Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๐๐] ๑๐. อสาตรูปชาตกวณฺณนา
[100] 10. Asātarūpajātakavaṇṇanā
อสาตํ สาตรูเปนาติ อิทํ สตฺถา กุณฺฑิยนครํ อุปนิสฺสาย กุณฺฑธานวเน วิหรโนฺต โกลิยราชธีตรํ สุปฺปวาสํ อุปาสิกํ อารพฺภ กเถสิฯ สา หิ ตสฺมิํ สมเย สตฺต วสฺสานิ กุจฺฉินา คพฺภํ ปริหริตฺวา สตฺตาหํ มูฬฺหคพฺภา อโหสิ, อธิมตฺตา เวทนา ปวตฺติํสุฯ สา เอวํ อธิมตฺตเวทนาภิภูตาปิ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา, โย เอวรูปสฺส ทุกฺขสฺส ปหานาย ธมฺมํ เทเสติฯ สุปฺปฎิปโนฺน วต ตสฺส ภควโต สาวกสโงฺฆ, โย เอวรูปสฺส ทุกฺขสฺส ปหานาย ปฎิปโนฺนฯ สุสุขํ วต นิพฺพานํ, ยเตฺถว รูปํ ทุกฺขํ นตฺถี’’ติ (อุทา. ๑๘) อิเมหิ ตีหิ วิตเกฺกหิ อธิวาเสสิฯ สา สามิกํ ปโกฺกเสตฺวา ตญฺจ อตฺตโน ปวตฺติํ วนฺทนสาสนญฺจ อาโรเจตุํ สตฺถุ สนฺติกํ เปเสสิฯ สตฺถา วนฺทนสาสนํ สุตฺวาว ‘‘สุขินี โหตุ สุปฺปวาสา โกลิยธีตา, สุขินี อโรคา อโรคํ ปุตฺตํ วิชายตู’’ติ อาหฯ สห วจเนเนว ปน ภควโต สุปฺปวาสา โกลิยธีตา สุขินี อโรคา อโรคํ ปุตฺตํ วิชายิฯ อถสฺสา สามิโก เคหํ คนฺตฺวา ตํ วิชาตํ ทิสฺวา ‘‘อจฺฉริยํ วต, โภ’’ติ อติวิย ตถาคตสฺส อานุภาเวน อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาโต อโหสิฯ
Asātaṃ sātarūpenāti idaṃ satthā kuṇḍiyanagaraṃ upanissāya kuṇḍadhānavane viharanto koliyarājadhītaraṃ suppavāsaṃ upāsikaṃ ārabbha kathesi. Sā hi tasmiṃ samaye satta vassāni kucchinā gabbhaṃ pariharitvā sattāhaṃ mūḷhagabbhā ahosi, adhimattā vedanā pavattiṃsu. Sā evaṃ adhimattavedanābhibhūtāpi ‘‘sammāsambuddho vata so bhagavā, yo evarūpassa dukkhassa pahānāya dhammaṃ deseti. Suppaṭipanno vata tassa bhagavato sāvakasaṅgho, yo evarūpassa dukkhassa pahānāya paṭipanno. Susukhaṃ vata nibbānaṃ, yattheva rūpaṃ dukkhaṃ natthī’’ti (udā. 18) imehi tīhi vitakkehi adhivāsesi. Sā sāmikaṃ pakkosetvā tañca attano pavattiṃ vandanasāsanañca ārocetuṃ satthu santikaṃ pesesi. Satthā vandanasāsanaṃ sutvāva ‘‘sukhinī hotu suppavāsā koliyadhītā, sukhinī arogā arogaṃ puttaṃ vijāyatū’’ti āha. Saha vacaneneva pana bhagavato suppavāsā koliyadhītā sukhinī arogā arogaṃ puttaṃ vijāyi. Athassā sāmiko gehaṃ gantvā taṃ vijātaṃ disvā ‘‘acchariyaṃ vata, bho’’ti ativiya tathāgatassa ānubhāvena acchariyabbhutacittajāto ahosi.
สุปฺปวาสาปิ ปุตฺตํ วิชายิตฺวา สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส ทานํ ทาตุกามา ปุน นิมนฺตนตฺถาย ตํ เปเสสิฯ เตน โข ปน สมเยน มหาโมคฺคลฺลานสฺส อุปฎฺฐาเกน พุทฺธปฺปมุโข สโงฺฆ นิมนฺติโต โหติฯ สตฺถา สุปฺปวาสาย ทานสฺส โอกาสทานตฺถาย เถรํ ตสฺส สนฺติกํ เปเสตฺวา ตํ สญฺญาเปตฺวา สตฺตาหํ ตสฺสา ทานํ ปฎิคฺคเหสิ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนฯ สตฺตเม ปน ทิวเส สุปฺปวาสา ปุตฺตํ สีวลิกุมารํ มเณฺฑตฺวา สตฺถารเญฺจว ภิกฺขุสงฺฆญฺจ วนฺทาเปสิฯ ตสฺมิํ ปฎิปาฎิยา สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สนฺติกํ นีเต เถโร เตน สทฺธิํ ‘‘กจฺจิ เต, สีวลิ, ขมนีย’’นฺติ ปฎิสนฺถารมกาสิฯ โส ‘‘กุโต เม, ภเนฺต, สุขํ, สฺวาหํ สตฺต วสฺสานิ โลหิตกุมฺภิยํ วสิ’’นฺติ เถเรน สทฺธิํ เอวรูปํ กถํ กเถสิฯ สุปฺปาวาสา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘สตฺตาหชาโต เม ปุโตฺต อนุพุเทฺธน ธมฺมเสนาปตินา สทฺธิํ มเนฺตตี’’ติ โสมนสฺสปฺปตฺตา อโหสิฯ สตฺถา ‘‘อปิ นุ สุปฺปวาเส อเญฺญปิ เอวรูเป ปุเตฺต อิจฺฉสี’’ติ อาหฯ ‘‘สเจ, ภเนฺต, เอวรูเป อเญฺญ สตฺต ปุเตฺต ลเภยฺยํ, อิเจฺฉยฺยเมวาห’’นฺติฯ สตฺถา อุทานํ อุทาเนตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ สีวลิกุมาโรปิ โข สตฺตวสฺสิกกาเลเยว สาสเน อุรํ ทตฺวา ปพฺพชิตฺวา ปริปุณฺณวโสฺส อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา ปุญฺญวา ลาภคฺคปฺปโตฺต หุตฺวา ปถวิํ อุนฺนาเทตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา ปุญฺญวนฺตานํ อนฺตเร เอตทคฺคฎฺฐานํ ปาปุณิฯ
Suppavāsāpi puttaṃ vijāyitvā sattāhaṃ buddhappamukhassa saṅghassa dānaṃ dātukāmā puna nimantanatthāya taṃ pesesi. Tena kho pana samayena mahāmoggallānassa upaṭṭhākena buddhappamukho saṅgho nimantito hoti. Satthā suppavāsāya dānassa okāsadānatthāya theraṃ tassa santikaṃ pesetvā taṃ saññāpetvā sattāhaṃ tassā dānaṃ paṭiggahesi saddhiṃ bhikkhusaṅghena. Sattame pana divase suppavāsā puttaṃ sīvalikumāraṃ maṇḍetvā satthārañceva bhikkhusaṅghañca vandāpesi. Tasmiṃ paṭipāṭiyā sāriputtattherassa santikaṃ nīte thero tena saddhiṃ ‘‘kacci te, sīvali, khamanīya’’nti paṭisanthāramakāsi. So ‘‘kuto me, bhante, sukhaṃ, svāhaṃ satta vassāni lohitakumbhiyaṃ vasi’’nti therena saddhiṃ evarūpaṃ kathaṃ kathesi. Suppāvāsā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘sattāhajāto me putto anubuddhena dhammasenāpatinā saddhiṃ mantetī’’ti somanassappattā ahosi. Satthā ‘‘api nu suppavāse aññepi evarūpe putte icchasī’’ti āha. ‘‘Sace, bhante, evarūpe aññe satta putte labheyyaṃ, iccheyyamevāha’’nti. Satthā udānaṃ udānetvā anumodanaṃ katvā pakkāmi. Sīvalikumāropi kho sattavassikakāleyeva sāsane uraṃ datvā pabbajitvā paripuṇṇavasso upasampadaṃ labhitvā puññavā lābhaggappatto hutvā pathaviṃ unnādetvā arahattaṃ patvā puññavantānaṃ antare etadaggaṭṭhānaṃ pāpuṇi.
อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตฺวา ‘‘อาวุโส, สีวลิเตฺถโร นาม เอวรูโป มหาปุโญฺญ ปตฺถิตปตฺถโน ปจฺฉิมภวิกสโตฺต สตฺต วสฺสานิ โลหิตกุมฺภิยํ วสิตฺวา สตฺตาหํ มูฬฺหคพฺภภาวํ อาปชฺชิ, อโห มาตาปุตฺตา มหนฺตํ ทุกฺขํ อนุภวิํสุ, กิํ นุ โข กมฺมํ อกํสู’’ติ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํฯ สตฺถา ตตฺถาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขเว, สีวลิโน มหาปุญฺญโตว สตฺต วสฺสานิ โลหิตกุมฺภิยํ นิวาโส จ สตฺตาหํ มูฬฺหคพฺภภาวปฺปตฺติ จ อตฺตนา กตกมฺมมูลกาว, สุปฺปวาสายปิ สตฺต วสฺสานิ กุจฺฉินา คพฺภปริหรณทุกฺขญฺจ สตฺตาหํ มูฬฺหคพฺภทุกฺขญฺจ อตฺตนา กตกมฺมมูลกเมวา’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ sannipatitvā ‘‘āvuso, sīvalitthero nāma evarūpo mahāpuñño patthitapatthano pacchimabhavikasatto satta vassāni lohitakumbhiyaṃ vasitvā sattāhaṃ mūḷhagabbhabhāvaṃ āpajji, aho mātāputtā mahantaṃ dukkhaṃ anubhaviṃsu, kiṃ nu kho kammaṃ akaṃsū’’ti kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ. Satthā tatthāgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘bhikkhave, sīvalino mahāpuññatova satta vassāni lohitakumbhiyaṃ nivāso ca sattāhaṃ mūḷhagabbhabhāvappatti ca attanā katakammamūlakāva, suppavāsāyapi satta vassāni kucchinā gabbhapariharaṇadukkhañca sattāhaṃ mūḷhagabbhadukkhañca attanā katakammamūlakamevā’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ ปตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺมิํ สมเย โกสลมหาราชา มหเนฺตน พเลนาคนฺตฺวา พาราณสิํ คเหตฺวา ราชานํ มาเรตฺวา ตเสฺสว อคฺคมเหสิํ อตฺตโน อคฺคมเหสิํ อกาสิฯ พาราณสิรโญฺญ ปน ปุโตฺต ปิตุ มรณกาเล นิทฺธมนทฺวาเรน ปลายิตฺวา พลํ สํหริตฺวา พาราณสิํ อาคนฺตฺวา อวิทูเร นิสีทิตฺวา ตสฺส รโญฺญ ปณฺณํ เปเสสิ ‘‘รชฺชํ วา เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติฯ โส ‘‘ยุทฺธํ เทมี’’ติ ปฎิปณฺณํ เปเสสิฯ ราชกุมารสฺส ปน มาตา ตํ สาสนํ สุตฺวา ‘‘ยุเทฺธน กมฺมํ นตฺถิ, สพฺพทิสาสุ สญฺจารํ ปจฺฉินฺทิตฺวา พาราณสินครํ ปริวาเรตุ, ตโต ทารูทกภตฺตปริกฺขเยน กิลนฺตมนุสฺสํ นครํ วินาว ยุเทฺธน คณฺหิสฺสสี’’ติ ปณฺณํ เปเสสิฯ โส มาตุ สาสนํ สุตฺวา สตฺต ทิวสานิ สญฺจารํ ปจฺฉินฺทิตฺวา นครํ รุนฺธิ, นาครา สญฺจารํ อลภมานา สตฺตเม ทิวเส ตสฺส รโญฺญ สีสํ คเหตฺวา กุมารสฺส อทํสุฯ กุมาโร ปน นครํ ปวิสิตฺวา รชฺชํ คเหตฺวา ชีวิตปริโยสาเน ยถากมฺมํ คโตฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā pitu accayena rajjaṃ patvā dhammena rajjaṃ kāresi. Tasmiṃ samaye kosalamahārājā mahantena balenāgantvā bārāṇasiṃ gahetvā rājānaṃ māretvā tasseva aggamahesiṃ attano aggamahesiṃ akāsi. Bārāṇasirañño pana putto pitu maraṇakāle niddhamanadvārena palāyitvā balaṃ saṃharitvā bārāṇasiṃ āgantvā avidūre nisīditvā tassa rañño paṇṇaṃ pesesi ‘‘rajjaṃ vā detu yuddhaṃ vā’’ti. So ‘‘yuddhaṃ demī’’ti paṭipaṇṇaṃ pesesi. Rājakumārassa pana mātā taṃ sāsanaṃ sutvā ‘‘yuddhena kammaṃ natthi, sabbadisāsu sañcāraṃ pacchinditvā bārāṇasinagaraṃ parivāretu, tato dārūdakabhattaparikkhayena kilantamanussaṃ nagaraṃ vināva yuddhena gaṇhissasī’’ti paṇṇaṃ pesesi. So mātu sāsanaṃ sutvā satta divasāni sañcāraṃ pacchinditvā nagaraṃ rundhi, nāgarā sañcāraṃ alabhamānā sattame divase tassa rañño sīsaṃ gahetvā kumārassa adaṃsu. Kumāro pana nagaraṃ pavisitvā rajjaṃ gahetvā jīvitapariyosāne yathākammaṃ gato.
โส เอตรหิ สตฺต ทิวสานิ สญฺจารํ ปจฺฉินฺทิตฺวา นครํ รุนฺธิตฺวา คหิตกมฺมนิสฺสเนฺทน สตฺต วสฺสานิ โลหิตกุมฺภิยํ วสิตฺวา สตฺตาหํ มูฬฺหคพฺภภาวํ อาปชฺชิฯ ยํ ปน โส ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต ปาทมูเล ‘‘ลาภีนํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ มหาทานํ ทตฺวา ปตฺถนํ อกาสิ, ยญฺจ วิปสฺสิพุทฺธกาเล นาคเรหิ สทฺธิํ สหสฺสคฺฆนกํ คุฬทธิํ ทตฺวา ปตฺถนมกาสิ, ตสฺสานุภาเวน ลาภีนํ อโคฺค ชาโตฯ สุปฺปวาสาปิ ‘‘นครํ รุนฺธิตฺวา คณฺห, ตาตา’’ติ เปสิตภาเวน สตฺต วสฺสานิ กุจฺฉินา คพฺภํ ปริหริตฺวา สตฺตาหํ มูฬฺหคพฺภา ชาตาฯ
So etarahi satta divasāni sañcāraṃ pacchinditvā nagaraṃ rundhitvā gahitakammanissandena satta vassāni lohitakumbhiyaṃ vasitvā sattāhaṃ mūḷhagabbhabhāvaṃ āpajji. Yaṃ pana so padumuttarassa bhagavato pādamūle ‘‘lābhīnaṃ aggo bhaveyya’’nti mahādānaṃ datvā patthanaṃ akāsi, yañca vipassibuddhakāle nāgarehi saddhiṃ sahassagghanakaṃ guḷadadhiṃ datvā patthanamakāsi, tassānubhāvena lābhīnaṃ aggo jāto. Suppavāsāpi ‘‘nagaraṃ rundhitvā gaṇha, tātā’’ti pesitabhāvena satta vassāni kucchinā gabbhaṃ pariharitvā sattāhaṃ mūḷhagabbhā jātā.
สตฺถา อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมํ คาถมาห –
Satthā imaṃ atītaṃ āharitvā abhisambuddho hutvā imaṃ gāthamāha –
๑๐๐.
100.
‘‘อสาตํ สาตรูเปน, ปิยรูเปน อปฺปิยํ;
‘‘Asātaṃ sātarūpena, piyarūpena appiyaṃ;
ทุกฺขํ สุขสฺส รูเปน, ปมตฺตมติวตฺตตี’’ติฯ
Dukkhaṃ sukhassa rūpena, pamattamativattatī’’ti.
ตตฺถ อสาตํ สาตรูเปนาติ อมธุรเมว มธุรปติรูปเกนฯ ปมตฺตมติวตฺตตีติ อสาตํ อปฺปิยํ ทุกฺขนฺติ เอตํ ติวิธมฺปิ เอเตน สาตรูปาทินา อากาเรน สติวิปฺปวาสวเสน ปมตฺตํ ปุคฺคลํ อติวตฺตติ อภิภวติ อโชฺฌตฺถรตีติ อโตฺถฯ อิทํ ภควตา ยญฺจ เต มาตาปุตฺตา อิมินา คพฺภปริหรณคพฺภวาสสงฺขาเตน อสาตาทินา ปุเพฺพ นครรุนฺธนสาตาทิปติรูปเกน อโชฺฌตฺถฎา, ยญฺจ อิทานิ สา อุปาสิกา ปุนปิ สตฺตกฺขตฺตุํ เอวรูปํ อสาตํ อปฺปิยํ ทุกฺขํ เปมวตฺถุภูเตน ปุตฺตสงฺขาเตน สาตาทิปติรูปเกน อโชฺฌตฺถฎา หุตฺวา ตถา อวจ, ตํ สพฺพมฺปิ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Tattha asātaṃ sātarūpenāti amadhurameva madhurapatirūpakena. Pamattamativattatīti asātaṃ appiyaṃ dukkhanti etaṃ tividhampi etena sātarūpādinā ākārena sativippavāsavasena pamattaṃ puggalaṃ ativattati abhibhavati ajjhottharatīti attho. Idaṃ bhagavatā yañca te mātāputtā iminā gabbhapariharaṇagabbhavāsasaṅkhātena asātādinā pubbe nagararundhanasātādipatirūpakena ajjhotthaṭā, yañca idāni sā upāsikā punapi sattakkhattuṃ evarūpaṃ asātaṃ appiyaṃ dukkhaṃ pemavatthubhūtena puttasaṅkhātena sātādipatirūpakena ajjhotthaṭā hutvā tathā avaca, taṃ sabbampi sandhāya vuttanti veditabbaṃ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา นครํ รุนฺธิตฺวา รชฺชปฺปตฺตกุมาโร สีวลิ อโหสิ, มาตา สุปฺปวาสา, ปิตา ปน พาราณสิราชา อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā nagaraṃ rundhitvā rajjappattakumāro sīvali ahosi, mātā suppavāsā, pitā pana bārāṇasirājā ahameva ahosi’’nti.
อสาตรูปชาตกวณฺณนา ทสมาฯ
Asātarūpajātakavaṇṇanā dasamā.
ลิตฺตวโคฺค ทสโมฯ
Littavaggo dasamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
ลิตฺตเตชํ มหาสารํ, วิสฺสาส โลมหํสนํ;
Littatejaṃ mahāsāraṃ, vissāsa lomahaṃsanaṃ;
สุทสฺสน เตลปตฺตํ, นามสิทฺธิ กูฎวาณิชํ;
Sudassana telapattaṃ, nāmasiddhi kūṭavāṇijaṃ;
ปโรสหสฺส อสาตรูปนฺติฯ
Parosahassa asātarūpanti.
มชฺฌิมปณฺณาสโก นิฎฺฐิโตฯ
Majjhimapaṇṇāsako niṭṭhito.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๐๐. อสาตรูปชาตกํ • 100. Asātarūpajātakaṃ