Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๒๖] ๖. อสิลกฺขณชาตกวณฺณนา
[126] 6. Asilakkhaṇajātakavaṇṇanā
ตเถเวกสฺส กลฺยาณนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โกสลรโญฺญ อสิลกฺขณปาฐกํ พฺราหฺมณํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร กมฺมาเรหิ รโญฺญ อสีนํ อาหฎกาเล อสิํ อุปสิงฺฆิตฺวา อสิลกฺขณํ อุทาหรติฯ โส เยสํ หตฺถโต ลาภํ ลภติ, เตสํ อสิํ ‘‘ลกฺขณสมฺปโนฺน มงฺคลสํยุโตฺต’’ติ วทติฯ เยสํ หตฺถโต ลาภํ น ลภติ, เตสํ อสิํ ‘‘อวลกฺขโณ’’ติ ครหติฯ อเถโก กมฺมาโร อสิํ กตฺวา โกสิยํ สุขุมํ มริจจุณฺณํ ปกฺขิปิตฺวา รโญฺญ อสิํ อาหริฯ ราชา พฺราหฺมณํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อสิํ วีมํสา’’ติ อาหฯ พฺราหฺมณสฺส อสิํ อากฑฺฒิตฺวา อุปสิงฺฆนฺตสฺส มริจจุณฺณานิ นาสํ ปวิสิตฺวา ขิปิตุกามตํ อุปฺปาเทสุํฯ ตสฺส ขิปนฺตสฺส นาสิกา อสิธาราย ปฎิหตา ทฺวิธา ฉิชฺชิฯ ตเสฺสวํ นาสิกาย ฉินฺนภาโว ภิกฺขุสเงฺฆ ปากโฎ ชาโตฯ อเถกทิวสํ ธมฺมสภายํ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, รโญฺญ กิร อสิลกฺขณปาฐโก อสิํ อุปสิงฺฆโนฺต นาสิกํ ฉินฺทาเปสี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว โส พฺราหฺมโณ อสิํ อุปสิงฺฆโนฺต นาสิกาเฉทํ ปโตฺต, ปุเพฺพปิ ปโตฺตเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Tathevekassa kalyāṇanti idaṃ satthā jetavane viharanto kosalarañño asilakkhaṇapāṭhakaṃ brāhmaṇaṃ ārabbha kathesi. So kira kammārehi rañño asīnaṃ āhaṭakāle asiṃ upasiṅghitvā asilakkhaṇaṃ udāharati. So yesaṃ hatthato lābhaṃ labhati, tesaṃ asiṃ ‘‘lakkhaṇasampanno maṅgalasaṃyutto’’ti vadati. Yesaṃ hatthato lābhaṃ na labhati, tesaṃ asiṃ ‘‘avalakkhaṇo’’ti garahati. Atheko kammāro asiṃ katvā kosiyaṃ sukhumaṃ maricacuṇṇaṃ pakkhipitvā rañño asiṃ āhari. Rājā brāhmaṇaṃ pakkosāpetvā ‘‘asiṃ vīmaṃsā’’ti āha. Brāhmaṇassa asiṃ ākaḍḍhitvā upasiṅghantassa maricacuṇṇāni nāsaṃ pavisitvā khipitukāmataṃ uppādesuṃ. Tassa khipantassa nāsikā asidhārāya paṭihatā dvidhā chijji. Tassevaṃ nāsikāya chinnabhāvo bhikkhusaṅghe pākaṭo jāto. Athekadivasaṃ dhammasabhāyaṃ bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, rañño kira asilakkhaṇapāṭhako asiṃ upasiṅghanto nāsikaṃ chindāpesī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva so brāhmaṇo asiṃ upasiṅghanto nāsikāchedaṃ patto, pubbepi pattoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ตสฺส อสิลกฺขณปาฐโก พฺราหฺมโณ อโหสีติ สพฺพํ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุสทิสเมวฯ ราชา ปน ตสฺส เวเชฺช ทตฺวา นาสิกาโกฎิํ ผาสุกํ การาเปตฺวา ลาขาย ปฎินาสิกํ กาเรตฺวา ปุน ตํ อุปฎฺฐากเมว อกาสิฯ พาราณสิรโญฺญ ปน ปุโตฺต นตฺถิ, เอกา ธีตา เจว ภาคิเนโยฺย จ อเหสุํฯ โส อุโภปิ เต อตฺตโน สนฺติเกเยว วฑฺฒาเปสิฯ เต เอกโต วฑฺฒนฺตา อญฺญมญฺญํ ปฎิพทฺธจิตฺตา อเหสุํฯ ราชาปิ อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘มยฺหํ ภาคิเนโยฺยปิ อิมสฺส รชฺชสฺส สามิโกว, ธีตรํ เอตเสฺสว ทตฺวา อภิเสกมสฺส กโรมี’’ติ วตฺวา ปุน จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ ภาคิเนโยฺย สพฺพถาปิ ญาตโกเยว, เอตสฺส อญฺญํ ราชธีตรํ อาเนตฺวา อภิเสกํ กตฺวา ธีตรํ อญฺญสฺส รโญฺญ ทสฺสามิ, เอวํ โน ญาตกา พหู ภวิสฺสนฺติ, ทฺวินฺนมฺปิ รชฺชานํ มยเมว สามิกา ภวิสฺสามา’’ติฯ โส อมเจฺจหิ สทฺธิํ สมฺมเนฺตตฺวา ‘‘อุโภเปเต วิสุํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ ภาคิเนยฺยํ อญฺญสฺมิํ นิเวสเน, ธีตรํ อญฺญสฺมิํ วาเสสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente tassa asilakkhaṇapāṭhako brāhmaṇo ahosīti sabbaṃ paccuppannavatthusadisameva. Rājā pana tassa vejje datvā nāsikākoṭiṃ phāsukaṃ kārāpetvā lākhāya paṭināsikaṃ kāretvā puna taṃ upaṭṭhākameva akāsi. Bārāṇasirañño pana putto natthi, ekā dhītā ceva bhāgineyyo ca ahesuṃ. So ubhopi te attano santikeyeva vaḍḍhāpesi. Te ekato vaḍḍhantā aññamaññaṃ paṭibaddhacittā ahesuṃ. Rājāpi amacce pakkosāpetvā ‘‘mayhaṃ bhāgineyyopi imassa rajjassa sāmikova, dhītaraṃ etasseva datvā abhisekamassa karomī’’ti vatvā puna cintesi ‘‘mayhaṃ bhāgineyyo sabbathāpi ñātakoyeva, etassa aññaṃ rājadhītaraṃ ānetvā abhisekaṃ katvā dhītaraṃ aññassa rañño dassāmi, evaṃ no ñātakā bahū bhavissanti, dvinnampi rajjānaṃ mayameva sāmikā bhavissāmā’’ti. So amaccehi saddhiṃ sammantetvā ‘‘ubhopete visuṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti bhāgineyyaṃ aññasmiṃ nivesane, dhītaraṃ aññasmiṃ vāsesi.
เต โสฬสวสฺสุเทฺทสิกภาวํ ปตฺตา อติวิย ปฎิพทฺธจิตฺตา อเหสุํฯ ราชกุมาโร ‘‘เกน นุ โข อุปาเยน มาตุลธีตรํ ราชเคหา นีหราเปตุํ สกฺกา ภเวยฺยา’’ติ จิเนฺตโนฺต ‘‘อเตฺถโก อุปาโย’’ติ มหาอิกฺขณิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตสฺสา สหสฺสภณฺฑิกํ ทตฺวา ‘‘กิํ มยา กตฺตพฺพ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อมฺม, ตยิ กโรนฺติยา อนิปฺผตฺติ นาม นตฺถิ, กิญฺจิเทว การณํ วตฺวา ยถา มม มาตุโล ราชา ธีตรํ อโนฺตเคหา นีหราเปติ, ตถา กโรหี’’ติ อาหฯ สาธุ, สามิ, อหํ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วกฺขามิ ‘‘เทว, ราชธีตาย อุปริ กาฬกณฺณี อตฺถิ, เอตฺตกํ กาลํ นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺตปิ นตฺถิ, อหํ ราชธีตรํ อสุกทิวเส นาม รถํ อาโรเปตฺวา พหุอาวุธหเตฺถ ปุริเส อาทาย มหเนฺตน ปริวาเรน สุสานํ คนฺตฺวา มณฺฑลปีฐิกาย เหฎฺฐามเญฺจ มตมนุสฺสํ นิปชฺชาเปตฺวา อุปริมเญฺจ ราชธีตรํ ฐเปตฺวา คโนฺธทกฆฎานํ อฎฺฐุตฺตรสเตน นฺหาเปตฺวา กาฬกณฺณิํ ปวาเหสฺสามี’’ติ เอวํ วตฺวา ราชธีตรํ สุสานํ เนสฺสามิ, ตฺวํ อมฺหากํ ตตฺถ คมนทิวเส อเมฺหหิ ปุเรตรเมว โถกํ มริจจุณฺณํ อาทาย อาวุธหเตฺถหิ อตฺตโน มนุเสฺสหิ ปริวุโต รถํ อภิรุยฺห สุสานํ คนฺตฺวา รถํ สุสานทฺวาเร เอกปเทเส ฐเปตฺวา อาวุธหเตฺถ มนุเสฺส สุสานวนํ เปเสตฺวา สยํ สุสาเน มณฺฑลปีฐิกํ ปสาเรตฺวา มตโก วิย ปฎิกุโชฺช หุตฺวา นิปชฺชฯ อหํ ตตฺถ อาคนฺตฺวา ตว อุปริ มญฺจกํ อตฺถริตฺวา ราชธีตรํ อุกฺขิปิตฺวา มเญฺจ สยาเปสฺสามิ, ตฺวํ ตสฺมิํ ขเณ มริจจุณฺณํ นาสิกาย ปกฺขิปิตฺวา เทฺว ตโย วาเร ขิเปยฺยาสิฯ ตยา ขิปิตกาเล มยํ ราชธีตรํ ปหาย ปลายิสฺสามฯ อถ ตฺวํ ราชธีตรํ สีสํ นฺหาเปตฺวา สยมฺปิ สีสํ นฺหายิตฺวา ตํ อาทาย อตฺตโน นิเวสนํ คเจฺฉยฺยาสีติฯ โส ‘‘สาธุ สุนฺทโร อุปาโย’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ
Te soḷasavassuddesikabhāvaṃ pattā ativiya paṭibaddhacittā ahesuṃ. Rājakumāro ‘‘kena nu kho upāyena mātuladhītaraṃ rājagehā nīharāpetuṃ sakkā bhaveyyā’’ti cintento ‘‘attheko upāyo’’ti mahāikkhaṇikaṃ pakkosāpetvā tassā sahassabhaṇḍikaṃ datvā ‘‘kiṃ mayā kattabba’’nti vutte ‘‘amma, tayi karontiyā anipphatti nāma natthi, kiñcideva kāraṇaṃ vatvā yathā mama mātulo rājā dhītaraṃ antogehā nīharāpeti, tathā karohī’’ti āha. Sādhu, sāmi, ahaṃ rājānaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vakkhāmi ‘‘deva, rājadhītāya upari kāḷakaṇṇī atthi, ettakaṃ kālaṃ nivattitvā olokentopi natthi, ahaṃ rājadhītaraṃ asukadivase nāma rathaṃ āropetvā bahuāvudhahatthe purise ādāya mahantena parivārena susānaṃ gantvā maṇḍalapīṭhikāya heṭṭhāmañce matamanussaṃ nipajjāpetvā uparimañce rājadhītaraṃ ṭhapetvā gandhodakaghaṭānaṃ aṭṭhuttarasatena nhāpetvā kāḷakaṇṇiṃ pavāhessāmī’’ti evaṃ vatvā rājadhītaraṃ susānaṃ nessāmi, tvaṃ amhākaṃ tattha gamanadivase amhehi puretarameva thokaṃ maricacuṇṇaṃ ādāya āvudhahatthehi attano manussehi parivuto rathaṃ abhiruyha susānaṃ gantvā rathaṃ susānadvāre ekapadese ṭhapetvā āvudhahatthe manusse susānavanaṃ pesetvā sayaṃ susāne maṇḍalapīṭhikaṃ pasāretvā matako viya paṭikujjo hutvā nipajja. Ahaṃ tattha āgantvā tava upari mañcakaṃ attharitvā rājadhītaraṃ ukkhipitvā mañce sayāpessāmi, tvaṃ tasmiṃ khaṇe maricacuṇṇaṃ nāsikāya pakkhipitvā dve tayo vāre khipeyyāsi. Tayā khipitakāle mayaṃ rājadhītaraṃ pahāya palāyissāma. Atha tvaṃ rājadhītaraṃ sīsaṃ nhāpetvā sayampi sīsaṃ nhāyitvā taṃ ādāya attano nivesanaṃ gaccheyyāsīti. So ‘‘sādhu sundaro upāyo’’ti sampaṭicchi.
สาปิ คนฺตฺวา รโญฺญ ตมตฺถํ อาโรเจสิ, ราชาปิ สมฺปฎิจฺฉิฯ ราชธีตายปิ ตํ อนฺตรํ อาจิกฺขิ, สาปิ สมฺปฎิจฺฉิฯ สา นิกฺขมนทิวเส กุมารสฺส สญฺญํ ทตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน สุสานํ คจฺฉนฺตี อารกฺขมนุสฺสานํ ภยชนนตฺถํ อาห – ‘‘มยา ราชธีตาย มเญฺจ ฐปิตกาเล เหฎฺฐามเญฺจ มตปุริโส ขิปิสฺสติ, ขิปิตฺวา จ เหฎฺฐามญฺจา นิกฺขมิตฺวา ยํ ปฐมํ ปสฺสิสฺสติ , ตเมว คเหสฺสติ, อปฺปมตฺตา ภเวยฺยาถา’’ติฯ ราชกุมาโร ปุเรตรํ คนฺตฺวา วุตฺตนเยเนว ตตฺถ นิปชฺชิฯ มหาอิกฺขณิกา ราชธีตรํ อุกฺขิปิตฺวา มณฺฑลปีฐิกาฐานํ คจฺฉนฺตี ‘‘มา ภายี’’ติ สญฺญาเปตฺวา มเญฺจ ฐเปสิฯ ตสฺมิํ ขเณ กุมาโร มริจจุณฺณํ นาสาย ปกฺขิปิตฺวา ขิปิฯ เตน ขิปิตมเตฺตเยว มหาอิกฺขณิกา ราชธีตรํ ปหาย มหารวํ รวมานา สพฺพปฐมํ ปลายิ, ตสฺสา ปลาตกาลโต ปฎฺฐาย เอโกปิ ฐาตุํ สมโตฺถ นาม นาโหสิ, คหิตคหิตานิ อาวุธานิ ฉเฑฺฑตฺวา สเพฺพ ปลายิํสุฯ กุมาโร ยถาสมฺมนฺติตํ สพฺพํ กตฺวา ราชธีตรํ อาทาย อตฺตโน นิเวสนํ อคมาสิฯ
Sāpi gantvā rañño tamatthaṃ ārocesi, rājāpi sampaṭicchi. Rājadhītāyapi taṃ antaraṃ ācikkhi, sāpi sampaṭicchi. Sā nikkhamanadivase kumārassa saññaṃ datvā mahantena parivārena susānaṃ gacchantī ārakkhamanussānaṃ bhayajananatthaṃ āha – ‘‘mayā rājadhītāya mañce ṭhapitakāle heṭṭhāmañce matapuriso khipissati, khipitvā ca heṭṭhāmañcā nikkhamitvā yaṃ paṭhamaṃ passissati , tameva gahessati, appamattā bhaveyyāthā’’ti. Rājakumāro puretaraṃ gantvā vuttanayeneva tattha nipajji. Mahāikkhaṇikā rājadhītaraṃ ukkhipitvā maṇḍalapīṭhikāṭhānaṃ gacchantī ‘‘mā bhāyī’’ti saññāpetvā mañce ṭhapesi. Tasmiṃ khaṇe kumāro maricacuṇṇaṃ nāsāya pakkhipitvā khipi. Tena khipitamatteyeva mahāikkhaṇikā rājadhītaraṃ pahāya mahāravaṃ ravamānā sabbapaṭhamaṃ palāyi, tassā palātakālato paṭṭhāya ekopi ṭhātuṃ samattho nāma nāhosi, gahitagahitāni āvudhāni chaḍḍetvā sabbe palāyiṃsu. Kumāro yathāsammantitaṃ sabbaṃ katvā rājadhītaraṃ ādāya attano nivesanaṃ agamāsi.
อิกฺขณิกา คนฺตฺวา ตํ การณํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘ปกติยาปิ สา มยา ตเสฺสวตฺถาย ปุฎฺฐา, ปายาเส ฉฑฺฑิตสปฺปิ วิย ชาต’’นฺติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อปรภาเค ภาคิเนยฺยสฺส รชฺชํ ทตฺวา ธีตรํ มหาเทวิํ กาเรสิฯ โส ตาย สทฺธิํ สมคฺควาสํ วสมาโน ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ โสปิ อสิลกฺขณปาฐโก ตเสฺสว อุปฎฺฐาโก อโหสิฯ ตเสฺสกทิวสํ ราชูปฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา ปฎิสูริยํ ฐตฺวา อุปฎฺฐหนฺตสฺส ลาขา วิลียิ, ปฎินาสิกา ภูมิยํ ปติฯ โส ลชฺชาย อโธมุโข อฎฺฐาสิฯ อถ นํ ราชา ปริหสโนฺต ‘‘อาจริย, มา จินฺตยิตฺถ, ขิปิตํ นาม เอกสฺส กลฺยาณํ โหติ, เอกสฺส ปาปกํฯ ตุเมฺหหิ ขิปิเตน นาสิกา ฉิชฺชียิตฺถ, มยํ ปน ขิปนฺตา มาตุลธีตรํ ลภิตฺวา รชฺชํ ปาปุณิมฺหา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –
Ikkhaṇikā gantvā taṃ kāraṇaṃ rañño ārocesi. Rājā ‘‘pakatiyāpi sā mayā tassevatthāya puṭṭhā, pāyāse chaḍḍitasappi viya jāta’’nti sampaṭicchitvā aparabhāge bhāgineyyassa rajjaṃ datvā dhītaraṃ mahādeviṃ kāresi. So tāya saddhiṃ samaggavāsaṃ vasamāno dhammena rajjaṃ kāresi. Sopi asilakkhaṇapāṭhako tasseva upaṭṭhāko ahosi. Tassekadivasaṃ rājūpaṭṭhānaṃ āgantvā paṭisūriyaṃ ṭhatvā upaṭṭhahantassa lākhā vilīyi, paṭināsikā bhūmiyaṃ pati. So lajjāya adhomukho aṭṭhāsi. Atha naṃ rājā parihasanto ‘‘ācariya, mā cintayittha, khipitaṃ nāma ekassa kalyāṇaṃ hoti, ekassa pāpakaṃ. Tumhehi khipitena nāsikā chijjīyittha, mayaṃ pana khipantā mātuladhītaraṃ labhitvā rajjaṃ pāpuṇimhā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –
๑๒๖.
126.
‘‘ตเถเวกสฺส กลฺยาณํ, ตเถเวกสฺส ปาปกํ;
‘‘Tathevekassa kalyāṇaṃ, tathevekassa pāpakaṃ;
ตสฺมา สพฺพํ น กลฺยาณํ, สพฺพํ วาปิ น ปาปก’’นฺติฯ
Tasmā sabbaṃ na kalyāṇaṃ, sabbaṃ vāpi na pāpaka’’nti.
ตตฺถ ตเถเวกสฺสาติ ตเทเวกสฺสฯ อยเมว วา ปาโฐฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ
Tattha tathevekassāti tadevekassa. Ayameva vā pāṭho. Dutiyapadepi eseva nayo.
อิติ โส อิมาย คาถาย ตํ การณํ อาหริตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Iti so imāya gāthāya taṃ kāraṇaṃ āharitvā dānādīni puññāni katvā yathākammaṃ gato.
สตฺถา อิมาย เทสนาย โลกสมฺมตานํ กลฺยาณปาปกานํ อเนกํสิกภาวํ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อสิลกฺขณปาฐโกว เอตรหิ อสิลกฺขณปาฐโก, ภาคิเนยฺยราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imāya desanāya lokasammatānaṃ kalyāṇapāpakānaṃ anekaṃsikabhāvaṃ pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā asilakkhaṇapāṭhakova etarahi asilakkhaṇapāṭhako, bhāgineyyarājā pana ahameva ahosi’’nti.
อสิลกฺขณชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Asilakkhaṇajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๒๖. อสิลกฺขณชาตกํ • 126. Asilakkhaṇajātakaṃ