Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā |
๒. อตฺตานุทิฎฺฐินิเทฺทสวณฺณนา
2. Attānudiṭṭhiniddesavaṇṇanā
๑๓๐. อตฺตานุทิฎฺฐิยํ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโนติ อาคมาธิคมาภาวา เญโยฺย อสฺสุตวา อิติฯ ยสฺส หิ ขนฺธธาตุอายตนสจฺจปจฺจยาการสติปฎฺฐานาทีสุ อุคฺคหปริปุจฺฉาวินิจฺฉยวิรหิตตฺตา อตฺตานุทิฎฺฐิปฎิเสธกโร เนว อาคโม, ปฎิปตฺติยา อธิคนฺตพฺพสฺส อนธิคตตฺตา น จ อธิคโม อตฺถิ, โส อาคมาธิคมานํ อภาวา เญโยฺย อสฺสุตวา อิติฯ สุตนฺติ หิ พุทฺธวจนาคโม จ สุตผลตฺตา เหตุโวหารวเสน อธิคโม จ, ตํ สุตํ อสฺส อตฺถีติ สุตวา, น สุตวา อสฺสุตวาฯ สฺวายํ –
130. Attānudiṭṭhiyaṃ assutavā puthujjanoti āgamādhigamābhāvā ñeyyo assutavā iti. Yassa hi khandhadhātuāyatanasaccapaccayākārasatipaṭṭhānādīsu uggahaparipucchāvinicchayavirahitattā attānudiṭṭhipaṭisedhakaro neva āgamo, paṭipattiyā adhigantabbassa anadhigatattā na ca adhigamo atthi, so āgamādhigamānaṃ abhāvā ñeyyo assutavā iti. Sutanti hi buddhavacanāgamo ca sutaphalattā hetuvohāravasena adhigamo ca, taṃ sutaṃ assa atthīti sutavā, na sutavā assutavā. Svāyaṃ –
ปุถูนํ ชนนาทีหิ, การเณหิ ปุถุชฺชโน;
Puthūnaṃ jananādīhi, kāraṇehi puthujjano;
ปุถุชฺชนโนฺตคธตฺตา, ปุถุวายํ ชโน อิติฯ
Puthujjanantogadhattā, puthuvāyaṃ jano iti.
โส หิ ปุถูนํ นานปฺปการานํ กิเลสาทีนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโนฯ ยถาห – ‘‘ปุถุ กิเลเส ชเนนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ อวิหตสกฺกายทิฎฺฐิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สตฺถารานํ มุขุโลฺลกิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สพฺพคตีหิ อวุฎฺฐิตาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาภิสงฺขาเร อภิสงฺขโรนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาโอเฆหิ วุยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาสนฺตาเปหิ สนฺตเปฺปนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาปริฬาเหหิ ปริทยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รตฺตา คิทฺธา คธิตา มุจฺฉิตา อโชฺฌสนฺนา ลคฺคา ลคฺคิตา ปลิพุทฺธาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ ปญฺจหิ นีวรเณหิ อาวุตา นิวุตา โอวุตา ปิหิตา ปฎิจฺฉนฺนา ปฎิกุชฺชิตาติ ปุถุชฺชนา’’ติ (มหานิ. ๙๔)ฯ ปุถูนํ วา คณนปถมตีตานํ อริยธมฺมปรมฺมุขานํ นีจธมฺมสมุทาจารานํ ชนานํ อโนฺตคธตฺตาปิ ปุถุชฺชนา, ปุถุ วา อยํ, วิสุํเยว สงฺขํ คโต วิสํสโฎฺฐ สีลสุตาทิคุณยุเตฺตหิ อริเยหิ ชโนติปิ ปุถุชฺชโนฯ เอวเมเตหิ ‘‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน’’ติ ทฺวีหิ ปเทหิ เย เต –
So hi puthūnaṃ nānappakārānaṃ kilesādīnaṃ jananādīhi kāraṇehi puthujjano. Yathāha – ‘‘puthu kilese janentīti puthujjanā, puthu avihatasakkāyadiṭṭhikāti puthujjanā, puthu satthārānaṃ mukhullokikāti puthujjanā, puthu sabbagatīhi avuṭṭhitāti puthujjanā, puthu nānābhisaṅkhāre abhisaṅkharontīti puthujjanā, puthu nānāoghehi vuyhantīti puthujjanā, puthu nānāsantāpehi santappentīti puthujjanā, puthu nānāpariḷāhehi paridayhantīti puthujjanā, puthu pañcasu kāmaguṇesu rattā giddhā gadhitā mucchitā ajjhosannā laggā laggitā palibuddhāti puthujjanā, puthu pañcahi nīvaraṇehi āvutā nivutā ovutā pihitā paṭicchannā paṭikujjitāti puthujjanā’’ti (mahāni. 94). Puthūnaṃ vā gaṇanapathamatītānaṃ ariyadhammaparammukhānaṃ nīcadhammasamudācārānaṃ janānaṃ antogadhattāpi puthujjanā, puthu vā ayaṃ, visuṃyeva saṅkhaṃ gato visaṃsaṭṭho sīlasutādiguṇayuttehi ariyehi janotipi puthujjano. Evametehi ‘‘assutavā puthujjano’’ti dvīhi padehi ye te –
‘‘ทุเว ปุถุชฺชนา วุตฺตา, พุเทฺธนาทิจฺจพนฺธุนา;
‘‘Duve puthujjanā vuttā, buddhenādiccabandhunā;
อโนฺธ ปุถุชฺชโน เอโก, กลฺยาเณโก ปุถุชฺชโน’’ติฯ –
Andho puthujjano eko, kalyāṇeko puthujjano’’ti. –
เทฺว ปุถุชฺชนา วุตฺตา, เตสุ อนฺธปุถุชฺชโน วุโตฺต โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
Dve puthujjanā vuttā, tesu andhaputhujjano vutto hotīti veditabbo.
อริยานํ อทสฺสาวีติอาทีสุ อริยาติ อารกตฺตา กิเลเสหิ, อนเย น อิริยนโต, อเย จ อิริยนโต, สเทวเกน จ โลเกน อรณียโต พุทฺธา จ ปเจฺจกพุทฺธา จ พุทฺธสาวกา จ วุจฺจนฺติ, พุทฺธา เอว วา อิธ อริยาฯ ยถาห – ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… ตถาคโต อริโยติ วุจฺจตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๘)ฯ
Ariyānaṃadassāvītiādīsu ariyāti ārakattā kilesehi, anaye na iriyanato, aye ca iriyanato, sadevakena ca lokena araṇīyato buddhā ca paccekabuddhā ca buddhasāvakā ca vuccanti, buddhā eva vā idha ariyā. Yathāha – ‘‘sadevake, bhikkhave, loke…pe… tathāgato ariyoti vuccatī’’ti (saṃ. ni. 5.1098).
สปฺปุริสาติ เอตฺถ ปน ปเจฺจกพุทฺธา ตถาคตสาวกา จ ‘‘สปฺปุริสา’’ติ เวทิตพฺพาฯ เต หิ โลกุตฺตรคุณโยเคน โสภนา ปุริสาติ สปฺปุริสาฯ สเพฺพเยว วา เอเต เทฺวธาปิ วุตฺตาฯ พุทฺธาปิ หิ อริยา จ สปฺปุริสา จ ปเจฺจกพุทฺธา พุทฺธสาวกาปิฯ ยถาห –
Sappurisāti ettha pana paccekabuddhā tathāgatasāvakā ca ‘‘sappurisā’’ti veditabbā. Te hi lokuttaraguṇayogena sobhanā purisāti sappurisā. Sabbeyeva vā ete dvedhāpi vuttā. Buddhāpi hi ariyā ca sappurisā ca paccekabuddhā buddhasāvakāpi. Yathāha –
‘‘โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร, กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหติ;
‘‘Yo ve kataññū katavedi dhīro, kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hoti;
ทุขิตสฺส สกฺกจฺจ กโรติ กิจฺจํ, ตถาวิธํ สปฺปุริสํ วทนฺตี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๘);
Dukhitassa sakkacca karoti kiccaṃ, tathāvidhaṃ sappurisaṃ vadantī’’ti. (jā. 2.17.78);
เอตฺถ หิ ‘‘กตญฺญู กตเวทิ ธีโร’’ติ ปเจฺจกสมฺพุโทฺธ วุโตฺต, ‘‘กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จา’’ติ พุทฺธสาวโก, ‘‘ทุขิตสฺส สกฺกจฺจ กโรติ กิจฺจ’’นฺติ สมฺมาสมฺพุโทฺธติฯ อิทานิ โย เตสํ อริยานํ อทสฺสนสีโล , น จ ทสฺสเน สาธุการี, โส ‘‘อริยานํ อทสฺสาวี’’ติ เวทิตโพฺพฯ โส จ จกฺขุนา อทสฺสาวี ญาเณน อทสฺสาวีติ ทุวิโธฯ เตสุ ญาเณน อทสฺสาวี อิธาธิเปฺปโตฯ มํสจกฺขุนา หิ ทิพฺพจกฺขุนา วา อริยา ทิฎฺฐาปิ อทิฎฺฐาว โหนฺติ เตสํ จกฺขูนํ วณฺณมตฺตคหณโต น อริยภาวโคจรโตฯ โสณสิงฺคาลาทโยปิ หิ จกฺขุนา อริเย ปสฺสนฺติ, น จ เต อริยานํ ทสฺสาวิโน, ตสฺมา จกฺขุนา ทสฺสนํ น ทสฺสนํ, ญาเณน ทสฺสนเมว ทสฺสนํฯ ยถาห – ‘‘กิํ เต, วกฺกลิ, อิมินา ปูติกาเยน ทิเฎฺฐน, โย โข, วกฺกลิ, ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๗)ฯ ตสฺมา จกฺขุนา ปสฺสโนฺตปิ ญาเณน อริเยหิ ทิฎฺฐํ อนิจฺจาทิลกฺขณํ อปสฺสโนฺต อริยาธิคตญฺจ ธมฺมํ อนธิคจฺฉโนฺต อริยกรธมฺมานํ อริยภาวสฺส จ อทิฎฺฐตฺตา ‘‘อริยานํ อทสฺสาวี’’ติ เวทิตโพฺพฯ
Ettha hi ‘‘kataññū katavedi dhīro’’ti paccekasambuddho vutto, ‘‘kalyāṇamitto daḷhabhatti cā’’ti buddhasāvako, ‘‘dukhitassa sakkacca karoti kicca’’nti sammāsambuddhoti. Idāni yo tesaṃ ariyānaṃ adassanasīlo , na ca dassane sādhukārī, so ‘‘ariyānaṃ adassāvī’’ti veditabbo. So ca cakkhunā adassāvī ñāṇena adassāvīti duvidho. Tesu ñāṇena adassāvī idhādhippeto. Maṃsacakkhunā hi dibbacakkhunā vā ariyā diṭṭhāpi adiṭṭhāva honti tesaṃ cakkhūnaṃ vaṇṇamattagahaṇato na ariyabhāvagocarato. Soṇasiṅgālādayopi hi cakkhunā ariye passanti, na ca te ariyānaṃ dassāvino, tasmā cakkhunā dassanaṃ na dassanaṃ, ñāṇena dassanameva dassanaṃ. Yathāha – ‘‘kiṃ te, vakkali, iminā pūtikāyena diṭṭhena, yo kho, vakkali, dhammaṃ passati, so maṃ passatī’’ti (saṃ. ni. 3.87). Tasmā cakkhunā passantopi ñāṇena ariyehi diṭṭhaṃ aniccādilakkhaṇaṃ apassanto ariyādhigatañca dhammaṃ anadhigacchanto ariyakaradhammānaṃ ariyabhāvassa ca adiṭṭhattā ‘‘ariyānaṃ adassāvī’’ti veditabbo.
อริยธมฺมสฺส อโกวิโทติ สติปฎฺฐานาทิเภเท อริยธเมฺม อกุสโลฯ อริยธเมฺม อวินีโตติ เอตฺถ ปน –
Ariyadhammassa akovidoti satipaṭṭhānādibhede ariyadhamme akusalo. Ariyadhamme avinītoti ettha pana –
ทุวิโธ วินโย นาม, เอกเมเกตฺถ ปญฺจธา;
Duvidho vinayo nāma, ekamekettha pañcadhā;
อภาวโต ตสฺส อยํ, ‘‘อวินีโต’’ติ วุจฺจติฯ
Abhāvato tassa ayaṃ, ‘‘avinīto’’ti vuccati.
อยญฺหิ สํวรวินโย ปหานวินโยติ ทุวิโธ วินโยฯ เอตฺถ จ ทุวิเธปิ วินเย เอกเมโก วินโย ปญฺจธา ภิชฺชติฯ สํวรวินโยปิ หิ สีลสํวโร, สติสํวโร, ญาณสํวโร, ขนฺติสํวโร, วีริยสํวโรติ ปญฺจวิโธฯ ปหานวินโยปิ ตทงฺคปฺปหานํ, วิกฺขมฺภนปฺปหานํ, สมุเจฺฉทปฺปหานํ, ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ, นิสฺสรณปฺปหานนฺติ ปญฺจวิโธฯ
Ayañhi saṃvaravinayo pahānavinayoti duvidho vinayo. Ettha ca duvidhepi vinaye ekameko vinayo pañcadhā bhijjati. Saṃvaravinayopi hi sīlasaṃvaro, satisaṃvaro, ñāṇasaṃvaro, khantisaṃvaro, vīriyasaṃvaroti pañcavidho. Pahānavinayopi tadaṅgappahānaṃ, vikkhambhanappahānaṃ, samucchedappahānaṃ, paṭippassaddhippahānaṃ, nissaraṇappahānanti pañcavidho.
ตตฺถ ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑) อยํ สีลสํวโรฯ ‘‘รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๑๓; ม. นิ. ๑.๒๙๕; สํ. นิ. ๔.๒๓๙; อ. นิ. ๓.๑๖) อยํ สติสํวโรฯ
Tattha ‘‘iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto’’ti (vibha. 511) ayaṃ sīlasaṃvaro. ‘‘Rakkhati cakkhundriyaṃ cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjatī’’ti (dī. ni. 1.213; ma. ni. 1.295; saṃ. ni. 4.239; a. ni. 3.16) ayaṃ satisaṃvaro.
‘‘ยานิ โสตานิ โลกสฺมิํ, (อชิตาติ ภควา)
‘‘Yāni sotāni lokasmiṃ, (ajitāti bhagavā)
สติ เตสํ นิวารณํ;
Sati tesaṃ nivāraṇaṃ;
โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ, ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๔๑; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๔) –
Sotānaṃ saṃvaraṃ brūmi, paññāyete pidhīyare’’ti. (su. ni. 1041; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 4) –
อยํ ญาณสํวโรฯ ‘‘ขโม โหติ สีตสฺส อุณฺหสฺสา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) อยํ ขนฺติสํวโรฯ ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) อยํ วีริยสํวโรฯ สโพฺพปิ จายํ สํวโร ยถาสกํ สํวริตพฺพานํ วิเนตพฺพานญฺจ กายทุจฺจริตาทีนํ สํวรณโต ‘‘สํวโร’’, วินยนโต ‘‘วินโย’’ติ วุจฺจติฯ เอวํ ตาว สํวรวินโย ปญฺจธา ภิชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ
Ayaṃ ñāṇasaṃvaro. ‘‘Khamo hoti sītassa uṇhassā’’ti (ma. ni. 1.24; a. ni. 4.114; 6.58) ayaṃ khantisaṃvaro. ‘‘Uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’ti (ma. ni. 1.26; a. ni. 4.114; 6.58) ayaṃ vīriyasaṃvaro. Sabbopi cāyaṃ saṃvaro yathāsakaṃ saṃvaritabbānaṃ vinetabbānañca kāyaduccaritādīnaṃ saṃvaraṇato ‘‘saṃvaro’’, vinayanato ‘‘vinayo’’ti vuccati. Evaṃ tāva saṃvaravinayo pañcadhā bhijjatīti veditabbo.
ตถา ยํ นามรูปปริเจฺฉทาทีสุ วิปสฺสนาญาเณสุ ปฎิปกฺขภาวโต ทีปาโลเกน วิย ตมสฺส เตน เตน วิปสฺสนาญาเณน ตสฺส ตสฺส อนตฺถสฺส ปหานํ, เสยฺยถิทํ – นามรูปววตฺถาเนน สกฺกายทิฎฺฐิยา, ปจฺจยปริคฺคเหน อเหตุวิสมเหตุทิฎฺฐีนํ, กงฺขาวิตรเณน กถํกถีภาวสฺส, กลาปสมฺมสเนน ‘‘อหํ มมา’’ติ คาหสฺส, มคฺคามคฺคววตฺถาเนน อมเคฺค มคฺคสญฺญาย, อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา, วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา, ภยทสฺสเนน สภเย อภยสญฺญาย, อาทีนวทสฺสเนน อสฺสาทสญฺญาย, นิพฺพิทานุปสฺสเนน อภิรติสญฺญาย, มุญฺจิตุกมฺยตาญาเณน อมุญฺจิตุกมฺยตาย, อุเปกฺขาญาเณน อนุเปกฺขาย, อนุโลมญาเณน ธมฺมฎฺฐิติยํ นิพฺพาเน จ ปฎิโลมภาวสฺส, โคตฺรภุนา สงฺขารนิมิตฺตคาหสฺส ปหานํ, เอตํ ตทงฺคปฺปหานํ นามฯ
Tathā yaṃ nāmarūpaparicchedādīsu vipassanāñāṇesu paṭipakkhabhāvato dīpālokena viya tamassa tena tena vipassanāñāṇena tassa tassa anatthassa pahānaṃ, seyyathidaṃ – nāmarūpavavatthānena sakkāyadiṭṭhiyā, paccayapariggahena ahetuvisamahetudiṭṭhīnaṃ, kaṅkhāvitaraṇena kathaṃkathībhāvassa, kalāpasammasanena ‘‘ahaṃ mamā’’ti gāhassa, maggāmaggavavatthānena amagge maggasaññāya, udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā, vayadassanena sassatadiṭṭhiyā, bhayadassanena sabhaye abhayasaññāya, ādīnavadassanena assādasaññāya, nibbidānupassanena abhiratisaññāya, muñcitukamyatāñāṇena amuñcitukamyatāya, upekkhāñāṇena anupekkhāya, anulomañāṇena dhammaṭṭhitiyaṃ nibbāne ca paṭilomabhāvassa, gotrabhunā saṅkhāranimittagāhassa pahānaṃ, etaṃ tadaṅgappahānaṃ nāma.
ยํ ปน อุปจารปฺปนาเภเทน สมาธินา ปวตฺติภาวนิวารณโต ฆฎปฺปหาเรน วิย อุทกปิเฎฺฐ เสวาลสฺส เตสํ เตสํ นีวรณาทิธมฺมานํ ปหานํ, อิทํ วิกฺขมฺภนปฺปหานํ นามฯ ยํ จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา ตํตํมคฺควโต อตฺตโน สนฺตาเน ‘‘ทิฎฺฐิคตานํ ปหานายา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๒๗๗; วิภ. ๖๒๘) นเยน วุตฺตสฺส สมุทยปกฺขิกสฺส กิเลสคฺคณสฺส อจฺจนฺตอปฺปวตฺติภาเวน ปหานํ, อิทํ สมุเจฺฉทปฺปหานํ นามฯ ยํ ปน ผลกฺขเณ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตํ กิเลสานํ, อิทํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ นามฯ ยํ สพฺพสงฺขตนิสฺสฎตฺตา ปหีนสพฺพสงฺขตํ นิพฺพานํ, อิทํ นิสฺสรณปฺปหานํ นามฯ สพฺพมฺปิ เจตํ ปหานํ ยสฺมา จาคเฎฺฐน ปหานํ, วินยนเฎฺฐน วินโย, ตสฺมา ‘‘ปหานวินโย’’ติ วุจฺจติ, ตํตํปหานวโต วา ตสฺส ตสฺส วินยสฺส สมฺภวโตเปตํ ‘‘ปหานวินโย’’ติ วุจฺจติฯ เอวํ ปหานวินโยปิ ปญฺจธา ภิชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ
Yaṃ pana upacārappanābhedena samādhinā pavattibhāvanivāraṇato ghaṭappahārena viya udakapiṭṭhe sevālassa tesaṃ tesaṃ nīvaraṇādidhammānaṃ pahānaṃ, idaṃ vikkhambhanappahānaṃ nāma. Yaṃ catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā taṃtaṃmaggavato attano santāne ‘‘diṭṭhigatānaṃ pahānāyā’’tiādinā (dha. sa. 277; vibha. 628) nayena vuttassa samudayapakkhikassa kilesaggaṇassa accantaappavattibhāvena pahānaṃ, idaṃ samucchedappahānaṃ nāma. Yaṃ pana phalakkhaṇe paṭippassaddhattaṃ kilesānaṃ, idaṃ paṭippassaddhippahānaṃ nāma. Yaṃ sabbasaṅkhatanissaṭattā pahīnasabbasaṅkhataṃ nibbānaṃ, idaṃ nissaraṇappahānaṃ nāma. Sabbampi cetaṃ pahānaṃ yasmā cāgaṭṭhena pahānaṃ, vinayanaṭṭhena vinayo, tasmā ‘‘pahānavinayo’’ti vuccati, taṃtaṃpahānavato vā tassa tassa vinayassa sambhavatopetaṃ ‘‘pahānavinayo’’ti vuccati. Evaṃ pahānavinayopi pañcadhā bhijjatīti veditabbo.
เอวมยํ สเงฺขปโต ทุวิโธ, ปเภทโต จ ทสวิโธ วินโย ภินฺนสํวรตฺตา ปหาตพฺพสฺส จ อปฺปหีนตฺตา ยสฺมา เอตสฺส อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส นตฺถิ, ตสฺมา อภาวโต ตสฺส อยํ ‘‘อวินีโต’’ติ วุจฺจตีติฯ เอส นโย สปฺปุริสานํ อทสฺสาวี สปฺปุริสธมฺมสฺส อโกวิโท สปฺปุริสธเมฺม อวินีโตติ เอตฺถาปิฯ นินฺนานาการณญฺหิ เอตํ อตฺถโตฯ ยถาห – ‘‘เยว เต อริยา, เตว เต สปฺปุริสาฯ เยว เต สปฺปุริสา, เตว เต อริยาฯ โยว โส อริยานํ ธโมฺม, โสว โส สปฺปุริสานํ ธโมฺมฯ โยว โส สปฺปุริสานํ ธโมฺม, โสว โส อริยานํ ธโมฺมฯ เยว เต อริยวินยา, เตว เต สปฺปุริสวินยาฯ เยว เต สปฺปุริสวินยา, เตว เต อริยวินยาฯ อริเยติ วา สปฺปุริเสติ วา, อริยธเมฺมติ วา สปฺปุริสธเมฺมติ วา, อริยวินเยติ วา สปฺปุริสวินเยติ วา เอเสเส เอเก เอกเฎฺฐ สเม สมภาเค ตชฺชาเต ตเญฺญวา’’ติฯ
Evamayaṃ saṅkhepato duvidho, pabhedato ca dasavidho vinayo bhinnasaṃvarattā pahātabbassa ca appahīnattā yasmā etassa assutavato puthujjanassa natthi, tasmā abhāvato tassa ayaṃ ‘‘avinīto’’ti vuccatīti. Esa nayo sappurisānaṃ adassāvī sappurisadhammassa akovido sappurisadhamme avinītoti etthāpi. Ninnānākāraṇañhi etaṃ atthato. Yathāha – ‘‘yeva te ariyā, teva te sappurisā. Yeva te sappurisā, teva te ariyā. Yova so ariyānaṃ dhammo, sova so sappurisānaṃ dhammo. Yova so sappurisānaṃ dhammo, sova so ariyānaṃ dhammo. Yeva te ariyavinayā, teva te sappurisavinayā. Yeva te sappurisavinayā, teva te ariyavinayā. Ariyeti vā sappuriseti vā, ariyadhammeti vā sappurisadhammeti vā, ariyavinayeti vā sappurisavinayeti vā esese eke ekaṭṭhe same samabhāge tajjāte taññevā’’ti.
กสฺมา ปน เถโร อตฺตานุทิฎฺฐิยา กตเมหิ วีสติยา อากาเรหิ อภินิเวโส โหตีติ ปุจฺฉิตฺวา ตํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว ‘‘อิธ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน’’ติ เอวํ ปุถุชฺชนํ นิทฺทิสีติ? ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย ตํ อตฺถํ อาวิกาตุํ ปฐมํ ปุถุชฺชนํ นิทฺทิสีติ เวทิตพฺพํฯ
Kasmā pana thero attānudiṭṭhiyā katamehi vīsatiyā ākārehi abhiniveso hotīti pucchitvā taṃ avissajjetvāva ‘‘idha assutavā puthujjano’’ti evaṃ puthujjanaṃ niddisīti? Puggalādhiṭṭhānāya desanāya taṃ atthaṃ āvikātuṃ paṭhamaṃ puthujjanaṃ niddisīti veditabbaṃ.
๑๓๑. เอวํ ปุถุชฺชนํ นิทฺทิสิตฺวา อิทานิ อภินิเวสุเทฺทสํ ทเสฺสโนฺต รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติอาทิมาห ฯ ตตฺถ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ รูปกฺขนฺธํ กสิณรูปญฺจ ‘‘อตฺตา’’ติ ทิฎฺฐิปสฺสนาย สมนุปสฺสติฯ นิเทฺทเส ปนสฺส รูปกฺขเนฺธ อภินิเวโส ปญฺจกฺขนฺธาธิการตฺตา ปากโฎติ ตํ อวตฺวา กสิณรูปเมว ‘‘รูป’’นฺติ สามญฺญวเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ รูปวนฺตํ วา อตฺตานนฺติ อรูปํ ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ตํ อตฺตานํ รูปวนฺตํ สมนุปสฺสติฯ อตฺตนิ วา รูปนฺติ อรูปเมว ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ตสฺมิํ อตฺตนิ รูปํ สมนุปสฺสติฯ รูปสฺมิํ วา อตฺตานนฺติ อรูปเมว ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ตํ อตฺตานํ รูปสฺมิํ สมนุปสฺสติฯ
131. Evaṃ puthujjanaṃ niddisitvā idāni abhinivesuddesaṃ dassento rūpaṃ attato samanupassatītiādimāha . Tattha rūpaṃ attato samanupassatīti rūpakkhandhaṃ kasiṇarūpañca ‘‘attā’’ti diṭṭhipassanāya samanupassati. Niddese panassa rūpakkhandhe abhiniveso pañcakkhandhādhikārattā pākaṭoti taṃ avatvā kasiṇarūpameva ‘‘rūpa’’nti sāmaññavasena vuttanti veditabbaṃ. Rūpavantaṃ vā attānanti arūpaṃ ‘‘attā’’ti gahetvā taṃ attānaṃ rūpavantaṃ samanupassati. Attani vā rūpanti arūpameva ‘‘attā’’ti gahetvā tasmiṃ attani rūpaṃ samanupassati. Rūpasmiṃ vā attānanti arūpameva ‘‘attā’’ti gahetvā taṃ attānaṃ rūpasmiṃ samanupassati.
ตตฺถ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ สุทฺธรูปเมว ‘‘อตฺตา’’ติ กถิตํฯ รูปวนฺตํ วา อตฺตานํ, อตฺตนิ วา รูปํ, รูปสฺมิํ วา อตฺตานํ, เวทนํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ, สญฺญํ, สงฺขาเร, วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ อิเมสุ สตฺตสุ ฐาเนสุ อรูปํ ‘‘อตฺตา’’ติ กถิตํฯ เวทนาวนฺตํ วา อตฺตานํ, อตฺตนิ วา เวทนํ, เวทนาย วา อตฺตานนฺติ เอวํ จตูสุ ขเนฺธสุ ติณฺณํ ติณฺณํ วเสน ทฺวาทสสุ ฐาเนสุ รูปารูปมิสฺสโก อตฺตา กถิโตฯ ตา ปน วีสติปิ ทิฎฺฐิโย มคฺคาวรณา, น สคฺคาวรณา, โสตาปตฺติมคฺควชฺฌาฯ
Tattha rūpaṃ attato samanupassatīti suddharūpameva ‘‘attā’’ti kathitaṃ. Rūpavantaṃ vā attānaṃ, attani vā rūpaṃ, rūpasmiṃ vā attānaṃ, vedanaṃ attato samanupassati, saññaṃ, saṅkhāre, viññāṇaṃ attato samanupassatīti imesu sattasu ṭhānesu arūpaṃ ‘‘attā’’ti kathitaṃ. Vedanāvantaṃ vā attānaṃ, attani vā vedanaṃ, vedanāya vā attānanti evaṃ catūsu khandhesu tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ vasena dvādasasu ṭhānesu rūpārūpamissako attā kathito. Tā pana vīsatipi diṭṭhiyo maggāvaraṇā, na saggāvaraṇā, sotāpattimaggavajjhā.
อิทานิ ตํ นิทฺทิสโนฺต กถํ รูปนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปถวีกสิณนฺติ ปถวีมณฺฑลํ นิสฺสาย อุปฺปาทิตํ ปฎิภาคนิมิตฺตสงฺขาตํ สกลผรณวเสน ปถวีกสิณํฯ อหนฺติ อตฺตานเมว สนฺธาย คณฺหาติฯ อตฺตนฺติ อตฺตานํฯ อทฺวยนฺติ เอกเมวฯ เตลปฺปทีปสฺสาติ เตลยุตฺตสฺส ปทีปสฺสฯ ฌายโตติ ชลโตฯ ยา อจฺจิ, โส วโณฺณติอาทิ อจฺจิํ มุญฺจิตฺวา วณฺณสฺส อภาวโต วุตฺตํฯ ยา จ ทิฎฺฐิ ยญฺจ วตฺถูติ ตทุภยํ เอกโต กตฺวา รูปวตฺถุกา อตฺตานุทิฎฺฐิ วุจฺจตีติ อโตฺถฯ
Idāni taṃ niddisanto kathaṃ rūpantiādimāha. Tattha pathavīkasiṇanti pathavīmaṇḍalaṃ nissāya uppāditaṃ paṭibhāganimittasaṅkhātaṃ sakalapharaṇavasena pathavīkasiṇaṃ. Ahanti attānameva sandhāya gaṇhāti. Attanti attānaṃ. Advayanti ekameva. Telappadīpassāti telayuttassa padīpassa. Jhāyatoti jalato. Yā acci, so vaṇṇotiādi acciṃ muñcitvā vaṇṇassa abhāvato vuttaṃ. Yā ca diṭṭhi yañca vatthūti tadubhayaṃ ekato katvā rūpavatthukā attānudiṭṭhi vuccatīti attho.
อาโปกสิณาทีนิ อาปาทีนิ นิสฺสาย อุปฺปาทิตกสิณนิมิตฺตาเนวฯ ปริจฺฉินฺนากาสกสิณํ ปน รูปชฺฌานสฺส อารมฺมณํ โหนฺตมฺปิ อากาสกสิณนฺติ วุจฺจมาเน อรูปชฺฌานารมฺมเณน กสิณุคฺฆาฎิมากาเสน สํกิณฺณํ โหตีติ น คหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ รูปาธิการตฺตา วิญฺญาณกสิณํ น คเหตพฺพเมวาติฯ อิเธกโจฺจ เวทนํ สญฺญํ สงฺขาเร วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ จตฺตาโร ขเนฺธ อภินฺทิตฺวา เอกโต คหณวเสน วุตฺตํฯ โส หิ จิตฺตเจตสิกานํ วิสุํ วิสุํ กรเณ อสมตฺถตฺตา สเพฺพ เอกโต กตฺวา ‘‘อตฺตา’’ติ คณฺหาติฯ อิมินา รูเปน รูปวาติ เอตฺถ สรีรรูปมฺปิ กสิณรูปมฺปิ ลพฺภติฯ ฉายาสมฺปโนฺนติ ฉายาย สมฺปโนฺน อวิรโฬฯ ตเมนาติ เอตฺถ เอน-สโทฺท นิปาตมตฺตํ, ตเมตนฺติ วา อโตฺถฯ ฉายาวาติ วิชฺชมานจฺฉาโย ฯ รูปํ อตฺตาติ อคฺคหิเตปิ รูปํ อมุญฺจิตฺวา ทิฎฺฐิยา อุปฺปนฺนตฺตา รูปวตฺถุกาติ วุตฺตํฯ
Āpokasiṇādīni āpādīni nissāya uppāditakasiṇanimittāneva. Paricchinnākāsakasiṇaṃ pana rūpajjhānassa ārammaṇaṃ hontampi ākāsakasiṇanti vuccamāne arūpajjhānārammaṇena kasiṇugghāṭimākāsena saṃkiṇṇaṃ hotīti na gahitanti veditabbaṃ. Rūpādhikārattā viññāṇakasiṇaṃ na gahetabbamevāti. Idhekacco vedanaṃ saññaṃ saṅkhāre viññāṇaṃ attato samanupassatīti cattāro khandhe abhinditvā ekato gahaṇavasena vuttaṃ. So hi cittacetasikānaṃ visuṃ visuṃ karaṇe asamatthattā sabbe ekato katvā ‘‘attā’’ti gaṇhāti. Iminā rūpena rūpavāti ettha sarīrarūpampi kasiṇarūpampi labbhati. Chāyāsampannoti chāyāya sampanno aviraḷo. Tamenāti ettha ena-saddo nipātamattaṃ, tametanti vā attho. Chāyāvāti vijjamānacchāyo . Rūpaṃ attāti aggahitepi rūpaṃ amuñcitvā diṭṭhiyā uppannattā rūpavatthukāti vuttaṃ.
อตฺตนิ รูปํ สมนุปสฺสตีติ สรีรรูปสฺส กสิณรูปสฺส จ จิตฺตนิสฺสิตตฺตา ตสฺมิํ อรูปสมุทาเย อตฺตนิ ตํ รูปํ สมนุปสฺสติฯ อยํ คโนฺธติ ฆายิตคนฺธํ อาหฯ อิมสฺมิํ ปุเปฺผติ ปุปฺผนิสฺสิตตฺตา คนฺธสฺส เอวมาหฯ
Attani rūpaṃ samanupassatīti sarīrarūpassa kasiṇarūpassa ca cittanissitattā tasmiṃ arūpasamudāye attani taṃ rūpaṃ samanupassati. Ayaṃ gandhoti ghāyitagandhaṃ āha. Imasmiṃ puppheti pupphanissitattā gandhassa evamāha.
รูปสฺมิํ อตฺตานํ สมนุปสฺสตีติ ยตฺถ รูปํ คจฺฉติ, ตตฺถ จิตฺตํ คจฺฉติฯ ตสฺมา รูปนิสฺสิตํ จิตฺตํ คเหตฺวา ตํ อรูปสมุทายํ อตฺตานํ ตสฺมิํ รูเป สมนุปสฺสติฯ โอฬาริกตฺตา รูปสฺส โอฬาริกาธารํ กรณฺฑกมาหฯ
Rūpasmiṃ attānaṃ samanupassatīti yattha rūpaṃ gacchati, tattha cittaṃ gacchati. Tasmā rūpanissitaṃ cittaṃ gahetvā taṃ arūpasamudāyaṃ attānaṃ tasmiṃ rūpe samanupassati. Oḷārikattā rūpassa oḷārikādhāraṃ karaṇḍakamāha.
๑๓๒. อิเธกโจฺจ จกฺขุสมฺผสฺสชํ เวทนนฺติอาทีสุ วิสุํ วิสุํ เวทนาย ทิฎฺฐิคหเณ อสติปิ เวทนาติ เอกคฺคหเณน คหิเต สพฺพาสํ เวทนานํ อโนฺตคธตฺตา วิสุํ วิสุํ คหิตา เอว โหนฺตีติ วิสุํ วิสุํ โยชนา กตาติ เวทิตพฺพาฯ โส หิ อนุภวนวเสน เวทนาย โอฬาริกตฺตา เวทนํเยว ‘‘อตฺตา’’ติ คณฺหาติฯ สญฺญํ สงฺขาเร วิญฺญาณํ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ สญฺญาทโย อรูปธเมฺม รูปญฺจ เอกโต กตฺวา ‘‘อตฺตา’’ติ สมนุปสฺสติฯ อุมฺมตฺตโก วิย หิ ปุถุชฺชโน ยถา ยถา อุปฎฺฐาติ, ตถา ตถา คณฺหาติฯ
132.Idhekaccocakkhusamphassajaṃ vedanantiādīsu visuṃ visuṃ vedanāya diṭṭhigahaṇe asatipi vedanāti ekaggahaṇena gahite sabbāsaṃ vedanānaṃ antogadhattā visuṃ visuṃ gahitā eva hontīti visuṃ visuṃ yojanā katāti veditabbā. So hi anubhavanavasena vedanāya oḷārikattā vedanaṃyeva ‘‘attā’’ti gaṇhāti. Saññaṃ saṅkhāre viññāṇaṃ rūpaṃ attato samanupassatīti saññādayo arūpadhamme rūpañca ekato katvā ‘‘attā’’ti samanupassati. Ummattako viya hi puthujjano yathā yathā upaṭṭhāti, tathā tathā gaṇhāti.
๑๓๓. จกฺขุสมฺผสฺสชํ สญฺญนฺติอาทีสุ สญฺชานนวเสน สญฺญาย ปากฎตฺตา สญฺญํ ‘‘อตฺตา’ติ คณฺหาติฯ เสสํ เวทนาย วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ
133.Cakkhusamphassajaṃ saññantiādīsu sañjānanavasena saññāya pākaṭattā saññaṃ ‘‘attā’ti gaṇhāti. Sesaṃ vedanāya vuttanayena veditabbaṃ.
๑๓๔. จกฺขุสมฺผสฺสชํ เจตนนฺติอาทีสุ สงฺขารกฺขนฺธปริยาปเนฺนสุ ธเมฺมสุ เจตนาย ปธานตฺตา ปากฎตฺตา จ เจตนา เอว นิทฺทิฎฺฐาฯ ตาย อิตเรปิ นิทฺทิฎฺฐาว โหนฺติฯ โส ปน เจตสิกภาววเสน ปากฎตฺตา เจตนํ ‘‘อตฺตา’’ติ คณฺหาติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
134.Cakkhusamphassajaṃ cetanantiādīsu saṅkhārakkhandhapariyāpannesu dhammesu cetanāya padhānattā pākaṭattā ca cetanā eva niddiṭṭhā. Tāya itarepi niddiṭṭhāva honti. So pana cetasikabhāvavasena pākaṭattā cetanaṃ ‘‘attā’’ti gaṇhāti. Sesaṃ vuttanayameva.
๑๓๕. จกฺขุวิญฺญาณนฺติอาทีสุ วิชานนวเสน จิตฺตสฺส ปากฎตฺตา จิตฺตํ ‘‘อตฺตา’’ติ คณฺหาติฯ เสสเมตฺถาปิ วุตฺตนยเมวฯ
135.Cakkhuviññāṇantiādīsu vijānanavasena cittassa pākaṭattā cittaṃ ‘‘attā’’ti gaṇhāti. Sesametthāpi vuttanayameva.
อตฺตานุทิฎฺฐินิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Attānudiṭṭhiniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๒. อตฺตานุทิฎฺฐินิเทฺทโส • 2. Attānudiṭṭhiniddeso