ ปุคฺคเล ปริวชฺชยโตติ พุทฺธาทีสุ ปสาทสิเนหาภาเวน สทฺธารหิเต ลูขปุคฺคเล สพฺพโส วชฺชยโตฯ สเทฺธ ปุคฺคเล เสวโตติ พุทฺธาทีสุ สทฺธาธิมุเตฺต วกฺกลิเตฺถรสทิเส เสวโตฯ ปสาทนีเยติ ปสาทาวเห สมฺปสาทนียสุตฺตาทิเก (ที. นิ. ๓.๑๔๑ อาทโย)ฯ ปจฺจเวกฺขโตติ ปาฬิโต อตฺถโต จ ปติ ปติ อเวกฺขนฺตสฺส จิเนฺตนฺตสฺสฯ วิสุชฺฌตีติ ปฎิปกฺขมลวิคมโต ปจฺจยวเสน สภาวสํสุทฺธิโต วิสุทฺธผลนิพฺพตฺติโต จ สทฺธินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ สมฺมปฺปธาเนติ สมฺมปฺปธานปฺปฎิสํยุเตฺต (สํ. นิ. ๕.๖๕๑-๖๖๒ อาทโย) สุตฺตเนฺตฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ฌานวิโมเกฺขติ ปฐมชฺฌานาทิชฺฌานานิ เจว ปฐมวิโมกฺขาทิวิโมเกฺข จฯ กามเญฺจตฺถ ฌานานิเยว วิโมกฺขา, ปวตฺติอาการวเสน ปน วิสุํ คหณํฯ
Assaddhe puggale parivajjayatoti buddhādīsu pasādasinehābhāvena saddhārahite lūkhapuggale sabbaso vajjayato. Saddhe puggale sevatoti buddhādīsu saddhādhimutte vakkalittherasadise sevato. Pasādanīyeti pasādāvahe sampasādanīyasuttādike (dī. ni. 3.141 ādayo). Paccavekkhatoti pāḷito atthato ca pati pati avekkhantassa cintentassa. Visujjhatīti paṭipakkhamalavigamato paccayavasena sabhāvasaṃsuddhito visuddhaphalanibbattito ca saddhindriyaṃ visujjhati. Esa nayo sesesupi. Sammappadhāneti sammappadhānappaṭisaṃyutte (saṃ. ni. 5.651-662 ādayo) suttante. Esa nayo sesesupi. Jhānavimokkheti paṭhamajjhānādijjhānāni ceva paṭhamavimokkhādivimokkhe ca. Kāmañcettha jhānāniyeva vimokkhā, pavattiākāravasena pana visuṃ gahaṇaṃ.
คมฺภีรญาณจริยนฺติ คมฺภีรานํ ญาณานํ ปวตฺติฎฺฐานํฯ เตนาห – ‘‘สณฺหสุขุม’’นฺติอาทิฯ ขนฺธนฺตรนฺติ สภาวชาติภูมิอาทิวเสน ขนฺธานํ นานตฺตํฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ อกตาภินิเวโสติ ปุเพฺพ อกตภาวนาภินิเวโสฯ สทฺธาธุราทีสูติ สทฺธาธุเร ปญฺญาธุเร จฯ อวสาเนติ ภาวนาปริโยสาเนฯ วิวเฎฺฎตฺวาติ สงฺขารารมฺมณโต วิวเฎฺฎตฺวา นิพฺพานํ อารมฺมณํ กตฺวาฯ อรหตฺตํ คณฺหาตีติ มคฺคปรมฺปราย อรหตฺตํ คณฺหาติฯ อกมฺปิยเฎฺฐนาติ ปฎิปเกฺขหิ อกมฺปิยภาเวนฯ เอเตเนวสฺส สมฺปยุตฺตธเมฺมสุ ถิรภาโวปิ วิภาวิโต ทฎฺฐโพฺพฯ น หิ สมฺปยุตฺตธเมฺมสุ ถิรภาเวน วินา ปฎิปเกฺขหิ อกมฺปิยตา สมฺภวติฯ สมฺปยุตฺตธเมฺมสุ ถิรภาเวเนว หิ อกุสลานํ อพฺยากตานญฺจ เนสํ พลวภาวูปปตฺติฯ อสฺสทฺธิเยติ อสฺสทฺธิยเหตุฯ นิมิตฺตเตฺถ เหตํ ภุมฺมวจนํฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ
Gambhīrañāṇacariyanti gambhīrānaṃ ñāṇānaṃ pavattiṭṭhānaṃ. Tenāha – ‘‘saṇhasukhuma’’ntiādi. Khandhantaranti sabhāvajātibhūmiādivasena khandhānaṃ nānattaṃ. Esa nayo sesesupi. Akatābhinivesoti pubbe akatabhāvanābhiniveso. Saddhādhurādīsūti saddhādhure paññādhure ca. Avasāneti bhāvanāpariyosāne. Vivaṭṭetvāti saṅkhārārammaṇato vivaṭṭetvā nibbānaṃ ārammaṇaṃ katvā. Arahattaṃ gaṇhātīti maggaparamparāya arahattaṃ gaṇhāti. Akampiyaṭṭhenāti paṭipakkhehi akampiyabhāvena. Etenevassa sampayuttadhammesu thirabhāvopi vibhāvito daṭṭhabbo. Na hi sampayuttadhammesu thirabhāvena vinā paṭipakkhehi akampiyatā sambhavati. Sampayuttadhammesu thirabhāveneva hi akusalānaṃ abyākatānañca nesaṃ balavabhāvūpapatti. Assaddhiyeti assaddhiyahetu. Nimittatthe hetaṃ bhummavacanaṃ. Esa nayo sesesupi.
๔๑๘. อาทิปทานนฺติ สติอาทิปทานํฯ สรณเฎฺฐนาติ จิรกตจิรภาสิตานํ อนุสฺสรณเฎฺฐนฯ อุปฎฺฐานลกฺขณาติ กายาทีสุ อสุภาการาทิสลฺลกฺขณมุเขน ตตฺถ อุปติฎฺฐนสภาวาฯ อุปติฎฺฐนญฺจ อารมฺมณํ อุปคนฺตฺวา ฐานํ, อวิสฺสชฺชนํ วา อารมฺมณสฺสฯ อปิลาปนลกฺขณาติ อสมฺมุสฺสนสภาวา, อุทเก อลาพุ วิย อารมฺมเณ ปฺลวิตฺวา คนฺตุํ อปฺปทานํ, ปาสาณสฺส วิย นิจฺจลสฺส อารมฺมณสฺส ฐปนํ สารณํ อสมฺมุฎฺฐกรณํ อปิลาปนํฯ สาปเตยฺยนฺติ สนฺตกํฯ อปิลาปนํ อสมฺมุฎฺฐํ กโรติ อปิลาเปติ, สายํ ปาตญฺจ ราชานํ อิสฺสริยสมฺปตฺติํ สลฺลกฺขาเปติ สาเรตีติ อโตฺถฯ กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาเค ธเมฺมติ กณฺหสุกฺกสงฺขาเต สปฺปฎิภาเค ธเมฺมฯ กโณฺห หิ ธโมฺม สุเกฺกน, สุโกฺก จ กเณฺหน สปฺปฎิภาโคฯ วิตฺถาร-สโทฺท อาทิสทฺทโตฺถฯ เตน ‘‘อิเม จตฺตาโร ธมฺมา สมฺมปฺปธานา, อิเม จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ, อิมานิ ปญฺจ พลานิ, อิเม สตฺต โพชฺฌงฺคา, อยํ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, อยํ สมโถ, อยํ วิปสฺสนา, อยํ วิชฺชา, อยํ วิมุตฺติ, อิเม โลกุตฺตรธมฺมาติ เอวํ โข, มหาราช, อปิลาปนลกฺขณา สตี’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๓) อิมํ ปาฬิเสสํ สงฺคณฺหาติฯ เถเรนาติ นาคเสนเตฺถเรนฯ โส หิ ธมฺมานํ กิจฺจํ ลกฺขณํ กตฺวา อเสฺสติ ‘‘อปิลาปนลกฺขณา สติ, อาโกฎนลกฺขโณ วิตโกฺก’’ติอาทินาฯ เอวญฺหิ ธมฺมา สุโพธา โหนฺตีติฯ สโมฺมสปจฺจนีกํ กิจฺจํ อสโมฺมโส, น สโมฺมสาภาวมตฺตนฺติ อาห – ‘‘อสโมฺมสรสา วา’’ติฯ ยสฺส ธมฺมสฺส พเลน สมฺปยุตฺตธมฺมา อารมฺมณาภิมุขา ภวนฺติ, สา สติฯ ตสฺมา สา เตสํ อารมฺมณาภิมุขภาวํ ปจฺจุปฎฺฐาเปสิ, สยํ วา อารมฺมณาภิมุขภาเวน ปจฺจุปติฎฺฐตีติ วุตฺตํ – ‘‘โคจราภิมุขีภาวปจฺจุปฎฺฐานา’’ติฯ สมฺมา ปสโตฺถ โพชฺฌโงฺคติ สโมฺพชฺฌโงฺคฯ โพธิยา วกฺขมานาย ธมฺมสามคฺคิยา, โพธิสฺส วา อริยสาวกสฺส อโงฺคติ โพชฺฌโงฺคฯ ยา หีติอาทินา ตเมว สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิวรติฯ ‘‘ยา หิ อยํ ธมฺมสามคฺคี’’ติ เอตสฺส ‘‘โพธีติ วุจฺจตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ธมฺมสามคฺคิยาติ ธมฺมสมูเหน, ยาย ธมฺมสามคฺคิยาติ สมฺพโนฺธฯ ปติฎฺฐานายูหนา โอฆตรณสุตฺตวณฺณนายํ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑) ‘‘กิเลสวเสน ปติฎฺฐานํ, อภิสงฺขารวเสน อายูหนาฯ ตณฺหา ทิฎฺฐิวเสน ปติฎฺฐานํ, อวเสสกิเลสาภิสงฺขาเรหิ อายูหนาฯ ตณฺหาวเสน ปติฎฺฐานํ, ทิฎฺฐิวเสน อายูหนาฯ สสฺสตทิฎฺฐิยา ปติฎฺฐานํ, อุเจฺฉททิฎฺฐิยา อายูหนาฯ ลีนวเสน ปติฎฺฐานํ, อุทฺธจฺจวเสน อายูหนาฯ กามสุขลฺลิกานุโยควเสน ปติฎฺฐานํ, อตฺตกิลมถานุโยควเสน อายูหนาฯ สพฺพากุสลาภิสงฺขารวเสน ปติฎฺฐานํ, สพฺพโลกิยกุสลาภิสงฺขารวเสน อายูหนา’’ติ เอวํ วุเตฺตสุ สตฺตสุ ปกาเรสุ อิธ อวุตฺตานํ วเสน เวทิตพฺพาฯ ปฎิปกฺขภูตายาติ เอตฺถ ลีนปฺปติฎฺฐานกามสุขลฺลิกานุโยคอุเจฺฉทาภินิเวสานํ ธมฺมวิจยวีริยปีติปฺปธานา ธมฺมสามคฺคี ปฎิปโกฺข, อุทฺธจฺจายูหนอตฺตกิลมถานุโยคสสฺสตาภินิเวสานํ ปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาปธานา ธมฺมสามคฺคี ปฎิปโกฺขฯ สติ ปน อุภยตฺถาปิ อิจฺฉิตพฺพาฯ ตถา หิ สา ‘‘สพฺพตฺถิกา’’ติ วุตฺตาฯ
418.Ādipadānanti satiādipadānaṃ. Saraṇaṭṭhenāti cirakatacirabhāsitānaṃ anussaraṇaṭṭhena. Upaṭṭhānalakkhaṇāti kāyādīsu asubhākārādisallakkhaṇamukhena tattha upatiṭṭhanasabhāvā. Upatiṭṭhanañca ārammaṇaṃ upagantvā ṭhānaṃ, avissajjanaṃ vā ārammaṇassa. Apilāpanalakkhaṇāti asammussanasabhāvā, udake alābu viya ārammaṇe plavitvā gantuṃ appadānaṃ, pāsāṇassa viya niccalassa ārammaṇassa ṭhapanaṃ sāraṇaṃ asammuṭṭhakaraṇaṃ apilāpanaṃ. Sāpateyyanti santakaṃ. Apilāpanaṃ asammuṭṭhaṃ karoti apilāpeti, sāyaṃ pātañca rājānaṃ issariyasampattiṃ sallakkhāpeti sāretīti attho. Kaṇhasukkasappaṭibhāge dhammeti kaṇhasukkasaṅkhāte sappaṭibhāge dhamme. Kaṇho hi dhammo sukkena, sukko ca kaṇhena sappaṭibhāgo. Vitthāra-saddo ādisaddattho. Tena ‘‘ime cattāro dhammā sammappadhānā, ime cattāro iddhipādā, imāni pañcindriyāni, imāni pañca balāni, ime satta bojjhaṅgā, ayaṃ ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, ayaṃ samatho, ayaṃ vipassanā, ayaṃ vijjā, ayaṃ vimutti, ime lokuttaradhammāti evaṃ kho, mahārāja, apilāpanalakkhaṇā satī’’ti (mi. pa. 2.1.13) imaṃ pāḷisesaṃ saṅgaṇhāti. Therenāti nāgasenattherena. So hi dhammānaṃ kiccaṃ lakkhaṇaṃ katvā asseti ‘‘apilāpanalakkhaṇā sati, ākoṭanalakkhaṇo vitakko’’tiādinā. Evañhi dhammā subodhā hontīti. Sammosapaccanīkaṃ kiccaṃ asammoso, na sammosābhāvamattanti āha – ‘‘asammosarasā vā’’ti. Yassa dhammassa balena sampayuttadhammā ārammaṇābhimukhā bhavanti, sā sati. Tasmā sā tesaṃ ārammaṇābhimukhabhāvaṃ paccupaṭṭhāpesi, sayaṃ vā ārammaṇābhimukhabhāvena paccupatiṭṭhatīti vuttaṃ – ‘‘gocarābhimukhībhāvapaccupaṭṭhānā’’ti. Sammā pasattho bojjhaṅgoti sambojjhaṅgo. Bodhiyā vakkhamānāya dhammasāmaggiyā, bodhissa vā ariyasāvakassa aṅgoti bojjhaṅgo. Yā hītiādinā tameva saṅkhepato vuttamatthaṃ vivarati. ‘‘Yā hi ayaṃ dhammasāmaggī’’ti etassa ‘‘bodhīti vuccatī’’ti iminā sambandho. Dhammasāmaggiyāti dhammasamūhena, yāya dhammasāmaggiyāti sambandho. Patiṭṭhānāyūhanā oghataraṇasuttavaṇṇanāyaṃ (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.1) ‘‘kilesavasena patiṭṭhānaṃ, abhisaṅkhāravasena āyūhanā. Taṇhā diṭṭhivasena patiṭṭhānaṃ, avasesakilesābhisaṅkhārehi āyūhanā. Taṇhāvasena patiṭṭhānaṃ, diṭṭhivasena āyūhanā. Sassatadiṭṭhiyā patiṭṭhānaṃ, ucchedadiṭṭhiyā āyūhanā. Līnavasena patiṭṭhānaṃ, uddhaccavasena āyūhanā. Kāmasukhallikānuyogavasena patiṭṭhānaṃ, attakilamathānuyogavasena āyūhanā. Sabbākusalābhisaṅkhāravasena patiṭṭhānaṃ, sabbalokiyakusalābhisaṅkhāravasena āyūhanā’’ti evaṃ vuttesu sattasu pakāresu idha avuttānaṃ vasena veditabbā. Paṭipakkhabhūtāyāti ettha līnappatiṭṭhānakāmasukhallikānuyogaucchedābhinivesānaṃ dhammavicayavīriyapītippadhānā dhammasāmaggī paṭipakkho, uddhaccāyūhanaattakilamathānuyogasassatābhinivesānaṃ passaddhisamādhiupekkhāpadhānā dhammasāmaggī paṭipakkho. Sati pana ubhayatthāpi icchitabbā. Tathā hi sā ‘‘sabbatthikā’’ti vuttā.
กิเลสสนฺตานนิทฺทาย อุฎฺฐหตีติ เอเตน สิขาปฺปตฺตวิปสฺสนาย สหคตานมฺปิ สติอาทีนํ โพชฺฌงฺคภาวํ ทเสฺสติฯ วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนา หิ กิเลเส นิโรเธนฺตี เอว ปวตฺตตีติฯ จตฺตาริ วาติอาทินา ปน มคฺคผลสหคตานํ โพชฺฌงฺคภาวํ ทเสฺสติฯ สตฺตหิ โพชฺฌเงฺคหิ ภาวิเตหิ สจฺจปฺปฎิเวโธ โหตีติ กถมิทํ ชานิตพฺพนฺติ โจทนํ สนฺธายาห – ‘‘ยถาหา’’ติอาทิฯ ฌานงฺคมคฺคงฺคาทโย วิยาติ เอเตน โพธิโพชฺฌงฺคสทฺทานํ สมุทายาวยววิสยตํ ทเสฺสติฯ เสนงฺครถงฺคาทโย วิยาติ เอเตน ปุคฺคลปญฺญตฺติยา อวิชฺชมานปญฺญตฺติภาวํ ทเสฺสติฯ
Kilesasantānaniddāyauṭṭhahatīti etena sikhāppattavipassanāya sahagatānampi satiādīnaṃ bojjhaṅgabhāvaṃ dasseti. Vuṭṭhānagāminivipassanā hi kilese nirodhentī eva pavattatīti. Cattāri vātiādinā pana maggaphalasahagatānaṃ bojjhaṅgabhāvaṃ dasseti. Sattahi bojjhaṅgehi bhāvitehi saccappaṭivedho hotīti kathamidaṃ jānitabbanti codanaṃ sandhāyāha – ‘‘yathāhā’’tiādi. Jhānaṅgamaggaṅgādayo viyāti etena bodhibojjhaṅgasaddānaṃ samudāyāvayavavisayataṃ dasseti. Senaṅgarathaṅgādayo viyāti etena puggalapaññattiyā avijjamānapaññattibhāvaṃ dasseti.
โพธาย สํวตฺตนฺตีติ โพชฺฌงฺคาติ การณโตฺถ องฺคสโทฺทติ กตฺวา วุตฺตํฯ พุชฺฌนฺตีติ โพธิโย, โพธิโย เอว องฺคานิ โพชฺฌงฺคานีติ วุตฺตํ – ‘‘พุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา’’ติฯ วิปสฺสนาทีนํ การณาทีนํ พุชฺฌิตพฺพานญฺจ สจฺจานํ อนุรูปํ ปจฺจกฺขภาเวน ปฎิมุขํ อวิปรีตตาย สมฺมา จ พุชฺฌนฺตีติ เอวํ อตฺถวิเสสทีปเกหิ อุปสเคฺคหิ ‘‘อนุพุชฺฌนฺตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ โพธิสโทฺท หิ สพฺพวิเสสยุตฺตพุชฺฌนํ สามเญฺญน สงฺคณฺหาติฯ สํ-สโทฺท ปสํสายํ สุนฺทรภาเว จ ทิสฺสตีติ อาห – ‘‘ปสโตฺถ สุนฺทโร จ โพชฺฌโงฺค สโมฺพชฺฌโงฺค’’ติฯ
Bodhāya saṃvattantīti bojjhaṅgāti kāraṇattho aṅgasaddoti katvā vuttaṃ. Bujjhantīti bodhiyo, bodhiyo eva aṅgāni bojjhaṅgānīti vuttaṃ – ‘‘bujjhantīti bojjhaṅgā’’ti. Vipassanādīnaṃ kāraṇādīnaṃ bujjhitabbānañca saccānaṃ anurūpaṃ paccakkhabhāvena paṭimukhaṃ aviparītatāya sammā ca bujjhantīti evaṃ atthavisesadīpakehi upasaggehi ‘‘anubujjhantī’’tiādi vuttaṃ. Bodhisaddo hi sabbavisesayuttabujjhanaṃ sāmaññena saṅgaṇhāti. Saṃ-saddo pasaṃsāyaṃ sundarabhāve ca dissatīti āha – ‘‘pasattho sundaro ca bojjhaṅgo sambojjhaṅgo’’ti.
ธเมฺม วิจินตีติ ธมฺมวิจโยฯ ตตฺถ ธเมฺมติ จตุสจฺจธเมฺม ตพฺพินิมุตฺตสฺส สภาวธมฺมสฺส อภาวโตฯ ตโต เอว โส ปวิจยลกฺขโณฯ โอภาสนรโสติ วิสโยภาสนรโสฯ อสมฺมุยฺหนากาเรน ปจฺจุปติฎฺฐตีติ อสโมฺมหปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
Dhamme vicinatīti dhammavicayo. Tattha dhammeti catusaccadhamme tabbinimuttassa sabhāvadhammassa abhāvato. Tato eva so pavicayalakkhaṇo. Obhāsanarasoti visayobhāsanaraso. Asammuyhanākārena paccupatiṭṭhatīti asammohapaccupaṭṭhāno.
วีรสฺส ภาโว, กมฺมํ วาติ วีริยํฯ อีรยิตพฺพโตติ ปวเตฺตตพฺพโตฯ ปคฺคหลกฺขณนฺติ โกสชฺชปเกฺข ปติตุํ อทตฺวา สมฺปยุตฺตธมฺมานํ ปคฺคหลกฺขณํฯ ตโต เอว สมฺปยุตฺตธเมฺม อุปตฺถมฺภนรสํฯ อโนสีทนํ อสํสีทนํฯ
Vīrassa bhāvo, kammaṃ vāti vīriyaṃ. Īrayitabbatoti pavattetabbato. Paggahalakkhaṇanti kosajjapakkhe patituṃ adatvā sampayuttadhammānaṃ paggahalakkhaṇaṃ. Tato eva sampayuttadhamme upatthambhanarasaṃ. Anosīdanaṃ asaṃsīdanaṃ.
ปีณยตีติ ตเปฺปติฯ ปีณนกิเจฺจน สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วิย ตํสมุฎฺฐานปณีตรูเปหิ กายสฺสาพฺยปนํฯ ผรณปีติวเสน เหตํ ลกฺขณํ วุตฺตํ, ตถา รโสติฯ อุทคฺคภาโว โอทคฺยํ, ตํ ปจฺจุปฎฺฐเปตีติ โอทคฺยปจฺจุปฎฺฐานาฯ อุเพฺพคปีติวเสน เจตํ วุตฺตํฯ
Pīṇayatīti tappeti. Pīṇanakiccena sampayuttadhammānaṃ viya taṃsamuṭṭhānapaṇītarūpehi kāyassābyapanaṃ. Pharaṇapītivasena hetaṃ lakkhaṇaṃ vuttaṃ, tathā rasoti. Udaggabhāvo odagyaṃ, taṃ paccupaṭṭhapetīti odagyapaccupaṭṭhānā. Ubbegapītivasena cetaṃ vuttaṃ.
กายจิตฺตทรถปฺปสฺสมฺภนโตติ กายทรถสฺส จิตฺตทรถสฺส จ ปสฺสมฺภนโต วูปสมนโตฯ เตนาห – ‘‘อุปสมลกฺขณา’’ติ, กายจิตฺตทรถานํ วูปสมนลกฺขณาติ อโตฺถฯ กาโยติ เจตฺถ เวทนาทโย ตโย ขนฺธาฯ ทรโถ สารโมฺภ, ทุกฺขโทมนสฺสปจฺจยานํ อุทฺธจฺจาทิกานํ กิเลสานํ, ตถาปวตฺตานํ วา จตุนฺนํ ขนฺธานเมตํ อธิวจนํฯ ทรถนิมฺมทฺทเนน ปริฬาหปริปฺผนฺทนวิรหิโต สีติภาโว อปริปฺผนฺทนสีติภาโวฯ
Kāyacittadarathappassambhanatoti kāyadarathassa cittadarathassa ca passambhanato vūpasamanato. Tenāha – ‘‘upasamalakkhaṇā’’ti, kāyacittadarathānaṃ vūpasamanalakkhaṇāti attho. Kāyoti cettha vedanādayo tayo khandhā. Daratho sārambho, dukkhadomanassapaccayānaṃ uddhaccādikānaṃ kilesānaṃ, tathāpavattānaṃ vā catunnaṃ khandhānametaṃ adhivacanaṃ. Darathanimmaddanena pariḷāhaparipphandanavirahito sītibhāvo aparipphandanasītibhāvo.
สมฺมา จิตฺตสฺส ฐปนํ สมาธานํฯ อวิเกฺขโป สมฺปยุตฺตานํ อวิกฺขิตฺตตาฯ เยน สมฺปยุตฺตา อวิกฺขิตฺตา โหนฺติ, โส ธโมฺม อวิเกฺขโปฯ อวิสาโร อตฺตโน เอว อวิสรณภาโวฯ อถ วา วิเกฺขปปฺปฎิปกฺขตาย อวิเกฺขปลกฺขโณฯ นฺหานียจุณฺณสฺส อุทกํ วิย สมฺปยุตฺตธมฺมานํ สมฺปิณฺฑนกิจฺจตาย อวิสารภาเวน ลกฺขิตโพฺพ อวิสารลกฺขโณฯ นิวาเต ทีปจฺจิฎฺฐิติ วิย เจตโส ฐิติภาเวน ปจฺจุปติฎฺฐตีติ จิตฺตฎฺฐิติปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
Sammā cittassa ṭhapanaṃ samādhānaṃ. Avikkhepo sampayuttānaṃ avikkhittatā. Yena sampayuttā avikkhittā honti, so dhammo avikkhepo. Avisāro attano eva avisaraṇabhāvo. Atha vā vikkhepappaṭipakkhatāya avikkhepalakkhaṇo. Nhānīyacuṇṇassa udakaṃ viya sampayuttadhammānaṃ sampiṇḍanakiccatāya avisārabhāvena lakkhitabbo avisāralakkhaṇo. Nivāte dīpacciṭṭhiti viya cetaso ṭhitibhāvena paccupatiṭṭhatīti cittaṭṭhitipaccupaṭṭhāno.
อชฺฌุเปกฺขนโตติ สมปฺปวเตฺตสุ อเสฺสสุ สารถิ วิย สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อชฺฌุเปกฺขนโตฯ ปฎิสงฺขานลกฺขณาติ มชฺฌตฺตภาเว ฐตฺวา วีมํสนสงฺขาตปฺปฎิสงฺขานลกฺขณาฯ สมวาหิตลกฺขณาติ สมํ อวิสมํ ยถาสกกิเจฺจสุ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ ปวตฺตนลกฺขณาฯ อุทาสีนภาเวน ปวตฺตมานาปิ เสสสมฺปยุตฺตธเมฺม ยถาสกกิเจฺจสุ ปวเตฺตติ, ยถา ราชา ตุณฺหี นิสิโนฺนปิ อตฺถกรเณ ธมฺมเฎฺฐ ยถาสกํ กิเจฺจสุ อปฺปมโตฺต ปวเตฺตติฯ อลีนานุทฺธตปฺปวตฺติปจฺจยตฺตา อูนาธิกนิวารณรสาฯ ปกฺขปาตุปเจฺฉทนรสาติ ‘‘อิทํ นิหีนกิจฺจํ โหตุ, อิทํ อติเรกตรกิจฺจ’’นฺติ เอวํ ปกฺขปาตนวเสน วิย ปวตฺติ ปกฺขปาโต, ตํ อุปจฺฉินฺทนฺตี วิย โหตีติ ปกฺขปาตุปเจฺฉทนรสาฯ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ สกสกกิเจฺจ มชฺฌตฺตภาเวน ปจฺจุปติฎฺฐตีติ มชฺฌตฺตภาวปจฺจุปฎฺฐาโนฯ โพชฺฌงฺคานํ อุปรูปริ อุปฺปาทนเมว พฺรูหนํ วฑฺฒนญฺจาติ อาห – ‘‘อุปฺปาเทตี’’ติฯ
Ajjhupekkhanatoti samappavattesu assesu sārathi viya sampayuttadhammānaṃ ajjhupekkhanato. Paṭisaṅkhānalakkhaṇāti majjhattabhāve ṭhatvā vīmaṃsanasaṅkhātappaṭisaṅkhānalakkhaṇā. Samavāhitalakkhaṇāti samaṃ avisamaṃ yathāsakakiccesu sampayuttadhammānaṃ pavattanalakkhaṇā. Udāsīnabhāvena pavattamānāpi sesasampayuttadhamme yathāsakakiccesu pavatteti, yathā rājā tuṇhī nisinnopi atthakaraṇe dhammaṭṭhe yathāsakaṃ kiccesu appamatto pavatteti. Alīnānuddhatappavattipaccayattā ūnādhikanivāraṇarasā. Pakkhapātupacchedanarasāti ‘‘idaṃ nihīnakiccaṃ hotu, idaṃ atirekatarakicca’’nti evaṃ pakkhapātanavasena viya pavatti pakkhapāto, taṃ upacchindantī viya hotīti pakkhapātupacchedanarasā. Sampayuttadhammānaṃ sakasakakicce majjhattabhāvena paccupatiṭṭhatīti majjhattabhāvapaccupaṭṭhāno. Bojjhaṅgānaṃ uparūpari uppādanameva brūhanaṃ vaḍḍhanañcāti āha – ‘‘uppādetī’’ti.
สติ จ สมฺปชญฺญญฺจ สติสมฺปชญฺญํ, สติปธานํ วา สมฺปชญฺญํ สติสมฺปชญฺญํฯ ตํ สพฺพตฺถ สโตการิภาวาวหตฺตา สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย โหติฯ ยถา ปจฺจนีกธมฺมปฺปหานํ อนุรูปธมฺมเสวนา จ อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทาย โหติ, เอวํ สติรหิตปุคฺคลวิวชฺชนา, สโตการิปุคฺคลเสวนา, ตตฺถ จ ยุตฺตตา สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย โหตีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติ, ‘‘สติสมฺปชญฺญ’’นฺติอาทินาฯ สตฺตสุ ฐาเนสูติ ‘‘อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหติ, อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ, สมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ, สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ, อสิเต ปีเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ, อุจฺจารปสฺสาวกเมฺม สมฺปชานการี โหติ, คเต ฐิเต นิสิเนฺน สุเตฺต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี โหตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๗๖; ม. นิ. ๑.๑๐๙) เอวํ วุเตฺตสุ อภิกฺกนฺตาทีสุ สตฺตสุ ฐาเนสุฯ ติสฺสทตฺตเตฺถโร นาม โย โพธิมเณฺฑ สุวณฺณสลากํ คเหตฺวา ‘‘อฎฺฐารสสุ ภาสาสุ กตรภาสาย ธมฺมํ กเถมี’’ติ ปริสํ ปธาเรสิฯ อภยเตฺถโรติ ทตฺตาภยเตฺถรมาหฯ อภินิเวสนฺติ วิปสฺสนาภินิเวสํฯ
Sati ca sampajaññañca satisampajaññaṃ, satipadhānaṃ vā sampajaññaṃ satisampajaññaṃ. Taṃ sabbattha satokāribhāvāvahattā satisambojjhaṅgassa uppādāya hoti. Yathā paccanīkadhammappahānaṃ anurūpadhammasevanā ca anuppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ uppādāya hoti, evaṃ satirahitapuggalavivajjanā, satokāripuggalasevanā, tattha ca yuttatā satisambojjhaṅgassa uppādāya hotīti imamatthaṃ dasseti, ‘‘satisampajañña’’ntiādinā. Sattasu ṭhānesūti ‘‘abhikkante paṭikkante sampajānakārī hoti, ālokite vilokite sampajānakārī hoti, samiñjite pasārite sampajānakārī hoti, saṅghāṭipattacīvaradhāraṇe sampajānakārī hoti, asite pīte khāyite sāyite sampajānakārī hoti, uccārapassāvakamme sampajānakārī hoti, gate ṭhite nisinne sutte jāgarite bhāsite tuṇhībhāve sampajānakārī hotī’’ti (dī. ni. 2.376; ma. ni. 1.109) evaṃ vuttesu abhikkantādīsu sattasu ṭhānesu. Tissadattatthero nāma yo bodhimaṇḍe suvaṇṇasalākaṃ gahetvā ‘‘aṭṭhārasasu bhāsāsu katarabhāsāya dhammaṃ kathemī’’ti parisaṃ padhāresi. Abhayattheroti dattābhayattheramāha. Abhinivesanti vipassanābhinivesaṃ.
ปริปุจฺฉกตาติ ปริโยคาเหตฺวา ปุจฺฉกภาโวฯ อาจริเย ปยิรุปาสิตฺวา ปญฺจปิ นิกาเย สห อฎฺฐกถาย ปริโยคาเหตฺวา ยํ ยํ ตตฺถ คณฺฐิฎฺฐานภูตํ, ตํ ตํ ‘‘อิทํ, ภเนฺต, กถํ, อิมสฺส โก อโตฺถ’’ติ ขนฺธายตนาทิอตฺถํ ปุจฺฉนฺตสฺส หิ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ เตนาห – ‘‘ขนฺธธาตุ…เป.… พหุลตา’’ติฯ
Paripucchakatāti pariyogāhetvā pucchakabhāvo. Ācariye payirupāsitvā pañcapi nikāye saha aṭṭhakathāya pariyogāhetvā yaṃ yaṃ tattha gaṇṭhiṭṭhānabhūtaṃ, taṃ taṃ ‘‘idaṃ, bhante, kathaṃ, imassa ko attho’’ti khandhāyatanādiatthaṃ pucchantassa hi dhammavicayasambojjhaṅgo uppajjati. Tenāha – ‘‘khandhadhātu…pe… bahulatā’’ti.
วตฺถุวิสทกิริยาติ เอตฺถ จิตฺตเจตสิกานํ ปวตฺติฎฺฐานภาวโต สรีรํ ตปฺปฎิพทฺธานิ จีวราทีนิ จ วตฺถูนีติ อธิเปฺปตานิฯ ตานิ ยถา จิตฺตสฺส สุขาวหานิ โหนฺติ, ตถา กรณํ เตสํ วิสทกิริยาฯ เตนาห – ‘‘อชฺฌตฺติกพาหิราน’’นฺติอาทิฯ อุสฺสนฺนโทสนฺติ วาตปิตฺตาทิวเสน อุปจิตโทสํฯ เสทมลมกฺขิตนฺติ เสเทน เจว ชลฺลิกาสงฺขาเตน สรีรมเลน จ มกฺขิตํฯ จ-สเทฺทน อญฺญมฺปิ สรีรสฺส ปีฬาวหํ อจฺจาสนาทิํ สงฺคณฺหาติฯ เสนาสนํ วาติ วา-สเทฺทน มลคฺคหิตปตฺตาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ปริภณฺฑกรณาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน ปตฺตปจนาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ อวิสเทติ วตฺถุมฺหิ อวิสเท สติ, วิสยภูเต วาฯ กถํ ภาวนมนุยุตฺตสฺส ตานิ อชฺฌตฺติกพาหิรวตฺถูนิ วิสโย? อนฺตรนฺตรา ปวตฺตนกจิตฺตุปฺปาทวเสเนว วุตฺตํฯ เต หิ จิตฺตุปฺปาทา จิเตฺตกคฺคตาย อปริสุทฺธภาวาย สํวตฺตนฺติฯ จิตฺตเจตสิเกสูติ นิสฺสยาทิปจฺจยภูเตสุ จิตฺตเจตสิเกสุฯ ญาณมฺปีติ อปิ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถฯ เตน ‘‘น เกวลํ วตฺถุเยว, อถ โข ตสฺมิํ อปริสุเทฺธ ญาณมฺปิ อปริสุทฺธํ โหตี’’ติ นิสฺสยาปริสุทฺธิยา ตํนิสฺสิตาปริสุทฺธิ วิย วิสยสฺส อปริสุทฺธตาย วิสยิโน อปริสุทฺธิํ ทเสฺสติฯ
Vatthuvisadakiriyāti ettha cittacetasikānaṃ pavattiṭṭhānabhāvato sarīraṃ tappaṭibaddhāni cīvarādīni ca vatthūnīti adhippetāni. Tāni yathā cittassa sukhāvahāni honti, tathā karaṇaṃ tesaṃ visadakiriyā. Tenāha – ‘‘ajjhattikabāhirāna’’ntiādi. Ussannadosanti vātapittādivasena upacitadosaṃ. Sedamalamakkhitanti sedena ceva jallikāsaṅkhātena sarīramalena ca makkhitaṃ. Ca-saddena aññampi sarīrassa pīḷāvahaṃ accāsanādiṃ saṅgaṇhāti. Senāsanaṃ vāti vā-saddena malaggahitapattādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Paribhaṇḍakaraṇādīhīti ādi-saddena pattapacanādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Avisadeti vatthumhi avisade sati, visayabhūte vā. Kathaṃ bhāvanamanuyuttassa tāni ajjhattikabāhiravatthūni visayo? Antarantarā pavattanakacittuppādavaseneva vuttaṃ. Te hi cittuppādā cittekaggatāya aparisuddhabhāvāya saṃvattanti. Cittacetasikesūti nissayādipaccayabhūtesu cittacetasikesu. Ñāṇampīti api-saddo sampiṇḍanattho. Tena ‘‘na kevalaṃ vatthuyeva, atha kho tasmiṃ aparisuddhe ñāṇampi aparisuddhaṃ hotī’’ti nissayāparisuddhiyā taṃnissitāparisuddhi viya visayassa aparisuddhatāya visayino aparisuddhiṃ dasseti.
สมภาวกรณนฺติ กิจฺจโต อนูนาธิกภาวกรณํฯ สทฺธินฺทฺริยํ พลวํ โหติ, สเทฺธยฺยวตฺถุสฺมิํ ปจฺจยวเสน อธิโมกฺขกิจฺจสฺส ปฎุตรภาเวน ปญฺญาย อวิสทตาย วีริยาทีนญฺจ สิถิลตาทินา สทฺธินฺทฺริยํ พลวํ โหติฯ เตนาห – ‘‘อิตรานิ มนฺทานี’’ติฯ ตโตติ ตสฺมา, สทฺธินฺทฺริยสฺส พลวภาวโต อิตเรสญฺจ มนฺทตฺตาติ อโตฺถฯ โกสชฺชปเกฺข ปติตุํ อทตฺวา สมฺปยุตฺตธมฺมานํ ปคฺคณฺหนํ อนุพลปฺปทานํ ปคฺคโหฯ ปคฺคโหว กิจฺจํ ปคฺคหกิจฺจํฯ กาตุํ น สโกฺกตีติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ อารมฺมณํ อุปคนฺตฺวา ฐานํ, อนิสฺสชฺชนํ วา อุปฎฺฐานํฯ วิเกฺขปปฺปฎิปโกฺข, เยน วา สมฺปยุตฺตา อวิกฺขิตฺตา โหนฺติ, โส อวิเกฺขโปฯ รูปคตํ วิย จกฺขุนา เยน ยาถาวโต วิสยสภาวํ ปสฺสติ, ตํ ทสฺสนกิจฺจํ กาตุํ น สโกฺกติ พลวตา สทฺธินฺทฺริเยน อธิภูตตฺตาฯ สหชาตธเมฺมสุ หิ อินฺทฎฺฐํ กาเรนฺตานํ สหปวตฺตมานานํ ธมฺมานํ เอกเทสตาวเสเนว อตฺถสิทฺธิ, น อญฺญถาฯ ตสฺมาติ วุตฺตเมวตฺถํ การณภาเวน ปจฺจามสติฯ ตนฺติ สทฺธินฺทฺริยํฯ ธมฺมสภาวปจฺจเวกฺขเณนาติ ยสฺส สเทฺธยฺยสฺส วตฺถุโน อุฬารตาทิคุเณ อธิมุจฺจนสฺส สาติสยปฺปวตฺติยา สทฺธินฺทฺริยํ พลวํ ชาตํ, ตสฺส ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนตาทิวิภาคโต ยาถาวโต วีมํสเนนฯ เอวญฺหิ เอวํธมฺมตานเยน ยาถาวสรสโต ปริคฺคยฺหมาเน สวิปฺผาโร อธิโมโกฺข น โหติ ‘‘อยํ อิเมสํ ธมฺมานํ สภาโว’’ติ ปริชานนวเสน ปญฺญาพฺยาปารสฺส สาติสยตฺตาฯ ธุริยธเมฺมสุ หิ ยถา สทฺธาย พลวภาเว ปญฺญาย มนฺทภาโว โหติ, เอวํ ปญฺญาย พลวภาเว สทฺธาย มนฺทภาโว โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ตํ ธมฺมสภาวปจฺจเวกฺขเณน หาเปตพฺพ’’นฺติฯ
Samabhāvakaraṇanti kiccato anūnādhikabhāvakaraṇaṃ. Saddhindriyaṃ balavaṃ hoti, saddheyyavatthusmiṃ paccayavasena adhimokkhakiccassa paṭutarabhāvena paññāya avisadatāya vīriyādīnañca sithilatādinā saddhindriyaṃ balavaṃ hoti. Tenāha – ‘‘itarāni mandānī’’ti. Tatoti tasmā, saddhindriyassa balavabhāvato itaresañca mandattāti attho. Kosajjapakkhe patituṃ adatvā sampayuttadhammānaṃ paggaṇhanaṃ anubalappadānaṃ paggaho. Paggahova kiccaṃ paggahakiccaṃ. Kātuṃ na sakkotīti ānetvā sambandhitabbaṃ. Ārammaṇaṃ upagantvā ṭhānaṃ, anissajjanaṃ vā upaṭṭhānaṃ. Vikkhepappaṭipakkho, yena vā sampayuttā avikkhittā honti, so avikkhepo. Rūpagataṃ viya cakkhunā yena yāthāvato visayasabhāvaṃ passati, taṃ dassanakiccaṃ kātuṃ na sakkoti balavatā saddhindriyena adhibhūtattā. Sahajātadhammesu hi indaṭṭhaṃ kārentānaṃ sahapavattamānānaṃ dhammānaṃ ekadesatāvaseneva atthasiddhi, na aññathā. Tasmāti vuttamevatthaṃ kāraṇabhāvena paccāmasati. Tanti saddhindriyaṃ. Dhammasabhāvapaccavekkhaṇenāti yassa saddheyyassa vatthuno uḷāratādiguṇe adhimuccanassa sātisayappavattiyā saddhindriyaṃ balavaṃ jātaṃ, tassa paccayapaccayuppannatādivibhāgato yāthāvato vīmaṃsanena. Evañhi evaṃdhammatānayena yāthāvasarasato pariggayhamāne savipphāro adhimokkho na hoti ‘‘ayaṃ imesaṃ dhammānaṃ sabhāvo’’ti parijānanavasena paññābyāpārassa sātisayattā. Dhuriyadhammesu hi yathā saddhāya balavabhāve paññāya mandabhāvo hoti, evaṃ paññāya balavabhāve saddhāya mandabhāvo hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘taṃ dhammasabhāvapaccavekkhaṇena hāpetabba’’nti.
ตถา อมนสิกาเรนาติ เยนากาเรน ภาวนมนุยุญฺชนฺตสฺส สทฺธินฺทฺริยํ พลวํ ชาตํ, เตนากาเรน ภาวนาย อนนุยุญฺชนโตติ วุตฺตํ โหติฯ อิธ ทุวิเธน สทฺธินฺทฺริยสฺส พลวภาโว อตฺตโน วา ปจฺจยวิเสเสน กิจฺจุตฺตริยโต วีริยาทีนํ วา มนฺทกิจฺจตายฯ ตตฺถ ปฐมวิกเปฺป หาปนวิธิ ทสฺสิโต, ทุติยวิกเปฺป ปน ยถา มนสิกโรโต วีริยาทีนํ มนฺทกิจฺจตาย สทฺธินฺทฺริยํ พลวํ ชาตํ, ตถา อมนสิกาเรน วีริยาทีนํ ปฎุกิจฺจภาวาวเหน มนสิกาเรน สทฺธินฺทฺริยํ เตหิ สมรสํ กโรเนฺตน หาเปตพฺพํฯ อิมินา นเยน เสสินฺทฺริเยสุปิ หาปนวิธิ เวทิตโพฺพฯ
Tathā amanasikārenāti yenākārena bhāvanamanuyuñjantassa saddhindriyaṃ balavaṃ jātaṃ, tenākārena bhāvanāya ananuyuñjanatoti vuttaṃ hoti. Idha duvidhena saddhindriyassa balavabhāvo attano vā paccayavisesena kiccuttariyato vīriyādīnaṃ vā mandakiccatāya. Tattha paṭhamavikappe hāpanavidhi dassito, dutiyavikappe pana yathā manasikaroto vīriyādīnaṃ mandakiccatāya saddhindriyaṃ balavaṃ jātaṃ, tathā amanasikārena vīriyādīnaṃ paṭukiccabhāvāvahena manasikārena saddhindriyaṃ tehi samarasaṃ karontena hāpetabbaṃ. Iminā nayena sesindriyesupi hāpanavidhi veditabbo.
วกฺกลิเตฺถรวตฺถูติ โส หิ อายสฺมา สทฺธาธิมุตฺตตาย กตาธิกาโร สตฺถุ รูปทสฺสนปฺปสุโต เอว หุตฺวา วิหรโนฺต สตฺถารา ‘‘กิํ เต, วกฺกลิ, อิมินา ปูติกาเยน ทิเฎฺฐน, โย โข, วกฺกลิ, ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสตี’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๓.๘๗) นเยน โอวทิตฺวา กมฺมฎฺฐาเน นิโยชิโตปิ ตํ อนนุยุญฺชโนฺต ปณามิโต อตฺตานํ วินิปาเตตุํ ปปาตฎฺฐานํ อภิรุหิฯ อถ นํ สตฺถา ยถานิสิโนฺนว โอภาสวิสฺสชฺชเนน อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา –
Vakkalittheravatthūti so hi āyasmā saddhādhimuttatāya katādhikāro satthu rūpadassanappasuto eva hutvā viharanto satthārā ‘‘kiṃ te, vakkali, iminā pūtikāyena diṭṭhena, yo kho, vakkali, dhammaṃ passati, so maṃ passatī’’tiādinā (saṃ. ni. 3.87) nayena ovaditvā kammaṭṭhāne niyojitopi taṃ ananuyuñjanto paṇāmito attānaṃ vinipātetuṃ papātaṭṭhānaṃ abhiruhi. Atha naṃ satthā yathānisinnova obhāsavissajjanena attānaṃ dassetvā –
‘‘ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุ, ปสโนฺน พุทฺธสาสเน;
‘‘Pāmojjabahulo bhikkhu, pasanno buddhasāsane;
อธิคเจฺฉ ปทํ สนฺตํ, สงฺขารูปสมํ สุข’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๘๑) –
Adhigacche padaṃ santaṃ, saṅkhārūpasamaṃ sukha’’nti. (dha. pa. 381) –
คาถํ วตฺวา ‘‘เอหิ, วกฺกลี’’ติ อาหฯ โส เตเนว อมเตน อภิสิโตฺต หฎฺฐตุโฎฺฐ หุตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปสิ, สทฺธาย ปน พลวภาเวน วิปสฺสนาวีถิํ น โอตริฯ ตํ ญตฺวา ภควา ตสฺส อินฺทฺริยสมตฺตปฺปฎิปาทนาย กมฺมฎฺฐานํ โสเธตฺวา อทาสิฯ โส สตฺถารา ทินฺนนเย ฐตฺวา วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา มคฺคปฺปฎิปาฎิยา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วกฺกลิเตฺถรวตฺถุ เจตฺถ นิทสฺสน’’นฺติฯ เอตฺถาติ สทฺธินฺทฺริยสฺส อธิมตฺตภาเว เสสินฺทฺริยานํ สกิจฺจากรเณฯ อิตรกิจฺจเภทนฺติ อุปฎฺฐานาทิกิจฺจวิเสสํฯ ปสฺสทฺธาทีติ อาทิ-สเทฺทน สมาธิอุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคานํ สงฺคโหฯ หาเปตพฺพนฺติ ยถา สทฺธินฺทฺริยสฺส พลวภาโว ธมฺมสภาวปจฺจเวกฺขเณน หายติ, เอวํ วีริยินฺทฺริยสฺส อธิมตฺตตา ปสฺสทฺธิอาทิภาวนาย หายติ สมาธิปกฺขิยตฺตา ตสฺสาฯ ตถา หิ สมาธินฺทฺริยสฺส อธิมตฺตตํ โกสชฺชปาตโต รกฺขนฺตี วีริยาทิภาวนา วิย วีริยินฺทฺริยสฺส อธิมตฺตตํ อุทฺธจฺจปาตโต รกฺขนฺตี ปสฺสทฺธาทิภาวนา เอกํสโต หาเปติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปสฺสทฺธาทิภาวนาย หาเปตพฺพ’’นฺติฯ
Gāthaṃ vatvā ‘‘ehi, vakkalī’’ti āha. So teneva amatena abhisitto haṭṭhatuṭṭho hutvā vipassanaṃ paṭṭhapesi, saddhāya pana balavabhāvena vipassanāvīthiṃ na otari. Taṃ ñatvā bhagavā tassa indriyasamattappaṭipādanāya kammaṭṭhānaṃ sodhetvā adāsi. So satthārā dinnanaye ṭhatvā vipassanaṃ ussukkāpetvā maggappaṭipāṭiyā arahattaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ – ‘‘vakkalittheravatthu cettha nidassana’’nti. Etthāti saddhindriyassa adhimattabhāve sesindriyānaṃ sakiccākaraṇe. Itarakiccabhedanti upaṭṭhānādikiccavisesaṃ. Passaddhādīti ādi-saddena samādhiupekkhāsambojjhaṅgānaṃ saṅgaho. Hāpetabbanti yathā saddhindriyassa balavabhāvo dhammasabhāvapaccavekkhaṇena hāyati, evaṃ vīriyindriyassa adhimattatā passaddhiādibhāvanāya hāyati samādhipakkhiyattā tassā. Tathā hi samādhindriyassa adhimattataṃ kosajjapātato rakkhantī vīriyādibhāvanā viya vīriyindriyassa adhimattataṃ uddhaccapātato rakkhantī passaddhādibhāvanā ekaṃsato hāpeti. Tena vuttaṃ – ‘‘passaddhādibhāvanāya hāpetabba’’nti.
โสณเตฺถรสฺส วตฺถูติ สุขุมาลโสณเตฺถรสฺส วตฺถุฯ โส หิ อายสฺมา สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา สีตวเน วิหรโนฺต ‘‘มม สรีรํ สุขุมาลํ, น จ สกฺกา สุเขเนว สุขํ อธิคนฺตุํ, กิลเมตฺวาปิ สมณธโมฺม กาตโพฺพ’’ติ ฐานจงฺกมเมว อธิฎฺฐาย ปธานมนุยุญฺชโนฺต ปาทตเลสุ โผเฎสุ อุฎฺฐิเตสุปิ เวทนํ อชฺฌุเปกฺขิตฺวา ทฬฺหวีริยํ กโรโนฺต อจฺจารทฺธวีริยตาย วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิฯ สตฺถา ตตฺถ คนฺตฺวา วีณูปโมวาเทน โอวทิตฺวา วีริยสมตาโยชนวิธิํ ทเสฺสโนฺต กมฺมฎฺฐานํ วิโสเธตฺวา คิชฺฌกูฎํ คโตฯ เถโรปิ สตฺถารา ทินฺนนเยน วีริยสมตํ โยเชตฺวา ภาเวโนฺต วิปสฺสนมฺปิ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘โสณเตฺถรสฺส วตฺถุ ทเสฺสตพฺพ’’นฺติฯ เสเสสุปีติ สติสมาธิปญฺญินฺทฺริเยสุปิฯ
Soṇattherassa vatthūti sukhumālasoṇattherassa vatthu. So hi āyasmā satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā sītavane viharanto ‘‘mama sarīraṃ sukhumālaṃ, na ca sakkā sukheneva sukhaṃ adhigantuṃ, kilametvāpi samaṇadhammo kātabbo’’ti ṭhānacaṅkamameva adhiṭṭhāya padhānamanuyuñjanto pādatalesu phoṭesu uṭṭhitesupi vedanaṃ ajjhupekkhitvā daḷhavīriyaṃ karonto accāraddhavīriyatāya visesaṃ nibbattetuṃ nāsakkhi. Satthā tattha gantvā vīṇūpamovādena ovaditvā vīriyasamatāyojanavidhiṃ dassento kammaṭṭhānaṃ visodhetvā gijjhakūṭaṃ gato. Theropi satthārā dinnanayena vīriyasamataṃ yojetvā bhāvento vipassanampi ussukkāpetvā arahatte patiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘soṇattherassa vatthu dassetabba’’nti. Sesesupīti satisamādhipaññindriyesupi.
สมตนฺติ สทฺธาปญฺญานํ อญฺญมญฺญํ อนูนาธิกภาวํ, ตถา สมาธิวีริยานํฯ ยถา หิ สทฺธาปญฺญานํ วิสุํ ธุริยธมฺมภูตานํ กิจฺจโต อญฺญมญฺญานติวตฺตนํ วิเสสโต อิจฺฉิตพฺพํ, ยโต เนสํ สมธุรตาย อปฺปนา สมฺปชฺชติ, เอวํ สมาธิวีริยานํ โกสชฺชุทฺธจฺจปกฺขิกานํ สมรสตาย สติ อญฺญมญฺญูปตฺถมฺภนโต สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อนฺตทฺวยปาตาภาเวน สมฺมเทว อปฺปนา อิชฺฌติฯ พลวสโทฺธติอาทิ พฺยติเรกมุเขน วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส สมตฺถนํฯ ตสฺสโตฺถ – โย พลวติยา สทฺธาย สมนฺนาคโต อวิสทญาโณ, โส มุธปฺปสโนฺน โหติ, น อเวจฺจปฺปสโนฺนฯ ตถา หิ อวตฺถุสฺมิํ ปสีทติ เสยฺยถาปิ ติตฺถิยสาวกาฯ เกราฎิกปกฺขนฺติ สาเฐยฺยปกฺขํ ภชติฯ สทฺธาหีนาย ปญฺญาย อติธาวโนฺต ‘‘เทยฺยวตฺถุปริจฺจาเคน วินา จิตฺตุปฺปาทมเตฺตนปิ ทานมยํ ปุญฺญํ โหตี’’ติอาทีนิ ปริกเปฺปติ เหตุปฺปฎิรูปเกหิ วญฺจิโต, เอวํภูโต สุกฺขตกฺกวิลุตฺตจิโตฺต ปณฺฑิตานํ วจนํ นาทิยติ, สญฺญตฺติํ น คจฺฉติฯ เตนาห – ‘‘เภสชฺชสมุฎฺฐิโต วิย โรโค อเตกิโจฺฉ โหตี’’ติฯ ยถา เจตฺถ สทฺธาปญฺญานํ อญฺญมญฺญํ สมภาโว อตฺถาวโห, อนตฺถาวโห วิสมภาโว, เอวํ สมาธิวีริยานํ อญฺญมญฺญํ อวิเกฺขปาวโห สมภาโว, อิตโร วิเกฺขปาวโห จาติ โกสชฺชํ อภิภวติ, เตน อปฺปนํ น ปาปุณาตีติ อธิปฺปาโยฯ อุทฺธจฺจํ อภิภวตีติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ตํ อุภยนฺติ สทฺธาปญฺญาทฺวยํ สมาธิวีริยทฺวยญฺจฯ สมํ กตฺตพฺพนฺติ สมรสํ กาตพฺพํฯ
Samatanti saddhāpaññānaṃ aññamaññaṃ anūnādhikabhāvaṃ, tathā samādhivīriyānaṃ. Yathā hi saddhāpaññānaṃ visuṃ dhuriyadhammabhūtānaṃ kiccato aññamaññānativattanaṃ visesato icchitabbaṃ, yato nesaṃ samadhuratāya appanā sampajjati, evaṃ samādhivīriyānaṃ kosajjuddhaccapakkhikānaṃ samarasatāya sati aññamaññūpatthambhanato sampayuttadhammānaṃ antadvayapātābhāvena sammadeva appanā ijjhati. Balavasaddhotiādi byatirekamukhena vuttassevatthassa samatthanaṃ. Tassattho – yo balavatiyā saddhāya samannāgato avisadañāṇo, so mudhappasanno hoti, na aveccappasanno. Tathā hi avatthusmiṃ pasīdati seyyathāpi titthiyasāvakā. Kerāṭikapakkhanti sāṭheyyapakkhaṃ bhajati. Saddhāhīnāya paññāya atidhāvanto ‘‘deyyavatthupariccāgena vinā cittuppādamattenapi dānamayaṃ puññaṃ hotī’’tiādīni parikappeti hetuppaṭirūpakehi vañcito, evaṃbhūto sukkhatakkaviluttacitto paṇḍitānaṃ vacanaṃ nādiyati, saññattiṃ na gacchati. Tenāha – ‘‘bhesajjasamuṭṭhito viya rogo atekiccho hotī’’ti. Yathā cettha saddhāpaññānaṃ aññamaññaṃ samabhāvo atthāvaho, anatthāvaho visamabhāvo, evaṃ samādhivīriyānaṃ aññamaññaṃ avikkhepāvaho samabhāvo, itaro vikkhepāvaho cāti kosajjaṃ abhibhavati, tena appanaṃ na pāpuṇātīti adhippāyo. Uddhaccaṃ abhibhavatīti etthāpi eseva nayo. Taṃ ubhayanti saddhāpaññādvayaṃ samādhivīriyadvayañca. Samaṃ kattabbanti samarasaṃ kātabbaṃ.
สมาธิกมฺมิกสฺสาติ สมถกมฺมฎฺฐานิกสฺสฯ เอวนฺติ เอวํ สเนฺต, สทฺธาย โถกํ พลวภาเว สตีติ อโตฺถฯ สทฺทหโนฺตติ ‘‘ปถวี ปถวีติ มนสิกรณมเตฺตน กถํ ฌานุปฺปตฺตี’’ติ อจิเนฺตตฺวา ‘‘อทฺธา สมฺมาสมฺพุเทฺธน วุตฺตวิธิ อิชฺฌิสฺสตี’’ติ สทฺทหโนฺต สทฺธํ ชเนโนฺตฯ โอกเปฺปโนฺตติ อารมฺมณํ อนุปฺปวิสิตฺวา วิย อธิมุจฺจนวเสน อวกเปฺปโนฺต ปกฺขนฺทโนฺตฯ เอกคฺคตา พลวตี วฎฺฎติ สมาธิปฺปธานตฺตา ฌานสฺสฯ อุภินฺนนฺติ สมาธิปญฺญานํฯ สมาธิกมฺมิกสฺส สมาธิโน อธิมตฺตตา วิย ปญฺญาย อธิมตฺตตาปิ อิจฺฉิตพฺพาติ อาห – ‘‘สมตายปี’’ติ, สมภาเวนปีติ อโตฺถฯ อปฺปนาติ โลกิยอปฺปนาฯ ตถา หิ ‘‘โหติเยวา’’ติ สาสงฺกํ วทติฯ โลกุตฺตรปฺปนา ปน เตสํ สมภาเวเนว อิจฺฉิตาฯ ยถาห – ‘‘สมถวิปสฺสนํ ยุคนทฺธํ ภาเวตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๗๐; ปฎิ. ม. ๒.๕)ฯ
Samādhikammikassāti samathakammaṭṭhānikassa. Evanti evaṃ sante, saddhāya thokaṃ balavabhāve satīti attho. Saddahantoti ‘‘pathavī pathavīti manasikaraṇamattena kathaṃ jhānuppattī’’ti acintetvā ‘‘addhā sammāsambuddhena vuttavidhi ijjhissatī’’ti saddahanto saddhaṃ janento. Okappentoti ārammaṇaṃ anuppavisitvā viya adhimuccanavasena avakappento pakkhandanto. Ekaggatā balavatī vaṭṭati samādhippadhānattā jhānassa. Ubhinnanti samādhipaññānaṃ. Samādhikammikassa samādhino adhimattatā viya paññāya adhimattatāpi icchitabbāti āha – ‘‘samatāyapī’’ti, samabhāvenapīti attho. Appanāti lokiyaappanā. Tathā hi ‘‘hotiyevā’’ti sāsaṅkaṃ vadati. Lokuttarappanā pana tesaṃ samabhāveneva icchitā. Yathāha – ‘‘samathavipassanaṃ yuganaddhaṃ bhāvetī’’ti (a. ni. 4.170; paṭi. ma. 2.5).
ยทิ วิเสสโต สทฺธาปญฺญานํ สมาธิวีริยานญฺจ สมตาว อิจฺฉิตา, กถํ สตีติ อาห – ‘‘สติ ปน สพฺพตฺถ พลวตี วฎฺฎตี’’ติฯ สพฺพตฺถาติ ลีนุทฺธจฺจปกฺขิเกสุ ปญฺจสุ อินฺทฺริเยสุฯ อุทฺธจฺจปกฺขิเก คณฺหโนฺต ‘‘สทฺธาวีริยปญฺญาน’’นฺติ อาหฯ อญฺญถาปีติ จ คเหตพฺพา สิยาฯ ตถา หิ โกสชฺชปกฺขิเกน จ สมาธินาอิเจฺจว วุตฺตํ, น ‘‘ปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาหี’’ติฯ สาติ สติฯ สเพฺพสุ ราชกเมฺมสุ นิยุโตฺต สพฺพกมฺมิโกฯ เตนาติ เตน สพฺพตฺถ อิจฺฉิตพฺพเตฺถน การเณนฯ อาห อฎฺฐกถายํฯ สพฺพตฺถ นิยุตฺตา สพฺพตฺถิกา สพฺพตฺถ ลีเน อุทฺธเต จ จิเตฺต อิจฺฉิตพฺพตฺตา, สเพฺพน วา ลีนุทฺธจฺจปกฺขิเยน โพชฺฌงฺคคเณน อเตฺถตพฺพาติ สพฺพตฺถา, สาว สพฺพตฺถิกาฯ จิตฺตนฺติ กุสลจิตฺตํฯ ตสฺส หิ สติปฎิสรณํ ปรายณํ อปฺปตฺตสฺส ปตฺติยา อนธิคตสฺส อธิคมายฯ เตนาห – ‘‘อารกฺขปจฺจุปฎฺฐานา’’ติอาทิฯ
Yadi visesato saddhāpaññānaṃ samādhivīriyānañca samatāva icchitā, kathaṃ satīti āha – ‘‘sati pana sabbattha balavatī vaṭṭatī’’ti. Sabbatthāti līnuddhaccapakkhikesu pañcasu indriyesu. Uddhaccapakkhike gaṇhanto ‘‘saddhāvīriyapaññāna’’nti āha. Aññathāpīti ca gahetabbā siyā. Tathā hi kosajjapakkhikena ca samādhināicceva vuttaṃ, na ‘‘passaddhisamādhiupekkhāhī’’ti. Sāti sati. Sabbesu rājakammesu niyutto sabbakammiko. Tenāti tena sabbattha icchitabbatthena kāraṇena. Āha aṭṭhakathāyaṃ. Sabbattha niyuttā sabbatthikā sabbattha līne uddhate ca citte icchitabbattā, sabbena vā līnuddhaccapakkhiyena bojjhaṅgagaṇena atthetabbāti sabbatthā, sāva sabbatthikā. Cittanti kusalacittaṃ. Tassa hi satipaṭisaraṇaṃ parāyaṇaṃ appattassa pattiyā anadhigatassa adhigamāya. Tenāha – ‘‘ārakkhapaccupaṭṭhānā’’tiādi.
ขนฺธาทิเภเทสุ อโนคาฬฺหปญฺญานนฺติ ปริยตฺติพาหุสจฺจวเสนปิ ขนฺธายตนาทีสุ อปฺปติฎฺฐิตพุทฺธีนํฯ พหุสฺสุตเสวนา หิ สุตมยญาณาวหาฯ ตรุณวิปสฺสนาสมงฺคีปิ ภาวนามยญาเณ ฐิตตฺตา เอกํสโต ปญฺญวา เอว นาม โหตีติ อาห – ‘‘สมปญฺญาส…เป.… ปุคฺคลเสวนา’’ติฯ เญยฺยธมฺมสฺส คมฺภีรภาววเสน ตปฺปริเจฺฉทกญาณสฺส คมฺภีรภาวคฺคหณนฺติ อาห – ‘‘คมฺภีเรสุ ขนฺธาทีสุ ปวตฺตาย คมฺภีรปญฺญายา’’ติฯ ตญฺหิ เญยฺยํ ตาทิสาย ปญฺญาย จริตพฺพโต คมฺภีรญาณจริยํฯ ตสฺสา วา ปญฺญาย ตตฺถ ปเภทโต ปวตฺติ คมฺภีรญาณจริยา, ตสฺสา ปจฺจเวกฺขณาติ อาห – ‘‘คมฺภีรปญฺญาย ปเภทปจฺจเวกฺขณา’’ติฯ
Khandhādibhedesu anogāḷhapaññānanti pariyattibāhusaccavasenapi khandhāyatanādīsu appatiṭṭhitabuddhīnaṃ. Bahussutasevanā hi sutamayañāṇāvahā. Taruṇavipassanāsamaṅgīpi bhāvanāmayañāṇe ṭhitattā ekaṃsato paññavā eva nāma hotīti āha – ‘‘samapaññāsa…pe… puggalasevanā’’ti. Ñeyyadhammassa gambhīrabhāvavasena tapparicchedakañāṇassa gambhīrabhāvaggahaṇanti āha – ‘‘gambhīresu khandhādīsu pavattāya gambhīrapaññāyā’’ti. Tañhi ñeyyaṃ tādisāya paññāya caritabbato gambhīrañāṇacariyaṃ. Tassā vā paññāya tattha pabhedato pavatti gambhīrañāṇacariyā, tassā paccavekkhaṇāti āha – ‘‘gambhīrapaññāya pabhedapaccavekkhaṇā’’ti.
ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมการณํ นิรเย นิพฺพตฺตสตฺตสฺส เยภุเยฺยน สพฺพปฐมํ กโรนฺตีติ เทวทูตสุตฺตาทีสุ อาทิโต วุตฺตตฺตา จ อาห – ‘‘ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมการณโต ปฎฺฐายา’’ติฯ สกฎวหนาทิกาเลติ อาทิ-สเทฺทน ตทญฺญํ มนุเสฺสหิ ติรจฺฉาเนหิ จ วิพาธิตพฺพกาลํ สงฺคณฺหาติฯ เอกํ พุทฺธนฺตรนฺติ อิทํ อปราปเรสุ เปเตสุเยว อุปฺปชฺชนกสตฺตวเสน วุตฺตํ, เอกจฺจานํ วา เปตานํ เอกจฺจติรจฺฉานานํ วิย ทีฆายุกตา สิยาติ ตถา วุตฺตํฯ ตถา หิ กาโฬ นาคราชา จตุนฺนํ พุทฺธานํ สมฺมุขีภาวํ ลภิตฺวา ฐิโตปิ เมเตฺตยฺยสฺสปิ ภควโต สมฺมุขีภาวํ ลภิสฺสตีติ วทนฺติ, ยตสฺส กปฺปายุกตา วุตฺตาฯ
Pañcavidhabandhanakammakāraṇaṃ niraye nibbattasattassa yebhuyyena sabbapaṭhamaṃ karontīti devadūtasuttādīsu ādito vuttattā ca āha – ‘‘pañcavidhabandhanakammakāraṇato paṭṭhāyā’’ti. Sakaṭavahanādikāleti ādi-saddena tadaññaṃ manussehi tiracchānehi ca vibādhitabbakālaṃ saṅgaṇhāti. Ekaṃ buddhantaranti idaṃ aparāparesu petesuyeva uppajjanakasattavasena vuttaṃ, ekaccānaṃ vā petānaṃ ekaccatiracchānānaṃ viya dīghāyukatā siyāti tathā vuttaṃ. Tathā hi kāḷo nāgarājā catunnaṃ buddhānaṃ sammukhībhāvaṃ labhitvā ṭhitopi metteyyassapi bhagavato sammukhībhāvaṃ labhissatīti vadanti, yatassa kappāyukatā vuttā.
เอวํ อานิสํสทสฺสาวิโนติ วีริยายโตฺต เอว สโพฺพ โลกิโย โลกุตฺตโร จ วิเสสาธิคโมติ เอวํ วีริเย อานิสํสทสฺสนสีลสฺสฯ คมนวีถินฺติ สปุพฺพภาคํ นิพฺพานคามินิปฎิปทํ , สห วิปสฺสนาย อริยมคฺคปฺปฎิปาฎิ, สตฺตวิสุทฺธิปรมฺปรา วาฯ สา หิ ‘‘ภิกฺขุโน วฎฺฎนิยฺยานาย คนฺตพฺพา ปฎิปชฺชิตพฺพา ปฎิปทา’’ติ กตฺวา คมนวีถิ นามฯ
Evaṃ ānisaṃsadassāvinoti vīriyāyatto eva sabbo lokiyo lokuttaro ca visesādhigamoti evaṃ vīriye ānisaṃsadassanasīlassa. Gamanavīthinti sapubbabhāgaṃ nibbānagāminipaṭipadaṃ , saha vipassanāya ariyamaggappaṭipāṭi, sattavisuddhiparamparā vā. Sā hi ‘‘bhikkhuno vaṭṭaniyyānāya gantabbā paṭipajjitabbā paṭipadā’’ti katvā gamanavīthi nāma.
กายทฬฺหีพหุโลติ ยถา ตถา กายสฺส ทฬฺหีกมฺมปฺปสุโตฯ ปิณฺฑปาตนฺติ รฎฺฐปิณฺฑํฯ ปจฺจยทายกานํ อตฺตนิ การสฺส อตฺตโน สมฺมาปฎิปตฺติยา มหปฺผลภาวสฺส กรเณน ปิณฺฑสฺส ภิกฺขาย ปฎิปูชนา ปิณฺฑปาตาปจายนํฯ
Kāyadaḷhībahuloti yathā tathā kāyassa daḷhīkammappasuto. Piṇḍapātanti raṭṭhapiṇḍaṃ. Paccayadāyakānaṃ attani kārassa attano sammāpaṭipattiyā mahapphalabhāvassa karaṇena piṇḍassa bhikkhāya paṭipūjanā piṇḍapātāpacāyanaṃ.
นีหรโนฺตติ ปตฺตตฺถวิกโต นีหรโนฺตฯ ตํ สทฺทํ สุตฺวาติ ตํ อุปาสิกาย วจนํ ปณฺณสาลาทฺวาเร ฐิโตว ปญฺจาภิญฺญตาย ทิพฺพโสเตน สุตฺวาฯ มนุสฺสสมฺปตฺติ, ทิพฺพสมฺปตฺติ, นิพฺพานสมฺปตฺตีติ อิมา ติโสฺส สมฺปตฺติโยฯ ทาตุํ สกฺขิสฺสสีติ ตยิ กเตน ทานมเยน เวยฺยาวจฺจมเยน จ ปุญฺญกเมฺมน เขตฺตวิเสสภาวูปคมเนน อปราปรํ เทวมนุสฺสานํ สมฺปตฺติโย อเนฺต นิพฺพานสมฺปตฺติญฺจ ทาตุํ สกฺขิสฺสสีติ เถโร อตฺตานํ ปุจฺฉติฯ สิตํ กโรโนฺตติ ‘‘อกิเจฺฉเนว มยา วฎฺฎทุกฺขํ สมติกฺกนฺต’’นฺติ ปจฺจเวกฺขณาวสาเน สญฺชาตปาโมชฺชวเสน สิตํ กโรโนฺตฯ
Nīharantoti pattatthavikato nīharanto. Taṃ saddaṃ sutvāti taṃ upāsikāya vacanaṃ paṇṇasālādvāre ṭhitova pañcābhiññatāya dibbasotena sutvā. Manussasampatti, dibbasampatti, nibbānasampattīti imā tisso sampattiyo. Dātuṃ sakkhissasīti tayi katena dānamayena veyyāvaccamayena ca puññakammena khettavisesabhāvūpagamanena aparāparaṃ devamanussānaṃ sampattiyo ante nibbānasampattiñca dātuṃ sakkhissasīti thero attānaṃ pucchati. Sitaṃ karontoti ‘‘akiccheneva mayā vaṭṭadukkhaṃ samatikkanta’’nti paccavekkhaṇāvasāne sañjātapāmojjavasena sitaṃ karonto.
นิปฺปริสฺสยกาโลติ นิรุปทฺทวกาโล, ตทา ภิกฺขุสงฺฆสฺส สุลภา ปจฺจยา โหนฺตีติ ปจฺจยเหตุกา จิตฺตปีฬา นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ ปสฺสนฺตานํเยวาติ อนาทเร สามิวจนํฯ ขีรเธนุนฺติ ขีรทายิกํ เธนุํ ฯ กิญฺจิเทว กตฺวาติ กิญฺจิเทว ภติกมฺมํ กตฺวาฯ อุจฺฉุยนฺตกมฺมนฺติ อุจฺฉุยนฺตสาลาย กาตพฺพํ กิจฺจํฯ ตเมว มคฺคนฺติ อุปาสเกน ปฎิปนฺนมคฺคํฯ อุปกฎฺฐายาติ อาสนฺนายฯ วิปฺปฎิปนฺนนฺติ ชาติธมฺมกุลธมฺมาทิลงฺฆเนน อสมฺมาปฎิปนฺนํฯ เอวนฺติ ยถา อสมฺมาปฎิปโนฺน ปุโตฺต ตาย เอว อสมฺมาปฎิปตฺติยา กุลสนฺตานโต พาหิโร หุตฺวา ปิตุ สนฺติกา ทายชฺชสฺส น ภาคี, เอวํ กุสีโตปิ เตเนว กุสีตภาเวน น สมฺมาปฎิปโนฺน สตฺถุ สนฺติกา ลทฺธพฺพอริยธนทายชฺชสฺส น ภาคีฯ อารทฺธวีริโยว ลภติ สมฺมาปฎิปชฺชนโตฯ อุปฺปชฺชติ วีริยสโมฺพชฺฌโงฺคติ โยชนา, เอวํ สพฺพตฺถฯ
Nipparissayakāloti nirupaddavakālo, tadā bhikkhusaṅghassa sulabhā paccayā hontīti paccayahetukā cittapīḷā natthīti adhippāyo. Passantānaṃyevāti anādare sāmivacanaṃ. Khīradhenunti khīradāyikaṃ dhenuṃ . Kiñcideva katvāti kiñcideva bhatikammaṃ katvā. Ucchuyantakammanti ucchuyantasālāya kātabbaṃ kiccaṃ. Tameva magganti upāsakena paṭipannamaggaṃ. Upakaṭṭhāyāti āsannāya. Vippaṭipannanti jātidhammakuladhammādilaṅghanena asammāpaṭipannaṃ. Evanti yathā asammāpaṭipanno putto tāya eva asammāpaṭipattiyā kulasantānato bāhiro hutvā pitu santikā dāyajjassa na bhāgī, evaṃ kusītopi teneva kusītabhāvena na sammāpaṭipanno satthu santikā laddhabbaariyadhanadāyajjassa na bhāgī. Āraddhavīriyova labhati sammāpaṭipajjanato. Uppajjati vīriyasambojjhaṅgoti yojanā, evaṃ sabbattha.
มหาติ สีลาทิคุเณหิ มหโนฺต วิปุโล อนญฺญสาธารโณฯ ตํ ปนสฺส คุณมหตฺตํ ทสสหสฺสิโลกธาตุกมฺปเนน โลเก ปากฎนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สตฺถุโน หี’’ติอาทิมาหฯ
Mahāti sīlādiguṇehi mahanto vipulo anaññasādhāraṇo. Taṃ panassa guṇamahattaṃ dasasahassilokadhātukampanena loke pākaṭanti dassento ‘‘satthuno hī’’tiādimāha.
ยสฺมา สตฺถุสาสเน ปพฺพชิตสฺส ปพฺพชฺชูปคมเนน สกฺยปุตฺติยภาโว สญฺชายติ, ตสฺมา พุทฺธปุตฺตภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อสมฺภินฺนายา’’ติอาทิมาหฯ
Yasmā satthusāsane pabbajitassa pabbajjūpagamanena sakyaputtiyabhāvo sañjāyati, tasmā buddhaputtabhāvaṃ dassento ‘‘asambhinnāyā’’tiādimāha.
อลสานํ ภาวนาย นามมตฺตมฺปิ อชานนฺตานํ กายทฬฺหีพหุลานํ ยาวทตฺถํ ภุญฺชิตฺวา เสยฺยสุขาทิอนุยุญฺชนกานํ ติรจฺฉานคติกานํ ปุคฺคลานํ ทูรโต วชฺชนา กุสีตปุคฺคลปริวชฺชนาติ อาห – ‘‘กุจฺฉิํ ปูเรตฺวา ฐิตอชครสทิเส’’ติอาทิฯ ‘‘ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธสฺสามา’’ติอาทินา ภาวนารมฺภวเสน อารทฺธวีริยานํ ทฬฺหปรกฺกมานํ กาเลน กาลํ อุปสงฺกมนา อารทฺธวีริยปุคฺคลเสวนาติ อาห – ‘‘อารทฺธวีริเย’’ติอาทิฯ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๖๔-๖๕) ปน ชาติมหตฺตปจฺจเวกฺขณา สพฺรหฺมจาริมหตฺตปจฺจเวกฺขณาติ อิทํ ทฺวยํ น คหิตํ, ถินมิทฺธวิโนทนตา สมฺมปฺปธานปจฺจเวกฺขณตาติ อิทํ ทฺวยํ คหิตํฯ ตตฺถ อานิสํสทสฺสาวิตาย เอว สมฺมปฺปธานปจฺจเวกฺขณา คหิตา โหติ โลกิยโลกุตฺตรวิเสสาธิคมสฺส วีริยายตฺตตาทสฺสนภาวโต, ถินมิทฺธวิโนทนํ ปน ตทธิมุตฺตตาย เอว คหิตํ โหติฯ วีริยุปฺปาทเน ยุตฺตปฺปยุตฺตสฺส ถินมิทฺธวิโนทนํ อตฺถสิทฺธเมวาติฯ ตตฺถ ถินมิทฺธวิโนทนกุสีตปุคฺคลปริวชฺชนอารทฺธวีริยปุคฺคลเสวนตทธิ- มุตฺตตาปฎิปกฺขวิธมนปจฺจยูปสํหารวเสน อปายภยปจฺจเวกฺขณาทโย สมุเตฺตชนวเสน วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทกา ทฎฺฐพฺพาฯ
Alasānaṃ bhāvanāya nāmamattampi ajānantānaṃ kāyadaḷhībahulānaṃ yāvadatthaṃ bhuñjitvā seyyasukhādianuyuñjanakānaṃ tiracchānagatikānaṃ puggalānaṃ dūrato vajjanā kusītapuggalaparivajjanāti āha – ‘‘kucchiṃ pūretvā ṭhitaajagarasadise’’tiādi. ‘‘Divasaṃ caṅkamena nisajjāya āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhessāmā’’tiādinā bhāvanārambhavasena āraddhavīriyānaṃ daḷhaparakkamānaṃ kālena kālaṃ upasaṅkamanā āraddhavīriyapuggalasevanāti āha – ‘‘āraddhavīriye’’tiādi. Visuddhimagge (visuddhi. 1.64-65) pana jātimahattapaccavekkhaṇā sabrahmacārimahattapaccavekkhaṇāti idaṃ dvayaṃ na gahitaṃ, thinamiddhavinodanatā sammappadhānapaccavekkhaṇatāti idaṃ dvayaṃ gahitaṃ. Tattha ānisaṃsadassāvitāya eva sammappadhānapaccavekkhaṇā gahitā hoti lokiyalokuttaravisesādhigamassa vīriyāyattatādassanabhāvato, thinamiddhavinodanaṃ pana tadadhimuttatāya eva gahitaṃ hoti. Vīriyuppādane yuttappayuttassa thinamiddhavinodanaṃ atthasiddhamevāti. Tattha thinamiddhavinodanakusītapuggalaparivajjanaāraddhavīriyapuggalasevanatadadhi- muttatāpaṭipakkhavidhamanapaccayūpasaṃhāravasena apāyabhayapaccavekkhaṇādayo samuttejanavasena vīriyasambojjhaṅgassa uppādakā daṭṭhabbā.
พุทฺธานุสฺสติยา อุปจารสมาธินิฎฺฐตฺตา วุตฺตํ – ‘‘ยาว อุปจารา’’ติฯ สกลสรีรํ ผรมาโนติ ปีติสมุฎฺฐาเนหิ ปณีตรูเปหิ สกลสรีรํ ผรมาโน, ธมฺมสงฺฆคุเณ อนุสฺสรนฺตสฺสปิ ยาว อุปจารา สกลสรีรํ ผรมาโน ปีติสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชตีติ เอวํ เสสอนุสฺสตีสุ, ปสาทนียสุตฺตนฺตปจฺจเวกฺขณาย จ โยเชตพฺพํ ตสฺสาปิ วิมุตฺตายตนภาเวน ตคฺคติกตฺตาฯ เอวรูเป กาเลติ ‘‘ทุพฺภิกฺขภยาทีสู’’ติ วุตฺตกาเลฯ สมาปตฺติ…เป.… น สมุทาจรนฺตีติ อิทํ อุปสมานุสฺสติยา วเสน วุตฺตํฯ สงฺขารานญฺหิ วเสน สปฺปเทสวูปสเมปิ นิปฺปเทสวูปสเม วิย ตถา สญฺญาย ปวตฺติโต ภาวนามนสิกาโร กิเลสวิกฺขมฺภนสมโตฺถ หุตฺวา อุปจารสมาธิํ อาวหโนฺต ตถารูปปีติโสมนสฺสสมนฺนาคโต ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปาทาย โหตีติฯ ตตฺถ ‘‘วิกฺขมฺภิตา กิเลสา’’ติ ปาโฐฯ น สมุทาจรนฺตีติ อิติ-สโทฺท การณโตฺถฯ ยสฺมา น สมุทาจรนฺติ, ตสฺมา ตํ เนสํ อสมุทาจารํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาติ โยชนาฯ น หิ กิเลเส ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส โพชฺฌงฺคุปฺปตฺติ ยุตฺตา, ปสาทนีเยสุ ฐาเนสุ ปสาทสิเนหาภาเวน ลูขหทยตาย ลูขตาฯ สา ตตฺถ อาทรคารวากรเณน วิญฺญายตีติ อาห – ‘‘อสกฺกจฺจกิริยาย สํสูจิตลูขภาเว’’ติฯ
Buddhānussatiyā upacārasamādhiniṭṭhattā vuttaṃ – ‘‘yāva upacārā’’ti. Sakalasarīraṃ pharamānoti pītisamuṭṭhānehi paṇītarūpehi sakalasarīraṃ pharamāno, dhammasaṅghaguṇe anussarantassapi yāva upacārā sakalasarīraṃ pharamāno pītisambojjhaṅgo uppajjatīti evaṃ sesaanussatīsu, pasādanīyasuttantapaccavekkhaṇāya ca yojetabbaṃ tassāpi vimuttāyatanabhāvena taggatikattā. Evarūpe kāleti ‘‘dubbhikkhabhayādīsū’’ti vuttakāle. Samāpatti…pe… na samudācarantīti idaṃ upasamānussatiyā vasena vuttaṃ. Saṅkhārānañhi vasena sappadesavūpasamepi nippadesavūpasame viya tathā saññāya pavattito bhāvanāmanasikāro kilesavikkhambhanasamattho hutvā upacārasamādhiṃ āvahanto tathārūpapītisomanassasamannāgato pītisambojjhaṅgassa upādāya hotīti. Tattha ‘‘vikkhambhitā kilesā’’ti pāṭho. Na samudācarantīti iti-saddo kāraṇattho. Yasmā na samudācaranti, tasmā taṃ nesaṃ asamudācāraṃ paccavekkhantassāti yojanā. Na hi kilese paccavekkhantassa bojjhaṅguppatti yuttā, pasādanīyesu ṭhānesu pasādasinehābhāvena lūkhahadayatāya lūkhatā. Sā tattha ādaragāravākaraṇena viññāyatīti āha – ‘‘asakkaccakiriyāya saṃsūcitalūkhabhāve’’ti.
ปณีตโภชนเสวนตาติ ปณีตสปฺปายโภชนเสวนตาฯ อุตุอิริยาปถสุขคฺคหเณน สปฺปายอุตุอิริยาปถคฺคหณํ ทฎฺฐพฺพํฯ ตญฺหิ ติวิธมฺปิ สปฺปายํ เสวิยมานํ กายสฺส กลฺยตาปาทนวเสน จิตฺตสฺส กลฺยตํ อาวหนฺตํ ทุวิธายปิ ปสฺสทฺธิยา การณํ โหติฯ อเหตุกสเตฺตสุ ลพฺภมานํ สุขทุกฺขนฺติ อยเมโก อโนฺต, อิสฺสราทิวิสมเหตุกนฺติ ปน อยํ ทุติโยฯ เอเต อุโภ อเนฺต อนุปคมฺม ยถาสกํ กมฺมุนา โหตีติ อยํ มชฺฌิมา ปฎิปตฺติฯ มชฺฌโตฺต ปโยโค ยสฺส โส มชฺฌตฺตปโยโค, ตสฺส ภาโว มชฺฌตฺตปโยคตาฯ อยญฺหิ สภาวาสารทฺธตาย ตํปสฺสทฺธกายตาย การณํ โหติ, ปสฺสทฺธิทฺวยํ อาวหติฯ เอเตเนว สารทฺธกายปุคฺคลปริวชฺชนปสฺสทฺธกายปุคฺคลเสวนานํ ตทาวหนตา สํวณฺณิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Paṇītabhojanasevanatāti paṇītasappāyabhojanasevanatā. Utuiriyāpathasukhaggahaṇena sappāyautuiriyāpathaggahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Tañhi tividhampi sappāyaṃ seviyamānaṃ kāyassa kalyatāpādanavasena cittassa kalyataṃ āvahantaṃ duvidhāyapi passaddhiyā kāraṇaṃ hoti. Ahetukasattesu labbhamānaṃ sukhadukkhanti ayameko anto, issarādivisamahetukanti pana ayaṃ dutiyo. Ete ubho ante anupagamma yathāsakaṃ kammunā hotīti ayaṃ majjhimā paṭipatti. Majjhatto payogo yassa so majjhattapayogo, tassa bhāvo majjhattapayogatā. Ayañhi sabhāvāsāraddhatāya taṃpassaddhakāyatāya kāraṇaṃ hoti, passaddhidvayaṃ āvahati. Eteneva sāraddhakāyapuggalaparivajjanapassaddhakāyapuggalasevanānaṃ tadāvahanatā saṃvaṇṇitāti daṭṭhabbaṃ.
วตฺถุวิสทกิริยา อินฺทฺริยสมตฺตปฺปฎิปาทนา จ ปญฺญาวหา วุตฺตา, สมาธานาวหาปิ ตา โหนฺติฯ สมาธานาวหภาเวเนว ปญฺญาวหภาวโตติ วุตฺตํ – ‘‘วตฺถุวิสทกิริยา…เป.… เวทิตพฺพา’’ติฯ
Vatthuvisadakiriyā indriyasamattappaṭipādanā ca paññāvahā vuttā, samādhānāvahāpi tā honti. Samādhānāvahabhāveneva paññāvahabhāvatoti vuttaṃ – ‘‘vatthuvisadakiriyā…pe… veditabbā’’ti.
การณโกสลฺลภาวนาโกสลฺลานํ นานนฺตริยภาวโต รกฺขนาโกสลฺลสฺส จ ตํมูลกตฺตา ‘‘นิมิตฺตกุสลตา นาม กสิณนิมิตฺตสฺส อุคฺคหกุสลตา’’อิเจฺจว วุตฺตํฯ กสิณนิมิตฺตสฺสาติ จ นิทสฺสนมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ อสุภนิมิตฺตาทิกสฺสปิ หิ ยสฺส กสฺสจิ ฌานุปฺปตฺตินิมิตฺตสฺส อุคฺคหโกสลฺลํ นิมิตฺตกุสลตา เอวาติฯ อติสิถิลวีริยตาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน ปญฺญาปโยคมนฺทตํ ปโยคเวกลฺลญฺจ สงฺคณฺหาติฯ ตสฺส ปคฺคณฺหนนฺติ ตสฺส ลีนสฺส จิตฺตสฺส ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคาทิสมุฎฺฐาปเนน ลยาปตฺติโต สมุทฺธรณํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Kāraṇakosallabhāvanākosallānaṃ nānantariyabhāvato rakkhanākosallassa ca taṃmūlakattā ‘‘nimittakusalatā nāma kasiṇanimittassa uggahakusalatā’’icceva vuttaṃ. Kasiṇanimittassāti ca nidassanamattaṃ daṭṭhabbaṃ. Asubhanimittādikassapi hi yassa kassaci jhānuppattinimittassa uggahakosallaṃ nimittakusalatā evāti. Atisithilavīriyatādīhīti ādi-saddena paññāpayogamandataṃ payogavekallañca saṅgaṇhāti. Tassa paggaṇhananti tassa līnassa cittassa dhammavicayasambojjhaṅgādisamuṭṭhāpanena layāpattito samuddharaṇaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘ยสฺมิญฺจ โข, ภิกฺขเว, สมเย ลีนํ จิตฺตํ โหติ, กาโล ตสฺมิํ สมเย ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย, กาโล วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย, กาโล ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ลีนํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตํ เอเตหิ ธเมฺมหิ สุสมุฎฺฐาปยํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส ปริตฺตํ อคฺคิํ อุชฺชาเลตุกาโม อสฺสฯ โส ตตฺถ สุกฺขานิ เจว ติณานิ ปกฺขิเปยฺย, สุกฺขานิ จ โคมยานิ ปกฺขิเปยฺย, สุกฺขานิ จ กฎฺฐานิ ปกฺขิเปยฺย, มุขวาตญฺจ ทเทยฺย, น จ ปํสุเกน โอกิเรยฺย, ภโพฺพ นุ โข โส ปุริโส ปริตฺตํ อคฺคิํ อุชฺชาเลตุนฺติ? เอวํ, ภเนฺต’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ
‘‘Yasmiñca kho, bhikkhave, samaye līnaṃ cittaṃ hoti, kālo tasmiṃ samaye dhammavicayasambojjhaṅgassa bhāvanāya, kālo vīriyasambojjhaṅgassa bhāvanāya, kālo pītisambojjhaṅgassa bhāvanāya. Taṃ kissa hetu? Līnaṃ, bhikkhave, cittaṃ, taṃ etehi dhammehi susamuṭṭhāpayaṃ hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, puriso parittaṃ aggiṃ ujjāletukāmo assa. So tattha sukkhāni ceva tiṇāni pakkhipeyya, sukkhāni ca gomayāni pakkhipeyya, sukkhāni ca kaṭṭhāni pakkhipeyya, mukhavātañca dadeyya, na ca paṃsukena okireyya, bhabbo nu kho so puriso parittaṃ aggiṃ ujjāletunti? Evaṃ, bhante’’ti (saṃ. ni. 5.234).
เอตฺถ จ ยถาสกํ อาหารวเสน ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคาทีนํ ภาวนา สมุฎฺฐาปนาติ เวทิตพฺพา, สา อนนฺตรํ วิภาวิตา เอวฯ
Ettha ca yathāsakaṃ āhāravasena dhammavicayasambojjhaṅgādīnaṃ bhāvanā samuṭṭhāpanāti veditabbā, sā anantaraṃ vibhāvitā eva.
อจฺจารทฺธวีริยตาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน ปญฺญาปโยคพลวตํ ปโมทุปฺปิลาปนญฺจ สงฺคณฺหาติฯ ตสฺส นิคฺคณฺหนนฺติ ตสฺส อุทฺธตสฺส จิตฺตสฺส สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคาทิสมุฎฺฐาปเนน อุทฺธตาปตฺติโต นิเสธนํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา –
Accāraddhavīriyatādīhīti ādi-saddena paññāpayogabalavataṃ pamoduppilāpanañca saṅgaṇhāti. Tassa niggaṇhananti tassa uddhatassa cittassa samādhisambojjhaṅgādisamuṭṭhāpanena uddhatāpattito nisedhanaṃ. Vuttampi cetaṃ bhagavatā –
‘‘ยสฺมิญฺจ โข, ภิกฺขเว, สมเย อุทฺธตํ จิตฺตํ โหติ, กาโล ตสฺมิํ สมเย ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย, กาโล สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย, กาโล อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนายฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อุทฺธตํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตํ เอเตหิ ธเมฺมหิ สุวูปสมํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ นิพฺพาเปตุกาโม อสฺส, โส ตตฺถ อลฺลานิ เจว ติณานิ ปกฺขิเปยฺย, อลฺลานิ จ โคมยานิ นิกฺขิเปยฺย, อลฺลานิ จ กฎฺฐานิ ปกฺขิเปยฺย, มุขวาตญฺจ น ทเทยฺย, ปํสุเกน จ โอกิเรยฺย, ภโพฺพ นุ โข โส ปุริโส มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ นิพฺพาเปตุนฺติ? เอวํ, ภเนฺต’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ
‘‘Yasmiñca kho, bhikkhave, samaye uddhataṃ cittaṃ hoti, kālo tasmiṃ samaye passaddhisambojjhaṅgassa bhāvanāya, kālo samādhisambojjhaṅgassa bhāvanāya, kālo upekkhāsambojjhaṅgassa bhāvanāya. Taṃ kissa hetu? Uddhataṃ, bhikkhave, cittaṃ, taṃ etehi dhammehi suvūpasamaṃ hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, puriso mahantaṃ aggikkhandhaṃ nibbāpetukāmo assa, so tattha allāni ceva tiṇāni pakkhipeyya, allāni ca gomayāni nikkhipeyya, allāni ca kaṭṭhāni pakkhipeyya, mukhavātañca na dadeyya, paṃsukena ca okireyya, bhabbo nu kho so puriso mahantaṃ aggikkhandhaṃ nibbāpetunti? Evaṃ, bhante’’ti (saṃ. ni. 5.234).
เอตฺถาปิ ยถาสกํ อาหารวเสน ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคาทีนํ ภาวนา สมุฎฺฐาปนาติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภาวนา วุตฺตา เอว, สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส วุจฺจมานา, อิตรสฺส อนนฺตรํ วกฺขติฯ
Etthāpi yathāsakaṃ āhāravasena passaddhisambojjhaṅgādīnaṃ bhāvanā samuṭṭhāpanāti veditabbā. Tattha passaddhisambojjhaṅgassa bhāvanā vuttā eva, samādhisambojjhaṅgassa vuccamānā, itarassa anantaraṃ vakkhati.
ปญฺญาปโยคมนฺทตายาติ ปญฺญาพฺยาปารสฺส อปฺปกภาเวนฯ ยถา หิ ทานํ อโลภปฺปธานํ, สีลํ อโทสปฺปธานํ, เอวํ ภาวนา อโมหปฺปธานาฯ ตตฺถ ยทา ปญฺญา น พลวตี โหติ, ตทา ภาวนา ปุเพฺพนาปรํ วิเสสาวหา น โหติฯ อนภิสงฺคโต วิย อาหาโร ปุริสสฺส, โยคิโน จิตฺตสฺส อภิรุจิํ น ชเนติ, เตน ตํ นิรสฺสาทํ โหติฯ ตถา ภาวนาย สมฺมเทว อวีถิปฎิปตฺติยา อุปสมสุขํ น วินฺทติ, เตนปิ จิตฺตํ นิรสฺสาทํ โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปญฺญาปโยคมนฺทตายา…เป.… นิรสฺสาทํ โหตี’’ติฯ ตสฺส สํเวคุปฺปาทนํ ปสาทุปฺปาทนญฺจ ติกิจฺฉนนฺติ ตํ ทเสฺสโนฺต, ‘‘อฎฺฐ สํเวควตฺถูนี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ชาติชราพฺยาธิมรณานิ ยถารหํ สุคติยํ ทุคฺคติยญฺจ โหนฺตีติ ตทญฺญเมว ปญฺจวิธพนฺธนาทิขุปฺปิปาสาทิอญฺญมญฺญวิเหฐนาทิเหตุกํ อปายทุกฺขํ ทฎฺฐพฺพํฯ ตยิทํ สพฺพํ เตสํ เตสํ สตฺตานํ ปจฺจุปฺปนฺนภวนิสฺสิตํ คหิตนฺติ อตีเต อนาคเต จ กาเล วฎฺฎมูลกทุกฺขานิ วิสุํ คหิตานิ ฯ เย ปน สตฺตา อาหารูปชีวิโน, ตตฺถ จ อุฎฺฐานผลูปชีวิโน, เตสํ อเญฺญหิ อสาธารณชีวิตทุกฺขํ อฎฺฐมํ สํเวควตฺถุ คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อยํ วุจฺจติ สมเย สมฺปหํสนตาติ อยํ ภาวนาจิตฺตสฺส สมฺปหํสิตพฺพสมเย วุตฺตนเยเนว สํเวคชนนวเสน เจว ปสาทุปฺปาทนวเสน จ สมฺมเทว ปหํสนา, สํเวคชนนปุพฺพกปสาทุปฺปาทเนน โตสนาติ อโตฺถฯ
Paññāpayogamandatāyāti paññābyāpārassa appakabhāvena. Yathā hi dānaṃ alobhappadhānaṃ, sīlaṃ adosappadhānaṃ, evaṃ bhāvanā amohappadhānā. Tattha yadā paññā na balavatī hoti, tadā bhāvanā pubbenāparaṃ visesāvahā na hoti. Anabhisaṅgato viya āhāro purisassa, yogino cittassa abhiruciṃ na janeti, tena taṃ nirassādaṃ hoti. Tathā bhāvanāya sammadeva avīthipaṭipattiyā upasamasukhaṃ na vindati, tenapi cittaṃ nirassādaṃ hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘paññāpayogamandatāyā…pe… nirassādaṃ hotī’’ti. Tassa saṃveguppādanaṃ pasāduppādanañca tikicchananti taṃ dassento, ‘‘aṭṭha saṃvegavatthūnī’’tiādimāha. Tattha jātijarābyādhimaraṇāni yathārahaṃ sugatiyaṃ duggatiyañca hontīti tadaññameva pañcavidhabandhanādikhuppipāsādiaññamaññaviheṭhanādihetukaṃ apāyadukkhaṃ daṭṭhabbaṃ. Tayidaṃ sabbaṃ tesaṃ tesaṃ sattānaṃ paccuppannabhavanissitaṃ gahitanti atīte anāgate ca kāle vaṭṭamūlakadukkhāni visuṃ gahitāni . Ye pana sattā āhārūpajīvino, tattha ca uṭṭhānaphalūpajīvino, tesaṃ aññehi asādhāraṇajīvitadukkhaṃ aṭṭhamaṃ saṃvegavatthu gahitanti daṭṭhabbaṃ. Ayaṃ vuccati samaye sampahaṃsanatāti ayaṃ bhāvanācittassa sampahaṃsitabbasamaye vuttanayeneva saṃvegajananavasena ceva pasāduppādanavasena ca sammadeva pahaṃsanā, saṃvegajananapubbakapasāduppādanena tosanāti attho.
สมฺมาปฎิปตฺติํ อาคมฺมาติ ลีนุทฺธจฺจวิรเหน สมถวีถิปฎิปตฺติยา จ สมฺมา อวิสมํ สมฺมเทว ภาวนาปฎิปตฺติํ อาคมฺมฯ อลีนนฺติอาทีสุ โกสชฺชปกฺขิยานํ ธมฺมานํ อนธิมตฺตตาย อลีนํ, อุทฺธจฺจปกฺขิกานํ อนธิมตฺตตาย อนุทฺธตํ, ปญฺญาปโยคสมฺปตฺติยา อุปสมสุขาธิคเมน จ อนิรสฺสาทํ, ตโต เอว อารมฺมเณ สมปฺปวตฺตํ สมถวีถิปฎิปนฺนํฯ อลีนานุทฺธตาหิ วา อารมฺมเณ สมปฺปวตฺตํ, อนิรสฺสาทตาย สมถวีถิปฎิปนฺนํฯ สมปฺปวตฺติยา วา อลีนํ อนุทฺธตํ, สมถวีถิปฎิปตฺติยา อนิรสฺสาทนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺถ อลีนตาย ปคฺคเห, อนุทฺธตตาย นิคฺคเห, อนิรสฺสาทตาย สมฺปหํสเน น พฺยาปารํ อาปชฺชติฯ อยํ วุจฺจติ สมเย อชฺฌุเปกฺขนตาติ อยํ อชฺฌุเปกฺขิตพฺพสมเย ภาวนาจิตฺตสฺส ปคฺคหนิคฺคหสมฺปหํสเนสุ พฺยาวฎตาสงฺขาตํ ปฎิปกฺขํ อภิภุยฺย อชฺฌุเปกฺขนา วุจฺจติฯ ปฎิปกฺขวิกฺขมฺภนโต วิปสฺสนาย อธิฎฺฐานภาวูปคมนโต จ อุปจารชฺฌานมฺปิ สมาธานกิจฺจนิปฺผตฺติยา ปุคฺคลสฺส สมาหิตภาวสาธนเมวาติ ตตฺถ สมธุรภาเวนาห – ‘‘อุปจารํ วา อปฺปนํ วา’’ติฯ เอส อุปฺปชฺชตีติ เอส สมาธิสโมฺพชฺฌโงฺค อนุปฺปโนฺน อุปฺปชฺชติฯ
Sammāpaṭipattiṃ āgammāti līnuddhaccavirahena samathavīthipaṭipattiyā ca sammā avisamaṃ sammadeva bhāvanāpaṭipattiṃ āgamma. Alīnantiādīsu kosajjapakkhiyānaṃ dhammānaṃ anadhimattatāya alīnaṃ, uddhaccapakkhikānaṃ anadhimattatāya anuddhataṃ, paññāpayogasampattiyā upasamasukhādhigamena ca anirassādaṃ, tato eva ārammaṇe samappavattaṃ samathavīthipaṭipannaṃ. Alīnānuddhatāhi vā ārammaṇe samappavattaṃ, anirassādatāya samathavīthipaṭipannaṃ. Samappavattiyā vā alīnaṃ anuddhataṃ, samathavīthipaṭipattiyā anirassādanti daṭṭhabbaṃ. Tattha alīnatāya paggahe, anuddhatatāya niggahe, anirassādatāya sampahaṃsane na byāpāraṃ āpajjati. Ayaṃ vuccati samaye ajjhupekkhanatāti ayaṃ ajjhupekkhitabbasamaye bhāvanācittassa paggahaniggahasampahaṃsanesu byāvaṭatāsaṅkhātaṃ paṭipakkhaṃ abhibhuyya ajjhupekkhanā vuccati. Paṭipakkhavikkhambhanato vipassanāya adhiṭṭhānabhāvūpagamanato ca upacārajjhānampi samādhānakiccanipphattiyā puggalassa samāhitabhāvasādhanamevāti tattha samadhurabhāvenāha – ‘‘upacāraṃ vā appanaṃ vā’’ti. Esa uppajjatīti esa samādhisambojjhaṅgo anuppanno uppajjati.
อนุโรธวิโรธปฺปหานวเสน มชฺฌตฺตภาโว อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส การณํ ตสฺมิํ สติ สิชฺฌนโต, อสติ จ อสิชฺฌนโต, โส จ มชฺฌตฺตภาโว วิสยวเสน ทุวิโธติ อาห – ‘‘สตฺตมชฺฌตฺตตา สงฺขารมชฺฌตฺตตา’’ติฯ ตทุภเยน จ วิรุชฺฌนํ ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคภาวนาย เอว ทูรีกตนฺติ อนุรุชฺฌนเสฺสว ปหานวิธิํ ทเสฺสตุํ – ‘‘สตฺตมชฺฌตฺตตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตนาห – ‘‘สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลปริวชฺชนตา’’ติฯ อุเปกฺขาย หิ วิเสสโต ราโค ปฎิปโกฺขฯ ตถา จาห – ‘‘อุเปกฺขา ราคพหุลสฺส วิสุทฺธิมโคฺค’’ติ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๖๙)ฯ ทฺวีหากาเรหีติ กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขณํ, อตฺตสุญฺญตาปจฺจเวกฺขณนฺติ, อิเมหิ ทฺวีหิ การเณหิฯ ทฺวีเหวาติ อวธารณํ สงฺขฺยาสมานตาทสฺสนตฺถํฯ สงฺขฺยา เอว เหตฺถ สมานา, น สเงฺขฺยยฺยํ สพฺพถา สมานนฺติฯ อสฺสามิกภาโว อนตฺตนิยตาฯ สติ หิ อตฺตนิ ตสฺส กิญฺจนภาเวน จีวรํ อญฺญํ วา กิญฺจิ อตฺตนิยํ นาม สิยา, โส ปน โกจิ นเตฺถวาติ อธิปฺปาโยฯ อนทฺธนิยนฺติ น อทฺธานกฺขมํ, น จิรฎฺฐายี อิตฺตรํ อนิจฺจนฺติ อโตฺถฯ ตาวกาลิกนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ
Anurodhavirodhappahānavasena majjhattabhāvo upekkhāsambojjhaṅgassa kāraṇaṃ tasmiṃ sati sijjhanato, asati ca asijjhanato, so ca majjhattabhāvo visayavasena duvidhoti āha – ‘‘sattamajjhattatā saṅkhāramajjhattatā’’ti. Tadubhayena ca virujjhanaṃ passaddhisambojjhaṅgabhāvanāya eva dūrīkatanti anurujjhanasseva pahānavidhiṃ dassetuṃ – ‘‘sattamajjhattatā’’tiādi vuttaṃ. Tenāha – ‘‘sattasaṅkhārakelāyanapuggalaparivajjanatā’’ti. Upekkhāya hi visesato rāgo paṭipakkho. Tathā cāha – ‘‘upekkhā rāgabahulassa visuddhimaggo’’ti (visuddhi. 1.269). Dvīhākārehīti kammassakatāpaccavekkhaṇaṃ, attasuññatāpaccavekkhaṇanti, imehi dvīhi kāraṇehi. Dvīhevāti avadhāraṇaṃ saṅkhyāsamānatādassanatthaṃ. Saṅkhyā eva hettha samānā, na saṅkhyeyyaṃ sabbathā samānanti. Assāmikabhāvo anattaniyatā. Sati hi attani tassa kiñcanabhāvena cīvaraṃ aññaṃ vā kiñci attaniyaṃ nāma siyā, so pana koci natthevāti adhippāyo. Anaddhaniyanti na addhānakkhamaṃ, na ciraṭṭhāyī ittaraṃ aniccanti attho. Tāvakālikanti tasseva vevacanaṃ.
มมายตีติ มมตฺตํ กโรติ, มมาติ ตณฺหาย ปริคฺคยฺห ติฎฺฐติฯ ธนายนฺตาติ ธนํ ทพฺพํ กโรนฺตาฯ
Mamāyatīti mamattaṃ karoti, mamāti taṇhāya pariggayha tiṭṭhati. Dhanāyantāti dhanaṃ dabbaṃ karontā.
๔๑๙. สมฺมาทสฺสนลกฺขณาติ สมฺมา อวิปรีตํ อนิจฺจาทิวเสน ทสฺสนสภาวาฯ สมฺมาอภินิโรปนลกฺขโณติ สมฺมเทว อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อภินิโรปนสภาโวฯ จตุรงฺคสมนฺนาคตา วาจา ชนํ สงฺคณฺหาตีติ ตพฺพิปกฺขวิรติสภาวา สมฺมาวาจา เภทกรมิจฺฉาวาจาปหาเนน ชเน สมฺปยุเตฺต จ ปริคฺคณฺหนกิจฺจวตี โหตีติ ‘‘ปริคฺคหลกฺขณา’’ติ วุตฺตาฯ วิสํวาทนาทิกิจฺจตาย หิ ลูขานํ อปริคฺคาหกานํ มุสาวาทาทีนํ ปฎิปกฺขภูตา สินิทฺธภาเวน ปริคฺคหณสภาวา สมฺมาชปฺปนกิจฺจา สมฺมาวาจา ตปฺปจฺจยสุภาสิตสมฺปฎิคฺคาหเก ชเน สมฺปยุตฺตธเมฺม จ ปริคฺคณฺหนฺตี ปวตฺตตีติ ปริคฺคหลกฺขณาฯ ยถา จีวรกมฺมาทิปฺปโยคสงฺขาโต กมฺมโนฺต กาตพฺพํ จีวรรชนาทิกํ สมุฎฺฐาเปติ นิปฺผาเทติ, ตํตํกิริยานิปฺผาทโก วา เจตนาสงฺขาโต กมฺมโนฺต หตฺถจลนาทิกํ กิริยํ สมุฎฺฐาเปติ, เอวํ สาวชฺชกตฺตพฺพกิริยาสมุฎฺฐาปกมิจฺฉากมฺมนฺตปฺปหาเนน สมฺมากมฺมโนฺต นิรวชฺชสฺส กตฺตพฺพสฺส นิรวชฺชากาเรน สมุฎฺฐาปนกิจฺจวา โหตีติ อาห – ‘‘สมฺมาสมุฎฺฐาปนลกฺขโณ’’ติฯ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา อุกฺขิปนํ สมุฎฺฐาปนํ กายิกกิริยาย ภารุกฺขิปนํ วิยฯ สมฺมาโวทาปนลกฺขโณติ ชีวมานสฺส ปุคฺคลสฺส, สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา ชีวิตินฺทฺริยวุตฺติยา, อาชีวเสฺสว วา สมฺมเทว โสธนํ โวทาปนํ ลกฺขณํ เอตสฺสาติ สมฺมาโวทาปนลกฺขโณฯ อถ วา กายวาจานํ ขนฺธสนฺตานสฺส จ สํกิเลสภูตมิจฺฉาอาชีวปฺปหาเนน สมฺมาอาชีโว ‘‘โวทาปนลกฺขโณ’’ติ วุโตฺตฯ สมฺมาวายามสติสมาธีสุ วตฺตพฺพํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ
419.Sammādassanalakkhaṇāti sammā aviparītaṃ aniccādivasena dassanasabhāvā. Sammāabhiniropanalakkhaṇoti sammadeva ārammaṇe cittassa abhiniropanasabhāvo. Caturaṅgasamannāgatā vācā janaṃ saṅgaṇhātīti tabbipakkhaviratisabhāvā sammāvācā bhedakaramicchāvācāpahānena jane sampayutte ca pariggaṇhanakiccavatī hotīti ‘‘pariggahalakkhaṇā’’ti vuttā. Visaṃvādanādikiccatāya hi lūkhānaṃ apariggāhakānaṃ musāvādādīnaṃ paṭipakkhabhūtā siniddhabhāvena pariggahaṇasabhāvā sammājappanakiccā sammāvācā tappaccayasubhāsitasampaṭiggāhake jane sampayuttadhamme ca pariggaṇhantī pavattatīti pariggahalakkhaṇā. Yathā cīvarakammādippayogasaṅkhāto kammanto kātabbaṃ cīvararajanādikaṃ samuṭṭhāpeti nipphādeti, taṃtaṃkiriyānipphādako vā cetanāsaṅkhāto kammanto hatthacalanādikaṃ kiriyaṃ samuṭṭhāpeti, evaṃ sāvajjakattabbakiriyāsamuṭṭhāpakamicchākammantappahānena sammākammanto niravajjassa kattabbassa niravajjākārena samuṭṭhāpanakiccavā hotīti āha – ‘‘sammāsamuṭṭhāpanalakkhaṇo’’ti. Sampayuttadhammānaṃ vā ukkhipanaṃ samuṭṭhāpanaṃ kāyikakiriyāya bhārukkhipanaṃ viya. Sammāvodāpanalakkhaṇoti jīvamānassa puggalassa, sampayuttadhammānaṃ vā jīvitindriyavuttiyā, ājīvasseva vā sammadeva sodhanaṃ vodāpanaṃ lakkhaṇaṃ etassāti sammāvodāpanalakkhaṇo. Atha vā kāyavācānaṃ khandhasantānassa ca saṃkilesabhūtamicchāājīvappahānena sammāājīvo ‘‘vodāpanalakkhaṇo’’ti vutto. Sammāvāyāmasatisamādhīsu vattabbaṃ heṭṭhā vuttameva.
ปญฺญาย กุสลานํ ธมฺมานํ ปุพฺพงฺคมภาวโต สเพฺพปิ อกุสลา ธมฺมา ตสฺสา ปฎิปกฺขาวาติ วุตฺตํ – ‘‘อเญฺญหิปิ อตฺตโน ปจฺจนีกกิเลเสหิ สทฺธิ’’นฺติฯ อถ วา อตฺตโน ปจฺจนีกกิเลสา ทิเฎฺฐกฎฺฐา อวิชฺชาทโย ปญฺญาย อุชุปจฺจนีกภาวโตฯ ปสฺสตีติ ปสฺสนฺตี วิย โหติ วิพนฺธาภาวโตฯ เตนาห – ‘‘ตปฺปฎิจฺฉาทก…เป.… อสโมฺมหโต’’ติฯ สมฺมาสงฺกปฺปาทีนํ มิจฺฉาสงฺกปฺปาทโย อุชุวิปจฺจนีกาติ อาห – ‘‘สมฺมาสงฺกปฺปาทโย…เป.… ปชหนฺตี’’ติฯ ตเถวาติ อิมินา อตฺตโน ปจฺจนีกกิเลเสหิ สทฺธินฺติ อิมมตฺถํ อนุกฑฺฒติฯ วิเสสโตติ สมฺมาทิฎฺฐิยา วุตฺตกิจฺจโต วิเสเสนฯ เอตฺถาติ เอเตสุ สมฺมาสงฺกปฺปาทีสุฯ
Paññāya kusalānaṃ dhammānaṃ pubbaṅgamabhāvato sabbepi akusalā dhammā tassā paṭipakkhāvāti vuttaṃ – ‘‘aññehipi attano paccanīkakilesehi saddhi’’nti. Atha vā attano paccanīkakilesā diṭṭhekaṭṭhā avijjādayo paññāya ujupaccanīkabhāvato. Passatīti passantī viya hoti vibandhābhāvato. Tenāha – ‘‘tappaṭicchādaka…pe… asammohato’’ti. Sammāsaṅkappādīnaṃ micchāsaṅkappādayo ujuvipaccanīkāti āha – ‘‘sammāsaṅkappādayo…pe… pajahantī’’ti. Tathevāti iminā attano paccanīkakilesehi saddhinti imamatthaṃ anukaḍḍhati. Visesatoti sammādiṭṭhiyā vuttakiccato visesena. Etthāti etesu sammāsaṅkappādīsu.
เอสา สมฺมาทิฎฺฐิ นามาติ โลกิยํ โลกุตฺตรญฺจ เอกชฺฌํ กตฺวา วทติ มิสฺสกตาภาวโต ฯ เตนาห – ‘‘ปุพฺพภาเค’’ติอาทิฯ เอการมฺมณา นิพฺพานารมฺมณตฺตาฯ กิจฺจโตติ ปุพฺพภาเค ทุกฺขาทีหิ ญาเณหิ กาตพฺพกิจฺจสฺส อิธ นิปฺผตฺติโต, อิมเสฺสว วา ญาณสฺส ทุกฺขาทิปฺปกาสนกิจฺจโตฯ จตฺตาริ นามานิ ลภติ ทุกฺขปริญฺญาทิจตุกิจฺจสาธนโตฯ ตีณิ นามานิ ลภติ กามสงฺกปฺปาทิปฺปหานกิจฺจนิปฺผตฺติโตฯ สิกฺขาปทวิภเงฺค (วิภ. ๗๐๓ อาทโย) ‘‘วิรติเจตนา ตํสมฺปยุตฺตา จ ธมฺมา สิกฺขาปทานี’’ติ วุตฺตานิ, ตตฺถ ปธานานํ วิรติเจตนานํ วเสน ‘‘วิรติโยปิ โหนฺติ เจตนาทโยปี’’ติ อาหฯ ‘‘สมฺมา วทติ เอตายา’’ติอาทินา อตฺถสมฺภวโต สมฺมาวาจาทโย ตโย วิรติโยปิ โหนฺติ เจตนาทโยปิฯ มุสาวาทาทีหิ วิรมณกาเล วิรติโย, สุภาสิตาทิวาจาภาสนาทิกาเล เจตนาทโย โยเชตพฺพาฯ มคฺคกฺขเณ ปน วิรติโยว มคฺคลกฺขณปฺปตฺติโตฯ น หิ เจตนา นิยฺยานสภาวาฯ อถ วา เอกสฺส ญาณสฺส ทุกฺขาทิญาณตา วิย เอกาย วิรติยา มุสาวาทาทิวิรติภาโว วิย จ เอกาย เจตนาย สมฺมาวาจาทิกิจฺจตฺตยสาธนสภาวา สมฺมาวาจาทิภาวาสิทฺธิโต ‘‘มคฺคกฺขเณ วิรติโยวา’’ติ วุตฺตํฯ
Esā sammādiṭṭhi nāmāti lokiyaṃ lokuttarañca ekajjhaṃ katvā vadati missakatābhāvato . Tenāha – ‘‘pubbabhāge’’tiādi. Ekārammaṇā nibbānārammaṇattā. Kiccatoti pubbabhāge dukkhādīhi ñāṇehi kātabbakiccassa idha nipphattito, imasseva vā ñāṇassa dukkhādippakāsanakiccato. Cattāri nāmāni labhati dukkhapariññādicatukiccasādhanato. Tīṇi nāmāni labhati kāmasaṅkappādippahānakiccanipphattito. Sikkhāpadavibhaṅge (vibha. 703 ādayo) ‘‘viraticetanā taṃsampayuttā ca dhammā sikkhāpadānī’’ti vuttāni, tattha padhānānaṃ viraticetanānaṃ vasena ‘‘viratiyopi honti cetanādayopī’’ti āha. ‘‘Sammā vadati etāyā’’tiādinā atthasambhavato sammāvācādayo tayo viratiyopi honti cetanādayopi. Musāvādādīhi viramaṇakāle viratiyo, subhāsitādivācābhāsanādikāle cetanādayo yojetabbā. Maggakkhaṇe pana viratiyova maggalakkhaṇappattito. Na hi cetanā niyyānasabhāvā. Atha vā ekassa ñāṇassa dukkhādiñāṇatā viya ekāya viratiyā musāvādādiviratibhāvo viya ca ekāya cetanāya sammāvācādikiccattayasādhanasabhāvā sammāvācādibhāvāsiddhito ‘‘maggakkhaṇe viratiyovā’’ti vuttaṃ.
จตฺตาริ นามานิ ลภตีติ จตุสมฺมปฺปธานจตุสติปฎฺฐานวเสน ลภติฯ มคฺคกฺขเณติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ ปุพฺพภาเคปิ มคฺคกฺขเณปิ สมฺมาสมาธิ เอวาติ ยทิปิ สมาธิอุปการกานํ อภินิโรปนานุมชฺชนสมฺปิยายนพฺรูหนสนฺตสุขานํ วิตกฺกาทีนํ วเสน จตูหิ ฌาเนหิ สมฺมาสมาธิ วิภโตฺต, ตถาปิ วายาโม วิย อนุปฺปนฺนากุสลานุปฺปาทนาทิจตุวายามกิจฺจํ, สติ วิย จ อสุภาสุขานิจฺจานเตฺตสุ กายาทีสุ สุภาทิสญฺญาปหานลกฺขณํ จตุสติกิจฺจํ, เอโก สมาธิ จตุชฺฌานสมาธิกิจฺจํ น สาเธตีติ ปุพฺพภาเคปิ ปฐมชฺฌานสมาธิ, ปฐมชฺฌานสมาธิ เอว มคฺคกฺขเณปิ, ตถา ปุพฺพภาเคปิ จตุตฺถชฺฌานสมาธิ, จตุตฺถชฺฌานสมาธิ เอว มคฺคกฺขเณปีติ อโตฺถฯ
Cattāri nāmāni labhatīti catusammappadhānacatusatipaṭṭhānavasena labhati. Maggakkhaṇeti ānetvā sambandho. Pubbabhāgepi maggakkhaṇepi sammāsamādhi evāti yadipi samādhiupakārakānaṃ abhiniropanānumajjanasampiyāyanabrūhanasantasukhānaṃ vitakkādīnaṃ vasena catūhi jhānehi sammāsamādhi vibhatto, tathāpi vāyāmo viya anuppannākusalānuppādanādicatuvāyāmakiccaṃ, sati viya ca asubhāsukhāniccānattesu kāyādīsu subhādisaññāpahānalakkhaṇaṃ catusatikiccaṃ, eko samādhi catujjhānasamādhikiccaṃ na sādhetīti pubbabhāgepi paṭhamajjhānasamādhi, paṭhamajjhānasamādhi eva maggakkhaṇepi, tathā pubbabhāgepi catutthajjhānasamādhi, catutthajjhānasamādhi eva maggakkhaṇepīti attho.
‘‘กิํ ปนายํ มคฺคธมฺมานํ เทสนานุกฺกโม, เกวลํ วาจาย กมวตฺตินิภาวโต, อุทาหุ กญฺจิ วิเสสํ อุปาทายา’’ติ วิจารณายํ กญฺจิ วิเสสํ อุปาทายาติ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘อิเมสู’’ติอาทิฯ ตตฺถ ภาวนานุภาวา หิตผลาย สาติสยํ ติกฺขวิสทภาวปฺปตฺติยา อจฺฉริยพฺภุตสมตฺถตาโยเคน สพฺพโส ปฎิปกฺขวิธมเนน ยาถาวโต ธมฺมสภาวโพธเนน จ สมฺมาทิฎฺฐิยา พหุการตา เวทิตพฺพาฯ เตนาห – ‘‘อยํ หี’’ติอาทิฯ
‘‘Kiṃ panāyaṃ maggadhammānaṃ desanānukkamo, kevalaṃ vācāya kamavattinibhāvato, udāhu kañci visesaṃ upādāyā’’ti vicāraṇāyaṃ kañci visesaṃ upādāyāti dassento āha – ‘‘imesū’’tiādi. Tattha bhāvanānubhāvā hitaphalāya sātisayaṃ tikkhavisadabhāvappattiyā acchariyabbhutasamatthatāyogena sabbaso paṭipakkhavidhamanena yāthāvato dhammasabhāvabodhanena ca sammādiṭṭhiyā bahukāratā veditabbā. Tenāha – ‘‘ayaṃ hī’’tiādi.
ตสฺสาติ สมฺมาทิฎฺฐิยาฯ พหุกาโรติ ธมฺมสมฺปฎิเวเธ พหูปกาโรฯ อิทานิ ตมตฺถํ อุปมาหิ วิภาเวตุํ, ‘‘ยถา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Tassāti sammādiṭṭhiyā. Bahukāroti dhammasampaṭivedhe bahūpakāro. Idāni tamatthaṃ upamāhi vibhāvetuṃ, ‘‘yathā hī’’tiādi vuttaṃ.
วจีเภทสฺส การโก วิตโกฺก สาวชฺชานวชฺชวจีเภทนิวตฺตนปฺปวตฺตนาการาย สมฺมาวาจายปิ อุปการโก เอวาติ อาห – ‘‘สฺวายํ…เป.… สมฺมาวาจายปิ อุปการโก’’ติฯ สมฺมาสงฺกโปฺป หิ สจฺจวาจาย วิรติวาจายปิ วิเสสปจฺจโย มิจฺฉาสงฺกปฺปตเทกฎฺฐกิเลสปฺปหานโตฯ
Vacībhedassa kārako vitakko sāvajjānavajjavacībhedanivattanappavattanākārāya sammāvācāyapi upakārako evāti āha – ‘‘svāyaṃ…pe… sammāvācāyapi upakārako’’ti. Sammāsaṅkappo hi saccavācāya virativācāyapi visesapaccayo micchāsaṅkappatadekaṭṭhakilesappahānato.
สํวิทหิตฺวาติอาทีสุ สมฺมา วิทหนํ กมฺมนฺตปฺปโยชนญฺจ เอกนฺตานวชฺชวจีกายกมฺมวเสน อิจฺฉิตพฺพนฺติ วิรติวาจาวเสน สํวิทหนํ วิรติกมฺมนฺตเสฺสว ปโยชนญฺจ นิทสฺสิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวํ หิสฺส สมฺมาวาจาย สมฺมากมฺมนฺตสฺสาปิ พหุการตา โชติตา สิยาฯ วจีเภทนิยามิกา หิ วจีทุจฺจริตวิรติ กายิกกิริยนิยามิกาย กายทุจฺจริตวิรติยา อุปการิกาฯ ตถา หิ วิสํวาทนาทิมิจฺฉาวาจโต อวิรโต มิจฺฉากมฺมนฺตโตปิ น วิรมเตวฯ ยถาห – ‘‘เอกํ ธมฺมํ อตีตสฺส…เป.… นตฺถิ ปาปํ อการิย’’นฺติฯ ตสฺมา อวิสํวาทนาทิสมฺมาวาจาย ฐิโต สมฺมากมฺมนฺตมฺปิ ปูเรติเยวาติ วจีทุจฺจริตวิรติ กายทุจฺจริตวิรติยา อุปการิกาฯ
Saṃvidahitvātiādīsu sammā vidahanaṃ kammantappayojanañca ekantānavajjavacīkāyakammavasena icchitabbanti virativācāvasena saṃvidahanaṃ viratikammantasseva payojanañca nidassitanti daṭṭhabbaṃ. Evaṃ hissa sammāvācāya sammākammantassāpi bahukāratā jotitā siyā. Vacībhedaniyāmikā hi vacīduccaritavirati kāyikakiriyaniyāmikāya kāyaduccaritaviratiyā upakārikā. Tathā hi visaṃvādanādimicchāvācato avirato micchākammantatopi na viramateva. Yathāha – ‘‘ekaṃ dhammaṃ atītassa…pe… natthi pāpaṃ akāriya’’nti. Tasmā avisaṃvādanādisammāvācāya ṭhito sammākammantampi pūretiyevāti vacīduccaritavirati kāyaduccaritaviratiyā upakārikā.
ยสฺมา อาชีวปาริสุทฺธิ นาม ทุสฺสีลฺยปฺปหานปุพฺพิกา, ตสฺมา สมฺมาวาจากมฺมนฺตานนฺตรํ สมฺมาอาชีโว เทสิโตติ ทเสฺสตุํ – ‘‘จตุพฺพิธํ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอตฺตาวตาติ ปริสุทฺธสีลาชีวิกามเตฺตนฯ อิทํ วีริยนฺติ จตุสมฺมปฺปธานวีริยํฯ
Yasmā ājīvapārisuddhi nāma dussīlyappahānapubbikā, tasmā sammāvācākammantānantaraṃ sammāājīvo desitoti dassetuṃ – ‘‘catubbidhaṃ panā’’tiādi vuttaṃ. Ettāvatāti parisuddhasīlājīvikāmattena. Idaṃ vīriyanti catusammappadhānavīriyaṃ.
วีริยารโมฺภปิ สมฺมาสติปริคฺคหิโต เอว นิพฺพานาวโห, น เกวโลติ ทเสฺสตุํ – ‘‘ตโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สูปฎฺฐิตาติ พหิทฺธาวิเกฺขปํ ปหาย สุฎฺฐุ อุปฎฺฐิตา กาตพฺพาฯ สมาธิสฺส อุปการธมฺมา นาม ยถาวุตฺตวตฺถุวิสทกิริยาทโยฯ ตปฺปฎิปกฺขโต อนุปการธมฺมา เวทิตพฺพาฯ คติโยติ นิปฺผตฺติโยฯ สมเนฺวสิตฺวาติ สมฺมา ปริเยสิตฺวาฯ
Vīriyārambhopi sammāsatipariggahito eva nibbānāvaho, na kevaloti dassetuṃ – ‘‘tato’’tiādi vuttaṃ. Sūpaṭṭhitāti bahiddhāvikkhepaṃ pahāya suṭṭhu upaṭṭhitā kātabbā. Samādhissa upakāradhammā nāma yathāvuttavatthuvisadakiriyādayo. Tappaṭipakkhato anupakāradhammā veditabbā. Gatiyoti nipphattiyo. Samanvesitvāti sammā pariyesitvā.
๔๒๗. ยถา อิตฺถีสุ กถา ปวตฺตา อธิตฺถีติ วุจฺจติ, เอวํ อตฺตานํ อธิกิจฺจ ปวตฺตา อชฺฌตฺตํฯ ‘‘เอวํ ปวตฺตมานา มยํ ‘อตฺตา’ติ คหณํ คมิสฺสามา’’ติ อิมินา วิย อธิปฺปาเยน อตฺตานํ อธิกิจฺจ อุทฺทิสฺส ปวตฺตา สตฺตสนฺตติปริยาปนฺนา อชฺฌตฺตํฯ ตสฺมิํ อชฺฌตฺตรูเป, อตฺตโน เกสาทิวตฺถุเก กสิณรูเปติ อโตฺถฯ ปริกมฺมวเสน อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญีติ ปริกมฺมกรณวเสน อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี, น อปฺปนาวเสนฯ น หิ ปฎิภาคนิมิตฺตารมฺมณา อปฺปนา อชฺฌตฺตวิสยา สมฺภวติฯ ตํ ปน อชฺฌตฺตํ ปริกมฺมวเสน ลทฺธํ กสิณนิมิตฺตํ อวิสุทฺธเมว โหติ, น พหิทฺธา ปริกมฺมวเสน ลทฺธํ วิย วิสุทฺธํฯ เตนาห – ‘‘ตํ ปนา’’ติอาทิฯ
427. Yathā itthīsu kathā pavattā adhitthīti vuccati, evaṃ attānaṃ adhikicca pavattā ajjhattaṃ. ‘‘Evaṃ pavattamānā mayaṃ ‘attā’ti gahaṇaṃ gamissāmā’’ti iminā viya adhippāyena attānaṃ adhikicca uddissa pavattā sattasantatipariyāpannā ajjhattaṃ. Tasmiṃ ajjhattarūpe, attano kesādivatthuke kasiṇarūpeti attho. Parikammavasena ajjhattaṃrūpasaññīti parikammakaraṇavasena ajjhattaṃ rūpasaññī, na appanāvasena. Na hi paṭibhāganimittārammaṇā appanā ajjhattavisayā sambhavati. Taṃ pana ajjhattaṃ parikammavasena laddhaṃ kasiṇanimittaṃ avisuddhameva hoti, na bahiddhā parikammavasena laddhaṃ viya visuddhaṃ. Tenāha – ‘‘taṃ panā’’tiādi.
ยเสฺสวํ ปริกมฺมํ อชฺฌตฺตํ อุปฺปนฺนนฺติ ยสฺส ปุคฺคลสฺส เอวํ วุตฺตปฺปกาเรน อชฺฌตฺตํ ปริกมฺมํ ชาตํฯ นิมิตฺตํ ปน พหิทฺธาติ ปฎิภาคนิมิตฺตํ สสนฺตติปริยาปนฺนํ น โหตีติ พหิทฺธาฯ ปริตฺตานีติ ยถาลทฺธานิ สุปฺปสราวมตฺตานิฯ เตนาห – ‘‘อวฑฺฒิตานี’’ติฯ ปริตฺตวเสเนวาติ วณฺณวเสน อาโภเค วิชฺชมาเนปิ ปริตฺตวเสเนว อิทํ อภิภายตนํ วุตฺตํ ปริตฺตตา เหตฺถ อภิภวนสฺส การณํฯ วณฺณาโภเค สติปิ อสติปิ อภิภวตีติ อภิภุ, ปริกมฺมํ, ญาณํ วาฯ อภิภุ อายตนํ เอตสฺสาติ อภิภายตนํ, ฌานํฯ อภิภวิตพฺพํ วา อารมฺมณสงฺขาตํ อายตนํ เอตสฺสาติ อภิภายตนํฯ อถ วา อารมฺมณาภิภวนโต อภิภุ จ ตํ อายตนญฺจ โยคิโน สุขวิเสสานํ อธิฎฺฐานภาวโต มนายตนธมฺมายตนภาวโต จาติ สสมฺปยุตฺตชฺฌานํ อภิภายตนํฯ อภิภายตนภาวนา นาม ติกฺขปญฺญเสฺสว สมฺภวติ, น อิตรสฺสาติ อาห – ‘‘ญาณุตฺตริโก ปุคฺคโล’’ติฯ อภิภวิตฺวา สมาปชฺชตีติ เอตฺถ อภิภวนํ สมาปชฺชนญฺจ อุปจารชฺฌานาธิคมนสมนนฺตรเมว อปฺปนาฌานุปฺปาทนนฺติ อาห – ‘‘สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตี’’ติฯ สห นิมิตฺตุปฺปาเทนาติ จ อปฺปนาปริวาสาภาวสฺส ลกฺขณวจนเมตํฯ โย ขิปฺปาภิโญฺญติ วุจฺจติ, ตโตปิ ญาณุตฺตรเสฺสว อภิภายตนภาวนาฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ นิมิเตฺตฯ อปฺปนํ ปาเปตีติ ภาวนาอปฺปนํ เนติฯ
Yassevaṃ parikammaṃ ajjhattaṃ uppannanti yassa puggalassa evaṃ vuttappakārena ajjhattaṃ parikammaṃ jātaṃ. Nimittaṃ pana bahiddhāti paṭibhāganimittaṃ sasantatipariyāpannaṃ na hotīti bahiddhā. Parittānīti yathāladdhāni suppasarāvamattāni. Tenāha – ‘‘avaḍḍhitānī’’ti. Parittavasenevāti vaṇṇavasena ābhoge vijjamānepi parittavaseneva idaṃ abhibhāyatanaṃ vuttaṃ parittatā hettha abhibhavanassa kāraṇaṃ. Vaṇṇābhoge satipi asatipi abhibhavatīti abhibhu, parikammaṃ, ñāṇaṃ vā. Abhibhu āyatanaṃ etassāti abhibhāyatanaṃ, jhānaṃ. Abhibhavitabbaṃ vā ārammaṇasaṅkhātaṃ āyatanaṃ etassāti abhibhāyatanaṃ. Atha vā ārammaṇābhibhavanato abhibhu ca taṃ āyatanañca yogino sukhavisesānaṃ adhiṭṭhānabhāvato manāyatanadhammāyatanabhāvato cāti sasampayuttajjhānaṃ abhibhāyatanaṃ. Abhibhāyatanabhāvanā nāma tikkhapaññasseva sambhavati, na itarassāti āha – ‘‘ñāṇuttariko puggalo’’ti. Abhibhavitvā samāpajjatīti ettha abhibhavanaṃ samāpajjanañca upacārajjhānādhigamanasamanantarameva appanājhānuppādananti āha – ‘‘saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetī’’ti. Saha nimittuppādenāti ca appanāparivāsābhāvassa lakkhaṇavacanametaṃ. Yo khippābhiññoti vuccati, tatopi ñāṇuttarasseva abhibhāyatanabhāvanā. Etthāti etasmiṃ nimitte. Appanaṃ pāpetīti bhāvanāappanaṃ neti.
เอตฺถ จ เกจิ ‘‘อุปฺปเนฺน อุปจารชฺฌาเน ตํ อารพฺภ เย เหฎฺฐิมเนฺตน เทฺว ตโย ชวนวารา ปวตฺตนฺติ, เต อุปจารชฺฌานปกฺขิกา เอว, ตทนนฺตรํ ภวงฺคปริวาเสน อุปจารเสวนาย จ วินา อปฺปนา โหติ, สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนว อปฺปนํ ปาเปตี’’ติ วทนฺติ, ตํ เตสํ มติมตฺตํฯ น หิ ปาริวาสิกปริกเมฺมน อปฺปนาวาโร อิจฺฉิโต, นาปิ มหคฺคตปฺปมาณชฺฌาเนสุ วิย อุปจารชฺฌาเน เอกนฺตโต ปจฺจเวกฺขณา อิจฺฉิตพฺพาฯ ตสฺมา อุปจารชฺฌานาธิคมโต ปรํ กติปยภวงฺคจิตฺตาวสาเน อปฺปนํ ปาปุณโนฺต ‘‘สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตี’’ติ วุโตฺตฯ สห นิมิตฺตุปฺปาเทนาติ จ อธิปฺปายิกมิทํ วจนํ, น นีตตฺถํ, ตตฺถ อธิปฺปาโย วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ น อโนฺตสมาปตฺติยํ ตทา ตถารูปสฺส อาโภคสฺส อสมฺภวโตฯ สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสฺส อาโภโค ปุพฺพภาคภาวนาวเสน ฌานกฺขเณ ปวตฺตํ อภิภวนาการํ คเหตฺวา ปวโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อภิธมฺมฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อิมินาสฺส ปุพฺพาโภโค กถิโต’’ติ วุตฺตํฯ อโนฺตสมาปตฺติยํ ตทา ตถา อาโภคาภาเว กสฺมา ฌานสญฺญายปีติ วุตฺตนฺติ อาห – ‘‘อภิภวสญฺญา หิสฺส อโนฺตสมาปตฺติยมฺปิ อตฺถี’’ติฯ
Ettha ca keci ‘‘uppanne upacārajjhāne taṃ ārabbha ye heṭṭhimantena dve tayo javanavārā pavattanti, te upacārajjhānapakkhikā eva, tadanantaraṃ bhavaṅgaparivāsena upacārasevanāya ca vinā appanā hoti, saha nimittuppādeneva appanaṃ pāpetī’’ti vadanti, taṃ tesaṃ matimattaṃ. Na hi pārivāsikaparikammena appanāvāro icchito, nāpi mahaggatappamāṇajjhānesu viya upacārajjhāne ekantato paccavekkhaṇā icchitabbā. Tasmā upacārajjhānādhigamato paraṃ katipayabhavaṅgacittāvasāne appanaṃ pāpuṇanto ‘‘saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetī’’ti vutto. Saha nimittuppādenāti ca adhippāyikamidaṃ vacanaṃ, na nītatthaṃ, tattha adhippāyo vuttanayeneva veditabbo. Na antosamāpattiyaṃ tadā tathārūpassa ābhogassa asambhavato. Samāpattito vuṭṭhitassa ābhogo pubbabhāgabhāvanāvasena jhānakkhaṇe pavattaṃ abhibhavanākāraṃ gahetvā pavattoti daṭṭhabbaṃ. Abhidhammaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘imināssa pubbābhogo kathito’’ti vuttaṃ. Antosamāpattiyaṃ tadā tathā ābhogābhāve kasmā jhānasaññāyapīti vuttanti āha – ‘‘abhibhavasaññā hissa antosamāpattiyampi atthī’’ti.
วฑฺฒิตปฺปมาณานีติ วิปุลปฺปมาณานีติ อโตฺถ, น เอกงฺคุลทฺวงฺคุลาทิวฑฺฒิํ ปาปิตานิ ตถา วฑฺฒนเสฺสเวตฺถ อสมฺภวโตฯ เตนาห – ‘‘มหนฺตานี’’ติฯ ภตฺตวฑฺฒิตกนฺติ ภุญฺชนภาชเน วเฑฺฒตฺวา ทินฺนํ ภตฺตํ, เอกาสเน ปุริเสน ภุญฺชิตพฺพภตฺตโต อุปฑฺฒภตฺตนฺติ อโตฺถฯ
Vaḍḍhitappamāṇānīti vipulappamāṇānīti attho, na ekaṅguladvaṅgulādivaḍḍhiṃ pāpitāni tathā vaḍḍhanassevettha asambhavato. Tenāha – ‘‘mahantānī’’ti. Bhattavaḍḍhitakanti bhuñjanabhājane vaḍḍhetvā dinnaṃ bhattaṃ, ekāsane purisena bhuñjitabbabhattato upaḍḍhabhattanti attho.
รูเป สญฺญา รูปสญฺญา, สา อสฺส อตฺถีติ รูปสญฺญี, น รูปสญฺญี อรูปสญฺญีฯ สญฺญาสีเสน ฌานํ วทติฯ รูปสญฺญาย อนุปฺปาทนเมเวตฺถ อลาภิตาฯ พหิทฺธาว อุปฺปนฺนนฺติ พหิทฺธาวตฺถุสฺมิํเยว อุปฺปนฺนํฯ เอตฺถ จ –
Rūpe saññā rūpasaññā, sā assa atthīti rūpasaññī, na rūpasaññī arūpasaññī. Saññāsīsena jhānaṃ vadati. Rūpasaññāya anuppādanamevettha alābhitā. Bahiddhāva uppannanti bahiddhāvatthusmiṃyeva uppannaṃ. Ettha ca –
‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ ฯ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๓๘, ๓๕๘; อ. นิ. ๘.๖๕; ๑๐.๒๙) –
‘‘Ajjhattaṃ rūpasaññī bahiddhā rūpāni passati parittāni suvaṇṇadubbaṇṇāni. Ajjhattaṃ rūpasaññī bahiddhā rūpāni passati appamāṇāni suvaṇṇadubbaṇṇāni . Ajjhattaṃ arūpasaññī bahiddhā rūpāni passati parittāni suvaṇṇadubbaṇṇāni. Ajjhattaṃ arūpasaññī bahiddhā rūpāni passati appamāṇāni suvaṇṇadubbaṇṇānī’’ti (dī. ni. 3.338, 358; a. ni. 8.65; 10.29) –
เอวมิธ จตฺตาริ อภิภายตนานิ อาคตานิฯ อภิธเมฺม (ธ. ส. ๒๔๔-๒๔๕) ปน ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ, อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติ เอวมาคตานิฯ ตตฺถ จ การณํ อภิธมฺมฎฺฐกถายํ วุตฺตเมวฯ ตถา หิ วุตฺตํ อฎฺฐสาลินิยํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๒๐๔) –
Evamidha cattāri abhibhāyatanāni āgatāni. Abhidhamme (dha. sa. 244-245) pana ‘‘ajjhattaṃ arūpasaññī bahiddhā rūpāni passati parittāni suvaṇṇadubbaṇṇāni, appamāṇāni suvaṇṇadubbaṇṇānī’’ti evamāgatāni. Tattha ca kāraṇaṃ abhidhammaṭṭhakathāyaṃ vuttameva. Tathā hi vuttaṃ aṭṭhasāliniyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 204) –
‘‘กสฺมา ปน ยถา สุตฺตเนฺต ‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานี’ติอาทิ วุตฺตํ, เอวํ อวตฺวา อิธ จตูสุปิ อภิภายตเนสุ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญิตาว วุตฺตาติฯ อชฺฌตฺตรูปานํ อนภิภวนียโตฯ ตตฺถ วา หิ อิธ วา พหิทฺธา รูปาเนว อภิภวิตพฺพานิ, ตสฺมา ตานิ นิยมโต วตฺตพฺพานี’’ติฯ
‘‘Kasmā pana yathā suttante ‘ajjhattaṃ rūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati parittānī’tiādi vuttaṃ, evaṃ avatvā idha catūsupi abhibhāyatanesu ajjhattaṃ arūpasaññitāva vuttāti. Ajjhattarūpānaṃ anabhibhavanīyato. Tattha vā hi idha vā bahiddhā rūpāneva abhibhavitabbāni, tasmā tāni niyamato vattabbānī’’ti.
ตตฺราปิ อิธปิ วุตฺตานิ ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญีติ อิทํ ปน สตฺถุ เทสนาวิลาสมตฺตเมวา’’ติฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – อิธ วณฺณาโภครหิตานิ สหิตานิ จ สพฺพานิ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ อภิภุยฺยาติฯ ปริยายกถา หิ สุตฺตนฺตเทสนาติฯ อภิธเมฺม ปน นิปฺปริยายเทสนตฺตา วณฺณาโภครหิตานิ วิสุํ วุตฺตานิ, ตถา สหิตานิฯ อตฺถิ หิ อุภยตฺถ อภิภวนวิเสโสติฯ ตถา อิธ ปริยายเทสนตฺตา วิโมกฺขานมฺปิ อภิภวนปริยาโย อตฺถีติ ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี’’ติอาทินา ปฐมทุติยอภิภายตเนสุ ปฐมวิโมโกฺข, ตติยจตุตฺถอภิภายตเนสุ ทุติยวิโมโกฺข, วณฺณาภิภายตเนสุ ตติยวิโมโกฺข จ อภิภวนปตฺติโต สงฺคหิโตฯ อภิธเมฺม ปน นิปฺปริยายเทสนตฺตา วิโมกฺขาภิภายตนานิ อสงฺกรโต เทเสตุํ วิโมเกฺข วเชฺชตฺวา อภิภายตนานิ กถิตานิฯ สพฺพานิ จ วิโมกฺขกิจฺจานิ ฌานานิ วิโมกฺขเทสนายํ วุตฺตานิฯ ตเทตํ ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี’’ติ อาคตสฺส อภิภายตนทฺวยสฺส อภิธเมฺม อภิภายตเนสุ อวจนโต ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทีนญฺจ สพฺพวิโมกฺขกิจฺจสาธารณวจนภาวโต ววตฺถานํ กตนฺติ วิญฺญายติฯ
Tatrāpi idhapi vuttāni ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī ajjhattaṃ arūpasaññīti idaṃ pana satthu desanāvilāsamattamevā’’ti. Ayaṃ panettha adhippāyo – idha vaṇṇābhogarahitāni sahitāni ca sabbāni parittāni suvaṇṇadubbaṇṇāni abhibhuyyāti. Pariyāyakathā hi suttantadesanāti. Abhidhamme pana nippariyāyadesanattā vaṇṇābhogarahitāni visuṃ vuttāni, tathā sahitāni. Atthi hi ubhayattha abhibhavanavisesoti. Tathā idha pariyāyadesanattā vimokkhānampi abhibhavanapariyāyo atthīti ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī’’tiādinā paṭhamadutiyaabhibhāyatanesu paṭhamavimokkho, tatiyacatutthaabhibhāyatanesu dutiyavimokkho, vaṇṇābhibhāyatanesu tatiyavimokkho ca abhibhavanapattito saṅgahito. Abhidhamme pana nippariyāyadesanattā vimokkhābhibhāyatanāni asaṅkarato desetuṃ vimokkhe vajjetvā abhibhāyatanāni kathitāni. Sabbāni ca vimokkhakiccāni jhānāni vimokkhadesanāyaṃ vuttāni. Tadetaṃ ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī’’ti āgatassa abhibhāyatanadvayassa abhidhamme abhibhāyatanesu avacanato ‘‘rūpī rūpāni passatī’’tiādīnañca sabbavimokkhakiccasādhāraṇavacanabhāvato vavatthānaṃ katanti viññāyati.
อชฺฌตฺตรูปานํ อนภิภวนียโตติ อิทํ อภิธเมฺม กตฺถจิปิ ‘‘อชฺฌตฺตรูปานิ ปสฺสตี’’ติ อวตฺวา สพฺพตฺถ ยํ วุตฺตํ – ‘‘พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ, ตสฺส การณวจนํฯ เตน ยํ อญฺญเหตุกํ สุตฺตเนฺต ‘‘พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ วจนํ, ตํ เตน เหตุนา วุตฺตํฯ ยํ ปน เทสนาวิลาสเหตุกํ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญิตาย เอว อภิธเมฺม วจนํ, น ตสฺส อญฺญํ การณํ มคฺคิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ อชฺฌตฺตรูปานํ อนภิภวนียตา จ เตสํ พหิทฺธารูปานํ วิย อวิภูตตฺตาฯ เทสนาวิลาโส จ ยถาวุตฺตววตฺถานวเสน เวทิตโพฺพ เวเนยฺยชฺฌาสยวเสน วิชฺชมานปริยายกถนภาวโตฯ เทสนาวิลาโส หิ นาม เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ วิชฺชมานสฺส จ ปริยายสฺส วิภาวนํ, น ยสฺส กสฺสจิ, ตสฺมา ‘‘อิธ ปริยายเทสนตฺตา’’ติอาทินา วุตฺตปฺปการํ ววตฺถานํ เทสนาวิลาสนิพนฺธนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Ajjhattarūpānaṃanabhibhavanīyatoti idaṃ abhidhamme katthacipi ‘‘ajjhattarūpāni passatī’’ti avatvā sabbattha yaṃ vuttaṃ – ‘‘bahiddhā rūpāni passatī’’ti, tassa kāraṇavacanaṃ. Tena yaṃ aññahetukaṃ suttante ‘‘bahiddhā rūpāni passatī’’ti vacanaṃ, taṃ tena hetunā vuttaṃ. Yaṃ pana desanāvilāsahetukaṃ ajjhattaṃ arūpasaññitāya eva abhidhamme vacanaṃ, na tassa aññaṃ kāraṇaṃ maggitabbanti dasseti. Ajjhattarūpānaṃ anabhibhavanīyatā ca tesaṃ bahiddhārūpānaṃ viya avibhūtattā. Desanāvilāso ca yathāvuttavavatthānavasena veditabbo veneyyajjhāsayavasena vijjamānapariyāyakathanabhāvato. Desanāvilāso hi nāma veneyyajjhāsayānurūpaṃ vijjamānassa ca pariyāyassa vibhāvanaṃ, na yassa kassaci, tasmā ‘‘idha pariyāyadesanattā’’tiādinā vuttappakāraṃ vavatthānaṃ desanāvilāsanibandhananti daṭṭhabbaṃ.
สุวณฺณทุพฺพณฺณานีติ เอเตเนว สิทฺธตฺตา น นีลาทิอภิภายตนานิ วตฺตพฺพานีติ เจ? น นีลาทีสุ กตาธิการานํ นีลาทิภาวเสฺสว อภิภวนการณตฺตาฯ น หิ เตสํ ปริสุทฺธาปริสุทฺธวณฺณานํ ปริตฺตตา อปฺปมาณตา วา อภิภวนการณํ, อถ โข นีลาทิภาโว เอวาติฯ เอเตสุ จ ปริตฺตาทิกสิณรูเปสุ ยํยํจริตสฺส อิมานิ อภิภายตนานิ อิชฺฌนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘อิเมสุ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Suvaṇṇadubbaṇṇānīti eteneva siddhattā na nīlādiabhibhāyatanāni vattabbānīti ce? Na nīlādīsu katādhikārānaṃ nīlādibhāvasseva abhibhavanakāraṇattā. Na hi tesaṃ parisuddhāparisuddhavaṇṇānaṃ parittatā appamāṇatā vā abhibhavanakāraṇaṃ, atha kho nīlādibhāvo evāti. Etesu ca parittādikasiṇarūpesu yaṃyaṃcaritassa imāni abhibhāyatanāni ijjhanti, taṃ dassetuṃ – ‘‘imesu panā’’tiādi vuttaṃ.
สพฺพสงฺคาหิกวเสนาติ นีลวณฺณนีลนิทสฺสนนีลนิภาสานํ สาธารณวเสนฯ วณฺณวเสนาติ สภาววณฺณวเสนฯ นิทสฺสนวเสนาติ ปสฺสิตพฺพตาวเสน, จกฺขุวิญฺญาณวีถิยา คเหตพฺพตาวเสน ฯ โอภาสวเสนาติ สปฺปภาสตาย อวภาสนวเสนฯ วณฺณธาตุยา วาติ อญฺชนรชตวตฺถาทิวณฺณธาตุยาฯ โลกิยาเนว รูปาวจรชฺฌานภาวโตฯ
Sabbasaṅgāhikavasenāti nīlavaṇṇanīlanidassananīlanibhāsānaṃ sādhāraṇavasena. Vaṇṇavasenāti sabhāvavaṇṇavasena. Nidassanavasenāti passitabbatāvasena, cakkhuviññāṇavīthiyā gahetabbatāvasena . Obhāsavasenāti sappabhāsatāya avabhāsanavasena. Vaṇṇadhātuyā vāti añjanarajatavatthādivaṇṇadhātuyā. Lokiyāneva rūpāvacarajjhānabhāvato.
๔๓๕. รูปีติ เอตฺถ เยนายํ สสนฺตติปริยาปเนฺนน รูเปน สมนฺนาคโต, ตํ ยสฺส ฌานสฺส เหตุภาเวน วิสิฎฺฐรูปํ โหติฯ เยน วิสิเฎฺฐน รูปีติ วุเจฺจยฺย, ตเทว สสนฺตติปริยาปนฺนรูปนิมิตฺตํ ฌานํฯ อิธ ปน ปรมตฺถโต รูปิภาวสาธกนฺติ อาห – ‘‘อชฺฌตฺตํ เกสาทีสู’’ติอาทิฯ รูปชฺฌานํ รูปนฺติ อุตฺตรปทโลเปน วุตฺตํ – ‘‘รูปูปปตฺติยา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๖๐-๑๖๑, ๑๘๕-๑๙๐ อาทโย, ๒๔๔-๒๔๕ อาทโย; วิภ. ๖๒๕) วิยฯ
435.Rūpīti ettha yenāyaṃ sasantatipariyāpannena rūpena samannāgato, taṃ yassa jhānassa hetubhāvena visiṭṭharūpaṃ hoti. Yena visiṭṭhena rūpīti vucceyya, tadeva sasantatipariyāpannarūpanimittaṃ jhānaṃ. Idha pana paramatthato rūpibhāvasādhakanti āha – ‘‘ajjhattaṃ kesādīsū’’tiādi. Rūpajjhānaṃ rūpanti uttarapadalopena vuttaṃ – ‘‘rūpūpapattiyā’’tiādīsu (dha. sa. 160-161, 185-190 ādayo, 244-245 ādayo; vibha. 625) viya.
สุภเนฺตฺวว อธิมุโตฺต โหตีติ อยํ ตติยวิโมโกฺขฯ อิธ สุปริสุทฺธนีลาทิวณฺณกสิณชฺฌานวเสน วุโตฺตติ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปฎิสมฺภิทาปาฬิยํ ตสฺส พฺรหฺมวิหารชฺฌานวเสน อาคตภาวํ ทเสฺสตุํ – ‘‘ปฎิสมฺภิทามเคฺค ปนา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ อิธ ปน อุปริปาฬิยํเยว พฺรหฺมวิหารานํ อาคตตฺตา ตํ นยํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปริสุทฺธนีลาทิวณฺณกสิณวเสเนว สุภวิโมโกฺข อนุญฺญาโตฯ
Subhantvevaadhimutto hotīti ayaṃ tatiyavimokkho. Idha suparisuddhanīlādivaṇṇakasiṇajjhānavasena vuttoti dassetvā idāni paṭisambhidāpāḷiyaṃ tassa brahmavihārajjhānavasena āgatabhāvaṃ dassetuṃ – ‘‘paṭisambhidāmagge panā’’tiādi āraddhaṃ. Idha pana uparipāḷiyaṃyeva brahmavihārānaṃ āgatattā taṃ nayaṃ paṭikkhipitvā parisuddhanīlādivaṇṇakasiṇavaseneva subhavimokkho anuññāto.
๔๔๓. ปริกมฺมปถวิยาปีติ อกตาย วา กตาย วา ทฬฺหมณฺฑลาทิสงฺขาตปริกมฺมปถวิยาปิฯ อุคฺคหนิมิตฺตาทีนํ ปถวีกสิณนฺติ นามํ นิสฺสิเต นิสฺสยโวหารวเสน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํ, ยถา ‘‘มญฺจา อุกฺกุฎฺฐิํ กโรนฺตี’’ติฯ
443.Parikammapathaviyāpīti akatāya vā katāya vā daḷhamaṇḍalādisaṅkhātaparikammapathaviyāpi. Uggahanimittādīnaṃ pathavīkasiṇanti nāmaṃ nissite nissayavohāravasena vuttanti daṭṭhabbaṃ, yathā ‘‘mañcā ukkuṭṭhiṃ karontī’’ti.
สีลานีติ ปาติโมกฺขสํวราทีนิ จตฺตาริ สีลานิฯ โสเธตฺวาติ อนาปชฺชเนน อาปนฺนวุฎฺฐาปเนน กิเลเสหิ อปฺปฎิปีฬเนน จ วิโสเธตฺวาฯ ติวิธญฺหิ สีลสฺส วิโสธนํ นาม – อนาปชฺชนํ อาปนฺนวุฎฺฐาปนํ กิเลเสหิ จ อปฺปฎิปีฬนนฺติฯ กมฺมฎฺฐานภาวนํ ปริพุเนฺธติ อุปโรเธติ ปวตฺติตุํ น เทตีติ ปลิโพโธ รการสฺส ลการํ กตฺวา, ปริพโนฺธติ อโตฺถฯ อุปจฺฉินฺทิตฺวาติ สมาปเนฺนน สงฺคาหเณน วา อุปรุนฺธิตฺวา, อปลิโพธํ กตฺวาติ อโตฺถฯ กลฺยาณมิตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวาติ –
Sīlānīti pātimokkhasaṃvarādīni cattāri sīlāni. Sodhetvāti anāpajjanena āpannavuṭṭhāpanena kilesehi appaṭipīḷanena ca visodhetvā. Tividhañhi sīlassa visodhanaṃ nāma – anāpajjanaṃ āpannavuṭṭhāpanaṃ kilesehi ca appaṭipīḷananti. Kammaṭṭhānabhāvanaṃ paribundheti uparodheti pavattituṃ na detīti palibodho rakārassa lakāraṃ katvā, paribandhoti attho. Upacchinditvāti samāpannena saṅgāhaṇena vā uparundhitvā, apalibodhaṃ katvāti attho. Kalyāṇamittaṃ upasaṅkamitvāti –
‘‘ปิโย ครุ ภาวนีโย, วตฺตา จ วจนกฺขโม;
‘‘Piyo garu bhāvanīyo, vattā ca vacanakkhamo;
คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา, โน จฎฺฐาเน นิโยชโก’’ติฯ (อ. นิ. ๗.๓๗) –
Gambhīrañca kathaṃ kattā, no caṭṭhāne niyojako’’ti. (a. ni. 7.37) –
เอวมาทิคุณสมนฺนาคตํ เอกนฺตหิเตสิํ วุทฺธิปเกฺข ฐิตํ กลฺยาณมิตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวาฯ
Evamādiguṇasamannāgataṃ ekantahitesiṃ vuddhipakkhe ṭhitaṃ kalyāṇamittaṃ upasaṅkamitvā.
อนนุรูปํ วิหารนฺติ อฎฺฐารสนฺนํ โทสานํ อญฺญตเรน สมนฺนาคตํฯ วุตฺตเญฺหตํ อฎฺฐกถาสุ –
Ananurūpaṃvihāranti aṭṭhārasannaṃ dosānaṃ aññatarena samannāgataṃ. Vuttañhetaṃ aṭṭhakathāsu –
‘‘มหาวาสํ นวาวาสํ, ชราวาสญฺจ ปนฺถนิํ;
‘‘Mahāvāsaṃ navāvāsaṃ, jarāvāsañca panthaniṃ;
โสณฺฑิํ ปณฺณญฺจ ปุปฺผญฺจ, ผลํ ปตฺถิตเมว จฯ
Soṇḍiṃ paṇṇañca pupphañca, phalaṃ patthitameva ca.
‘‘นครํ ทารุนา เขตฺตํ, วิสภาเคน ปฎฺฎนํ;
‘‘Nagaraṃ dārunā khettaṃ, visabhāgena paṭṭanaṃ;
ปจฺจนฺตสีมา สปฺปายํ, ยตฺถ มิโตฺต น ลพฺภติฯ
Paccantasīmā sappāyaṃ, yattha mitto na labbhati.
‘‘อฎฺฐารเสตานิ ฐานานิ, อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโต;
‘‘Aṭṭhārasetāni ṭhānāni, iti viññāya paṇḍito;
อารกา ปริวเชฺชยฺย, มคฺคํ สปฺปฎิภยํ ยถา’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๕๒);
Ārakā parivajjeyya, maggaṃ sappaṭibhayaṃ yathā’’ti. (visuddhi. 1.52);
อนุรูเปติ โคจรคามโต นาติทูรนจฺจาสนฺนตาทีหิ ปญฺจหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคเตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Anurūpeti gocaragāmato nātidūranaccāsannatādīhi pañcahi aṅgehi samannāgate. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, เสนาสนํ ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, เสนาสนํ นาติทูรํ โหติ นจฺจาสนฺนํ คมนาคมนสมฺปนฺนํ ทิวา อปฺปากิณฺณํ รตฺติํ อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆสํ อปฺปฑํสมกสวาตาตปสรีสปสมฺผสฺสํฯ ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน วิหรนฺตสฺส อปฺปกสิเรน อุปฺปชฺชนฺติ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราฯ ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน เถรา ภิกฺขู วิหรนฺติ พหุสฺสุตา อาคตาคมา ธมฺมธรา วินยธรา มาติกาธราฯ เต กาเลน กาลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปริปุจฺฉติ ปริปญฺหติ ‘อิทํ, ภเนฺต, กถํ อิมสฺส โก อโตฺถ’ติฯ ตสฺส เต อายสฺมโนฺต อวิวฎเญฺจว วิวรนฺติ, อนุตฺตานีกตญฺจ อุตฺตานิํ กโรนฺติ, อเนกวิหิเตสุ จ กงฺขาฐานิเยสุ ธเมฺมสุ กงฺขํ ปฎิวิโนเทนฺติฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, เสนาสนํ ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ โหตี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๑)ฯ
‘‘Kathañca, bhikkhave, senāsanaṃ pañcaṅgasamannāgataṃ hoti? Idha, bhikkhave, senāsanaṃ nātidūraṃ hoti naccāsannaṃ gamanāgamanasampannaṃ divā appākiṇṇaṃ rattiṃ appasaddaṃ appanigghosaṃ appaḍaṃsamakasavātātapasarīsapasamphassaṃ. Tasmiṃ kho pana senāsane viharantassa appakasirena uppajjanti cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārā. Tasmiṃ kho pana senāsane therā bhikkhū viharanti bahussutā āgatāgamā dhammadharā vinayadharā mātikādharā. Te kālena kālaṃ upasaṅkamitvā paripucchati paripañhati ‘idaṃ, bhante, kathaṃ imassa ko attho’ti. Tassa te āyasmanto avivaṭañceva vivaranti, anuttānīkatañca uttāniṃ karonti, anekavihitesu ca kaṅkhāṭhāniyesu dhammesu kaṅkhaṃ paṭivinodenti. Evaṃ kho, bhikkhave, senāsanaṃ pañcaṅgasamannāgataṃ hotī’’ti (a. ni. 10.11).
เอตฺถ จ นาติทูรํ นจฺจาสนฺนํ คมนาคมนสมฺปนฺนนฺติ เอกํ องฺคํ, ทิวา อปฺปากิณฺณํ รตฺติํ อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆสนฺติ เอกํ, อปฺปฑํสมกสวาตาตปสรีสปสมฺผสฺสนฺติ เอกํ, ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน วิหรนฺตสฺส…เป.… ปริกฺขาราติ เอกํ, ตสฺมิํ โข ปน เสนาสเน เถรา…เป.… กงฺขํ ปฎิวิโนเทนฺตีติ เอกนฺติ เอวํ ปญฺจงฺคานิ เวทิตพฺพานิฯ
Ettha ca nātidūraṃ naccāsannaṃ gamanāgamanasampannanti ekaṃ aṅgaṃ, divā appākiṇṇaṃ rattiṃ appasaddaṃ appanigghosanti ekaṃ, appaḍaṃsamakasavātātapasarīsapasamphassanti ekaṃ, tasmiṃ kho pana senāsane viharantassa…pe… parikkhārāti ekaṃ, tasmiṃ kho pana senāsane therā…pe… kaṅkhaṃ paṭivinodentīti ekanti evaṃ pañcaṅgāni veditabbāni.
ขุทฺทกปลิโพธํ อุปจฺฉินฺทิตฺวาติ ทีฆเกสนขโลมานํ เฉทเนน จีวรกมฺมจีวรรชนปตฺตปจนมญฺจปีฐาทิโสธนวเสน ขุทฺทกปลิโพธํ อุปจฺฉินฺทิตฺวาฯ
Khuddakapalibodhaṃupacchinditvāti dīghakesanakhalomānaṃ chedanena cīvarakammacīvararajanapattapacanamañcapīṭhādisodhanavasena khuddakapalibodhaṃ upacchinditvā.
๔๕๓. อุทฺธุมาตกาทีสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน วินีลกวิปุพฺพกวิจฺฉิทฺทกวิกฺขายิตกหตวิกฺขิตฺตกโลหิตกปุฬวกอฎฺฐิกานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺถ ภสฺตา วิย วายุนา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา ยถานุกฺกมํ สมุคฺคเตน สูนภาเวน ธุมาตตฺตา อุทฺธุมาตํ, อุทฺธุมาตเมว อุทฺธุมาตกํ, ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ อุทฺธุมาตนฺติ อุทฺธุมาตกํ, ตถารูปสฺส ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ วินีลํ วุจฺจติ วิปริภินฺนนีลวณฺณํ, วินีลเมว วินีลกํ, ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ วินีลนฺติ วินีลกํ, มํสุสฺสทฎฺฐาเนสุ รตฺตวณฺณสฺส , ปุพฺพสนฺนิจยฎฺฐาเนสุ เสตวณฺณสฺส, เยภุเยฺยน จ นีลวณฺณสฺส นิลฎฺฐาเน นีลสาฎกปารุตเสฺสว ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปริภินฺนฎฺฐาเนสุ วิสฺสนฺทมานปุพฺพํ วิปุพฺพํ, วิปุพฺพเมว วิปุพฺพกํ, ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ วิปุพฺพนฺติ วิปุพฺพกํ, ตถารูปสฺส ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ วิจฺฉิทฺทํ วุจฺจติ ทฺวิธา ฉินฺทเนน อปธาริตํ, วิจฺฉิทฺทเมว วิจฺฉิทฺทกํ, ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ วิจฺฉิทฺทนฺติ วิจฺฉิทฺทกํ, เวมเชฺฌ ฉินฺนสฺส ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ อิโต จ เอโตฺต จ วิวิธากาเรน โสณสิงฺคาลาทีหิ ขายิตํ วิกฺขายิตํ, วิกฺขายิตเมว วิกฺขายิตกํ, ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ วิกฺขายิตนฺติ วิกฺขายิตกํ, ตถารูปสฺส ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ
453.Uddhumātakādīsūti ettha ādi-saddena vinīlakavipubbakavicchiddakavikkhāyitakahatavikkhittakalohitakapuḷavakaaṭṭhikānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Tattha bhastā viya vāyunā uddhaṃ jīvitapariyādānā yathānukkamaṃ samuggatena sūnabhāvena dhumātattā uddhumātaṃ, uddhumātameva uddhumātakaṃ, paṭikūlattā vā kucchitaṃ uddhumātanti uddhumātakaṃ, tathārūpassa chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Vinīlaṃ vuccati viparibhinnanīlavaṇṇaṃ, vinīlameva vinīlakaṃ, paṭikūlattā vā kucchitaṃ vinīlanti vinīlakaṃ, maṃsussadaṭṭhānesu rattavaṇṇassa , pubbasannicayaṭṭhānesu setavaṇṇassa, yebhuyyena ca nīlavaṇṇassa nilaṭṭhāne nīlasāṭakapārutasseva chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Paribhinnaṭṭhānesu vissandamānapubbaṃ vipubbaṃ, vipubbameva vipubbakaṃ, paṭikūlattā vā kucchitaṃ vipubbanti vipubbakaṃ, tathārūpassa chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Vicchiddaṃ vuccati dvidhā chindanena apadhāritaṃ, vicchiddameva vicchiddakaṃ, paṭikūlattā vā kucchitaṃ vicchiddanti vicchiddakaṃ, vemajjhe chinnassa chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Ito ca etto ca vividhākārena soṇasiṅgālādīhi khāyitaṃ vikkhāyitaṃ, vikkhāyitameva vikkhāyitakaṃ, paṭikūlattā vā kucchitaṃ vikkhāyitanti vikkhāyitakaṃ, tathārūpassa chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ.
วิวิธา ขิตฺตํ วิกฺขิตฺตํ, วิกฺขิตฺตเมว วิกฺขิตฺตกํ, ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ วิกฺขิตฺตนฺติ วิกฺขิตฺตกํ, อเญฺญน หตฺถํ, อเญฺญน ปาทํ, อเญฺญน สีสนฺติ เอวํ ตโต ตโต วิกฺขิตฺตสฺส ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ หตญฺจ ตํ ปุริมนเยเนว วิกฺขิตฺตกญฺจาติ หตวิกฺขิตฺตกํ, กากปทากาเรน องฺคปจฺจเงฺคสุ สเตฺถน หนิตฺวา วุตฺตนเยเนว วิกฺขิตฺตสฺส ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ โลหิตํ กิรติ วิกฺขิปติ อิโต จิโต จ ปคฺฆรตีติ โลหิตกํ, ปคฺฆริตโลหิตมกฺขิตสฺส ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปุฬวา วุจฺจนฺติ กิมโย, ปุฬเว กิรตีติ ปุฬวกํ, กิมิปริปุณฺณสฺส ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ อฎฺฐิเยว อฎฺฐิกํ, ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ อฎฺฐีติ อฎฺฐิกํ, อฎฺฐิสงฺขลิกายปิ เอกฎฺฐิกสฺสปิ เอตํ อธิวจนํฯ อิเมสุ ทสสุ อสุเภสุ ปฐมชฺฌานเมว อุปฺปชฺชติ, น ทุติยาทีนิฯ เตนาห – อิธ ‘‘ปฐมชฺฌานสหคตา สญฺญา’’ติฯ ตถา หิ อปริสณฺฐิตชลาย สีฆโสตาย นทิยา อริตฺตพเลเนว นาวา ติฎฺฐติ, วินา อริเตฺตน น สกฺกา ฐเปตุํฯ เอวเมวํ ทุพฺพลตฺตา อารมฺมณสฺส วิตกฺกพเลเนว จิตฺตํ เอกคฺคํ หุตฺวา ติฎฺฐติ, วินา วิตเกฺกน น สกฺกา ฐเปตุํ ฯ ตสฺมา ปฐมชฺฌานเมเวตฺถ โหติ, น ทุติยาทีนิฯ อารมฺมณสฺส ทุพฺพลตา เจตฺถ ปฎิกูลภาเวน จิตฺตํ ฐเปตุํ อสมตฺถตาฯ
Vividhā khittaṃ vikkhittaṃ, vikkhittameva vikkhittakaṃ, paṭikūlattā vā kucchitaṃ vikkhittanti vikkhittakaṃ, aññena hatthaṃ, aññena pādaṃ, aññena sīsanti evaṃ tato tato vikkhittassa chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Hatañca taṃ purimanayeneva vikkhittakañcāti hatavikkhittakaṃ, kākapadākārena aṅgapaccaṅgesu satthena hanitvā vuttanayeneva vikkhittassa chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Lohitaṃ kirati vikkhipati ito cito ca paggharatīti lohitakaṃ, paggharitalohitamakkhitassa chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Puḷavā vuccanti kimayo, puḷave kiratīti puḷavakaṃ, kimiparipuṇṇassa chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Aṭṭhiyeva aṭṭhikaṃ, paṭikūlattā vā kucchitaṃ aṭṭhīti aṭṭhikaṃ, aṭṭhisaṅkhalikāyapi ekaṭṭhikassapi etaṃ adhivacanaṃ. Imesu dasasu asubhesu paṭhamajjhānameva uppajjati, na dutiyādīni. Tenāha – idha ‘‘paṭhamajjhānasahagatā saññā’’ti. Tathā hi aparisaṇṭhitajalāya sīghasotāya nadiyā arittabaleneva nāvā tiṭṭhati, vinā arittena na sakkā ṭhapetuṃ. Evamevaṃ dubbalattā ārammaṇassa vitakkabaleneva cittaṃ ekaggaṃ hutvā tiṭṭhati, vinā vitakkena na sakkā ṭhapetuṃ . Tasmā paṭhamajjhānamevettha hoti, na dutiyādīni. Ārammaṇassa dubbalatā cettha paṭikūlabhāvena cittaṃ ṭhapetuṃ asamatthatā.
‘‘รุโกฺข มโต, โลหํ มต’’นฺติอาทีสุ ยํ ขนฺธปฺปพนฺธํ อุปาทาย รุกฺขาทิสมญฺญา, ตสฺมิํ อนุปจฺฉิเนฺนปิ อลฺลตาทิวิคมนํ นิสฺสาย มตโวหาโร สมฺมุติมรณํฯ สงฺขารานํ ขณภงฺคสงฺขาตํ ขณิกมรณํฯ สมุเจฺฉทมรณนฺติ อรหโต สนฺตานสฺส สพฺพโส อุเจฺฉทภูตํ มรณํฯ วิปสฺสนาภาวนาวเสน เจตํ วุตฺตํฯ มรณานุสฺสติภาวนายํ ปน ติวิธเมฺปตํ นาธิเปฺปตํ อสํเวควตฺถุโต อนุปฎฺฐหนโต อพาหุลฺลโต จฯ มรณานุสฺสติยญฺหิ เอเกน ภเวน ปริจฺฉินฺนสฺส ชีวิตินฺทฺริยปฺปพนฺธสฺส วิเจฺฉโท มรณนฺติ อธิเปฺปโต สํเวควตฺถุโต อุปฎฺฐหนโต พาหุลฺลโต จฯ อิทานิ อิมเมว มรณํ สนฺธาย วิกปฺปนฺตรํ ทเสฺสโนฺต, ‘‘เหฎฺฐา วุตฺตลกฺขณา วา’’ติอาทิมาหฯ
‘‘Rukkho mato, lohaṃ mata’’ntiādīsu yaṃ khandhappabandhaṃ upādāya rukkhādisamaññā, tasmiṃ anupacchinnepi allatādivigamanaṃ nissāya matavohāro sammutimaraṇaṃ. Saṅkhārānaṃ khaṇabhaṅgasaṅkhātaṃ khaṇikamaraṇaṃ. Samucchedamaraṇanti arahato santānassa sabbaso ucchedabhūtaṃ maraṇaṃ. Vipassanābhāvanāvasena cetaṃ vuttaṃ. Maraṇānussatibhāvanāyaṃ pana tividhampetaṃ nādhippetaṃ asaṃvegavatthuto anupaṭṭhahanato abāhullato ca. Maraṇānussatiyañhi ekena bhavena paricchinnassa jīvitindriyappabandhassa vicchedo maraṇanti adhippeto saṃvegavatthuto upaṭṭhahanato bāhullato ca. Idāni imameva maraṇaṃ sandhāya vikappantaraṃ dassento, ‘‘heṭṭhā vuttalakkhaṇā vā’’tiādimāha.
อสิตปีตาทิเภเทติ อสิตปีตขายิตสายิตปฺปเภเท, อสิตพฺพขาทิตพฺพสายิตพฺพวิภาเคติ อโตฺถ กาลเภทวจนิจฺฉาย อภาวโต ยถา ‘‘ทุทฺธ’’นฺติฯ กพฬํ กรียตีติ กพฬีกาโร, อาหรียตีติ อาหาโร, กพฬีกาโร จ โส อาหาโร จาติ กพฬีการาหาโรฯ วตฺถุวเสน เจตํ วุตฺตํฯ สวตฺถุโก เอว หิ อาหาโร อิธ กมฺมฎฺฐานภาเวน อธิเปฺปโตฯ โอชาลกฺขโณ ปน อาหาโร โอชฎฺฐมกํ รูปํ อาหรตีติ อาหาโรติ วุจฺจติฯ โส อิธ นาธิเปฺปโต ปฎิกูลาการคฺคหณสฺส อสมฺภวโตฯ นว ปฎิกูลานีติ คมนปริเยสนปริโภคาสยนิทานอปริปกฺกปริปกฺกผลนิสฺสนฺทปฺปฎิกูลวเสน นว ปฎิกูลานิฯ สมกฺขนปฺปฎิกูลํ ปน ปริโภคาทีสุ ลพฺภมานตฺตา อิธ วิสุํ น คหิตํ, อญฺญถา เตน สทฺธิํ ‘‘ทส ปฎิกูลานี’’ติ วตฺตพฺพํฯ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๓๐๓-๓๐๔) ปน สมกฺขนํ ปริโภคาทีสุ ลพฺภมานมฺปิ นิสฺสนฺทวเสน วิเสสโต ปฎิกูลนฺติ วิสุํ คเหตฺวา ทสหากาเรหิ ปฎิกูลตา วุตฺตาฯ
Asitapītādibhedeti asitapītakhāyitasāyitappabhede, asitabbakhāditabbasāyitabbavibhāgeti attho kālabhedavacanicchāya abhāvato yathā ‘‘duddha’’nti. Kabaḷaṃ karīyatīti kabaḷīkāro, āharīyatīti āhāro, kabaḷīkāro ca so āhāro cāti kabaḷīkārāhāro. Vatthuvasena cetaṃ vuttaṃ. Savatthuko eva hi āhāro idha kammaṭṭhānabhāvena adhippeto. Ojālakkhaṇo pana āhāro ojaṭṭhamakaṃ rūpaṃ āharatīti āhāroti vuccati. So idha nādhippeto paṭikūlākāraggahaṇassa asambhavato. Nava paṭikūlānīti gamanapariyesanaparibhogāsayanidānaaparipakkaparipakkaphalanissandappaṭikūlavasena nava paṭikūlāni. Samakkhanappaṭikūlaṃ pana paribhogādīsu labbhamānattā idha visuṃ na gahitaṃ, aññathā tena saddhiṃ ‘‘dasa paṭikūlānī’’ti vattabbaṃ. Visuddhimagge (visuddhi. 1.303-304) pana samakkhanaṃ paribhogādīsu labbhamānampi nissandavasena visesato paṭikūlanti visuṃ gahetvā dasahākārehi paṭikūlatā vuttā.
อุปฺปชฺชนกสญฺญนฺติ ปฎิกูลาการคฺคหณวเสน อุปฺปชฺชนกสญฺญํฯ สญฺญาสโทฺท จายํ ‘‘รูปสญฺญา สทฺทสญฺญา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๕๗) สญฺชานนลกฺขเณ ธเมฺม อาคโต, ‘‘อนิจฺจสญฺญา ทุกฺขสญฺญา’’ติอาทีสุ วิปสฺสนาย อาคโต, ‘‘อุทฺธุมาตกสญฺญาติ วา โสปากรูปสญฺญาติ วา อิเม ธมฺมา เอกฎฺฐา, อุทาหุ นานฎฺฐา’’ติอาทีสุ สมเถ อาคโตฯ อิธ ปน สมถสฺส ปริกเมฺม ทฎฺฐโพฺพฯ อาหาเรหิ ปฎิกูลาการคฺคหณํ, ตปฺปภาวิตํ วา อุปจารชฺฌานํ อิธ ‘‘อาหาเร ปฎิกูลสญฺญา’’ติ อธิเปฺปตํฯ
Uppajjanakasaññanti paṭikūlākāraggahaṇavasena uppajjanakasaññaṃ. Saññāsaddo cāyaṃ ‘‘rūpasaññā saddasaññā’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.57) sañjānanalakkhaṇe dhamme āgato, ‘‘aniccasaññā dukkhasaññā’’tiādīsu vipassanāya āgato, ‘‘uddhumātakasaññāti vā sopākarūpasaññāti vā ime dhammā ekaṭṭhā, udāhu nānaṭṭhā’’tiādīsu samathe āgato. Idha pana samathassa parikamme daṭṭhabbo. Āhārehi paṭikūlākāraggahaṇaṃ, tappabhāvitaṃ vā upacārajjhānaṃ idha ‘‘āhāre paṭikūlasaññā’’ti adhippetaṃ.
อุกฺกณฺฐิตสญฺญนฺติ นิพฺพินฺทนากาเรน อุปฺปชฺชนกสญฺญํฯ อนิจฺจสญฺญนฺติ เอตฺถ อนิจฺจํ ขนฺธปญฺจกํ อุปฺปาทวยญฺญถตฺตภาวโต, หุตฺวา อภาวโต วา, ตสฺมิํ อนิเจฺจ ขนฺธปญฺจเก อนิจฺจนฺติ อุปฺปชฺชมานา อนิจฺจลกฺขณปริคฺคาหิกา สญฺญา อนิจฺจสญฺญาฯ เตนาห – ‘‘ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธาน’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ อุทโย นิพฺพตฺติลกฺขณํ, วโย วิปริณามลกฺขณํ, อญฺญถตฺตํ ชราฯ อุทยพฺพยญฺญถตฺตคฺคหเณน อนิจฺจลกฺขณํ ทเสฺสติฯ อุปฺปาทวยญฺญถตฺตภาวโต หิ ขนฺธปญฺจกํ อนิจฺจนฺติ วุจฺจติฯ ยสฺส จ สภาเวน ขนฺธปญฺจกํ อนิจฺจนฺติ วุจฺจติ, ตํ อนิจฺจลกฺขณํฯ เตน หิ ตํ อนิจฺจนฺติ ลกฺขียติ, อนิจฺจลกฺขณญฺจ อุทยพฺพยานํ อมนสิการา สนฺตติยา ปฎิจฺฉนฺนตฺตา น อุปฎฺฐาติ, อุทยพฺพยํ ปน ปริคฺคเหตฺวา สนฺตติยา วิโกปิตาย อนิจฺจลกฺขณํ ยาถาวสรสโต อุปฎฺฐาติฯ น หิ สมฺมเทว อุทยพฺพยํ สลฺลเกฺขนฺตสฺส ปุพฺพาปริเยน ปวตฺตมานานํ ธมฺมานํ อโญฺญญฺญภาวํ สลฺลกฺขเณน สนฺตติยา อุคฺฆาฎิตาย ธมฺมา สมฺพนฺธภาเวน อุปฎฺฐหนฺติ, อถ โข อโยสลากา วิย อสมฺพนฺธภาเวนาติ สุฎฺฐุตรํ อนิจฺจลกฺขณํ ปากฎํ โหติฯ
Ukkaṇṭhitasaññanti nibbindanākārena uppajjanakasaññaṃ. Aniccasaññanti ettha aniccaṃ khandhapañcakaṃ uppādavayaññathattabhāvato, hutvā abhāvato vā, tasmiṃ anicce khandhapañcake aniccanti uppajjamānā aniccalakkhaṇapariggāhikā saññā aniccasaññā. Tenāha – ‘‘pañcannaṃ upādānakkhandhāna’’ntiādi. Tattha udayo nibbattilakkhaṇaṃ, vayo vipariṇāmalakkhaṇaṃ, aññathattaṃ jarā. Udayabbayaññathattaggahaṇena aniccalakkhaṇaṃ dasseti. Uppādavayaññathattabhāvato hi khandhapañcakaṃ aniccanti vuccati. Yassa ca sabhāvena khandhapañcakaṃ aniccanti vuccati, taṃ aniccalakkhaṇaṃ. Tena hi taṃ aniccanti lakkhīyati, aniccalakkhaṇañca udayabbayānaṃ amanasikārā santatiyā paṭicchannattā na upaṭṭhāti, udayabbayaṃ pana pariggahetvā santatiyā vikopitāya aniccalakkhaṇaṃ yāthāvasarasato upaṭṭhāti. Na hi sammadeva udayabbayaṃ sallakkhentassa pubbāpariyena pavattamānānaṃ dhammānaṃ aññoññabhāvaṃ sallakkhaṇena santatiyā ugghāṭitāya dhammā sambandhabhāvena upaṭṭhahanti, atha kho ayosalākā viya asambandhabhāvenāti suṭṭhutaraṃ aniccalakkhaṇaṃ pākaṭaṃ hoti.
‘‘ยทนิจฺจํ, ตํ ทุกฺข’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๑๕, ๔๕, ๔๖, ๗๖, ๗๗, ๘๕; ๒.๔.๑, ๔) วจนโต ตเทว ขนฺธปญฺจกํ อภิณฺหปฺปฎิปีฬนโต ทุกฺขํ, อภิณฺหปฺปฎิปีฬนากาโร ปน ทุกฺขลกฺขณํฯ เตเนวาห – ‘‘อนิเจฺจ ขนฺธปญฺจเก…เป.… สญฺญํ ภาเวตี’’ติฯ ตตฺถ ปฎิปีฬนํ นาม ยถาปริคฺคหิตํ อุทยวยวเสน สงฺขารานํ นิรนฺตรํ ปฎิปีฬิยมานตา วิพาธิยมานตาฯ ทุกฺขลกฺขณญฺจ อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนสฺส อมนสิการา อิริยาปเถหิ ปฎิจฺฉนฺนตฺตา น อุปฎฺฐาติ, อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนํ ปน มนสิ กริตฺวา อิริยาปเถ ลพฺภมานทุกฺขปฺปฎิจฺฉาทกภาเว อุคฺฆาฎิเต ทุกฺขลกฺขณํ ยาถาวสรสโต อุปฎฺฐาติฯ ตถา หิ อิริยาปเถหิ ปฎิจฺฉนฺนตฺตา ทุกฺขลกฺขณํ น อุปฎฺฐาติ, เต จ อิริยาปถา อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนามนสิกาเรน ปฎิจฺฉาทกา ชาตาฯ เอกสฺมิญฺหิ อิริยาปเถ อุปฺปนฺนสฺส ทุกฺขสฺส วิโนทกํ อิริยาปถนฺตรํ ตสฺส ปฎิจฺฉาทกํ วิย โหติ, เอวํ เสสาปิฯ อิริยาปถานํ ปน ตํตํทุกฺขปติตาการภาเว ยาถาวโต ญาเต เตสํ ทุกฺขปฺปฎิจฺฉาทกภาโว อุคฺฆาฎิโต นาม โหติ สงฺขารานํ นิรนฺตรํ ทุกฺขาภิตุนฺนตาย ปากฎภาวโตฯ ตสฺมา อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนํ มนสิ กริตฺวา อิริยาปเถ ลพฺภมานทุกฺขปฺปฎิจฺฉาทกภาเว อุคฺฆาฎิเต ทุกฺขลกฺขณํ ยาถาวสรสโต อุปฎฺฐาติฯ
‘‘Yadaniccaṃ, taṃ dukkha’’nti (saṃ. ni. 3.15, 45, 46, 76, 77, 85; 2.4.1, 4) vacanato tadeva khandhapañcakaṃ abhiṇhappaṭipīḷanato dukkhaṃ, abhiṇhappaṭipīḷanākāro pana dukkhalakkhaṇaṃ. Tenevāha – ‘‘anicce khandhapañcake…pe… saññaṃ bhāvetī’’ti. Tattha paṭipīḷanaṃ nāma yathāpariggahitaṃ udayavayavasena saṅkhārānaṃ nirantaraṃ paṭipīḷiyamānatā vibādhiyamānatā. Dukkhalakkhaṇañca abhiṇhasampaṭipīḷanassa amanasikārā iriyāpathehi paṭicchannattā na upaṭṭhāti, abhiṇhasampaṭipīḷanaṃ pana manasi karitvā iriyāpathe labbhamānadukkhappaṭicchādakabhāve ugghāṭite dukkhalakkhaṇaṃ yāthāvasarasato upaṭṭhāti. Tathā hi iriyāpathehi paṭicchannattā dukkhalakkhaṇaṃ na upaṭṭhāti, te ca iriyāpathā abhiṇhasampaṭipīḷanāmanasikārena paṭicchādakā jātā. Ekasmiñhi iriyāpathe uppannassa dukkhassa vinodakaṃ iriyāpathantaraṃ tassa paṭicchādakaṃ viya hoti, evaṃ sesāpi. Iriyāpathānaṃ pana taṃtaṃdukkhapatitākārabhāve yāthāvato ñāte tesaṃ dukkhappaṭicchādakabhāvo ugghāṭito nāma hoti saṅkhārānaṃ nirantaraṃ dukkhābhitunnatāya pākaṭabhāvato. Tasmā abhiṇhasampaṭipīḷanaṃ manasi karitvā iriyāpathe labbhamānadukkhappaṭicchādakabhāve ugghāṭite dukkhalakkhaṇaṃ yāthāvasarasato upaṭṭhāti.
‘‘ยํ ทุกฺขํ, ตทนตฺตา’’ติ วจนโต ตเทว ขนฺธปญฺจกํ อวสวตฺตนโต อนตฺตา, อวสวตฺตนากาโร ปน อนตฺตลกฺขณํฯ เตนาห – ‘‘ปฎิปีฬนเฎฺฐนา’’ติอาทิ ฯ อนตฺตลกฺขณญฺจ นานาธาตุวินิโพฺภคสฺส อมนสิการา ฆเนน ปฎิจฺฉนฺนตฺตา น อุปฎฺฐาติ, นานาธาตุโย ปน วินิพฺภุชฺชิตฺวา ‘‘อญฺญา ปถวีธาตุ, อญฺญา อาโปธาตู’’ติอาทินา, ‘‘อโญฺญ ผโสฺส, อญฺญา เวทนา’’ติอาทินา จ วิสุํ วิสุํ กตฺวา ฆนวินิโพฺภเค กเต สมูหฆเน กิจฺจารมฺมณฆเน จ เภทิเต อนตฺตลกฺขณํ ยาถาวสรสโต อุปฎฺฐาติฯ ยา เหสา อญฺญมญฺญูปตฺถเมฺภสุ สมุทิเตสุ รูปารูปธเมฺมสุ เอกตฺตาภินิเวสวเสน อปริมทฺทิตสงฺขาเรหิ มมายมานา สมูหฆนตา, ตถา เตสํ เตสํ ธมฺมานํ กิจฺจเภทสฺส สติปิ ปฎินิยตภาเว เอกโต คยฺหมานา กิจฺจฆนตา, ตถา สารมฺมณธมฺมานํ สติปิ อารมฺมณกรณเภเท เอกโต คยฺหมานา อารมฺมณฆนตาฯ สา จตูสุ ธาตูสุ ญาเณน วินิพฺภุชิตฺวา ทิสฺสมานาสุ หเตฺถน ปริมทฺทิยมาโน เผณปิโณฺฑ วิย วิลีนํ อาคจฺฉติ, ยถาปจฺจยํ ปวตฺตมานา สุญฺญา เอเต ธมฺมมตฺตาติ อวสวตฺตนาการสงฺขาตํ อนตฺตลกฺขณํ ปากฎตรํ โหติฯ
‘‘Yaṃ dukkhaṃ, tadanattā’’ti vacanato tadeva khandhapañcakaṃ avasavattanato anattā, avasavattanākāro pana anattalakkhaṇaṃ. Tenāha – ‘‘paṭipīḷanaṭṭhenā’’tiādi . Anattalakkhaṇañca nānādhātuvinibbhogassa amanasikārā ghanena paṭicchannattā na upaṭṭhāti, nānādhātuyo pana vinibbhujjitvā ‘‘aññā pathavīdhātu, aññā āpodhātū’’tiādinā, ‘‘añño phasso, aññā vedanā’’tiādinā ca visuṃ visuṃ katvā ghanavinibbhoge kate samūhaghane kiccārammaṇaghane ca bhedite anattalakkhaṇaṃ yāthāvasarasato upaṭṭhāti. Yā hesā aññamaññūpatthambhesu samuditesu rūpārūpadhammesu ekattābhinivesavasena aparimadditasaṅkhārehi mamāyamānā samūhaghanatā, tathā tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ kiccabhedassa satipi paṭiniyatabhāve ekato gayhamānā kiccaghanatā, tathā sārammaṇadhammānaṃ satipi ārammaṇakaraṇabhede ekato gayhamānā ārammaṇaghanatā. Sā catūsu dhātūsu ñāṇena vinibbhujitvā dissamānāsu hatthena parimaddiyamāno pheṇapiṇḍo viya vilīnaṃ āgacchati, yathāpaccayaṃ pavattamānā suññā ete dhammamattāti avasavattanākārasaṅkhātaṃ anattalakkhaṇaṃ pākaṭataraṃ hoti.
อปรอจฺฉราสงฺฆาตวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Aparaaccharāsaṅghātavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๘. อปรอจฺฉราสงฺฆาตวโคฺค • 18. Aparaaccharāsaṅghātavaggo
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๘. อปรอจฺฉราสงฺฆาตวคฺควณฺณนา • 18. Aparaaccharāsaṅghātavaggavaṇṇanā