Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๑๕. อตฺตทณฺฑสุตฺตวณฺณนา
15. Attadaṇḍasuttavaṇṇanā
๙๔๒. อตฺตทณฺฑา ภยํ ชาตนฺติ อตฺตทณฺฑสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? โย โส สมฺมาปริพฺพาชนียสุตฺตสฺส อุปฺปตฺติยํ วุจฺจมานาย สากิยโกลิยานํ อุทกํ ปฎิจฺจ กลโห วณฺณิโต, ตํ ญตฺวา ภควา ‘‘ญาตกา กลหํ กโรนฺติ, หนฺท เน วาเรสฺสามี’’ติ ทฺวินฺนํ เสนานํ มเชฺฌ ฐตฺวา อิมํ สุตฺตมภาสิฯ
942.Attadaṇḍābhayaṃ jātanti attadaṇḍasuttaṃ. Kā uppatti? Yo so sammāparibbājanīyasuttassa uppattiyaṃ vuccamānāya sākiyakoliyānaṃ udakaṃ paṭicca kalaho vaṇṇito, taṃ ñatvā bhagavā ‘‘ñātakā kalahaṃ karonti, handa ne vāressāmī’’ti dvinnaṃ senānaṃ majjhe ṭhatvā imaṃ suttamabhāsi.
ตตฺถ ปฐมคาถายโตฺถ – ยํ โลกสฺส ทิฎฺฐธมฺมิกํ วา สมฺปรายิกํ วา ภยํ ชาตํ, ตํ สพฺพํ อตฺตทณฺฑา ภยํ ชาตํ อตฺตโน ทุจฺจริตการณา ชาตํ, เอวํ สเนฺตปิ ชนํ ปสฺสถ เมธคํ, อิมํ สากิยาทิชนํ ปสฺสถ อญฺญมญฺญํ เมธคํ หิํสกํ พาธกนฺติฯ เอวํ ตํ ปฎิวิรุทฺธํ วิปฺปฎิปนฺนํ ชนํ ปริภาสิตฺวา อตฺตโน สมฺมาปฎิปตฺติทสฺสเนน ตสฺส สํเวคํ ชเนตุํ อาห ‘‘สํเวคํ กิตฺตยิสฺสามิ, ยถา สํวิชิตํ มยา’’ติ, ปุเพฺพ โพธิสเตฺตเนว สตาติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha paṭhamagāthāyattho – yaṃ lokassa diṭṭhadhammikaṃ vā samparāyikaṃ vā bhayaṃ jātaṃ, taṃ sabbaṃ attadaṇḍā bhayaṃ jātaṃ attano duccaritakāraṇā jātaṃ, evaṃ santepi janaṃ passatha medhagaṃ, imaṃ sākiyādijanaṃ passatha aññamaññaṃ medhagaṃ hiṃsakaṃ bādhakanti. Evaṃ taṃ paṭiviruddhaṃ vippaṭipannaṃ janaṃ paribhāsitvā attano sammāpaṭipattidassanena tassa saṃvegaṃ janetuṃ āha ‘‘saṃvegaṃ kittayissāmi, yathā saṃvijitaṃ mayā’’ti, pubbe bodhisatteneva satāti adhippāyo.
๙๔๓. อิทานิ ยถาเนน สํวิชิตํ, ตํ ปการํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ผนฺทมาน’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ผนฺทมานนฺติ ตณฺหาทีหิ กมฺปมานํฯ อโปฺปทเกติ อปฺปอุทเกฯ อญฺญมเญฺญหิ พฺยารุเทฺธ ทิสฺวาติ นานาสเตฺต จ อญฺญมเญฺญหิ สทฺธิํ วิรุเทฺธ ทิสฺวาฯ มํ ภยมาวิสีติ มํ ภยํ ปวิฎฺฐํฯ
943. Idāni yathānena saṃvijitaṃ, taṃ pakāraṃ dassento ‘‘phandamāna’’ntiādimāha. Tattha phandamānanti taṇhādīhi kampamānaṃ. Appodaketi appaudake. Aññamaññehi byāruddhe disvāti nānāsatte ca aññamaññehi saddhiṃ viruddhe disvā. Maṃ bhayamāvisīti maṃ bhayaṃ paviṭṭhaṃ.
๙๔๔. สมนฺตมสาโร โลโกติ นิรยํ อาทิํ กตฺวา สมนฺตโต โลโก อสาโร นิจฺจสาราทิรหิโตฯ ทิสา สพฺพา สเมริตาติ สพฺพา ทิสา อนิจฺจตาย กมฺปิตาฯ อิจฺฉํ ภวนมตฺตโนติ อตฺตโน ตาณํ อิจฺฉโนฺตฯ นาทฺทสาสิํ อโนสิตนฺติ กิญฺจิ ฐานํ ชราทีหิ อนชฺฌาวุตฺถํ นาทฺทกฺขิํฯ
944.Samantamasāro lokoti nirayaṃ ādiṃ katvā samantato loko asāro niccasārādirahito. Disā sabbā sameritāti sabbā disā aniccatāya kampitā. Icchaṃ bhavanamattanoti attano tāṇaṃ icchanto. Nāddasāsiṃ anositanti kiñci ṭhānaṃ jarādīhi anajjhāvutthaṃ nāddakkhiṃ.
๙๔๕. โอสาเนเตฺวว พฺยารุเทฺธ, ทิสฺวา เม อรตี อหูติ โยพฺพญฺญาทีนํ โอสาเน เอว อนฺตคมเก เอว วินาสเก เอว ชราทีหิ พฺยารุเทฺธ อาหตจิเตฺต สเตฺต ทิสฺวา อรติ เม อโหสิฯ อเถตฺถ สลฺลนฺติ อถ เอเตสุ สเตฺตสุ ราคาทิสลฺลํฯ หทยนิสฺสิตนฺติ จิตฺตนิสฺสิตํฯ
945.Osānetveva byāruddhe, disvā me aratī ahūti yobbaññādīnaṃ osāne eva antagamake eva vināsake eva jarādīhi byāruddhe āhatacitte satte disvā arati me ahosi. Athettha sallanti atha etesu sattesu rāgādisallaṃ. Hadayanissitanti cittanissitaṃ.
๙๔๖. ‘‘กถํอานุภาวํ สลฺล’’นฺติ เจ – เยน สเลฺลน โอติโณฺณติ คาถาฯ ตตฺถ ทิสา สพฺพา วิธาวตีติ สพฺพา ทุจฺจริตทิสาปิ ปุรตฺถิมาทิทิสาวิทิสาปิ ธาวติฯ ตเมว สลฺลมพฺพุยฺห, น ธาวติ น สีทตีติ ตเมว สลฺลํ อุทฺธริตฺวา ตา จ ทิสา น ธาวติ, จตุโรเฆ จ น สีทตีติฯ
946. ‘‘Kathaṃānubhāvaṃ salla’’nti ce – yena sallena otiṇṇoti gāthā. Tattha disā sabbā vidhāvatīti sabbā duccaritadisāpi puratthimādidisāvidisāpi dhāvati. Tameva sallamabbuyha, na dhāvati na sīdatīti tameva sallaṃ uddharitvā tā ca disā na dhāvati, caturoghe ca na sīdatīti.
๙๔๗. เอวํมหานุภาเวน สเลฺลน โอติเณฺณสฺวปิ จ สเตฺตสุ – ตตฺถ สิกฺขานุคียนฺติ, ยานิ โลเก คธิตานีติ คาถาฯ ตสฺสโตฺถ – เย โลเก ปญฺจ กามคุณา ปฎิลาภาย คิชฺฌนฺตีติ กตฺวา ‘‘คธิตานี’’ติ วุจฺจนฺติ, จิรกาลาเสวิตตฺตา วา ‘‘คธิตานี’’ติ วุจฺจนฺติ, ตตฺถ ตํ นิมิตฺตํ หตฺถิสิกฺขาทิกา อเนกา สิกฺขา กถียนฺติ อุคฺคยฺหนฺติ วาฯ ปสฺสถ ยาว ปมโตฺต วายํ โลโก, ยโต ปณฺฑิโต กุลปุโตฺต เตสุ วา คธิเตสุ ตาสุ วา สิกฺขาสุ อธิมุโตฺต น สิยา, อญฺญทตฺถุ อนิจฺจาทิทสฺสเนน นิพฺพิชฺฌ สพฺพโส กาเม อตฺตโน นิพฺพานเมว สิเกฺขติฯ
947. Evaṃmahānubhāvena sallena otiṇṇesvapi ca sattesu – tattha sikkhānugīyanti, yāni loke gadhitānīti gāthā. Tassattho – ye loke pañca kāmaguṇā paṭilābhāya gijjhantīti katvā ‘‘gadhitānī’’ti vuccanti, cirakālāsevitattā vā ‘‘gadhitānī’’ti vuccanti, tattha taṃ nimittaṃ hatthisikkhādikā anekā sikkhā kathīyanti uggayhanti vā. Passatha yāva pamatto vāyaṃ loko, yato paṇḍito kulaputto tesu vā gadhitesu tāsu vā sikkhāsu adhimutto na siyā, aññadatthu aniccādidassanena nibbijjha sabbaso kāme attano nibbānameva sikkheti.
๙๔๘. อิทานิ ยถา นิพฺพานาย สิกฺขิตพฺพํ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สโจฺจ สิยา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สโจฺจติ วาจาสเจฺจน ญาณสเจฺจน มคฺคสเจฺจน จ สมนฺนาคโตฯ ริตฺตเปสุโณติ ปหีนเปสุโณฯ เววิจฺฉนฺติ มจฺฉริยํฯ
948. Idāni yathā nibbānāya sikkhitabbaṃ, taṃ dassento ‘‘sacco siyā’’tiādimāha. Tattha saccoti vācāsaccena ñāṇasaccena maggasaccena ca samannāgato. Rittapesuṇoti pahīnapesuṇo. Vevicchanti macchariyaṃ.
๙๔๙. นิทฺทํ ตนฺทิํ สเห ถีนนฺติ ปจลายิกญฺจ กายาลสิยญฺจ จิตฺตาลสิยญฺจาติ อิเม ตโย ธเมฺม อภิภเวยฺยฯ นิพฺพานมนโสติ นิพฺพานนินฺนจิโตฺตฯ
949.Niddaṃ tandiṃ sahe thīnanti pacalāyikañca kāyālasiyañca cittālasiyañcāti ime tayo dhamme abhibhaveyya. Nibbānamanasoti nibbānaninnacitto.
๙๕๐-๕๑. สาหสาติ รตฺตสฺส ราคจริยาทิเภทา สาหสกรณาฯ ปุราณํ นาภินเนฺทยฺยาติ อตีตรูปาทิํ นาภินเนฺทยฺยฯ นเวติ ปจฺจุปฺปเนฺนฯ หิยฺยมาเนติ วินสฺสมาเนฯ อากาสํ น สิโต สิยาติ ตณฺหานิสฺสิโต น ภเวยฺยฯ ตณฺหา หิ รูปาทีนํ อากาสนโต ‘‘อากาโส’’ติ วุจฺจติฯ
950-51.Sāhasāti rattassa rāgacariyādibhedā sāhasakaraṇā. Purāṇaṃ nābhinandeyyāti atītarūpādiṃ nābhinandeyya. Naveti paccuppanne. Hiyyamāneti vinassamāne. Ākāsaṃ na sito siyāti taṇhānissito na bhaveyya. Taṇhā hi rūpādīnaṃ ākāsanato ‘‘ākāso’’ti vuccati.
๙๕๒. ‘‘กิํการณา อากาสํ น สิโต สิยา’’ติ เจ – ‘‘เคธํ พฺรูมี’’ติ คาถาฯ ตสฺสโตฺถ – อหญฺหิ อิมํ อากาสสงฺขาตํ ตณฺหํ รูปาทีสุ คิชฺฌนโต เคธํ พฺรูมิ ‘‘เคโธ’’ติ วทามิฯ กิญฺจ ภิโยฺย – อวหนนเฎฺฐน ‘‘โอโฆ’’ติ จ อาชวนเฎฺฐน ‘‘อาชว’’นฺติ จ ‘‘อิทํ มยฺหํ, อิทํ มยฺห’’นฺติ ชปฺปการณโต ‘‘ชปฺปน’’นฺติ จ ทุมฺมุญฺจนเฎฺฐน ‘‘อารมฺมณ’’นฺติ จ กมฺปกรเณน ‘‘ปกมฺปน’’นฺติ จ พฺรูมิ, เอสา จ โลกสฺส ปลิโพธเฎฺฐน ทุรติกฺกมนียเฎฺฐน จ กามปโงฺก ทุรจฺจโยติฯ ‘‘อากาสํ น สิโต สิยา’’ติ เอวํ วุเตฺต วา ‘‘กิเมตํ อากาส’’นฺติ เจ? เคธํ พฺรูมีติฯ เอวมฺปิ ตสฺสา คาถาย สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ปทโยชนา – อากาสนฺติ เคธํ พฺรูมีติฯ ตถา ยฺวายํ มโหโฆติ วุจฺจติฯ ตํ พฺรูมิ, อาชวํ พฺรูมิ, ชปฺปนํ พฺรูมิ, ปกมฺปนํ พฺรูมิ, ยฺวายํ สเทวเก โลเก กามปโงฺก ทุรจฺจโย, ตํ พฺรูมีติฯ
952. ‘‘Kiṃkāraṇā ākāsaṃ na sito siyā’’ti ce – ‘‘gedhaṃ brūmī’’ti gāthā. Tassattho – ahañhi imaṃ ākāsasaṅkhātaṃ taṇhaṃ rūpādīsu gijjhanato gedhaṃ brūmi ‘‘gedho’’ti vadāmi. Kiñca bhiyyo – avahananaṭṭhena ‘‘ogho’’ti ca ājavanaṭṭhena ‘‘ājava’’nti ca ‘‘idaṃ mayhaṃ, idaṃ mayha’’nti jappakāraṇato ‘‘jappana’’nti ca dummuñcanaṭṭhena ‘‘ārammaṇa’’nti ca kampakaraṇena ‘‘pakampana’’nti ca brūmi, esā ca lokassa palibodhaṭṭhena duratikkamanīyaṭṭhena ca kāmapaṅko duraccayoti. ‘‘Ākāsaṃ na sito siyā’’ti evaṃ vutte vā ‘‘kimetaṃ ākāsa’’nti ce? Gedhaṃ brūmīti. Evampi tassā gāthāya sambandho veditabbo. Tattha padayojanā – ākāsanti gedhaṃ brūmīti. Tathā yvāyaṃ mahoghoti vuccati. Taṃ brūmi, ājavaṃ brūmi, jappanaṃ brūmi, pakampanaṃ brūmi, yvāyaṃ sadevake loke kāmapaṅko duraccayo, taṃ brūmīti.
๙๕๓. เอวเมตํ เคธาทิปริยายํ อากาสํ อนิสฺสิโต – สจฺจา อโวกฺกมฺมาติ คาถาฯ ตสฺสโตฺถ – ปุเพฺพ วุตฺตา ติวิธาปิ สจฺจา อโวกฺกมฺม โมเนยฺยปฺปตฺติยา มุนีติ สงฺขฺยํ คโต นิพฺพานตฺถเล ติฎฺฐติ พฺราหฺมโณ, ส เว เอวรูโป สพฺพานิ อายตนานิ นิสฺสชฺชิตฺวา ‘‘สโนฺต’’ติ วุจฺจตีติฯ
953. Evametaṃ gedhādipariyāyaṃ ākāsaṃ anissito – saccā avokkammāti gāthā. Tassattho – pubbe vuttā tividhāpi saccā avokkamma moneyyappattiyā munīti saṅkhyaṃ gato nibbānatthale tiṭṭhati brāhmaṇo, sa ve evarūpo sabbāni āyatanāni nissajjitvā ‘‘santo’’ti vuccatīti.
๙๕๔. กิญฺจ ภิโยฺย – ส เว วิทฺวาติ คาถาฯ ตตฺถ ญตฺวา ธมฺมนฺติ อนิจฺจาทินเยน สงฺขตธมฺมํ ญตฺวาฯ สมฺมา โส โลเก อิริยาโนติ อสมฺมาอิริยนกรานํ กิเลสานํ ปหานา สมฺมา โส โลเก อิริยมาโนฯ
954. Kiñca bhiyyo – sa ve vidvāti gāthā. Tattha ñatvā dhammanti aniccādinayena saṅkhatadhammaṃ ñatvā. Sammā so loke iriyānoti asammāiriyanakarānaṃ kilesānaṃ pahānā sammā so loke iriyamāno.
๙๕๕. เอวํ อปิเหโนฺต จ – โยธ กาเมติ คาถาฯ ตตฺถ สงฺคนฺติ สตฺตวิธํ สงฺคญฺจ โย อจฺจตริ นาเชฺฌตีติ นาภิชฺฌายติฯ
955. Evaṃ apihento ca – yodha kāmeti gāthā. Tattha saṅganti sattavidhaṃ saṅgañca yo accatari nājjhetīti nābhijjhāyati.
๙๕๖. ตสฺมา ตุเมฺหสุปิ โย เอวรูโป โหตุมิจฺฉติ, ตํ วทามิ – ยํ ปุเพฺพติ คาถาฯ ตตฺถ ยํ ปุเพฺพติ อตีเต สงฺขาเร อารพฺภ อุปฺปชฺชนธมฺมํ กิเลสชาตํ อตีตกมฺมญฺจฯ ปจฺฉา เต มาหุ กิญฺจนนฺติ อนาคเตปิ สงฺขาเร อารพฺภ อุปฺปชฺชนธมฺมํ ราคาทิกิญฺจนํ มาหุฯ มเชฺฌ เจ โน คเหสฺสสีติ ปจฺจุปฺปเนฺน รูปาทิธเมฺมปิ น คเหสฺสสิ เจฯ
956. Tasmā tumhesupi yo evarūpo hotumicchati, taṃ vadāmi – yaṃ pubbeti gāthā. Tattha yaṃ pubbeti atīte saṅkhāre ārabbha uppajjanadhammaṃ kilesajātaṃ atītakammañca. Pacchā te māhu kiñcananti anāgatepi saṅkhāre ārabbha uppajjanadhammaṃ rāgādikiñcanaṃ māhu. Majjhe ce no gahessasīti paccuppanne rūpādidhammepi na gahessasi ce.
๙๕๗. เอวํ ‘‘อุปสโนฺต จริสฺสสี’’ติ อรหตฺตปฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อรหโต ถุติวเสน อิโต ปรา คาถาโย อภาสิฯ ตตฺถ สพฺพโสติ คาถาย มมายิตนฺติ มมตฺตกรณํ, ‘‘มม อิท’’นฺติ คหิตํ วา วตฺถุฯ อสตา จ น โสจตีติ อวิชฺชมานการณา อสนฺตการณา น โสจติฯ น ชียตีติ ชานิมฺปิ น คจฺฉติฯ
957. Evaṃ ‘‘upasanto carissasī’’ti arahattappattiṃ dassetvā idāni arahato thutivasena ito parā gāthāyo abhāsi. Tattha sabbasoti gāthāya mamāyitanti mamattakaraṇaṃ, ‘‘mama ida’’nti gahitaṃ vā vatthu. Asatā ca na socatīti avijjamānakāraṇā asantakāraṇā na socati. Na jīyatīti jānimpi na gacchati.
๙๕๘-๙. กิญฺจ ภิโยฺย – ยสฺส นตฺถีติ คาถาฯ ตตฺถ กิญฺจนนฺติ กิญฺจิ รูปาทิธมฺมชาตํฯ กิญฺจ ภิโยฺย – อนิฎฺฐุรีติ คาถาฯ ตตฺถ อนิฎฺฐุรีติ อนิสฺสุกีฯ ‘‘อนิทฺธุรี’’ติปิ เกจิ ปฐนฺติฯ สพฺพธี สโมติ สพฺพตฺถ สโม, อุเปกฺขโกติ อธิปฺปาโยฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? โย โส ‘‘นตฺถิ เม’’ติ น โสจติ, ตมหํ อวิกมฺปินํ ปุคฺคลํ ปุโฎฺฐ สมาโน อนิฎฺฐุรี อนนุคิโทฺธ อเนโช สพฺพธิ สโมติ อิมํ ตสฺมิํ ปุคฺคเล จตุพฺพิธมานิสํสํ พฺรูมีติฯ
958-9. Kiñca bhiyyo – yassa natthīti gāthā. Tattha kiñcananti kiñci rūpādidhammajātaṃ. Kiñca bhiyyo – aniṭṭhurīti gāthā. Tattha aniṭṭhurīti anissukī. ‘‘Aniddhurī’’tipi keci paṭhanti. Sabbadhī samoti sabbattha samo, upekkhakoti adhippāyo. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yo so ‘‘natthi me’’ti na socati, tamahaṃ avikampinaṃ puggalaṃ puṭṭho samāno aniṭṭhurī ananugiddho anejo sabbadhi samoti imaṃ tasmiṃ puggale catubbidhamānisaṃsaṃ brūmīti.
๙๖๐. กิญฺจ ภิโยฺย – อเนชสฺสาติ คาถาฯ ตตฺถ นิสงฺขตีติ ปุญฺญาภิสงฺขาราทีสุ โย โกจิ สงฺขาโรฯ โส หิ ยสฺมา นิสงฺขริยติ นิสงฺขโรติ วา, ตสฺมา ‘‘นิสงฺขตี’’ติ วุจฺจติฯ วิยารมฺภาติ วิวิธา ปุญฺญาภิสงฺขาราทิกา อารมฺภาฯ เขมํ ปสฺสติ สพฺพธีติ สพฺพตฺถ อภยเมว ปสฺสติฯ
960. Kiñca bhiyyo – anejassāti gāthā. Tattha nisaṅkhatīti puññābhisaṅkhārādīsu yo koci saṅkhāro. So hi yasmā nisaṅkhariyati nisaṅkharoti vā, tasmā ‘‘nisaṅkhatī’’ti vuccati. Viyārambhāti vividhā puññābhisaṅkhārādikā ārambhā. Khemaṃ passati sabbadhīti sabbattha abhayameva passati.
๙๖๑. เอวํ ปสฺสโนฺต น สเมสูติ คาถาฯ ตตฺถ น วทเตติ ‘‘สทิโสหมสฺมี’’ติอาทินา มานวเสน สเมสุปิ อตฺตานํ น วทติ โอเมสุปิ อุเสฺสสุปิฯ นาเทติ น นิรสฺสตีติ รูปาทีสุ กญฺจิ ธมฺมํ น คณฺหาติ; น นิสฺสชฺชติฯ เสสํ สพฺพตฺถ ปากฎเมวฯ เอวํ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิ, เทสนาปริโยสาเน ปญฺจสตา สากิยกุมารา จ โกลิยกุมารา จ เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตา, เต คเหตฺวา ภควา มหาวนํ ปาวิสีติฯ
961. Evaṃ passanto na samesūti gāthā. Tattha na vadateti ‘‘sadisohamasmī’’tiādinā mānavasena samesupi attānaṃ na vadati omesupi ussesupi. Nādeti na nirassatīti rūpādīsu kañci dhammaṃ na gaṇhāti; na nissajjati. Sesaṃ sabbattha pākaṭameva. Evaṃ arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesi, desanāpariyosāne pañcasatā sākiyakumārā ca koliyakumārā ca ehibhikkhupabbajjāya pabbajitā, te gahetvā bhagavā mahāvanaṃ pāvisīti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย อตฺตทณฺฑสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya attadaṇḍasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๕. อตฺตทณฺฑสุตฺตํ • 15. Attadaṇḍasuttaṃ