Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๖๘] ๘. อารามทูสกชาตกวณฺณนา
[268] 8. Ārāmadūsakajātakavaṇṇanā
โย เว สพฺพสเมตานนฺติ อิทํ สตฺถา ทกฺขิณาคิริชนปเท อญฺญตรํ อุยฺยานปาลปุตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ สตฺถา กิร วุตฺถวโสฺส เชตวนา นิกฺขมิตฺวา ทกฺขิณาคิริชนปเท จาริกํ จริฯ อเถโก อุปาสโก พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา อุยฺยาเน นิสีทาเปตฺวา ยาคุขชฺชเกหิ สนฺตเปฺปตฺวา ‘‘อยฺยา, อุยฺยานจาริกํ จริตุกามา อิมินา อุยฺยานปาเลน สทฺธิํ จรนฺตู’’ติ วตฺวา ‘‘อยฺยานํ ผลาผลานิ ทเทยฺยาสี’’ติ อุยฺยานปาลํ อาณาเปสิฯ ภิกฺขู จรมานา เอกํ ฉิทฺทฎฺฐานํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ ฐานํ ฉิทฺทํ วิรฬรุกฺขํ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ ปุจฺฉิํสุฯ อถ เนสํ อุยฺยานปาโล อาจิกฺขิ – ‘‘เอโก กิร อุยฺยานปาลปุโตฺต อุปโรปเกสุ อุทกํ อาสิญฺจโนฺต ‘มูลปฺปมาเณน อาสิญฺจิสฺสามี’ติ อุปฺปาเฎตฺวา มูลปฺปมาเณน อุทกํ อาสิญฺจิ, เตน ตํ ฐานํ ฉิทฺทํ ชาต’’นฺติฯ ภิกฺขู สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว ปุเพฺพปิ โส กุมารโก อารามทูสโกเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yo ve sabbasametānanti idaṃ satthā dakkhiṇāgirijanapade aññataraṃ uyyānapālaputtaṃ ārabbha kathesi. Satthā kira vutthavasso jetavanā nikkhamitvā dakkhiṇāgirijanapade cārikaṃ cari. Atheko upāsako buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantetvā uyyāne nisīdāpetvā yāgukhajjakehi santappetvā ‘‘ayyā, uyyānacārikaṃ caritukāmā iminā uyyānapālena saddhiṃ carantū’’ti vatvā ‘‘ayyānaṃ phalāphalāni dadeyyāsī’’ti uyyānapālaṃ āṇāpesi. Bhikkhū caramānā ekaṃ chiddaṭṭhānaṃ disvā ‘‘idaṃ ṭhānaṃ chiddaṃ viraḷarukkhaṃ, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti pucchiṃsu. Atha nesaṃ uyyānapālo ācikkhi – ‘‘eko kira uyyānapālaputto uparopakesu udakaṃ āsiñcanto ‘mūlappamāṇena āsiñcissāmī’ti uppāṭetvā mūlappamāṇena udakaṃ āsiñci, tena taṃ ṭhānaṃ chiddaṃ jāta’’nti. Bhikkhū satthu santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesuṃ. Satthā ‘‘na, bhikkhave, idāneva pubbepi so kumārako ārāmadūsakoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ วิสฺสเสเน นาม รเญฺญ รชฺชํ กาเรเนฺต อุสฺสเว ฆุเฎฺฐ อุยฺยานปาโล ‘‘อุสฺสวํ กีฬิสฺสามี’’ติ อุยฺยานวาสิโน มกฺกเฎ อาห – ‘‘อิทํ อุยฺยานํ ตุมฺหากํ พหูปการํ , อหํ สตฺตาหํ อุสฺสวํ กีฬิสฺสามิ, ตุเมฺห สตฺต ทิวเส อุปโรปเกสุ อุทกํ อาสิญฺจถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ โส เตสํ จมฺมฆฎเก ทตฺวา ปกฺกามิฯ มกฺกฎา อุทกํ อาสิญฺจนฺตา อุปโรปเกสุ อาสิญฺจิํสุฯ อถ เน มกฺกฎเชฎฺฐโก อาห – ‘‘อาคเมถ ตาว, อุทกํ นาม สพฺพกาลํ ทุลฺลภํ, ตํ รกฺขิตพฺพํ, อุปโรปเก อุปฺปาเฎตฺวา มูลปฺปมาณํ ญตฺวา ทีฆมูลเกสุ พหุํ, รสฺสมูลเกสุ อปฺปํ อุทกํ สิญฺจิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา เอกเจฺจ อุปโรปเก อุปฺปาเฎตฺวา คจฺฉนฺติ, เอกเจฺจ เต โรเปตฺวา อุทกํ สิญฺจนฺติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ vissasene nāma raññe rajjaṃ kārente ussave ghuṭṭhe uyyānapālo ‘‘ussavaṃ kīḷissāmī’’ti uyyānavāsino makkaṭe āha – ‘‘idaṃ uyyānaṃ tumhākaṃ bahūpakāraṃ , ahaṃ sattāhaṃ ussavaṃ kīḷissāmi, tumhe satta divase uparopakesu udakaṃ āsiñcathā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchiṃsu. So tesaṃ cammaghaṭake datvā pakkāmi. Makkaṭā udakaṃ āsiñcantā uparopakesu āsiñciṃsu. Atha ne makkaṭajeṭṭhako āha – ‘‘āgametha tāva, udakaṃ nāma sabbakālaṃ dullabhaṃ, taṃ rakkhitabbaṃ, uparopake uppāṭetvā mūlappamāṇaṃ ñatvā dīghamūlakesu bahuṃ, rassamūlakesu appaṃ udakaṃ siñcituṃ vaṭṭatī’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti vatvā ekacce uparopake uppāṭetvā gacchanti, ekacce te ropetvā udakaṃ siñcanti.
ตสฺมิํ กาเล โพธิสโตฺต พาราณสิยํ เอกสฺส กุลสฺส ปุโตฺต อโหสิ, โส เกนจิเทว กรณีเยน อุยฺยานํ คนฺตฺวา เต มกฺกเฎ ตถา กโรเนฺต ทิสฺวา ‘‘โก ตุเมฺห เอวํ กาเรตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘วานรเชฎฺฐโก’’ติ วุเตฺต ‘‘เชฎฺฐกสฺส ตาว โว อยํ ปญฺญา, ตุมฺหากํ ปน กีทิสี ภวิสฺสตี’’ติ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต อิมํ ปฐมํ คาถมาห –
Tasmiṃ kāle bodhisatto bārāṇasiyaṃ ekassa kulassa putto ahosi, so kenacideva karaṇīyena uyyānaṃ gantvā te makkaṭe tathā karonte disvā ‘‘ko tumhe evaṃ kāretī’’ti pucchitvā ‘‘vānarajeṭṭhako’’ti vutte ‘‘jeṭṭhakassa tāva vo ayaṃ paññā, tumhākaṃ pana kīdisī bhavissatī’’ti tamatthaṃ pakāsento imaṃ paṭhamaṃ gāthamāha –
๕๒.
52.
‘‘โย เว สพฺพสเมตานํ, อหุวา เสฎฺฐสมฺมโต;
‘‘Yo ve sabbasametānaṃ, ahuvā seṭṭhasammato;
ตสฺสายํ เอทิสี ปญฺญา, กิเมว อิตรา ปชา’’ติฯ
Tassāyaṃ edisī paññā, kimeva itarā pajā’’ti.
ตตฺถ สพฺพสเมตานนฺติ อิเมสํ สเพฺพสํ สมานชาตีนํฯ อหุวาติ อโหสิฯ กิเมว อิตรา ปชาติ ยา อิตรา เอเตสุ ลามิกา ปชา, กีทิสา นุ โข ตสฺสา ปญฺญาติฯ
Tattha sabbasametānanti imesaṃ sabbesaṃ samānajātīnaṃ. Ahuvāti ahosi. Kimeva itarā pajāti yā itarā etesu lāmikā pajā, kīdisā nu kho tassā paññāti.
ตสฺส กถํ สุตฺวา วานรา ทุติยํ คาถมาหํสุ –
Tassa kathaṃ sutvā vānarā dutiyaṃ gāthamāhaṃsu –
๕๓.
53.
‘‘เอวเมว ตุวํ พฺรเหฺม, อนญฺญาย วินินฺทสิ;
‘‘Evameva tuvaṃ brahme, anaññāya vinindasi;
กถํ มูลํ อทิสฺวาน, รุกฺขํ ชญฺญา ปติฎฺฐิต’’นฺติฯ
Kathaṃ mūlaṃ adisvāna, rukkhaṃ jaññā patiṭṭhita’’nti.
ตตฺถ พฺรเหฺมติ อาลปนมตฺตํฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ตฺวํ, โภ ปุริส, การณาการณํ อชานิตฺวา เอวเมว อเมฺห วินินฺทสิ, รุกฺขํ นาม ‘‘คมฺภีเร ปติฎฺฐิโต วา เอส, น วา’’ติ มูลํ อนุปฺปาเฎตฺวา กถํ ญาตุํ สกฺกา, เตน มยํ อุปฺปาเฎตฺวา มูลปฺปมาเณน อุทกํ อาสิญฺจามาติฯ
Tattha brahmeti ālapanamattaṃ. Ayaṃ panettha saṅkhepattho – tvaṃ, bho purisa, kāraṇākāraṇaṃ ajānitvā evameva amhe vinindasi, rukkhaṃ nāma ‘‘gambhīre patiṭṭhito vā esa, na vā’’ti mūlaṃ anuppāṭetvā kathaṃ ñātuṃ sakkā, tena mayaṃ uppāṭetvā mūlappamāṇena udakaṃ āsiñcāmāti.
ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ตติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā bodhisatto tatiyaṃ gāthamāha –
๕๔.
54.
‘‘นาหํ ตุเมฺห วินินฺทามิ, เย จเญฺญ วานรา วเน;
‘‘Nāhaṃ tumhe vinindāmi, ye caññe vānarā vane;
วิสฺสเสโนว คารโยฺห, ยสฺสตฺถา รุกฺขโรปกา’’ติฯ
Vissasenova gārayho, yassatthā rukkharopakā’’ti.
ตตฺถ วิสฺสเสโนว คารโยฺหติ พาราณสิราชา วิสฺสเสโนเยว เอตฺถ ครหิตโพฺพฯ ยสฺสตฺถา รุกฺขโรปกาติ ยสฺสตฺถาย ตุมฺหาทิสา รุกฺขโรปกา ชาตาติฯ
Tattha vissasenova gārayhoti bārāṇasirājā vissasenoyeva ettha garahitabbo. Yassatthā rukkharopakāti yassatthāya tumhādisā rukkharopakā jātāti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา วานรเชฎฺฐโก อารามทูสกกุมาโร อโหสิ, ปณฺฑิตปุริโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā vānarajeṭṭhako ārāmadūsakakumāro ahosi, paṇḍitapuriso pana ahameva ahosi’’nti.
อารามทูสกชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Ārāmadūsakajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๖๘. อารามทูสกชาตกํ • 268. Ārāmadūsakajātakaṃ