Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya

    ๒. อาปตฺติภยสุตฺตํ

    2. Āpattibhayasuttaṃ

    ๒๔๔. ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, อาปตฺติภยานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, โจรํ อาคุจาริํ คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสยฺยุํ – ‘อยํ เต, เทว, โจโร อาคุจารีฯ อิมสฺส เทโว ทณฺฑํ ปเณตู’ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย – ‘คจฺฉถ , โภ, อิมํ ปุริสํ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทถา’ติฯ ตเมนํ รโญฺญ ปุริสา ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉิเนฺทยฺยุํฯ ตตฺรญฺญตรสฺส ถลฎฺฐสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘ปาปกํ วต, โภ, อยํ ปุริโส กมฺมํ อกาสิ คารยฺหํ สีสเจฺฉชฺชํฯ ยตฺร หิ นาม รโญฺญ ปุริสา ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฎเกน สิงฺฆาฎกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทิสฺสนฺติ ! โส วตสฺสาหํ 1 เอวรูปํ ปาปกมฺมํ 2 น กเรยฺยํ 3 คารยฺหํ สีสเจฺฉชฺช’นฺติฯ เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา เอวํ ติพฺพา ภยสญฺญา ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติ ปาราชิเกสุ ธเมฺมสุฯ ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – อนาปโนฺน วา ปาราชิกํ ธมฺมํ น อาปชฺชิสฺสติ, อาปโนฺน วา ปาราชิกํ ธมฺมํ ยถาธมฺมํ ปฎิกริสฺสติฯ

    244. ‘‘Cattārimāni, bhikkhave, āpattibhayāni. Katamāni cattāri? Seyyathāpi, bhikkhave, coraṃ āgucāriṃ gahetvā rañño dasseyyuṃ – ‘ayaṃ te, deva, coro āgucārī. Imassa devo daṇḍaṃ paṇetū’ti. Tamenaṃ rājā evaṃ vadeyya – ‘gacchatha , bho, imaṃ purisaṃ daḷhāya rajjuyā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā khuramuṇḍaṃ karitvā kharassarena paṇavena rathikāya rathikaṃ siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ parinetvā dakkhiṇena dvārena nikkhāmetvā dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chindathā’ti. Tamenaṃ rañño purisā daḷhāya rajjuyā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā khuramuṇḍaṃ karitvā kharassarena paṇavena rathikāya rathikaṃ siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ parinetvā dakkhiṇena dvārena nikkhāmetvā dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chindeyyuṃ. Tatraññatarassa thalaṭṭhassa purisassa evamassa – ‘pāpakaṃ vata, bho, ayaṃ puriso kammaṃ akāsi gārayhaṃ sīsacchejjaṃ. Yatra hi nāma rañño purisā daḷhāya rajjuyā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā khuramuṇḍaṃ karitvā kharassarena paṇavena rathikāya rathikaṃ siṅghāṭakena siṅghāṭakaṃ parinetvā dakkhiṇena dvārena nikkhāmetvā dakkhiṇato nagarassa sīsaṃ chindissanti ! So vatassāhaṃ 4 evarūpaṃ pāpakammaṃ 5 na kareyyaṃ 6 gārayhaṃ sīsacchejja’nti. Evamevaṃ kho, bhikkhave, yassa kassaci bhikkhussa vā bhikkhuniyā vā evaṃ tibbā bhayasaññā paccupaṭṭhitā hoti pārājikesu dhammesu. Tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – anāpanno vā pārājikaṃ dhammaṃ na āpajjissati, āpanno vā pārājikaṃ dhammaṃ yathādhammaṃ paṭikarissati.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส กาฬวตฺถํ 7 ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา มุสลํ ขเนฺธ อาโรเปตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อหํ, ภเนฺต, ปาปกมฺมํ อกาสิํ คารยฺหํ โมสลฺลํ, เยน เม อายสฺมโนฺต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมี’ติฯ ตตฺรญฺญตรสฺส ถลฎฺฐสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘ปาปกํ วต, โภ, อยํ ปุริโส กมฺมํ อกาสิ คารยฺหํ โมสลฺลํฯ ยตฺร หิ นาม กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา มุสลํ ขเนฺธ อาโรเปตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วกฺขติ – ‘อหํ, ภเนฺต, ปาปกมฺมํ อกาสิํ คารยฺหํ โมสลฺลํ, เยน เม อายสฺมโนฺต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมีติฯ โส วตสฺสาหํ เอวรูปํ ปาปกมฺมํ น กเรยฺยํ คารยฺหํ โมสลฺล’นฺติฯ เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา เอวํ ติพฺพา ภยสญฺญา ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติ สงฺฆาทิเสเสสุ ธเมฺมสุ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – อนาปโนฺน วา สงฺฆาทิเสสํ ธมฺมํ น อาปชฺชิสฺสติ, อาปโนฺน วา สงฺฆาทิเสสํ ธมฺมํ ยถาธมฺมํ ปฎิกริสฺสติฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, puriso kāḷavatthaṃ 8 paridhāya kese pakiritvā musalaṃ khandhe āropetvā mahājanakāyaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadeyya – ‘ahaṃ, bhante, pāpakammaṃ akāsiṃ gārayhaṃ mosallaṃ, yena me āyasmanto attamanā honti taṃ karomī’ti. Tatraññatarassa thalaṭṭhassa purisassa evamassa – ‘pāpakaṃ vata, bho, ayaṃ puriso kammaṃ akāsi gārayhaṃ mosallaṃ. Yatra hi nāma kāḷavatthaṃ paridhāya kese pakiritvā musalaṃ khandhe āropetvā mahājanakāyaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vakkhati – ‘ahaṃ, bhante, pāpakammaṃ akāsiṃ gārayhaṃ mosallaṃ, yena me āyasmanto attamanā honti taṃ karomīti. So vatassāhaṃ evarūpaṃ pāpakammaṃ na kareyyaṃ gārayhaṃ mosalla’nti. Evamevaṃ kho, bhikkhave, yassa kassaci bhikkhussa vā bhikkhuniyā vā evaṃ tibbā bhayasaññā paccupaṭṭhitā hoti saṅghādisesesu dhammesu, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – anāpanno vā saṅghādisesaṃ dhammaṃ na āpajjissati, āpanno vā saṅghādisesaṃ dhammaṃ yathādhammaṃ paṭikarissati.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา ภสฺมปุฎํ 9 ขเนฺธ อาโรเปตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อหํ, ภเนฺต, ปาปกมฺมํ อกาสิํ คารยฺหํ ภสฺมปุฎํฯ เยน เม อายสฺมโนฺต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมี’ติฯ ตตฺรญฺญตรสฺส ถลฎฺฐสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘ปาปกํ วต, โภ, อยํ ปุริโส กมฺมํ อกาสิ คารยฺหํ ภสฺมปุฎํฯ ยตฺร หิ นาม กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา ภสฺมปุฎํ ขเนฺธ อาโรเปตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วกฺขติ – อหํ, ภเนฺต, ปาปกมฺมํ อกาสิํ คารยฺหํ ภสฺมปุฎํ; เยน เม อายสฺมโนฺต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมีติฯ โส วตสฺสาหํ เอวรูปํ ปาปกมฺมํ น กเรยฺยํ คารยฺหํ ภสฺมปุฎ’นฺติฯ เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา เอวํ ติพฺพา ภยสญฺญา ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติ ปาจิตฺติเยสุ ธเมฺมสุ , ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – อนาปโนฺน วา ปาจิตฺติยํ ธมฺมํ น อาปชฺชิสฺสติ, อาปโนฺน วา ปาจิตฺติยํ ธมฺมํ ยถาธมฺมํ ปฎิกริสฺสติฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, puriso kāḷavatthaṃ paridhāya kese pakiritvā bhasmapuṭaṃ 10 khandhe āropetvā mahājanakāyaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadeyya – ‘ahaṃ, bhante, pāpakammaṃ akāsiṃ gārayhaṃ bhasmapuṭaṃ. Yena me āyasmanto attamanā honti taṃ karomī’ti. Tatraññatarassa thalaṭṭhassa purisassa evamassa – ‘pāpakaṃ vata, bho, ayaṃ puriso kammaṃ akāsi gārayhaṃ bhasmapuṭaṃ. Yatra hi nāma kāḷavatthaṃ paridhāya kese pakiritvā bhasmapuṭaṃ khandhe āropetvā mahājanakāyaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vakkhati – ahaṃ, bhante, pāpakammaṃ akāsiṃ gārayhaṃ bhasmapuṭaṃ; yena me āyasmanto attamanā honti taṃ karomīti. So vatassāhaṃ evarūpaṃ pāpakammaṃ na kareyyaṃ gārayhaṃ bhasmapuṭa’nti. Evamevaṃ kho, bhikkhave, yassa kassaci bhikkhussa vā bhikkhuniyā vā evaṃ tibbā bhayasaññā paccupaṭṭhitā hoti pācittiyesu dhammesu , tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – anāpanno vā pācittiyaṃ dhammaṃ na āpajjissati, āpanno vā pācittiyaṃ dhammaṃ yathādhammaṃ paṭikarissati.

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อหํ, ภเนฺต, ปาปกมฺมํ อกาสิํ คารยฺหํ อุปวชฺชํฯ เยน เม อายสฺมโนฺต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมี’ติฯ ตตฺรญฺญตรสฺส ถลฎฺฐสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘ปาปกํ วต, โภ, อยํ ปุริโส กมฺมํ อกาสิ คารยฺหํ อุปวชฺชํฯ ยตฺร หิ นาม กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วกฺขติ – อหํ, ภเนฺต, ปาปกมฺมํ อกาสิํ คารยฺหํ อุปวชฺชํ; เยน เม อายสฺมโนฺต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมีติฯ โส วตสฺสาหํ เอวรูปํ ปาปกมฺมํ น กเรยฺยํ คารยฺหํ อุปวชฺช’นฺติฯ เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา เอวํ ติพฺพา ภยสญฺญา ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติ ปาฎิเทสนีเยสุ ธเมฺมสุ, ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ – อนาปโนฺน วา ปาฎิเทสนียํ ธมฺมํ น อาปชฺชิสฺสติ, อาปโนฺน วา ปาฎิเทสนียํ ธมฺมํ ยถาธมฺมํ ปฎิกริสฺสติฯ อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ อาปตฺติภยานี’’ติฯ ทุติยํฯ

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, puriso kāḷavatthaṃ paridhāya kese pakiritvā mahājanakāyaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadeyya – ‘ahaṃ, bhante, pāpakammaṃ akāsiṃ gārayhaṃ upavajjaṃ. Yena me āyasmanto attamanā honti taṃ karomī’ti. Tatraññatarassa thalaṭṭhassa purisassa evamassa – ‘pāpakaṃ vata, bho, ayaṃ puriso kammaṃ akāsi gārayhaṃ upavajjaṃ. Yatra hi nāma kāḷavatthaṃ paridhāya kese pakiritvā mahājanakāyaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vakkhati – ahaṃ, bhante, pāpakammaṃ akāsiṃ gārayhaṃ upavajjaṃ; yena me āyasmanto attamanā honti taṃ karomīti. So vatassāhaṃ evarūpaṃ pāpakammaṃ na kareyyaṃ gārayhaṃ upavajja’nti. Evamevaṃ kho, bhikkhave, yassa kassaci bhikkhussa vā bhikkhuniyā vā evaṃ tibbā bhayasaññā paccupaṭṭhitā hoti pāṭidesanīyesu dhammesu, tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ – anāpanno vā pāṭidesanīyaṃ dhammaṃ na āpajjissati, āpanno vā pāṭidesanīyaṃ dhammaṃ yathādhammaṃ paṭikarissati. Imāni kho, bhikkhave, cattāri āpattibhayānī’’ti. Dutiyaṃ.







    Footnotes:
    1. โส วตสฺสายํ (สี.)
    2. ปาปํ กมฺมํ (สี. ปี.)
    3. น กเรยฺย (สี.) ที. นิ. ๑.๑๘๓ ปาฬิยา ตทฎฺฐกถาย จ สํสเนฺทตพฺพํ
    4. so vatassāyaṃ (sī.)
    5. pāpaṃ kammaṃ (sī. pī.)
    6. na kareyya (sī.) dī. ni. 1.183 pāḷiyā tadaṭṭhakathāya ca saṃsandetabbaṃ
    7. กาฬกํ วตฺถํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    8. kāḷakaṃ vatthaṃ (sī. syā. kaṃ. pī.)
    9. อสฺสปุฎํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    10. assapuṭaṃ (sī. syā. kaṃ. pī.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๒. อาปตฺติภยสุตฺตวณฺณนา • 2. Āpattibhayasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๒-๓. อาปตฺติภยสุตฺตาทิวณฺณนา • 2-3. Āpattibhayasuttādivaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact