Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๒๕] ๙. อฎฺฐานชาตกวณฺณนา

    [425] 9. Aṭṭhānajātakavaṇṇanā

    คงฺคา กุมุทินีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ ภิกฺขุํ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํการณา’’ติ วตฺวา ‘‘กิเลสวเสนา’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ มาตุคาโม นาม อกตญฺญู มิตฺตทุพฺภี อวิสฺสาสนีโยฯ อตีเต ปณฺฑิตา เทวสิกํ สหสฺสํ เทนฺตาปิ มาตุคามํ โตเสตุํ นาสกฺขิํสุฯ สา เอกทิวสมตฺตํ สหสฺสํ อลภิตฺวาว เต คีวายํ คาหาเปตฺวา นีหราเปสิ , เอวํ อกตญฺญู มาตุคาโม, มา ตสฺส การณา กิเลสวสํ คจฺฉา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Gaṅgā kumudinīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tañhi bhikkhuṃ satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘kiṃkāraṇā’’ti vatvā ‘‘kilesavasenā’’ti vutte ‘‘bhikkhu mātugāmo nāma akataññū mittadubbhī avissāsanīyo. Atīte paṇḍitā devasikaṃ sahassaṃ dentāpi mātugāmaṃ tosetuṃ nāsakkhiṃsu. Sā ekadivasamattaṃ sahassaṃ alabhitvāva te gīvāyaṃ gāhāpetvā nīharāpesi , evaṃ akataññū mātugāmo, mā tassa kāraṇā kilesavasaṃ gacchā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ตสฺส จ ปุโตฺต พฺรหฺมทตฺตกุมาโร, พาราณสิเสฎฺฐิโน จ ปุโตฺต มหาธนกุมาโร นามฯ เต อุโภปิ สหปํสุกีฬกา สหายกา อเหสุํ, เอกาจริยกุเลเยว สิปฺปํ คณฺหิํสุฯ ราชกุมาโร ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาสิ, เสฎฺฐิปุโตฺตปิสฺส สนฺติเกเยว อโหสิฯ พาราณสิยญฺจ เอกา นครโสภิณี วณฺณทาสี อภิรูปา อโหสิ โสภคฺคปฺปตฺตาฯ เสฎฺฐิปุโตฺต เทวสิกํ สหสฺสํ ทตฺวา นิจฺจกาเล ตาเยว สทฺธิํ อภิรมโนฺต ปิตุ อจฺจเยน เสฎฺฐิฎฺฐานํ ลภิตฺวาปิ น ตํ วิชหิ, ตเถว เทวสิกํ สหสฺสํ ทตฺวา อภิรมิฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ทิวสสฺส ตโย วาเร ราชุปฎฺฐานํ คจฺฉติฯ อถสฺส เอกทิวสํ ราชุปฎฺฐานํ คตสฺส รญฺญา สทฺธิํ สมุลฺลปนฺตเสฺสว สูริโย อตฺถงฺคมิ, อนฺธการํ ชาตํฯ โส ราชกุลา นิกฺขมิตฺวา ‘‘อิทานิ เคหํ คนฺตฺวา อาคมนเวลา นตฺถิ, นครโสภิณิยาเยว เคหํ คมิสฺสามี’’ติ อุปฎฺฐาเก อุโยฺยเชตฺวา เอกโกว ตสฺสา เคหํ ปาวิสิฯ อถ นํ สา ทิสฺวา ‘‘อยฺยปุตฺต, สหสฺสํ อาภต’’นฺติ อาหฯ ‘‘ภเทฺท, อหํ อเชฺชว อติวิกาโล ชาโต, ตสฺมา เคหํ อคนฺตฺวา มนุเสฺส อุโยฺยเชตฺวา เอกโกว ปวิโฎฺฐสฺมิ, เสฺว ปน เต เทฺว สหสฺสานิ ทสฺสามี’’ติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente tassa ca putto brahmadattakumāro, bārāṇasiseṭṭhino ca putto mahādhanakumāro nāma. Te ubhopi sahapaṃsukīḷakā sahāyakā ahesuṃ, ekācariyakuleyeva sippaṃ gaṇhiṃsu. Rājakumāro pitu accayena rajje patiṭṭhāsi, seṭṭhiputtopissa santikeyeva ahosi. Bārāṇasiyañca ekā nagarasobhiṇī vaṇṇadāsī abhirūpā ahosi sobhaggappattā. Seṭṭhiputto devasikaṃ sahassaṃ datvā niccakāle tāyeva saddhiṃ abhiramanto pitu accayena seṭṭhiṭṭhānaṃ labhitvāpi na taṃ vijahi, tatheva devasikaṃ sahassaṃ datvā abhirami. Seṭṭhiputto divasassa tayo vāre rājupaṭṭhānaṃ gacchati. Athassa ekadivasaṃ rājupaṭṭhānaṃ gatassa raññā saddhiṃ samullapantasseva sūriyo atthaṅgami, andhakāraṃ jātaṃ. So rājakulā nikkhamitvā ‘‘idāni gehaṃ gantvā āgamanavelā natthi, nagarasobhiṇiyāyeva gehaṃ gamissāmī’’ti upaṭṭhāke uyyojetvā ekakova tassā gehaṃ pāvisi. Atha naṃ sā disvā ‘‘ayyaputta, sahassaṃ ābhata’’nti āha. ‘‘Bhadde, ahaṃ ajjeva ativikālo jāto, tasmā gehaṃ agantvā manusse uyyojetvā ekakova paviṭṭhosmi, sve pana te dve sahassāni dassāmī’’ti.

    สา จิเนฺตสิ ‘‘สจาหํ อชฺช โอกาสํ กริสฺสามิ, อเญฺญสุปิ ทิวเสสุ ตุจฺฉหตฺถโกว อาคมิสฺสติ, เอวํ เม ธนํ ปริหายิสฺสติ, น ทานิสฺส โอกาสํ กริสฺสามี’’ติฯ อถ นํ เอวมาห ‘‘สามิ, มยํ วณฺณทาสิโย นาม, อมฺหากํ สหสฺสํ อทตฺวา เกฬิ นาม นตฺถี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, เสฺว ทิคุณํ อาหริสฺสามี’’ติ ปุนปฺปุนํ ยาจิฯ นครโสภิณี ทาสิโย อาณาเปสิ ‘‘เอตสฺส อิธ ฐตฺวา มํ โอโลเกตุํ มา อทตฺถ, คีวายํ ตํ คเหตฺวา นีหริตฺวา ทฺวารํ ปิทหถา’’ติฯ ตํ สุตฺวา ทาสิโย ตถา กริํสุฯ อถ โส จิเนฺตสิ ‘‘อหํ อิมาย สทฺธิํ อสีติโกฎิธนํ ขาทิํ, สา มํ เอกทิวสํ ตุจฺฉหตฺถํ ทิสฺวา คีวายํ คเหตฺวา นีหราเปสิ, อโห มาตุคาโม นาม ปาโป นิลฺลโชฺช อกตญฺญู มิตฺตทุพฺภี’’ติฯ โส มาตุคามสฺส อคุณํ อนุสฺสรโนฺตว วิรชฺชิ, ปฎิกูลสญฺญํ ปฎิลภิ, ฆราวาเสปิ อุกฺกณฺฐิโต ‘‘กิํ เม ฆราวาเสน, อเชฺชว นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติ ปุน เคหํ อคนฺตฺวา ราชานมฺปิ อทิสฺวาว นครา นิกฺขมิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา คงฺคาตีเร อสฺสมํ มาเปตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญาโย อุปฺปาเทตฺวา วนมูลผลาหาโร ตตฺถ วาสํ กเปฺปสิฯ

    Sā cintesi ‘‘sacāhaṃ ajja okāsaṃ karissāmi, aññesupi divasesu tucchahatthakova āgamissati, evaṃ me dhanaṃ parihāyissati, na dānissa okāsaṃ karissāmī’’ti. Atha naṃ evamāha ‘‘sāmi, mayaṃ vaṇṇadāsiyo nāma, amhākaṃ sahassaṃ adatvā keḷi nāma natthī’’ti. ‘‘Bhadde, sve diguṇaṃ āharissāmī’’ti punappunaṃ yāci. Nagarasobhiṇī dāsiyo āṇāpesi ‘‘etassa idha ṭhatvā maṃ oloketuṃ mā adattha, gīvāyaṃ taṃ gahetvā nīharitvā dvāraṃ pidahathā’’ti. Taṃ sutvā dāsiyo tathā kariṃsu. Atha so cintesi ‘‘ahaṃ imāya saddhiṃ asītikoṭidhanaṃ khādiṃ, sā maṃ ekadivasaṃ tucchahatthaṃ disvā gīvāyaṃ gahetvā nīharāpesi, aho mātugāmo nāma pāpo nillajjo akataññū mittadubbhī’’ti. So mātugāmassa aguṇaṃ anussarantova virajji, paṭikūlasaññaṃ paṭilabhi, gharāvāsepi ukkaṇṭhito ‘‘kiṃ me gharāvāsena, ajjeva nikkhamitvā pabbajissāmī’’ti puna gehaṃ agantvā rājānampi adisvāva nagarā nikkhamitvā araññaṃ pavisitvā gaṅgātīre assamaṃ māpetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā jhānābhiññāyo uppādetvā vanamūlaphalāhāro tattha vāsaṃ kappesi.

    ราชา ตํ อปสฺสโนฺต ‘‘กหํ มม สหาโย’’ติ ปุจฺฉิฯ นครโสภิณิยาปิ กตกมฺมํ สกลนคเร ปากฎํ ชาตํฯ อถสฺส ตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิติ เต เทว, สหาโย ลชฺชาย ฆรมฺปิ อคนฺตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิโต ภวิสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ ราชา ตํ สุตฺวา นครโสภิณิํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ เอกทิวสํ สหสฺสํ อลภิตฺวา มม สหายํ คีวายํ คาหาเปตฺวา นีหราเปสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สจฺจํ, เทวา’’ติฯ ‘‘ปาเป ชมฺมี, สีฆํ มม สหายสฺส คตฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตํ อาเนหิ, โน เจ อาเนสฺสสิ, ชีวิตํ เต นตฺถี’’ติฯ สา รโญฺญ วจนํ สุตฺวา ภีตา รถํ อารุยฺห มหเนฺตน ปริวาเรน นครา นิกฺขมิตฺวา ตสฺส วสนฎฺฐานํ ปริเยสนฺตี สุตวเสน ตํ ฐานํ สุตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อยฺย, มยา อนฺธพาลภาเวน กตํ โทสํ ขมถ, อหํ น ปุเนวํ กริสฺสามี’’ติ ยาจิตฺวา ‘‘สาธุ, ขมามิ เต, นตฺถิ เม ตยิ อาฆาโต’’ติ วุเตฺต ‘‘สเจ เม ขมถ, มยา สทฺธิํ รถํ อภิรุหถ, นครํ คจฺฉิสฺสาม, คตกาเล ยํ มม ฆเร ธนํ อตฺถิ, สพฺพํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ โส ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘ภเทฺท, อิทานิ ตยา สทฺธิํ คนฺตุํ น สกฺกา, ยทา ปน อิมสฺมิํ โลเก เยน น ภวิตพฺพํ, ตํ ภวิสฺสติ, อปิ นาม ตทา คเจฺฉยฺย’’นฺติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Rājā taṃ apassanto ‘‘kahaṃ mama sahāyo’’ti pucchi. Nagarasobhiṇiyāpi katakammaṃ sakalanagare pākaṭaṃ jātaṃ. Athassa tamatthaṃ ācikkhitvā ‘‘iti te deva, sahāyo lajjāya gharampi agantvā araññaṃ pavisitvā pabbajito bhavissatī’’ti āhaṃsu. Rājā taṃ sutvā nagarasobhiṇiṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ ekadivasaṃ sahassaṃ alabhitvā mama sahāyaṃ gīvāyaṃ gāhāpetvā nīharāpesī’’ti pucchi. ‘‘Saccaṃ, devā’’ti. ‘‘Pāpe jammī, sīghaṃ mama sahāyassa gataṭṭhānaṃ gantvā taṃ ānehi, no ce ānessasi, jīvitaṃ te natthī’’ti. Sā rañño vacanaṃ sutvā bhītā rathaṃ āruyha mahantena parivārena nagarā nikkhamitvā tassa vasanaṭṭhānaṃ pariyesantī sutavasena taṃ ṭhānaṃ sutvā tattha gantvā vanditvā ‘‘ayya, mayā andhabālabhāvena kataṃ dosaṃ khamatha, ahaṃ na punevaṃ karissāmī’’ti yācitvā ‘‘sādhu, khamāmi te, natthi me tayi āghāto’’ti vutte ‘‘sace me khamatha, mayā saddhiṃ rathaṃ abhiruhatha, nagaraṃ gacchissāma, gatakāle yaṃ mama ghare dhanaṃ atthi, sabbaṃ dassāmī’’ti āha. So tassā vacanaṃ sutvā ‘‘bhadde, idāni tayā saddhiṃ gantuṃ na sakkā, yadā pana imasmiṃ loke yena na bhavitabbaṃ, taṃ bhavissati, api nāma tadā gaccheyya’’nti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๗๗.

    77.

    ‘‘คงฺคา กุมุทินี สนฺตา, สงฺขวณฺณา จ โกกิลา;

    ‘‘Gaṅgā kumudinī santā, saṅkhavaṇṇā ca kokilā;

    ชมฺพู ตาลผลํ ทชฺชา, อถ นูน ตทา สิยา’’ติฯ

    Jambū tālaphalaṃ dajjā, atha nūna tadā siyā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ภเทฺท, ยถา หิ กุมุทสรา กุมุเทหิ สญฺฉนฺนา ติฎฺฐนฺติ, ตเถว สเจ สกลาปิ มหาคงฺคา กุมุทินี สีฆโสตํ ปหาย สนฺตา อุปสนฺตา สิยา, สเพฺพ โกกิลา จ สงฺขวณฺณา ภเวยฺยุํ, สโพฺพ ชมฺพุรุโกฺข จ ตาลผลํ ทเทยฺยฯ อถ นูน ตทา สิยาติ อถ ตาทิเส กาเล อมฺหากมฺปิ สมาคโม นูน สิยา, ภเวยฺย นามาติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tassattho – bhadde, yathā hi kumudasarā kumudehi sañchannā tiṭṭhanti, tatheva sace sakalāpi mahāgaṅgā kumudinī sīghasotaṃ pahāya santā upasantā siyā, sabbe kokilā ca saṅkhavaṇṇā bhaveyyuṃ, sabbo jamburukkho ca tālaphalaṃ dadeyya. Atha nūna tadā siyāti atha tādise kāle amhākampi samāgamo nūna siyā, bhaveyya nāmāti vuttaṃ hoti.

    เอวญฺจ วตฺวา ปุนปิ ตาย ‘‘เอหิ, อยฺย, คจฺฉามา’’ติ วุเตฺต ‘‘คจฺฉิสฺสามา’’ติ วตฺวา ‘‘กสฺมิํ กาเล’’ติ วุเตฺต ‘‘อสุกสฺมิญฺจ อสุกสฺมิญฺจา’’ติ วตฺวา เสสคาถา อภาสิ –

    Evañca vatvā punapi tāya ‘‘ehi, ayya, gacchāmā’’ti vutte ‘‘gacchissāmā’’ti vatvā ‘‘kasmiṃ kāle’’ti vutte ‘‘asukasmiñca asukasmiñcā’’ti vatvā sesagāthā abhāsi –

    ๗๘.

    78.

    ‘‘ยทา กจฺฉปโลมานํ, ปาวาโร ติวิโธ สิยา;

    ‘‘Yadā kacchapalomānaṃ, pāvāro tividho siyā;

    เหมนฺติกํ ปาวุรณํ, อถ นูน ตทา สิยาฯ

    Hemantikaṃ pāvuraṇaṃ, atha nūna tadā siyā.

    ๗๙.

    79.

    ‘‘ยทา มกสปาทานํ, อฎฺฎาโล สุกโต สิยา;

    ‘‘Yadā makasapādānaṃ, aṭṭālo sukato siyā;

    ทโฬฺห จ อวิกมฺปี จ, อถ นูน ตทา สิยาฯ

    Daḷho ca avikampī ca, atha nūna tadā siyā.

    ๘๐.

    80.

    ‘‘ยทา สสวิสาณานํ, นิเสฺสณี สุกตา สิยา;

    ‘‘Yadā sasavisāṇānaṃ, nisseṇī sukatā siyā;

    สคฺคสฺสาโรหณตฺถาย, อถ นูน ตทา สิยาฯ

    Saggassārohaṇatthāya, atha nūna tadā siyā.

    ๘๑.

    81.

    ‘‘ยทา นิเสฺสณิมารุยฺห, จนฺทํ ขาเทยฺยุ มูสิกา;

    ‘‘Yadā nisseṇimāruyha, candaṃ khādeyyu mūsikā;

    ราหุญฺจ ปริปาเตยฺยุํ, อถ นูน ตทา สิยาฯ

    Rāhuñca paripāteyyuṃ, atha nūna tadā siyā.

    ๘๒.

    82.

    ‘‘ยทา สุราฆฎํ ปิตฺวา, มกฺขิกา คณจาริณี;

    ‘‘Yadā surāghaṭaṃ pitvā, makkhikā gaṇacāriṇī;

    องฺคาเร วาสํ กเปฺปยฺยุํ, อถ นูน ตทา สิยาฯ

    Aṅgāre vāsaṃ kappeyyuṃ, atha nūna tadā siyā.

    ๘๓.

    83.

    ‘‘ยทา พิโมฺพฎฺฐสมฺปโนฺน, คทฺรโภ สุมุโข สิยา;

    ‘‘Yadā bimboṭṭhasampanno, gadrabho sumukho siyā;

    กุสโล นจฺจคีตสฺส, อถ นูน ตทา สิยาฯ

    Kusalo naccagītassa, atha nūna tadā siyā.

    ๘๔.

    84.

    ‘‘ยทา กากา อุลูกา จ, มนฺตเยยฺยุํ รโหคตา;

    ‘‘Yadā kākā ulūkā ca, mantayeyyuṃ rahogatā;

    อญฺญมญฺญํ ปิหเยฺยยฺยุํ, อถ นูน ตทา สิยาฯ

    Aññamaññaṃ pihayyeyyuṃ, atha nūna tadā siyā.

    ๘๕.

    85.

    ‘‘ยทา มุฬาลปตฺตานํ, ฉตฺตํ ถิรตรํ สิยา;

    ‘‘Yadā muḷālapattānaṃ, chattaṃ thirataraṃ siyā;

    วสฺสสฺส ปฎิฆาตาย, อถ นูน ตทา สิยาฯ

    Vassassa paṭighātāya, atha nūna tadā siyā.

    ๘๖.

    86.

    ‘‘ยทา กุลโก สกุโณ, ปพฺพตํ คนฺธมาทนํ;

    ‘‘Yadā kulako sakuṇo, pabbataṃ gandhamādanaṃ;

    ตุเณฺฑนาทาย คเจฺฉยฺย, อถ นูน ตทา สิยาฯ

    Tuṇḍenādāya gaccheyya, atha nūna tadā siyā.

    ๘๗.

    87.

    ‘‘ยทา สามุทฺทิกํ นาวํ, สยนฺตํ สวฎากรํ;

    ‘‘Yadā sāmuddikaṃ nāvaṃ, sayantaṃ savaṭākaraṃ;

    เจโฎ อาทาย คเจฺฉยฺย, อถ นูน ตทา สิยา’’ติฯ

    Ceṭo ādāya gaccheyya, atha nūna tadā siyā’’ti.

    ตตฺถ ติวิโธติ เอโก กจฺฉปโลมมเยน ปุเปฺผน, เอโก ตูเลน, เอโก อุภเยนาติ เอวํ ติปฺปกาโรฯ เหมนฺติกํ ปาวุรณนฺติ หิมปาตสมเย ปาวุรณาย ภวิตุํ สมโตฺถฯ อถ นูน ตทา สิยาติ อถ ตสฺมิํ กาเล มม ตยา สทฺธิํ เอกํเสเนว สํสโคฺค สิยาฯ เอวํ สพฺพตฺถ ปจฺฉิมปทํ โยเชตพฺพํฯ อฎฺฎาโล สุกโตติ อภิรุหิตฺวา ยุชฺฌนฺตํ ปุริสสตํ ธาเรตุํ ยถา สโกฺกติ, เอวํ สุกโตฯ ปริปาเตยฺยุนฺติ ปลาเปยฺยุํฯ องฺคาเรติ วีตจฺจิกงฺคารสนฺถเรฯ วาสํ กเปฺปยฺยุนฺติ เอเกกํ สุราฆฎํ ปิวิตฺวา มตฺตา วเสยฺยุํฯ พิโมฺพฎฺฐสมฺปโนฺนติ พิมฺพผลสทิเสหิ โอเฎฺฐหิ สมนฺนาคโตฯ สุมุโขติ สุวณฺณอาทาสสทิโส มุโขฯ ปิหเยยฺยุนฺติ อญฺญมญฺญสฺส สมฺปตฺติํ อิจฺฉนฺตา ปิหเยยฺยุํ ปเตฺถยฺยุํฯ มุฬาลปตฺตานนฺติ สณฺหานํ มุฬาลคจฺฉปตฺตานํฯ กุลโกติ เอโก ขุทฺทกสกุโณฯ สามุทฺทิกนฺติ สมุทฺทปกฺขนฺทนมหานาวํฯ สยนฺตํ สวฎากรนฺติ ยเนฺตน เจว วฎากเรน จ สทฺธิํ สพฺพสมฺภารยุตฺตํฯ เจโฎ อาทายาติ ยทา เอวรูปํ นาวํ ขุทฺทโก คามทารโก หเตฺถน คเหตฺวา คเจฺฉยฺยาติ อโตฺถฯ

    Tattha tividhoti eko kacchapalomamayena pupphena, eko tūlena, eko ubhayenāti evaṃ tippakāro. Hemantikaṃ pāvuraṇanti himapātasamaye pāvuraṇāya bhavituṃ samattho. Atha nūna tadā siyāti atha tasmiṃ kāle mama tayā saddhiṃ ekaṃseneva saṃsaggo siyā. Evaṃ sabbattha pacchimapadaṃ yojetabbaṃ. Aṭṭālo sukatoti abhiruhitvā yujjhantaṃ purisasataṃ dhāretuṃ yathā sakkoti, evaṃ sukato. Paripāteyyunti palāpeyyuṃ. Aṅgāreti vītaccikaṅgārasanthare. Vāsaṃ kappeyyunti ekekaṃ surāghaṭaṃ pivitvā mattā vaseyyuṃ. Bimboṭṭhasampannoti bimbaphalasadisehi oṭṭhehi samannāgato. Sumukhoti suvaṇṇaādāsasadiso mukho. Pihayeyyunti aññamaññassa sampattiṃ icchantā pihayeyyuṃ pattheyyuṃ. Muḷālapattānanti saṇhānaṃ muḷālagacchapattānaṃ. Kulakoti eko khuddakasakuṇo. Sāmuddikanti samuddapakkhandanamahānāvaṃ. Sayantaṃ savaṭākaranti yantena ceva vaṭākarena ca saddhiṃ sabbasambhārayuttaṃ. Ceṭo ādāyāti yadā evarūpaṃ nāvaṃ khuddako gāmadārako hatthena gahetvā gaccheyyāti attho.

    อิติ มหาสโตฺต อิมินา อฎฺฐานปริกเปฺปน เอกาทส คาถา อภาสิฯ ตํ สุตฺวา นครโสภิณี มหาสตฺตํ ขมาเปตฺวา นครํ คนฺตฺวา รโญฺญ ตํ การณํ อาโรเจตฺวา อตฺตโน ชีวิตํ ยาจิตฺวา คณฺหิฯ

    Iti mahāsatto iminā aṭṭhānaparikappena ekādasa gāthā abhāsi. Taṃ sutvā nagarasobhiṇī mahāsattaṃ khamāpetvā nagaraṃ gantvā rañño taṃ kāraṇaṃ ārocetvā attano jīvitaṃ yācitvā gaṇhi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ ภิกฺขุ มาตุคาโม นาม อกตญฺญู มิตฺตทุพฺภี’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ตาปโส ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ bhikkhu mātugāmo nāma akataññū mittadubbhī’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā rājā ānando ahosi, tāpaso pana ahameva ahosinti.

    อฎฺฐานชาตกวณฺณนา นวมาฯ

    Aṭṭhānajātakavaṇṇanā navamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๒๕. อฎฺฐานชาตกํ • 425. Aṭṭhānajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact