Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ๘. อตฺตนฺตปสุตฺตวณฺณนา

    8. Attantapasuttavaṇṇanā

    ๑๙๘. อฎฺฐเม อาหิโต อหํมาโน เอตฺถาติ อตฺตา, อตฺตภาโวฯ อิธ ปน โย ปโร น โหติ, โส อตฺตา, ตํ อตฺตานํฯ ปรนฺติ อตฺตโต อญฺญํฯ ทิเฎฺฐติ ปจฺจกฺขภูเตฯ ธเมฺมติ อุปาทานกฺขนฺธธเมฺมฯ ตตฺถ หิ อตฺตา ภวติ, อตฺตสญฺญาทิฎฺฐิ ภวตีติ อตฺตภาวสมญฺญาฯ เตนาห ‘‘ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว’’ติฯ ฉาตํ วุจฺจติ ตณฺหา ชิฆจฺฉาเหตุตายฯ อโนฺต ตาปนกิเลสานนฺติ อตฺตโน สนฺตาเน ทรถปริฬาหชนเนน สนฺตาปนกิเลสานํฯ

    198. Aṭṭhame āhito ahaṃmāno etthāti attā, attabhāvo. Idha pana yo paro na hoti, so attā, taṃ attānaṃ. Paranti attato aññaṃ. Diṭṭheti paccakkhabhūte. Dhammeti upādānakkhandhadhamme. Tattha hi attā bhavati, attasaññādiṭṭhi bhavatīti attabhāvasamaññā. Tenāha ‘‘diṭṭheva dhammeti imasmiṃyeva attabhāve’’ti. Chātaṃ vuccati taṇhā jighacchāhetutāya. Anto tāpanakilesānanti attano santāne darathapariḷāhajananena santāpanakilesānaṃ.

    ปเรสํ หนนฆาตนาทินา โรทาปนโต ลุโทฺทฯ ตถา วิฆาตกภาเวน กายจิตฺตานํ วิทาลนโต ทารุโณฯ ถทฺธหทโย กกฺขโฬฯ พนฺธนาคาเร นิยุโตฺต พนฺธนาคาริโก

    Paresaṃ hananaghātanādinā rodāpanato luddo. Tathā vighātakabhāvena kāyacittānaṃ vidālanato dāruṇo. Thaddhahadayo kakkhaḷo. Bandhanāgāre niyutto bandhanāgāriko.

    ขตฺติยาภิเสเกนาติ ขตฺติยานํ กาตพฺพอภิเสเกนฯ สนฺถาคารนฺติ สนฺถารวเสน กตํ อคารํ ยญฺญาคารํฯ สปฺปิเตเลนาติ สปฺปิมิเสฺสน เตเลนฯ ยมกเสฺนเหน หิ เอสา ตทา กายํ อพฺภญฺชติฯ วจฺฉภาวํ ตริตฺวา ฐิโต วจฺฉตโรฯ ปริเกฺขปกรณตฺถายาติ นวมาลาหิ สทฺธิํ ทเพฺภหิ เวทิยา ปริกฺขิปนตฺถายฯ ยญฺญภูมิยนฺติ อวเสสยญฺญฎฺฐาเนฯ

    Khattiyābhisekenāti khattiyānaṃ kātabbaabhisekena. Santhāgāranti santhāravasena kataṃ agāraṃ yaññāgāraṃ. Sappitelenāti sappimissena telena. Yamakasnehena hi esā tadā kāyaṃ abbhañjati. Vacchabhāvaṃ taritvā ṭhito vacchataro. Parikkhepakaraṇatthāyāti navamālāhi saddhiṃ dabbhehi vediyā parikkhipanatthāya. Yaññabhūmiyanti avasesayaññaṭṭhāne.

    ทูรสมุสฺสาริตมานเสฺสว สาสเน สมฺมาปฎิปตฺติ สมฺภวติ, น มานชาติกสฺสาติ อาห ‘‘นิหตมานตฺตา’’ติฯ อุสฺสนฺนตฺตาติ พหุภาวโตฯ โภคาโรคฺยาทิวตฺถุกา มทา สุปฺปหิยา โหนฺติ นิมิตฺตสฺส อวฎฺฐานโต, น ตถา กุลวิชฺชามทาติ ขตฺติยพฺราหฺมณกุลานํ ปพฺพชิตานมฺปิ ชาติวิชฺชา นิสฺสาย มานชปฺปนํ ทุปฺปชหนฺติ อาห ‘‘เยภุเยฺยน หิ…เป.… มานํ กโรนฺตี’’ติฯ วิชาติตายาติ นิหีนชาติตายฯ ปติฎฺฐาตุํ น สโกฺกนฺตีติ สุวิสุทฺธํ กตฺวา สีลํ รกฺขิตุํ น สโกฺกนฺติฯ สีลวเสน หิ สาสเน ปติฎฺฐหนฺติฯ ปติฎฺฐาตุนฺติ วา สจฺจปฺปฎิเวเธน โลกุตฺตราย ปติฎฺฐาย ปติฎฺฐาตุํฯ เยภุเยฺยน หิ อุปนิสฺสยสมฺปนฺนา สุชาตาเยว โหนฺติ, น ทุชฺชาตาฯ

    Dūrasamussāritamānasseva sāsane sammāpaṭipatti sambhavati, na mānajātikassāti āha ‘‘nihatamānattā’’ti. Ussannattāti bahubhāvato. Bhogārogyādivatthukā madā suppahiyā honti nimittassa avaṭṭhānato, na tathā kulavijjāmadāti khattiyabrāhmaṇakulānaṃ pabbajitānampi jātivijjā nissāya mānajappanaṃ duppajahanti āha ‘‘yebhuyyena hi…pe… mānaṃ karontī’’ti. Vijātitāyāti nihīnajātitāya. Patiṭṭhātuṃ na sakkontīti suvisuddhaṃ katvā sīlaṃ rakkhituṃ na sakkonti. Sīlavasena hi sāsane patiṭṭhahanti. Patiṭṭhātunti vā saccappaṭivedhena lokuttarāya patiṭṭhāya patiṭṭhātuṃ. Yebhuyyena hi upanissayasampannā sujātāyeva honti, na dujjātā.

    ปริสุทฺธนฺติ ราคาทีนํ อจฺจนฺตเมว ปหานทีปนโต นิรุปกฺกิเลสตาย สพฺพโส วิสุทฺธํฯ สทฺธํ ปฎิลภตีติ โปถุชฺชนิกสทฺธาวเสน สทฺทหติฯ วิญฺญุชาติกานญฺหิ ธมฺมสมฺปตฺติคฺคหณปุพฺพิกา สทฺธาสิทฺธิ ธมฺมปฺปมาณธมฺมปฺปสนฺนภาวโตฯ ชายมฺปติกาติ ฆรณิปติกาฯ กามํ ‘‘ชายมฺปติกา’’ติ วุเตฺต ฆรสามิกฆรสามินิวเสน ทฺวินฺนํเยว คหณํ วิญฺญายติ, ยสฺส ปน ปุริสสฺส อเนกา ปชาปติโย โหนฺติ, ตตฺถ กิํ วตฺตพฺพนฺติ เอกายปิ สํวาโส สมฺพาโธติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘เทฺว’’ติ วุตฺตํฯ ราคาทินา สกิญฺจนเฎฺฐน, เขตฺตวตฺถุอาทินา สปลิโพธเฎฺฐน ราครชาทีนํ อาคมนปถตาปิ อุปฺปชฺชนฎฺฐานตา เอวาติ เทฺวปิ วณฺณนา เอกตฺถา, พฺยญฺชนเมว นานํฯ อลคฺคนเฎฺฐนาติ อสชฺชนเฎฺฐน อปฺปฎิพทฺธภาเวนฯ เอวํ อกุสลกุสลปฺปวตฺตีนํ ฐานภาเวน ฆราวาสปพฺพชฺชานํ สมฺพาธโพฺภกาสตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ กุสลปฺปวตฺติยาเยว อฎฺฐานฎฺฐานภาเวน เตสํ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Parisuddhanti rāgādīnaṃ accantameva pahānadīpanato nirupakkilesatāya sabbaso visuddhaṃ. Saddhaṃ paṭilabhatīti pothujjanikasaddhāvasena saddahati. Viññujātikānañhi dhammasampattiggahaṇapubbikā saddhāsiddhi dhammappamāṇadhammappasannabhāvato. Jāyampatikāti gharaṇipatikā. Kāmaṃ ‘‘jāyampatikā’’ti vutte gharasāmikagharasāminivasena dvinnaṃyeva gahaṇaṃ viññāyati, yassa pana purisassa anekā pajāpatiyo honti, tattha kiṃ vattabbanti ekāyapi saṃvāso sambādhoti dassanatthaṃ ‘‘dve’’ti vuttaṃ. Rāgādinā sakiñcanaṭṭhena, khettavatthuādinā sapalibodhaṭṭhena rāgarajādīnaṃ āgamanapathatāpi uppajjanaṭṭhānatā evāti dvepi vaṇṇanā ekatthā, byañjanameva nānaṃ. Alagganaṭṭhenāti asajjanaṭṭhena appaṭibaddhabhāvena. Evaṃ akusalakusalappavattīnaṃ ṭhānabhāvena gharāvāsapabbajjānaṃ sambādhabbhokāsataṃ dassetvā idāni kusalappavattiyāyeva aṭṭhānaṭṭhānabhāvena tesaṃ taṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi vuttaṃ.

    สเงฺขปกถาติ วิสุํ วิสุํ ปทุทฺธารํ อกตฺวา สเงฺขปโต อตฺถวณฺณนาฯ เอกมฺปิ ทิวสนฺติ เอกทิวสมตฺตมฺปิฯ อขณฺฑํ กตฺวาติ ทุกฺกฎมตฺตสฺสปิ อนาปชฺชเนน อขณฺฑิตํ กตฺวาฯ กิเลสมเลน อมลินนฺติ ตณฺหาสํกิเลสาทิวเสน อสํกิลิฎฺฐํ กตฺวาฯ ปริทหิตฺวาติ นิวาเสตฺวา เจว ปารุปิตฺวา จฯ อคารวาโส อคารํ อุตฺตรปทโลเปน, ตสฺส วฑฺฒิอาวหํ อคารสฺส หิตํ

    Saṅkhepakathāti visuṃ visuṃ paduddhāraṃ akatvā saṅkhepato atthavaṇṇanā. Ekampi divasanti ekadivasamattampi. Akhaṇḍaṃ katvāti dukkaṭamattassapi anāpajjanena akhaṇḍitaṃ katvā. Kilesamalena amalinanti taṇhāsaṃkilesādivasena asaṃkiliṭṭhaṃ katvā. Paridahitvāti nivāsetvā ceva pārupitvā ca. Agāravāso agāraṃ uttarapadalopena, tassa vaḍḍhiāvahaṃ agārassa hitaṃ.

    โภคกฺขโนฺธติ โภคราสิ โภคสมุทาโยฯ อาพนฺธนเฎฺฐนาติ ปุโตฺต นตฺตาติอาทินา เปมวเสน สปริเจฺฉทวเสน พนฺธนเฎฺฐนฯ อมฺหากเมเตติ ญายนฺตีติ ญาตี, ปิตามหปิตุปุตฺตาทิวเสน ปริวตฺตนเฎฺฐน ปริวโฎฺฎฯ สามญฺญวาจีปิ สิกฺขา-สโทฺท อาชีวสทฺทสนฺนิธานโต อุปริวุจฺจมานวิเสสาเปกฺขาย จ วิเสสนิวิโฎฺฐว โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ยา ภิกฺขูนํ อธิสีลสงฺขาตา สิกฺขา’’ติฯ สิกฺขิตพฺพเฎฺฐน สิกฺขา, สห อาชีวนฺติ เอตฺถาติ สาชีโวฯ สิกฺขนภาเวนาติ สิกฺขาย สาชีเว จ สิกฺขนภาเวนฯ สิกฺขํ ปริปูเรโนฺตติ สีลสํวรํ ปริปูเรโนฺตฯ สาชีวญฺจ อวีติกฺกมโนฺตติ ‘‘นามกาโย, ปทกาโย, นิรุตฺติกาโย, พฺยญฺชนกาโย’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๓๙) วุตฺตํ สิกฺขาปทํ ภควโต จ วจนํ อวีติกฺกมโนฺต หุตฺวาติ อโตฺถฯ อิทเมว จ ‘‘สิกฺขน’’นฺติ วุตฺตํ, ตตฺถ สาชีวานํ อวีติกฺกโม สิกฺขาปาริปูริยา ปจฺจโยฯ ตโต หิ ยาว มคฺคา สิกฺขาปาริปูรี โหตีติฯ

    Bhogakkhandhoti bhogarāsi bhogasamudāyo. Ābandhanaṭṭhenāti putto nattātiādinā pemavasena saparicchedavasena bandhanaṭṭhena. Amhākameteti ñāyantīti ñātī, pitāmahapituputtādivasena parivattanaṭṭhena parivaṭṭo. Sāmaññavācīpi sikkhā-saddo ājīvasaddasannidhānato uparivuccamānavisesāpekkhāya ca visesaniviṭṭhova hotīti vuttaṃ ‘‘yā bhikkhūnaṃ adhisīlasaṅkhātā sikkhā’’ti. Sikkhitabbaṭṭhena sikkhā, saha ājīvanti etthāti sājīvo. Sikkhanabhāvenāti sikkhāya sājīve ca sikkhanabhāvena. Sikkhaṃ paripūrentoti sīlasaṃvaraṃ paripūrento. Sājīvañca avītikkamantoti ‘‘nāmakāyo, padakāyo, niruttikāyo, byañjanakāyo’’ti (pārā. aṭṭha. 1.39) vuttaṃ sikkhāpadaṃ bhagavato ca vacanaṃ avītikkamanto hutvāti attho. Idameva ca ‘‘sikkhana’’nti vuttaṃ, tattha sājīvānaṃ avītikkamo sikkhāpāripūriyā paccayo. Tato hi yāva maggā sikkhāpāripūrī hotīti.

    อนุปฺปทาตาติ อนุพลปฺปทาตา, อนุวตฺตนวเสน วา ปทาตาฯ กสฺส ปน อนุวตฺตนํ ปทานญฺจาติ? ‘‘สหิตาน’’นฺติ วุตฺตตฺตา สนฺธานสฺสาติ วิญฺญายติฯ เตนาห ‘‘สนฺธานานุปฺปทาตา’’ติฯ ยสฺมา ปน อนุวตฺตนวเสน สนฺธานสฺส ปทานํ อาธานํ อารกฺขนํ วา ทฬฺหกรณํ โหติ, เตน วุตฺตํ ‘‘เทฺว ชเน สมเคฺค ทิสฺวา’’ติอาทิฯ อารมนฺติ เอตฺถาติ อาราโม, รมิตพฺพฎฺฐานํฯ ยสฺมา ปน อา-กาเรน วินาปิ อยมโตฺถ ลพฺภติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สมคฺคราโมติปิ ปาฬิ, อยเมวโตฺถ’’ติฯ

    Anuppadātāti anubalappadātā, anuvattanavasena vā padātā. Kassa pana anuvattanaṃ padānañcāti? ‘‘Sahitāna’’nti vuttattā sandhānassāti viññāyati. Tenāha ‘‘sandhānānuppadātā’’ti. Yasmā pana anuvattanavasena sandhānassa padānaṃ ādhānaṃ ārakkhanaṃ vā daḷhakaraṇaṃ hoti, tena vuttaṃ ‘‘dve jane samagge disvā’’tiādi. Āramanti etthāti ārāmo, ramitabbaṭṭhānaṃ. Yasmā pana ā-kārena vināpi ayamattho labbhati, tasmā vuttaṃ ‘‘samaggarāmotipi pāḷi, ayamevattho’’ti.

    เอตฺถาติ –

    Etthāti –

    ‘‘เนลโงฺค เสตปจฺฉาโท, เอกาโร วตฺตตี รโถ;

    ‘‘Nelaṅgo setapacchādo, ekāro vattatī ratho;

    อนีฆํ ปสฺส อายนฺตํ, ฉินฺนโสตํ อพนฺธน’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๔.๓๔๗; อุทา. ๖๕; เปฎโก. ๒๕) –

    Anīghaṃ passa āyantaṃ, chinnasotaṃ abandhana’’nti. (saṃ. ni. 4.347; udā. 65; peṭako. 25) –

    อิมิสฺสา คาถายฯ สีลเญฺหตฺถ เนลงฺคนฺติ วุตฺตํฯ เตเนวาห – ‘‘จิโตฺต คหปติ, เนลงฺคนฺติ โข, ภเนฺต, สีลานเมตํ อธิวจน’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๗)ฯ สุกุมาราติ อปฺผรุสตาย มุทุกาฯ ปุรสฺส เอสาติ เอตฺถ ปุร-สโทฺท ตนฺนิวาสิวาจโก ทฎฺฐโพฺพ – ‘‘คาโม อาคโต’’ติอาทีสุ วิยฯ เตเนวาห ‘‘นครวาสีน’’นฺติฯ มนํ อปฺปายติ วเฑฺฒตีติ มนาโปฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จิตฺตวุฑฺฒิกรา’’ติฯ

    Imissā gāthāya. Sīlañhettha nelaṅganti vuttaṃ. Tenevāha – ‘‘citto gahapati, nelaṅganti kho, bhante, sīlānametaṃ adhivacana’’nti (saṃ. ni. 4.347). Sukumārāti appharusatāya mudukā. Purassa esāti ettha pura-saddo tannivāsivācako daṭṭhabbo – ‘‘gāmo āgato’’tiādīsu viya. Tenevāha ‘‘nagaravāsīna’’nti. Manaṃ appāyati vaḍḍhetīti manāpo. Tena vuttaṃ ‘‘cittavuḍḍhikarā’’ti.

    กาลวาทีติอาทิ สมฺผปฺปลาปา ปฎิวิรตสฺส ปฎิปตฺติทสฺสนํฯ อตฺถสํหิตาปิ หิ วาจา อยุตฺตกาลปฺปโยเคน อตฺถาวหา น สิยาติ อนตฺถวิญฺญาปนวาจํ อนุโลเมติ, ตสฺมา สมฺผปฺปลาปํ ปชหเนฺตน อกาลวาทิตา ปริหริตพฺพาติ วุตฺตํ ‘‘กาลวาที’’ติฯ กาเลน วทเนฺตนปิ อุภยานตฺถสาธนโต อภูตํ ปริวเชฺชตพฺพนฺติ อาห ‘‘ภูตวาที’’ติฯ ภูตญฺจ วทเนฺตน ยํ อิธโลกปรโลกหิตสมฺปาทกํ, ตเทว วตฺตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อตฺถวาที’’ติ วุตฺตํฯ อตฺถํ วทเนฺตนปิ โลกิยธมฺมสนฺนิสฺสิตเมว อวตฺวา โลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิตํ กตฺวา วตฺตพฺพนฺติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ธมฺมวาที’’ติ วุตฺตํฯ ยถา จ อโตฺถ โลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิโต โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘วินยวาที’’ติ วุตฺตํฯ ปญฺจนฺนญฺหิ สํวรวินยานํ ปญฺจนฺนญฺจ ปหานวินยานํ วเสน วุจฺจมาโน อโตฺถ นิพฺพานาธิคมนเหตุภาวโต โลกุตฺตรธมฺมสนฺนิสฺสิโต โหตีติฯ เอวํ คุณวิเสสยุโตฺตว อโตฺถ วุจฺจมาโน เทสนาโกสเลฺล สติ โสภติ, กิจฺจกโร จ โหติ, น อญฺญถาติ ทเสฺสตุํ ‘‘นิธานวติํ วาจํ ภาสิตา’’ติ วุตฺตํฯ อิทานิ ตํ เทสนาโกสลฺลํ วิภาเวตุํ ‘‘กาเลนา’’ติอาทิมาหฯ ปุจฺฉาทิวเสน หิ โอติณฺณวาจาวตฺถุสฺมิํ เอกํสาทิพฺยากรณวิภาคํ สลฺลเกฺขตฺวา ฐปนาเหตูทาหรณสนฺทสฺสนาทิํ ตํตํกาลานุรูปํ วิภาเวนฺติยา ปริมิตปริจฺฉินฺนรูปาย วิปุลตรคมฺภีโรทารปรมตฺถวิตฺถารสงฺคาหิกาย กถาย ญาณพลานุรูปํ ปเร ยาถาวโต ธเมฺม ปติฎฺฐาเปโนฺต ‘‘เทสนากุสโล’’ติ วุจฺจตีติ เอวเมตฺถ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Kālavādītiādi samphappalāpā paṭiviratassa paṭipattidassanaṃ. Atthasaṃhitāpi hi vācā ayuttakālappayogena atthāvahā na siyāti anatthaviññāpanavācaṃ anulometi, tasmā samphappalāpaṃ pajahantena akālavāditā pariharitabbāti vuttaṃ ‘‘kālavādī’’ti. Kālena vadantenapi ubhayānatthasādhanato abhūtaṃ parivajjetabbanti āha ‘‘bhūtavādī’’ti. Bhūtañca vadantena yaṃ idhalokaparalokahitasampādakaṃ, tadeva vattabbanti dassetuṃ ‘‘atthavādī’’ti vuttaṃ. Atthaṃ vadantenapi lokiyadhammasannissitameva avatvā lokuttaradhammasannissitaṃ katvā vattabbanti dassanatthaṃ ‘‘dhammavādī’’ti vuttaṃ. Yathā ca attho lokuttaradhammasannissito hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘vinayavādī’’ti vuttaṃ. Pañcannañhi saṃvaravinayānaṃ pañcannañca pahānavinayānaṃ vasena vuccamāno attho nibbānādhigamanahetubhāvato lokuttaradhammasannissito hotīti. Evaṃ guṇavisesayuttova attho vuccamāno desanākosalle sati sobhati, kiccakaro ca hoti, na aññathāti dassetuṃ ‘‘nidhānavatiṃ vācaṃ bhāsitā’’ti vuttaṃ. Idāni taṃ desanākosallaṃ vibhāvetuṃ ‘‘kālenā’’tiādimāha. Pucchādivasena hi otiṇṇavācāvatthusmiṃ ekaṃsādibyākaraṇavibhāgaṃ sallakkhetvā ṭhapanāhetūdāharaṇasandassanādiṃ taṃtaṃkālānurūpaṃ vibhāventiyā parimitaparicchinnarūpāya vipulataragambhīrodāraparamatthavitthārasaṅgāhikāya kathāya ñāṇabalānurūpaṃ pare yāthāvato dhamme patiṭṭhāpento ‘‘desanākusalo’’ti vuccatīti evamettha atthayojanā veditabbā.

    เอวํ ปฎิปาฎิยา สตฺต มูลสิกฺขาปทานิ วิภชิตฺวา อภิชฺฌาทิปฺปหานํ อินฺทฺริยสํวรชาคริยานุโยเคหิ วิภาเวตุํ ตมฺปิ นีหริตฺวา อาจารสีลเสฺสว วิภชนวเสน ปาฬิ ปวตฺตาติ ตทตฺถํ วิวริตุํ ‘‘พีชคามภูตคามสมารมฺภา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ พีชานํ คาโม สมูโห พีชคาโมฯ ภูตานํ ชาตานํ นิพฺพตฺตานํ รุกฺขคจฺฉลตาทีนํ สมูโห ภูตคาโมฯ นนุ จ รุกฺขาทโย จิตฺตรหิตตาย น ชีวา, จิตฺตรหิตตา จ ปริปฺผนฺทาภาวโต ฉิเนฺน วิรุหนโต วิสทิสชาติภาวโต จตุโยนิอปริยาปนฺนโต จ เวทิตพฺพา, วุทฺธิ ปน ปวาฬสิลาลวณานมฺปิ วิชฺชตีติ น เตสํ ชีวภาเว การณํ, วิสยคฺคหณญฺจ เนสํ ปริกปฺปนามตฺตํ สุปนํ วิย จิญฺจาทีนํ, ตถา โทหฬาทโย, อถ กสฺมา พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรติ อิจฺฉิตาติ? สมณสารุปฺปโต ตนฺนิวาสิสตฺตานุรกฺขณโต จฯ เตเนวาห – ‘‘ชีวสญฺญิโน หิ โมฆปุริส มนุสฺสา รุกฺขสฺมิ’’นฺติอาทิ (ปาจิ. ๘๙)ฯ

    Evaṃ paṭipāṭiyā satta mūlasikkhāpadāni vibhajitvā abhijjhādippahānaṃ indriyasaṃvarajāgariyānuyogehi vibhāvetuṃ tampi nīharitvā ācārasīlasseva vibhajanavasena pāḷi pavattāti tadatthaṃ vivarituṃ ‘‘bījagāmabhūtagāmasamārambhā’’tiādi vuttaṃ. Tattha bījānaṃ gāmo samūho bījagāmo. Bhūtānaṃ jātānaṃ nibbattānaṃ rukkhagacchalatādīnaṃ samūho bhūtagāmo. Nanu ca rukkhādayo cittarahitatāya na jīvā, cittarahitatā ca paripphandābhāvato chinne viruhanato visadisajātibhāvato catuyoniapariyāpannato ca veditabbā, vuddhi pana pavāḷasilālavaṇānampi vijjatīti na tesaṃ jīvabhāve kāraṇaṃ, visayaggahaṇañca nesaṃ parikappanāmattaṃ supanaṃ viya ciñcādīnaṃ, tathā dohaḷādayo, atha kasmā bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirati icchitāti? Samaṇasāruppato tannivāsisattānurakkhaṇato ca. Tenevāha – ‘‘jīvasaññino hi moghapurisa manussā rukkhasmi’’ntiādi (pāci. 89).

    มูลเมว พีชํ มูลพีชํ, มูลํ พีชํ เอตสฺสาติปิ มูลพีชํฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ ผฬุพีชนฺติ ปพฺพพีชํฯ ปจฺจยนฺตรสมวาเย สทิสผลุปฺปตฺติยา วิเสสการณภาวโต วิรุหนสมเตฺถ สารผเล นิรุโฬฺห พีช-สโทฺท ตทตฺถสํสิทฺธิยา มูลาทีสุปิ เกสุจิ ปวตฺตตีติ มูลาทิโต นิวตฺตนตฺถํ เอเกน พีช-สเทฺทน วิเสเสตฺวา วุตฺตํ ‘‘พีชพีช’’นฺติ ‘‘รูปรูปํ, ทุกฺขทุกฺข’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๓๒๗) จ ยถาฯ กสฺมา ปเนตฺถ พีชคามภูตคามํ อุทฺธริตฺวา พีชคาโม เอว นิทฺทิโฎฺฐติ? น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ, นนุ อโวจุมฺหา ‘‘มูลเมว พีชํ มูลพีชํ, มูลํ พีชํ เอตสฺสาติปิ มูลพีช’’นฺติฯ ตตฺถ ปุริเมน พีชคาโม นิทฺทิโฎฺฐ, ทุติเยน ภูตคาโมฯ ทุวิโธเปส มูลพีชญฺจ มูลพีชญฺจ มูลพีชนฺติ สามญฺญนิเทฺทเสน, เอกเสสนเยน วา อุทฺทิโฎฺฐติ เวทิตโพฺพฯ เตเนวาห ‘‘ปญฺจวิธสฺสา’’ติอาทิฯ นีลติณรุกฺขาทิกสฺสาติ อลฺลติณสฺส เจว อลฺลรุกฺขาทิกสฺส จฯ อาทิ-สเทฺทน โอสธิคจฺฉลตาทีนํ สงฺคโหฯ

    Mūlameva bījaṃ mūlabījaṃ, mūlaṃ bījaṃ etassātipi mūlabījaṃ. Sesesupi eseva nayo. Phaḷubījanti pabbabījaṃ. Paccayantarasamavāye sadisaphaluppattiyā visesakāraṇabhāvato viruhanasamatthe sāraphale niruḷho bīja-saddo tadatthasaṃsiddhiyā mūlādīsupi kesuci pavattatīti mūlādito nivattanatthaṃ ekena bīja-saddena visesetvā vuttaṃ ‘‘bījabīja’’nti ‘‘rūparūpaṃ, dukkhadukkha’’nti (saṃ. ni. 4.327) ca yathā. Kasmā panettha bījagāmabhūtagāmaṃ uddharitvā bījagāmo eva niddiṭṭhoti? Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ, nanu avocumhā ‘‘mūlameva bījaṃ mūlabījaṃ, mūlaṃ bījaṃ etassātipi mūlabīja’’nti. Tattha purimena bījagāmo niddiṭṭho, dutiyena bhūtagāmo. Duvidhopesa mūlabījañca mūlabījañca mūlabījanti sāmaññaniddesena, ekasesanayena vā uddiṭṭhoti veditabbo. Tenevāha ‘‘pañcavidhassā’’tiādi. Nīlatiṇarukkhādikassāti allatiṇassa ceva allarukkhādikassa ca. Ādi-saddena osadhigacchalatādīnaṃ saṅgaho.

    เอกํ ภตฺตํ เอกภตฺตํ, ตํ อสฺส อตฺถีติ เอกภตฺติโกฯ โส ปน รตฺติโภชเนนปิ สิยาติ ตนฺนิวตฺตนตฺถํ อาห ‘‘รตฺตูปรโต’’ติฯ เอวมฺปิ อปรณฺหโภชีปิ สิยา เอกภตฺติโกติ ตนฺนิวตฺตนตฺถํ ‘‘วิรโต วิกาลโภชนา’’ติ วุตฺตํฯ อรุณุคฺคมนโต ปฎฺฐาย ยาว มชฺฌนฺหิกา อยํ พุทฺธาทีนํ อริยานํ อาจิณฺณสมาจิโณฺณ โภชนสฺส กาโล นาม, ตทโญฺญ วิกาโลฯ อฎฺฐกถายํ ปน ทุติยปเทน รตฺติโภชนสฺส ปฎิกฺขิตฺตตฺตา ‘‘อติกฺกเนฺต มชฺฌนฺหิเก ยาว สูริยตฺถงฺคมนา โภชนํ วิกาลโภชนํ นามา’’ติ วุตฺตํฯ

    Ekaṃ bhattaṃ ekabhattaṃ, taṃ assa atthīti ekabhattiko. So pana rattibhojanenapi siyāti tannivattanatthaṃ āha ‘‘rattūparato’’ti. Evampi aparaṇhabhojīpi siyā ekabhattikoti tannivattanatthaṃ ‘‘virato vikālabhojanā’’ti vuttaṃ. Aruṇuggamanato paṭṭhāya yāva majjhanhikā ayaṃ buddhādīnaṃ ariyānaṃ āciṇṇasamāciṇṇo bhojanassa kālo nāma, tadañño vikālo. Aṭṭhakathāyaṃ pana dutiyapadena rattibhojanassa paṭikkhittattā ‘‘atikkante majjhanhike yāva sūriyatthaṅgamanā bhojanaṃ vikālabhojanaṃ nāmā’’ti vuttaṃ.

    ทารุมาสโกติ เย โวหารํ คจฺฉนฺตีติ อิติ-สเทฺทน เอวํปกาเร ทเสฺสติฯ อเญฺญหิ คาหาปเน อุปนิกฺขิตฺตสาทิยเน จ ปฎิคฺคหณโตฺถ ลพฺภตีติ ‘‘เนว ตํ อุคฺคณฺหาติ, น อุคฺคหาเปติ, น อุปนิกฺขิตฺตํ สาทิยตี’’ติ วุตฺตํฯ อถ วา ติวิธํ ปฎิคฺคหณํ กาเยน, วาจาย, มนสาติฯ ตตฺถ กาเยน ปฎิคฺคหณํ อุคฺคณฺหนํ, วาจาย ปฎิคฺคหณํ อุคฺคหาปนํ, มนสา ปฎิคฺคหณํ สาทิยนนฺติ ติวิธมฺปิ ปฎิคฺคหณํ เอกชฺฌํ คเหตฺวา ปฎิคฺคหณาติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘เนว ตํ อุคฺคณฺหาตี’’ติอาทิฯ เอส นโย อามกธญฺญปฎิคฺคหณาติอาทีสุปิฯ นีวาราทิอุปธญฺญสฺส สาลิอาทิมูลธญฺญโนฺตคธตฺตา วุตฺตํ ‘‘สตฺตวิธสฺสา’’ติฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจ วสานิ เภสชฺชานิ อจฺฉวสํ, มจฺฉวสํ, สุสุกาวสํ, สูกรวสํ, คทฺรภวส’’นฺติ (มหาว. ๒๖๒) วุตฺตตฺตา อิทํ โอทิสฺส อนุญฺญาตํ นามฯ ตสฺส ปน ‘‘กาเล ปฎิคฺคหิต’’นฺติ (มหาว. ๒๖๒) วุตฺตตฺตา ปฎิคฺคหณํ วฎฺฎติ สติ ปจฺจเยติ อาห ‘‘อญฺญตฺร โอทิสฺส อนุญฺญาตา’’ติฯ

    Dārumāsakoti ye vohāraṃ gacchantīti iti-saddena evaṃpakāre dasseti. Aññehi gāhāpane upanikkhittasādiyane ca paṭiggahaṇattho labbhatīti ‘‘neva taṃ uggaṇhāti, na uggahāpeti, na upanikkhittaṃ sādiyatī’’ti vuttaṃ. Atha vā tividhaṃ paṭiggahaṇaṃ kāyena, vācāya, manasāti. Tattha kāyena paṭiggahaṇaṃ uggaṇhanaṃ, vācāya paṭiggahaṇaṃ uggahāpanaṃ, manasā paṭiggahaṇaṃ sādiyananti tividhampi paṭiggahaṇaṃ ekajjhaṃ gahetvā paṭiggahaṇāti vuttanti āha ‘‘neva taṃ uggaṇhātī’’tiādi. Esa nayo āmakadhaññapaṭiggahaṇātiādīsupi. Nīvārādiupadhaññassa sāliādimūladhaññantogadhattā vuttaṃ ‘‘sattavidhassā’’ti. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañca vasāni bhesajjāni acchavasaṃ, macchavasaṃ, susukāvasaṃ, sūkaravasaṃ, gadrabhavasa’’nti (mahāva. 262) vuttattā idaṃ odissa anuññātaṃ nāma. Tassa pana ‘‘kāle paṭiggahita’’nti (mahāva. 262) vuttattā paṭiggahaṇaṃ vaṭṭati sati paccayeti āha ‘‘aññatra odissa anuññātā’’ti.

    สารุเปฺปน วญฺจนํ รูปกูฎํ, ปติรูเปน วญฺจนาติ อโตฺถฯ อเงฺคน อตฺตโน สรีราวยเวน วญฺจนํ องฺคกูฎํฯ คณฺหนวเสน วญฺจนํ คหณกูฎํฯ ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา วญฺจนํ ปฎิจฺฉนฺนกูฎํฯ อกฺกมตีติ นิปฺปีเฬติ, ปุพฺพภาเค อกฺกมตีติ สมฺพโนฺธฯ หทยนฺติ นาฬิอาทิมานภาชนานํ อพฺภนฺตรํฯ เตลาทีนํ นาฬิอาทีหิ มินนกาเล อุสฺสาปิตา สิขาเยว สิขาเภโท, ตสฺสา หาปนํฯ เกจีติ สารสมาสาจริยา อุตฺตรวิหารวาสิโน จฯ

    Sāruppena vañcanaṃ rūpakūṭaṃ, patirūpena vañcanāti attho. Aṅgena attano sarīrāvayavena vañcanaṃ aṅgakūṭaṃ. Gaṇhanavasena vañcanaṃ gahaṇakūṭaṃ. Paṭicchannaṃ katvā vañcanaṃ paṭicchannakūṭaṃ. Akkamatīti nippīḷeti, pubbabhāge akkamatīti sambandho. Hadayanti nāḷiādimānabhājanānaṃ abbhantaraṃ. Telādīnaṃ nāḷiādīhi minanakāle ussāpitā sikhāyeva sikhābhedo, tassā hāpanaṃ. Kecīti sārasamāsācariyā uttaravihāravāsino ca.

    วโธติ มุฎฺฐิปฺปหารกสาตาฬนาทีหิ หิํสนํ, วิเหฐนนฺติ อโตฺถฯ วิเหฐนโตฺถปิ หิ วธ-สโทฺท ทิสฺสติ ‘‘อตฺตานํ วธิตฺวา วธิตฺวา โรทตี’’ติอาทีสุฯ ยถา หิ อปฎิคฺคหภาวสามเญฺญ สติปิ ปพฺพชิเตหิ อปฺปฎิคฺคหิตพฺพวตฺถุวิเสสภาวสนฺทสฺสนตฺถํ อิตฺถิกุมาริทาสิทาสาทโย วิภาเคน วุตฺตา, เอวํ ปรสฺสหรณภาวโต อทินฺนาทานภาวสามเญฺญ สติปิ ตุลากูฎาทโย อทินฺนาทานวิเสสภาวทสฺสนตฺถํ วิภาเคน วุตฺตาฯ น เอวํ ปาณาติปาตปริยายสฺส วธสฺส ปุน คหเณ ปโยชนํ อตฺถิ, ตตฺถ สยํกาโร, อิธ ปรํกาโรติ จ น สกฺกา วตฺตุํ ‘‘กายวจิปฺปโยคสมุฎฺฐาปิกา เจตนา ฉปฺปโยคา’’ติ (ที. นิ. ฎี. ๑.๑๐) วจนโต, ตสฺมา ยถาวุโตฺต เอวเมตฺถ อโตฺถ ยุโตฺตฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘วโธติ มารณ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตมฺปิ โปถนเมว สนฺธายาติ จ สกฺกา วิญฺญาตุํ มารณสทฺทสฺส วิหิํสเนปิ ทิสฺสนโตฯ

    Vadhoti muṭṭhippahārakasātāḷanādīhi hiṃsanaṃ, viheṭhananti attho. Viheṭhanatthopi hi vadha-saddo dissati ‘‘attānaṃ vadhitvā vadhitvā rodatī’’tiādīsu. Yathā hi apaṭiggahabhāvasāmaññe satipi pabbajitehi appaṭiggahitabbavatthuvisesabhāvasandassanatthaṃ itthikumāridāsidāsādayo vibhāgena vuttā, evaṃ parassaharaṇabhāvato adinnādānabhāvasāmaññe satipi tulākūṭādayo adinnādānavisesabhāvadassanatthaṃ vibhāgena vuttā. Na evaṃ pāṇātipātapariyāyassa vadhassa puna gahaṇe payojanaṃ atthi, tattha sayaṃkāro, idha paraṃkāroti ca na sakkā vattuṃ ‘‘kāyavacippayogasamuṭṭhāpikā cetanā chappayogā’’ti (dī. ni. ṭī. 1.10) vacanato, tasmā yathāvutto evamettha attho yutto. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘vadhoti māraṇa’’nti vuttaṃ. Tampi pothanameva sandhāyāti ca sakkā viññātuṃ māraṇasaddassa vihiṃsanepi dissanato.

    จีวรปิณฺฑปาตานํ ยถากฺกมํ กายกุจฺฉิปริหรณมตฺตโชตนายํ อวิเสสโต อฎฺฐนฺนํ ปริกฺขารานํ ตปฺปโยชนตา สมฺภวตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เต สเพฺพปี’’ติอาทิมาหฯ เอเตปีติ นวปริกฺขาริกาทโยปิ อปฺปิจฺฉา จ สนฺตุฎฺฐา จฯ น หิ ตตฺตเกน มหิจฺฉตา อสนฺตุฎฺฐิตา โหตีติฯ

    Cīvarapiṇḍapātānaṃ yathākkamaṃ kāyakucchipariharaṇamattajotanāyaṃ avisesato aṭṭhannaṃ parikkhārānaṃ tappayojanatā sambhavatīti dassento ‘‘te sabbepī’’tiādimāha. Etepīti navaparikkhārikādayopi appicchā ca santuṭṭhā ca. Na hi tattakena mahicchatā asantuṭṭhitā hotīti.

    จตูสุ ทิสาสุ สุขํ วิหรติ, ตโต เอว สุขวิหารฎฺฐานภูตา จตโสฺส ทิสา อสฺส สนฺตีติ จาตุทฺทิโสฯ ตตฺถ จายํ สเตฺต วา สงฺขาเร วา ภเยน นปฺปฎิหญฺญตีติ อปฺปฎิโฆฯ ทฺวาทสวิธสฺส สโนฺตสสฺส วเสน สนฺตุสฺสนโต สนฺตุสฺสมาโนฯ อิตรีตเรนาติ อุจฺจาวเจน ปริสฺสยานํ พาหิรานํ สีหพฺยคฺฆาทีนํ, อพฺภนฺตรานญฺจ กามจฺฉนฺทาทีนํ กายจิตฺตูปทฺทวานํ อภิภวนโต ปริสฺสยานํ สหิตาฯ พนฺธนภาวกรภยาภาเวน อจฺฉมฺภิฯ เอโก อสหาโยฯ ตโต เอว ขคฺคมิคสิงฺคสทิสตาย ขคฺควิสาณกโปฺป จเรยฺยาติ อโตฺถฯ

    Catūsu disāsu sukhaṃ viharati, tato eva sukhavihāraṭṭhānabhūtā catasso disā assa santīti cātuddiso. Tattha cāyaṃ satte vā saṅkhāre vā bhayena nappaṭihaññatīti appaṭigho. Dvādasavidhassa santosassa vasena santussanato santussamāno. Itarītarenāti uccāvacena parissayānaṃ bāhirānaṃ sīhabyagghādīnaṃ, abbhantarānañca kāmacchandādīnaṃ kāyacittūpaddavānaṃ abhibhavanato parissayānaṃ sahitā. Bandhanabhāvakarabhayābhāvena acchambhi. Eko asahāyo. Tato eva khaggamigasiṅgasadisatāya khaggavisāṇakappo careyyāti attho.

    ฉินฺนปโกฺข, อสญฺชาตปโกฺข วา สกุโณ คนฺตุํ น สโกฺกตีติ ปกฺขิ-สเทฺทน วิเสเสตฺวา สกุโณ ปาฬิยํ วุโตฺตติ อาห ‘‘ปกฺขยุโตฺต สกุโณ’’ติฯ ยสฺส สนฺนิธิการปริโภโค กิญฺจิ ฐเปตพฺพํ สาเปกฺขาฐปนญฺจ นตฺถิ, ตาทิโส อยํ ภิกฺขูติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อยเมตฺถ สเงฺขปโตฺถ’’ติอาทิมาหฯ อริยนฺติ อเปนฺติ ตโต โทสา, เตหิ วา อารกาติ อริโยติ อาห ‘‘อริเยนาติ นิโทฺทเสนา’’ติฯ อชฺฌตฺตนฺติ อตฺตนิฯ นิโทฺทสสุขนฺติ นิรามิสสุขํ กิเลสวชฺชรหิตตฺตาฯ

    Chinnapakkho, asañjātapakkho vā sakuṇo gantuṃ na sakkotīti pakkhi-saddena visesetvā sakuṇo pāḷiyaṃ vuttoti āha ‘‘pakkhayutto sakuṇo’’ti. Yassa sannidhikāraparibhogo kiñci ṭhapetabbaṃ sāpekkhāṭhapanañca natthi, tādiso ayaṃ bhikkhūti dassento ‘‘ayametthasaṅkhepattho’’tiādimāha. Ariyanti apenti tato dosā, tehi vā ārakāti ariyoti āha ‘‘ariyenāti niddosenā’’ti. Ajjhattanti attani. Niddosasukhanti nirāmisasukhaṃ kilesavajjarahitattā.

    ยถาวุเตฺต สีลสํวเร ปติฎฺฐิตเสฺสว อินฺทฺริยสํวโร อิจฺฉิตโพฺพ ตทธิฎฺฐานโต ตสฺส จ ปริปาลกภาวโตติ วุตฺตํ ‘‘โส อิมินา อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต ภิกฺขู’’ติฯ เสสปเทสูติ ‘‘น นิมิตฺตคฺคาหี โหตี’’ติอาทิปเทสุฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – น นิมิตฺตคฺคาหีติ อิตฺถิปุริสนิมิตฺตํ วา สุภนิมิตฺตาทิกํ วา กิเลสวตฺถุภูตํ นิมิตฺตํ น คณฺหาติ, ทิฎฺฐมเตฺตเยว สณฺฐาติฯ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีติ กิเลสานํ อนุ อนุ พฺยญฺชนโต ปากฎภาวกรณโต อนุพฺยญฺชนนฺติลทฺธโวหารํ หตฺถปาทสิตหสิตกถิตวิโลกิตาทิเภทํ อาการํ น คณฺหาติฯ ยํ ตตฺถ ภูตํ, ตเทว คณฺหาติฯ ยตฺวาธิกรณเมนนฺติอาทิมฺหิ ยํการณา ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยาสํวรสฺส เหตุ เอตํ ปุคฺคลํ สติกวาเฎน จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ อปิหิตจกฺขุทฺวารํ หุตฺวา วิหรนฺตํ เอเต อภิชฺฌาทโย ธมฺมา อนฺวสฺสเวยฺยุํ อนุปฺปพเนฺธยฺยุํฯ ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชตีติ ตสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส สติกวาเฎน ปิทหนตฺถาย ปฎิปชฺชติฯ เอวํ ปฎิปชฺชโนฺตเยว จ ‘‘รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ วุจฺจติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอวมิทํ สเงฺขปโต รูปาทีสุ กิเลสานุพนฺธนิมิตฺตาทิคฺคาหปริวชฺชนลกฺขณํ อินฺทฺริยสํวรํ สีลํ เวทิตพฺพํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนาสุ (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๑.๑๓) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ กิเลเสหิ อนวสิตฺตสุขนฺติอาทีสุ รูปาทีสุ นิมิตฺตาทิคฺคาหปริวชฺชนลกฺขณตฺตา อินฺทฺริยสํวรสฺส กิเลเสหิ อนวสิตฺตสุขตา อวิกิณฺณสุขตา จสฺส วุตฺตาฯ

    Yathāvutte sīlasaṃvare patiṭṭhitasseva indriyasaṃvaro icchitabbo tadadhiṭṭhānato tassa ca paripālakabhāvatoti vuttaṃ ‘‘so iminā ariyena sīlakkhandhena samannāgato bhikkhū’’ti. Sesapadesūti ‘‘na nimittaggāhī hotī’’tiādipadesu. Ayaṃ panettha saṅkhepattho – na nimittaggāhīti itthipurisanimittaṃ vā subhanimittādikaṃ vā kilesavatthubhūtaṃ nimittaṃ na gaṇhāti, diṭṭhamatteyeva saṇṭhāti. Nānubyañjanaggāhīti kilesānaṃ anu anu byañjanato pākaṭabhāvakaraṇato anubyañjanantiladdhavohāraṃ hatthapādasitahasitakathitavilokitādibhedaṃ ākāraṃ na gaṇhāti. Yaṃ tattha bhūtaṃ, tadeva gaṇhāti. Yatvādhikaraṇamenantiādimhi yaṃkāraṇā yassa cakkhundriyāsaṃvarassa hetu etaṃ puggalaṃ satikavāṭena cakkhundriyaṃ asaṃvutaṃ apihitacakkhudvāraṃ hutvā viharantaṃ ete abhijjhādayo dhammā anvassaveyyuṃ anuppabandheyyuṃ. Tassa saṃvarāya paṭipajjatīti tassa cakkhundriyassa satikavāṭena pidahanatthāya paṭipajjati. Evaṃ paṭipajjantoyeva ca ‘‘rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjatī’’ti vuccati. Sotena saddaṃ sutvātiādīsupi eseva nayo. Evamidaṃ saṅkhepato rūpādīsu kilesānubandhanimittādiggāhaparivajjanalakkhaṇaṃ indriyasaṃvaraṃ sīlaṃ veditabbaṃ. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimaggasaṃvaṇṇanāsu (visuddhi. mahāṭī. 1.13) vuttanayeneva veditabbo. Kilesehi anavasittasukhantiādīsu rūpādīsu nimittādiggāhaparivajjanalakkhaṇattā indriyasaṃvarassa kilesehi anavasittasukhatā avikiṇṇasukhatā cassa vuttā.

    อภิกฺกมนํ อภิกฺกโนฺต, ปุรโต คมนํฯ ปฎิกฺกมนํ ปฎิกฺกโนฺต, ปจฺจาคมนํฯ ตทุภยมฺปิ จตูสุ อิริยาปเถสุ ลพฺภติฯ คมเน ตาว ปุรโต กายํ อภิหรโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปฎินิวเตฺตโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ ฐาเนปิ ฐิตโกว กายํ ปุรโต โอณมโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปจฺฉโต อปนาเมโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิสชฺชายปิ นิสินฺนโกว อาสนสฺส ปุริมองฺคาภิมุโข สํสรโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปจฺฉิมํ องฺคปฺปเทสํ ปจฺจาสํสรโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิปชฺชายปิ เอเสว นโยฯ

    Abhikkamanaṃ abhikkanto, purato gamanaṃ. Paṭikkamanaṃ paṭikkanto, paccāgamanaṃ. Tadubhayampi catūsu iriyāpathesu labbhati. Gamane tāva purato kāyaṃ abhiharanto abhikkamati nāma, paṭinivattento paṭikkamati nāma. Ṭhānepi ṭhitakova kāyaṃ purato oṇamanto abhikkamati nāma, pacchato apanāmento paṭikkamati nāma. Nisajjāyapi nisinnakova āsanassa purimaaṅgābhimukho saṃsaranto abhikkamati nāma, pacchimaṃ aṅgappadesaṃ paccāsaṃsaranto paṭikkamati nāma. Nipajjāyapi eseva nayo.

    สาตฺถกสมฺปชญฺญนฺติอาทีสุ สมนฺตโต ปกาเรหิ, ปกฎฺฐํ วา สวิเสสํ ชานาตีติ สมฺปชาโน, สมฺปชานสฺส ภาโว สมฺปชญฺญํ, ตถาปวตฺตํ ญาณํฯ ธมฺมโต วฑฺฒิสงฺขาเตน สห อเตฺถน วตฺตตีติ สาตฺถกํ, อภิกฺกนฺตาทิสาตฺถกสฺส สมฺปชญฺญํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ สปฺปายสฺส อตฺตโน อุปการาวหสฺส สมฺปชญฺญํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ อภิกฺกมาทีสุ ภิกฺขาจารโคจเร, อญฺญตฺถาปิ ปวเตฺตสุ อวิชหิตกมฺมฎฺฐานสงฺขาเต โคจเร สมฺปชญฺญํ โคจรสมฺปชญฺญํฯ อภิกฺกมาทีสุ อสมฺมุยฺหนเมว สมฺปชญฺญํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๑๔; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๐๙) อภิกฺกมนจิเตฺต อุปฺปเนฺน จิตฺตวเสเนว อคนฺตฺวา ‘‘กินฺนุ เม เอตฺถ คเตน อโตฺถ อตฺถิ นตฺถี’’ติ อตฺถานตฺถํ ปริคฺคเหตฺวา อตฺถปริคฺคหณํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ จ อโตฺถติ เจติยทสฺสนโพธิทสฺสนสงฺฆทสฺสนเถรทสฺสนอสุภทสฺสนาทิวเสน ธมฺมโต วฑฺฒิฯ เจติยํ วา โพธิํ วา ทิสฺวาปิ หิ พุทฺธารมฺมณํ, สงฺฆทสฺสเนน สงฺฆารมฺมณํ ปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยวยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ เถเร ทิสฺวา เตสํ โอวาเท ปติฎฺฐาย อสุภํ ทิสฺวา ตตฺถ ปฐมชฺฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยวยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติ, ตสฺมา เอเตสํ ทสฺสนํ ‘‘สาตฺถก’’นฺติ วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘อามิสโตปิ วฑฺฒิ อโตฺถเยว ตํ นิสฺสาย พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย ปฎิปนฺนตฺตา’’ติ วทนฺติฯ

    Sātthakasampajaññantiādīsu samantato pakārehi, pakaṭṭhaṃ vā savisesaṃ jānātīti sampajāno, sampajānassa bhāvo sampajaññaṃ, tathāpavattaṃ ñāṇaṃ. Dhammato vaḍḍhisaṅkhātena saha atthena vattatīti sātthakaṃ, abhikkantādisātthakassa sampajaññaṃ sātthakasampajaññaṃ. Sappāyassa attano upakārāvahassa sampajaññaṃ sappāyasampajaññaṃ. Abhikkamādīsu bhikkhācāragocare, aññatthāpi pavattesu avijahitakammaṭṭhānasaṅkhāte gocare sampajaññaṃ gocarasampajaññaṃ. Abhikkamādīsu asammuyhanameva sampajaññaṃ asammohasampajaññaṃ. Tattha (dī. ni. aṭṭha. 1.214; ma. ni. aṭṭha. 1.109) abhikkamanacitte uppanne cittavaseneva agantvā ‘‘kinnu me ettha gatena attho atthi natthī’’ti atthānatthaṃ pariggahetvā atthapariggahaṇaṃ sātthakasampajaññaṃ. Tattha ca atthoti cetiyadassanabodhidassanasaṅghadassanatheradassanaasubhadassanādivasena dhammato vaḍḍhi. Cetiyaṃ vā bodhiṃ vā disvāpi hi buddhārammaṇaṃ, saṅghadassanena saṅghārammaṇaṃ pītiṃ uppādetvā tadeva khayavayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti. There disvā tesaṃ ovāde patiṭṭhāya asubhaṃ disvā tattha paṭhamajjhānaṃ uppādetvā tadeva khayavayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti, tasmā etesaṃ dassanaṃ ‘‘sātthaka’’nti vuttaṃ. Keci pana ‘‘āmisatopi vaḍḍhi atthoyeva taṃ nissāya brahmacariyānuggahāya paṭipannattā’’ti vadanti.

    ตสฺมิํ ปน คมเน สปฺปายาสปฺปายํ ปริคฺคเหตฺวา สปฺปายปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ เสยฺยถิทํ – เจติยทสฺสนํ ตาว สาตฺถํฯ สเจ ปน เจติยสฺส มหาปูชาย ทสทฺวาทสโยชนนฺตเร ปริสา สนฺนิปตนฺติ, อตฺตโน วิภวานุรูปํ อิตฺถิโยปิ ปุริสาปิ อลงฺกตปฎิยตฺตา จิตฺตกมฺมรูปกานิ วิย สญฺจรนฺติฯ ตตฺร จสฺส อิเฎฺฐ อารมฺมเณ โลโภ, อนิเฎฺฐ ปฎิโฆ, อสมเปกฺขเน โมโห อุปฺปชฺชติ, กายสํสคฺคาปตฺติํ วา อาปชฺชติ, ชีวิตพฺรหฺมจริยานํ วา อนฺตราโย โหติฯ เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํ โหติ, วุตฺตปฺปการอนฺตรายาภาเว สปฺปายํฯ โพธิทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ สงฺฆทสฺสนมฺปิ สาตฺถํฯ สเจ ปน อโนฺตคาเม มหามณฺฑปํ กาเรตฺวา สพฺพรตฺติํ ธมฺมสฺสวนํ กโรเนฺตสุ มนุเสฺสสุ วุตฺตปฺปกาเรเนว ชนสนฺนิปาโต เจว อนฺตราโย จ โหติฯ เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํ, อนฺตรายาภาเว สปฺปายํฯ มหาปริสาปริวารานํ เถรานํ ทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ อสุภทสฺสนมฺปิ สาตฺถํ มคฺคผลาธิคมเหตุภาวโตฯ ทนฺตกฎฺฐตฺถาย สามเณรํ คเหตฺวา คตทหรภิกฺขุโน วตฺถุเปตฺถ กเถตพฺพํฯ เอวํ สาตฺถมฺปิ ปเนตํ ปุริสสฺส มาตุคามาสุภํ อสปฺปายํ, มาตุคามสฺส จ ปุริสาสุภํฯ สภาคเมว สปฺปายนฺติ เอวํ สปฺปายปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํ นามฯ

    Tasmiṃ pana gamane sappāyāsappāyaṃ pariggahetvā sappāyapariggaṇhanaṃ sappāyasampajaññaṃ. Seyyathidaṃ – cetiyadassanaṃ tāva sātthaṃ. Sace pana cetiyassa mahāpūjāya dasadvādasayojanantare parisā sannipatanti, attano vibhavānurūpaṃ itthiyopi purisāpi alaṅkatapaṭiyattā cittakammarūpakāni viya sañcaranti. Tatra cassa iṭṭhe ārammaṇe lobho, aniṭṭhe paṭigho, asamapekkhane moho uppajjati, kāyasaṃsaggāpattiṃ vā āpajjati, jīvitabrahmacariyānaṃ vā antarāyo hoti. Evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ hoti, vuttappakāraantarāyābhāve sappāyaṃ. Bodhidassanepi eseva nayo. Saṅghadassanampi sātthaṃ. Sace pana antogāme mahāmaṇḍapaṃ kāretvā sabbarattiṃ dhammassavanaṃ karontesu manussesu vuttappakāreneva janasannipāto ceva antarāyo ca hoti. Evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ, antarāyābhāve sappāyaṃ. Mahāparisāparivārānaṃ therānaṃ dassanepi eseva nayo. Asubhadassanampi sātthaṃ maggaphalādhigamahetubhāvato. Dantakaṭṭhatthāya sāmaṇeraṃ gahetvā gatadaharabhikkhuno vatthupettha kathetabbaṃ. Evaṃ sātthampi panetaṃ purisassa mātugāmāsubhaṃ asappāyaṃ, mātugāmassa ca purisāsubhaṃ. Sabhāgameva sappāyanti evaṃ sappāyapariggaṇhanaṃ sappāyasampajaññaṃ nāma.

    เอวํ ปริคฺคหิตสาตฺถกสปฺปายสฺส ปน อฎฺฐติํสาย กมฺมฎฺฐาเนสุ อตฺตโน จิตฺตรุจิยํ กมฺมฎฺฐานสงฺขาตํ โคจรํ อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขาจารโคจเร ตํ คเหตฺวาว คมนํ โคจรสมฺปชญฺญํ นามฯ

    Evaṃ pariggahitasātthakasappāyassa pana aṭṭhatiṃsāya kammaṭṭhānesu attano cittaruciyaṃ kammaṭṭhānasaṅkhātaṃ gocaraṃ uggahetvā bhikkhācāragocare taṃ gahetvāva gamanaṃ gocarasampajaññaṃ nāma.

    อภิกฺกมาทีสุ ปน อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํฯ ตํ เอวํ เวทิตพฺพํ – อิธ ภิกฺขุ อภิกฺกมโนฺต วา ปฎิกฺกมโนฺต วา ยถา อนฺธปุถุชฺชนา อภิกฺกมาทีสุ ‘‘อตฺตา อภิกฺกมติ, อตฺตนา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา, ‘‘อหํ อภิกฺกมามิ, มยา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา สมฺมุยฺหนฺติ, ตถา อสมฺมุยฺหโนฺต ‘‘อภิกฺกมามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติ, อิติ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสน อยํ กายสมฺมโต อฎฺฐิสงฺฆาโฎ อภิกฺกมติ, ตเสฺสวํ อภิกฺกมโต เอเกกปทุทฺธรเณ ปถวีธาตุ, อาโปธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา โหนฺติ พลวติโยฯ ตถา อติหรณวีติหรเณสุฯ โวสฺสชฺชเน เตโชธาตุ, วาโยธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา พลวติโยฯ ตถา สนฺนิเกฺขปนสนฺนิรุมฺภเนสุฯ ตตฺถ อุทฺธรเณ ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา อติหรณํ น ปาปุณนฺติ, ตถา อติหรเณ ปวตฺตา วีติหรณํ, วีติหรเณ ปวตฺตา โวสฺสชฺชนํ, โวสฺสชฺชเน ปวตฺตา สนฺนิเกฺขปนํ, สนฺนิเกฺขปเน ปวตฺตา สนฺนิรุมฺภนํ น ปาปุณนฺติฯ ตตฺถ ตเตฺถว ปพฺพปพฺพํ สนฺนิสนฺธิ โอธิโอธิ หุตฺวา ตตฺตกปาเล ปกฺขิตฺตติลํ วิย ปฎปฎายนฺตา ภิชฺชนฺติฯ ตตฺถ โก เอโก อภิกฺกมติ, กสฺส วา เอกสฺส อภิกฺกมนํ? ปรมตฺถโต หิ ธาตูนํเยว คมนํ, ธาตูนํ ฐานํ, ธาตูนํ นิสชฺชนํ, ธาตูนํ สยนํฯ ตสฺมิํ ตสฺมิญฺหิ โกฎฺฐาเส สทฺธิํ รูเปน –

    Abhikkamādīsu pana asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ. Taṃ evaṃ veditabbaṃ – idha bhikkhu abhikkamanto vā paṭikkamanto vā yathā andhaputhujjanā abhikkamādīsu ‘‘attā abhikkamati, attanā abhikkamo nibbattito’’ti vā, ‘‘ahaṃ abhikkamāmi, mayā abhikkamo nibbattito’’ti vā sammuyhanti, tathā asammuyhanto ‘‘abhikkamāmī’’ti citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānā vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati, iti cittakiriyavāyodhātuvipphāravasena ayaṃ kāyasammato aṭṭhisaṅghāṭo abhikkamati, tassevaṃ abhikkamato ekekapaduddharaṇe pathavīdhātu, āpodhātūti dve dhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā honti balavatiyo. Tathā atiharaṇavītiharaṇesu. Vossajjane tejodhātu, vāyodhātūti dve dhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā balavatiyo. Tathā sannikkhepanasannirumbhanesu. Tattha uddharaṇe pavattā rūpārūpadhammā atiharaṇaṃ na pāpuṇanti, tathā atiharaṇe pavattā vītiharaṇaṃ, vītiharaṇe pavattā vossajjanaṃ, vossajjane pavattā sannikkhepanaṃ, sannikkhepane pavattā sannirumbhanaṃ na pāpuṇanti. Tattha tattheva pabbapabbaṃ sannisandhi odhiodhi hutvā tattakapāle pakkhittatilaṃ viya paṭapaṭāyantā bhijjanti. Tattha ko eko abhikkamati, kassa vā ekassa abhikkamanaṃ? Paramatthato hi dhātūnaṃyeva gamanaṃ, dhātūnaṃ ṭhānaṃ, dhātūnaṃ nisajjanaṃ, dhātūnaṃ sayanaṃ. Tasmiṃ tasmiñhi koṭṭhāse saddhiṃ rūpena –

    ‘‘อญฺญํ อุปฺปชฺชเต จิตฺตํ, อญฺญํ จิตฺตํ นิรุชฺฌติ;

    ‘‘Aññaṃ uppajjate cittaṃ, aññaṃ cittaṃ nirujjhati;

    อวีจิมนุสมฺพโนฺธ, นทีโสโตว วตฺตตี’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๑๔; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๐๙; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๕.๓๖๘);

    Avīcimanusambandho, nadīsotova vattatī’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.214; ma. ni. aṭṭha. 1.109; saṃ. ni. aṭṭha. 3.5.368);

    เอวํ อภิกฺกมาทีสุ อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ นามาติฯ ปจฺจยสมฺปตฺตินฺติ ปจฺจยปาริปูริํฯ อิเม จตฺตาโรติ สีลสํวโร, สโนฺตโส, อินฺทฺริยสํวโร, สติสมฺปชญฺญนฺติ อิเม จตฺตาโร อรญฺญวาสสฺส สมฺภารา ฯ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชตีติ ‘‘อสุกสฺส ภิกฺขุโน อรเญฺญ ติรจฺฉานคตานํ วิย วนจรกานํ วิย จ นิวาสมตฺตเมว, น อรญฺญวาสานุจฺฉวิกา กาจิ สมฺมาปฎิปตฺตี’’ติ อปวาทวเสน วตฺตพฺพตํ, อารญฺญเกหิ วา ติรจฺฉานคเตหิ วนจรกวิสภาคชเนหิ วิปฺปฎิปตฺติวเสน วตฺถพฺพตํ อาปชฺชติฯ เภรวสทฺทํ สาเวนฺติ, ตาวตา อปลายนฺตานํ หเตฺถหิ สีสํ…เป.… กโรนฺติฯ กาฬกสทิสตฺตา กาฬกํ, วีติกฺกมสงฺขาตํ ถุลฺลวชฺชํฯ ติลกสทิสตฺตา ติลกํ, มิจฺฉาวิตกฺกสงฺขาตํ อณุมตฺตวชฺชํฯ นฺติ ปีติํฯ วิภูตภาเวน อุปฎฺฐานโต ขยโต สมฺมสโนฺต

    Evaṃ abhikkamādīsu asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ nāmāti. Paccayasampattinti paccayapāripūriṃ. Ime cattāroti sīlasaṃvaro, santoso, indriyasaṃvaro, satisampajaññanti ime cattāro araññavāsassa sambhārā . Vattabbataṃ āpajjatīti ‘‘asukassa bhikkhuno araññe tiracchānagatānaṃ viya vanacarakānaṃ viya ca nivāsamattameva, na araññavāsānucchavikā kāci sammāpaṭipattī’’ti apavādavasena vattabbataṃ, āraññakehi vā tiracchānagatehi vanacarakavisabhāgajanehi vippaṭipattivasena vatthabbataṃ āpajjati. Bheravasaddaṃ sāventi, tāvatā apalāyantānaṃ hatthehi sīsaṃ…pe… karonti. Kāḷakasadisattā kāḷakaṃ, vītikkamasaṅkhātaṃ thullavajjaṃ. Tilakasadisattā tilakaṃ, micchāvitakkasaṅkhātaṃ aṇumattavajjaṃ. Tanti pītiṃ. Vibhūtabhāvena upaṭṭhānato khayato sammasanto.

    วิวิตฺตนฺติ ชนวิวิตฺตํฯ เตนาห ‘‘สุญฺญ’’นฺติฯ ตํ ปน ชนสทฺทนิโคฺฆสาภาเวน เวทิตพฺพํ สทฺทกณฺฎกตฺตา ฌานสฺสาติ อาห ‘‘อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆสนฺติ อโตฺถ’’ติฯ เอตเทวาติ นิสฺสทฺทตํเยวฯ วิหาโร ปาการปริจฺฉิโนฺน สกโล อาวาโสฯ อฑฺฒโยโค ทีฆปาสาโท, ‘‘ครุฬสณฺฐานปาสาโท’’ติปิ วทนฺติฯ ปาสาโท จตุรสฺสปาสาโทฯ หมฺมิยํ มุณฺฑจฺฉทนปาสาโทฯ อโฎฺฎ ปฎิราชูนํ ปฎิพาหนโยโคฺค จตุปฺปญฺจภูมโก ปติสฺสยวิเสโสฯ มาโฬ เอกกูฎสงฺคหิโต อเนกโกณวโนฺต ปติสฺสยวิเสโสฯ อปโร นโย – วิหาโร นาม ทีฆมุขปาสาโทฯ อฑฺฒโยโค เอกปสฺสจฺฉทนกเสนาสนํฯ ตสฺส กิร เอกปเสฺส ภิตฺติ อุจฺจตรา โหติ, อิตรปเสฺส นีจาฯ เอเตน ตํ เอกปสฺสจฺฉทนกํ โหติฯ ปาสาโท นาม อายตจตุรสฺสปาสาโทฯ หมฺมิยํ มุณฺฑจฺฉทนํ จนฺทิกงฺคณยุตฺตํฯ คุหา นาม เกวลา ปพฺพตคุหาฯ เลณํ ทฺวารพทฺธํ ปพฺภารํฯ มณฺฑโปติ สาขามณฺฑโปฯ อาวสถภูตํ เสนาสนํ วิหริตพฺพเฎฺฐน วิหารเสนาสนํฯ มสารกาทิ มญฺจปีฐํ ตตฺถ อตฺถริตพฺพภิสิ อุปธานญฺจ มญฺจปีฐสมฺพนฺธโต มญฺจปีฐเสนาสนํฯ จิมิลิกาทิ ภูมิยํ สนฺถริตพฺพตาย สนฺถตเสนาสนํฯ อภิสงฺขตาภาวโต เกวลํ สยนสฺส นิสชฺชาย จ โอกาสภูตํ รุกฺขมูลาทิ ปฎิกฺกมิตพฺพฎฺฐานํ โอกาสเสนาสนํฯ เสนาสนคฺคหเณน คหิตเมวาติ ‘‘วิวิตฺตํ เสนาสน’’นฺติ อิมินา เสนาสนคฺคหเณน คหิตเมว สามญฺญโชตนาภาวโตฯ

    Vivittanti janavivittaṃ. Tenāha ‘‘suñña’’nti. Taṃ pana janasaddanigghosābhāvena veditabbaṃ saddakaṇṭakattā jhānassāti āha ‘‘appasaddaṃ appanigghosanti attho’’ti. Etadevāti nissaddataṃyeva. Vihāro pākāraparicchinno sakalo āvāso. Aḍḍhayogo dīghapāsādo, ‘‘garuḷasaṇṭhānapāsādo’’tipi vadanti. Pāsādo caturassapāsādo. Hammiyaṃ muṇḍacchadanapāsādo. Aṭṭo paṭirājūnaṃ paṭibāhanayoggo catuppañcabhūmako patissayaviseso. Māḷo ekakūṭasaṅgahito anekakoṇavanto patissayaviseso. Aparo nayo – vihāro nāma dīghamukhapāsādo. Aḍḍhayogo ekapassacchadanakasenāsanaṃ. Tassa kira ekapasse bhitti uccatarā hoti, itarapasse nīcā. Etena taṃ ekapassacchadanakaṃ hoti. Pāsādo nāma āyatacaturassapāsādo. Hammiyaṃ muṇḍacchadanaṃ candikaṅgaṇayuttaṃ. Guhā nāma kevalā pabbataguhā. Leṇaṃ dvārabaddhaṃ pabbhāraṃ. Maṇḍapoti sākhāmaṇḍapo. Āvasathabhūtaṃ senāsanaṃ viharitabbaṭṭhena vihārasenāsanaṃ. Masārakādi mañcapīṭhaṃ tattha attharitabbabhisi upadhānañca mañcapīṭhasambandhato mañcapīṭhasenāsanaṃ. Cimilikādi bhūmiyaṃ santharitabbatāya santhatasenāsanaṃ. Abhisaṅkhatābhāvato kevalaṃ sayanassa nisajjāya ca okāsabhūtaṃ rukkhamūlādi paṭikkamitabbaṭṭhānaṃ okāsasenāsanaṃ. Senāsanaggahaṇena gahitamevāti ‘‘vivittaṃ senāsana’’nti iminā senāsanaggahaṇena gahitameva sāmaññajotanābhāvato.

    ยทิ เอวํ กสฺมา ‘‘อรญฺญ’’นฺติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อิมสฺส ปนา’’ติอาทิฯ ภิกฺขุนีนํ วเสน อาคตนฺติ อิทํ วินเย ตถา อาคตํ สนฺธาย วุตฺตํ , อภิธเมฺมปิ (วิภ. ๕๒๙) ปน ‘‘อรญฺญนฺติ นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขิลา สพฺพเมตํ อรญฺญ’’นฺติ อาคตเมวฯ ตตฺถ หิ ยํ น คามปฺปเทสโนฺตคธํ, ตํ อรญฺญนฺติ นิปฺปริยายวเสน ตถา วุตฺตํฯ ธุตงฺคนิเทฺทเส (วิสุทฺธิ. ๑.๓๑) ยํ วุตฺตํ, ตํ ยุตฺตํ, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยน คเหตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ รุกฺขมูลนฺติ รุกฺขสมีปํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยาวตา มชฺฌนฺหิเก กาเล สมนฺตา ฉายา ผรติ, นิวาเต ปณฺณานิ ปตนฺติ, เอตฺตาวตา รุกฺขมูล’’นฺติฯ เสล-สโทฺท อวิเสสโต ปพฺพตปริยาโยติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ปพฺพตนฺติ เสล’’นฺติ, น สิลามยเมวฯ ปํสุมยาทิโก หิ ติวิโธปิ ปพฺพโต เอวาติฯ วิวรนฺติ ทฺวินฺนํ ปพฺพตานํ มิโถ อาสนฺนตเร ฐิตานํ โอวรกาทิสทิสํ วิวรํฯ เอกสฺมิํเยว วา ปพฺพเตฯ อุมงฺคสทิสนฺติ สุทุงฺคาสทิสํฯ มนุสฺสานํ อนุปจารฎฺฐานนฺติ ปกติสญฺจารวเสน มนุเสฺสหิ น สญฺจริตพฺพฎฺฐานํฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘วนปตฺถนฺติ วนสณฺฑานเมตํ เสนาสนานํ อธิวจนํฯ วนปตฺถนฺติ ภิํสนกานเมตํฯ วนปตฺถนฺติ สโลมหํสานเมตํฯ วนปตฺถนฺติ ปริยนฺตานเมตํฯ วนปตฺถนฺติ น มนุสฺสูปจารานเมตํ เสนาสนานํ อธิวจน’’นฺติ (วิภ. ๕๓๑) อิมํ ปาฬิปฺปเทสํ สงฺคณฺหาติฯ อจฺฉนฺนนฺติ เกนจิ ฉทเนน อนฺตมโส รุกฺขสาขายปิ น ฉาทิตํฯ นิกฺกฑฺฒิตฺวาติ นีหริตฺวาฯ ปพฺภารเลณสทิเสติ ปพฺภารสทิเส, เลณสทิเส วาฯ

    Yadi evaṃ kasmā ‘‘arañña’’nti vuttanti āha ‘‘imassa panā’’tiādi. Bhikkhunīnaṃ vasena āgatanti idaṃ vinaye tathā āgataṃ sandhāya vuttaṃ , abhidhammepi (vibha. 529) pana ‘‘araññanti nikkhamitvā bahi indakhilā sabbametaṃ arañña’’nti āgatameva. Tattha hi yaṃ na gāmappadesantogadhaṃ, taṃ araññanti nippariyāyavasena tathā vuttaṃ. Dhutaṅganiddese (visuddhi. 1.31) yaṃ vuttaṃ, taṃ yuttaṃ, tasmā tattha vuttanayena gahetabbanti adhippāyo. Rukkhamūlanti rukkhasamīpaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘yāvatā majjhanhike kāle samantā chāyā pharati, nivāte paṇṇāni patanti, ettāvatā rukkhamūla’’nti. Sela-saddo avisesato pabbatapariyāyoti katvā vuttaṃ ‘‘pabbatanti sela’’nti, na silāmayameva. Paṃsumayādiko hi tividhopi pabbato evāti. Vivaranti dvinnaṃ pabbatānaṃ mitho āsannatare ṭhitānaṃ ovarakādisadisaṃ vivaraṃ. Ekasmiṃyeva vā pabbate. Umaṅgasadisanti suduṅgāsadisaṃ. Manussānaṃ anupacāraṭṭhānanti pakatisañcāravasena manussehi na sañcaritabbaṭṭhānaṃ. Ādi-saddena ‘‘vanapatthanti vanasaṇḍānametaṃ senāsanānaṃ adhivacanaṃ. Vanapatthanti bhiṃsanakānametaṃ. Vanapatthanti salomahaṃsānametaṃ. Vanapatthanti pariyantānametaṃ. Vanapatthanti na manussūpacārānametaṃ senāsanānaṃ adhivacana’’nti (vibha. 531) imaṃ pāḷippadesaṃ saṅgaṇhāti. Acchannanti kenaci chadanena antamaso rukkhasākhāyapi na chāditaṃ. Nikkaḍḍhitvāti nīharitvā. Pabbhāraleṇasadiseti pabbhārasadise, leṇasadise vā.

    ปิณฺฑปาตปริเยสนํ ปิณฺฑปาโต อุตฺตรปทโลเปนาติ อาห ‘‘ปิณฺฑปาตปริเยสนโต ปฎิกฺกโนฺต’’ติฯ ปลฺลงฺกนฺติ เอตฺถ ปริ-สโทฺท สมนฺตโตติ เอตสฺมิํ อเตฺถ, ตสฺมา วาโมรุํ ทกฺขิโณรุญฺจ สมํ ฐเปตฺวา อุโภ ปาเท อญฺญมญฺญํ สมฺพเนฺธ กตฺวา นิสชฺชา ปลฺลงฺกนฺติ อาห ‘‘สมนฺตโต อูรุพทฺธาสน’’นฺติฯ อูรูนํ พนฺธนวเสน นิสชฺชา ปลฺลงฺกํฯ อาภุชิตฺวาติ จ ยถา ปลฺลงฺกวเสน นิสชฺชา โหติ, เอวํ อุโภ ปาเท อาภุชิเต สมิญฺชิเต กตฺวาฯ ตํ ปน อุภินฺนํ ปาทานํ ตถาสมฺพนฺธตากรณนฺติ อาห ‘‘พนฺธิตฺวา’’ติฯ เหฎฺฐิมกายสฺส อนุชุกํ ฐปนํ นิสชฺชาวจเนเนว โพธิตนฺติ อุชุํ กายนฺติ เอตฺถ กาย-สโทฺท อุปริมกายวิสโยติ อาห ‘‘อุปริมสรีรํ อุชุกํ ฐเปตฺวา’’ติฯ ตํ ปน อุชุกํ ฐปนํ สรูปโต ปโยชนโต จ ทเสฺสตุํ ‘‘อฎฺฐารสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ น ปณมนฺตีติ น โอณมนฺติฯ น ปริปตตีติ น วิคจฺฉติ วีถิํ น ลเงฺฆติ, ตโต เอว ปุเพฺพนาปรํ วิเสสสมฺปตฺติยา กมฺมฎฺฐานํ วุทฺธิํ ผาติํ คจฺฉติฯ ปริมุขนฺติ เอตฺถ ปริ-สโทฺท อภิ-สเทฺทน สมานโตฺถติ อาห ‘‘กมฺมฎฺฐานาภิมุข’’นฺติ, พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมณโต นิวาเรตฺวา กมฺมฎฺฐานํเยว ปุรกฺขตฺวาติ อโตฺถฯ สมีปโตฺถ วา ปริ-สโทฺทติ ทเสฺสโนฺต ‘‘มุขสมีเป วา กตฺวา’’ติ อาหฯ เอตฺถ จ ยถา ‘‘วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชตี’’ติอาทินา ภาวนานุรูปํ เสนาสนํ ทสฺสิตํ, เอวํ นิสีทตีติ อิมินา อลีนานุทฺธจฺจปกฺขิโย สโนฺต อิริยาปโถ ทสฺสิโตฯ ‘‘ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา’’ติ อิมินา นิสชฺชาย ทฬฺหภาโวฯ ‘‘ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา’’ติ อิมินา อารมฺมณปริคฺคหูปาโยฯ

    Piṇḍapātapariyesanaṃ piṇḍapāto uttarapadalopenāti āha ‘‘piṇḍapātapariyesanato paṭikkanto’’ti. Pallaṅkanti ettha pari-saddo samantatoti etasmiṃ atthe, tasmā vāmoruṃ dakkhiṇoruñca samaṃ ṭhapetvā ubho pāde aññamaññaṃ sambandhe katvā nisajjā pallaṅkanti āha ‘‘samantato ūrubaddhāsana’’nti. Ūrūnaṃ bandhanavasena nisajjā pallaṅkaṃ. Ābhujitvāti ca yathā pallaṅkavasena nisajjā hoti, evaṃ ubho pāde ābhujite samiñjite katvā. Taṃ pana ubhinnaṃ pādānaṃ tathāsambandhatākaraṇanti āha ‘‘bandhitvā’’ti. Heṭṭhimakāyassa anujukaṃ ṭhapanaṃ nisajjāvacaneneva bodhitanti ujuṃ kāyanti ettha kāya-saddo uparimakāyavisayoti āha ‘‘uparimasarīraṃ ujukaṃ ṭhapetvā’’ti. Taṃ pana ujukaṃ ṭhapanaṃ sarūpato payojanato ca dassetuṃ ‘‘aṭṭhārasā’’tiādi vuttaṃ. Na paṇamantīti na oṇamanti. Na paripatatīti na vigacchati vīthiṃ na laṅgheti, tato eva pubbenāparaṃ visesasampattiyā kammaṭṭhānaṃ vuddhiṃ phātiṃ gacchati. Parimukhanti ettha pari-saddo abhi-saddena samānatthoti āha ‘‘kammaṭṭhānābhimukha’’nti, bahiddhā puthuttārammaṇato nivāretvā kammaṭṭhānaṃyeva purakkhatvāti attho. Samīpattho vā pari-saddoti dassento ‘‘mukhasamīpe vā katvā’’ti āha. Ettha ca yathā ‘‘vivittaṃ senāsanaṃ bhajatī’’tiādinā bhāvanānurūpaṃ senāsanaṃ dassitaṃ, evaṃ nisīdatīti iminā alīnānuddhaccapakkhiyo santo iriyāpatho dassito. ‘‘Pallaṅkaṃ ābhujitvā’’ti iminā nisajjāya daḷhabhāvo. ‘‘Parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā’’ti iminā ārammaṇapariggahūpāyo.

    ปรีติ ปริคฺคหโฎฺฐ ‘‘ปริณายิกา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๖, ๒๐) วิยฯ มุขนฺติ นิยฺยานโฎฺฐ ‘‘สุญฺญตวิโมกฺขมุข’’นฺติอาทีสุ วิยฯ ปฎิปกฺขโต นิคฺคมนโฎฺฐ หิ นิยฺยานโฎฺฐ, ตสฺมา ปริคฺคหิตนิยฺยานํ สตินฺติ สพฺพถา คหิตาสโมฺมสํ ปริจฺจตฺตสโมฺมสํ สติํ กตฺวา, ปรมสติเนปกฺกํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ อโตฺถฯ

    Parīti pariggahaṭṭho ‘‘pariṇāyikā’’tiādīsu (dha. sa. 16, 20) viya. Mukhanti niyyānaṭṭho ‘‘suññatavimokkhamukha’’ntiādīsu viya. Paṭipakkhato niggamanaṭṭho hi niyyānaṭṭho, tasmā pariggahitaniyyānaṃ satinti sabbathā gahitāsammosaṃ pariccattasammosaṃ satiṃ katvā, paramasatinepakkaṃ upaṭṭhapetvāti attho.

    อภิชฺฌายติ คิชฺฌติ อภิกงฺขติ เอตายาติ อภิชฺฌา, โลโภฯ ลุชฺชนเฎฺฐนาติ ภิชฺชนเฎฺฐน, ขเณ ขเณ ภิชฺชนเฎฺฐนาติ อโตฺถฯ วิกฺขมฺภนวเสนาติ เอตฺถ วิกฺขมฺภนํ อนุปฺปาทนํ อปฺปวตฺตนํ ปฎิปเกฺขน สุปฺปหีนตฺตาฯ ปหีนตฺตาติ จ ปหีนสทิสตํ สนฺธาย วุตฺตํ ฌานสฺส อนธิคตตฺตาฯ ตถาปิ นยิทํ จกฺขุวิญฺญาณํ วิย สภาวโต วิคตาภิชฺฌํ, อถ โข ภาวนาวเสนฯ เตนาห ‘‘น จกฺขุวิญฺญาณสทิเสนา’’ติฯ เอเสว นโยติ ยถา จกฺขุวิญฺญาณํ สภาเวน วิคตาภิชฺฌํ อพฺยาปนฺนญฺจ น ภาวนาย วิกฺขมฺภิตตฺตา, น เอวมิทํฯ อิทํ ปน จิตฺตํ ภาวนาย ปริโสธิตตฺตา อพฺยาปนฺนํ วิคตถินมิทฺธํ อนุทฺธตํ นิพฺพิจิกิจฺฉญฺจาติ อโตฺถฯ ปุริมปกตินฺติ ปริสุทฺธปณฺฑรสภาวํฯ ‘‘ยา ตสฺมิํ สมเย จิตฺตสฺส อกลฺยตา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๑๖๒; วิภ. ๕๔๖) ถินสฺส, ‘‘ยา ตสฺมิํ สมเย กายสฺส อกลฺยตา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๑๖๓; วิภ. ๕๔๖) จ มิทฺธสฺส อภิธเมฺม นิทฺทิฎฺฐตฺตา วุตฺตํ ‘‘ถินํ จิตฺตเคลญฺญํ, มิทฺธํ เจตสิกเคลญฺญ’’นฺติฯ สติปิ หิ อญฺญมญฺญํ อวิปฺปโยเค จิตฺตกายลหุตาทีนํ วิย จิตฺตเจตสิกานํ ยถากฺกมํ ตํตํวิเสสสฺส ยา เตสํ อกลฺยตาทีนํ วิเสสปจฺจยตา, อยเมเตสํ สภาโวติ ทฎฺฐพฺพํฯ อาโลกสญฺญีติ เอตฺถ อติสยตฺตวิสิฎฺฐอตฺถิอตฺถาวโพธโกยมีกาโรติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘รตฺติมฺปิ…เป.… สมนฺนาคโต’’ติฯ อิทํ อุภยนฺติ สติสมฺปชญฺญมาหฯ

    Abhijjhāyati gijjhati abhikaṅkhati etāyāti abhijjhā, lobho. Lujjanaṭṭhenāti bhijjanaṭṭhena, khaṇe khaṇe bhijjanaṭṭhenāti attho. Vikkhambhanavasenāti ettha vikkhambhanaṃ anuppādanaṃ appavattanaṃ paṭipakkhena suppahīnattā. Pahīnattāti ca pahīnasadisataṃ sandhāya vuttaṃ jhānassa anadhigatattā. Tathāpi nayidaṃ cakkhuviññāṇaṃ viya sabhāvato vigatābhijjhaṃ, atha kho bhāvanāvasena. Tenāha ‘‘na cakkhuviññāṇasadisenā’’ti. Eseva nayoti yathā cakkhuviññāṇaṃ sabhāvena vigatābhijjhaṃ abyāpannañca na bhāvanāya vikkhambhitattā, na evamidaṃ. Idaṃ pana cittaṃ bhāvanāya parisodhitattā abyāpannaṃ vigatathinamiddhaṃ anuddhataṃ nibbicikicchañcāti attho. Purimapakatinti parisuddhapaṇḍarasabhāvaṃ. ‘‘Yā tasmiṃ samaye cittassa akalyatā’’tiādinā (dha. sa. 1162; vibha. 546) thinassa, ‘‘yā tasmiṃ samaye kāyassa akalyatā’’tiādinā (dha. sa. 1163; vibha. 546) ca middhassa abhidhamme niddiṭṭhattā vuttaṃ ‘‘thinaṃ cittagelaññaṃ, middhaṃ cetasikagelañña’’nti. Satipi hi aññamaññaṃ avippayoge cittakāyalahutādīnaṃ viya cittacetasikānaṃ yathākkamaṃ taṃtaṃvisesassa yā tesaṃ akalyatādīnaṃ visesapaccayatā, ayametesaṃ sabhāvoti daṭṭhabbaṃ. Ālokasaññīti ettha atisayattavisiṭṭhaatthiatthāvabodhakoyamīkāroti dassento āha ‘‘rattimpi…pe… samannāgato’’ti. Idaṃ ubhayanti satisampajaññamāha.

    อติกฺกมิตฺวาติ วิกฺขมฺภนวเสน ปชหิตฺวาฯ กถมิทํ กถมิทนฺติ ปวตฺติยา กถํกถา, วิจิกิจฺฉา, สา เอตสฺส อตฺถีติ กถํกถี, น กถํกถีติ อกถํกถี, นิพฺพิจิกิโจฺฉฯ ลกฺขณาทิเภทโตติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ปจฺจยปริหานปฺปหายกาทีนมฺปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ เตปิ หิ ปเภทโต ทฎฺฐพฺพาติฯ อุจฺฉินฺทิตฺวา ปาเตนฺตีติ เอตฺถ อุจฺฉินฺทนํ ปาตนญฺจ ตาสํ ปญฺญานํ อนุปฺปนฺนานํ อุปฺปชฺชิตุํ อปฺปทานเมวฯ อิติ มหคฺคตานุตฺตรปญฺญานํ เอกจฺจาย จ ปริตฺตปญฺญาย อนุปฺปตฺติเหตุภูตา นีวรณธมฺมา อิตราย จ สมตฺถตํ วิหนนฺติเยวาติ ‘‘ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณา’’ติ วุตฺตาฯ อเปฺปโนฺตติ นิคเมโนฺตฯ

    Atikkamitvāti vikkhambhanavasena pajahitvā. Kathamidaṃ kathamidanti pavattiyā kathaṃkathā, vicikicchā, sā etassa atthīti kathaṃkathī, na kathaṃkathīti akathaṃkathī, nibbicikiccho. Lakkhaṇādibhedatoti ettha ādi-saddena paccayaparihānappahāyakādīnampi saṅgaho daṭṭhabbo. Tepi hi pabhedato daṭṭhabbāti. Ucchinditvā pātentīti ettha ucchindanaṃ pātanañca tāsaṃ paññānaṃ anuppannānaṃ uppajjituṃ appadānameva. Iti mahaggatānuttarapaññānaṃ ekaccāya ca parittapaññāya anuppattihetubhūtā nīvaraṇadhammā itarāya ca samatthataṃ vihanantiyevāti ‘‘paññāya dubbalīkaraṇā’’ti vuttā. Appentoti nigamento.

    อตฺตนฺตปสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Attantapasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๘. อตฺตนฺตปสุตฺตํ • 8. Attantapasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๘. อตฺตนฺตปสุตฺตวณฺณนา • 8. Attantapasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact