Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๗. อิตฺถิวโคฺค
7. Itthivaggo
[๖๑] ๑. อสาตมนฺตชาตกวณฺณนา
[61] 1. Asātamantajātakavaṇṇanā
อสา โลกิตฺถิโย นามาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุกฺกณฺฐิตํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺส วตฺถุ อุมฺมาทนฺติชาตเก อาวิ ภวิสฺสติฯ ตํ ปน ภิกฺขุํ สตฺถา ‘‘ภิกฺขุ อิตฺถิโย นาม อสาตา อสติโย ลามิกา ปจฺฉิมิกา, ตฺวํ เอวรูปํ ลามิกํ อิตฺถิํ นิสฺสาย กสฺมา อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Asālokitthiyo nāmāti idaṃ satthā jetavane viharanto ukkaṇṭhitaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tassa vatthu ummādantijātake āvi bhavissati. Taṃ pana bhikkhuṃ satthā ‘‘bhikkhu itthiyo nāma asātā asatiyo lāmikā pacchimikā, tvaṃ evarūpaṃ lāmikaṃ itthiṃ nissāya kasmā ukkaṇṭhitosī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต คนฺธารรเฎฺฐ ตกฺกสิลายํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต ตีสุ เวเทสุ สพฺพสิเปฺปสุ จ นิปฺผตฺติํ ปโตฺต ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย อโหสิฯ ตทา พาราณสิยํ เอกสฺมิํ พฺราหฺมณกุเล ปุตฺตสฺส ชาตทิวเส อคฺคิํ คเหตฺวา อนิพฺพายนฺตํ ฐปยิํสุฯ อถ นํ พฺราหฺมณกุมารํ โสฬสวสฺสกาเล มาตาปิตโร อาหํสุ ‘‘ปุตฺต, มยํ ตว ชาตทิวเส อคฺคิํ คเหตฺวา ฐปยิมฺหฯ สเจ พฺรหฺมโลกปรายโณ ภวิตุกาโม, ตฺวํ อคฺคิํ อาทาย อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อคฺคิํ ภควนฺตํ นมสฺสมาโน พฺรหฺมโลกปรายโณ โหหิฯ สเจ อคารํ อชฺฌาวสิตุกาโม, ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหิตฺวา กุฎุมฺพํ สณฺฐเปหี’’ติฯ มาณโว ‘‘นาหํ สกฺขิสฺสามิ อรเญฺญ อคฺคิํ ปริจริตุํ, กุฎุมฺพเมว สณฺฐเปสฺสามี’’ติ มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา อาจริยภาคํ สหสฺสํ คเหตฺวา ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา สิปฺปํ อุคฺคณฺหิตฺวา ปจฺจาคมาสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto gandhāraraṭṭhe takkasilāyaṃ brāhmaṇakule nibbattitvā viññutaṃ patto tīsu vedesu sabbasippesu ca nipphattiṃ patto disāpāmokkho ācariyo ahosi. Tadā bārāṇasiyaṃ ekasmiṃ brāhmaṇakule puttassa jātadivase aggiṃ gahetvā anibbāyantaṃ ṭhapayiṃsu. Atha naṃ brāhmaṇakumāraṃ soḷasavassakāle mātāpitaro āhaṃsu ‘‘putta, mayaṃ tava jātadivase aggiṃ gahetvā ṭhapayimha. Sace brahmalokaparāyaṇo bhavitukāmo, tvaṃ aggiṃ ādāya araññaṃ pavisitvā aggiṃ bhagavantaṃ namassamāno brahmalokaparāyaṇo hohi. Sace agāraṃ ajjhāvasitukāmo, takkasilaṃ gantvā disāpāmokkhassa ācariyassa santike sippaṃ uggaṇhitvā kuṭumbaṃ saṇṭhapehī’’ti. Māṇavo ‘‘nāhaṃ sakkhissāmi araññe aggiṃ paricarituṃ, kuṭumbameva saṇṭhapessāmī’’ti mātāpitaro vanditvā ācariyabhāgaṃ sahassaṃ gahetvā takkasilaṃ gantvā sippaṃ uggaṇhitvā paccāgamāsi.
มาตาปิตโร ปนสฺส อนตฺถิกา ฆราวาเสน, อรเญฺญ อคฺคิํ ปริจราเปตุกามา โหนฺติฯ อถ นํ มาตา อิตฺถีนํ โทสํ ทเสฺสตฺวา อรญฺญํ เปเสตุกามา ‘‘โส อาจริโย ปณฺฑิโต พฺยโตฺต สกฺขิสฺสติ เม ปุตฺตสฺส อิตฺถีนํ โทสํ กเถตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาห – ‘‘อุคฺคหิตํ เต, ตาต, สิปฺป’’นฺติฯ ‘‘อาม, อมฺมา’’ติฯ ‘‘อสาตมโนฺตปิ เต อุคฺคหิโต’’ติฯ ‘‘น อุคฺคหิโต, อมฺมา’’ติฯ ‘‘ตาต, ยทิ เต อสาตมโนฺต น อุคฺคหิโต, กิํ นาม เต สิปฺปํ อุคฺคหิตํ, คจฺฉ, อุคฺคณฺหิตฺวา เอหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปุน ตกฺกสิลาภิมุโข ปายาสิฯ ตสฺสปิ อาจริยสฺส มาตา มหลฺลิกา วีสติวสฺสสติกา ฯ โส ตํ สหตฺถา นฺหาเปโนฺต โภเชโนฺต ปาเยโนฺต ปฎิชคฺคติฯ อเญฺญ มนุสฺสา นํ ตถา กโรนฺตํ ชิคุจฺฉนฺติฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘ยํนูนาหํ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ตตฺถ มาตรํ ปฎิชคฺคโนฺต วิหเรยฺย’’นฺติฯ อเถกสฺมิํ วิวิเตฺต อรเญฺญ อุทกผาสุกฎฺฐาเน ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา สปฺปิตณฺฑุลาทีนิ อาหราเปตฺวา มาตรํ อุกฺขิปิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา มาตรํ ปฎิชคฺคโนฺต วาสํ กเปฺปสิฯ
Mātāpitaro panassa anatthikā gharāvāsena, araññe aggiṃ paricarāpetukāmā honti. Atha naṃ mātā itthīnaṃ dosaṃ dassetvā araññaṃ pesetukāmā ‘‘so ācariyo paṇḍito byatto sakkhissati me puttassa itthīnaṃ dosaṃ kathetu’’nti cintetvā āha – ‘‘uggahitaṃ te, tāta, sippa’’nti. ‘‘Āma, ammā’’ti. ‘‘Asātamantopi te uggahito’’ti. ‘‘Na uggahito, ammā’’ti. ‘‘Tāta, yadi te asātamanto na uggahito, kiṃ nāma te sippaṃ uggahitaṃ, gaccha, uggaṇhitvā ehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti puna takkasilābhimukho pāyāsi. Tassapi ācariyassa mātā mahallikā vīsativassasatikā . So taṃ sahatthā nhāpento bhojento pāyento paṭijaggati. Aññe manussā naṃ tathā karontaṃ jigucchanti. So cintesi ‘‘yaṃnūnāhaṃ araññaṃ pavisitvā tattha mātaraṃ paṭijagganto vihareyya’’nti. Athekasmiṃ vivitte araññe udakaphāsukaṭṭhāne paṇṇasālaṃ kāretvā sappitaṇḍulādīni āharāpetvā mātaraṃ ukkhipitvā tattha gantvā mātaraṃ paṭijagganto vāsaṃ kappesi.
โสปิ โข มาณโว ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา อาจริยํ อปสฺสโนฺต ‘‘กหํ อาจริโย’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ อาจริโย ‘‘กิํ นุ โข, ตาต, อติสีฆํ อาคโตสี’’ติ? ‘‘นนุ อหํ ตุเมฺหหิ อสาตมโนฺต นาม น อุคฺคณฺหาปิโต’’ติ? ‘‘โก ปน เต อสาตมเนฺต อุคฺคณฺหิตเพฺพ กตฺวา กเถสี’’ติ? ‘‘มยฺหํ มาตา อาจริยา’’ติฯ โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อสาตมโนฺต นาม โกจิ นตฺถิ, อิมสฺส ปน มาตา อิมํ อิตฺถิโทเส ชานาเปตุกามา ภวิสฺสตี’’ติฯ อถ นํ ‘‘สาธุ, ตาต, ทสฺสามิ เต อสาตมเนฺต, ตฺวํ อชฺช อาทิํ กตฺวา มม ฐาเน ฐตฺวา มม มาตรํ สหตฺถา นฺหาเปโนฺต โภเชโนฺต ปาเยโนฺต ปฎิชคฺคาหิ, หตฺถปาทสีสปิฎฺฐิสมฺพาหนาทีนิ จสฺสา กโรโนฺต ‘อเยฺย ชรํ ปตฺตกาเลปิ ตาว เต เอวรูปํ สรีรํ, ทหรกาเล กีทิสํ อโหสี’ติ หตฺถปาทปริกมฺมาทิกรณกาเล หตฺถปาทาทีนํ วณฺณํ กเถยฺยาสิฯ ยญฺจ เต มม มาตา กเถติ, ตํ อลชฺชโนฺต อนิคุหโนฺต มยฺหํ อาโรเจยฺยาสิ, เอวํ กโรโนฺต อสาตมเนฺต ลจฺฉสิ, อกโรโนฺต น ลจฺฉสี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธุ อาจริยา’’ติ ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย สพฺพํ ยถาวุตฺตวิธานํ อกาสิฯ
Sopi kho māṇavo takkasilaṃ gantvā ācariyaṃ apassanto ‘‘kahaṃ ācariyo’’ti pucchitvā taṃ pavattiṃ sutvā tattha gantvā vanditvā aṭṭhāsi. Atha naṃ ācariyo ‘‘kiṃ nu kho, tāta, atisīghaṃ āgatosī’’ti? ‘‘Nanu ahaṃ tumhehi asātamanto nāma na uggaṇhāpito’’ti? ‘‘Ko pana te asātamante uggaṇhitabbe katvā kathesī’’ti? ‘‘Mayhaṃ mātā ācariyā’’ti. Bodhisatto cintesi ‘‘asātamanto nāma koci natthi, imassa pana mātā imaṃ itthidose jānāpetukāmā bhavissatī’’ti. Atha naṃ ‘‘sādhu, tāta, dassāmi te asātamante, tvaṃ ajja ādiṃ katvā mama ṭhāne ṭhatvā mama mātaraṃ sahatthā nhāpento bhojento pāyento paṭijaggāhi, hatthapādasīsapiṭṭhisambāhanādīni cassā karonto ‘ayye jaraṃ pattakālepi tāva te evarūpaṃ sarīraṃ, daharakāle kīdisaṃ ahosī’ti hatthapādaparikammādikaraṇakāle hatthapādādīnaṃ vaṇṇaṃ katheyyāsi. Yañca te mama mātā katheti, taṃ alajjanto aniguhanto mayhaṃ āroceyyāsi, evaṃ karonto asātamante lacchasi, akaronto na lacchasī’’ti āha. So ‘‘sādhu ācariyā’’ti tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā tato paṭṭhāya sabbaṃ yathāvuttavidhānaṃ akāsi.
อถสฺสา ตสฺมิํ มาณเว ปุนปฺปุนํ วณฺณยมาเน ‘‘อยํ มยา สทฺธิํ อภิรมิตุกาโม ภวิสฺสตี’’ติ อนฺธาย ชราชิณฺณาย อพฺภนฺตเร กิเลโส อุปฺปชฺชิ ฯ สา เอกทิวสํ อตฺตโน สรีรวณฺณํ กถยมานํ มาณวํ อาห ‘‘มยา สทฺธิํ อภิรมิตุํ อิจฺฉสี’’ติ? ‘‘อเยฺย, อหํ ตาว อิเจฺฉยฺยํ, อาจริโย ปน ครุโก’’ติฯ ‘‘สเจ มํ อิจฺฉสิ, ปุตฺตํ เม มาเรหี’’ติฯ ‘‘อหํ อาจริยสฺส สนฺติเก เอตฺตกํ สิปฺปํ อุคฺคณฺหิตฺวา กิเลสมตฺตํ นิสฺสาย กินฺติ กตฺวา อาจริยํ มาเรสฺสามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ สเจ ตฺวํ มํ น ปริจฺจชสิ, อหเมว นํ มาเรสฺสามี’’ติฯ เอวํ อิตฺถิโย นาม อสาตา ลามิกา ปจฺฉิมิกา, ตถารูเป นาม วเย ฐิตา ราคจิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา กิเลสํ อนุวตฺตมานา เอวํ อุปการกํ ปุตฺตํ มาเรตุกามา ชาตาฯ มาณโว สพฺพํ ตํ กถํ โพธิสตฺตสฺส อาโรเจสิฯ
Athassā tasmiṃ māṇave punappunaṃ vaṇṇayamāne ‘‘ayaṃ mayā saddhiṃ abhiramitukāmo bhavissatī’’ti andhāya jarājiṇṇāya abbhantare kileso uppajji . Sā ekadivasaṃ attano sarīravaṇṇaṃ kathayamānaṃ māṇavaṃ āha ‘‘mayā saddhiṃ abhiramituṃ icchasī’’ti? ‘‘Ayye, ahaṃ tāva iccheyyaṃ, ācariyo pana garuko’’ti. ‘‘Sace maṃ icchasi, puttaṃ me mārehī’’ti. ‘‘Ahaṃ ācariyassa santike ettakaṃ sippaṃ uggaṇhitvā kilesamattaṃ nissāya kinti katvā ācariyaṃ māressāmī’’ti. ‘‘Tena hi sace tvaṃ maṃ na pariccajasi, ahameva naṃ māressāmī’’ti. Evaṃ itthiyo nāma asātā lāmikā pacchimikā, tathārūpe nāma vaye ṭhitā rāgacittaṃ uppādetvā kilesaṃ anuvattamānā evaṃ upakārakaṃ puttaṃ māretukāmā jātā. Māṇavo sabbaṃ taṃ kathaṃ bodhisattassa ārocesi.
โพธิสโตฺต ‘‘สุฎฺฐุ เต, มาณว, กตํ มยฺหํ อาโรเจเนฺตนา’’ติ วตฺวา มาตุ อายุสงฺขารํ โอโลเกโนฺต ‘‘อเชฺชว มริสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘เอหิ, มาณว, วีมํสิสฺสาม น’’นฺติ เอกํ อุทุมฺพรรุกฺขํ ฉินฺทิตฺวา อตฺตโน ปมาเณน กฎฺฐรูปกํ กตฺวา สสีสํ ปารุปิตฺวา อตฺตโน สยนฎฺฐาเน อุตฺตานํ นิปชฺชาเปตฺวา รชฺชุกํ พนฺธิตฺวา อเนฺตวาสิกํ อาห – ‘‘ตาต, ผรสุํ อาทาย คนฺตฺวา มม มาตุ สญฺญํ เทหี’’ติฯ มาณโว คนฺตฺวา ‘‘อเยฺย, อาจริโย ปณฺณสาลายํ อตฺตโน สยนฎฺฐาเน นิปโนฺน, รชฺชุสญฺญา เม พทฺธา, อิมํ ผรสุํ อาทาย คนฺตฺวา สเจ สโกฺกสิ, มาเรหิ น’’นฺติ อาหฯ ‘‘ตฺวํ ปน มํ น ปริจฺจชิสฺสสี’’ติ? ‘‘กิํการณา ปริจฺจชิสฺสามี’’ติ? สา ผรสุํ อาทาย ปเวธมานา อุฎฺฐาย รชฺชุสญฺญาย คนฺตฺวา หเตฺถน ปรามสิตฺวา ‘‘อยํ เม ปุโตฺต’’ติ สญฺญาย กฎฺฐรูปกสฺส มุขโต สาฎกํ อปเนตฺวา ผรสุํ อาทาย ‘‘เอกปฺปหาเรเนว มาเรสฺสามี’’ติ คีวายเมว ปหริตฺวา ‘‘ธ’’นฺติ สเทฺท อุปฺปเนฺน รุกฺขภาวํ อญฺญาสิฯ อถ โพธิสเตฺตน ‘‘กิํ กโรสิ, อมฺมา’’ติ วุเตฺต สา ‘‘วญฺจิตามฺหี’’ติ ตเตฺถว มริตฺวา ปติตาฯ อตฺตโน กิร ปณฺณสาลาย นิปนฺนายปิ ตงฺขณเญฺญว ตาย มริตพฺพเมวฯ
Bodhisatto ‘‘suṭṭhu te, māṇava, kataṃ mayhaṃ ārocentenā’’ti vatvā mātu āyusaṅkhāraṃ olokento ‘‘ajjeva marissatī’’ti ñatvā ‘‘ehi, māṇava, vīmaṃsissāma na’’nti ekaṃ udumbararukkhaṃ chinditvā attano pamāṇena kaṭṭharūpakaṃ katvā sasīsaṃ pārupitvā attano sayanaṭṭhāne uttānaṃ nipajjāpetvā rajjukaṃ bandhitvā antevāsikaṃ āha – ‘‘tāta, pharasuṃ ādāya gantvā mama mātu saññaṃ dehī’’ti. Māṇavo gantvā ‘‘ayye, ācariyo paṇṇasālāyaṃ attano sayanaṭṭhāne nipanno, rajjusaññā me baddhā, imaṃ pharasuṃ ādāya gantvā sace sakkosi, mārehi na’’nti āha. ‘‘Tvaṃ pana maṃ na pariccajissasī’’ti? ‘‘Kiṃkāraṇā pariccajissāmī’’ti? Sā pharasuṃ ādāya pavedhamānā uṭṭhāya rajjusaññāya gantvā hatthena parāmasitvā ‘‘ayaṃ me putto’’ti saññāya kaṭṭharūpakassa mukhato sāṭakaṃ apanetvā pharasuṃ ādāya ‘‘ekappahāreneva māressāmī’’ti gīvāyameva paharitvā ‘‘dha’’nti sadde uppanne rukkhabhāvaṃ aññāsi. Atha bodhisattena ‘‘kiṃ karosi, ammā’’ti vutte sā ‘‘vañcitāmhī’’ti tattheva maritvā patitā. Attano kira paṇṇasālāya nipannāyapi taṅkhaṇaññeva tāya maritabbameva.
โส ตสฺสา มตภาวํ ญตฺวา สรีรกิจฺจํ กตฺวา อาฬาหนํ นิพฺพาเปตฺวา วนปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา มาณวํ อาทาย ปณฺณสาลทฺวาเร นิสีทิตฺวา ‘‘ตาต, ปาฎิเยโกฺก อสาตมโนฺต นาม นตฺถิ, อิตฺถิโย อสาตา นาม, ตว มาตา ‘อสาตมนฺตํ อุคฺคณฺหา’ติ มม สนฺติกํ เปสยมานา อิตฺถีนํ โทสํ ชานนตฺถํ เปเสสิฯ อิทานิ ปน เต ปจฺจกฺขเมว มม มาตุ โทโส ทิโฎฺฐ, อิมินา การเณน ‘อิตฺถิโย นาม อสาตา ลามิกา ปจฺฉิมิกา’ติ ชาเนยฺยาสี’’ติ ตํ โอวทิตฺวา อุโยฺยเชสิฯ โสปิ อาจริยํ วนฺทิตฺวา มาตาปิตูนํ สนฺติกํ อคมาสิฯ อถ นํ มาตา ปุจฺฉิ ‘‘ตาต, อุคฺคหิโต เต อสาตมโนฺต’’ติ? ‘‘อาม, อมฺมา’’ติฯ ‘‘อิทานิ กิํ กริสฺสสิ, ปพฺพชิตฺวา อคฺคิํ วา ปริจริสฺสสิ, อคารมเชฺฌ วา วสิสฺสสี’’ติ? มาณโว ‘‘มยา, อมฺม, ปจฺจกฺขโต อิตฺถีนํ โทสา ทิฎฺฐา , อคาเรน เม กิจฺจํ นตฺถิ, ปพฺพชิสฺสามห’’นฺติ อตฺตโน อธิปฺปายํ ปกาเสโนฺต อิมํ คาถมาห –
So tassā matabhāvaṃ ñatvā sarīrakiccaṃ katvā āḷāhanaṃ nibbāpetvā vanapupphehi pūjetvā māṇavaṃ ādāya paṇṇasāladvāre nisīditvā ‘‘tāta, pāṭiyekko asātamanto nāma natthi, itthiyo asātā nāma, tava mātā ‘asātamantaṃ uggaṇhā’ti mama santikaṃ pesayamānā itthīnaṃ dosaṃ jānanatthaṃ pesesi. Idāni pana te paccakkhameva mama mātu doso diṭṭho, iminā kāraṇena ‘itthiyo nāma asātā lāmikā pacchimikā’ti jāneyyāsī’’ti taṃ ovaditvā uyyojesi. Sopi ācariyaṃ vanditvā mātāpitūnaṃ santikaṃ agamāsi. Atha naṃ mātā pucchi ‘‘tāta, uggahito te asātamanto’’ti? ‘‘Āma, ammā’’ti. ‘‘Idāni kiṃ karissasi, pabbajitvā aggiṃ vā paricarissasi, agāramajjhe vā vasissasī’’ti? Māṇavo ‘‘mayā, amma, paccakkhato itthīnaṃ dosā diṭṭhā , agārena me kiccaṃ natthi, pabbajissāmaha’’nti attano adhippāyaṃ pakāsento imaṃ gāthamāha –
๖๑.
61.
‘‘อสา โลกิตฺถิโย นาม, เวลา ตาสํ น วิชฺชติ;
‘‘Asā lokitthiyo nāma, velā tāsaṃ na vijjati;
สารตฺตา จ ปคพฺภา จ, สิขี สพฺพฆโส ยถา;
Sārattā ca pagabbhā ca, sikhī sabbaghaso yathā;
ตา หิตฺวา ปพฺพชิสฺสามิ, วิเวกมนุพฺรูหย’’นฺติฯ
Tā hitvā pabbajissāmi, vivekamanubrūhaya’’nti.
ตตฺถ อสาติ อสติโย ลามิกาฯ อถ วา สาตํ วุจฺจติ สุขํ, ตํ ตาสุ นตฺถิฯ อตฺตนิ ปฎิพทฺธจิตฺตานํ อสาตเมว เทนฺตีติปิ อสา, ทุกฺขา ทุกฺขวตฺถุภูตาติ อโตฺถฯ อิมสฺส ปนตฺถสฺส สาธนตฺถาย อิทํ สุตฺตํ อาหริตพฺพํ –
Tattha asāti asatiyo lāmikā. Atha vā sātaṃ vuccati sukhaṃ, taṃ tāsu natthi. Attani paṭibaddhacittānaṃ asātameva dentītipi asā, dukkhā dukkhavatthubhūtāti attho. Imassa panatthassa sādhanatthāya idaṃ suttaṃ āharitabbaṃ –
‘‘มายา เจตา มรีจี จ, โสโก โรโค จุปทฺทโว;
‘‘Māyā cetā marīcī ca, soko rogo cupaddavo;
ขรา จ พนฺธนา เจตา, มจฺจุปาสา คุหาสยา;
Kharā ca bandhanā cetā, maccupāsā guhāsayā;
ตาสุ โย วิสฺสเส โปโส, โส นเรสุ นราธโม’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๑๑๘);
Tāsu yo vissase poso, so naresu narādhamo’’ti. (jā. 2.21.118);
โลกิตฺถิโยติ โลเก อิตฺถิโยฯ เวลา ตาสํ น วิชฺชตีติ อมฺม, ตาสํ อิตฺถีนํ กิเลสุปฺปตฺติํ ปตฺวา เวลา สํวโร มริยาทา ปมาณํ นาม นตฺถิฯ สารตฺตา จ ปคพฺภา จาติ เวลา จ เอตาสํ นตฺถิ, ปญฺจสุ กามคุเณสุ สารตฺตา อลฺลีนา, ตถา กายปาคพฺภิเยน, วาจาปาคพฺภิเยน, มโนปาคพฺภิเยนาติ ติวิเธน ปาคพฺภิเยน สมนฺนาคตตฺตา ปคพฺภา เจตาฯ เอตาสญฺหิ อพฺภนฺตเร กายทฺวาราทีนิ ปตฺวา สํวโร นาม นตฺถิ, โลลา กากปฎิภาคาติ ทเสฺสติฯ สิขี สพฺพฆโส ยถาติ อมฺม, ยถา ชาลสิขาย ‘‘สิขี’’ติ สงฺขํ คโต อคฺคิ นาม คูถคตาทิเภทํ อสุจิมฺปิ, สปฺปิมธุผาณิตาทิเภทํ สุจิมฺปิ, อิฎฺฐมฺปิ อนิฎฺฐมฺปิ ยํ ยเทว ลภติ, สพฺพํ ฆสติ ขาทติ, ตสฺมา ‘‘สพฺพฆโส’’ติ วุจฺจติฯ ตเถว ตา อิตฺถิโยปิ หตฺถิเมณฺฑโคเมณฺฑาทโย วา โหนฺตุ หีนชจฺจา หีนกมฺมนฺตา, ขตฺติยาทโย วา โหนฺตุ อุตฺตมกมฺมนฺตา, หีนุกฺกฎฺฐภาวํ อจิเนฺตตฺวา โลกสฺสาทวเสน กิเลสสนฺถเว อุปฺปเนฺน ยํ ยํ ลภนฺติ, สพฺพเมว เสวนฺตีติ สพฺพฆสสิขิสทิสา โหนฺติฯ ตสฺมา สิขี สพฺพฆโส ยถา, ตเถเวตาติ เวทิตพฺพาฯ
Lokitthiyoti loke itthiyo. Velā tāsaṃ na vijjatīti amma, tāsaṃ itthīnaṃ kilesuppattiṃ patvā velā saṃvaro mariyādā pamāṇaṃ nāma natthi. Sārattā ca pagabbhā cāti velā ca etāsaṃ natthi, pañcasu kāmaguṇesu sārattā allīnā, tathā kāyapāgabbhiyena, vācāpāgabbhiyena, manopāgabbhiyenāti tividhena pāgabbhiyena samannāgatattā pagabbhā cetā. Etāsañhi abbhantare kāyadvārādīni patvā saṃvaro nāma natthi, lolā kākapaṭibhāgāti dasseti. Sikhī sabbaghaso yathāti amma, yathā jālasikhāya ‘‘sikhī’’ti saṅkhaṃ gato aggi nāma gūthagatādibhedaṃ asucimpi, sappimadhuphāṇitādibhedaṃ sucimpi, iṭṭhampi aniṭṭhampi yaṃ yadeva labhati, sabbaṃ ghasati khādati, tasmā ‘‘sabbaghaso’’ti vuccati. Tatheva tā itthiyopi hatthimeṇḍagomeṇḍādayo vā hontu hīnajaccā hīnakammantā, khattiyādayo vā hontu uttamakammantā, hīnukkaṭṭhabhāvaṃ acintetvā lokassādavasena kilesasanthave uppanne yaṃ yaṃ labhanti, sabbameva sevantīti sabbaghasasikhisadisā honti. Tasmā sikhī sabbaghaso yathā, tathevetāti veditabbā.
ตา หิตฺวา ปพฺพชิสฺสามีติ อหํ ตา ลามิกา ทุกฺขวตฺถุภูตา อิตฺถิโย หิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิสฺสามิฯ วิเวกมนุพฺรูหยนฺติ กายวิเวโก จิตฺตวิเวโก อุปธิวิเวโกติ ตโย วิเวกา, เตสุ อิธ กายวิเวโกปิ วฎฺฎติ จิตฺตวิเวโกปิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อหํ, อมฺม, ปพฺพชิตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย จ ปญฺจาภิญฺญา จ อุปฺปาเทตฺวา คณโต กายํ, กิเลเสหิ จ จิตฺตํ วิเวเจตฺวา อิมํ วิเวกํ พฺรูเหโนฺต วเฑฺฒโนฺต พฺรหฺมโลกปรายโณ ภวิสฺสามิ, อลํ เม อคาเรนาติฯ เอวํ อิตฺถิโย ครหิตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา วุตฺตปฺปการํ วิเวกํ พฺรูเหโนฺต พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ
Tāhitvā pabbajissāmīti ahaṃ tā lāmikā dukkhavatthubhūtā itthiyo hitvā araññaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajissāmi. Vivekamanubrūhayanti kāyaviveko cittaviveko upadhivivekoti tayo vivekā, tesu idha kāyavivekopi vaṭṭati cittavivekopi. Idaṃ vuttaṃ hoti – ahaṃ, amma, pabbajitvā kasiṇaparikammaṃ katvā aṭṭha samāpattiyo ca pañcābhiññā ca uppādetvā gaṇato kāyaṃ, kilesehi ca cittaṃ vivecetvā imaṃ vivekaṃ brūhento vaḍḍhento brahmalokaparāyaṇo bhavissāmi, alaṃ me agārenāti. Evaṃ itthiyo garahitvā mātāpitaro vanditvā himavantaṃ pavisitvā pabbajitvā vuttappakāraṃ vivekaṃ brūhento brahmalokaparāyaṇo ahosi.
สตฺถาปิ ‘‘เอวํ ภิกฺขุ อิตฺถิโย นาม อสาตา ลามิกา ปจฺฉิมิกา ทุกฺขทายิกา’’ติ อิตฺถีนํ อคุณํ กเถตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ สตฺถา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มาตา ภทฺทกาปิลานี, ปิตา มหากสฺสโป อโหสิ, อเนฺตวาสิโก อานโนฺท, อาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthāpi ‘‘evaṃ bhikkhu itthiyo nāma asātā lāmikā pacchimikā dukkhadāyikā’’ti itthīnaṃ aguṇaṃ kathetvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne so bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Satthā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā mātā bhaddakāpilānī, pitā mahākassapo ahosi, antevāsiko ānando, ācariyo pana ahameva ahosi’’nti.
อสาตมนฺตชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Asātamantajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๖๑. อสาตมนฺตชาตกํ • 61. Asātamantajātakaṃ