Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi |
๕. อตฺตนิปาตนปโญฺห
5. Attanipātanapañho
๕. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, ภาสิตเมฺปตํ ภควตา ‘น, ภิกฺขเว, อตฺตานํ ปาเตตพฺพํ, โย ปาเตยฺย, ยถาธโมฺม กาเรตโพฺพ’ติฯ ปุน จ ตุเมฺห ภณถ ‘ยตฺถ กตฺถจิ ภควา สาวกานํ ธมฺมํ เทสยมาโน อเนกปริยาเยน ชาติยา ชราย พฺยาธิโน มรณสฺส สมุเจฺฉทาย ธมฺมํ เทเสติ, โย หิ โกจิ ชาติชราพฺยาธิมรณํ สมติกฺกมติ, ตํ ปรมาย ปสํสาย ปสํสตี’ติฯ ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, ภควตา ภณิตํ ‘น, ภิกฺขเว, อตฺตานํ ปาเตตพฺพํ, โย ปาเตยฺย, ยถาธโมฺม กาเรตโพฺพ’ติ, เตน หิ ‘ชาติยา ชราย พฺยาธิโน มรณสฺส สมุเจฺฉทาย ธมฺมํ เทเสตี’ติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉาฯ ยทิ ชาติยา ชราย พฺยาธิโน มรณสฺส สมุเจฺฉทาย ธมฺมํ เทเสติ, เตน หิ ‘น, ภิกฺขเว, อตฺตานํ ปาเตตพฺพํ, โย ปาเตยฺย, ยถาธโมฺม กาเรตโพฺพ’’ติ ตมฺปิ วจนํ มิจฺฉาฯ อยมฺปิ อุภโต โกฎิโก ปโญฺห ตวานุปฺปโตฺต, โส ตยา นิพฺพาหิตโพฺพ’’ติฯ
5. ‘‘Bhante nāgasena, bhāsitampetaṃ bhagavatā ‘na, bhikkhave, attānaṃ pātetabbaṃ, yo pāteyya, yathādhammo kāretabbo’ti. Puna ca tumhe bhaṇatha ‘yattha katthaci bhagavā sāvakānaṃ dhammaṃ desayamāno anekapariyāyena jātiyā jarāya byādhino maraṇassa samucchedāya dhammaṃ deseti, yo hi koci jātijarābyādhimaraṇaṃ samatikkamati, taṃ paramāya pasaṃsāya pasaṃsatī’ti. Yadi, bhante nāgasena, bhagavatā bhaṇitaṃ ‘na, bhikkhave, attānaṃ pātetabbaṃ, yo pāteyya, yathādhammo kāretabbo’ti, tena hi ‘jātiyā jarāya byādhino maraṇassa samucchedāya dhammaṃ desetī’ti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā. Yadi jātiyā jarāya byādhino maraṇassa samucchedāya dhammaṃ deseti, tena hi ‘na, bhikkhave, attānaṃ pātetabbaṃ, yo pāteyya, yathādhammo kāretabbo’’ti tampi vacanaṃ micchā. Ayampi ubhato koṭiko pañho tavānuppatto, so tayā nibbāhitabbo’’ti.
‘‘ภาสิตเมฺปตํ, มหาราช, ภควตา ‘น, ภิกฺขเว, อตฺตานํ ปาเตตพฺพํ, โย ปาเตยฺย, ยถาธโมฺม กาเรตโพฺพ’ติฯ ยตฺถ กตฺถจิ ภควตา สาวกานํ ธมฺมํ เทสยามาเนน จ อเนกปริยาเยน ชาติยา ชราย พฺยาธิโน มรณสฺส สมุเจฺฉทาย ธโมฺม เทสิโต, ตตฺถ ปน การณํ อตฺถิ, เยน ภควา การเณน ปฎิกฺขิปิ สมาทเปสิ จา’’ติฯ
‘‘Bhāsitampetaṃ, mahārāja, bhagavatā ‘na, bhikkhave, attānaṃ pātetabbaṃ, yo pāteyya, yathādhammo kāretabbo’ti. Yattha katthaci bhagavatā sāvakānaṃ dhammaṃ desayāmānena ca anekapariyāyena jātiyā jarāya byādhino maraṇassa samucchedāya dhammo desito, tattha pana kāraṇaṃ atthi, yena bhagavā kāraṇena paṭikkhipi samādapesi cā’’ti.
‘‘กิํ ปเนตฺถ, ภเนฺต นาคเสน, การณํ, เยน ภควา การเณน ปฎิกฺขิปิ สมาทเปสิ จา’’ติ? ‘‘สีลวา, มหาราช, สีลสมฺปโนฺน อคทสโม สตฺตานํ กิเลสวิสวินาสเน, โอสธสโม สตฺตานํ กิเลสพฺยาธิวูปสเม, อุทกสโม สตฺตานํ กิเลสรโชชลฺลาปหรเณ, มณิรตนสโม สตฺตานํ สพฺพสมฺปตฺติทาเน, นาวาสโม สตฺตานํ จตุโรฆปารคมเน, สตฺถวาหสโม สตฺตานํ ชาติกนฺตารตารเณ, วาตสโม สตฺตานํ ติวิธคฺคิสนฺตาปนิพฺพาปเน, มหาเมฆสโม สตฺตานํ มานสปริปูรเณ, อาจริยสโม สตฺตานํ กุสลสิกฺขาปเน, สุเทสกสโม สตฺตานํ เขมปถมาจิกฺขเณฯ เอวรูโป, มหาราช, พหุคุโณ อเนกคุโณ อปฺปมาณคุโณ คุณราสิ คุณปุโญฺช สตฺตานํ วฑฺฒิกโร สีลวา ‘มา วินสฺสี’ติ สตฺตานํ อนุกมฺปาย ภควา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิ ‘น, ภิกฺขเว, อตฺตานํ ปาเตตพฺพํ, โย ปาเตยฺย, ยถาธโมฺม กาเรตโพฺพ’ติฯ อิทเมตฺถ, มหาราช, การณํ, เยน การเณน ภควา ปฎิกฺขิปิฯ ภาสิตเมฺปตํ, มหาราช, เถเรน กุมารกสฺสเปน วิจิตฺรกถิเกน ปายาสิราชญฺญสฺส ปรโลกํ ทีปยมาเนน ‘ยถา ยถา โข ราชญฺญ สมณพฺราหฺมณา สีลวโนฺต กลฺยาณธมฺมา จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติฎฺฐนฺติ, ตถา ตถา พหุํ ปุญฺญํ ปสวนฺติ, พหุชนหิตาย จ ปฎิปชฺชนฺติ พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสาน’นฺติฯ
‘‘Kiṃ panettha, bhante nāgasena, kāraṇaṃ, yena bhagavā kāraṇena paṭikkhipi samādapesi cā’’ti? ‘‘Sīlavā, mahārāja, sīlasampanno agadasamo sattānaṃ kilesavisavināsane, osadhasamo sattānaṃ kilesabyādhivūpasame, udakasamo sattānaṃ kilesarajojallāpaharaṇe, maṇiratanasamo sattānaṃ sabbasampattidāne, nāvāsamo sattānaṃ caturoghapāragamane, satthavāhasamo sattānaṃ jātikantāratāraṇe, vātasamo sattānaṃ tividhaggisantāpanibbāpane, mahāmeghasamo sattānaṃ mānasaparipūraṇe, ācariyasamo sattānaṃ kusalasikkhāpane, sudesakasamo sattānaṃ khemapathamācikkhaṇe. Evarūpo, mahārāja, bahuguṇo anekaguṇo appamāṇaguṇo guṇarāsi guṇapuñjo sattānaṃ vaḍḍhikaro sīlavā ‘mā vinassī’ti sattānaṃ anukampāya bhagavā sikkhāpadaṃ paññapesi ‘na, bhikkhave, attānaṃ pātetabbaṃ, yo pāteyya, yathādhammo kāretabbo’ti. Idamettha, mahārāja, kāraṇaṃ, yena kāraṇena bhagavā paṭikkhipi. Bhāsitampetaṃ, mahārāja, therena kumārakassapena vicitrakathikena pāyāsirājaññassa paralokaṃ dīpayamānena ‘yathā yathā kho rājañña samaṇabrāhmaṇā sīlavanto kalyāṇadhammā ciraṃ dīghamaddhānaṃ tiṭṭhanti, tathā tathā bahuṃ puññaṃ pasavanti, bahujanahitāya ca paṭipajjanti bahujanasukhāya lokānukampāya atthāya hitāya sukhāya devamanussāna’nti.
‘‘เกน ปน การเณน ภควา สมาทเปสิ? ชาติปิ, มหาราช, ทุกฺขา, ชราปิ ทุกฺขา, พฺยาธิปิ ทุโกฺข, มรณมฺปิ ทุกฺขํ, โสโกปิ ทุโกฺข, ปริเทโวปิ ทุโกฺข, ทุกฺขมฺปิ ทุกฺขํ, โทมนสฺสมฺปิ ทุกฺขํ, อุปายาโสปิ ทุโกฺข, อปฺปิเยหิ สมฺปโยโคปิ ทุโกฺข, ปิเยหิ วิปฺปโยโคปิ ทุโกฺข, มาตุมรณมฺปิ ทุกฺขํ, ปิตุมรณมฺปิ ทุกฺขํ, ภาตุมรณมฺปิ ทุกฺขํ, ภคินิมรณมฺปิ ทุกฺขํ, ปุตฺตมรณมฺปิ ทุกฺขํ, ทารมรณมฺปิ ทุกฺขํ, ทาสมรณมฺปิ ทุกฺขํ 1, ญาติมรณมฺปิ ทุกฺขํ, ญาติพฺยสนมฺปิ ทุกฺขํ, โรคพฺยสนมฺปิ ทุกฺขํ, โภคพฺยสนมฺปิ ทุกฺขํ, สีลพฺยสนมฺปิ ทุกฺขํ, ทิฎฺฐิพฺยสนมฺปิ ทุกฺขํ, ราชภยมฺปิ ทุกฺขํ, โจรภยมฺปิ ทุกฺขํ, เวริภยมฺปิ ทุกฺขํ, ทุพฺภิกฺขภยมฺปิ ทุกฺขํ, อคฺคิภยมฺปิ ทุกฺขํ, อุทกภยมฺปิ ทุกฺขํ, อูมิภยมฺปิ ทุกฺขํ, อาวฎฺฎภยมฺปิ ทุกฺขํ, กุมฺภีลภยมฺปิ ทุกฺขํ, สุสุกาภยมฺปิ ทุกฺขํ, อตฺตานุวาทภยมฺปิ ทุกฺขํ, ปรานุวาทภยมฺปิ ทุกฺขํ, ทณฺฑภยมฺปิ ทุกฺขํ, ทุคฺคติภยมฺปิ ทุกฺขํ, ปริสาสารชฺชภยมฺปิ ทุกฺขํ, อาชีวกภยมฺปิ ทุกฺขํ, มรณภยมฺปิ ทุกฺขํ, เวเตฺตหิ ตาฬนมฺปิ ทุกฺขํ, กสาหิ ตาฬนมฺปิ ทุกฺขํ, อทฺธทณฺฑเกหิ ตาฬนมฺปิ ทุกฺขํ, หตฺถเจฺฉทนมฺปิ ทุกฺขํ, ปาทเจฺฉทนมฺปิ ทุกฺขํ, หตฺถปาทเจฺฉทนมฺปิ ทุกฺขํ, กณฺณเจฺฉทนมฺปิ ทุกฺขํ, นาสเจฺฉทนมฺปิ ทุกฺขํ, กณฺณนาสเจฺฉทนมฺปิ ทุกฺขํ, พิลงฺคถาลิกมฺปิ ทุกฺขํ, สงฺขมุณฺฑิกมฺปิ ทุกฺขํ, ราหุมุขมฺปิ ทุกฺขํ, โชติมาลิกมฺปิ ทุกฺขํ, หตฺถปโชฺชติกมฺปิ ทุกฺขํ, เอรกวตฺติกมฺปิ ทุกฺขํ, จีรกวาสิกมฺปิ ทุกฺขํ, เอเณยฺยกมฺปิ ทุกฺขํ , พฬิสมํสิกมฺปิ ทุกฺขํ, กหาปณิกมฺปิ ทุกฺขํ, ขาราปตจฺฉิกมฺปิ ทุกฺขํ, ปลิฆปริวตฺติกมฺปิ ทุกฺขํ, ปลาลปีฐกมฺปิ ทุกฺขํ, ตเตฺตน เตเลน โอสิญฺจนมฺปิ ทุกฺขํ, สุนเขหิ ขาทาปนมฺปิ ทุกฺขํ, ชีวสูลาโรปนมฺปิ ทุกฺขํ, อสินา สีสเจฺฉทนมฺปิ ทุกฺขํ, เอวรูปานิ, มหาราช, พหุวิธานิ อเนกวิธานิ ทุกฺขานิ สํสารคโต อนุภวติฯ
‘‘Kena pana kāraṇena bhagavā samādapesi? Jātipi, mahārāja, dukkhā, jarāpi dukkhā, byādhipi dukkho, maraṇampi dukkhaṃ, sokopi dukkho, paridevopi dukkho, dukkhampi dukkhaṃ, domanassampi dukkhaṃ, upāyāsopi dukkho, appiyehi sampayogopi dukkho, piyehi vippayogopi dukkho, mātumaraṇampi dukkhaṃ, pitumaraṇampi dukkhaṃ, bhātumaraṇampi dukkhaṃ, bhaginimaraṇampi dukkhaṃ, puttamaraṇampi dukkhaṃ, dāramaraṇampi dukkhaṃ, dāsamaraṇampi dukkhaṃ 2, ñātimaraṇampi dukkhaṃ, ñātibyasanampi dukkhaṃ, rogabyasanampi dukkhaṃ, bhogabyasanampi dukkhaṃ, sīlabyasanampi dukkhaṃ, diṭṭhibyasanampi dukkhaṃ, rājabhayampi dukkhaṃ, corabhayampi dukkhaṃ, veribhayampi dukkhaṃ, dubbhikkhabhayampi dukkhaṃ, aggibhayampi dukkhaṃ, udakabhayampi dukkhaṃ, ūmibhayampi dukkhaṃ, āvaṭṭabhayampi dukkhaṃ, kumbhīlabhayampi dukkhaṃ, susukābhayampi dukkhaṃ, attānuvādabhayampi dukkhaṃ, parānuvādabhayampi dukkhaṃ, daṇḍabhayampi dukkhaṃ, duggatibhayampi dukkhaṃ, parisāsārajjabhayampi dukkhaṃ, ājīvakabhayampi dukkhaṃ, maraṇabhayampi dukkhaṃ, vettehi tāḷanampi dukkhaṃ, kasāhi tāḷanampi dukkhaṃ, addhadaṇḍakehi tāḷanampi dukkhaṃ, hatthacchedanampi dukkhaṃ, pādacchedanampi dukkhaṃ, hatthapādacchedanampi dukkhaṃ, kaṇṇacchedanampi dukkhaṃ, nāsacchedanampi dukkhaṃ, kaṇṇanāsacchedanampi dukkhaṃ, bilaṅgathālikampi dukkhaṃ, saṅkhamuṇḍikampi dukkhaṃ, rāhumukhampi dukkhaṃ, jotimālikampi dukkhaṃ, hatthapajjotikampi dukkhaṃ, erakavattikampi dukkhaṃ, cīrakavāsikampi dukkhaṃ, eṇeyyakampi dukkhaṃ , baḷisamaṃsikampi dukkhaṃ, kahāpaṇikampi dukkhaṃ, khārāpatacchikampi dukkhaṃ, palighaparivattikampi dukkhaṃ, palālapīṭhakampi dukkhaṃ, tattena telena osiñcanampi dukkhaṃ, sunakhehi khādāpanampi dukkhaṃ, jīvasūlāropanampi dukkhaṃ, asinā sīsacchedanampi dukkhaṃ, evarūpāni, mahārāja, bahuvidhāni anekavidhāni dukkhāni saṃsāragato anubhavati.
‘‘ยถา, มหาราช, หิมวนฺตปพฺพเต อภิวุฎฺฐํ อุทกํ คงฺคาย นทิยา ปาสาณ สกฺขร ขร มรุมฺพ อาวฎฺฎ คคฺคลก อูมิกวงฺกจทิก อาวรณนีวรณมูลกสาขาสุ ปริโยตฺถรติ, เอวเมว โข, มหาราช, เอวรูปานิ พหุวิธานิ อเนกวิธานิ ทุกฺขานิ สํสารคโต อนุภวติฯ ปวตฺตํ, มหาราช, ทุกฺขํ, อปฺปวตฺตํ สุขํฯ อปฺปวตฺตสฺส คุณํ ปวตฺตสฺส 3 จ ภยํ ทีปยมาโน, มหาราช, ภควา อปฺปวตฺตสฺส สจฺฉิกิริยาย ชาติชราพฺยาธิมรณสมติกฺกมาย สมาทเปสิ, อิทเมตฺถ, มหาราช, การณํ, เยน การเณน ภควา สมาทเปสี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต นาคเสน, สุนิเพฺพฐิโต ปโญฺห, สุกถิตํ การณํ, เอวเมตํ ตถา สมฺปฎิจฺฉามี’’ติฯ
‘‘Yathā, mahārāja, himavantapabbate abhivuṭṭhaṃ udakaṃ gaṅgāya nadiyā pāsāṇa sakkhara khara marumba āvaṭṭa gaggalaka ūmikavaṅkacadika āvaraṇanīvaraṇamūlakasākhāsu pariyottharati, evameva kho, mahārāja, evarūpāni bahuvidhāni anekavidhāni dukkhāni saṃsāragato anubhavati. Pavattaṃ, mahārāja, dukkhaṃ, appavattaṃ sukhaṃ. Appavattassa guṇaṃ pavattassa 4 ca bhayaṃ dīpayamāno, mahārāja, bhagavā appavattassa sacchikiriyāya jātijarābyādhimaraṇasamatikkamāya samādapesi, idamettha, mahārāja, kāraṇaṃ, yena kāraṇena bhagavā samādapesī’’ti. ‘‘Sādhu, bhante nāgasena, sunibbeṭhito pañho, sukathitaṃ kāraṇaṃ, evametaṃ tathā sampaṭicchāmī’’ti.
อตฺตนิปาตนปโญฺห ปญฺจโมฯ
Attanipātanapañho pañcamo.
Footnotes: