Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๘๐] ๕. อาสงฺกชาตกวณฺณนา
[380] 5. Āsaṅkajātakavaṇṇanā
อาสาวตี นาม ลตาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปุราณทุติยิกาปโลภนํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ อินฺทฺริยชาตเก (ชา. ๑.๘.๖๐ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ อิธ ปน สตฺถา ตํ ภิกฺขุํ ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘เกน อุกฺกณฺฐาปิโตสี’’ติ วตฺวา ‘‘ปุราณทุติยิกาย, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ เอสา อิตฺถี ตุยฺหํ อนตฺถการิกา, ปุเพฺพปิ ตฺวํ เอตํ นิสฺสาย จตุรงฺคินิเสนํ ชหิตฺวา หิมวนฺตปเทเส มหนฺตํ ทุกฺขํ อนุภวโนฺต ตีณิ สํวจฺฉรานิ วสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Āsāvatīnāma latāti idaṃ satthā jetavane viharanto purāṇadutiyikāpalobhanaṃ ārabbha kathesi. Vatthu indriyajātake (jā. 1.8.60 ādayo) āvi bhavissati. Idha pana satthā taṃ bhikkhuṃ ‘‘saccaṃ kira tvaṃ ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘kena ukkaṇṭhāpitosī’’ti vatvā ‘‘purāṇadutiyikāya, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu esā itthī tuyhaṃ anatthakārikā, pubbepi tvaṃ etaṃ nissāya caturaṅginisenaṃ jahitvā himavantapadese mahantaṃ dukkhaṃ anubhavanto tīṇi saṃvaccharāni vasī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กาสิคาเม พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ อุคฺคหิตสิโปฺป อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา วนมูลผลาหาโร อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา หิมวนฺตปเทเส วสิฯ ตสฺมิํ กาเล เอโก ปุญฺญสมฺปโนฺน สโตฺต ตาวติํสภวนโต จวิตฺวา ตสฺมิํ ฐาเน ปทุมสเร เอกสฺมิํ ปทุมคเพฺภ ทาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺติ, เสสปทุเมสุ ปุราณภาวํ ปตฺวา ปตเนฺตสุปิ ตํ มหากุจฺฉิกํ หุตฺวา ติฎฺฐเตวฯ ตาปโส นหายิตุํ ปทุมสรํ คโต ตํ ทิสฺวา ‘‘อเญฺญสุ ปทุเมสุ ปตเนฺตสุปิ อิทํ มหากุจฺฉิกํ หุตฺวา ติฎฺฐติ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อุทกสาฎกํ นิวาเสตฺวา โอตรโนฺต คนฺตฺวา ตํ ปทุมํ วิวริตฺวา ตํ ทาริกํ ทิสฺวา ธีตุสญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา ปณฺณสาลํ อาเนตฺวา ปฎิชคฺคิฯ สา อปรภาเค โสฬสวสฺสิกา หุตฺวา อภิรูปา อโหสิ อุตฺตมรูปธรา อติกฺกนฺตา มานุสกวณฺณํ, อปตฺตา เทววณฺณํฯ ตทา สโกฺก โพธิสตฺตสฺส อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉติ, โส ตํ ทาริกํ ทิสฺวา ‘‘กุโต เอสา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ลทฺธนิยามํ สุตฺวา ‘‘อิมิสฺสา กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘นิวาสฎฺฐานํ วตฺถาลงฺการโภชนวิธานํ, มาริสา’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ ตสฺสา วสนฎฺฐานสฺส อาสเนฺน ผลิกปาสาทํ มาเปตฺวา ทิพฺพสยนทิพฺพวตฺถาลงฺการทิพฺพนฺนปานานิ มาเปสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kāsigāme brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ uggahitasippo isipabbajjaṃ pabbajitvā vanamūlaphalāhāro abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā himavantapadese vasi. Tasmiṃ kāle eko puññasampanno satto tāvatiṃsabhavanato cavitvā tasmiṃ ṭhāne padumasare ekasmiṃ padumagabbhe dārikā hutvā nibbatti, sesapadumesu purāṇabhāvaṃ patvā patantesupi taṃ mahākucchikaṃ hutvā tiṭṭhateva. Tāpaso nahāyituṃ padumasaraṃ gato taṃ disvā ‘‘aññesu padumesu patantesupi idaṃ mahākucchikaṃ hutvā tiṭṭhati, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti cintetvā udakasāṭakaṃ nivāsetvā otaranto gantvā taṃ padumaṃ vivaritvā taṃ dārikaṃ disvā dhītusaññaṃ uppādetvā paṇṇasālaṃ ānetvā paṭijaggi. Sā aparabhāge soḷasavassikā hutvā abhirūpā ahosi uttamarūpadharā atikkantā mānusakavaṇṇaṃ, apattā devavaṇṇaṃ. Tadā sakko bodhisattassa upaṭṭhānaṃ āgacchati, so taṃ dārikaṃ disvā ‘‘kuto esā’’ti pucchitvā laddhaniyāmaṃ sutvā ‘‘imissā kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti pucchi. ‘‘Nivāsaṭṭhānaṃ vatthālaṅkārabhojanavidhānaṃ, mārisā’’ti. So ‘‘sādhu, bhante’’ti tassā vasanaṭṭhānassa āsanne phalikapāsādaṃ māpetvā dibbasayanadibbavatthālaṅkāradibbannapānāni māpesi.
โส ปาสาโท ตสฺสา อภิรุหนกาเล โอตริตฺวา ภูมิยํ ปติฎฺฐาติ, อภิรุฬฺหกาเล ลงฺฆิตฺวา อากาเส ติฎฺฐติฯ สา โพธิสตฺตสฺส วตฺตปฎิวตฺตํ กุรุมานา ปาสาเท วสติฯ ตเมโก วนจรโก ทิสฺวา ‘‘อยํ, โว ภเนฺต, กิํ โหตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ธีตา เม’’ติ สุตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ‘‘เทว, มยา หิมวนฺตปเทเส เอวรูปา นาม เอกสฺส ตาปสสฺส ธีตา ทิฎฺฐา’’ติ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ตํ สุตฺวา โส สวนสํสเคฺคน พชฺฌิตฺวา วนจรกํ มคฺคเทสกํ กตฺวา จตุรงฺคินิยา เสนาย ตํ ฐานํ คนฺตฺวา ขนฺธาวารํ นิวาสาเปตฺวา วนจรกํ อาทาย อมจฺจคณปริวุโต อสฺสมปทํ ปวิสิตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ‘‘ภเนฺต, อิตฺถิโย นาม พฺรหฺมจริยสฺส มลํ, ตุมฺหากํ ธีตรํ อหํ ปฎิชคฺคิสฺสามี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ปน ‘‘กิํ นุ โข เอตสฺมิํ ปทุเม’’ติ อาสงฺกํ กตฺวา อุทกํ โอตริตฺวา อานีตภาเวน ตสฺสา กุมาริกาย อาสงฺกาติ นามํ อกาสิฯ โส ตํ ราชานํ ‘‘อิมํ คเหตฺวา คจฺฉา’’ติ อุชุกํ อวตฺวา ‘‘มหาราช, อิมาย กุมาริกาย นามํ ชานโนฺต คณฺหิตฺวา คจฺฉา’’ติ อาหฯ ‘‘ตุเมฺหหิ กถิเต ญสฺสามิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อหํ เต น กเถมิ, ตฺวํ อตฺตโน ปญฺญาพเลน นามํ ชานโนฺตว คเหตฺวา ยาหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย อมเจฺจหิ สทฺธิํ ‘‘กินฺนามา นุ โข เอสา’’ติ นามํ อุปธาเรติฯ โส ยานิ ทุชฺชานานิ นามานิ, ตานิ กิเตฺตตฺวา ‘‘อสุกา นาม ภวิสฺสตี’’ติ โพธิสเตฺตน สทฺธิํ กเถติฯ โพธิสโตฺต ‘‘น เอวํนามา’’ติ ปฎิกฺขิปติฯ
So pāsādo tassā abhiruhanakāle otaritvā bhūmiyaṃ patiṭṭhāti, abhiruḷhakāle laṅghitvā ākāse tiṭṭhati. Sā bodhisattassa vattapaṭivattaṃ kurumānā pāsāde vasati. Tameko vanacarako disvā ‘‘ayaṃ, vo bhante, kiṃ hotī’’ti pucchitvā ‘‘dhītā me’’ti sutvā bārāṇasiṃ gantvā ‘‘deva, mayā himavantapadese evarūpā nāma ekassa tāpasassa dhītā diṭṭhā’’ti rañño ārocesi. Taṃ sutvā so savanasaṃsaggena bajjhitvā vanacarakaṃ maggadesakaṃ katvā caturaṅginiyā senāya taṃ ṭhānaṃ gantvā khandhāvāraṃ nivāsāpetvā vanacarakaṃ ādāya amaccagaṇaparivuto assamapadaṃ pavisitvā mahāsattaṃ vanditvā ekamantaṃ nisinno ‘‘bhante, itthiyo nāma brahmacariyassa malaṃ, tumhākaṃ dhītaraṃ ahaṃ paṭijaggissāmī’’ti āha. Bodhisatto pana ‘‘kiṃ nu kho etasmiṃ padume’’ti āsaṅkaṃ katvā udakaṃ otaritvā ānītabhāvena tassā kumārikāya āsaṅkāti nāmaṃ akāsi. So taṃ rājānaṃ ‘‘imaṃ gahetvā gacchā’’ti ujukaṃ avatvā ‘‘mahārāja, imāya kumārikāya nāmaṃ jānanto gaṇhitvā gacchā’’ti āha. ‘‘Tumhehi kathite ñassāmi, bhante’’ti. ‘‘Ahaṃ te na kathemi, tvaṃ attano paññābalena nāmaṃ jānantova gahetvā yāhī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tato paṭṭhāya amaccehi saddhiṃ ‘‘kinnāmā nu kho esā’’ti nāmaṃ upadhāreti. So yāni dujjānāni nāmāni, tāni kittetvā ‘‘asukā nāma bhavissatī’’ti bodhisattena saddhiṃ katheti. Bodhisatto ‘‘na evaṃnāmā’’ti paṭikkhipati.
รโญฺญ จ นามํ อุปธาเรนฺตสฺส สํวจฺฉโร อตีโตฯ ตทา หตฺถิอสฺสมนุเสฺส สีหาทโย วาฬา คณฺหนฺติ, ทีฆชาติกปริปโนฺถ โหติ, มกฺขิกปริปโนฺถ โหติ, สีเตน กิลมิตฺวา พหู มนุสฺสา มรนฺติฯ อถ ราชา กุชฺฌิตฺวา ‘‘กิํ เม เอตายา’’ติ โพธิสตฺตสฺส กเถตฺวา ปายาสิฯ อาสงฺกา กุมาริกา ตํ ทิวสํ ผลิกวาตปานํ วิวริตฺวา อตฺตานํ ทเสฺสนฺตี อฎฺฐาสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ‘‘มยํ ตว นามํ ชานิตุํ น สโกฺกม, ตฺวํ หิมวเนฺตเยว วส, มยํ คมิสฺสามา’’ติ อาหฯ ‘‘กหํ, มหาราช, คจฺฉโนฺต มาทิสํ อิตฺถิํ ลภิสฺสสิ, มม วจนํ สุณาหิ, ตาวติํสเทวโลเก จิตฺตลตาวเน อาสาวตี นาม ลตา อตฺถิ, ตสฺสา ผลสฺส อพฺภนฺตเร ทิพฺพปานํ นิพฺพตฺตํ, ตํ เอกวารํ ปิวิตฺวา จตฺตาโร มาเส มตฺตา หุตฺวา ทิพฺพสยเน สยนฺติ, สา ปน วสฺสสหเสฺสน ผลติ, สุราโสณฺฑา เทวปุตฺตา ‘อิโต ผลํ ลภิสฺสามา’ติ ทิพฺพปานปิปาสํ อธิวาเสตฺวา วสฺสสหสฺสํ นิพทฺธํ คนฺตฺวา ตํ ลตํ ‘อโรคา นุ โข’ติ โอโลเกนฺติ, ตฺวํ ปน เอกสํวจฺฉเรเนว อุกฺกณฺฐิโต, อาสาผลวตี นาม สุขา, มา อุกฺกณฺฐี’’ติ วตฺวา ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Rañño ca nāmaṃ upadhārentassa saṃvaccharo atīto. Tadā hatthiassamanusse sīhādayo vāḷā gaṇhanti, dīghajātikaparipantho hoti, makkhikaparipantho hoti, sītena kilamitvā bahū manussā maranti. Atha rājā kujjhitvā ‘‘kiṃ me etāyā’’ti bodhisattassa kathetvā pāyāsi. Āsaṅkā kumārikā taṃ divasaṃ phalikavātapānaṃ vivaritvā attānaṃ dassentī aṭṭhāsi. Rājā taṃ disvā ‘‘mayaṃ tava nāmaṃ jānituṃ na sakkoma, tvaṃ himavanteyeva vasa, mayaṃ gamissāmā’’ti āha. ‘‘Kahaṃ, mahārāja, gacchanto mādisaṃ itthiṃ labhissasi, mama vacanaṃ suṇāhi, tāvatiṃsadevaloke cittalatāvane āsāvatī nāma latā atthi, tassā phalassa abbhantare dibbapānaṃ nibbattaṃ, taṃ ekavāraṃ pivitvā cattāro māse mattā hutvā dibbasayane sayanti, sā pana vassasahassena phalati, surāsoṇḍā devaputtā ‘ito phalaṃ labhissāmā’ti dibbapānapipāsaṃ adhivāsetvā vassasahassaṃ nibaddhaṃ gantvā taṃ lataṃ ‘arogā nu kho’ti olokenti, tvaṃ pana ekasaṃvacchareneva ukkaṇṭhito, āsāphalavatī nāma sukhā, mā ukkaṇṭhī’’ti vatvā tisso gāthā abhāsi –
๒๖.
26.
‘‘อาสาวตี นาม ลตา, ชาตา จิตฺตลตาวเน;
‘‘Āsāvatī nāma latā, jātā cittalatāvane;
ตสฺสา วสฺสสหเสฺสน, เอกํ นิพฺพตฺตเต ผลํฯ
Tassā vassasahassena, ekaṃ nibbattate phalaṃ.
๒๗.
27.
‘‘ตํ เทวา ปยิรุปาสนฺติ, ตาว ทูรผลํ สติํ;
‘‘Taṃ devā payirupāsanti, tāva dūraphalaṃ satiṃ;
อาสีเสว ตุวํ ราช, อาสา ผลวตี สุขาฯ
Āsīseva tuvaṃ rāja, āsā phalavatī sukhā.
๒๘.
28.
‘‘อาสีสเตว โส ปกฺขี, อาสีสเตว โส ทิโช;
‘‘Āsīsateva so pakkhī, āsīsateva so dijo;
ตสฺส จาสา สมิชฺฌติ, ตาว ทูรคตา สตี;
Tassa cāsā samijjhati, tāva dūragatā satī;
อาสีเสว ตุวํ ราช, อาสา ผลวตี สุขา’’ติฯ
Āsīseva tuvaṃ rāja, āsā phalavatī sukhā’’ti.
ตตฺถ อาสาวตีติ เอวํนามิกาฯ สา หิ ยสฺมา ตสฺสา ผเล อาสา อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา เอตํ นามํ ลภติฯ จิตฺตลตาวเนติ เอวํนามเก อุยฺยาเนฯ ตสฺมิํ กิร อุยฺยาเน ติณรุกฺขลตาทีนํ ปภา ตตฺถ ปวิฎฺฐปวิฎฺฐานํ เทวตานํ สรีรวณฺณํ จิตฺตํ กโรติ, เตนสฺส ‘‘จิตฺตลตาวน’’นฺติ นามํ ชาตํฯ ปยิรุปาสนฺตีติ ปุนปฺปุนํ อุเปนฺติฯ อาสีเสวาติ อาสีสาหิเยว ปเตฺถหิเยว, มา อาสเจฺฉทํ กโรหีติฯ
Tattha āsāvatīti evaṃnāmikā. Sā hi yasmā tassā phale āsā uppajjati, tasmā etaṃ nāmaṃ labhati. Cittalatāvaneti evaṃnāmake uyyāne. Tasmiṃ kira uyyāne tiṇarukkhalatādīnaṃ pabhā tattha paviṭṭhapaviṭṭhānaṃ devatānaṃ sarīravaṇṇaṃ cittaṃ karoti, tenassa ‘‘cittalatāvana’’nti nāmaṃ jātaṃ. Payirupāsantīti punappunaṃ upenti. Āsīsevāti āsīsāhiyeva patthehiyeva, mā āsacchedaṃ karohīti.
ราชา ตสฺสา กถาย พชฺฌิตฺวา ปุน อมเจฺจ สนฺนิปาตาเปตฺวา ทสนามกํ กาเรตฺวา นามํ คเวสโนฺต อปรมฺปิ สํวจฺฉรํ วสิฯ ตสฺสา ทสนามกมฺปิ นามํ นาโหสิ, ‘‘อสุกา นามา’’ติ วุเตฺต โพธิสโตฺต ปฎิกฺขิปเตวฯ ปุน ราชา ‘‘กิํ เม อิมายา’’ติ ตุรงฺคํ อารุยฺห ปายาสิฯ สาปิ ปุน วาตปาเน ฐตฺวา อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ ราชา ‘‘ติฎฺฐ ตฺวํ, มยํ คมิสฺสามา’’ติ อาหฯ ‘‘กสฺมา ยาสิ, มหาราชา’’ติ? ‘‘ตว นามํ ชานิตุํ น สโกฺกมี’’ติฯ ‘‘มหาราช, กสฺมา นามํ น ชานิสฺสสิ, อาสา นาม อสมิชฺฌนกา นาม นตฺถิ, เอโก กิร พโก ปพฺพตมุทฺธนิ ฐิโต อตฺตนา ปตฺถิตํ ลภิ, ตฺวํ กสฺมา น ลภิสฺสสิ, อธิวาเสหิ, มหาราชา’’ติฯ เอโก กิร พโก เอกสฺมิํ ปทุมสเร โคจรํ คเหตฺวา อุปฺปติตฺวา ปพฺพตมตฺถเก นิลียิฯ โส ตํ ทิวสํ ตเตฺถว วสิตฺวา ปุนทิวเส จิเนฺตสิ ‘‘อหํ อิมสฺมิํ ปพฺพตมตฺถเก สุขํ นิสิโนฺน, สเจ อิโต อโนตริตฺวา เอเตฺถว นิสิโนฺน โคจรํ คเหตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา อิมํ ทิวสํ วเสยฺยํ, ภทฺรกํ วต อสฺสา’’ติฯ อถ ตํ ทิวสเมว สโกฺก เทวราชา อสุรนิมฺมถนํ กตฺวา ตาวติํสภวเน เทวิสฺสริยํ ลทฺธา จิเนฺตสิ ‘มม ตาว มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต, อตฺถิ นุ โข อโญฺญ โกจิ อปริปุณฺณมโนรโถ’ติ อุปธาเรโนฺต ตํ ทิสฺวา ‘อิมสฺส มโนรถํ มตฺถกํ ปาเปสฺสามี’ติ พกสฺส นิสินฺนฎฺฐานโต อวิทูเร เอกา นที อตฺถิ, ตํ นทิํ โอฆปุณฺณํ กตฺวา ปพฺพตมตฺถเกน เปเสสิฯ โสปิ พโก ตเตฺถว นิสิโนฺน มเจฺฉ ขาทิตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา ตํ ทิวสํ ตเตฺถว วสิ, อุทกมฺปิ ภสฺสิตฺวา คตํฯ ‘‘เอวํ, มหาราช, พโกปิ ตาว อตฺตโน อาสาผลํ ลภิ, กิํ ตฺวํ น ลภิสฺสสี’’ติ วตฺวา ‘‘อาสีสเตวา’’ติอาทิมาหฯ
Rājā tassā kathāya bajjhitvā puna amacce sannipātāpetvā dasanāmakaṃ kāretvā nāmaṃ gavesanto aparampi saṃvaccharaṃ vasi. Tassā dasanāmakampi nāmaṃ nāhosi, ‘‘asukā nāmā’’ti vutte bodhisatto paṭikkhipateva. Puna rājā ‘‘kiṃ me imāyā’’ti turaṅgaṃ āruyha pāyāsi. Sāpi puna vātapāne ṭhatvā attānaṃ dassesi. Rājā ‘‘tiṭṭha tvaṃ, mayaṃ gamissāmā’’ti āha. ‘‘Kasmā yāsi, mahārājā’’ti? ‘‘Tava nāmaṃ jānituṃ na sakkomī’’ti. ‘‘Mahārāja, kasmā nāmaṃ na jānissasi, āsā nāma asamijjhanakā nāma natthi, eko kira bako pabbatamuddhani ṭhito attanā patthitaṃ labhi, tvaṃ kasmā na labhissasi, adhivāsehi, mahārājā’’ti. Eko kira bako ekasmiṃ padumasare gocaraṃ gahetvā uppatitvā pabbatamatthake nilīyi. So taṃ divasaṃ tattheva vasitvā punadivase cintesi ‘‘ahaṃ imasmiṃ pabbatamatthake sukhaṃ nisinno, sace ito anotaritvā ettheva nisinno gocaraṃ gahetvā pānīyaṃ pivitvā imaṃ divasaṃ vaseyyaṃ, bhadrakaṃ vata assā’’ti. Atha taṃ divasameva sakko devarājā asuranimmathanaṃ katvā tāvatiṃsabhavane devissariyaṃ laddhā cintesi ‘mama tāva manoratho matthakaṃ patto, atthi nu kho añño koci aparipuṇṇamanoratho’ti upadhārento taṃ disvā ‘imassa manorathaṃ matthakaṃ pāpessāmī’ti bakassa nisinnaṭṭhānato avidūre ekā nadī atthi, taṃ nadiṃ oghapuṇṇaṃ katvā pabbatamatthakena pesesi. Sopi bako tattheva nisinno macche khāditvā pānīyaṃ pivitvā taṃ divasaṃ tattheva vasi, udakampi bhassitvā gataṃ. ‘‘Evaṃ, mahārāja, bakopi tāva attano āsāphalaṃ labhi, kiṃ tvaṃ na labhissasī’’ti vatvā ‘‘āsīsatevā’’tiādimāha.
ตตฺถ อาสีสเตวาติ อาสีสติเยว ปเตฺถติเยวฯ ปกฺขีติ ปเกฺขหิ ยุตฺตตาย ปกฺขีฯ ทฺวิกฺขตฺตุํ ชาตตาย ทิโชฯ ตาว ทูรคตา สตีติ ปพฺพตมตฺถกโต มจฺฉานญฺจ อุทกสฺส จ ทูรภาวํ ปสฺส, เอวํ ทูรคตา สมานา สกฺกสฺส อานุภาเวน พกสฺส อาสา ปูริเยวาติฯ
Tattha āsīsatevāti āsīsatiyeva patthetiyeva. Pakkhīti pakkhehi yuttatāya pakkhī. Dvikkhattuṃ jātatāya dijo. Tāva dūragatā satīti pabbatamatthakato macchānañca udakassa ca dūrabhāvaṃ passa, evaṃ dūragatā samānā sakkassa ānubhāvena bakassa āsā pūriyevāti.
อถ ราชา ตสฺสา กถํ สุตฺวา รูเป พชฺฌิตฺวา กถาย อลฺลีโน คนฺตุํ อสโกฺกโนฺต อมเจฺจ สนฺนิปาเตตฺวา สตนามํ กาเรสิ, สตนามวเสน นามํ คเวสโตปิสฺส อญฺญํ สํวจฺฉรํ อตีตํ ฯ โส ติณฺณํ สํวจฺฉรานํ อจฺจเยน โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา สตนามวเสน ‘‘อสุกา นาม ภวิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น ชานาสิ, มหาราชา’’ติฯ โส ‘‘คมิสฺสาม ทานิ มย’’นฺติ โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา ปายาสิฯ อาสงฺกา กุมาริกา จ ปุน ผลิกวาตปานํ นิสฺสาย ฐิตาวฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ‘‘ตฺวํ อจฺฉ, มยํ คมิสฺสามา’’ติ อาหฯ ‘‘กสฺมา, มหาราชา’’ติฯ ‘‘ตฺวํ มํ วจเนเนว สนฺตเปฺปสิ, น จ กามรติยา, ตว มธุรวจเนน พชฺฌิตฺวา วสนฺตสฺส มม ตีณิ สํวจฺฉรานิ อติกฺกนฺตานิ, อิทานิ คมิสฺสามี’’ติ อิมา คาถา อาห –
Atha rājā tassā kathaṃ sutvā rūpe bajjhitvā kathāya allīno gantuṃ asakkonto amacce sannipātetvā satanāmaṃ kāresi, satanāmavasena nāmaṃ gavesatopissa aññaṃ saṃvaccharaṃ atītaṃ . So tiṇṇaṃ saṃvaccharānaṃ accayena bodhisattaṃ upasaṅkamitvā satanāmavasena ‘‘asukā nāma bhavissatī’’ti pucchi. ‘‘Na jānāsi, mahārājā’’ti. So ‘‘gamissāma dāni maya’’nti bodhisattaṃ vanditvā pāyāsi. Āsaṅkā kumārikā ca puna phalikavātapānaṃ nissāya ṭhitāva. Rājā taṃ disvā ‘‘tvaṃ accha, mayaṃ gamissāmā’’ti āha. ‘‘Kasmā, mahārājā’’ti. ‘‘Tvaṃ maṃ vacaneneva santappesi, na ca kāmaratiyā, tava madhuravacanena bajjhitvā vasantassa mama tīṇi saṃvaccharāni atikkantāni, idāni gamissāmī’’ti imā gāthā āha –
๒๙.
29.
‘‘สเมฺปสิ โข มํ วาจาย, น จ สเมฺปสิ กมฺมุนา;
‘‘Sampesi kho maṃ vācāya, na ca sampesi kammunā;
มาลา เสเรยฺยกเสฺสว, วณฺณวนฺตา อคนฺธิกาฯ
Mālā sereyyakasseva, vaṇṇavantā agandhikā.
๓๐.
30.
‘‘อผลํ มธุรํ วาจํ, โย มิเตฺตสุ ปกุพฺพติ;
‘‘Aphalaṃ madhuraṃ vācaṃ, yo mittesu pakubbati;
อททํ อวิสฺสชํ โภคํ, สนฺธิ เตนสฺส ชีรติฯ
Adadaṃ avissajaṃ bhogaṃ, sandhi tenassa jīrati.
๓๑.
31.
‘‘ยญฺหิ กยิรา ตญฺหิ วเท, ยํ น กยิรา น ตํ วเท;
‘‘Yañhi kayirā tañhi vade, yaṃ na kayirā na taṃ vade;
อกโรนฺตํ ภาสมานํ, ปริชานนฺติ ปณฺฑิตาฯ
Akarontaṃ bhāsamānaṃ, parijānanti paṇḍitā.
๓๒.
32.
‘‘พลญฺจ วต เม ขีณํ, ปาเถยฺยญฺจ น วิชฺชติ;
‘‘Balañca vata me khīṇaṃ, pātheyyañca na vijjati;
สเงฺก ปาณูปโรธาย, หนฺท ทานิ วชามห’’นฺติฯ
Saṅke pāṇūparodhāya, handa dāni vajāmaha’’nti.
ตตฺถ สเมฺปสีติ สนฺตเปฺปสิ ปีเณสิฯ เสเรยฺยกสฺสาติ สุวณฺณกุรณฺฑกสฺสฯ เทสนาสีสเมเวตํ, ยํกิญฺจิ ปน สุวณฺณกุรณฺฑกชยสุมนาทิกํ อญฺญมฺปิ ปุปฺผํ วณฺณสมฺปนฺนํ อคนฺธกํ, สพฺพํ ตํ สนฺธาเยวมาหฯ วณฺณวนฺตา อคนฺธิกาติ ยถา เสเรยฺยกาทีนํ มาลา วณฺณวนฺตตาย ทสฺสเนน ตเปฺปติ, อคนฺธตาย คเนฺธน น ตเปฺปติ, เอวํ ตฺวมฺปิ ทสฺสเนน ปิยวจเนน จ สนฺตเปฺปสิ, น กมฺมุนาติ ทีเปติฯ อททนฺติ ภเทฺท, โย ‘‘อิมํ นาม โว โภคํ ทสฺสามี’’ติ มธุรวจเนน วตฺวา ตํ โภคํ อททโนฺต อวิสฺสเชฺชโนฺต เกวลํ มธุรวจนเมว กโรติ, เตน สทฺธิํ อสฺส มิตฺตสฺส สนฺธิ ชีรติ, มิตฺตสนฺถโว น ฆฎียติฯ ปาเถยฺยญฺจาติ ภเทฺท, มยฺหํ ตว มธุรวจเนน พชฺฌิตฺวา ตีณิ สํวจฺฉรานิ วสนฺตเสฺสว หตฺถิอสฺสรถปตฺติสงฺขาตํ พลญฺจ ขีณํ, มนุสฺสานํ ภตฺตเวตนสงฺขาตํ ปาเถยฺยญฺจ นตฺถิฯ สเงฺก ปาณูปโรธายาติ สฺวาหํ อิเธว อตฺตโน ชีวิตวินาสํ อาสงฺกามิ, หนฺท ทานาหํ คจฺฉามีติฯ
Tattha sampesīti santappesi pīṇesi. Sereyyakassāti suvaṇṇakuraṇḍakassa. Desanāsīsamevetaṃ, yaṃkiñci pana suvaṇṇakuraṇḍakajayasumanādikaṃ aññampi pupphaṃ vaṇṇasampannaṃ agandhakaṃ, sabbaṃ taṃ sandhāyevamāha. Vaṇṇavantā agandhikāti yathā sereyyakādīnaṃ mālā vaṇṇavantatāya dassanena tappeti, agandhatāya gandhena na tappeti, evaṃ tvampi dassanena piyavacanena ca santappesi, na kammunāti dīpeti. Adadanti bhadde, yo ‘‘imaṃ nāma vo bhogaṃ dassāmī’’ti madhuravacanena vatvā taṃ bhogaṃ adadanto avissajjento kevalaṃ madhuravacanameva karoti, tena saddhiṃ assa mittassa sandhi jīrati, mittasanthavo na ghaṭīyati. Pātheyyañcāti bhadde, mayhaṃ tava madhuravacanena bajjhitvā tīṇi saṃvaccharāni vasantasseva hatthiassarathapattisaṅkhātaṃ balañca khīṇaṃ, manussānaṃ bhattavetanasaṅkhātaṃ pātheyyañca natthi. Saṅke pāṇūparodhāyāti svāhaṃ idheva attano jīvitavināsaṃ āsaṅkāmi, handa dānāhaṃ gacchāmīti.
อาสงฺกา กุมาริกา รโญฺญ วจนํ สุตฺวา ‘‘มหาราช, ตฺวํ มยฺหํ นามํ ชานาสิ, ตยา วุตฺตเมว มม นามํ, อิทํ เม ปิตุ กเถตฺวา มํ คณฺหิตฺวา ยาหี’’ติ รญฺญา สทฺธิํ สลฺลปนฺตี อาห –
Āsaṅkā kumārikā rañño vacanaṃ sutvā ‘‘mahārāja, tvaṃ mayhaṃ nāmaṃ jānāsi, tayā vuttameva mama nāmaṃ, idaṃ me pitu kathetvā maṃ gaṇhitvā yāhī’’ti raññā saddhiṃ sallapantī āha –
๓๓.
33.
‘‘เอตเทว หิ เม นามํ, ยํนามสฺมิ รเถสภ;
‘‘Etadeva hi me nāmaṃ, yaṃnāmasmi rathesabha;
อาคเมหิ มหาราช, ปิตรํ อามนฺตยามห’’นฺติฯ
Āgamehi mahārāja, pitaraṃ āmantayāmaha’’nti.
ตสฺสโตฺถ – ยํนามา อหํ อสฺมิ, ตํ เอตํ อาสงฺกาเตฺวว มม นามนฺติฯ
Tassattho – yaṃnāmā ahaṃ asmi, taṃ etaṃ āsaṅkātveva mama nāmanti.
ตํ สุตฺวา ราชา โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ธีตา อาสงฺกา นามา’’ติ อาหฯ ‘‘นามํ ญาตกาลโต ปฎฺฐาย ตํ คเหตฺวา คจฺฉ, มหาราชา’’ติฯ โส มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา ผลิกวิมานทฺวารํ อาคนฺตฺวา อาห – ‘‘ภเทฺท, ปิตราปิ เต มยฺหํ ทินฺนา, เอหิ ทานิ คมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อาคเมหิ, มหาราช, ปิตรํ อามนฺตยามห’’นฺติ ปาสาทา โอตริตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา โรทิตฺวา ขมาเปตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ อาคตาฯ ราชา ตํ คเหตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒโนฺต ปิยสํวาสํ วสิฯ โพธิสโตฺต อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชิฯ
Taṃ sutvā rājā bodhisattassa santikaṃ gantvā ‘‘bhante, tumhākaṃ dhītā āsaṅkā nāmā’’ti āha. ‘‘Nāmaṃ ñātakālato paṭṭhāya taṃ gahetvā gaccha, mahārājā’’ti. So mahāsattaṃ vanditvā phalikavimānadvāraṃ āgantvā āha – ‘‘bhadde, pitarāpi te mayhaṃ dinnā, ehi dāni gamissāmā’’ti. ‘‘Āgamehi, mahārāja, pitaraṃ āmantayāmaha’’nti pāsādā otaritvā mahāsattaṃ vanditvā roditvā khamāpetvā rañño santikaṃ āgatā. Rājā taṃ gahetvā bārāṇasiṃ gantvā puttadhītāhi vaḍḍhanto piyasaṃvāsaṃ vasi. Bodhisatto aparihīnajjhāno brahmaloke uppajji.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา อาสงฺกา กุมาริกา ปุราณทุติยิกา อโหสิ, ราชา อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ, ตาปโส ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā āsaṅkā kumārikā purāṇadutiyikā ahosi, rājā ukkaṇṭhitabhikkhu, tāpaso pana ahameva ahosinti.
อาสงฺกชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ
Āsaṅkajātakavaṇṇanā pañcamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๘๐. อาสงฺกชาตกํ • 380. Āsaṅkajātakaṃ