Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๔. อสทิสวโคฺค
4. Asadisavaggo
[๑๘๑] ๑. อสทิสชาตกวณฺณนา
[181] 1. Asadisajātakavaṇṇanā
ธนุคฺคโห อสทิโสติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มหาภินิกฺขมนํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสญฺหิ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ สนฺนิสินฺนา ภควโต มหานิกฺขมปารมิํ วเณฺณนฺตา นิสีทิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต อิทาเนว มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต, ปุเพฺพปิ เสตจฺฉตฺตํ ปหาย นิกฺขโนฺตเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Dhanuggahoasadisoti idaṃ satthā jetavane viharanto mahābhinikkhamanaṃ ārabbha kathesi. Ekadivasañhi bhikkhū dhammasabhāyaṃ sannisinnā bhagavato mahānikkhamapāramiṃ vaṇṇentā nisīdiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, tathāgato idāneva mahābhinikkhamanaṃ nikkhanto, pubbepi setacchattaṃ pahāya nikkhantoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, ตสฺส โสตฺถินา ชาตสฺส นามคฺคหณทิวเส ‘‘อสทิสกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ อถสฺส อาธาวิตฺวา ปริธาวิตฺวา วิจรณกาเล อโญฺญ ปุญฺญวา สโตฺต เทวิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, ตสฺส โสตฺถินา ชาตสฺส นามคฺคหณทิวเส ‘‘พฺรหฺมทตฺตกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ เตสุ โพธิสโตฺต โสฬสวสฺสกาเล ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก ตโย เวเท อฎฺฐารส จ สิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา เตสุ อิสฺสาสสิเปฺป อสทิโส หุตฺวา พาราณสิํ ปจฺจาคมิฯ ราชา กาลํ กโรโนฺต ‘‘อสทิสกุมารสฺส รชฺชํ ทตฺวา พฺรหฺมทตฺตสฺส โอปรชฺชํ เทถา’’ติ วตฺวา กาลมกาสิฯ ตสฺมิํ กาลกเต โพธิสโตฺต อตฺตโน รเชฺช ทียมาเน ‘‘น มยฺหํ รเชฺชนโตฺถ’’ติ ปฎิกฺขิปิ, พฺรหฺมทตฺตํ รเชฺช อภิสิญฺจิํสุฯ โพธิสโตฺต ‘‘มยฺหํ รเชฺชน อโตฺถ นตฺถี’’ติ กิญฺจิปิ น อิจฺฉิ, กนิเฎฺฐ รชฺชํ กาเรเนฺต ปกติยา วสนากาเรเนว วสิฯ ราชปาทมูลิกา ‘‘อสทิสกุมาโร รชฺชํ ปเตฺถตี’’ติ วตฺวา รโญฺญ สนฺติเก โพธิสตฺตํ ปริภินฺทิํสุฯ โสปิ เตสํ วจนํ คเหตฺวา ปริภินฺนจิโตฺต ‘‘ภาตรํ เม คณฺหถา’’ติ มนุเสฺส ปโยเชสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi, tassa sotthinā jātassa nāmaggahaṇadivase ‘‘asadisakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. Athassa ādhāvitvā paridhāvitvā vicaraṇakāle añño puññavā satto deviyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi, tassa sotthinā jātassa nāmaggahaṇadivase ‘‘brahmadattakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. Tesu bodhisatto soḷasavassakāle takkasilaṃ gantvā disāpāmokkhassa ācariyassa santike tayo vede aṭṭhārasa ca sippāni uggaṇhitvā tesu issāsasippe asadiso hutvā bārāṇasiṃ paccāgami. Rājā kālaṃ karonto ‘‘asadisakumārassa rajjaṃ datvā brahmadattassa oparajjaṃ dethā’’ti vatvā kālamakāsi. Tasmiṃ kālakate bodhisatto attano rajje dīyamāne ‘‘na mayhaṃ rajjenattho’’ti paṭikkhipi, brahmadattaṃ rajje abhisiñciṃsu. Bodhisatto ‘‘mayhaṃ rajjena attho natthī’’ti kiñcipi na icchi, kaniṭṭhe rajjaṃ kārente pakatiyā vasanākāreneva vasi. Rājapādamūlikā ‘‘asadisakumāro rajjaṃ patthetī’’ti vatvā rañño santike bodhisattaṃ paribhindiṃsu. Sopi tesaṃ vacanaṃ gahetvā paribhinnacitto ‘‘bhātaraṃ me gaṇhathā’’ti manusse payojesi.
อเถโก โพธิสตฺตสฺส อตฺถจรโก ตํ การณํ โพธิสตฺตสฺส อาโรเจสิฯ โพธิสโตฺต กนิฎฺฐภาติกสฺส กุชฺฌิตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา อญฺญํ รฎฺฐํ คนฺตฺวา ‘‘เอโก ธนุคฺคโห อาคนฺตฺวา ราชทฺวาเร ฐิโต’’ติ รโญฺญ อาโรจาเปสิฯ ราชา ‘‘กิตฺตกํ โภคํ อิจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิ ฯ ‘‘เอกสํวจฺฉเรน สตสหสฺส’’นฺติฯ ‘‘สาธุ อาคจฺฉตู’’ติฯ อถ นํ อาคนฺตฺวา สมีเป ฐิตํ ปุจฺฉิ – ‘‘ตฺวํ ธนคฺคโหสี’’ติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘สาธุ มํ อุปฎฺฐหสฺสู’’ติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ราชานํ อุปฎฺฐหิฯ ตสฺส ปริพฺพยํ ทียมานํ ทิสฺวา ‘‘อติพหุํ ลภตี’’ติ โปราณกธนุคฺคหา อุชฺฌายิํสุฯ อเถกทิวสํ ราชา อุยฺยานํ คนฺตฺวา มงฺคลสิลาปฎฺฎสมีเป สาณิปาการํ ปริกฺขิปาเปตฺวา อมฺพรุกฺขมูเล มหาสยเน นิปโนฺน อุทฺธํ โอโลเกโนฺต รุกฺขเคฺค เอกํ อมฺพปิณฺฑิํ ทิสฺวา ‘‘อิมํ น สกฺกา อภิรุหิตฺวา คณฺหิตุ’’นฺติ ธนุคฺคเห ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อิมํ อมฺพปิณฺฑิํ สเรน ฉินฺทิตฺวา ปาเตตุํ สกฺขิสฺสถา’’ติ อาหฯ น ตํ, เทว, อมฺหากํ ครุ, เทเวน ปน โน พหุวาเร กมฺมํ ทิฎฺฐปุพฺพํ, อธุนาคโต ธนุคฺคโห อเมฺหหิ พหุตรํ ลภติ, ตํ ปาตาเปถาติฯ
Atheko bodhisattassa atthacarako taṃ kāraṇaṃ bodhisattassa ārocesi. Bodhisatto kaniṭṭhabhātikassa kujjhitvā nagarā nikkhamitvā aññaṃ raṭṭhaṃ gantvā ‘‘eko dhanuggaho āgantvā rājadvāre ṭhito’’ti rañño ārocāpesi. Rājā ‘‘kittakaṃ bhogaṃ icchasī’’ti pucchi . ‘‘Ekasaṃvaccharena satasahassa’’nti. ‘‘Sādhu āgacchatū’’ti. Atha naṃ āgantvā samīpe ṭhitaṃ pucchi – ‘‘tvaṃ dhanaggahosī’’ti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Sādhu maṃ upaṭṭhahassū’’ti. So tato paṭṭhāya rājānaṃ upaṭṭhahi. Tassa paribbayaṃ dīyamānaṃ disvā ‘‘atibahuṃ labhatī’’ti porāṇakadhanuggahā ujjhāyiṃsu. Athekadivasaṃ rājā uyyānaṃ gantvā maṅgalasilāpaṭṭasamīpe sāṇipākāraṃ parikkhipāpetvā ambarukkhamūle mahāsayane nipanno uddhaṃ olokento rukkhagge ekaṃ ambapiṇḍiṃ disvā ‘‘imaṃ na sakkā abhiruhitvā gaṇhitu’’nti dhanuggahe pakkosāpetvā ‘‘imaṃ ambapiṇḍiṃ sarena chinditvā pātetuṃ sakkhissathā’’ti āha. Na taṃ, deva, amhākaṃ garu, devena pana no bahuvāre kammaṃ diṭṭhapubbaṃ, adhunāgato dhanuggaho amhehi bahutaraṃ labhati, taṃ pātāpethāti.
ราชา โพธิสตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สกฺขิสฺสสิ, ตาต, เอตํ ปาเตตุ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, มหาราช, เอกํ โอกาสํ ลภมาโน สกฺขิสฺสามี’’ติฯ ‘‘กตโรกาส’’นฺติ? ‘‘ตุมฺหากํ สยนสฺส อโนฺตกาส’’นฺติฯ ราชา สยนํ หราเปตฺวา โอกาสํ กาเรสิฯ โพธิสตฺตสฺส หเตฺถ ธนุ นตฺถิ, นิวาสนนฺตเร ธนุํ สนฺนยฺหิตฺวา วิจรติ, ตสฺมา ‘‘สาณิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สาณิํ อาหราเปตฺวา ปริกฺขิปาเปสิฯ โพธิสโตฺต อโนฺตสาณิํ ปวิสิตฺวา อุปรินิวตฺถํ เสตวตฺถํ หริตฺวา เอกํ รตฺตปฎํ นิวาเสตฺวา กจฺฉํ พนฺธิตฺวา เอกํ รตฺตปฎํ อุทเร พนฺธิตฺวา ปสิพฺพกโต สนฺธิยุตฺตํ ขคฺคํ นีหริตฺวา วามปเสฺส สนฺนยฺหิตฺวา สุวณฺณกญฺจุกํ ปฎิมุญฺจิตฺวา จาปนาฬิํ ปิฎฺฐิยํ สนฺนยฺหิตฺวา สนฺธิยุตฺตเมณฺฑกมหาธนุํ อาทาย ปวาฬวณฺณํ ชิยํ อาโรเปตฺวา อุณฺหีสํ สีเส ปฎิมุญฺจิตฺวา ติขิณขุรปฺปํ นเขหิ ปริวตฺตยมาโน สาณิํ ทฺวิธา กตฺวา ปถวิํ ผาเลตฺวา อลงฺกตนาคกุมาโร วิย นิกฺขมิตฺวา สรขิปนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ขุรปฺปํ สนฺนยฺหิตฺวา ราชานํ อาห – ‘‘กิํ, มหาราช, เอตํ อมฺพปิณฺฑิํ อุทฺธํ อาโรหนกเณฺฑน ปาเตมิ, อุทาหุ อโธ โอโรหนกเณฺฑนา’’ติ ฯ ‘‘ตาต, พหู มยา อาโรหนกเณฺฑน ปาเตนฺตา ทิฎฺฐปุพฺพา, โอโรหนกเณฺฑน ปน ปาเตนฺตา มยา น ทิฎฺฐปุพฺพา, โอโรหนกเณฺฑน ปาเตหี’’ติฯ ‘‘มหาราช, อิทํ กณฺฑํ ทูรํ อาโรหิสฺสติ, ยาว จาตุมหาราชิกภวนํ, ตาว คนฺตฺวา สยํ โอโรหิสฺสติ, ยาวสฺส โอโรหนํ, ตาว ตุเมฺหหิ อธิวาเสตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ
Rājā bodhisattaṃ pakkosāpetvā ‘‘sakkhissasi, tāta, etaṃ pātetu’’nti pucchi. ‘‘Āma, mahārāja, ekaṃ okāsaṃ labhamāno sakkhissāmī’’ti. ‘‘Katarokāsa’’nti? ‘‘Tumhākaṃ sayanassa antokāsa’’nti. Rājā sayanaṃ harāpetvā okāsaṃ kāresi. Bodhisattassa hatthe dhanu natthi, nivāsanantare dhanuṃ sannayhitvā vicarati, tasmā ‘‘sāṇiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti āha. Rājā ‘‘sādhū’’ti sāṇiṃ āharāpetvā parikkhipāpesi. Bodhisatto antosāṇiṃ pavisitvā uparinivatthaṃ setavatthaṃ haritvā ekaṃ rattapaṭaṃ nivāsetvā kacchaṃ bandhitvā ekaṃ rattapaṭaṃ udare bandhitvā pasibbakato sandhiyuttaṃ khaggaṃ nīharitvā vāmapasse sannayhitvā suvaṇṇakañcukaṃ paṭimuñcitvā cāpanāḷiṃ piṭṭhiyaṃ sannayhitvā sandhiyuttameṇḍakamahādhanuṃ ādāya pavāḷavaṇṇaṃ jiyaṃ āropetvā uṇhīsaṃ sīse paṭimuñcitvā tikhiṇakhurappaṃ nakhehi parivattayamāno sāṇiṃ dvidhā katvā pathaviṃ phāletvā alaṅkatanāgakumāro viya nikkhamitvā sarakhipanaṭṭhānaṃ gantvā khurappaṃ sannayhitvā rājānaṃ āha – ‘‘kiṃ, mahārāja, etaṃ ambapiṇḍiṃ uddhaṃ ārohanakaṇḍena pātemi, udāhu adho orohanakaṇḍenā’’ti . ‘‘Tāta, bahū mayā ārohanakaṇḍena pātentā diṭṭhapubbā, orohanakaṇḍena pana pātentā mayā na diṭṭhapubbā, orohanakaṇḍena pātehī’’ti. ‘‘Mahārāja, idaṃ kaṇḍaṃ dūraṃ ārohissati, yāva cātumahārājikabhavanaṃ, tāva gantvā sayaṃ orohissati, yāvassa orohanaṃ, tāva tumhehi adhivāsetuṃ vaṭṭatī’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.
อถ นํ ปุน อาห – ‘‘มหาราช, อิทํ กณฺฑํ ปน อาโรหมานํ อมฺพปิณฺฑิวณฺฎํ ยาวมชฺฌํ กนฺตมานํ อาโรหิสฺสติ, โอโรหมานํ เกสคฺคมตฺตมฺปิ อิโต วา เอโตฺต วา อคนฺตฺวา อุชุเญฺญว ปติตฺวา อมฺพปิณฺฑิํ คเหตฺวา โอตริสฺสติ, ปสฺส, มหาราชา’’ติ เวคํ ชเนตฺวา กณฺฑํ ขิปิฯ ตํ กณฺฑํ อมฺพปิณฺฑิวณฺฎํ ยาวมชฺฌํ กนฺตมานํ อภิรุหิฯ โพธิสโตฺต ‘‘อิทานิ ตํ กณฺฑํ ยาว จาตุมหาราชิกภวนํ คตํ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ปฐมํ ขิตฺตกณฺฑโต อธิกตรํ เวคํ ชเนตฺวา อญฺญํ กณฺฑํ ขิปิ, ตํ คนฺตฺวา ปุริมกณฺฑปุเงฺข ปหริตฺวา นิวตฺติตฺวา สยํ ตาวติํสภวนํ อภิรุหิฯ ตตฺถ นํ เทวตา อคฺคเหสุํ, นิวตฺตนกณฺฑสฺส วาตฉินฺนสโทฺท อสนิสโทฺท วิย อโหสิฯ มหาชเนน ‘‘กิํ เอโส สโทฺท’’ติ วุเตฺต โพธิสโตฺต ‘‘นิวตฺตนกณฺฑสฺส สโทฺท’’ติ วตฺวา อตฺตโน อตฺตโน สรีเร กณฺฑสฺส ปตนภาวํ ญตฺวา ภีตตสิตํ มหาชนํ ‘‘มา ภายิตฺถา’’ติ สมสฺสาเสตฺวา ‘‘กณฺฑสฺส ภูมิยํ ปติตุํ น ทสฺสามี’’ติ อาหฯ กณฺฑํ โอตรมานํ เกสคฺคมตฺตมฺปิ อิโต วา เอโตฺต วา อคนฺตฺวา อุชุเญฺญว ปติตฺวา อมฺพปิณฺฑิํ ฉินฺทิฯ โพธิสโตฺต อมฺพปิณฺฑิยา จ กณฺฑสฺส จ ภูมิยํ ปติตุํ อทตฺวา อากาเสเยว สมฺปฎิจฺฉโนฺต เอเกน หเตฺถน อมฺพปิณฺฑิํ, เอเกน หเตฺถน กณฺฑํ อคฺคเหสิฯ มหาชโน ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา ‘‘น โน เอวรูปํ ทิฎฺฐปุพฺพ’’นฺติ มหาปุริสํ ปสํสติ อุนฺนทติ อโปฺผเฎติ องฺคุลิโย วิธูนติ, เจลุเกฺขปสหสฺสานิ ปวเตฺตติฯ ราชปริสาย ตุฎฺฐปหฎฺฐาย โพธิสตฺตสฺส ทินฺนธนํ โกฎิมตฺตํ อโหสิฯ ราชาปิสฺส ธนวสฺสํ วเสฺสโนฺต วิย พหุํ ธนํ มหนฺตญฺจ ยสํ อทาสิฯ
Atha naṃ puna āha – ‘‘mahārāja, idaṃ kaṇḍaṃ pana ārohamānaṃ ambapiṇḍivaṇṭaṃ yāvamajjhaṃ kantamānaṃ ārohissati, orohamānaṃ kesaggamattampi ito vā etto vā agantvā ujuññeva patitvā ambapiṇḍiṃ gahetvā otarissati, passa, mahārājā’’ti vegaṃ janetvā kaṇḍaṃ khipi. Taṃ kaṇḍaṃ ambapiṇḍivaṇṭaṃ yāvamajjhaṃ kantamānaṃ abhiruhi. Bodhisatto ‘‘idāni taṃ kaṇḍaṃ yāva cātumahārājikabhavanaṃ gataṃ bhavissatī’’ti ñatvā paṭhamaṃ khittakaṇḍato adhikataraṃ vegaṃ janetvā aññaṃ kaṇḍaṃ khipi, taṃ gantvā purimakaṇḍapuṅkhe paharitvā nivattitvā sayaṃ tāvatiṃsabhavanaṃ abhiruhi. Tattha naṃ devatā aggahesuṃ, nivattanakaṇḍassa vātachinnasaddo asanisaddo viya ahosi. Mahājanena ‘‘kiṃ eso saddo’’ti vutte bodhisatto ‘‘nivattanakaṇḍassa saddo’’ti vatvā attano attano sarīre kaṇḍassa patanabhāvaṃ ñatvā bhītatasitaṃ mahājanaṃ ‘‘mā bhāyitthā’’ti samassāsetvā ‘‘kaṇḍassa bhūmiyaṃ patituṃ na dassāmī’’ti āha. Kaṇḍaṃ otaramānaṃ kesaggamattampi ito vā etto vā agantvā ujuññeva patitvā ambapiṇḍiṃ chindi. Bodhisatto ambapiṇḍiyā ca kaṇḍassa ca bhūmiyaṃ patituṃ adatvā ākāseyeva sampaṭicchanto ekena hatthena ambapiṇḍiṃ, ekena hatthena kaṇḍaṃ aggahesi. Mahājano taṃ acchariyaṃ disvā ‘‘na no evarūpaṃ diṭṭhapubba’’nti mahāpurisaṃ pasaṃsati unnadati apphoṭeti aṅguliyo vidhūnati, celukkhepasahassāni pavatteti. Rājaparisāya tuṭṭhapahaṭṭhāya bodhisattassa dinnadhanaṃ koṭimattaṃ ahosi. Rājāpissa dhanavassaṃ vassento viya bahuṃ dhanaṃ mahantañca yasaṃ adāsi.
เอวํ โพธิสเตฺต เตน รญฺญา สกฺกเต ครุกเต ตตฺถ วสเนฺต ‘‘อสทิสกุมาโร กิร พาราณสิยํ นตฺถี’’ติ สตฺต ราชาโน อาคนฺตฺวา พาราณสินครํ ปริวาเรตฺวา ‘‘รชฺชํ วา เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติ รโญฺญ ปณฺณํ เปเสสุํฯ ราชา มรณภยภีโต ‘‘กุหิํ เม ภาตา วสตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เอกํ สามนฺตราชานํ อุปฎฺฐหตี’’ติ สุตฺวา ‘‘มม ภาติเก อนาคจฺฉเนฺต มยฺหํ ชีวิตํ นตฺถิ, คจฺฉถ ตสฺส มม วจเนน ปาเท วนฺทิตฺวา ขมาเปตฺวา คณฺหิตฺวา อาคจฺฉถา’’ติ ทูเต ปาเหสิฯ เต คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ โพธิสโตฺต ตํ ราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา พาราณสิํ ปจฺจาคนฺตฺวา ราชานํ ‘‘มา ภายี’’ติ สมสฺสาเสตฺวา กเณฺฑ อกฺขรานิ ฉินฺทิตฺวา ‘‘อหํ อสทิสกุมาโร อาคโต, อญฺญํ เอกกณฺฑํ ขิปโนฺต สเพฺพสํ โว ชีวิตํ หริสฺสามิ, ชีวิเตน อตฺถิกา ปลายนฺตู’’ติ อฎฺฎาลเก ฐตฺวา สตฺตนฺนํ ราชูนํ ภุญฺชนฺตานํ กญฺจนปาติมกุเลเยว กณฺฑํ ปาเตสิฯ เต อกฺขรานิ ทิสฺวา มรณภยภีตา สเพฺพว ปลายิํสุฯ เอวํ มหาสโตฺต ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตํ อนุปฺปาเทตฺวา สตฺต ราชาโน ปลาเปตฺวา กนิฎฺฐภาตรํ อปโลเกตฺวา กาเม ปหาย อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา ชีวิตปริโยสาเน พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
Evaṃ bodhisatte tena raññā sakkate garukate tattha vasante ‘‘asadisakumāro kira bārāṇasiyaṃ natthī’’ti satta rājāno āgantvā bārāṇasinagaraṃ parivāretvā ‘‘rajjaṃ vā detu yuddhaṃ vā’’ti rañño paṇṇaṃ pesesuṃ. Rājā maraṇabhayabhīto ‘‘kuhiṃ me bhātā vasatī’’ti pucchitvā ‘‘ekaṃ sāmantarājānaṃ upaṭṭhahatī’’ti sutvā ‘‘mama bhātike anāgacchante mayhaṃ jīvitaṃ natthi, gacchatha tassa mama vacanena pāde vanditvā khamāpetvā gaṇhitvā āgacchathā’’ti dūte pāhesi. Te gantvā bodhisattassa taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Bodhisatto taṃ rājānaṃ āpucchitvā bārāṇasiṃ paccāgantvā rājānaṃ ‘‘mā bhāyī’’ti samassāsetvā kaṇḍe akkharāni chinditvā ‘‘ahaṃ asadisakumāro āgato, aññaṃ ekakaṇḍaṃ khipanto sabbesaṃ vo jīvitaṃ harissāmi, jīvitena atthikā palāyantū’’ti aṭṭālake ṭhatvā sattannaṃ rājūnaṃ bhuñjantānaṃ kañcanapātimakuleyeva kaṇḍaṃ pātesi. Te akkharāni disvā maraṇabhayabhītā sabbeva palāyiṃsu. Evaṃ mahāsatto khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitaṃ anuppādetvā satta rājāno palāpetvā kaniṭṭhabhātaraṃ apaloketvā kāme pahāya isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā jīvitapariyosāne brahmalokūpago ahosi.
สตฺถา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, อสทิสกุมาโร สตฺต ราชาโน ปลาเปตฺวา วิชิตสงฺคาโม อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิโต’’ติ อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมา คาถา อโวจ –
Satthā ‘‘evaṃ, bhikkhave, asadisakumāro satta rājāno palāpetvā vijitasaṅgāmo isipabbajjaṃ pabbajito’’ti abhisambuddho hutvā imā gāthā avoca –
๖๑.
61.
‘‘ธนุคฺคโห อสทิโส, ราชปุโตฺต มหพฺพโล;
‘‘Dhanuggaho asadiso, rājaputto mahabbalo;
ทูเรปาตี อกฺขณเวธี, มหากายปฺปทาลโนฯ
Dūrepātī akkhaṇavedhī, mahākāyappadālano.
๖๒.
62.
‘‘สพฺพามิเตฺต รณํ กตฺวา, น จ กญฺจิ วิเหฐยิ;
‘‘Sabbāmitte raṇaṃ katvā, na ca kañci viheṭhayi;
ภาตรํ โสตฺถิํ กตฺวาน, สํยมํ อชฺฌุปาคมี’’ติฯ
Bhātaraṃ sotthiṃ katvāna, saṃyamaṃ ajjhupāgamī’’ti.
ตตฺถ อสทิโสติ น เกวลํ นาเมเนว, พลวีริยปญฺญาหิปิ อสทิโสวฯ มหพฺพโลติ กายพเลนปิ ปญฺญาพเลนปิ มหพฺพโลฯ ทูเรปาตีติ ยาว จาตุมหาราชิกภวนา ตาวติํสภวนา จ กณฺฑํ เปเสตุํ สมตฺถตาย ทูเรปาตีฯ อกฺขณเวธีติ อวิราธิตเวธีฯ อถ วา อกฺขณา วุจฺจติ วิชฺชุ, ยาว เอกา วิชฺชุ นิจฺฉรติ, ตาว เตโนภาเสน สตฺตฎฺฐ วาเร กณฺฑานิ คเหตฺวา วิชฺฌตีติ อกฺขณเวธีฯ มหากายปฺปทาลโนติ มหเนฺต กาเย ปทาเลติฯ จมฺมกาโย, ทารุกาโย, โลหกาโย, อโยกาโย, วาลิกกาโย, อุทกกาโย, ผลกกาโยติ อิเม สตฺต มหากายา นามฯ ตตฺถ อโญฺญ จมฺมกายปทาลโน มหิํสจมฺมํ วินิวิชฺฌติ, โส ปน สตมฺปิ มหิํสจมฺมานํ วินิวิชฺฌติเยวฯ อโญฺญ อฎฺฐงฺคุลพหลํ อุทุมฺพรปทรํ, จตุรงฺคุลพหลํ อสนปทรํ วินิวิชฺฌติ, โส ปน ผลกสตมฺปิ เอกโต พทฺธํ วินิวิชฺฌติ, ตถา ทฺวงฺคุลพหลํ ตมฺพโลหปฎฺฎํ, องฺคุลพหลํ อยปฎฺฎํฯ วาลิกสกฎสฺส พทรสกฎสฺส ปลาลสกฎสฺส วา ปจฺฉาภาเคน กณฺฑํ ปเวเสตฺวา ปุเรภาเคน อติปาเตติ, ปกติยา อุทเก จตุอุสภฎฺฐานํ กณฺฑํ เปเสติ, ถเล อฎฺฐอุสภนฺติ เอวํ อิเมสํ สตฺตนฺนํ มหากายานํ ปทาลนโต มหากายปฺปทาลโนฯ สพฺพามิเตฺตติ สเพฺพ อมิเตฺตฯ รณํ กตฺวาติ ยุทฺธํ กตฺวา ปลาเปสีติ อโตฺถฯ น จ กญฺจิ วิเหฐยีติ เอกมฺปิ น วิเหเฐสิฯ อวิเหฐยโนฺตเยว ปน เตหิ สทฺธิํ กณฺฑเปสเนเนว รณํ กตฺวาฯ สํยมํ อชฺฌุปาคมีติ สีลสํยมํ ปพฺพชฺชํ อุปคโตฯ
Tattha asadisoti na kevalaṃ nāmeneva, balavīriyapaññāhipi asadisova. Mahabbaloti kāyabalenapi paññābalenapi mahabbalo. Dūrepātīti yāva cātumahārājikabhavanā tāvatiṃsabhavanā ca kaṇḍaṃ pesetuṃ samatthatāya dūrepātī. Akkhaṇavedhīti avirādhitavedhī. Atha vā akkhaṇā vuccati vijju, yāva ekā vijju niccharati, tāva tenobhāsena sattaṭṭha vāre kaṇḍāni gahetvā vijjhatīti akkhaṇavedhī. Mahākāyappadālanoti mahante kāye padāleti. Cammakāyo, dārukāyo, lohakāyo, ayokāyo, vālikakāyo, udakakāyo, phalakakāyoti ime satta mahākāyā nāma. Tattha añño cammakāyapadālano mahiṃsacammaṃ vinivijjhati, so pana satampi mahiṃsacammānaṃ vinivijjhatiyeva. Añño aṭṭhaṅgulabahalaṃ udumbarapadaraṃ, caturaṅgulabahalaṃ asanapadaraṃ vinivijjhati, so pana phalakasatampi ekato baddhaṃ vinivijjhati, tathā dvaṅgulabahalaṃ tambalohapaṭṭaṃ, aṅgulabahalaṃ ayapaṭṭaṃ. Vālikasakaṭassa badarasakaṭassa palālasakaṭassa vā pacchābhāgena kaṇḍaṃ pavesetvā purebhāgena atipāteti, pakatiyā udake catuusabhaṭṭhānaṃ kaṇḍaṃ peseti, thale aṭṭhausabhanti evaṃ imesaṃ sattannaṃ mahākāyānaṃ padālanato mahākāyappadālano. Sabbāmitteti sabbe amitte. Raṇaṃ katvāti yuddhaṃ katvā palāpesīti attho. Na ca kañci viheṭhayīti ekampi na viheṭhesi. Aviheṭhayantoyeva pana tehi saddhiṃ kaṇḍapesaneneva raṇaṃ katvā. Saṃyamaṃ ajjhupāgamīti sīlasaṃyamaṃ pabbajjaṃ upagato.
เอวํ สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา กนิฎฺฐภาตา อานโนฺท อโหสิ, อสทิสกุมาโร ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Evaṃ satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kaniṭṭhabhātā ānando ahosi, asadisakumāro pana ahameva ahosi’’nti.
อสทิสชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Asadisajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๘๑. อสทิสชาตกํ • 181. Asadisajātakaṃ