Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
(๑๓) ๓. ภยวโคฺค
(13) 3. Bhayavaggo
๑. อตฺตานุวาทสุตฺตํ
1. Attānuvādasuttaṃ
๑๒๑. ‘‘จตฺตาริมานิ , ภิกฺขเว, ภยานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? อตฺตานุวาทภยํ, ปรานุวาทภยํ, ทณฺฑภยํ, ทุคฺคติภยํฯ
121. ‘‘Cattārimāni , bhikkhave, bhayāni. Katamāni cattāri? Attānuvādabhayaṃ, parānuvādabhayaṃ, daṇḍabhayaṃ, duggatibhayaṃ.
‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, อตฺตานุวาทภยํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อหเญฺจว 1 โข ปน กาเยน ทุจฺจริตํ จเรยฺยํ, วาจาย ทุจฺจริตํ จเรยฺยํ, มนสา ทุจฺจริตํ จเรยฺยํ, กิญฺจ ตํ ยํ มํ 2 อตฺตา สีลโต น อุปวเทยฺยา’ติ! โส อตฺตานุวาทภยสฺส ภีโต กายทุจฺจริตํ ปหาย กายสุจริตํ ภาเวติ, วจีทุจฺจริตํ ปหาย วจีสุจริตํ ภาเวติ, มโนทุจฺจริตํ ปหาย มโนสุจริตํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, อตฺตานุวาทภยํฯ
‘‘Katamañca, bhikkhave, attānuvādabhayaṃ? Idha, bhikkhave, ekacco iti paṭisañcikkhati – ‘ahañceva 3 kho pana kāyena duccaritaṃ careyyaṃ, vācāya duccaritaṃ careyyaṃ, manasā duccaritaṃ careyyaṃ, kiñca taṃ yaṃ maṃ 4 attā sīlato na upavadeyyā’ti! So attānuvādabhayassa bhīto kāyaduccaritaṃ pahāya kāyasucaritaṃ bhāveti, vacīduccaritaṃ pahāya vacīsucaritaṃ bhāveti, manoduccaritaṃ pahāya manosucaritaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, attānuvādabhayaṃ.
‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ปรานุวาทภยํ? อิธ , ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อหเญฺจว โข ปน กาเยน ทุจฺจริตํ จเรยฺยํ, วาจาย ทุจฺจริตํ จเรยฺยํ, มนสา ทุจฺจริตํ จเรยฺยํ, กิญฺจ ตํ ยํ มํ ปเร สีลโต น อุปวเทยฺยุ’นฺติ! โส ปรานุวาทภยสฺส ภีโต กายทุจฺจริตํ ปหาย กายสุจริตํ ภาเวติ, วจีทุจฺจริตํ ปหาย วจีสุจริตํ ภาเวติ, มโนทุจฺจริตํ ปหาย มโนสุจริตํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ปรานุวาทภยํฯ
‘‘Katamañca, bhikkhave, parānuvādabhayaṃ? Idha , bhikkhave, ekacco iti paṭisañcikkhati – ‘ahañceva kho pana kāyena duccaritaṃ careyyaṃ, vācāya duccaritaṃ careyyaṃ, manasā duccaritaṃ careyyaṃ, kiñca taṃ yaṃ maṃ pare sīlato na upavadeyyu’nti! So parānuvādabhayassa bhīto kāyaduccaritaṃ pahāya kāyasucaritaṃ bhāveti, vacīduccaritaṃ pahāya vacīsucaritaṃ bhāveti, manoduccaritaṃ pahāya manosucaritaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, parānuvādabhayaṃ.
‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ทณฺฑภยํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ ปสฺสติ โจรํ อาคุจาริํ, ราชาโน คเหตฺวา วิวิธา กมฺมการณา กาเรเนฺต, กสาหิปิ ตาเฬเนฺต, เวเตฺตหิปิ ตาเฬเนฺต, อทฺธทณฺฑเกหิปิ ตาเฬเนฺต, หตฺถมฺปิ ฉินฺทเนฺต, ปาทมฺปิ ฉินฺทเนฺต, หตฺถปาทมฺปิ ฉินฺทเนฺต, กณฺณมฺปิ ฉินฺทเนฺต, นาสมฺปิ ฉินฺทเนฺต, กณฺณนาสมฺปิ ฉินฺทเนฺต, พิลงฺคถาลิกมฺปิ กโรเนฺต, สงฺขมุณฺฑิกมฺปิ กโรเนฺต, ราหุมุขมฺปิ กโรเนฺต, โชติมาลิกมฺปิ กโรเนฺต, หตฺถปโชฺชติกมฺปิ กโรเนฺต, เอรกวตฺติกมฺปิ กโรเนฺต, จีรกวาสิกมฺปิ กโรเนฺต, เอเณยฺยกมฺปิ กโรเนฺต, พลิสมํสิกมฺปิ กโรเนฺต, กหาปณกมฺปิ กโรเนฺต, ขาราปตจฺฉิกมฺปิ กโรเนฺต, ปลิฆปริวตฺติกมฺปิ กโรเนฺต, ปลาลปีฐกมฺปิ กโรเนฺต, ตเตฺตนปิ เตเลน โอสิญฺจเนฺต, สุนเขหิปิ ขาทาเปเนฺต, ชีวนฺตมฺปิ สูเล อุตฺตาเสเนฺต, อสินาปิ สีสํ ฉินฺทเนฺตฯ
‘‘Katamañca, bhikkhave, daṇḍabhayaṃ? Idha, bhikkhave, ekacco passati coraṃ āgucāriṃ, rājāno gahetvā vividhā kammakāraṇā kārente, kasāhipi tāḷente, vettehipi tāḷente, addhadaṇḍakehipi tāḷente, hatthampi chindante, pādampi chindante, hatthapādampi chindante, kaṇṇampi chindante, nāsampi chindante, kaṇṇanāsampi chindante, bilaṅgathālikampi karonte, saṅkhamuṇḍikampi karonte, rāhumukhampi karonte, jotimālikampi karonte, hatthapajjotikampi karonte, erakavattikampi karonte, cīrakavāsikampi karonte, eṇeyyakampi karonte, balisamaṃsikampi karonte, kahāpaṇakampi karonte, khārāpatacchikampi karonte, palighaparivattikampi karonte, palālapīṭhakampi karonte, tattenapi telena osiñcante, sunakhehipi khādāpente, jīvantampi sūle uttāsente, asināpi sīsaṃ chindante.
‘‘ตสฺส เอวํ โหติ – ‘ยถารูปานํ โข ปาปกานํ กมฺมานํ เหตุ โจรํ อาคุจาริํ ราชาโน คเหตฺวา วิวิธา กมฺมการณา กาเรนฺติ, กสาหิปิ ตาเฬนฺติ…เป.… อสินาปิ สีสํ ฉินฺทนฺติ, อหเญฺจว โข ปน เอวรูปํ ปาปกมฺมํ กเรยฺยํ, มมฺปิ ราชาโน คเหตฺวา เอวรูปา วิวิธา กมฺมการณา กาเรยฺยุํ, กสาหิปิ ตาเฬยฺยุํ, เวเตฺตหิปิ ตาเฬยฺยุํ, อทฺธทณฺฑเกหิปิ ตาเฬยฺยุํ, หตฺถมฺปิ ฉิเนฺทยฺยุํ, ปาทมฺปิ ฉิเนฺทยฺยุํ, หตฺถปาทมฺปิ ฉิเนฺทยฺยุํ, กณฺณมฺปิ ฉิเนฺทยฺยุํ, นาสมฺปิ ฉิเนฺทยฺยุํ, กณฺณนาสมฺปิ ฉิเนฺทยฺยุํ, พิลงฺคถาลิกมฺปิ กเรยฺยุํ, สงฺขมุณฺฑิกมฺปิ กเรยฺยุํ; ราหุมุขมฺปิ กเรยฺยุํ, โชติมาลิกมฺปิ กเรยฺยุํ, หตฺถปโชฺชติกมฺปิ กเรยฺยุํ, เอรกวตฺติกมฺปิ กเรยฺยุํ, จีรกวาสิกมฺปิ กเรยฺยุํ, เอเณยฺยกมฺปิ กเรยฺยุํ, พลิสมํสิกมฺปิ กเรยฺยุํ, กหาปณกมฺปิ กเรยฺยุํ, ขาราปตจฺฉิกมฺปิ กเรยฺยุํ, ปลิฆปริวตฺติกมฺปิ กเรยฺยุํ, ปลาลปีฐกมฺปิ กเรยฺยุํ, ตเตฺตนปิ เตเลน โอสิเญฺจยฺยุํ, สุนเขหิปิ ขาทาเปยฺยุํ, ชีวนฺตมฺปิ สูเล อุตฺตาเสยฺยุํ, อสินาปิ สีสํ ฉิเนฺทยฺยุ’นฺติฯ โส ทณฺฑภยสฺส ภีโต น ปเรสํ ปาภตํ วิลุมฺปโนฺต จรติฯ กายทุจฺจริตํ ปหาย…เป.… สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ทณฺฑภยํฯ
‘‘Tassa evaṃ hoti – ‘yathārūpānaṃ kho pāpakānaṃ kammānaṃ hetu coraṃ āgucāriṃ rājāno gahetvā vividhā kammakāraṇā kārenti, kasāhipi tāḷenti…pe… asināpi sīsaṃ chindanti, ahañceva kho pana evarūpaṃ pāpakammaṃ kareyyaṃ, mampi rājāno gahetvā evarūpā vividhā kammakāraṇā kāreyyuṃ, kasāhipi tāḷeyyuṃ, vettehipi tāḷeyyuṃ, addhadaṇḍakehipi tāḷeyyuṃ, hatthampi chindeyyuṃ, pādampi chindeyyuṃ, hatthapādampi chindeyyuṃ, kaṇṇampi chindeyyuṃ, nāsampi chindeyyuṃ, kaṇṇanāsampi chindeyyuṃ, bilaṅgathālikampi kareyyuṃ, saṅkhamuṇḍikampi kareyyuṃ; rāhumukhampi kareyyuṃ, jotimālikampi kareyyuṃ, hatthapajjotikampi kareyyuṃ, erakavattikampi kareyyuṃ, cīrakavāsikampi kareyyuṃ, eṇeyyakampi kareyyuṃ, balisamaṃsikampi kareyyuṃ, kahāpaṇakampi kareyyuṃ, khārāpatacchikampi kareyyuṃ, palighaparivattikampi kareyyuṃ, palālapīṭhakampi kareyyuṃ, tattenapi telena osiñceyyuṃ, sunakhehipi khādāpeyyuṃ, jīvantampi sūle uttāseyyuṃ, asināpi sīsaṃ chindeyyu’nti. So daṇḍabhayassa bhīto na paresaṃ pābhataṃ vilumpanto carati. Kāyaduccaritaṃ pahāya…pe… suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, daṇḍabhayaṃ.
‘‘กตมญฺจ , ภิกฺขเว, ทุคฺคติภยํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘กายทุจฺจริตสฺส โข ปาปโก วิปาโก อภิสมฺปรายํ, วจีทุจฺจริตสฺส ปาปโก วิปาโก อภิสมฺปรายํ, มโนทุจฺจริตสฺส ปาปโก วิปาโก อภิสมฺปรายํฯ อหเญฺจว โข ปน กาเยน ทุจฺจริตํ จเรยฺยํ, วาจาย ทุจฺจริตํ จเรยฺยํ, มนสา ทุจฺจริตํ จเรยฺยํ, กิญฺจ ตํ ยาหํ น กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปเชฺชยฺย’นฺติ! โส ทุคฺคติภยสฺส ภีโต กายทุจฺจริตํ ปหาย กายสุจริตํ ภาเวติ, วจีทุจฺจริตํ ปหาย วจีสุจริตํ ภาเวติ, มโนทุจฺจริตํ ปหาย มโนสุจริตํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ทุคฺคติภยํฯ อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ ภยานี’’ติฯ ปฐมํฯ
‘‘Katamañca , bhikkhave, duggatibhayaṃ? Idha, bhikkhave, ekacco iti paṭisañcikkhati – ‘kāyaduccaritassa kho pāpako vipāko abhisamparāyaṃ, vacīduccaritassa pāpako vipāko abhisamparāyaṃ, manoduccaritassa pāpako vipāko abhisamparāyaṃ. Ahañceva kho pana kāyena duccaritaṃ careyyaṃ, vācāya duccaritaṃ careyyaṃ, manasā duccaritaṃ careyyaṃ, kiñca taṃ yāhaṃ na kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjeyya’nti! So duggatibhayassa bhīto kāyaduccaritaṃ pahāya kāyasucaritaṃ bhāveti, vacīduccaritaṃ pahāya vacīsucaritaṃ bhāveti, manoduccaritaṃ pahāya manosucaritaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, duggatibhayaṃ. Imāni kho, bhikkhave, cattāri bhayānī’’ti. Paṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑. อตฺตานุวาทสุตฺตวณฺณนา • 1. Attānuvādasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑. อตฺตานุวาทสุตฺตวณฺณนา • 1. Attānuvādasuttavaṇṇanā