Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๐๗] ๗. อสฺสกชาตกวณฺณนา

    [207] 7. Assakajātakavaṇṇanā

    อยมสฺสกราเชนาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปุราณทุติยิกาปโลภนํ อารพฺภ กเถสิฯ โส หิ ภิกฺขุ สตฺถารา ‘‘สจฺจํ กิร, ตฺวํ ภิกฺขุ, อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘สจฺจ’’นฺติ วตฺวา ‘‘เกน อุกฺกณฺฐาปิโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘ปุราณทุติยิกายา’’ติ อาหฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘น อิทาเนว ตสฺสา ภิกฺขุ อิตฺถิยา ตยิ สิเนโห อตฺถิ, ปุเพฺพปิ ตฺวํ ตํ นิสฺสาย มหาทุกฺขํ ปโตฺต’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Ayamassakarājenāti idaṃ satthā jetavane viharanto purāṇadutiyikāpalobhanaṃ ārabbha kathesi. So hi bhikkhu satthārā ‘‘saccaṃ kira, tvaṃ bhikkhu, ukkaṇṭhitosī’’ti puṭṭho ‘‘sacca’’nti vatvā ‘‘kena ukkaṇṭhāpitosī’’ti vutte ‘‘purāṇadutiyikāyā’’ti āha. Atha naṃ satthā ‘‘na idāneva tassā bhikkhu itthiyā tayi sineho atthi, pubbepi tvaṃ taṃ nissāya mahādukkhaṃ patto’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต กาสิรเฎฺฐ ปาฎลินคเร อสฺสโก นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส อุปรี นาม อคฺคมเหสี ปิยา อโหสิ มนาปา อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกา อติกฺกนฺตา มานุสวณฺณํ, อปตฺตา ทิพฺพวณฺณํฯ สา กาลมกาสิ, ตสฺสา กาลกิริยาย ราชา โสกาภิภูโต อโหสิ ทุกฺขี ทุมฺมโนฯ โส ตสฺสา สรีรํ โทณิยํ นิปชฺชาเปตฺวา เตลกลลํ ปกฺขิปาเปตฺวา เหฎฺฐามเญฺจ ฐปาเปตฺวา นิราหาโร โรทมาโน ปริเทวมาโน นิปชฺชิฯ มาตาปิตโร อวเสสญาตกา มิตฺตามจฺจพฺราหฺมณคหปติกาทโยปิ ‘‘มา โสจิ, มหาราช, อนิจฺจา สงฺขารา’’ติอาทีนิ วทนฺตา สญฺญาเปตุํ นาสกฺขิํสุฯ ตสฺส วิลปนฺตเสฺสว สตฺต ทิวสา อติกฺกนฺตาฯ ตทา โพธิสโตฺต ปญฺจาภิญฺญอฎฺฐสมาปตฺติลาภี ตาปโส หุตฺวา หิมวนฺตปเทเส วิหรโนฺต อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทิเพฺพน จกฺขุนา ชมฺพุทีปํ โอโลเกโนฺต ตํ ราชานํ ตถา ปริเทวมานํ ทิสฺวา ‘‘เอตสฺส มยา อวสฺสเยน ภวิตพฺพ’’นฺติ อิทฺธานุภาเวน อากาเส อุปฺปติตฺวา รโญฺญ อุยฺยาเน โอตริตฺวา มงฺคลสิลาปเฎฺฎ กญฺจนปฎิมา วิย นิสีทิฯ

    Atīte kāsiraṭṭhe pāṭalinagare assako nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tassa uparī nāma aggamahesī piyā ahosi manāpā abhirūpā dassanīyā pāsādikā atikkantā mānusavaṇṇaṃ, apattā dibbavaṇṇaṃ. Sā kālamakāsi, tassā kālakiriyāya rājā sokābhibhūto ahosi dukkhī dummano. So tassā sarīraṃ doṇiyaṃ nipajjāpetvā telakalalaṃ pakkhipāpetvā heṭṭhāmañce ṭhapāpetvā nirāhāro rodamāno paridevamāno nipajji. Mātāpitaro avasesañātakā mittāmaccabrāhmaṇagahapatikādayopi ‘‘mā soci, mahārāja, aniccā saṅkhārā’’tiādīni vadantā saññāpetuṃ nāsakkhiṃsu. Tassa vilapantasseva satta divasā atikkantā. Tadā bodhisatto pañcābhiññaaṭṭhasamāpattilābhī tāpaso hutvā himavantapadese viharanto ālokaṃ vaḍḍhetvā dibbena cakkhunā jambudīpaṃ olokento taṃ rājānaṃ tathā paridevamānaṃ disvā ‘‘etassa mayā avassayena bhavitabba’’nti iddhānubhāvena ākāse uppatitvā rañño uyyāne otaritvā maṅgalasilāpaṭṭe kañcanapaṭimā viya nisīdi.

    อเถโก ปาฎลินครวาสี พฺราหฺมณมาณโว อุยฺยานํ คโต โพธิสตฺตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา นิสีทิฯ โพธิสโตฺต เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘กิํ, มาณว, ราชา ธมฺมิโก’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, ภเนฺต, ธมฺมิโก ราชา, ภริยา ปนสฺส กาลกตา, โส ตสฺสา สรีรํ โทณิยํ ปกฺขิปาเปตฺวา วิลปมาโน นิปโนฺน, อชฺช สตฺตโม ทิวโส, กิสฺส ตุเมฺห ราชานํ เอวรูปา ทุกฺขา น โมเจถ, ยุตฺตํ นุ โข ตุมฺหาทิเสสุ สีลวเนฺตสุ สํวิชฺชมาเนสุ รโญฺญ เอวรูปํ ทุกฺขํ อนุภวิตุ’’นฺติฯ ‘‘น โข อหํ , มาณว, ราชานํ ชานามิ, สเจ ปน โส อาคนฺตฺวา มํ ปุเจฺฉยฺย, อหเมวสฺส ตสฺสา นิพฺพตฺตฎฺฐานํ อาจิกฺขิตฺวา รโญฺญ สนฺติเกเยว ตํ กถาเปยฺย’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, ยาว ราชานํ อาเนมิ, ตาว อิเมว นิสีทถา’’ติ มาณโว โพธิสตฺตสฺส ปฎิญฺญํ คเหตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ตสฺส ทิพฺพจกฺขุกสฺส สนฺติกํ คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ

    Atheko pāṭalinagaravāsī brāhmaṇamāṇavo uyyānaṃ gato bodhisattaṃ disvā vanditvā nisīdi. Bodhisatto tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ‘‘kiṃ, māṇava, rājā dhammiko’’ti pucchi. ‘‘Āma, bhante, dhammiko rājā, bhariyā panassa kālakatā, so tassā sarīraṃ doṇiyaṃ pakkhipāpetvā vilapamāno nipanno, ajja sattamo divaso, kissa tumhe rājānaṃ evarūpā dukkhā na mocetha, yuttaṃ nu kho tumhādisesu sīlavantesu saṃvijjamānesu rañño evarūpaṃ dukkhaṃ anubhavitu’’nti. ‘‘Na kho ahaṃ , māṇava, rājānaṃ jānāmi, sace pana so āgantvā maṃ puccheyya, ahamevassa tassā nibbattaṭṭhānaṃ ācikkhitvā rañño santikeyeva taṃ kathāpeyya’’nti. ‘‘Tena hi, bhante, yāva rājānaṃ ānemi, tāva imeva nisīdathā’’ti māṇavo bodhisattassa paṭiññaṃ gahetvā rañño santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘tassa dibbacakkhukassa santikaṃ gantuṃ vaṭṭatī’’ti āha.

    ราชา ‘‘อุปริํ กิร ทฎฺฐุํ ลภิสฺสามี’’ติ ตุฎฺฐมานโส รถํ อภิรุหิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน – ‘‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห เทวิยา นิพฺพตฺตฎฺฐานํ ชานาถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘กตฺถ นิพฺพตฺตา’’ติ? ‘‘สา โข, มหาราช, รูปสฺมิํเยว มตฺตา ปมาทมาคมฺม กลฺยาณกมฺมํ อกตฺวา อิมสฺมิํเยว อุยฺยาเน โคมยปาณกโยนิยํ นิพฺพตฺตา’’ติ ฯ ‘‘นาหํ สทฺทหามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ เต ทเสฺสตฺวา กถาเปมี’’ติฯ ‘‘สาธุ กถาเปถา’’ติฯ โพธิสโตฺต อตฺตโน อานุภาเวน ‘‘อุโภปิ โคมยปิณฺฑํ วฎฺฎยมานา รโญฺญ ปุรโต อาคจฺฉนฺตู’’ติ เตสํ อาคมนํ อกาสิฯ เต ตเถว อาคมิํสุฯ โพธิสโตฺต ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อยํ เต , มหาราช, อุปริเทวี, ตํ ชหิตฺวา โคมยปาณกสฺส ปจฺฉโต ปจฺฉโต คจฺฉติ, ปสฺสถ น’’นฺติ อาหฯ ภเนฺต ‘‘‘อุปรี นาม โคมยปาณกโยนิยํ นิพฺพตฺติสฺสตี’ติ น สทฺทหามห’’นฺติฯ ‘‘กถาเปมิ นํ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘กถาเปถ, ภเนฺต’’ติฯ

    Rājā ‘‘upariṃ kira daṭṭhuṃ labhissāmī’’ti tuṭṭhamānaso rathaṃ abhiruhitvā tattha gantvā bodhisattaṃ vanditvā ekamantaṃ nisinno – ‘‘saccaṃ kira tumhe deviyā nibbattaṭṭhānaṃ jānāthā’’ti pucchi. ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Kattha nibbattā’’ti? ‘‘Sā kho, mahārāja, rūpasmiṃyeva mattā pamādamāgamma kalyāṇakammaṃ akatvā imasmiṃyeva uyyāne gomayapāṇakayoniyaṃ nibbattā’’ti . ‘‘Nāhaṃ saddahāmī’’ti. ‘‘Tena hi te dassetvā kathāpemī’’ti. ‘‘Sādhu kathāpethā’’ti. Bodhisatto attano ānubhāvena ‘‘ubhopi gomayapiṇḍaṃ vaṭṭayamānā rañño purato āgacchantū’’ti tesaṃ āgamanaṃ akāsi. Te tatheva āgamiṃsu. Bodhisatto taṃ dassento ‘‘ayaṃ te , mahārāja, uparidevī, taṃ jahitvā gomayapāṇakassa pacchato pacchato gacchati, passatha na’’nti āha. Bhante ‘‘‘uparī nāma gomayapāṇakayoniyaṃ nibbattissatī’ti na saddahāmaha’’nti. ‘‘Kathāpemi naṃ, mahārājā’’ti. ‘‘Kathāpetha, bhante’’ti.

    โพธิสโตฺต อตฺตโน อานุภาเวน ตํ กถาเปโนฺต ‘‘อุปรี’’ติ อาหฯ สา มนุสฺสภาสาย ‘‘กิํ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ‘‘ตฺวํ อตีตภเว กา นาม อโหสี’’ติ? ‘‘ภเนฺต, อสฺสกรโญฺญ อคฺคมเหสี อุปรี นาม อโหสิ’’นฺติฯ ‘‘กิํ ปน เต อิทานิ อสฺสกราชา ปิโย, อุทาหุ โคมยปาณโก’’ติ? ‘‘ภเนฺต, โส มยฺหํ ปุริมชาติยา สามิโก, ตทา อหํ อิมสฺมิํ อุยฺยาเน เตน สทฺธิํ รูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐเพฺพ อนุภวมานา วิจริํฯ อิทานิ ปน เม ภวสเงฺขปคตกาลโต ปฎฺฐาย โส กิํ โหติ, อหญฺหิ อิทานิ อสฺสกราชานํ มาเรตฺวา ตสฺส คลโลหิเตน มยฺหํ สามิกสฺส โคมยปาณกสฺส ปาเท มเกฺขยฺย’’นฺติ วตฺวา ปริสมเชฺฌ มนุสฺสภาสาย อิมา คาถา อโวจ –

    Bodhisatto attano ānubhāvena taṃ kathāpento ‘‘uparī’’ti āha. Sā manussabhāsāya ‘‘kiṃ, bhante’’ti āha. ‘‘Tvaṃ atītabhave kā nāma ahosī’’ti? ‘‘Bhante, assakarañño aggamahesī uparī nāma ahosi’’nti. ‘‘Kiṃ pana te idāni assakarājā piyo, udāhu gomayapāṇako’’ti? ‘‘Bhante, so mayhaṃ purimajātiyā sāmiko, tadā ahaṃ imasmiṃ uyyāne tena saddhiṃ rūpasaddagandharasaphoṭṭhabbe anubhavamānā vicariṃ. Idāni pana me bhavasaṅkhepagatakālato paṭṭhāya so kiṃ hoti, ahañhi idāni assakarājānaṃ māretvā tassa galalohitena mayhaṃ sāmikassa gomayapāṇakassa pāde makkheyya’’nti vatvā parisamajjhe manussabhāsāya imā gāthā avoca –

    ๑๑๓.

    113.

    ‘‘อยมสฺสกราเชน , เทโส วิจริโต มยา;

    ‘‘Ayamassakarājena , deso vicarito mayā;

    อนุกามย กาเมน, ปิเยน ปตินา สหฯ

    Anukāmaya kāmena, piyena patinā saha.

    ๑๑๔.

    114.

    ‘‘นเวน สุขทุเกฺขน, โปราณํ อปิธียติ;

    ‘‘Navena sukhadukkhena, porāṇaṃ apidhīyati;

    ตสฺมา อสฺสกรญฺญาว, กีโฎ ปิยตโร มมา’’ติฯ

    Tasmā assakaraññāva, kīṭo piyataro mamā’’ti.

    ตตฺถ อยมสฺสกราเชน, เทโส วิจริโต มยาติ อยํ รมณีโย อุยฺยานปเทโส ปุเพฺพ มยา อสฺสกราเชน สทฺธิํ วิจริโตฯ อนุกามย กาเมนาติ อนูติ นิปาตมตฺตํ, มยา ตํ กามยมานาย เตน มํ กามยมาเนน สหาติ อโตฺถฯ ปิเยนาติ ตสฺมิํ อตฺตภาเว ปิเยนฯ นเวน สุขทุเกฺขน, โปราณํ อปิธียตีติ, ภเนฺต, นเวน หิ สุเขน โปราณํ สุขํ, นเวน จ ทุเกฺขน โปราณํ ทุกฺขํ ปิธียติ ปฎิจฺฉาทียติ, เอสา โลกสฺส ธมฺมตาติ ทีเปติฯ ตสฺมา อสฺสกรญฺญาว, กีโฎ ปิยตโร มมาติ ยสฺมา นเวน โปราณํ ปิธียติ, ตสฺมา มม อสฺสกราชโต สตคุเณน สหสฺสคุเณน กีโฎว ปิยตโรติฯ

    Tattha ayamassakarājena, deso vicarito mayāti ayaṃ ramaṇīyo uyyānapadeso pubbe mayā assakarājena saddhiṃ vicarito. Anukāmaya kāmenāti anūti nipātamattaṃ, mayā taṃ kāmayamānāya tena maṃ kāmayamānena sahāti attho. Piyenāti tasmiṃ attabhāve piyena. Navena sukhadukkhena, porāṇaṃ apidhīyatīti, bhante, navena hi sukhena porāṇaṃ sukhaṃ, navena ca dukkhena porāṇaṃ dukkhaṃ pidhīyati paṭicchādīyati, esā lokassa dhammatāti dīpeti. Tasmā assakaraññāva, kīṭo piyataro mamāti yasmā navena porāṇaṃ pidhīyati, tasmā mama assakarājato sataguṇena sahassaguṇena kīṭova piyataroti.

    ตํ สุตฺวา อสฺสกราชา วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ตตฺถ ฐิโตว กุณปํ นีหราเปตฺวา สีสํ นฺหตฺวา โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา อญฺญํ อคฺคมเหสิํ กตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ โพธิสโตฺตปิ ราชานํ โอวทิตฺวา นิโสฺสกํ กตฺวา หิมวนฺตเมว อคมาสิฯ

    Taṃ sutvā assakarājā vippaṭisārī hutvā tattha ṭhitova kuṇapaṃ nīharāpetvā sīsaṃ nhatvā bodhisattaṃ vanditvā nagaraṃ pavisitvā aññaṃ aggamahesiṃ katvā dhammena rajjaṃ kāresi. Bodhisattopi rājānaṃ ovaditvā nissokaṃ katvā himavantameva agamāsi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา อุปรี ปุราณทุติยิกา อโหสิ, อสฺสกราชา อุกฺกณฺฐิโต ภิกฺขุ, มาณโว สาริปุโตฺต, ตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. ‘‘Tadā uparī purāṇadutiyikā ahosi, assakarājā ukkaṇṭhito bhikkhu, māṇavo sāriputto, tāpaso pana ahameva ahosi’’nti.

    อสฺสกชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ

    Assakajātakavaṇṇanā sattamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๐๗. อสฺสกชาตกํ • 207. Assakajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact