Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
อฎฺฐครุธมฺมกถาวณฺณนา
Aṭṭhagarudhammakathāvaṇṇanā
๔๐๓. สตฺถาปิ ‘‘อิตฺถิโย นาม ปริตฺตสทฺธา, เอกายาจิตมเตฺตเยว ปพฺพชฺชาย อนุญฺญาตาย น มม สาสนํ ครุํ กตฺวา คณฺหิสฺสนฺตี’’ติ ติกฺขตฺตุํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อิทานิ ครุํ กตฺวา คาหาเปตุกามตาย ‘‘สเจ, อานนฺท, มหาปชาปติ โคตมี อฎฺฐ ครุธเมฺม ปฎิคฺคณฺหาติ, สาวสฺสา โหตุ อุปสมฺปทา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สาวสฺสาติ สา เอว อสฺสา ปพฺพชฺชาปิ อุปสมฺปทาปิ โหตุฯ
403. Satthāpi ‘‘itthiyo nāma parittasaddhā, ekāyācitamatteyeva pabbajjāya anuññātāya na mama sāsanaṃ garuṃ katvā gaṇhissantī’’ti tikkhattuṃ paṭikkhipitvā idāni garuṃ katvā gāhāpetukāmatāya ‘‘sace, ānanda, mahāpajāpati gotamī aṭṭha garudhamme paṭiggaṇhāti, sāvassā hotu upasampadā’’tiādimāha. Tattha sāvassāti sā eva assā pabbajjāpi upasampadāpi hotu.
ตทหุปสมฺปนฺนสฺสาติ ตํ ทิวสมฺปิ อุปสมฺปนฺนสฺสฯ อภิวาทนํ ปจฺจุฎฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ กาตพฺพนฺติ มานาติมานํ อกตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน อภิวาทนํ, อาสนา อุฎฺฐาย ปจฺจุคฺคมนวเสน ปจฺจุฎฺฐานํ, ทสนเข สโมธาเนตฺวา อญฺชลิกมฺมํ, อาสนปญฺญาปนพีชนาทิกํ อนุจฺฉวิกกมฺมสงฺขาตํ สามีจิกมฺมญฺจ กตฺตพฺพํฯ อภิกฺขุเก อาวาเสติ ยตฺถ วสนฺติยา อนนฺตราเยน โอวาทตฺถาย อุปสงฺกมนารเห ฐาเน โอวาททายโก อาจริโย นตฺถิ, อยํ อภิกฺขุโก อาวาโส นาม, เอวรูเป อาวาเส วสฺสํ น อุปคนฺตพฺพํฯ อนฺวทฺธมาสนฺติ อนุโปสถิกํฯ โอวาทูปสงฺกมนนฺติ โอวาทตฺถาย อุปสงฺกมนํฯ ทิเฎฺฐนาติ จกฺขุนา ทิเฎฺฐนฯ สุเตนาติ โสเตน สุเตนฯ ปริสงฺกายาติ ทิฎฺฐสุตวเสน ปริสงฺกิเตนฯ ครุธมฺมนฺติ ครุกํ สงฺฆาทิเสสาปตฺติํฯ ปกฺขมานตฺตนฺติ อนูนานิ ปนฺนรส ทิวสานิ มานตฺตํฯ ฉสุ ธเมฺมสูติ วิกาลโภชนจฺฉเฎฺฐสุ สิกฺขาปเทสุฯ สิกฺขิตสิกฺขายาติ เอกสิกฺขมฺปิ อขณฺฑํ กตฺวา ปูริตสิกฺขายฯ
Tadahupasampannassāti taṃ divasampi upasampannassa. Abhivādanaṃ paccuṭṭhānaṃ añjalikammaṃ sāmīcikammaṃ kātabbanti mānātimānaṃ akatvā pañcapatiṭṭhitena abhivādanaṃ, āsanā uṭṭhāya paccuggamanavasena paccuṭṭhānaṃ, dasanakhe samodhānetvā añjalikammaṃ, āsanapaññāpanabījanādikaṃ anucchavikakammasaṅkhātaṃ sāmīcikammañca kattabbaṃ. Abhikkhuke āvāseti yattha vasantiyā anantarāyena ovādatthāya upasaṅkamanārahe ṭhāne ovādadāyako ācariyo natthi, ayaṃ abhikkhuko āvāso nāma, evarūpe āvāse vassaṃ na upagantabbaṃ. Anvaddhamāsanti anuposathikaṃ. Ovādūpasaṅkamananti ovādatthāya upasaṅkamanaṃ. Diṭṭhenāti cakkhunā diṭṭhena. Sutenāti sotena sutena. Parisaṅkāyāti diṭṭhasutavasena parisaṅkitena. Garudhammanti garukaṃ saṅghādisesāpattiṃ. Pakkhamānattanti anūnāni pannarasa divasāni mānattaṃ. Chasu dhammesūti vikālabhojanacchaṭṭhesu sikkhāpadesu. Sikkhitasikkhāyāti ekasikkhampi akhaṇḍaṃ katvā pūritasikkhāya.
น อโกฺกสิตโพฺพ น ปริภาสิตโพฺพติ ทสนฺนํ อโกฺกสวตฺถูนํ อญฺญตเรน อโกฺกสวตฺถุนา น อโกฺกสิตโพฺพ, ภยุปทํสนาย กายจิ ปริภาสาย น ปริภาสิตโพฺพฯ โอวโฎ ภิกฺขุนีนํ ภิกฺขูสุ วจนปโถติ โอวาทานุสาสนิธมฺมกถาสงฺขาโต วจนปโถ ภิกฺขุนีนํ ภิกฺขูสุ โอวโฎ ปิหิโต, น ภิกฺขุนิยา โกจิ ภิกฺขุ โอวทิตโพฺพ วา อนุสาสิตโพฺพ วา, ‘‘ภเนฺต โปราณกเตฺถรา อิทญฺจิทญฺจ วตฺตํ ปูรยิํสู’’ติ เอวํ ปน ปเวณิวเสน กเถตุํ วฎฺฎติฯ อโนวโฎ ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีสูติ ภิกฺขูนํ ปน ภิกฺขุนีสุ วจนปโถ อนิวาริโต, ยถารุจิยา โอวทนฺตุ อนุสาสนฺตุ ธมฺมกถํ กเถนฺตูติ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปเนสา ครุธมฺมกถา มหาวิภเงฺค วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Na akkositabbo na paribhāsitabboti dasannaṃ akkosavatthūnaṃ aññatarena akkosavatthunā na akkositabbo, bhayupadaṃsanāya kāyaci paribhāsāya na paribhāsitabbo. Ovaṭo bhikkhunīnaṃ bhikkhūsu vacanapathoti ovādānusāsanidhammakathāsaṅkhāto vacanapatho bhikkhunīnaṃ bhikkhūsu ovaṭo pihito, na bhikkhuniyā koci bhikkhu ovaditabbo vā anusāsitabbo vā, ‘‘bhante porāṇakattherā idañcidañca vattaṃ pūrayiṃsū’’ti evaṃ pana paveṇivasena kathetuṃ vaṭṭati. Anovaṭo bhikkhūnaṃ bhikkhunīsūti bhikkhūnaṃ pana bhikkhunīsu vacanapatho anivārito, yathāruciyā ovadantu anusāsantu dhammakathaṃ kathentūti ayamettha saṅkhepo, vitthārato panesā garudhammakathā mahāvibhaṅge vuttanayeneva veditabbā.
อิเม ปน อฎฺฐ ครุธเมฺม สตฺถุ สนฺติเก อุคฺคเหตฺวา เถเรน อตฺตโน อาโรจิยมาเน สุตฺวา มหาปชาปติยา ตาวมหนฺตํ โทมนสฺสํ ขเณน ปฎิปฺปสฺสมฺภิฯ อโนตตฺตทหโต อาหเฎน สีตุทกสฺส ฆฎสเตน มตฺถเก ปริสิตฺตา วิย วิคตปริฬาหา อตฺตมนา หุตฺวา ครุธมฺมปฎิคฺคหเณน อุปฺปนฺนปีติปาโมชฺชํ อาวิ กโรนฺตี ‘‘เสยฺยถาปิ, ภเนฺต’’ติอาทิกํ อุทานํ อุทาเนสิฯ ตตฺถ ทหโรติ ตรุโณฯ ยุวาติ โยพฺพญฺญภาเว ฐิโตฯ มณฺฑนกชาติโกติ อลงฺการสภาโวฯ ตตฺถ โกจิ ตรุโณปิ ยุวา น โหติ ยถา อติตรุโณฯ โกจิ ยุวาปิ มณฺฑนกชาติโก น โหติ ยถา อุปสนฺตสภาโว อาลสิยพฺยสนาทีหิ วา อภิภูโต, อิธ ปน ทหโร เจว ยุวา จ มณฺฑนกชาติโก จ อธิเปฺปโต, ตสฺมา เอวมาหฯ อุปฺปลาทีนิ โลกสมฺมตตฺตา วุตฺตานิฯ อิโต ปรํ ยํ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ ตํ อฎฺฐกถายํ ทสฺสิตเมวฯ
Ime pana aṭṭha garudhamme satthu santike uggahetvā therena attano ārociyamāne sutvā mahāpajāpatiyā tāvamahantaṃ domanassaṃ khaṇena paṭippassambhi. Anotattadahato āhaṭena sītudakassa ghaṭasatena matthake parisittā viya vigatapariḷāhā attamanā hutvā garudhammapaṭiggahaṇena uppannapītipāmojjaṃ āvi karontī ‘‘seyyathāpi, bhante’’tiādikaṃ udānaṃ udānesi. Tattha daharoti taruṇo. Yuvāti yobbaññabhāve ṭhito. Maṇḍanakajātikoti alaṅkārasabhāvo. Tattha koci taruṇopi yuvā na hoti yathā atitaruṇo. Koci yuvāpi maṇḍanakajātiko na hoti yathā upasantasabhāvo ālasiyabyasanādīhi vā abhibhūto, idha pana daharo ceva yuvā ca maṇḍanakajātiko ca adhippeto, tasmā evamāha. Uppalādīni lokasammatattā vuttāni. Ito paraṃ yaṃ yaṃ vattabbaṃ, taṃ taṃ aṭṭhakathāyaṃ dassitameva.
ตตฺถ มาตุคามสฺส ปพฺพชิตตฺตาติ อิทํ ปญฺจวสฺสสตโต อุทฺธํ อฎฺฐตฺวา ปญฺจสุเยว วสฺสสเตสุ สทฺธมฺมฎฺฐิติยา การณนิทสฺสนํฯ ปฎิสมฺภิทาปเภทปฺปตฺตขีณาสววเสเนว วุตฺตนฺติ เอตฺถ ‘‘ปฎิสมฺภิทาปตฺตขีณาสวคฺคหเณน ฌานานิปิ คหิตาเนว โหนฺติฯ น หิ นิชฺฌานกานํ สพฺพปฺปการสมฺปตฺติ อิชฺฌตี’’ติ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ สุกฺขวิปสฺสกขีณาสววเสน วสฺสสหสฺสนฺติอาทินา จ ยํ วุตฺตํฯ ตํ ขนฺธกภาณกานํ มเตน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๖๑) ปน เอวํ วุตฺตํ –
Tattha mātugāmassa pabbajitattāti idaṃ pañcavassasatato uddhaṃ aṭṭhatvā pañcasuyeva vassasatesu saddhammaṭṭhitiyā kāraṇanidassanaṃ. Paṭisambhidāpabhedappattakhīṇāsavavaseneva vuttanti ettha ‘‘paṭisambhidāpattakhīṇāsavaggahaṇena jhānānipi gahitāneva honti. Na hi nijjhānakānaṃ sabbappakārasampatti ijjhatī’’ti gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Sukkhavipassakakhīṇāsavavasena vassasahassantiādinā ca yaṃ vuttaṃ. Taṃ khandhakabhāṇakānaṃ matena vuttanti veditabbaṃ. Dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 3.161) pana evaṃ vuttaṃ –
‘‘ปฎิสมฺภิทาปเตฺตหิ วสฺสสหสฺสํ อฎฺฐาสิ, ฉฬภิเญฺญหิ วสฺสสหสฺสํ, เตวิเชฺชหิ วสฺสสหสฺสํ, สุกฺขวิปสฺสเกหิ วสฺสสหสฺสํ, ปาติโมเกฺขน วสฺสสหสฺสํ อฎฺฐาสี’’ติฯ
‘‘Paṭisambhidāpattehi vassasahassaṃ aṭṭhāsi, chaḷabhiññehi vassasahassaṃ, tevijjehi vassasahassaṃ, sukkhavipassakehi vassasahassaṃ, pātimokkhena vassasahassaṃ aṭṭhāsī’’ti.
องฺคุตฺตรนิกายฎฺฐกถายมฺปิ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๓๐) –
Aṅguttaranikāyaṭṭhakathāyampi (a. ni. aṭṭha. 1.1.130) –
‘‘พุทฺธานญฺหิ ปรินิพฺพานโต วสฺสสหสฺสเมว ปฎิสมฺภิทา นิพฺพเตฺตตุํ สโกฺกนฺติ, ตโต ปรํ ฉ อภิญฺญา, ตโต ตาปิ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกนฺตา ติโสฺส วิชฺชา นิพฺพเตฺตนฺติ, คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล ตาปิ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกนฺตา สุกฺขวิปสฺสกา โหนฺติฯ เอเตเนว อุปาเยน อนาคามิโน สกทาคามิโน โสตาปนฺนา’’ติ –
‘‘Buddhānañhi parinibbānato vassasahassameva paṭisambhidā nibbattetuṃ sakkonti, tato paraṃ cha abhiññā, tato tāpi nibbattetuṃ asakkontā tisso vijjā nibbattenti, gacchante gacchante kāle tāpi nibbattetuṃ asakkontā sukkhavipassakā honti. Eteneva upāyena anāgāmino sakadāgāmino sotāpannā’’ti –
วุตฺตํฯ
Vuttaṃ.
สํยุตฺตนิกายฎฺฐกถายํ ปน (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓.๑๕๖) –
Saṃyuttanikāyaṭṭhakathāyaṃ pana (saṃ. ni. aṭṭha. 2.3.156) –
‘‘ปฐมโพธิยญฺหิ ภิกฺขู ปฎิสมฺภิทาปตฺตา อเหสุํฯ อถ กาเล คจฺฉเนฺต ปฎิสมฺภิทา ปาปุณิตุํ น สกฺขิํสุ, ฉฬภิญฺญา อเหสุํ, ตโต ฉ อภิญฺญา ปตฺตุํ อสโกฺกนฺตา ติโสฺส วิชฺชา ปาปุณิํสุฯ อิทานิ กาเล คจฺฉเนฺต ติโสฺส วิชฺชา ปาปุณิตุํ อสโกฺกนฺตา อาสวกฺขยมตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺติ, ตมฺปิ อสโกฺกนฺตา อนาคามิผลํ, ตมฺปิ อสโกฺกนฺตา สกทาคามิผลํ, ตมฺปิ อสโกฺกนฺตา โสตาปตฺติผลํ, คจฺฉเนฺต กาเล โสตาปตฺติผลมฺปิ ปตฺตุํ น สกฺขิสฺสนฺตี’’ติ –
‘‘Paṭhamabodhiyañhi bhikkhū paṭisambhidāpattā ahesuṃ. Atha kāle gacchante paṭisambhidā pāpuṇituṃ na sakkhiṃsu, chaḷabhiññā ahesuṃ, tato cha abhiññā pattuṃ asakkontā tisso vijjā pāpuṇiṃsu. Idāni kāle gacchante tisso vijjā pāpuṇituṃ asakkontā āsavakkhayamattaṃ pāpuṇissanti, tampi asakkontā anāgāmiphalaṃ, tampi asakkontā sakadāgāmiphalaṃ, tampi asakkontā sotāpattiphalaṃ, gacchante kāle sotāpattiphalampi pattuṃ na sakkhissantī’’ti –
วุตฺตํฯ
Vuttaṃ.
ยสฺมา เจตํ สพฺพํ อญฺญมญฺญปฎิวิรุทฺธํ, ตสฺมา เตสํ เตสํ ภาณกานํ มตเมว อาจริเยน ตตฺถ ตตฺถ ทสฺสิตนฺติ คเหตพฺพํฯ อญฺญถา หิ อาจริยเสฺสว ปุพฺพาปรวิโรธปฺปสโงฺค สิยาติฯ
Yasmā cetaṃ sabbaṃ aññamaññapaṭiviruddhaṃ, tasmā tesaṃ tesaṃ bhāṇakānaṃ matameva ācariyena tattha tattha dassitanti gahetabbaṃ. Aññathā hi ācariyasseva pubbāparavirodhappasaṅgo siyāti.
ตานิเยวาติ ตานิเยว ปญฺจ วสฺสสหสฺสานิฯ ปริยตฺติมูลกํ สาสนนฺติ อาห ‘‘น หิ ปริยตฺติยา อสติ ปฎิเวโธ อตฺถี’’ติอาทิฯ ปริยตฺติยา หิ อนฺตรหิตาย ปฎิปตฺติ อนฺตรธายติ, ปฎิปตฺติยา อนฺตรหิตาย อธิคโม อนฺตรธายติฯ กิํการณา? อยญฺหิ ปริยตฺติ ปฎิปตฺติยา ปจฺจโย โหติ, ปฎิปตฺติ อธิคมสฺส, อิติ ปฎิปตฺติโตปิ ปริยตฺติเยว ปมาณํฯ ตตฺถ ปฎิเวโธ จ ปฎิปตฺติ จ โหติปิ น โหติปิฯ เอกสฺมิญฺหิ กาเล ปฎิเวธกรา ภิกฺขู พหู โหนฺติ, ‘‘เอส ภิกฺขุ ปุถุชฺชโน’’ติ องฺคุลิํ ปสาเรตฺวา ทเสฺสตโพฺพ โหติ, อิมสฺมิํเยว ทีเป เอกวารํ ปุถุชฺชนภิกฺขุ นาม นาโหสิฯ ปฎิปตฺติปูรกาปิ กทาจิ พหู โหนฺติ, กทาจิ อปฺปา, อิติ ปฎิเวโธ จ ปฎิปตฺติ จ โหติปิ น โหติปิฯ สาสนฎฺฐิติยา ปน ปริยตฺติเยว ปมาณํฯ ปณฺฑิโต หิ เตปิฎกํ สุตฺวา เทฺวปิ ปูเรติฯ ยถา อมฺหากํ โพธิสโตฺต อาฬารสฺส สนฺติเก ปญฺจาภิญฺญา สตฺต จ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยา ปริกมฺมํ ปุจฺฉิ, โส ‘‘น ชานามี’’ติ อาห, ตโต อุทกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อธิคตวิเสสํ สํสนฺทิตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสฺส ปริกมฺมํ ปุจฺฉิ, โส อาจิกฺขิ, ตสฺส วจนสมนนฺตรเมว มหาสโตฺต ตํ สมฺปาเทสิ, เอวเมว ปญฺญวา ภิกฺขุ ปริยตฺติํ สุตฺวา เทฺวปิ ปูเรติ, ตสฺมา ปริยตฺติยา ฐิตาย สาสนํ ฐิตํ โหติฯ ยถาปิ มหโต ตฬากสฺส ปาฬิยา ถิราย อุทกํ น ฐสฺสตีติ น วตฺตพฺพํ, อุทเก สติ ปทุมาทีนิ ปุปฺผานิ น ปุปฺผิสฺสนฺตีติ น วตฺตพฺพํ, เอวเมว มหาตฬากสฺส ถิรปาฬิสทิเส เตปิฎเก พุทฺธวจเน สติ มหาตฬาเก อุทกสทิสา ปฎิปตฺติปูรกา กุลปุตฺตา นตฺถีติ น วตฺตพฺพํ, เตสุ สติ มหาตฬาเก ปทุมาทีนิ ปุปฺผานิ วิย โสตาปนฺนาทโย อริยปุคฺคลา นตฺถีติ น วตฺตพฺพํฯ เอวํ เอกนฺตโต ปริยตฺติเยว ปมาณํฯ
Tāniyevāti tāniyeva pañca vassasahassāni. Pariyattimūlakaṃ sāsananti āha ‘‘na hi pariyattiyā asati paṭivedho atthī’’tiādi. Pariyattiyā hi antarahitāya paṭipatti antaradhāyati, paṭipattiyā antarahitāya adhigamo antaradhāyati. Kiṃkāraṇā? Ayañhi pariyatti paṭipattiyā paccayo hoti, paṭipatti adhigamassa, iti paṭipattitopi pariyattiyeva pamāṇaṃ. Tattha paṭivedho ca paṭipatti ca hotipi na hotipi. Ekasmiñhi kāle paṭivedhakarā bhikkhū bahū honti, ‘‘esa bhikkhu puthujjano’’ti aṅguliṃ pasāretvā dassetabbo hoti, imasmiṃyeva dīpe ekavāraṃ puthujjanabhikkhu nāma nāhosi. Paṭipattipūrakāpi kadāci bahū honti, kadāci appā, iti paṭivedho ca paṭipatti ca hotipi na hotipi. Sāsanaṭṭhitiyā pana pariyattiyeva pamāṇaṃ. Paṇḍito hi tepiṭakaṃ sutvā dvepi pūreti. Yathā amhākaṃ bodhisatto āḷārassa santike pañcābhiññā satta ca samāpattiyo nibbattetvā nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiyā parikammaṃ pucchi, so ‘‘na jānāmī’’ti āha, tato udakassa santikaṃ gantvā adhigatavisesaṃ saṃsanditvā nevasaññānāsaññāyatanassa parikammaṃ pucchi, so ācikkhi, tassa vacanasamanantarameva mahāsatto taṃ sampādesi, evameva paññavā bhikkhu pariyattiṃ sutvā dvepi pūreti, tasmā pariyattiyā ṭhitāya sāsanaṃ ṭhitaṃ hoti. Yathāpi mahato taḷākassa pāḷiyā thirāya udakaṃ na ṭhassatīti na vattabbaṃ, udake sati padumādīni pupphāni na pupphissantīti na vattabbaṃ, evameva mahātaḷākassa thirapāḷisadise tepiṭake buddhavacane sati mahātaḷāke udakasadisā paṭipattipūrakā kulaputtā natthīti na vattabbaṃ, tesu sati mahātaḷāke padumādīni pupphāni viya sotāpannādayo ariyapuggalā natthīti na vattabbaṃ. Evaṃ ekantato pariyattiyeva pamāṇaṃ.
ปริยตฺติยา อนฺตรหิตายาติ เอตฺถ ปริยตฺตีติ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๓๐) เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ สาฎฺฐกถา ปาฬิฯ ยาว สา ติฎฺฐติ, ตาว ปริยตฺติ ปริปุณฺณา นาม โหติฯ คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล กลิยุคราชาโน อธมฺมิกา โหนฺติ, เตสุ อธมฺมิเกสุ เตสมฺปิ อมจฺจาทโย อธมฺมิกา โหนฺติ, ตโต รฎฺฐชนปทวาสิโนติ เตสํ อธมฺมิกตาย น เทโว สมฺมา วสฺสติ, ตโต สสฺสานิ น สมฺปชฺชนฺติ, เตสุ อสมฺปชฺชเนฺตสุ ปจฺจยทายกา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปจฺจเย ทาตุํ น สโกฺกนฺติ, ภิกฺขู ปจฺจเยหิ กิลมนฺตา อเนฺตวาสิเก สงฺคเหตุํ น สโกฺกนฺติฯ คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล ปริยตฺติ ปริหายติ, อตฺถวเสน ธาเรตุํ น สโกฺกนฺติ, ปาฬิวเสเนว ธาเรนฺติฯ ตโต กาเล คจฺฉเนฺต ปาฬิมฺปิ สกลํ ธาเรตุํ น สโกฺกนฺติ, ปฐมํ อภิธมฺมปิฎกํ ปริหายติ, ปริหายมานํ มตฺถกโต ปฎฺฐาย ปริหายติฯ ปฐมเมว หิ มหาปกรณํ ปริหายติ, ตสฺมิํ ปริหีเน ยมกํ, กถาวตฺถุ, ปุคฺคลปญฺญตฺติ, ธาตุกถา, วิภโงฺค, ธมฺมสงฺคโหติฯ
Pariyattiyā antarahitāyāti ettha pariyattīti (a. ni. aṭṭha. 1.1.130) tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ sāṭṭhakathā pāḷi. Yāva sā tiṭṭhati, tāva pariyatti paripuṇṇā nāma hoti. Gacchante gacchante kāle kaliyugarājāno adhammikā honti, tesu adhammikesu tesampi amaccādayo adhammikā honti, tato raṭṭhajanapadavāsinoti tesaṃ adhammikatāya na devo sammā vassati, tato sassāni na sampajjanti, tesu asampajjantesu paccayadāyakā bhikkhusaṅghassa paccaye dātuṃ na sakkonti, bhikkhū paccayehi kilamantā antevāsike saṅgahetuṃ na sakkonti. Gacchante gacchante kāle pariyatti parihāyati, atthavasena dhāretuṃ na sakkonti, pāḷivaseneva dhārenti. Tato kāle gacchante pāḷimpi sakalaṃ dhāretuṃ na sakkonti, paṭhamaṃ abhidhammapiṭakaṃ parihāyati, parihāyamānaṃ matthakato paṭṭhāya parihāyati. Paṭhamameva hi mahāpakaraṇaṃ parihāyati, tasmiṃ parihīne yamakaṃ, kathāvatthu, puggalapaññatti, dhātukathā, vibhaṅgo, dhammasaṅgahoti.
เอวํ อภิธมฺมปิฎเก ปริหีเน มตฺถกโต ปฎฺฐาย สุตฺตนฺตปิฎกํ ปริหายติฯ ปฐมญฺหิ องฺคุตฺตรนิกาโย ปริหายติ, ตสฺมิมฺปิ ปฐมํ เอกาทสกนิปาโต…เป.… ตโต เอกกนิปาโตติฯ เอวํ องฺคุตฺตรนิกาเย ปริหีเน มตฺถกโต ปฎฺฐาย สํยุตฺตนิกาโย ปริหายติฯ ปฐมญฺหิ มหาวโคฺค ปริหายติ, ตโต สฬายตนวโคฺค, ขนฺธกวโคฺค, นิทานวโคฺค, สคาถาวโคฺคติฯ เอวํ สํยุตฺตนิกาเย ปริหีเน มตฺถกโต ปฎฺฐาย มชฺฌิมนิกาโย ปริหายติฯ ปฐมญฺหิ อุปริปณฺณาสโก ปริหายติ, ตโต มชฺฌิมปณฺณาสโก, ตโต มูลปณฺณาสโกติฯ เอวํ มชฺฌิมนิกาเย ปริหีเน มตฺถกโต ปฎฺฐาย ทีฆนิกาโย ปริหายติฯ ปฐมญฺหิ ปาถิกวโคฺค ปริหายติ, ตโต มหาวโคฺค, ตโต สีลกฺขนฺธวโคฺคติฯ เอวํ ทีฆนิกาเย ปริหีเน สุตฺตนฺตปิฎกํ ปริหีนํ นาม โหติฯ วินยปิฎเกน สทฺธิํ ชาตกเมว ธาเรนฺติฯ วินยปิฎกญฺหิ ลชฺชิโน ธาเรนฺติ, ลาภกามา ปน ‘‘สุตฺตเนฺต กถิเตปิ สลฺลเกฺขนฺตา นตฺถี’’ติ ชาตกเมว ธาเรนฺติฯ คจฺฉเนฺต กาเล ชาตกมฺปิ ธาเรตุํ น สโกฺกนฺติฯ อถ เนสํ ปฐมํ เวสฺสนฺตรชาตกํ ปริหายติ, ตโต ปฎิโลมกฺกเมน ปุณฺณกชาตกํ, มหานารทชาตกนฺติ ปริโยสาเน อปณฺณกชาตกํ ปริหายติ, วินยปิฎกเมว ธาเรนฺติฯ
Evaṃ abhidhammapiṭake parihīne matthakato paṭṭhāya suttantapiṭakaṃ parihāyati. Paṭhamañhi aṅguttaranikāyo parihāyati, tasmimpi paṭhamaṃ ekādasakanipāto…pe… tato ekakanipātoti. Evaṃ aṅguttaranikāye parihīne matthakato paṭṭhāya saṃyuttanikāyo parihāyati. Paṭhamañhi mahāvaggo parihāyati, tato saḷāyatanavaggo, khandhakavaggo, nidānavaggo, sagāthāvaggoti. Evaṃ saṃyuttanikāye parihīne matthakato paṭṭhāya majjhimanikāyo parihāyati. Paṭhamañhi uparipaṇṇāsako parihāyati, tato majjhimapaṇṇāsako, tato mūlapaṇṇāsakoti. Evaṃ majjhimanikāye parihīne matthakato paṭṭhāya dīghanikāyo parihāyati. Paṭhamañhi pāthikavaggo parihāyati, tato mahāvaggo, tato sīlakkhandhavaggoti. Evaṃ dīghanikāye parihīne suttantapiṭakaṃ parihīnaṃ nāma hoti. Vinayapiṭakena saddhiṃ jātakameva dhārenti. Vinayapiṭakañhi lajjino dhārenti, lābhakāmā pana ‘‘suttante kathitepi sallakkhentā natthī’’ti jātakameva dhārenti. Gacchante kāle jātakampi dhāretuṃ na sakkonti. Atha nesaṃ paṭhamaṃ vessantarajātakaṃ parihāyati, tato paṭilomakkamena puṇṇakajātakaṃ, mahānāradajātakanti pariyosāne apaṇṇakajātakaṃ parihāyati, vinayapiṭakameva dhārenti.
คจฺฉเนฺต กาเล ตมฺปิ มตฺถกโต ปฎฺฐาย ปริหายติฯ ปฐมญฺหิ ปริวาโร ปริหายติ, ตโต ขนฺธโก, ภิกฺขุนีวิภโงฺค, มหาวิภโงฺคติ อนุกฺกเมน อุโปสถกฺขนฺธกมตฺตเมว ธาเรนฺติฯ ตทาปิ ปริยตฺติ อนนฺตรหิตาว โหติฯ ยาว ปน มนุเสฺสสุ จตุปฺปทิกคาถาปิ ปวตฺตติ, ตาว ปริยตฺติ อนนฺตรหิตาว โหติฯ ยทา สโทฺธ ปสโนฺน ราชา หตฺถิกฺขเนฺธ สุวณฺณจโงฺกฎกมฺหิ สหสฺสตฺถวิกํ ฐปาเปตฺวา ‘‘พุเทฺธหิ กถิตํ จตุปฺปทิกํ คาถํ ชานโนฺต อิมํ สหสฺสํ คณฺหตู’’ติ นคเร เภริํ จราเปตฺวา คณฺหนกํ อลภิตฺวา ‘‘เอกวารํ จราปิเต นามํ สุณนฺตาปิ โหนฺติ อสุณนฺตาปี’’ติ ยาวตติยํ จราเปตฺวา คณฺหนกํ อลภิตฺวา ราชปุริสา สหสฺสตฺถวิกํ ปุน ราชกุลํ ปเวเสนฺติ, ตทา ปริยตฺติ อนฺตรหิตา นาม โหติฯ
Gacchante kāle tampi matthakato paṭṭhāya parihāyati. Paṭhamañhi parivāro parihāyati, tato khandhako, bhikkhunīvibhaṅgo, mahāvibhaṅgoti anukkamena uposathakkhandhakamattameva dhārenti. Tadāpi pariyatti anantarahitāva hoti. Yāva pana manussesu catuppadikagāthāpi pavattati, tāva pariyatti anantarahitāva hoti. Yadā saddho pasanno rājā hatthikkhandhe suvaṇṇacaṅkoṭakamhi sahassatthavikaṃ ṭhapāpetvā ‘‘buddhehi kathitaṃ catuppadikaṃ gāthaṃ jānanto imaṃ sahassaṃ gaṇhatū’’ti nagare bheriṃ carāpetvā gaṇhanakaṃ alabhitvā ‘‘ekavāraṃ carāpite nāmaṃ suṇantāpi honti asuṇantāpī’’ti yāvatatiyaṃ carāpetvā gaṇhanakaṃ alabhitvā rājapurisā sahassatthavikaṃ puna rājakulaṃ pavesenti, tadā pariyatti antarahitā nāma hoti.
จิรํ ปวตฺติสฺสตีติ ปริยตฺติยา อนฺตรหิตายปิ ลิงฺคมตฺตํ อทฺธานํ ปวตฺติสฺสติฯ กถํ? คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต หิ กาเล จีวรคฺคหณํ ปตฺตคฺคหณํ สมิญฺชนปสารณํ อาโลกิตวิโลกิตํ น ปาสาทิกํ โหติ, นิคณฺฐสมณา วิย อลาพุปตฺตํ ภิกฺขู ปตฺตํ อคฺคพาหาย ปริกฺขิปิตฺวา อาทาย วิจรนฺติ, เอตฺตาวตาปิ ลิงฺคํ อนนฺตรหิตเมว โหติฯ คจฺฉเนฺต ปน กาเล อคฺคพาหโต โอตาเรตฺวา หเตฺถน วา สิกฺกาย วา โอลเมฺพตฺวา วิจรนฺติ, จีวรมฺปิ รชนสารุปฺปํ อกตฺวา โอฎฺฐฎฺฐิวณฺณํ กตฺวา รชนฺติฯ คจฺฉเนฺต กาเล รชนมฺปิ น โหติ, ทสจฺฉินฺทนํ โอวฎฺฎิกาวิชฺฌนํ กปฺปมตฺตญฺจ กตฺวา วฬญฺชนฺติ, ปุน โอวฎฺฎิกํ วิชฺฌิตฺวา กปฺปํ น กโรนฺติฯ ตโต อุภยมฺปิ อกตฺวา ทสา เฉตฺวา ปริพฺพาชกา วิย จรนฺติฯ คจฺฉเนฺต กาเล ‘‘โก อิมินา อมฺหากํ อโตฺถ’’ติ ขุทฺทกํ กาสาวขณฺฑํ หเตฺถ วา คีวายํ วา พนฺธนฺติ, เกเสสุ วา อลฺลียาเปนฺติ, ทารภรณํ กโรนฺตา กสิตฺวา วปิตฺวา ชีวิกํ กเปฺปตฺวา วิจรนฺติ, ตทา ทกฺขิณํ เทโนฺต ชโน สงฺฆํ อุทฺทิสฺส เอเตสมฺปิ เทติฯ อิทํ สนฺธาย ภควตา วุตฺตํ ‘‘ภวิสฺสนฺติ โข ปนานนฺท, อนาคตมทฺธานํ โคตฺรภุโน กาสาวกณฺฐา ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา, เตสุ ทุสฺสีเลสุ สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ทานํ ทสฺสนฺติ, ตทาปาหํ, อานนฺท, สงฺฆคตํ ทกฺขิณํ อสเงฺขฺยยฺยํ อปฺปเมยฺยํ วทามี’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๘๐)ฯ ตโต คจฺฉเนฺต กาเล นานาวิธานิ กมฺมานิ กโรนฺตา ‘‘ปปโญฺจ เอส, กิํ อิมินา อมฺหาก’’นฺติ กาสาวขณฺฑํ ฉินฺทิตฺวา อรเญฺญ ขิปนฺติ, ตสฺมิํ กาเล ลิงฺคํ อนฺตรหิตํ นาม โหติฯ กสฺสปทสพลสฺส กิร กาลโต ปฎฺฐาย โยนกานํ เสตวตฺถานิ ปารุปิตฺวา จรณจาริตฺตํ ชาตํฯ เอวํ ปริยตฺติยา อนฺตรหิตายปิ ลิงฺคมตฺตํ จิรํ ปวตฺติสฺสตีติ เวทิตพฺพํฯ
Ciraṃ pavattissatīti pariyattiyā antarahitāyapi liṅgamattaṃ addhānaṃ pavattissati. Kathaṃ? Gacchante gacchante hi kāle cīvaraggahaṇaṃ pattaggahaṇaṃ samiñjanapasāraṇaṃ ālokitavilokitaṃ na pāsādikaṃ hoti, nigaṇṭhasamaṇā viya alābupattaṃ bhikkhū pattaṃ aggabāhāya parikkhipitvā ādāya vicaranti, ettāvatāpi liṅgaṃ anantarahitameva hoti. Gacchante pana kāle aggabāhato otāretvā hatthena vā sikkāya vā olambetvā vicaranti, cīvarampi rajanasāruppaṃ akatvā oṭṭhaṭṭhivaṇṇaṃ katvā rajanti. Gacchante kāle rajanampi na hoti, dasacchindanaṃ ovaṭṭikāvijjhanaṃ kappamattañca katvā vaḷañjanti, puna ovaṭṭikaṃ vijjhitvā kappaṃ na karonti. Tato ubhayampi akatvā dasā chetvā paribbājakā viya caranti. Gacchante kāle ‘‘ko iminā amhākaṃ attho’’ti khuddakaṃ kāsāvakhaṇḍaṃ hatthe vā gīvāyaṃ vā bandhanti, kesesu vā allīyāpenti, dārabharaṇaṃ karontā kasitvā vapitvā jīvikaṃ kappetvā vicaranti, tadā dakkhiṇaṃ dento jano saṅghaṃ uddissa etesampi deti. Idaṃ sandhāya bhagavatā vuttaṃ ‘‘bhavissanti kho panānanda, anāgatamaddhānaṃ gotrabhuno kāsāvakaṇṭhā dussīlā pāpadhammā, tesu dussīlesu saṅghaṃ uddissa dānaṃ dassanti, tadāpāhaṃ, ānanda, saṅghagataṃ dakkhiṇaṃ asaṅkhyeyyaṃ appameyyaṃ vadāmī’’ti (ma. ni. 3.380). Tato gacchante kāle nānāvidhāni kammāni karontā ‘‘papañco esa, kiṃ iminā amhāka’’nti kāsāvakhaṇḍaṃ chinditvā araññe khipanti, tasmiṃ kāle liṅgaṃ antarahitaṃ nāma hoti. Kassapadasabalassa kira kālato paṭṭhāya yonakānaṃ setavatthāni pārupitvā caraṇacārittaṃ jātaṃ. Evaṃ pariyattiyā antarahitāyapi liṅgamattaṃ ciraṃ pavattissatīti veditabbaṃ.
อฎฺฐครุธมฺมกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Aṭṭhagarudhammakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / จูฬวคฺคปาฬิ • Cūḷavaggapāḷi / อฎฺฐครุธมฺมา • Aṭṭhagarudhammā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / จูฬวคฺค-อฎฺฐกถา • Cūḷavagga-aṭṭhakathā / มหาปชาปติโคตมีวตฺถุกถา • Mahāpajāpatigotamīvatthukathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / มหาปชาปติโคตมีวตฺถุกถาวณฺณนา • Mahāpajāpatigotamīvatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / มหาปชาปติโคตมีวตฺถุกถาวณฺณนา • Mahāpajāpatigotamīvatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / มหาปชาปติโคตมีวตฺถุกถา • Mahāpajāpatigotamīvatthukathā