Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ๓. ตติยปณฺณาสกํ

    3. Tatiyapaṇṇāsakaṃ

    (๑๑) ๑. อาสาทุปฺปชหวคฺควณฺณนา

    (11) 1. Āsāduppajahavaggavaṇṇanā

    ๑๑๙. ตติยปณฺณาสกสฺส ปฐเม ทุเกฺขน ปชหิตพฺพาติ ทุปฺปชหาฯ ทุจฺจชาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ทฺวินฺนํ อาสานํ ทุจฺจชภาโว กถํ ชานิตโพฺพติ ปฐมํ ตาว ลาภาสาย ทุจฺจชภาวํ วิภาเวติ ‘‘ลาภาสายา’’ติอาทินาฯ อุภโตพฺยูฬฺหนฺติ ยุทฺธตฺถาย อุภโต สนฺนิปติตํฯ ปกฺขนฺทนฺตีติ อนุปฺปวิสนฺติฯ ชีวิตาสาย ทุปฺปชหตฺตาติอาทินา ชีวิตาสาย ทุจฺจชภาวํ วิภาเวติฯ

    119. Tatiyapaṇṇāsakassa paṭhame dukkhena pajahitabbāti duppajahā. Duccajātiādīsupi eseva nayo. Dvinnaṃ āsānaṃ duccajabhāvo kathaṃ jānitabboti paṭhamaṃ tāva lābhāsāya duccajabhāvaṃ vibhāveti ‘‘lābhāsāyā’’tiādinā. Ubhatobyūḷhanti yuddhatthāya ubhato sannipatitaṃ. Pakkhandantīti anuppavisanti. Jīvitāsāya duppajahattātiādinā jīvitāsāya duccajabhāvaṃ vibhāveti.

    ๑๒๐. ทุติเย ทุลฺลภาติ น สุลภาฯ อิณํ เทมีติ สญฺญํ กโรตีติ เอวํ สญฺญํ กโรโนฺต วิย โหตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ‘‘ปุพฺพการีติ ปฐมํ อุปการสฺส การโกฯ กตญฺญู กตเวทีติ เตน กตํ ญตฺวา ปจฺฉา การโกฯ เตสุ ปุพฺพการี ‘อิณํ เทมี’ติ สญฺญํ กโรติ, ปจฺฉา การโก ‘อิณํ ชีราเปมี’ติ สญฺญํ กโรตี’’ติ เอตฺตกเมว อิธ วุตฺตํฯ ปุคฺคลปณฺณตฺติสํวณฺณนายํ (ปุ. ป. อฎฺฐ. ๘๓) ปน –

    120. Dutiye dullabhāti na sulabhā. Iṇaṃ demīti saññaṃ karotīti evaṃ saññaṃ karonto viya hotīti attho. Ettha ca ‘‘pubbakārīti paṭhamaṃ upakārassa kārako. Kataññū katavedīti tena kataṃ ñatvā pacchā kārako. Tesu pubbakārī ‘iṇaṃ demī’ti saññaṃ karoti, pacchā kārako ‘iṇaṃ jīrāpemī’ti saññaṃ karotī’’ti ettakameva idha vuttaṃ. Puggalapaṇṇattisaṃvaṇṇanāyaṃ (pu. pa. aṭṭha. 83) pana –

    ‘‘ปุพฺพการีติ ปฐมเมว การโกฯ กตเวทีติ กตํ เวเทติ, วิทิตํ ปากฎํ กโรติฯ เต อคาริยานคาริเยหิ ทีเปตพฺพาฯ อคาริเกสุ หิ มาตาปิตโร ปุพฺพการิโน นาม, ปุตฺตธีตโร ปน มาตาปิตโร ปฎิชคฺคนฺตา อภิวาทนาทีนิ เตสํ กุรุมานา กตเวทิโน นามฯ อนคาริเยสุ อาจริยุปชฺฌายา ปุพฺพการิโน นาม, อเนฺตวาสิกสทฺธิวิหาริกา อาจริยุปชฺฌาเย ปฎิชคฺคนฺตา อภิวาทนาทีนิ จ เตสํ กุรุมานา กตเวทิโน นามฯ เตสํ อาวิภาวตฺถาย อุปชฺฌายโปสกโสณเตฺถราทีนํ วตฺถูนิ กเถตพฺพานิฯ

    ‘‘Pubbakārīti paṭhamameva kārako. Katavedīti kataṃ vedeti, viditaṃ pākaṭaṃ karoti. Te agāriyānagāriyehi dīpetabbā. Agārikesu hi mātāpitaro pubbakārino nāma, puttadhītaro pana mātāpitaro paṭijaggantā abhivādanādīni tesaṃ kurumānā katavedino nāma. Anagāriyesu ācariyupajjhāyā pubbakārino nāma, antevāsikasaddhivihārikā ācariyupajjhāye paṭijaggantā abhivādanādīni ca tesaṃ kurumānā katavedino nāma. Tesaṃ āvibhāvatthāya upajjhāyaposakasoṇattherādīnaṃ vatthūni kathetabbāni.

    ‘‘อปโร นโย – ปเรน อกเตเยว อุปกาเร อตฺตนิ กตํ อุปการํ อนเปกฺขิตฺวา การโก ปุพฺพการี, เสยฺยถาปิ มาตาปิตโร เจว อาจริยุปชฺฌายา จฯ โส ทุลฺลโภ สตฺตานํ ตณฺหาภิภูตตฺตาฯ ปเรน กตสฺส อุปการสฺส อนุรูปปฺปวตฺติํ อตฺตนิ กตํ อุปการํ อุปการโต ชานโนฺต เวทิยโนฺต กตญฺญุกตเวที เสยฺยถาปิ มาตาปิตุอาจริยุปชฺฌาเยสุ สมฺมาปฎิปโนฺนฯ โสปิ ทุลฺลโภ สตฺตานํ อวิชฺชาภิภูตตฺตาฯ อปิจ อการณวจฺฉโล ปุพฺพการี, สการณวจฺฉโล กตญฺญุกตเวทีฯ ‘กริสฺสติ เม’ติ เอวมาทิการณนิรเปกฺขกิริโย ปุพฺพการี, ‘กริสฺสติ เม’ติ เอวมาทิการณสาเปกฺขกิริโย กตญฺญุกตเวทีฯ ตโมโชติปรายโณ ปุพฺพการี, โชติโชติปรายโณ กตญฺญุกตเวทีฯ เทเสตา ปุพฺพการี, ปฎิปชฺชิตา กตญฺญุกตเวทีฯ สเทวเก โลเก อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปุพฺพการี, อริยสาวโก กตญฺญุกตเวที’’ติ วุตฺตํฯ

    ‘‘Aparo nayo – parena akateyeva upakāre attani kataṃ upakāraṃ anapekkhitvā kārako pubbakārī, seyyathāpi mātāpitaro ceva ācariyupajjhāyā ca. So dullabho sattānaṃ taṇhābhibhūtattā. Parena katassa upakārassa anurūpappavattiṃ attani kataṃ upakāraṃ upakārato jānanto vediyanto kataññukatavedī seyyathāpi mātāpituācariyupajjhāyesu sammāpaṭipanno. Sopi dullabho sattānaṃ avijjābhibhūtattā. Apica akāraṇavacchalo pubbakārī, sakāraṇavacchalo kataññukatavedī. ‘Karissati me’ti evamādikāraṇanirapekkhakiriyo pubbakārī, ‘karissati me’ti evamādikāraṇasāpekkhakiriyo kataññukatavedī. Tamojotiparāyaṇo pubbakārī, jotijotiparāyaṇo kataññukatavedī. Desetā pubbakārī, paṭipajjitā kataññukatavedī. Sadevake loke arahaṃ sammāsambuddho pubbakārī, ariyasāvako kataññukatavedī’’ti vuttaṃ.

    ตตฺถ การเณน วินา ปวตฺตหิตจิโตฺต อการณวจฺฉโลฯ อนาคตมฺหิ ปโยชนํ อเปกฺขมาโน ‘‘กริสฺสติ เม’’ติอาทินา จิเตฺตน ปฐมํ คหิตํ ตาทิสํ กตํ อุปาทาย กตญฺญู เอว นาม โหติ, น ปุพฺพการีติ อธิปฺปาเยน ‘‘กริสฺสติ เมติ เอวมาทิการณสาเปกฺขกิริโย กตญฺญุกตเวที’’ติ วุตฺตํฯ ตโมโชติปรายโณ ปุญฺญผลานิ อนุปชีวโนฺต เอว ปุญฺญานิ กโรตีติ ‘‘ปุพฺพการี’’ติ วุโตฺตฯ ปุญฺญผลํ อุปชีวโนฺต หิ กตญฺญุปเกฺข ติฎฺฐติฯ

    Tattha kāraṇena vinā pavattahitacitto akāraṇavacchalo. Anāgatamhi payojanaṃ apekkhamāno ‘‘karissati me’’tiādinā cittena paṭhamaṃ gahitaṃ tādisaṃ kataṃ upādāya kataññū eva nāma hoti, na pubbakārīti adhippāyena ‘‘karissati meti evamādikāraṇasāpekkhakiriyo kataññukatavedī’’ti vuttaṃ. Tamojotiparāyaṇo puññaphalāni anupajīvanto eva puññāni karotīti ‘‘pubbakārī’’ti vutto. Puññaphalaṃ upajīvanto hi kataññupakkhe tiṭṭhati.

    ๑๒๑. ตติเย ติโตฺตติ สุหิโต ปริโยสิโต นิฎฺฐิตกิจฺจตาย นิรุสฺสุโกฺกฯ คุณปาริปูริยา หิ ปริปุโณฺณ ยาวทโตฺถ อิธ ติโตฺต วุโตฺตฯ ตเปฺปตาติ อเญฺญสมฺปิ ติตฺติกโรฯ ปเจฺจกพุโทฺธ จ ตถาคตสาวโก จ ขีณาสโว ติโตฺตติ เอตฺถ ปเจฺจกพุโทฺธ นวโลกุตฺตรธเมฺมหิ สยํ ติโตฺต ปริปุโณฺณ, อญฺญํ ปน ตเปฺปตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺส หิ ธมฺมกถาย อภิสมโย น โหติ, สาวกานํ ปน ธมฺมกถาย อปริมาณานํ เทวมนุสฺสานํ อภิสมโย โหติฯ เอวํ สเนฺตปิ ยสฺมา เต ธมฺมํ เทเสนฺตา น อตฺตโน วจนํ กตฺวา กเถนฺติ, พุทฺธานํ วจนํ กตฺวา กเถนฺติ, โสตุํ นิสินฺนปริสาปิ – ‘‘อยํ ภิกฺขุ น อตฺตนา ปฎิวิทฺธํ ธมฺมํ กเถตี’’ติ จิตฺตีการํ กโรติฯ อิติ โส จิตฺตีกาโร พุทฺธานํเยว โหติฯ เอวํ ตตฺถ สมฺมาสมฺพุโทฺธว ตเปฺปตา นามฯ ยถา หิ ‘‘อสุกสฺส นาม อิทญฺจิทญฺจ เทถา’’ติ รญฺญา อาณเตฺต กิญฺจาปิ อาเนตฺวา เทนฺติ, อถ โข ราชาว ตตฺถ ทายโกฯ เยหิปิ ลทฺธํ โหติ, เต ‘‘รญฺญา อมฺหากํ ฐานนฺตรํ ทินฺนํ, อิสฺสริยวิภโว ทิโนฺน’’เตฺวว คณฺหนฺติ, น ‘‘ราชปุริเสหี’’ติ เอวํสมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํฯ

    121. Tatiye tittoti suhito pariyosito niṭṭhitakiccatāya nirussukko. Guṇapāripūriyā hi paripuṇṇo yāvadattho idha titto vutto. Tappetāti aññesampi tittikaro. Paccekabuddho ca tathāgatasāvako ca khīṇāsavo tittoti ettha paccekabuddho navalokuttaradhammehi sayaṃ titto paripuṇṇo, aññaṃ pana tappetuṃ na sakkoti. Tassa hi dhammakathāya abhisamayo na hoti, sāvakānaṃ pana dhammakathāya aparimāṇānaṃ devamanussānaṃ abhisamayo hoti. Evaṃ santepi yasmā te dhammaṃ desentā na attano vacanaṃ katvā kathenti, buddhānaṃ vacanaṃ katvā kathenti, sotuṃ nisinnaparisāpi – ‘‘ayaṃ bhikkhu na attanā paṭividdhaṃ dhammaṃ kathetī’’ti cittīkāraṃ karoti. Iti so cittīkāro buddhānaṃyeva hoti. Evaṃ tattha sammāsambuddhova tappetā nāma. Yathā hi ‘‘asukassa nāma idañcidañca dethā’’ti raññā āṇatte kiñcāpi ānetvā denti, atha kho rājāva tattha dāyako. Yehipi laddhaṃ hoti, te ‘‘raññā amhākaṃ ṭhānantaraṃ dinnaṃ, issariyavibhavo dinno’’tveva gaṇhanti, na ‘‘rājapurisehī’’ti evaṃsampadamidaṃ veditabbaṃ.

    ๑๒๒. จตุเตฺถ ทุตฺตปฺปยาติ อตปฺปยา, น สกฺกา เกนจิ ตเปฺปตุํฯ โย หิ อุปฎฺฐากกุลํ วา ญาติกุลํ วา นิสฺสาย วสมาโน จีวเร ชิเณฺณ เตหิ ทินฺนํ จีวรํ นิกฺขิปติ, น ปริภุญฺชติ ฯ ปุนปฺปุนํ ทินฺนมฺปิ คเหตฺวา นิกฺขิปเตวฯ โย จ เตเนว นเยน ลทฺธํ ลทฺธํ วิสฺสเชฺชติ, ปรสฺส เทติ, ปุนปฺปุนํ ลทฺธมฺปิ ตเถว กโรติฯ อิเม เทฺว ปุคฺคลา สกเฎหิปิ ปจฺจเย อุปเนเนฺตน ตเปฺปตุํ น สกฺกาติ ทุตฺตปฺปยาฯ

    122. Catutthe duttappayāti atappayā, na sakkā kenaci tappetuṃ. Yo hi upaṭṭhākakulaṃ vā ñātikulaṃ vā nissāya vasamāno cīvare jiṇṇe tehi dinnaṃ cīvaraṃ nikkhipati, na paribhuñjati . Punappunaṃ dinnampi gahetvā nikkhipateva. Yo ca teneva nayena laddhaṃ laddhaṃ vissajjeti, parassa deti, punappunaṃ laddhampi tatheva karoti. Ime dve puggalā sakaṭehipi paccaye upanentena tappetuṃ na sakkāti duttappayā.

    ๑๒๓. ปญฺจเม น วิสฺสเชฺชตีติ อตฺตโน อกตฺวา ปรสฺส น เทติ, อติเรเก ปน สติ น นิกฺขิปติ, ปรสฺส เทติฯ เตเนวาห ‘‘สพฺพํเยว ปเรสํ น เทตี’’ติอาทิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘โย ภิกฺขุ อุปฎฺฐากกุลา วา ญาติกุลา วา ชิณฺณจีวโร สาฎกํ ลภิตฺวา จีวรํ กตฺวา ปริภุญฺชติ น นิกฺขิปติ, อคฺคฬํ ทตฺวา ปารุปโนฺตปิ ปุนปิ ทิยฺยมาเน สหสา นปฺปฎิคฺคณฺหาติฯ โย จ ลทฺธํ ลทฺธํ อตฺตนา ปริภุญฺชติ, ปเรสํ น เทติฯ อิเม เทฺวปิ สุเขน สกฺกา ตเปฺปตุนฺติ สุตปฺปยา’’ติฯ

    123. Pañcame na vissajjetīti attano akatvā parassa na deti, atireke pana sati na nikkhipati, parassa deti. Tenevāha ‘‘sabbaṃyeva paresaṃ na detī’’tiādi. Idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘yo bhikkhu upaṭṭhākakulā vā ñātikulā vā jiṇṇacīvaro sāṭakaṃ labhitvā cīvaraṃ katvā paribhuñjati na nikkhipati, aggaḷaṃ datvā pārupantopi punapi diyyamāne sahasā nappaṭiggaṇhāti. Yo ca laddhaṃ laddhaṃ attanā paribhuñjati, paresaṃ na deti. Ime dvepi sukhena sakkā tappetunti sutappayā’’ti.

    ๑๒๔-๑๒๗. ฉฎฺฐสตฺตมาทีนิ อุตฺตานตฺถาเนวฯ

    124-127. Chaṭṭhasattamādīni uttānatthāneva.

    อาสาทุปฺปชหวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āsāduppajahavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / (๑๑) ๑. อาสาทุปฺปชหวโคฺค • (11) 1. Āsāduppajahavaggo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / (๑๑) ๑. อาสาทุปฺปชหวคฺควณฺณนา • (11) 1. Āsāduppajahavaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact