Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๑๕. อฎฺฐานปาฬิ (ปฐมวคฺค)
15. Aṭṭhānapāḷi (paṭhamavagga)
(๑๕) ๑. อฎฺฐานปาฬิ-ปฐมวคฺควณฺณนา
(15) 1. Aṭṭhānapāḷi-paṭhamavaggavaṇṇanā
๒๖๘. อฎฺฐานปาฬิวณฺณนายํ อวิชฺชมานํ ฐานํ อฎฺฐานํ, นตฺถิ ฐานนฺติ วา อฎฺฐานํฯ อนวกาโสติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ตทตฺถนิคมนเมว หิ ‘‘เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ วจนนฺติฯ เตนาห – ‘‘อุภเยนปี’’ติอาทิฯ ยนฺติ การณเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํฯ เหตุอโตฺถ เจตฺถ การณโตฺถติ อาห – ‘‘ยนฺติ เยน การเณนา’’ติฯ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทเสเนตฺถ ทิฎฺฐิสมฺปตฺติ เวทิตพฺพาติ วุตฺตํ – ‘‘มคฺคทิฎฺฐิยา สมฺปโนฺน’’ติฯ กุโต ปนายมโตฺถ ลพฺภตีติ? ลิงฺคโต, ลิงฺคํ เจตสฺส นิจฺจโต อุปคมนปฺปฎิเกฺขโปฯ จตุภูมเกสูติ อิทํ จตุตฺถภูมกสงฺขารานํ อริยสาวกสฺส วิสยภาวูปคมนโต วุตฺตํ, น ปน เต อารพฺภ นิจฺจโต อุปคมนสพฺภาวโตฯ วกฺขติ หิ ‘‘ตทภาเว จตุตฺถภูมกสงฺขารา ปนา’’ติอาทินาฯ อภิสงฺขตสงฺขารอภิสงฺขรณกสงฺขารานํ สปฺปเทสตฺตา นิปฺปเทสสงฺขารคฺคหณตฺถํ ‘‘สงฺขตสงฺขาเรสู’’ติ วุตฺตํ, โลกุตฺตรสงฺขารานํ ปน นิวตฺตเน การณํ สยเมว วกฺขติฯ เอตํ การณํ นตฺถีติ ตถา อุปคมเน เสตุฆาโต นตฺถิฯ เตชุสฺสทตฺตาติ สํกิเลสวิธมนเตชสฺส อธิกภาวโตฯ ตถา หิ เต คมฺภีรภาเวน ทุทฺทสา อกุสลานํ อารมฺมณํ น โหนฺตีติฯ อิทํ ปน ปกรณวเสน วุตฺตํฯ อปฺปหีนวิปลฺลาสานญฺหิ สนฺตาเนสุ กุสลธมฺมานมฺปิ เต อารมฺมณํ น โหนฺติฯ
268. Aṭṭhānapāḷivaṇṇanāyaṃ avijjamānaṃ ṭhānaṃ aṭṭhānaṃ, natthi ṭhānanti vā aṭṭhānaṃ. Anavakāsoti etthāpi eseva nayo. Tadatthanigamanameva hi ‘‘netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti vacananti. Tenāha – ‘‘ubhayenapī’’tiādi. Yanti kāraṇatthe paccattavacanaṃ. Hetuattho cettha kāraṇatthoti āha – ‘‘yanti yena kāraṇenā’’ti. Ukkaṭṭhaniddesenettha diṭṭhisampatti veditabbāti vuttaṃ – ‘‘maggadiṭṭhiyā sampanno’’ti. Kuto panāyamattho labbhatīti? Liṅgato, liṅgaṃ cetassa niccato upagamanappaṭikkhepo. Catubhūmakesūti idaṃ catutthabhūmakasaṅkhārānaṃ ariyasāvakassa visayabhāvūpagamanato vuttaṃ, na pana te ārabbha niccato upagamanasabbhāvato. Vakkhati hi ‘‘tadabhāve catutthabhūmakasaṅkhārā panā’’tiādinā. Abhisaṅkhatasaṅkhāraabhisaṅkharaṇakasaṅkhārānaṃ sappadesattā nippadesasaṅkhāraggahaṇatthaṃ ‘‘saṅkhatasaṅkhāresū’’ti vuttaṃ, lokuttarasaṅkhārānaṃ pana nivattane kāraṇaṃ sayameva vakkhati. Etaṃ kāraṇaṃ natthīti tathā upagamane setughāto natthi. Tejussadattāti saṃkilesavidhamanatejassa adhikabhāvato. Tathā hi te gambhīrabhāvena duddasā akusalānaṃ ārammaṇaṃ na hontīti. Idaṃ pana pakaraṇavasena vuttaṃ. Appahīnavipallāsānañhi santānesu kusaladhammānampi te ārammaṇaṃ na honti.
๒๖๙. อสุเข สุขนฺติ วิปลฺลาโส จ อิธ สุขโต อุปคมนสฺส ฐานนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอกนฺต…เป.… อตฺตทิฎฺฐิวเสนา’’ติ ปธานทิฎฺฐิมาหฯ คูถนฺติ คูถฎฺฐานํ, ทิฎฺฐิยา นิพฺพานสฺส อวิสยภาโว เหฎฺฐา วุโตฺต เอวาติ กสิณาทิปณฺณตฺติสงฺคหตฺถนฺติ วุตฺตํฯ
269. Asukhe sukhanti vipallāso ca idha sukhato upagamanassa ṭhānanti dassento ‘‘ekanta…pe… attadiṭṭhivasenā’’ti padhānadiṭṭhimāha. Gūthanti gūthaṭṭhānaṃ, diṭṭhiyā nibbānassa avisayabhāvo heṭṭhā vutto evāti kasiṇādipaṇṇattisaṅgahatthanti vuttaṃ.
๒๗๐. ปริเจฺฉโทติ ปริจฺฉินฺทนํ ปริจฺฉิชฺช ตสฺส คหณํฯ สฺวายํ เยสุ นิจฺจาทิโต อุปคมนํ สมฺภวติ, เตสํ วเสนเยว กาตโพฺพติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สพฺพวาเรสุ วา’’ติอาทิมาหฯ สพฺพวาเรสูติ ‘‘นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺยา’’ติอาทินา อาคเตสุ สเพฺพสุ สุตฺตปเทสุฯ ปุถุชฺชโน หีติ หิ-สโทฺท เหตุอโตฺถฯ ยสฺมา ยํ ยํ สงฺขารํ ปุถุชฺชโน นิจฺจาทิวเสน คณฺหาติ, ตํ ตํ อริยสาวโก อนิจฺจาทิวเสน คณฺหโนฺต ยาถาวโต ชานโนฺต ตํ คาหํ ตํ ทิฎฺฐิํ วิสฺสเชฺชติ, ตสฺมา ยตฺถ คาโห, ตตฺถ วิสฺสชฺชนาติ จตุภูมกสงฺขารา อิธ สงฺขารคฺคหเณน น คยฺหนฺตีติ อโตฺถฯ
270.Paricchedoti paricchindanaṃ paricchijja tassa gahaṇaṃ. Svāyaṃ yesu niccādito upagamanaṃ sambhavati, tesaṃ vasenayeva kātabboti dassento ‘‘sabbavāresu vā’’tiādimāha. Sabbavāresūti ‘‘niccato upagaccheyyā’’tiādinā āgatesu sabbesu suttapadesu. Puthujjano hīti hi-saddo hetuattho. Yasmā yaṃ yaṃ saṅkhāraṃ puthujjano niccādivasena gaṇhāti, taṃ taṃ ariyasāvako aniccādivasena gaṇhanto yāthāvato jānanto taṃ gāhaṃ taṃ diṭṭhiṃ vissajjeti, tasmā yattha gāho, tattha vissajjanāti catubhūmakasaṅkhārā idha saṅkhāraggahaṇena na gayhantīti attho.
๒๗๑. ปุตฺตสมฺพเนฺธน มาตุปิตุสมญฺญา ทตฺตกิตฺติมาทิวเสนปิ ปุตฺตโวหาโร โลเก ทิสฺสติ, โส จ โข ปริยาเยนาติ นิปฺปริยาเยน สิทฺธํ ตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘ชนิกาว มาตา, ชนโกว ปิตา’’ติ วุตฺตํฯ ตถา อานนฺตริยกมฺมสฺส อธิเปฺปตตฺตา ‘‘มนุสฺสภูโตว ขีณาสโว อรหาติ อธิเปฺปโต’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘อฎฺฐานเมต’’นฺติอาทินา ‘‘มาตุอาทีนํเยว ชีวิตา โวโรปเน อริยสาวกสฺส อภพฺพภาวทสฺสนโต ตทญฺญํ อริยสาวโก ชีวิตา โวโรเปตีติ อิทํ อตฺถโต อาปนฺนเมวา’’ติ มญฺญมาโน วทติ – ‘‘กิํ ปน อริยสาวโก อญฺญํ ชีวิตา โวโรเปยฺยา’’ติ? ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ วจนโต ‘‘เอตมฺปิ อฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ เตเนวาห – ‘‘สเจ หี’’ติอาทิฯ เอวํ สเนฺต กสฺมา ‘‘มาตร’’นฺติอาทินา วิเสเสตฺวา วุตฺตนฺติ อาห – ‘‘ปุถุชฺชนภาวสฺส ปนา’’ติอาทิฯ ตตฺถ พลทีปนตฺถนฺติ สทฺธาทิพลสมนฺนาคมทีปนตฺถํฯ อริยมเคฺคนาคตสทฺธาธิพลวเสน หิ อริยสาวโก ตาทิสํ สาวชฺชํ น กโรติฯ
271. Puttasambandhena mātupitusamaññā dattakittimādivasenapi puttavohāro loke dissati, so ca kho pariyāyenāti nippariyāyena siddhaṃ taṃ dassetuṃ – ‘‘janikāva mātā, janakova pitā’’ti vuttaṃ. Tathā ānantariyakammassa adhippetattā ‘‘manussabhūtova khīṇāsavo arahāti adhippeto’’ti vuttaṃ. ‘‘Aṭṭhānameta’’ntiādinā ‘‘mātuādīnaṃyeva jīvitā voropane ariyasāvakassa abhabbabhāvadassanato tadaññaṃ ariyasāvako jīvitā voropetīti idaṃ atthato āpannamevā’’ti maññamāno vadati – ‘‘kiṃ pana ariyasāvako aññaṃ jīvitā voropeyyā’’ti? ‘‘Aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo sañcicca pāṇaṃ jīvitā voropeyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti vacanato ‘‘etampi aṭṭhāna’’nti vuttaṃ. Tenevāha – ‘‘sace hī’’tiādi. Evaṃ sante kasmā ‘‘mātara’’ntiādinā visesetvā vuttanti āha – ‘‘puthujjanabhāvassa panā’’tiādi. Tattha baladīpanatthanti saddhādibalasamannāgamadīpanatthaṃ. Ariyamaggenāgatasaddhādhibalavasena hi ariyasāvako tādisaṃ sāvajjaṃ na karoti.
๒๗๕. ปญฺจหิ การเณหีติ อิทเมตฺถ นิปฺผาทกานิ เตสํ ปุพฺพภาคิยานิ จ การณานิ การณภาวสามเญฺญน เอกชฺฌํ คเหตฺวา วุตฺตํ, น ปน สเพฺพสํ สมานโยคกฺขมตฺตาฯ อากาเรหีติ การเณหิฯ อนุสฺสาวเนนาติ อนุรูปํ สาวเนนฯ เภทสฺส อนุรูปํ ยถา เภโท โหติ, เอวํ ภินฺทิตพฺพานํ ภิกฺขูนํ อตฺตโน วจนสฺส สาวเนน วิญฺญาปเนนฯ เตนาห – ‘‘นนุ ตุเมฺห’’ติอาทิฯ กณฺณมูเล วจีเภทํ กตฺวาติ เอเตน ปากฎํ กตฺวา เภทกรวตฺถุทีปนํ โวหาโร, ตตฺถ อตฺตโน นิจฺฉิตมตฺถํ รหสฺสวเสน วิญฺญาปนํ อนุสฺสาวนนฺติ ทเสฺสติฯ
275.Pañcahi kāraṇehīti idamettha nipphādakāni tesaṃ pubbabhāgiyāni ca kāraṇāni kāraṇabhāvasāmaññena ekajjhaṃ gahetvā vuttaṃ, na pana sabbesaṃ samānayogakkhamattā. Ākārehīti kāraṇehi. Anussāvanenāti anurūpaṃ sāvanena. Bhedassa anurūpaṃ yathā bhedo hoti, evaṃ bhinditabbānaṃ bhikkhūnaṃ attano vacanassa sāvanena viññāpanena. Tenāha – ‘‘nanu tumhe’’tiādi. Kaṇṇamūle vacībhedaṃ katvāti etena pākaṭaṃ katvā bhedakaravatthudīpanaṃ vohāro, tattha attano nicchitamatthaṃ rahassavasena viññāpanaṃ anussāvananti dasseti.
กมฺมเมว อุเทฺทโส วา ปมาณนฺติ เตหิ สงฺฆเภทสิทฺธิโต วุตฺตํ, อิตเร ปน เตสํ สมฺภารภูตาฯ เตนาห – ‘‘โวหารา’’ติอาทิฯ ตตฺถาติ โวหรเณฯ จุติอนนฺตรํ ผลํ อนนฺตรํ นาม, ตสฺมิํ อนนฺตเร นิยุตฺตานิ, ตนฺนิพฺพตฺตเนน อนนฺตรกรณสีลานิ, อนนฺตรปฺปโยชนานิ จาติ อานนฺตริยานิ, ตานิ เอว กมฺมานีติ อานนฺตริยกมฺมานิฯ
Kammameva uddeso vā pamāṇanti tehi saṅghabhedasiddhito vuttaṃ, itare pana tesaṃ sambhārabhūtā. Tenāha – ‘‘vohārā’’tiādi. Tatthāti voharaṇe. Cutianantaraṃ phalaṃ anantaraṃ nāma, tasmiṃ anantare niyuttāni, tannibbattanena anantarakaraṇasīlāni, anantarappayojanāni cāti ānantariyāni, tāni eva kammānīti ānantariyakammāni.
กมฺมโตติ ‘‘เอวํ อานนฺตริยกมฺมํ โหติ, เอวํ อานนฺตริยกมฺมสทิส’’นฺติ เอวํ กมฺมวิภาคโตฯ ทฺวารโตติ กายทฺวารโตฯ กปฺปฎฺฐิติยโตติ ‘‘อิทํ กปฺปฎฺฐิติยวิปากํ, อิทํ น กปฺปฎฺฐิติยวิปาก’’นฺติ เอวํ กปฺปฎฺฐิติยวิภาคโตฯ ปากสาธารณาทีหีติ ‘‘อิทเมตฺถ วิปจฺจติ, อิทํ น วิปจฺจตี’’ติ วิปจฺจนวิภาคโต, คหฎฺฐปพฺพชิตานํ สาธารณาสาธารณโต, อาทิ-สเทฺทน เวทนาทิวิภาคโต จฯ
Kammatoti ‘‘evaṃ ānantariyakammaṃ hoti, evaṃ ānantariyakammasadisa’’nti evaṃ kammavibhāgato. Dvāratoti kāyadvārato. Kappaṭṭhitiyatoti ‘‘idaṃ kappaṭṭhitiyavipākaṃ, idaṃ na kappaṭṭhitiyavipāka’’nti evaṃ kappaṭṭhitiyavibhāgato. Pākasādhāraṇādīhīti ‘‘idamettha vipaccati, idaṃ na vipaccatī’’ti vipaccanavibhāgato, gahaṭṭhapabbajitānaṃ sādhāraṇāsādhāraṇato, ādi-saddena vedanādivibhāgato ca.
กมฺมโต ตาว วินิจฺฉโย วุจฺจตีติ สมฺพโนฺธฯ ยสฺมา มนุสฺสตฺตภาเว ฐิตเสฺสว กุสลธมฺมานํ ติกฺขวิสทภาวาปตฺติ, ยถา ติณฺณํ โพธิสตฺตานํ โพธิตฺตยนิพฺพตฺติยํ, เอวํ มนุสฺสภาเว ฐิตเสฺสว เอทิสานํ อกุสลธมฺมานมฺปิ ติกฺขวิสทภาวาปตฺตีติ อาห – ‘‘มนุสฺสภูตเสฺสวา’’ติฯ ปากติกมนุสฺสานมฺปิ จ กุสลธมฺมานํ วิเสสปฺปตฺติ วิมานวตฺถุอฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ ยถาวุโตฺต จ อโตฺถ สมานชาติยสฺส วิโกปเน ครุตโร, น ตถา วิชาติยสฺสาติ วุตฺตํ – ‘‘มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา’’ติฯ ลิงฺคปริวเตฺต จ โส เอว เอกกมฺมนิพฺพโตฺต ภวงฺคปฺปพโนฺธ ชีวิตินฺทฺริยปพโนฺธ จ, น อโญฺญติ อาห – ‘‘อปิ ปริวตฺตลิงฺค’’นฺติฯ อรหตฺตํ ปเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺส วิปากนฺติอาทิ กมฺมสฺส อานนฺตริยภาวสมตฺถนํฯ จตุโกฺกฎิยเญฺจตฺถ สมฺภวติฯ ตตฺถ ปฐมา โกฎิ ทสฺสิตา, อิตราสุ วิสเงฺกตภาวํ ทเสฺสตุํ – ‘‘โย ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยทิปิ ตตฺถ วิสเงฺกโต, กมฺมํ ปน ครุตรํ อานนฺตริยสทิสํ ภายิตพฺพนฺติ อาห – ‘‘ภาริยํ…เป.… ติฎฺฐตี’’ติฯ อยํ ปโญฺหติ ญาปนิจฺฉานิพฺพตฺตา กถาฯ
Kammato tāva vinicchayo vuccatīti sambandho. Yasmā manussattabhāve ṭhitasseva kusaladhammānaṃ tikkhavisadabhāvāpatti, yathā tiṇṇaṃ bodhisattānaṃ bodhittayanibbattiyaṃ, evaṃ manussabhāve ṭhitasseva edisānaṃ akusaladhammānampi tikkhavisadabhāvāpattīti āha – ‘‘manussabhūtassevā’’ti. Pākatikamanussānampi ca kusaladhammānaṃ visesappatti vimānavatthuaṭṭhakathāyaṃ vuttanayeneva veditabbā. Yathāvutto ca attho samānajātiyassa vikopane garutaro, na tathā vijātiyassāti vuttaṃ – ‘‘manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā’’ti. Liṅgaparivatte ca so eva ekakammanibbatto bhavaṅgappabandho jīvitindriyapabandho ca, na aññoti āha – ‘‘api parivattaliṅga’’nti. Arahattaṃ pattepi eseva nayo. Tassa vipākantiādi kammassa ānantariyabhāvasamatthanaṃ. Catukkoṭiyañcettha sambhavati. Tattha paṭhamā koṭi dassitā, itarāsu visaṅketabhāvaṃ dassetuṃ – ‘‘yo panā’’tiādi vuttaṃ. Yadipi tattha visaṅketo, kammaṃ pana garutaraṃ ānantariyasadisaṃ bhāyitabbanti āha – ‘‘bhāriyaṃ…pe… tiṭṭhatī’’ti. Ayaṃ pañhoti ñāpanicchānibbattā kathā.
อภิสนฺธินาติ อธิปฺปาเยนฯ อานนฺตริยํ ผุสตีติ มรณาธิปฺปาเยเนว อานนฺตริยวตฺถุโน วิโกปิตตฺตา วุตฺตํฯ อานนฺตริยํ น ผุสตีติ อานนฺตริยวตฺถุอภาวโต อานนฺตริยํ น โหติฯ สพฺพตฺถ หิ ปุริมํ อภิสนฺธิจิตฺตํ อปฺปมาณํ, วธกจิตฺตํ ปน ตทารมฺมณํ ชีวิตินฺทฺริยญฺจ อานนฺตริยภาเว ปมาณนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สงฺคามจตุกฺกํ สมฺปตฺตวเสน โยเชตพฺพํฯ โย หิ ปรเสนาย อญฺญญฺจ โยธํ ปิตรญฺจ กมฺมํ กโรเนฺต ทิสฺวา โยธสฺส อุสุํ ขิปติ ‘‘เอตํ วิชฺฌิตฺวา มม ปิตรํ วิชฺฌิสฺสตี’’ติ, ยถาธิปฺปายํ คเต ปิตุฆาตโก โหติฯ ‘‘โยเธ วิเทฺธ มม ปิตา ปลายิสฺสตี’’ติ ขิปติ, อุสุํ อยถาธิปฺปายํ คนฺตฺวา ปิตรํ มาเรติ, โวหารวเสน ปิตุฆาตโกติ วุจฺจติ, อานนฺตริยํ ปน นตฺถีติฯ โจรจตุกฺกํ ปน โย ‘‘โจรํ มาเรสฺสามี’’ติ โจรเวเสน คจฺฉนฺตํ ปิตรํ มาเรติ, อานนฺตริยํ ผุสตีติอาทินา โยเชตพฺพํฯ เตเนวาติ เตเนว ปโยเคนฯ อรหนฺตฆาตโก โหติเยวาติ อรหโต มาริตตฺตา วุตฺตํ, ปุถุชฺชนเสฺสว ตํ ทินฺนํ โหตีติ เอตฺถายมธิปฺปาโย – ยถา วธกเจตนา ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณาปิ ปพนฺธวิเจฺฉทนวเสน ชีวิตินฺทฺริยํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตติ, น เอวํ จาคเจตนาฯ สา หิ จชิตพฺพวตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา จชนมตฺตเมว โหติ, อญฺญสนฺตกภาวกรณญฺจ ตสฺส จชนํ, ตสฺมา ยสฺส ตํ สนฺตกํ กตํ, ตเสฺสว ทินฺนํ โหตีติฯ
Abhisandhināti adhippāyena. Ānantariyaṃ phusatīti maraṇādhippāyeneva ānantariyavatthuno vikopitattā vuttaṃ. Ānantariyaṃ na phusatīti ānantariyavatthuabhāvato ānantariyaṃ na hoti. Sabbattha hi purimaṃ abhisandhicittaṃ appamāṇaṃ, vadhakacittaṃ pana tadārammaṇaṃ jīvitindriyañca ānantariyabhāve pamāṇanti daṭṭhabbaṃ. Saṅgāmacatukkaṃ sampattavasena yojetabbaṃ. Yo hi parasenāya aññañca yodhaṃ pitarañca kammaṃ karonte disvā yodhassa usuṃ khipati ‘‘etaṃ vijjhitvā mama pitaraṃ vijjhissatī’’ti, yathādhippāyaṃ gate pitughātako hoti. ‘‘Yodhe viddhe mama pitā palāyissatī’’ti khipati, usuṃ ayathādhippāyaṃ gantvā pitaraṃ māreti, vohāravasena pitughātakoti vuccati, ānantariyaṃ pana natthīti. Coracatukkaṃ pana yo ‘‘coraṃ māressāmī’’ti coravesena gacchantaṃ pitaraṃ māreti, ānantariyaṃ phusatītiādinā yojetabbaṃ. Tenevāti teneva payogena. Arahantaghātako hotiyevāti arahato māritattā vuttaṃ, puthujjanasseva taṃ dinnaṃ hotīti etthāyamadhippāyo – yathā vadhakacetanā paccuppannārammaṇāpi pabandhavicchedanavasena jīvitindriyaṃ ārammaṇaṃ katvā pavattati, na evaṃ cāgacetanā. Sā hi cajitabbavatthuṃ ārammaṇaṃ katvā cajanamattameva hoti, aññasantakabhāvakaraṇañca tassa cajanaṃ, tasmā yassa taṃ santakaṃ kataṃ, tasseva dinnaṃ hotīti.
โลหิตํ สโมสรตีติ อภิฆาเตน ปกุปฺปมานํ สญฺจิตํ โหติฯ มหนฺตตรนฺติ ครุตรํฯ สรีรปฺปฎิชคฺคเน วิยาติ สตฺถุรูปกายปฺปฎิชคฺคเน วิยฯ
Lohitaṃsamosaratīti abhighātena pakuppamānaṃ sañcitaṃ hoti. Mahantataranti garutaraṃ. Sarīrappaṭijaggane viyāti satthurūpakāyappaṭijaggane viya.
อสนฺนิปติเตติ อิทํ สามคฺคิยทีปนํฯ เภโท จ โหตีติ สงฺฆสฺส เภโท จ โหติฯ วฎฺฎตีติ สญฺญายาติ ‘‘อีทิสํ กรณํ สงฺฆเภทาย น โหตี’’ติ สญฺญายฯ ตถา นวโต อูนปริสายาติ นวโต อูนปริสาย กโรนฺตสฺส ตถาติ โยเชตพฺพํฯ ตถาติ จ อิมินา ‘‘น อานนฺตริยกมฺม’’นฺติ อิมํ อากฑฺฒติ, น ปน ‘‘เภโทว โหตี’’ติ อิทํฯ เหฎฺฐิมเนฺตน หิ นวนฺนเมว วเสน สงฺฆเภโทฯ ธมฺมวาทิโน อนวชฺชาติ ยถาธมฺมํ อนวฎฺฐานโตฯ สงฺฆเภทสฺส ปุพฺพภาโค สงฺฆราชิฯ
Asannipatiteti idaṃ sāmaggiyadīpanaṃ. Bhedo ca hotīti saṅghassa bhedo ca hoti. Vaṭṭatīti saññāyāti ‘‘īdisaṃ karaṇaṃ saṅghabhedāya na hotī’’ti saññāya. Tathā navato ūnaparisāyāti navato ūnaparisāya karontassa tathāti yojetabbaṃ. Tathāti ca iminā ‘‘na ānantariyakamma’’nti imaṃ ākaḍḍhati, na pana ‘‘bhedova hotī’’ti idaṃ. Heṭṭhimantena hi navannameva vasena saṅghabhedo. Dhammavādino anavajjāti yathādhammaṃ anavaṭṭhānato. Saṅghabhedassa pubbabhāgo saṅgharāji.
กายทฺวารเมว ปูเรนฺติ กายกมฺมภาเวเนว ลกฺขิตพฺพโตฯ สณฺฐหเนฺตหิ กเปฺป…เป.… มุจฺจตีติ อิทํ กปฺปฎฺฐกถาย (กถา. ๖๕๔ อาทโย) น สเมติฯ ตตฺถ หิ อฎฺฐกถาย (กถา. อฎฺฐ. ๖๕๔-๖๕๗) วุตฺตํ – ‘‘อาปายิโกติ อิทํ สุตฺตํ ยํ โส เอกํ กปฺปํ อสีติภาเค กตฺวา ตโต เอกภาคมตฺตํ กาลํ ติเฎฺฐยฺย, ตํ อายุกปฺปํ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติฯ กปฺปวินาเสเยวาติ จ อายุกปฺปวินาเส เอวาติ อเตฺถ สติ นตฺถิ วิโรโธฯ เอตฺถ จ สณฺฐหเนฺตติ อิทมฺปิ ‘‘เสฺวว วินสฺสิสฺสตี’’ติ วิย อภูตปริกปฺปวเสน วุตฺตํฯ เอกทิวสเมว นิรเย ปจฺจติ, ตโต ปรํ กปฺปาภาเว อายุกปฺปสฺสปิ อภาวโตติ อวิโรธโต อตฺถโยชนา ทฎฺฐพฺพาฯ เสสานีติ สงฺฆเภทโต อญฺญานิ อานนฺตริยกมฺมานิฯ
Kāyadvārameva pūrenti kāyakammabhāveneva lakkhitabbato. Saṇṭhahantehi kappe…pe… muccatīti idaṃ kappaṭṭhakathāya (kathā. 654 ādayo) na sameti. Tattha hi aṭṭhakathāya (kathā. aṭṭha. 654-657) vuttaṃ – ‘‘āpāyikoti idaṃ suttaṃ yaṃ so ekaṃ kappaṃ asītibhāge katvā tato ekabhāgamattaṃ kālaṃ tiṭṭheyya, taṃ āyukappaṃ sandhāya vutta’’nti. Kappavināseyevāti ca āyukappavināse evāti atthe sati natthi virodho. Ettha ca saṇṭhahanteti idampi ‘‘sveva vinassissatī’’ti viya abhūtaparikappavasena vuttaṃ. Ekadivasameva niraye paccati, tato paraṃ kappābhāve āyukappassapi abhāvatoti avirodhato atthayojanā daṭṭhabbā. Sesānīti saṅghabhedato aññāni ānantariyakammāni.
ยทิ ตานิ อโหสิกมฺมสงฺขํ คจฺฉนฺติ, เอวํ สติ กถํ เนสํ อานนฺตริยตา จุติอนนฺตรํ วิปากทานาภาวโตฯ อถ สติ ผลทาเน จุติอนนฺตโร เอว เอเตสํ ผลกาโล, น อโญฺญติ ผลกาลนิยเมน นิยตตา อิจฺฉิตา, น ผลทานนิยเมนฯ เอวมฺปิ นิยตผลกาลานํ อเญฺญสมฺปิ อุปปชฺชเวทนียานํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียานญฺจ นิยตตา อาปเชฺชยฺย, ตสฺมา วิปากธมฺมธมฺมานํ ปจฺจยนฺตรวิกลตาทีหิ อวิปจฺจมานานมฺปิ อตฺตโน สภาเวน วิปากธมฺมตา วิย พลวตา อานนฺตริเยน วิปาเก ทิเนฺน อวิปจฺจมานานมฺปิ อานนฺตริยานํ ผลทาเน นิยตสภาวา อานนฺตริยสภาวา จ ปวตฺตีติ อตฺตโน สภาเวน ผลทานนิยเมเนว นิยตา อานนฺตริยตา จ เวทิตพฺพาฯ อวสฺสญฺจ อานนฺตริยสภาวา ตโต เอว นิยตสภาวา จ เตสํ ปวตฺตีติ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพเมตํ, อญฺญสฺส พลวโต อานนฺตริยสฺส อภาเว สติ จุติอนนฺตรํ เอกเนฺตน ผลทานโตฯ
Yadi tāni ahosikammasaṅkhaṃ gacchanti, evaṃ sati kathaṃ nesaṃ ānantariyatā cutianantaraṃ vipākadānābhāvato. Atha sati phaladāne cutianantaro eva etesaṃ phalakālo, na aññoti phalakālaniyamena niyatatā icchitā, na phaladānaniyamena. Evampi niyataphalakālānaṃ aññesampi upapajjavedanīyānaṃ diṭṭhadhammavedanīyānañca niyatatā āpajjeyya, tasmā vipākadhammadhammānaṃ paccayantaravikalatādīhi avipaccamānānampi attano sabhāvena vipākadhammatā viya balavatā ānantariyena vipāke dinne avipaccamānānampi ānantariyānaṃ phaladāne niyatasabhāvā ānantariyasabhāvā ca pavattīti attano sabhāvena phaladānaniyameneva niyatā ānantariyatā ca veditabbā. Avassañca ānantariyasabhāvā tato eva niyatasabhāvā ca tesaṃ pavattīti sampaṭicchitabbametaṃ, aññassa balavato ānantariyassa abhāve sati cutianantaraṃ ekantena phaladānato.
นนุ เอวํ อเญฺญสมฺปิ อุปปชฺชเวทนียานํ อญฺญสฺมิํ วิปากทายเก อสติ จุติอนนฺตรเมว เอกเนฺตน ผลทานโต นิยตสภาวา อานนฺตริยสภาวา จ ปวตฺติ อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ อสมานชาติเกน เจโตปณิธิวเสน อุปฆาตเกน จ นิวเตฺตตพฺพวิปากตฺตา อนนฺตเร เอกนฺตผลทายกตฺตาภาวา, น ปน อานนฺตริยานํ ปฐมชฺฌานาทีนํ ทุติยชฺฌานาทีนิ วิย อสมานชาติกํ ผลนิวตฺตกํ อตฺถิ สพฺพานนฺตริยานํ อวีจิผลตฺตา, น จ เหฎฺฐูปปตฺติํ อิจฺฉโต สีลวโต เจโตปณิธิ วิย อุปรูปปตฺติชนกกมฺมผลํ อานนฺตริยผลํ นิวเตฺตตุํ สมโตฺถ เจโตปณิธิ อตฺถิ อนิจฺฉนฺตเสฺสว อวีจิปาตนโต, น จ อานนฺตริโยปฆาตกํ กิญฺจิ กมฺมํ อตฺถิ, ตสฺมา เตสํเยว อนนฺตเร เอกนฺตวิปากชนกสภาวา ปวตฺตีติฯ อเนกานิ จ อานนฺตริยานิ กตานิ เอกเนฺตน วิปาเก นิยตสภาวตฺตา อุปรตาวิปจฺจนสภาวาสงฺกตฺตา นิจฺฉิตานิ สภาวโต นิยตาเนวฯ เตสุ ปน สมานสภาเวสุ เอเกน วิปาเก ทิเนฺน อิตรานิ อตฺตนา กตฺตพฺพกิจฺจสฺส เตเนว กตตฺตา น ทุติยํ ตติยมฺปิ จ ปฎิสนฺธิํ กโรนฺติ, น สมตฺถตาวิฆาตตฺตาติ นตฺถิ เตสํ อานนฺตริยกตานิวตฺติ, ครุครุตรภาโว ปน เตสํ ลพฺภเตวาติ สงฺฆเภทสฺส สิยา ครุตรภาโวติ ‘‘เยน…เป.… วิปจฺจตี’’ติ อาหฯ เอกสฺส ปน อญฺญานิ อุปตฺถมฺภกานิ โหนฺตีติ ทฎฺฐพฺพานิฯ ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจตีติ วจเนน อิตเรสํ ปวตฺติวิปากทายิตา อนุญฺญาตา วิย ทิสฺสติฯ โน วา ตถา สีลวตีติ ยถา ปิตา สีลวา, ตถา สีลวตี โน วา โหตีติ โยชนาฯ สเจ มาตา สีลวตี, มาตุฆาโต ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจตีติ โยชนาฯ
Nanu evaṃ aññesampi upapajjavedanīyānaṃ aññasmiṃ vipākadāyake asati cutianantarameva ekantena phaladānato niyatasabhāvā ānantariyasabhāvā ca pavatti āpajjatīti? Nāpajjati asamānajātikena cetopaṇidhivasena upaghātakena ca nivattetabbavipākattā anantare ekantaphaladāyakattābhāvā, na pana ānantariyānaṃ paṭhamajjhānādīnaṃ dutiyajjhānādīni viya asamānajātikaṃ phalanivattakaṃ atthi sabbānantariyānaṃ avīciphalattā, na ca heṭṭhūpapattiṃ icchato sīlavato cetopaṇidhi viya uparūpapattijanakakammaphalaṃ ānantariyaphalaṃ nivattetuṃ samattho cetopaṇidhi atthi anicchantasseva avīcipātanato, na ca ānantariyopaghātakaṃ kiñci kammaṃ atthi, tasmā tesaṃyeva anantare ekantavipākajanakasabhāvā pavattīti. Anekāni ca ānantariyāni katāni ekantena vipāke niyatasabhāvattā uparatāvipaccanasabhāvāsaṅkattā nicchitāni sabhāvato niyatāneva. Tesu pana samānasabhāvesu ekena vipāke dinne itarāni attanā kattabbakiccassa teneva katattā na dutiyaṃ tatiyampi ca paṭisandhiṃ karonti, na samatthatāvighātattāti natthi tesaṃ ānantariyakatānivatti, garugarutarabhāvo pana tesaṃ labbhatevāti saṅghabhedassa siyā garutarabhāvoti ‘‘yena…pe… vipaccatī’’ti āha. Ekassa pana aññāni upatthambhakāni hontīti daṭṭhabbāni. Paṭisandhivasena vipaccatīti vacanena itaresaṃ pavattivipākadāyitā anuññātā viya dissati. No vā tathā sīlavatīti yathā pitā sīlavā, tathā sīlavatī no vā hotīti yojanā. Sace mātā sīlavatī, mātughāto paṭisandhivasena vipaccatīti yojanā.
ปกตโตฺตติ อนุกฺขิโตฺตฯ สมานสํวาสโกติ อปาราชิโกฯ สมานสีมายนฺติ เอกสีมายํฯ
Pakatattoti anukkhitto. Samānasaṃvāsakoti apārājiko. Samānasīmāyanti ekasīmāyaṃ.
๒๗๖. สตฺถุ กิจฺจํ กาตุํ อสมโตฺถติ ยํ สตฺถารา กาตพฺพกิจฺจํ อนุสาสนาทิ, นํ กาตุํ อสมโตฺถติ ภควนฺตํ ปจฺจกฺขายฯ อญฺญํ ติตฺถกรนฺติ อญฺญํ สตฺถารํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
276.Satthu kiccaṃ kātuṃ asamatthoti yaṃ satthārā kātabbakiccaṃ anusāsanādi, naṃ kātuṃ asamatthoti bhagavantaṃ paccakkhāya. Aññaṃ titthakaranti aññaṃ satthāraṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘ติตฺถํ ชานิตพฺพํ, ติตฺถกโร ชานิตโพฺพ, ติตฺถิยา ชานิตพฺพา, ติตฺถิยสาวกา ชานิตพฺพาฯ ตตฺถ ติตฺถํ นาม ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโยฯ เอตฺถ หิ สตฺถา ตรนฺติ อุปฺลวนฺติ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรนฺติ, ตสฺมา ติตฺถนฺติ วุจฺจนฺติฯ ตาทิสานํ ทิฎฺฐีนํ อุปฺปาเทตา ติตฺถกโร นาม ปูรณกสฺสปาทิโกฯ ตสฺส ลทฺธิํ คเหตฺวา ปพฺพชิตา ติตฺถิยา นามฯ เต หิ ติเตฺถ ชาตาติ ติตฺถิยาฯ ยถาวุตฺตํ วา ทิฎฺฐิคตสงฺขาตํ ติตฺถํ เอเตสํ อตฺถีติ ติตฺถิกา , ติตฺถิกา เอว ติตฺถิยาฯ เตสํ ปจฺจยทายกา ติตฺถิยสาวกาติ เวทิตพฺพา’’ติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔๐)ฯ
‘‘Titthaṃ jānitabbaṃ, titthakaro jānitabbo, titthiyā jānitabbā, titthiyasāvakā jānitabbā. Tattha titthaṃ nāma dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo. Ettha hi satthā taranti uplavanti ummujjanimujjaṃ karonti, tasmā titthanti vuccanti. Tādisānaṃ diṭṭhīnaṃ uppādetā titthakaro nāma pūraṇakassapādiko. Tassa laddhiṃ gahetvā pabbajitā titthiyā nāma. Te hi titthe jātāti titthiyā. Yathāvuttaṃ vā diṭṭhigatasaṅkhātaṃ titthaṃ etesaṃ atthīti titthikā , titthikā eva titthiyā. Tesaṃ paccayadāyakā titthiyasāvakāti veditabbā’’ti (ma. ni. aṭṭha. 1.140).
๒๗๗. อภิชาติอาทีสุ ปกมฺปนเทวตูปสงฺกมนาทินา ชาตจกฺกวาเฬน สมานโยคกฺขมํ ทสสหสฺสปริมาณํ จกฺกวาฬํ ชาติเขตฺตํฯ สรเสเนว อาณาปวตฺตนฎฺฐานํ อาณาเขตฺตํฯ วิสยภูตํ ฐานํ วิสยเขตฺตํฯ ทสสหสฺสี โลกธาตูติ อิมาย โลกธาตุยา สทฺธิํ อิมํ โลกธาตุํ ปริวาเรตฺวา ฐิตา ทสสหสฺสี โลกธาตุฯ ตตฺตกานํเยว ชาติเขตฺตภาโว ธมฺมตาวเสน เวทิตโพฺพฯ ‘‘ปริคฺคหวเสนา’’ติ เกจิ, ‘‘สเพฺพสํเยว พุทฺธานํ ตตฺตกํเยว ชาติเขตฺตํ ตนฺนิวาสีนํเยว เทวตานํ ธมฺมาภิสมโย’’ติ จ วทนฺติฯ มาตุกุจฺฉิ โอกฺกมนกาลาทีนํ ฉนฺนํ เอว คหณํ นิทสฺสนมตฺตํ มหาภินีหาราทิกาเลปิ ตสฺส ปกมฺปนสฺส ลพฺภนโตฯ อาณาเขตฺตํ นาม ยํ เอกชฺฌํ สํวฎฺฎติ วิวฎฺฎติ จ, อาณา ปวตฺตติ อาณาย ตนฺนิวาสิเทวตานํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉเนน, ตญฺจ โข เกวลํ พุทฺธานํ อานุภาเวเนว, น อธิปฺปายวเสนฯ อธิปฺปายวเสน ปน ‘‘ยาวตา วา ปน อากเงฺขยฺยา’’ติ (อ. นิ. ๓.๘๑) วจนโต ตโต ปรมฺปิ อาณา วเตฺตเยฺยวฯ
277. Abhijātiādīsu pakampanadevatūpasaṅkamanādinā jātacakkavāḷena samānayogakkhamaṃ dasasahassaparimāṇaṃ cakkavāḷaṃ jātikhettaṃ. Saraseneva āṇāpavattanaṭṭhānaṃ āṇākhettaṃ. Visayabhūtaṃ ṭhānaṃ visayakhettaṃ. Dasasahassī lokadhātūti imāya lokadhātuyā saddhiṃ imaṃ lokadhātuṃ parivāretvā ṭhitā dasasahassī lokadhātu. Tattakānaṃyeva jātikhettabhāvo dhammatāvasena veditabbo. ‘‘Pariggahavasenā’’ti keci, ‘‘sabbesaṃyeva buddhānaṃ tattakaṃyeva jātikhettaṃ tannivāsīnaṃyeva devatānaṃ dhammābhisamayo’’ti ca vadanti. Mātukucchi okkamanakālādīnaṃ channaṃ eva gahaṇaṃ nidassanamattaṃ mahābhinīhārādikālepi tassa pakampanassa labbhanato. Āṇākhettaṃ nāma yaṃ ekajjhaṃ saṃvaṭṭati vivaṭṭati ca, āṇā pavattati āṇāya tannivāsidevatānaṃ sirasā sampaṭicchanena, tañca kho kevalaṃ buddhānaṃ ānubhāveneva, na adhippāyavasena. Adhippāyavasena pana ‘‘yāvatā vā pana ākaṅkheyyā’’ti (a. ni. 3.81) vacanato tato parampi āṇā vatteyyeva.
น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถีติ ‘‘น เม อาจริโย อตฺถิ, สทิโส เม น วิชฺชตี’’ติอาทิํ (ม. นิ. ๑.๒๘๕; มหาว. ๑๑; กถา. ๔๐๕) อิมิสฺสา โลกธาตุยา ฐตฺวา วทเนฺตน ภควตา ‘‘กิํ ปนาวุโส, สาริปุตฺต, อเตฺถตรหิ อเญฺญ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ภควตา สมสมา สโมฺพธิยนฺติ, เอวํ ปุโฎฺฐ อหํ, ภเนฺต, ‘โน’ติ วเทยฺย’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๑๖๑) วตฺวา ตสฺส การณํ ทเสฺสตุํ – ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา อปุพฺพํ อจริมํ อุปฺปเชฺชยฺยุ’’นฺติ อิมํ สุตฺตํ (อ. นิ. ๑.๒๗๗; วิภ. ๘๐๙; ม. นิ. ๓.๑๒๙; มิ. ป. ๕.๑.๑) อาหรเนฺตน ธมฺมเสนาปตินา จ พุทฺธเขตฺตภูตํ อิมํ โลกธาตุํ ฐเปตฺวา อญฺญตฺถ อนุปฺปตฺติ วุตฺตา โหตีติ อธิปฺปาโยฯ
Na uppajjantīti pana atthīti ‘‘na me ācariyo atthi, sadiso me na vijjatī’’tiādiṃ (ma. ni. 1.285; mahāva. 11; kathā. 405) imissā lokadhātuyā ṭhatvā vadantena bhagavatā ‘‘kiṃ panāvuso, sāriputta, atthetarahi aññe samaṇā vā brāhmaṇā vā bhagavatā samasamā sambodhiyanti, evaṃ puṭṭho ahaṃ, bhante, ‘no’ti vadeyya’’nti (dī. ni. 3.161) vatvā tassa kāraṇaṃ dassetuṃ – ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ ekissā lokadhātuyā dve arahanto sammāsambuddhā apubbaṃ acarimaṃ uppajjeyyu’’nti imaṃ suttaṃ (a. ni. 1.277; vibha. 809; ma. ni. 3.129; mi. pa. 5.1.1) āharantena dhammasenāpatinā ca buddhakhettabhūtaṃ imaṃ lokadhātuṃ ṭhapetvā aññattha anuppatti vuttā hotīti adhippāyo.
เอกโตติ สห, เอกสฺมิํ กาเลติ อโตฺถ, โส ปน กาโล กถํ ปริจฺฉิโนฺนติ จริมภเว ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย ยาว ธาตุปรินิพฺพานาติ ทเสฺสโนฺต, ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิมาหฯ อนจฺฉริยตฺตาติ ทฺวีสุปิ อุปฺปชฺชมาเนสุ อจฺฉริยตฺตาภาวโตติ อโตฺถฯ ทฺวีสุปิ อุปฺปชฺชมาเนสุ อนจฺฉริยตา, กิมงฺคํ ปน พหูสูติ ทเสฺสโนฺต, ‘‘ยทิ จา’’ติอาทิมาหฯ พุทฺธา นาม มเชฺฌ ภินฺนสุวณฺณํ วิย เอกสทิสาติ เตสํ เทสนาปิ เอกรสา เอกธาติ อาห – ‘‘เทสนาย จ วิเสสาภาวโต’’ติ ฯ เอเตนปิ อนจฺฉริยตฺตเมว สาเธติฯ วิวาทภาวโตติ เอเตน วิวาทาภาวตฺถํ เทฺว พุทฺธา เอกโต น อุปฺปชฺชนฺตีติ ทเสฺสติฯ เอตํ การณนฺติ เอตํ อนจฺฉริยตาทิการณํฯ ตตฺถาติ มิลินฺทปเญฺหฯ
Ekatoti saha, ekasmiṃ kāleti attho, so pana kālo kathaṃ paricchinnoti carimabhave paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya yāva dhātuparinibbānāti dassento, ‘‘tatthā’’tiādimāha. Anacchariyattāti dvīsupi uppajjamānesu acchariyattābhāvatoti attho. Dvīsupi uppajjamānesu anacchariyatā, kimaṅgaṃ pana bahūsūti dassento, ‘‘yadi cā’’tiādimāha. Buddhā nāma majjhe bhinnasuvaṇṇaṃ viya ekasadisāti tesaṃ desanāpi ekarasā ekadhāti āha – ‘‘desanāya ca visesābhāvato’’ti . Etenapi anacchariyattameva sādheti. Vivādabhāvatoti etena vivādābhāvatthaṃ dve buddhā ekato na uppajjantīti dasseti. Etaṃ kāraṇanti etaṃ anacchariyatādikāraṇaṃ. Tatthāti milindapañhe.
เอกํ เอว พุทฺธํ ธาเรตีติ เอกพุทฺธธารณีฯ เอเตน เอวํสภาวา เอเต พุทฺธคุณา, เยน ทุติยพุทฺธคุเณ ธาเรตุํ อสมตฺถา อยํ โลกธาตูติ ทเสฺสติฯ ปจฺจยวิเสสนิปฺผนฺนานญฺหิ คุณธมฺมานํ ภาริโย วิเสโส มหาปถวิยาปิ ทุสฺสโหติ สกฺกา วิญฺญาตุํฯ ตถา หิ อภิสโมฺพธิสมเย อุปคตสฺส โลกนาถสฺส คุณภารํ โพธิรุกฺขสฺส ตีสุปิ ทิสาสุ มหาปถวี สนฺธาเรตุํ นาสกฺขิฯ ตสฺมา ‘‘น ธาเรยฺยา’’ติ วตฺวา ตเมว อธารณํ ปริยายนฺตเรหิ ปกาเสโนฺต ‘‘จเลยฺยา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ จเลยฺยาติ ปริปฺผเนฺทยฺยฯ กเมฺปยฺยาติ ปเวเธยฺย ฯ นเมยฺยาติ เอกปเสฺสน นเมยฺยฯ โอนเมยฺยาติ โอสีเทยฺยฯ วินเมยฺยาติ วิวิธํ อิโต จิโต จ นเมยฺยฯ วิกิเรยฺยาติ วาเตน ถุสมุฎฺฐิ วิย วิปฺปกิเรยฺยฯ วิธเมยฺยาติ วินเสฺสยฺยฯ วิทฺธํเสยฺยาติ สพฺพโส วิทฺธสฺตา ภเวยฺยฯ ตถาภูตา จ น กตฺถจิ ติเฎฺฐยฺยาติ อาห – ‘‘น ฐานมุปคเจฺฉยฺยา’’ติฯ
Ekaṃ eva buddhaṃ dhāretīti ekabuddhadhāraṇī. Etena evaṃsabhāvā ete buddhaguṇā, yena dutiyabuddhaguṇe dhāretuṃ asamatthā ayaṃ lokadhātūti dasseti. Paccayavisesanipphannānañhi guṇadhammānaṃ bhāriyo viseso mahāpathaviyāpi dussahoti sakkā viññātuṃ. Tathā hi abhisambodhisamaye upagatassa lokanāthassa guṇabhāraṃ bodhirukkhassa tīsupi disāsu mahāpathavī sandhāretuṃ nāsakkhi. Tasmā ‘‘na dhāreyyā’’ti vatvā tameva adhāraṇaṃ pariyāyantarehi pakāsento ‘‘caleyyā’’tiādimāha. Tattha caleyyāti paripphandeyya. Kampeyyāti pavedheyya . Nameyyāti ekapassena nameyya. Onameyyāti osīdeyya. Vinameyyāti vividhaṃ ito cito ca nameyya. Vikireyyāti vātena thusamuṭṭhi viya vippakireyya. Vidhameyyāti vinasseyya. Viddhaṃseyyāti sabbaso viddhastā bhaveyya. Tathābhūtā ca na katthaci tiṭṭheyyāti āha – ‘‘na ṭhānamupagaccheyyā’’ti.
อิทานิ ตตฺถ นิทสฺสนํ ทเสฺสโนฺต, ‘‘ยถา, มหาราชา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอเก ปุริเสติ เอกสฺมิํ ปุริเสฯ สมุปาทิกาติ สมํ อุทฺธํ ปชฺชติ ปวตฺตตีติ สมุปาทิกา, อุทกสฺส อุปริ สมํ คามินีติ อโตฺถฯ ‘‘สมุปฺปาทิกา’’ติปิ ปฐนฺติ, อยเมวโตฺถฯ วเณฺณนาติ สณฺฐาเนนฯ ปมาเณนาติ อาโรเหนฯ กิสถูเลนาติ กิสถูลภาเวน, ปริณาเหนาติ อโตฺถฯ ทฺวินฺนมฺปีติ เทฺวปิ, ทฺวินฺนมฺปิ วา สรีรภารํฯ
Idāni tattha nidassanaṃ dassento, ‘‘yathā, mahārājā’’tiādimāha. Tattha eke puriseti ekasmiṃ purise. Samupādikāti samaṃ uddhaṃ pajjati pavattatīti samupādikā, udakassa upari samaṃ gāminīti attho. ‘‘Samuppādikā’’tipi paṭhanti, ayamevattho. Vaṇṇenāti saṇṭhānena. Pamāṇenāti ārohena. Kisathūlenāti kisathūlabhāvena, pariṇāhenāti attho. Dvinnampīti dvepi, dvinnampi vā sarīrabhāraṃ.
ฉาเทนฺตนฺติ โรเจนฺตํ รุจิํ อุปฺปาเทนฺตํฯ ตนฺทิกโตติ เตน โภชเนน ตนฺทิภูโตฯ อโนนมิตทณฺฑชาโตติ ยาวทตฺถํ โภชเนน โอนมิตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อโนนมนทโณฺฑ วิย ชาโตฯ สกิํ ภุโตฺต วเมยฺยาติ เอกมฺปิ อาโลปํ อโชฺฌหริตฺวา วเมยฺยาติ อโตฺถฯ
Chādentanti rocentaṃ ruciṃ uppādentaṃ. Tandikatoti tena bhojanena tandibhūto. Anonamitadaṇḍajātoti yāvadatthaṃ bhojanena onamituṃ asakkuṇeyyatāya anonamanadaṇḍo viya jāto. Sakiṃ bhutto vameyyāti ekampi ālopaṃ ajjhoharitvā vameyyāti attho.
อติธมฺมภาเรน ปถวี จลตีติ ธเมฺมน นาม ปถวี ติเฎฺฐยฺยฯ สา กิํ เตเนว จลติ วินสฺสตีติ อธิปฺปาเยน ปุจฺฉติฯ ปุน เถโร ‘‘รตนํ นาม โลเก กุฎุมฺพํ สนฺธาเรนฺตํ อภิมตญฺจ โลเกน อตฺตโน ครุสภาวตาย สกฎภงฺคสฺส การณํ อติภารภูตํ ทิฎฺฐํฯ เอวํ ธโมฺม จ หิตสุขวิเสเสหิ ตํสมงฺคีนํ ธาเรโนฺต อภิมโต จ วิญฺญูนํ คมฺภีรปฺปเมยฺยภาเวน ครุสภาวตฺตา อติภารภูโต ปถวีจลนสฺส การณํ โหตี’’ติ ทเสฺสโนฺต, ‘‘อิธ, มหาราช, เทฺว สกฎา’’ติอาทิมาห ฯ เอเตเนว ตถาคตสฺส มาตุกุจฺฉิโอกฺกมนาทิกาเล ปถวีกมฺปนการณํ สํวณฺณิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอกสฺสาติ เอกสฺมา, เอกสฺส วา สกฎสฺส รตนํ, ตสฺมา สกฎา คเหตฺวาติ อโตฺถฯ
Atidhammabhārena pathavī calatīti dhammena nāma pathavī tiṭṭheyya. Sā kiṃ teneva calati vinassatīti adhippāyena pucchati. Puna thero ‘‘ratanaṃ nāma loke kuṭumbaṃ sandhārentaṃ abhimatañca lokena attano garusabhāvatāya sakaṭabhaṅgassa kāraṇaṃ atibhārabhūtaṃ diṭṭhaṃ. Evaṃ dhammo ca hitasukhavisesehi taṃsamaṅgīnaṃ dhārento abhimato ca viññūnaṃ gambhīrappameyyabhāvena garusabhāvattā atibhārabhūto pathavīcalanassa kāraṇaṃ hotī’’ti dassento, ‘‘idha, mahārāja, dve sakaṭā’’tiādimāha . Eteneva tathāgatassa mātukucchiokkamanādikāle pathavīkampanakāraṇaṃ saṃvaṇṇitanti daṭṭhabbaṃ. Ekassāti ekasmā, ekassa vā sakaṭassa ratanaṃ, tasmā sakaṭā gahetvāti attho.
โอสาริตนฺติ อุจฺจาริตํ, วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ อโคฺคติ สพฺพสเตฺตหิ อโคฺคฯ เชโฎฺฐติ วุทฺธตโรฯ เสโฎฺฐติ ปสตฺถตโรฯ วิสิเฎฺฐหิ สีลาทีหิ คุเณหิ สมนฺนาคตตฺตา วิสิโฎฺฐฯ อุคฺคตตโมติ อุตฺตโมฯ ปวโรติ ตเสฺสว เววจนํฯ นตฺถิ เอตสฺส สโมติ อสโมฯ อสมา ปุพฺพพุทฺธา, เตหิ สโมติ อสมสโมฯ นตฺถิ เอตสฺส ปฎิสโม ปฎิปุคฺคโลติ อปฺปฎิสโมฯ นตฺถิ เอตสฺส ปฎิภาโคติ อปฺปฎิภาโคฯ นตฺถิ เอตสฺส ปฎิปุคฺคโลติ อปฺปฎิปุคฺคโลฯ
Osāritanti uccāritaṃ, vuttanti attho. Aggoti sabbasattehi aggo. Jeṭṭhoti vuddhataro. Seṭṭhoti pasatthataro. Visiṭṭhehi sīlādīhi guṇehi samannāgatattā visiṭṭho. Uggatatamoti uttamo. Pavaroti tasseva vevacanaṃ. Natthi etassa samoti asamo. Asamā pubbabuddhā, tehi samoti asamasamo. Natthi etassa paṭisamo paṭipuggaloti appaṭisamo. Natthi etassa paṭibhāgoti appaṭibhāgo. Natthi etassa paṭipuggaloti appaṭipuggalo.
สภาวปกติกาติ สภาวภูตา อกิตฺติมา ปกติฯ การณมหนฺตตฺตาติ การณานํ มหนฺตตาย, มหเนฺตหิ พุทฺธกรธเมฺมหิ ปารมิสงฺขาเตหิ การเณหิ พุทฺธคุณานํ นิพฺพตฺติโตติ วุตฺตํ โหติฯ ปถวีอาทีนิ มหนฺตานิ วตฺถูนิ, มหนฺตา จกฺกวาฬาทโย อตฺตโน อตฺตโน วิสเย เอเกกาว, เอวํ สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ มหโนฺต อตฺตโน วิสเย เอโก เอวฯ โก จ ตสฺส วิสโย? พุทฺธภูมิ, ยาวตกํ วา เญยฺยํฯ ‘‘อากาโส วิย อนนฺตวิสโย ภควา เอโก เอว โหตี’’ติ วทโนฺต ปรจกฺกวาเฬสุปิ ทุติยสฺส พุทฺธสฺส อภาวํ ทเสฺสติฯ
Sabhāvapakatikāti sabhāvabhūtā akittimā pakati. Kāraṇamahantattāti kāraṇānaṃ mahantatāya, mahantehi buddhakaradhammehi pāramisaṅkhātehi kāraṇehi buddhaguṇānaṃ nibbattitoti vuttaṃ hoti. Pathavīādīni mahantāni vatthūni, mahantā cakkavāḷādayo attano attano visaye ekekāva, evaṃ sammāsambuddhopi mahanto attano visaye eko eva. Ko ca tassa visayo? Buddhabhūmi, yāvatakaṃ vā ñeyyaṃ. ‘‘Ākāso viya anantavisayo bhagavā eko eva hotī’’ti vadanto paracakkavāḷesupi dutiyassa buddhassa abhāvaṃ dasseti.
อิมินาว ปเทนาติ ‘‘เอกิสฺสา โลกธาตุยา’’ติ อิมินา เอว ปเทนฯ ทส จกฺกวาฬสหสฺสานิ คหิตานีติ ชาติเขตฺตาเปกฺขาย คหิตานิฯ เอกจกฺกวาเฬเนวาติ อิมินา เอว เอกจกฺกวาเฬน, น เยน เกนจิฯ ยถา ‘‘อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ วุเตฺต อิมสฺมิมฺปิ จกฺกวาเฬ ชมฺพุทีเป เอว, ตตฺถาปิ มชฺฌิมเทเส เอวาติ ปริจฺฉินฺทิตุํ วฎฺฎติ, เอวํ ‘‘เอกิสฺสา โลกธาตุยา’’ติ ชาติเขเตฺต อธิเปฺปเตปิ อิมินาว จกฺกวาเฬน ปริจฺฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ
Imināva padenāti ‘‘ekissā lokadhātuyā’’ti iminā eva padena. Dasa cakkavāḷasahassāni gahitānīti jātikhettāpekkhāya gahitāni. Ekacakkavāḷenevāti iminā eva ekacakkavāḷena, na yena kenaci. Yathā ‘‘imasmiṃyeva cakkavāḷe uppajjantī’’ti vutte imasmimpi cakkavāḷe jambudīpe eva, tatthāpi majjhimadese evāti paricchindituṃ vaṭṭati, evaṃ ‘‘ekissā lokadhātuyā’’ti jātikhette adhippetepi imināva cakkavāḷena paricchindituṃ vaṭṭati.
ปฐมวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๕. อฎฺฐานปาฬิ (ทุติยวคฺค)
15. Aṭṭhānapāḷi (dutiyavagga)
(๑๕) ๒. อฎฺฐานปาฬิ-ทุติยวคฺควณฺณนา
(15) 2. Aṭṭhānapāḷi-dutiyavaggavaṇṇanā
๒๗๘. วิวาทุปเจฺฉทโตติ วิวาทุปเจฺฉทการณาฯ ทฺวีสุ อุปฺปเนฺนสุ โย วิวาโท ภเวยฺย, ตสฺส อนุปฺปาโทเยเวตฺถ วิวาทุปเจฺฉโทฯ เอกสฺมิํ ทีเปติอาทินา ทีปนฺตเรปิ เอกชฺฌํ น อุปฺปชฺชติ, ปเคว เอกทีเปติ ทเสฺสติฯ โสปิ ปริหาเยถาติ จกฺกวาฬสฺส ปเทเส เอว ปวตฺติตพฺพตฺตา ปริหาเยยฺยฯ
278.Vivādupacchedatoti vivādupacchedakāraṇā. Dvīsu uppannesu yo vivādo bhaveyya, tassa anuppādoyevettha vivādupacchedo. Ekasmiṃ dīpetiādinā dīpantarepi ekajjhaṃ na uppajjati, pageva ekadīpeti dasseti. Sopi parihāyethāti cakkavāḷassa padese eva pavattitabbattā parihāyeyya.
๒๗๙-๒๘๐. มนุสฺสตฺตนฺติ มนุสฺสภาโว ตเสฺสว ปพฺพชฺชาทิคุณานํ โยคฺคภาวโตฯ ลิงฺคสมฺปตฺตีติ ปุริสภาโวฯ เหตูติ มโนวจีปณิธานปุพฺพิกา เหตุสมฺปทาฯ สตฺถารทสฺสนนฺติ สตฺถุสมฺมุขีภาโวฯ ปพฺพชฺชาติ กมฺมกิริยวาทีสุ ตาปเสสุ, ภิกฺขูสุ วา ปพฺพชฺชาฯ คุณสมฺปตฺตีติ อภิญฺญาทิคุณสมฺปทาฯ อธิกาโรติ พุเทฺธ อุทฺทิสฺส อธิโก กาโร, สวิเสสา อุปการกิริยา อธิโก สกฺกาโรติ วุตฺตํ โหติฯ ฉโนฺทว ฉนฺทตา, สมฺมาสโมฺพธิํ อุทฺทิสฺส สาติสโย กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉโนฺทฯ อฎฺฐธมฺมสโมธานาติ เอเตสํ อฎฺฐนฺนํ ธมฺมานํ สมาโยเคนฯ อภินีหาโรติ กายปณิธานํฯ สมิชฺฌตีติ นิปฺผชฺชติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ปรมตฺถทีปนิยา จริยาปิฎกวณฺณนาย (จริยา. อฎฺฐ. ปกิณฺณกกถา) วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ สพฺพาการปริปูรเมวาติ ปริปุณฺณลกฺขณตาย สตฺตุตฺตมาทีหิ สพฺพากาเรน สมฺปนฺนเมวฯ น หิ อิตฺถิยา โกโสหิตวตฺถคุยฺหตาทิ สมฺภวติฯ ทุติยปกติ จ นาม ปฐมปกติโต นิหีนา เอวฯ เตเนวาห – อนนฺตรวาเร ‘‘ยสฺมา’’ติอาทิฯ
279-280.Manussattanti manussabhāvo tasseva pabbajjādiguṇānaṃ yoggabhāvato. Liṅgasampattīti purisabhāvo. Hetūti manovacīpaṇidhānapubbikā hetusampadā. Satthāradassananti satthusammukhībhāvo. Pabbajjāti kammakiriyavādīsu tāpasesu, bhikkhūsu vā pabbajjā. Guṇasampattīti abhiññādiguṇasampadā. Adhikāroti buddhe uddissa adhiko kāro, savisesā upakārakiriyā adhiko sakkāroti vuttaṃ hoti. Chandova chandatā, sammāsambodhiṃ uddissa sātisayo kattukamyatākusalacchando. Aṭṭhadhammasamodhānāti etesaṃ aṭṭhannaṃ dhammānaṃ samāyogena. Abhinīhāroti kāyapaṇidhānaṃ. Samijjhatīti nipphajjati. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana paramatthadīpaniyā cariyāpiṭakavaṇṇanāya (cariyā. aṭṭha. pakiṇṇakakathā) vuttanayena veditabbo. Sabbākāraparipūramevāti paripuṇṇalakkhaṇatāya sattuttamādīhi sabbākārena sampannameva. Na hi itthiyā kosohitavatthaguyhatādi sambhavati. Dutiyapakati ca nāma paṭhamapakatito nihīnā eva. Tenevāha – anantaravāre ‘‘yasmā’’tiādi.
๒๘๑. อิธ ปุริสสฺส ตตฺถ นิพฺพตฺตนโตติ อิมสฺมิํ มนุสฺสโลเก ปุริสภูตสฺส ตตฺถ พฺรหฺมโลเก พฺรหฺมตฺตภาเวน นิพฺพตฺตนโตฯ เตน อสติปิ ปุริสลิเงฺค ปุริสาการา พฺรหฺมาโน โหนฺตีติ ทเสฺสติฯ ตํเยว จ ปุริสาการํ สนฺธาย วุตฺตํ ภควตา ‘‘ยํ ปุริโส พฺรหฺมตฺตํ กาเรยฺยา’’ติฯ เตเนวาห – ‘‘สมาเนปี’’ติอาทิฯ ยทิ เอวํ อิตฺถิโย พฺรหฺมโลเก น อุปฺปเชฺชยฺยุนฺติ อาห – ‘‘พฺรหฺมตฺต’’นฺติอาทิฯ
281.Idha purisassa tattha nibbattanatoti imasmiṃ manussaloke purisabhūtassa tattha brahmaloke brahmattabhāvena nibbattanato. Tena asatipi purisaliṅge purisākārā brahmāno hontīti dasseti. Taṃyeva ca purisākāraṃ sandhāya vuttaṃ bhagavatā ‘‘yaṃ puriso brahmattaṃ kāreyyā’’ti. Tenevāha – ‘‘samānepī’’tiādi. Yadi evaṃ itthiyo brahmaloke na uppajjeyyunti āha – ‘‘brahmatta’’ntiādi.
๒๙๐-๒๙๕. ‘‘กายทุจฺจริตสฺสา’’ติอาทิปาฬิยา กมฺมนิยาโม นาม กถิโตฯ สมญฺชนํ สมโงฺค, สมนฺนาคโม, โส เอตสฺส อตฺถีติ สมงฺคี, สมนฺนาคโต, สมญฺชนสีโล วา สมงฺคี, ปุพฺพภาเค อุปกรณสมุทายโต ปภุติ อายูหนวเสน อายูหนสมงฺคีตา, สนฺนิฎฺฐาปกเจตนาวเสน เจตนาสมงฺคิตาฯ เจตนาสนฺตติวเสน วา อายูหนสมงฺคิตา, ตํตํเจตนากฺขณวเสน เจตนาสมงฺคีตาฯ กตูปจิตสฺส อวิปกฺกวิปากสฺส กมฺมสฺส วเสน กมฺมสมงฺคิตาฯ กเมฺม ปน วิปจฺจิตุํ อารเทฺธ วิปากปฺปวตฺติวเสน วิปากสมงฺคิตาฯ กมฺมาทีนํ อุปฎฺฐานกาลวเสน อุปฎฺฐานสมงฺคิตาฯ กุสลากุสลกมฺมายูหนกฺขเณติ กุสลกมฺมสฺส อกุสลกมฺมสฺส จ สมีหนกฺขเณฯ ตถาติ อิมินา กุสลากุสลกมฺมปทํ อากฑฺฒติฯ ยถา กตํ กมฺมํ ผลทานสมตฺถํ โหติ, ตถา กตํ อุปจิตํฯ วิปาการหนฺติ ทุติยภวาทีสุ วิปจฺจนารหํฯ อุปฺปชฺชมานานํ อุปปตฺตินิมิตฺตํ อุปฎฺฐาตีติ โยชนาฯ อุปปตฺติยา อุปฺปชฺชนสฺส นิมิตฺตํ การณนฺติ อุปปตฺตินิมิตฺตํ, กมฺมํ, กมฺมนิมิตฺตํ, คตินิมิตฺตญฺจฯ อฎฺฐกถายํ ปน คตินิมิตฺตวเสเนว โยชนา ทสฺสิตาฯ กมฺมกมฺมนิมิตฺตานมฺปิ อุปฎฺฐานํ ยถารหํ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘ยานิสฺส ตานิ ปุเพฺพ กตานิ กมฺมานิ, ตานิสฺส ตสฺมิํ สมเย โอลมฺพนฺติ อโชฺฌลมฺพนฺติ อภิลมฺพนฺติ’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๔๘) วจนโต สายเนฺห มหนฺตานํ ปพฺพตกูฎานํ ฉายา วิย อาสนฺนมรณสฺส สตฺตสฺส จิเตฺต สุปิเน วิย วิปจฺจิตุํ กโตกาสํ กมฺมํ, ตสฺส นิมิตฺตํ คตินิมิตฺตํ อุปติฎฺฐเตวฯ จลตีติ ปริวตฺตติฯ เอเกน หิ กมฺมุนา ตเชฺช นิมิเตฺต อุปฎฺฐิเต ปจฺจยวิเสสวเสน ตโต อเญฺญน กมฺมุนา ตทญฺญสฺส นิมิตฺตสฺส อุปฎฺฐานํ ปริวตฺตนํฯ เสสา นิจฺจลา อวเสสา จตุพฺพิธาปิ สมงฺคิตา นิจฺจลา อปริวตฺตนโตฯ
290-295. ‘‘Kāyaduccaritassā’’tiādipāḷiyā kammaniyāmo nāma kathito. Samañjanaṃ samaṅgo, samannāgamo, so etassa atthīti samaṅgī, samannāgato, samañjanasīlo vā samaṅgī, pubbabhāge upakaraṇasamudāyato pabhuti āyūhanavasena āyūhanasamaṅgītā, sanniṭṭhāpakacetanāvasena cetanāsamaṅgitā. Cetanāsantativasena vā āyūhanasamaṅgitā, taṃtaṃcetanākkhaṇavasena cetanāsamaṅgītā. Katūpacitassa avipakkavipākassa kammassa vasena kammasamaṅgitā. Kamme pana vipaccituṃ āraddhe vipākappavattivasena vipākasamaṅgitā. Kammādīnaṃ upaṭṭhānakālavasena upaṭṭhānasamaṅgitā. Kusalākusalakammāyūhanakkhaṇeti kusalakammassa akusalakammassa ca samīhanakkhaṇe. Tathāti iminā kusalākusalakammapadaṃ ākaḍḍhati. Yathā kataṃ kammaṃ phaladānasamatthaṃ hoti, tathā kataṃ upacitaṃ. Vipākārahanti dutiyabhavādīsu vipaccanārahaṃ. Uppajjamānānaṃ upapattinimittaṃ upaṭṭhātīti yojanā. Upapattiyā uppajjanassa nimittaṃ kāraṇanti upapattinimittaṃ, kammaṃ, kammanimittaṃ, gatinimittañca. Aṭṭhakathāyaṃ pana gatinimittavaseneva yojanā dassitā. Kammakammanimittānampi upaṭṭhānaṃ yathārahaṃ daṭṭhabbaṃ. ‘‘Yānissa tāni pubbe katāni kammāni, tānissa tasmiṃ samaye olambanti ajjholambanti abhilambanti’’ti (ma. ni. 3.248) vacanato sāyanhe mahantānaṃ pabbatakūṭānaṃ chāyā viya āsannamaraṇassa sattassa citte supine viya vipaccituṃ katokāsaṃ kammaṃ, tassa nimittaṃ gatinimittaṃ upatiṭṭhateva. Calatīti parivattati. Ekena hi kammunā tajje nimitte upaṭṭhite paccayavisesavasena tato aññena kammunā tadaññassa nimittassa upaṭṭhānaṃ parivattanaṃ. Sesā niccalā avasesā catubbidhāpi samaṅgitā niccalā aparivattanato.
สุนขวาชิโกติ สุนเขหิ มิควาชวเสน วชนสีโล, สุนขลุทฺทโกติ อโตฺถฯ ตลสนฺถรณปูชนฺติ ภูมิตลสฺส ปุเปฺผหิ สนฺถรณปูชํฯ อายูหนเจตนา กมฺมสมงฺคิตาวเสนาติ กายทุจฺจริตสฺส อปราปรํ อายูหเนน สนฺนิฎฺฐาปกเจตนาย ตเสฺสว ปกปฺปเน กมฺมกฺขยกรญาเณน อเขปิตตฺตา ยถูปจิตกมฺมุนา จ สมงฺคิภาวสฺส วเสนฯ
Sunakhavājikoti sunakhehi migavājavasena vajanasīlo, sunakhaluddakoti attho. Talasantharaṇapūjanti bhūmitalassa pupphehi santharaṇapūjaṃ. Āyūhanacetanā kammasamaṅgitāvasenāti kāyaduccaritassa aparāparaṃ āyūhanena sanniṭṭhāpakacetanāya tasseva pakappane kammakkhayakarañāṇena akhepitattā yathūpacitakammunā ca samaṅgibhāvassa vasena.
กมฺมนฺติ อกุสลกมฺมํฯ ตสฺมิํเยว ขเณติ อายูหนกฺขเณเยวฯ ตสฺสาติ กมฺมสมงฺคิโน ปุคฺคลสฺส สโคฺค วาริโต, ตเญฺจ กมฺมํ วิปากวารํ ลเภยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ สโคฺค วาริโตติ จ นิทสฺสนมตฺตํฯ มนุสฺสโลโกปิสฺส วาริโตวาติฯ อปเร ปน ปุริเมหิ วิปากาวรณสฺส อนุทฺธฎตฺตา ‘‘ตสฺมิํเยว ขเณ’’ติ จ อวิเสเสน วุตฺตตฺตา ตํ โทสํ ปริหริตุํ ‘‘อายูหิตกมฺมํ นามา’’ติอาทิมาหฯ ยทา กมฺมํ วิปากวารํ ลภตีติ อิทํ กโตกาสสฺส อปฺปฎิพาหิยตฺตา วุตฺตํ ฯ ตถา หิ ภควา ตติยปาราชิกวตฺถุสฺมิํ (ปารา. ๑๖๒ อาทโย) ปฎิสลฺลียิ, อิมสฺมิํ สุเตฺต ‘‘กายทุจฺจริตสมงฺคี’’ติ อาคตตฺตา วิปากูปฎฺฐานสมงฺคิตา น ลพฺภนฺติฯ
Kammanti akusalakammaṃ. Tasmiṃyeva khaṇeti āyūhanakkhaṇeyeva. Tassāti kammasamaṅgino puggalassa saggo vārito, tañce kammaṃ vipākavāraṃ labheyyāti adhippāyo. Saggo vāritoti ca nidassanamattaṃ. Manussalokopissa vāritovāti. Apare pana purimehi vipākāvaraṇassa anuddhaṭattā ‘‘tasmiṃyeva khaṇe’’ti ca avisesena vuttattā taṃ dosaṃ pariharituṃ ‘‘āyūhitakammaṃ nāmā’’tiādimāha. Yadā kammaṃ vipākavāraṃ labhatīti idaṃ katokāsassa appaṭibāhiyattā vuttaṃ . Tathā hi bhagavā tatiyapārājikavatthusmiṃ (pārā. 162 ādayo) paṭisallīyi, imasmiṃ sutte ‘‘kāyaduccaritasamaṅgī’’ti āgatattā vipākūpaṭṭhānasamaṅgitā na labbhanti.
(ทุติยวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ)
(Dutiyavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.)
อฎฺฐานปาฬิวณฺณนายํ อนุตฺตานตฺถทีปนา นิฎฺฐิตาฯ
Aṭṭhānapāḷivaṇṇanāyaṃ anuttānatthadīpanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๕. อฎฺฐานปาฬิ • 15. Aṭṭhānapāḷi
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๕. อฎฺฐานปาฬิ • 15. Aṭṭhānapāḷi