Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๑๕. อฎฺฐานปาฬิ

    15. Aṭṭhānapāḷi

    (๑๕) ๑. อฎฺฐานปาฬิ-ปฐมวคฺควณฺณนา

    (15) 1. Aṭṭhānapāḷi-paṭhamavaggavaṇṇanā

    ๒๖๘. อฎฺฐานปาฬิยา อฎฺฐานนฺติ เหตุปฎิเกฺขโปฯ อนวกาโสติ ปจฺจยปฎิเกฺขโปฯ อุภเยนาปิ การณเมว ปฎิกฺขิปติฯ การณญฺหิ ตทายตฺตวุตฺติตาย อตฺตโน ผลสฺส ฐานนฺติ จ อวกาโสติ จ วุจฺจติฯ นฺติ เยน การเณนฯ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺนติ มคฺคทิฎฺฐิยา สมฺปโนฺน โสตาปโนฺน อริยสาวโกฯ ตสฺส หิ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน อิติปิ, ทสฺสนสมฺปโนฺน อิติปิ, อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ อิติปิ, ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ อิติปิ, เสเกฺขน ญาเณน สมนฺนาคโต อิติปิ, เสกฺขาย วิชฺชาย สมนฺนาคโต อิติปิ, ธมฺมโสตสมาปโนฺน อิติปิ, อริโย นิเพฺพธิกปโญฺญ อิติปิ, อมตทฺวารํ อาหจฺจ ติฎฺฐติ อิติปิติ พหูนิ นามานิ โหนฺติฯ กญฺจิ สงฺขารนฺติ จตุภูมเกสุ สงฺขตสงฺขาเรสุ กญฺจิ เอกํ สงฺขารมฺปิฯ นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺยาติ นิโจฺจติ คเณฺหยฺยฯ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ เอตํ การณํ นตฺถิ น อุปลพฺภติฯ ยํ ปุถุชฺชโนติ เยน การเณน ปุถุชฺชโนฯ ฐานเมตํ วิชฺชตีติ เอตํ การณํ อตฺถิฯ สสฺสตทิฎฺฐิยา หิ โส เตภูมเกสุ สงฺขตสงฺขาเรสุ กญฺจิ สงฺขารํ นิจฺจโต คเณฺหยฺยาติ อโตฺถฯ จตุตฺถภูมกสงฺขารา ปน เตชุสฺสทตฺตา ทิวสํสนฺตโตฺต อโยคุโฬ วิย มกฺขิกานํ, ทิฎฺฐิยา วา อเญฺญสํ วา อกุสลานํ อารมฺมณํ น โหนฺติฯ อิมินา นเยน กญฺจิ สงฺขารํ สุขโตติอาทีสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    268. Aṭṭhānapāḷiyā aṭṭhānanti hetupaṭikkhepo. Anavakāsoti paccayapaṭikkhepo. Ubhayenāpi kāraṇameva paṭikkhipati. Kāraṇañhi tadāyattavuttitāya attano phalassa ṭhānanti ca avakāsoti ca vuccati. Yanti yena kāraṇena. Diṭṭhisampannoti maggadiṭṭhiyā sampanno sotāpanno ariyasāvako. Tassa hi diṭṭhisampanno itipi, dassanasampanno itipi, āgato imaṃ saddhammaṃ itipi, passati imaṃ saddhammaṃ itipi, sekkhena ñāṇena samannāgato itipi, sekkhāya vijjāya samannāgato itipi, dhammasotasamāpanno itipi, ariyo nibbedhikapañño itipi, amatadvāraṃ āhacca tiṭṭhati itipiti bahūni nāmāni honti. Kañci saṅkhāranti catubhūmakesu saṅkhatasaṅkhāresu kañci ekaṃ saṅkhārampi. Niccatoupagaccheyyāti niccoti gaṇheyya. Netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti etaṃ kāraṇaṃ natthi na upalabbhati. Yaṃ puthujjanoti yena kāraṇena puthujjano. Ṭhānametaṃ vijjatīti etaṃ kāraṇaṃ atthi. Sassatadiṭṭhiyā hi so tebhūmakesu saṅkhatasaṅkhāresu kañci saṅkhāraṃ niccato gaṇheyyāti attho. Catutthabhūmakasaṅkhārā pana tejussadattā divasaṃsantatto ayoguḷo viya makkhikānaṃ, diṭṭhiyā vā aññesaṃ vā akusalānaṃ ārammaṇaṃ na honti. Iminā nayena kañci saṅkhāraṃ sukhatotiādīsupi attho veditabbo.

    ๒๖๙. สุขโต อุปคเจฺฉยฺยาติ ‘‘เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อาโรโค ปรมฺมรณา’’ติ (ที. นิ. ๑.๗๖, ๗๙; ม. นิ. ๓.๒๑, ๒๒) เอวํ อตฺตทิฎฺฐิวเสน สุขโต คาหํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตจิเตฺตน ปน อริยสาวโก ปริฬาหาธิภูโต ปริฬาหวูปสมตฺถํ มตฺตหตฺถิปริตฺตาสิโต วิย โจกฺขพฺราหฺมโณ คูถํ กญฺจิ สงฺขารํ สุขโต อุปคจฺฉติฯ

    269.Sukhato upagaccheyyāti ‘‘ekantasukhī attā hoti ārogo parammaraṇā’’ti (dī. ni. 1.76, 79; ma. ni. 3.21, 22) evaṃ attadiṭṭhivasena sukhato gāhaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Diṭṭhivippayuttacittena pana ariyasāvako pariḷāhādhibhūto pariḷāhavūpasamatthaṃ mattahatthiparittāsito viya cokkhabrāhmaṇo gūthaṃ kañci saṅkhāraṃ sukhato upagacchati.

    ๒๗๐. อตฺตวาเร กสิณาทิปณฺณตฺติสงฺคหตฺถํ ‘‘สงฺขาร’’นฺติ อวตฺวา กญฺจิ ธมฺมนฺติ วุตฺตํฯ อิธาปิ อริยสาวกสฺส จตุภูมกวเสน ปริเจฺฉโท เวทิตโพฺพ, ปุถุชฺชนสฺส เตภูมกวเสน ฯ สพฺพวาเรสุ วา อริยสาวกสฺสาปิ เตภูมกวเสเนว ปริเจฺฉโท วฎฺฎติฯ ยํ ยํ หิ ปุถุชฺชโน คณฺหาติ, ตโต ตโต อริยสาวโก คาหํ วินิเวเฐติฯ ปุถุชฺชโน หิ ยํ ยํ นิจฺจํ สุขํ อตฺตาติ คณฺหาติ, ตํ ตํ อริยสาวโก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ คณฺหโนฺต ตํ คาหํ วินิเวเฐติฯ อิติ อิมสฺมิํ สุตฺตตฺตเย ปุถุชฺชนตฺตคฺคาหวินิเวฐนํ นาม กถิตํฯ

    270. Attavāre kasiṇādipaṇṇattisaṅgahatthaṃ ‘‘saṅkhāra’’nti avatvā kañci dhammanti vuttaṃ. Idhāpi ariyasāvakassa catubhūmakavasena paricchedo veditabbo, puthujjanassa tebhūmakavasena . Sabbavāresu vā ariyasāvakassāpi tebhūmakavaseneva paricchedo vaṭṭati. Yaṃ yaṃ hi puthujjano gaṇhāti, tato tato ariyasāvako gāhaṃ viniveṭheti. Puthujjano hi yaṃ yaṃ niccaṃ sukhaṃ attāti gaṇhāti, taṃ taṃ ariyasāvako aniccaṃ dukkhaṃ anattāti gaṇhanto taṃ gāhaṃ viniveṭheti. Iti imasmiṃ suttattaye puthujjanattaggāhaviniveṭhanaṃ nāma kathitaṃ.

    ๒๗๑. มาตรนฺติอาทีสุ ชนิกาว มาตา, ชนโกว ปิตา, มนุสฺสภูโตว ขีณาสโว อรหาติ อธิเปฺปโตฯ กิํ ปน อริยสาวโก อญฺญํ ชีวิตา โวโรเปยฺยาติ? เอตมฺปิ อฎฺฐานํฯ สเจปิ ภวนฺตรคตํ อริยสาวกํ อตฺตโน อริยสาวกภาวํ อชานนฺตมฺปิ โกจิ เอวํ วเทยฺย ‘‘อิมํ กุนฺถกิปิลฺลิกํ ชีวิตา โวโรเปตฺวา สกลจกฺกวาฬคเพฺภ จกฺกวตฺติรชฺชํ ปฎิปชฺชาหี’’ติ, เนว โส ตํ ชีวิตา โวโรเปยฺยฯ อถาปิ นํ เอวํ วเทยฺยุํ ‘‘สเจ อิมํ น ฆาเตสฺสสิ, สีสํ เต ฉินฺทิสฺสามา’’ติฯ สีสเมวสฺส ฉิเนฺทยฺยุํ, น จ โส ตํ ฆาเตยฺยฯ ปุถุชฺชนภาวสฺส ปน มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถํ อริยสาวกสฺส จ พลวทีปนตฺถเมตํ วุตฺตํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – สาวโชฺช ปุถุชฺชนภาโว, ยตฺร หิ นาม ปุถุชฺชโน มาตุฆาตาทีนิปิ อานนฺตริยานิ กริสฺสติฯ มหาพโล จ อริยสาวโก, โย เอตานิ กมฺมานิ น กโรตีติฯ

    271.Mātarantiādīsu janikāva mātā, janakova pitā, manussabhūtova khīṇāsavo arahāti adhippeto. Kiṃ pana ariyasāvako aññaṃ jīvitā voropeyyāti? Etampi aṭṭhānaṃ. Sacepi bhavantaragataṃ ariyasāvakaṃ attano ariyasāvakabhāvaṃ ajānantampi koci evaṃ vadeyya ‘‘imaṃ kunthakipillikaṃ jīvitā voropetvā sakalacakkavāḷagabbhe cakkavattirajjaṃ paṭipajjāhī’’ti, neva so taṃ jīvitā voropeyya. Athāpi naṃ evaṃ vadeyyuṃ ‘‘sace imaṃ na ghātessasi, sīsaṃ te chindissāmā’’ti. Sīsamevassa chindeyyuṃ, na ca so taṃ ghāteyya. Puthujjanabhāvassa pana mahāsāvajjabhāvadassanatthaṃ ariyasāvakassa ca balavadīpanatthametaṃ vuttaṃ. Ayañhettha adhippāyo – sāvajjo puthujjanabhāvo, yatra hi nāma puthujjano mātughātādīnipi ānantariyāni karissati. Mahābalo ca ariyasāvako, yo etāni kammāni na karotīti.

    ๒๗๔. ปทุฎฺฐจิโตฺตติ วธกจิเตฺตน ปทุฎฺฐจิโตฺตฯ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยาติ ชีวมานกสรีเร ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยฯ

    274.Paduṭṭhacittoti vadhakacittena paduṭṭhacitto. Lohitaṃ uppādeyyāti jīvamānakasarīre khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitaṃ uppādeyya.

    ๒๗๕. สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยาติ สมานสํวาสกํ สมานสีมาย ฐิตํ ปญฺจหิ การเณหิ สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ปญฺจหุปาลิ , อากาเรหิ สโงฺฆ ภิชฺชติ – กเมฺมน, อุเทฺทเสน, โวหรโนฺต, อนุสฺสาวเนน, สลากคฺคาเหนา’’ติ (ปริ. ๔๕๘)ฯ

    275.Saṅghaṃ bhindeyyāti samānasaṃvāsakaṃ samānasīmāya ṭhitaṃ pañcahi kāraṇehi saṅghaṃ bhindeyya. Vuttampi cetaṃ ‘‘pañcahupāli , ākārehi saṅgho bhijjati – kammena, uddesena, voharanto, anussāvanena, salākaggāhenā’’ti (pari. 458).

    ตตฺถ กเมฺมนาติ อปโลกนาทีสุ จตูสุ กเมฺมสุ อญฺญตเรน กเมฺมนฯ อุเทฺทเสนาติ ปญฺจสุ ปาติโมกฺขุเทฺทเสสุ อญฺญตเรน อุเทฺทเสนฯ โวหรโนฺตติ กถยโนฺต, ตาหิ ตาหิ อุปฺปตฺตีหิ อธมฺมํ ธโมฺมติอาทีนิ อฎฺฐารส เภทกรวตฺถูนิ ทีเปโนฺตฯ อนุสฺสาวเนนาติ ‘‘นนุ ตุเมฺห ชานาถ มยฺหํ อุจฺจากุลา ปพฺพชิตภาวํ พหุสฺสุตภาวญฺจ, มาทิโส นาม อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุ สาสนํ คาเหยฺยาติ จิตฺตมฺปิ อุปฺปาเทตุํ น ตุมฺหากํ ยุตฺตํ, กิํ มยฺหํ อวีจิ นีลุปฺปลวนํ วิย สีตลา, กิํ อหํ อปายโต น ภายามี’’ติอาทินา นเยน กณฺณมูเล วจีเภทํ กตฺวา อนุสฺสาวเนน ฯ สลากคฺคาเหนาติ เอวํ อนุสฺสาเวตฺวา เตสํ จิตฺตํ อุปตฺถเมฺภตฺวา อนิวตฺติธเมฺม กตฺวา ‘‘คณฺหถ อิมํ สลาก’’นฺติ สลากคฺคาเหนฯ

    Tattha kammenāti apalokanādīsu catūsu kammesu aññatarena kammena. Uddesenāti pañcasu pātimokkhuddesesu aññatarena uddesena. Voharantoti kathayanto, tāhi tāhi uppattīhi adhammaṃ dhammotiādīni aṭṭhārasa bhedakaravatthūni dīpento. Anussāvanenāti ‘‘nanu tumhe jānātha mayhaṃ uccākulā pabbajitabhāvaṃ bahussutabhāvañca, mādiso nāma uddhammaṃ ubbinayaṃ satthu sāsanaṃ gāheyyāti cittampi uppādetuṃ na tumhākaṃ yuttaṃ, kiṃ mayhaṃ avīci nīluppalavanaṃ viya sītalā, kiṃ ahaṃ apāyato na bhāyāmī’’tiādinā nayena kaṇṇamūle vacībhedaṃ katvā anussāvanena . Salākaggāhenāti evaṃ anussāvetvā tesaṃ cittaṃ upatthambhetvā anivattidhamme katvā ‘‘gaṇhatha imaṃ salāka’’nti salākaggāhena.

    เอตฺถ จ กเมฺมว อุเทฺทโส วา ปมาณํ, โวหารานุสฺสาวนสลากคฺคาหา ปน ปุพฺพภาคาฯ อฎฺฐารสวตฺถุทีปนวเสน หิ โวหรเนฺตน ตตฺถ รุจิชนนตฺถํ อนุสฺสาเวตฺวา สลากาย คหิตายปิ อภิโนฺนว โหติ สโงฺฆฯ ยทา ปน เอวํ จตฺตาโร วา อติเรกา วา สลากํ คเหตฺวา อาเวณิกํ กมฺมํ วา อุเทฺทสํ วา กโรนฺติ, ตทา สโงฺฆ ภิโนฺน นาม โหติฯ เอวํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยาติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ เอตฺตาวตา มาตุฆาตาทีนิ ปญฺจ อานนฺตริยกมฺมานิ ทสฺสิตานิ โหนฺติ, ยานิ ปุถุชฺชโน กโรติ, น อริยสาวโกฯ เตสํ อาวิภาวตฺถํ –

    Ettha ca kammeva uddeso vā pamāṇaṃ, vohārānussāvanasalākaggāhā pana pubbabhāgā. Aṭṭhārasavatthudīpanavasena hi voharantena tattha rucijananatthaṃ anussāvetvā salākāya gahitāyapi abhinnova hoti saṅgho. Yadā pana evaṃ cattāro vā atirekā vā salākaṃ gahetvā āveṇikaṃ kammaṃ vā uddesaṃ vā karonti, tadā saṅgho bhinno nāma hoti. Evaṃ diṭṭhisampanno puggalo saṅghaṃ bhindeyyāti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Ettāvatā mātughātādīni pañca ānantariyakammāni dassitāni honti, yāni puthujjano karoti, na ariyasāvako. Tesaṃ āvibhāvatthaṃ –

    ‘‘กมฺมโต ทฺวารโต เจว, กปฺปฎฺฐิติยโต ตถา;

    ‘‘Kammato dvārato ceva, kappaṭṭhitiyato tathā;

    ปากสาธารณาทีหิ, วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโย’’ฯ

    Pākasādhāraṇādīhi, viññātabbo vinicchayo’’.

    ตตฺถ กมฺมโต ตาว – เอตฺถ หิ มนุสฺสภูตเสฺสว มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา อปิ ปริวตฺตลิงฺคํ ชีวิตา โวโรเปนฺตสฺส กมฺมํ อานนฺตริยํ โหติ, ตสฺส วิปากํ ปฎิพาหิสฺสามีติ สกลจกฺกวาฬํ มหาเจติยปฺปมาเณหิปิ กญฺจนถูเปหิ ปูเรตฺวาปิ สกลจกฺกวาฬํ ปูเรตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวาปิ พุทฺธสฺส ภควโต สงฺฆาฎิกณฺณํ อมุญฺจโนฺต วิจริตฺวาปิ กายสฺส เภทา นิรยเมว อุปปชฺชติฯ โย ปน สยํ มนุโสฺส ติรจฺฉานภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา, สยํ วา ติรจฺฉานภูโต มนุสฺสภูตํ, ติรจฺฉานภูโตเยว วา ติรจฺฉานภูตํ ชีวิตา โวโรเปติ, ตสฺส กมฺมํ อานนฺตริยํ น โหติ, ภาริยํ ปน โหติ, อานนฺตริยํ อาหเจฺจว ติฎฺฐติฯ มนุสฺสชาติกานํว ปน วเสน อยํ ปโญฺห กถิโตฯ

    Tattha kammato tāva – ettha hi manussabhūtasseva manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā api parivattaliṅgaṃ jīvitā voropentassa kammaṃ ānantariyaṃ hoti, tassa vipākaṃ paṭibāhissāmīti sakalacakkavāḷaṃ mahācetiyappamāṇehipi kañcanathūpehi pūretvāpi sakalacakkavāḷaṃ pūretvā nisinnassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvāpi buddhassa bhagavato saṅghāṭikaṇṇaṃ amuñcanto vicaritvāpi kāyassa bhedā nirayameva upapajjati. Yo pana sayaṃ manusso tiracchānabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā, sayaṃ vā tiracchānabhūto manussabhūtaṃ, tiracchānabhūtoyeva vā tiracchānabhūtaṃ jīvitā voropeti, tassa kammaṃ ānantariyaṃ na hoti, bhāriyaṃ pana hoti, ānantariyaṃ āhacceva tiṭṭhati. Manussajātikānaṃva pana vasena ayaṃ pañho kathito.

    ตตฺถ เอฬกจตุกฺกํ, สงฺคามจตุกฺกํ, โจรจตุกฺกญฺจ กเถตพฺพํฯ เอฬกํ มาเรสฺสามีติ อภิสนฺธินาปิ หิ เอฬกฎฺฐาเน ฐิตํ มนุโสฺส มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา มาเรโนฺต อานนฺตริยํ ผุสติฯ เอฬกาภิสนฺธินา มาตาปิติอภิสนฺธินา วา เอฬกํ มาเรโนฺต อานนฺตริยํ น ผุสติ, มาตาปิติอภิสนฺธินา มาตาปิตโร มาเรโนฺต ผุสเตวฯ เอส นโย อิตรสฺมิมฺปิ จตุกฺกทฺวเยฯ ยถา จ มาตาปิตูสุ, เอวํ อรหเนฺตปิ เอตานิ จตุกฺกานิ เวทิตพฺพานิ ฯ มนุสฺสอรหนฺตเมว จ มาเรตฺวา อานนฺตริยํ ผุสติ, น ยกฺขภูตํฯ กมฺมํ ปน ภาริยํ, อานนฺตริยสทิสเมวฯ มนุสฺสอรหนฺตสฺส จ ปุถุชฺชนกาเลเยว สตฺถปฺปหาเร วา วิเส วา ทิเนฺนปิ ยทิ โส อรหตฺตํ ปตฺวา เตเนว มรติ, อรหนฺตฆาตโก โหติเยวฯ ยํ ปน ปุถุชฺชนกาเล ทินฺนํ ทานํ อรหตฺตํ ปตฺวา ปริภุญฺชติ, ปุถุชฺชนเสฺสว ตํ ทินฺนํ โหติฯ เสสอริยปุคฺคเล มาเรนฺตสฺส อานนฺตริยํ นตฺถิ, กมฺมํ ปน ภาริยํ, อานนฺตริยสทิสเมวฯ

    Tattha eḷakacatukkaṃ, saṅgāmacatukkaṃ, coracatukkañca kathetabbaṃ. Eḷakaṃ māressāmīti abhisandhināpi hi eḷakaṭṭhāne ṭhitaṃ manusso manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā mārento ānantariyaṃ phusati. Eḷakābhisandhinā mātāpitiabhisandhinā vā eḷakaṃ mārento ānantariyaṃ na phusati, mātāpitiabhisandhinā mātāpitaro mārento phusateva. Esa nayo itarasmimpi catukkadvaye. Yathā ca mātāpitūsu, evaṃ arahantepi etāni catukkāni veditabbāni . Manussaarahantameva ca māretvā ānantariyaṃ phusati, na yakkhabhūtaṃ. Kammaṃ pana bhāriyaṃ, ānantariyasadisameva. Manussaarahantassa ca puthujjanakāleyeva satthappahāre vā vise vā dinnepi yadi so arahattaṃ patvā teneva marati, arahantaghātako hotiyeva. Yaṃ pana puthujjanakāle dinnaṃ dānaṃ arahattaṃ patvā paribhuñjati, puthujjanasseva taṃ dinnaṃ hoti. Sesaariyapuggale mārentassa ānantariyaṃ natthi, kammaṃ pana bhāriyaṃ, ānantariyasadisameva.

    โลหิตุปฺปาเท ตถาคตสฺส อเภชฺชกายตาย ปรูปกฺกเมน จมฺมเจฺฉทํ กตฺวา โลหิตปคฺฆรณํ นาม นตฺถิ, สรีรสฺส ปน อโนฺตเยว เอกสฺมิํ ฐาเน โลหิตํ สโมสรติฯ เทวทเตฺตน ปวิทฺธสิลโต ภิชฺชิตฺวา คตา สกลิกาปิ ตถาคตสฺส ปาทนฺตํ ปหริ, ผรสุนา ปหโฎ วิย ปาโท อโนฺตโลหิโตเยว อโหสิฯ ตถา กโรนฺตสฺส อานนฺตริยํ โหติฯ ชีวโก ปน ตถาคตสฺส รุจิยา สตฺถเกน จมฺมํ ฉินฺทิตฺวา ตมฺหา ฐานา ทุฎฺฐโลหิตํ นีหริตฺวา ผาสุกมกาสิฯ ตถา กโรนฺตสฺส ปุญฺญกมฺมเมว โหติฯ

    Lohituppāde tathāgatassa abhejjakāyatāya parūpakkamena cammacchedaṃ katvā lohitapaggharaṇaṃ nāma natthi, sarīrassa pana antoyeva ekasmiṃ ṭhāne lohitaṃ samosarati. Devadattena paviddhasilato bhijjitvā gatā sakalikāpi tathāgatassa pādantaṃ pahari, pharasunā pahaṭo viya pādo antolohitoyeva ahosi. Tathā karontassa ānantariyaṃ hoti. Jīvako pana tathāgatassa ruciyā satthakena cammaṃ chinditvā tamhā ṭhānā duṭṭhalohitaṃ nīharitvā phāsukamakāsi. Tathā karontassa puññakammameva hoti.

    อถ เย ปรินิพฺพุเต ตถาคเต เจติยํ ภินฺทนฺติ, โพธิํ ฉินฺทนฺติ, ธาตุมฺหิ อุปกฺกมนฺติ, เตสํ กิํ โหตีติ? ภาริยํ กมฺมํ โหติ, อานนฺตริยสทิสํฯ สธาตุกํ ปน ถูปํ วา ปฎิมํ วา พาธยมานํ โพธิสาขํ ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ สเจปิ ตตฺถ นิลีนา สกุณา เจติเย วจฺจํ ปาเตนฺติ, ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติเยวฯ ปริโภคเจติยโต หิ สรีรเจติยํ มหนฺตตรํฯ เจติยวตฺถุํ ภินฺทิตฺวา คจฺฉนฺตํ โพธิมูลมฺปิ ฉินฺทิตฺวา หริตุํ วฎฺฎติฯ ยา ปน โพธิสาขา โพธิฆรํ พาธติ, ตํ เคหรกฺขณตฺถํ ฉินฺทิตุํ น ลภติฯ โพธิอตฺถญฺหิ เคหํ, น เคหตฺถาย โพธิฯ อาสนฆเรปิ เอเสว นโยฯ ยสฺมิํ ปน อาสนฆเร ธาตุ นิหิตา โหติ, ตสฺส รกฺขณตฺถาย โพธิสาขํ ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ โพธิชคฺคนตฺถํ โอชาหรณสาขํ วา ปูติสาขํ วา ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติเยว, สรีรปฎิชคฺคเน วิย ปุญฺญมฺปิ โหติฯ

    Atha ye parinibbute tathāgate cetiyaṃ bhindanti, bodhiṃ chindanti, dhātumhi upakkamanti, tesaṃ kiṃ hotīti? Bhāriyaṃ kammaṃ hoti, ānantariyasadisaṃ. Sadhātukaṃ pana thūpaṃ vā paṭimaṃ vā bādhayamānaṃ bodhisākhaṃ chindituṃ vaṭṭati. Sacepi tattha nilīnā sakuṇā cetiye vaccaṃ pātenti, chindituṃ vaṭṭatiyeva. Paribhogacetiyato hi sarīracetiyaṃ mahantataraṃ. Cetiyavatthuṃ bhinditvā gacchantaṃ bodhimūlampi chinditvā harituṃ vaṭṭati. Yā pana bodhisākhā bodhigharaṃ bādhati, taṃ geharakkhaṇatthaṃ chindituṃ na labhati. Bodhiatthañhi gehaṃ, na gehatthāya bodhi. Āsanagharepi eseva nayo. Yasmiṃ pana āsanaghare dhātu nihitā hoti, tassa rakkhaṇatthāya bodhisākhaṃ chindituṃ vaṭṭati. Bodhijagganatthaṃ ojāharaṇasākhaṃ vā pūtisākhaṃ vā chindituṃ vaṭṭatiyeva, sarīrapaṭijaggane viya puññampi hoti.

    สงฺฆเภเทปิ สีมฎฺฐกสเงฺฆ อสนฺนิปติเต วิสุํ ปริสํ คเหตฺวา กตโวหารานุสฺสาวนสลากคฺคาหสฺส กมฺมํ วา กโรนฺตสฺส อุเทฺทสํ วา อุทฺทิสนฺตสฺส เภโท จ โหติ อานนฺตริยกมฺมญฺจฯ สมคฺคสญฺญาย ปน วฎฺฎตีติ สญฺญาย วา กโรนฺตสฺส เภโทว โหติ, น อานนฺตริยกมฺมํฯ ตถา นวโต อูนปริสายฯ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน นวนฺนํ ชนานํ โย สงฺฆํ ภินฺทติ, ตสฺส อานนฺตริยกมฺมํ โหติฯ ตสฺส อนุวตฺตกานํ อธมฺมวาทีนํ มหาสาวชฺชกมฺมํ , ธมฺมวาทิโน ปน อนวชฺชาฯ ตตฺถ นวนฺนเมว สงฺฆเภเท อิทํ สุตฺตํ – ‘‘เอกโต, อุปาลิ, จตฺตาโร โหนฺติ, เอกโต จตฺตาโร, นวโม อนุสฺสาเวติ, สลากํ คาเหติ ‘อยํ ธโมฺม อยํ วินโย อิทํ สตฺถุ สาสนํ, อิมํ คณฺหถ, อิมํ โรเจถา’ติฯ เอวํ โข, อุปาลิ, สงฺฆราชิ เจว โหติ สงฺฆเภโท จฯ นวนฺนํ วา , อุปาลิ, อติเรกนวนฺนํ วา สงฺฆราชิ เจว โหติ สงฺฆเภโท จา’’ติ (จูฬว. ๓๕๑)ฯ เอเตสุ จ ปน ปญฺจสุ สงฺฆเภโท วจีกมฺมํ, เสสานิ กายกมฺมานีติ เอวํ กมฺมโต วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Saṅghabhedepi sīmaṭṭhakasaṅghe asannipatite visuṃ parisaṃ gahetvā katavohārānussāvanasalākaggāhassa kammaṃ vā karontassa uddesaṃ vā uddisantassa bhedo ca hoti ānantariyakammañca. Samaggasaññāya pana vaṭṭatīti saññāya vā karontassa bhedova hoti, na ānantariyakammaṃ. Tathā navato ūnaparisāya. Sabbantimena paricchedena navannaṃ janānaṃ yo saṅghaṃ bhindati, tassa ānantariyakammaṃ hoti. Tassa anuvattakānaṃ adhammavādīnaṃ mahāsāvajjakammaṃ , dhammavādino pana anavajjā. Tattha navannameva saṅghabhede idaṃ suttaṃ – ‘‘ekato, upāli, cattāro honti, ekato cattāro, navamo anussāveti, salākaṃ gāheti ‘ayaṃ dhammo ayaṃ vinayo idaṃ satthu sāsanaṃ, imaṃ gaṇhatha, imaṃ rocethā’ti. Evaṃ kho, upāli, saṅgharāji ceva hoti saṅghabhedo ca. Navannaṃ vā , upāli, atirekanavannaṃ vā saṅgharāji ceva hoti saṅghabhedo cā’’ti (cūḷava. 351). Etesu ca pana pañcasu saṅghabhedo vacīkammaṃ, sesāni kāyakammānīti evaṃ kammato viññātabbo vinicchayo.

    ทฺวารโตติ สพฺพาเนว เจตานิ กายทฺวารโตปิ วจีทฺวารโตปิ สมุฎฺฐหนฺติฯ ปุริมานิ ปเนตฺถ จตฺตาริ อาณตฺติกวิชฺชามยปฺปโยควเสน วจีทฺวารโต สมุฎฺฐหิตฺวาปิ กายทฺวารเมว ปูเรนฺติ, สงฺฆเภโท หตฺถมุทฺธาย เภทํ กโรนฺตสฺส กายทฺวารโต สมุฎฺฐหิตฺวาปิ วจีทฺวารเมว ปูเรตีติ เอวเมตฺถ ทฺวารโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Dvāratoti sabbāneva cetāni kāyadvāratopi vacīdvāratopi samuṭṭhahanti. Purimāni panettha cattāri āṇattikavijjāmayappayogavasena vacīdvārato samuṭṭhahitvāpi kāyadvārameva pūrenti, saṅghabhedo hatthamuddhāya bhedaṃ karontassa kāyadvārato samuṭṭhahitvāpi vacīdvārameva pūretīti evamettha dvāratopi viññātabbo vinicchayo.

    กปฺปฎฺฐิติยโตติ สงฺฆเภโทเยว เจตฺถ กปฺปฎฺฐิติโยฯ สณฺฐหเนฺต หิ กเปฺป วา กปฺปเวมเชฺฌ วา สงฺฆเภทํ กตฺวา กปฺปวินาเสเยว มุจฺจติฯ สเจปิ หิ ‘เสฺว กโปฺป วินสฺสิสฺสตี’’ติ อชฺช สงฺฆเภทํ กโรติ, เสฺวว มุจฺจติ, เอกทิวสเมว นิรเย ปจฺจติฯ เอวํ กรณํ ปน นตฺถิฯ เสสานิ จตฺตาริ กมฺมานิ อานนฺตริยาเนว โหนฺติ, น กปฺปฎฺฐิติยานีติ เอวเมตฺถ กปฺปฎฺฐิติยโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Kappaṭṭhitiyatoti saṅghabhedoyeva cettha kappaṭṭhitiyo. Saṇṭhahante hi kappe vā kappavemajjhe vā saṅghabhedaṃ katvā kappavināseyeva muccati. Sacepi hi ‘sve kappo vinassissatī’’ti ajja saṅghabhedaṃ karoti, sveva muccati, ekadivasameva niraye paccati. Evaṃ karaṇaṃ pana natthi. Sesāni cattāri kammāni ānantariyāneva honti, na kappaṭṭhitiyānīti evamettha kappaṭṭhitiyatopi viññātabbo vinicchayo.

    ปากโตติ เยน จ ปญฺจเปตานิ กมฺมานิ กตานิ โหนฺติ, ตสฺส สงฺฆเภโทเยว ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติ, เสสานิ ‘‘อโหสิกมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก’’ติ เอวมาทีสุ สงฺขํ คจฺฉนฺติฯ สงฺฆเภทาภาเว โลหิตุปฺปาโท, ตทภาเว อรหนฺตฆาโต, ตทภาเว สเจ ปิตา สีลวา โหติ, มาตา ทุสฺสีลา, โน วา ตถา สีลวตี, ปิตุฆาโต ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติฯ สเจ มาตา สีลวตี, มาตุฆาโตฯ ทฺวีสุปิ สีเลน วา ทุสฺสีเลน วา สมาเนสุ มาตุฆาโตว ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติ ฯ มาตา หิ ทุกฺกรการินี พหูปการา จ ปุตฺตานนฺติฯ เอวเมตฺถ ปากโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Pākatoti yena ca pañcapetāni kammāni katāni honti, tassa saṅghabhedoyeva paṭisandhivasena vipaccati, sesāni ‘‘ahosikammaṃ nāhosi kammavipāko’’ti evamādīsu saṅkhaṃ gacchanti. Saṅghabhedābhāve lohituppādo, tadabhāve arahantaghāto, tadabhāve sace pitā sīlavā hoti, mātā dussīlā, no vā tathā sīlavatī, pitughāto paṭisandhivasena vipaccati. Sace mātā sīlavatī, mātughāto. Dvīsupi sīlena vā dussīlena vā samānesu mātughātova paṭisandhivasena vipaccati . Mātā hi dukkarakārinī bahūpakārā ca puttānanti. Evamettha pākatopi viññātabbo vinicchayo.

    สาธารณาทีหีติ ปุริมานิ จตฺตาริ สเพฺพสมฺปิ คหฎฺฐปพฺพชิตานํ สาธารณานิฯ สงฺฆเภโท ปน ‘‘น โข, อุปาลิ ภิกฺขุนี, สงฺฆํ ภินฺทติ, น สิกฺขมานา, น สามเณโร, น สามเณรี , น อุปาสโก, น อุปาสิกา สงฺฆํ ภินฺทติฯ ภิกฺขุ โข, อุปาลิ, ปกตโตฺต สมานสํวาสโก สมานสีมายํ ฐิโต สงฺฆํ ภินฺทตี’’ติ (จูฬว. ๓๕๑) วจนโต วุตฺตปฺปการสฺส ภิกฺขุโนว โหติ, น อญฺญสฺส, ตสฺมา อสาธารโณฯ อาทิสเทฺทน สเพฺพเปเต ทุกฺขเวทนาย สหคตา โทสโมหสมฺปยุตฺตา จาติ เอวเมตฺถ สาธารณาทีหิปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Sādhāraṇādīhīti purimāni cattāri sabbesampi gahaṭṭhapabbajitānaṃ sādhāraṇāni. Saṅghabhedo pana ‘‘na kho, upāli bhikkhunī, saṅghaṃ bhindati, na sikkhamānā, na sāmaṇero, na sāmaṇerī , na upāsako, na upāsikā saṅghaṃ bhindati. Bhikkhu kho, upāli, pakatatto samānasaṃvāsako samānasīmāyaṃ ṭhito saṅghaṃ bhindatī’’ti (cūḷava. 351) vacanato vuttappakārassa bhikkhunova hoti, na aññassa, tasmā asādhāraṇo. Ādisaddena sabbepete dukkhavedanāya sahagatā dosamohasampayuttā cāti evamettha sādhāraṇādīhipi viññātabbo vinicchayo.

    ๒๗๖. อญฺญํ สตฺถารนฺติ ‘‘อยํ เม สตฺถา สตฺถุ กิจฺจํ กาตุํ อสมโตฺถ’’ติ ภวนฺตเรปิ อญฺญํ ติตฺถกรํ ‘อยํ เม สตฺถา’’ติ เอวํ คเณฺหยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ อโตฺถฯ

    276.Aññaṃsatthāranti ‘‘ayaṃ me satthā satthu kiccaṃ kātuṃ asamattho’’ti bhavantarepi aññaṃ titthakaraṃ ‘ayaṃ me satthā’’ti evaṃ gaṇheyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti attho.

    ๒๗๗. เอกิสฺสา โลกธาตุยาติ ทสสหสฺสิโลกธาตุยาฯ ตีณิ หิ เขตฺตานิ ชาติเขตฺตํ, อาณาเขตฺตํ วิสยเขตฺตนฺติฯ ตตฺถ ชาติเขตฺตํ นาม ทสสหสฺสี โลกธาตุฯ สา หิ ตถาคตสฺส มาตุกุจฺฉิสฺมิํ โอกฺกมนกาเล นิกฺขมนกาเล สโมฺพธิกาเล ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน อายุสงฺขารโวสฺสชฺชเน ปรินิพฺพาเน จ กมฺปติฯ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬํ ปน อาณาเขตฺตํ นามฯ อาฎานาฎิยปริตฺตโมรปริตฺตธชคฺคปริตฺตรตนปริตฺตาทีนญฺหิ เอตฺถ อาณา ปวตฺตติฯ วิสยเขตฺตสฺส ปน ปริมาณํ นตฺถิฯ พุทฺธานญฺหิ ‘‘ยาวตกํ ญาณํ ตาวตกํ เญยฺยํ, ยาวตกํ เญยฺยํ ตาวตกํ ญาณํ, ญาณปริยนฺติกํ เญยฺยํ, เญยฺยปริยนฺติกํ ญาณ’’นฺติ (มหานิ. ๖๙; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕) วจนโต อวิสโย นาม นตฺถิฯ

    277.Ekissā lokadhātuyāti dasasahassilokadhātuyā. Tīṇi hi khettāni jātikhettaṃ, āṇākhettaṃ visayakhettanti. Tattha jātikhettaṃ nāma dasasahassī lokadhātu. Sā hi tathāgatassa mātukucchismiṃ okkamanakāle nikkhamanakāle sambodhikāle dhammacakkappavattane āyusaṅkhāravossajjane parinibbāne ca kampati. Koṭisatasahassacakkavāḷaṃ pana āṇākhettaṃ nāma. Āṭānāṭiyaparittamoraparittadhajaggaparittaratanaparittādīnañhi ettha āṇā pavattati. Visayakhettassa pana parimāṇaṃ natthi. Buddhānañhi ‘‘yāvatakaṃ ñāṇaṃ tāvatakaṃ ñeyyaṃ, yāvatakaṃ ñeyyaṃ tāvatakaṃ ñāṇaṃ, ñāṇapariyantikaṃ ñeyyaṃ, ñeyyapariyantikaṃ ñāṇa’’nti (mahāni. 69; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddeso 85; paṭi. ma. 3.5) vacanato avisayo nāma natthi.

    อิเมสุ ปน ตีสุ เขเตฺตสุ ฐเปตฺวา อิมํ จกฺกวาฬํ อญฺญสฺมิํ จกฺกวาเฬ พุทฺธา อุปฺปชฺชนฺตีติ สุตฺตํ นตฺถิ, น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถิฯ ตีณิ หิ ปิฎกานิ – วินยปิฎกํ, สุตฺตนฺตปิฎกํ, อภิธมฺมปิฎกํฯ ติโสฺส สงฺคีติโย – มหากสฺสปเตฺถรสฺส สงฺคีติ, ยสเตฺถรสฺส สงฺคีติ, โมคฺคลิปุตฺตเตฺถรสฺส สงฺคีติฯ อิมา ติโสฺส สงฺคีติโย อารุเฬฺห เตปิฎเก พุทฺธวจเน อิมํ จกฺกวาฬํ มุญฺจิตฺวา อญฺญตฺถ พุทฺธา อุปฺปชฺชนฺตีติ สุตฺตํ นตฺถิ, น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถิฯ

    Imesu pana tīsu khettesu ṭhapetvā imaṃ cakkavāḷaṃ aññasmiṃ cakkavāḷe buddhā uppajjantīti suttaṃ natthi, na uppajjantīti pana atthi. Tīṇi hi piṭakāni – vinayapiṭakaṃ, suttantapiṭakaṃ, abhidhammapiṭakaṃ. Tisso saṅgītiyo – mahākassapattherassa saṅgīti, yasattherassa saṅgīti, moggaliputtattherassa saṅgīti. Imā tisso saṅgītiyo āruḷhe tepiṭake buddhavacane imaṃ cakkavāḷaṃ muñcitvā aññattha buddhā uppajjantīti suttaṃ natthi, na uppajjantīti pana atthi.

    อปุพฺพํ อจริมนฺติ อปุเร อปจฺฉา, เอกโต น อุปฺปชฺชนฺติฯ ปุเร วา ปจฺฉา วา อุปฺปชฺชนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ โพธิปลฺลเงฺก ‘‘โพธิํ อปฺปตฺวา น อุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐาย ยาว มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิคฺคหณํ, ตาว ปุเพฺพติ น เวทิตพฺพํฯ โพธิสตฺตสฺส หิ ปฎิสนฺธิกฺขเณ ทสสหสฺสจกฺกวาฬกมฺปเนเนว เขตฺตปริคฺคโห กโต, เอตฺถนฺตเร อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ นิวาริตาว โหติฯ ปรินิพฺพานโต ปฎฺฐาย ยาว สาสปมตฺตาปิ ธาตุ ติฎฺฐติ, ตาว ปจฺฉาติ น เวทิตพฺพํฯ ธาตูสุ หิ ฐิตาสุ พุทฺธา ฐิตาว โหนฺติฯ ตสฺมา เอตฺถนฺตเร อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ นิวาริตาว โหติฯ ธาตุปรินิพฺพาเน ปน ชาเต อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ น นิวาริตาฯ

    Apubbaṃ acarimanti apure apacchā, ekato na uppajjanti. Pure vā pacchā vā uppajjantīti vuttaṃ hoti. Tattha bodhipallaṅke ‘‘bodhiṃ appatvā na uṭṭhahissāmī’’ti nisinnakālato paṭṭhāya yāva mātukucchismiṃ paṭisandhiggahaṇaṃ, tāva pubbeti na veditabbaṃ. Bodhisattassa hi paṭisandhikkhaṇe dasasahassacakkavāḷakampaneneva khettapariggaho kato, etthantare aññassa buddhassa uppatti nivāritāva hoti. Parinibbānato paṭṭhāya yāva sāsapamattāpi dhātu tiṭṭhati, tāva pacchāti na veditabbaṃ. Dhātūsu hi ṭhitāsu buddhā ṭhitāva honti. Tasmā etthantare aññassa buddhassa uppatti nivāritāva hoti. Dhātuparinibbāne pana jāte aññassa buddhassa uppatti na nivāritā.

    กสฺมา ปน อปุพฺพํ อจริมํ น อุปฺปชฺชนฺตีติ? อนจฺฉริยตฺตาฯ พุทฺธา หิ อจฺฉริยมนุสฺสาฯ ยถาห – ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ อจฺฉริยมนุโสฺสฯ กตโม เอกปุคฺคโล? ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๗๒)ฯ ยทิ จ เทฺว วา จตฺตาโร วา อฎฺฐ วา โสฬส วา เอกโต อุปฺปเชฺชยฺยุํ, อนจฺฉริยา ภเวยฺยุํฯ เอกสฺมิญฺหิ วิหาเร ทฺวินฺนํ เจติยานมฺปิ ลาภสกฺกาโร อุฬารา น โหนฺติ, ภิกฺขูปิ พหุตาย อนจฺฉริยา ชาตา, เอวํ พุทฺธาปิ ภเวยฺยุํฯ ตสฺมา น อุปฺปชฺชนฺติฯ

    Kasmā pana apubbaṃ acarimaṃ na uppajjantīti? Anacchariyattā. Buddhā hi acchariyamanussā. Yathāha – ‘‘ekapuggalo, bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati acchariyamanusso. Katamo ekapuggalo? Tathāgato arahaṃ sammāsambuddho’’ti (a. ni. 1.172). Yadi ca dve vā cattāro vā aṭṭha vā soḷasa vā ekato uppajjeyyuṃ, anacchariyā bhaveyyuṃ. Ekasmiñhi vihāre dvinnaṃ cetiyānampi lābhasakkāro uḷārā na honti, bhikkhūpi bahutāya anacchariyā jātā, evaṃ buddhāpi bhaveyyuṃ. Tasmā na uppajjanti.

    เทสนาย จ วิเสสาภาวโตฯ ยญฺหิ สติปฎฺฐานาทิกํ ธมฺมํ เอโก เทเสติ, อเญฺญน อุปฺปชฺชิตฺวาปิ โสว ธโมฺม เทเสตโพฺพ สิยาฯ ตโต อนจฺฉริโย สิยาฯ เอกสฺมิํ ปน ธมฺมํ เทเสเนฺต เทสนาปิ อจฺฉริยาว โหติฯ

    Desanāya ca visesābhāvato. Yañhi satipaṭṭhānādikaṃ dhammaṃ eko deseti, aññena uppajjitvāpi sova dhammo desetabbo siyā. Tato anacchariyo siyā. Ekasmiṃ pana dhammaṃ desente desanāpi acchariyāva hoti.

    วิวาทภาวโต จฯ พหูสุ จ พุเทฺธสุ อุปฺปเนฺนสุ พหูนํ อาจริยานํ อเนฺตวาสิกา วิย ‘‘อมฺหากํ พุโทฺธ ปาสาทิโก, อมฺหากํ พุโทฺธ มธุรสฺสโร ลาภี ปุญฺญวา’’ติ วิวเทยฺยุํ, ตสฺมาปิ เอวํ น อุปฺปชฺชนฺติฯ

    Vivādabhāvato ca. Bahūsu ca buddhesu uppannesu bahūnaṃ ācariyānaṃ antevāsikā viya ‘‘amhākaṃ buddho pāsādiko, amhākaṃ buddho madhurassaro lābhī puññavā’’ti vivadeyyuṃ, tasmāpi evaṃ na uppajjanti.

    อปิเจตํ การณํ มิลินฺทรญฺญา ปุเฎฺฐน นาคเสนเตฺถเรน วิตฺถาริตเมวฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ (มิ. ป. ๕.๑.๑) –

    Apicetaṃ kāraṇaṃ milindaraññā puṭṭhena nāgasenattherena vitthāritameva. Vuttañhi tattha (mi. pa. 5.1.1) –

    ‘‘ภเนฺต, นาคเสน, ภาสิตมฺปิ เหตํ ภควตา – ‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา อปุพฺพํ อจริมํ อุปฺปเชฺชยฺยุํ , เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’ติฯ เทเสนฺตา จ, ภเนฺต นาคเสน, สเพฺพปิ ตถาคตา สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธเมฺม เทเสนฺติ, กถยมานา จ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ กเถนฺติ, สิกฺขาเปนฺตา จ ตีสุ สิกฺขาสุ สิกฺขาเปนฺติ, อนุสาสมานา จ อปฺปมาทปฎิปตฺติยํ อนุสาสนฺติฯ ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, สเพฺพสมฺปิ ตถาคตานํ เอโก อุเทฺทโส เอกา กถา เอกา สิกฺขา เอกา อนุสิฎฺฐิ, เกน การเณน เทฺว ตถาคตา เอกกฺขเณ น อุปฺปชฺชนฺติฯ เอเกนปิ ตาว พุทฺธุปฺปาเทน อยํ โลโก โอภาสชาโต, ยทิ ทุติโยปิ พุโทฺธ ภเวยฺย, ทฺวินฺนํ ปภาย อยํ โลโก ภิโยฺยโสมตฺตาย โอภาสชาโต ภเวยฺยฯ โอวทมานา จ เทฺว ตถาคตา สุขํ โอวเทยฺยุํ, อนุสาสมานา จ สุขํ อนุสาเสยฺยุํฯ ตตฺถ เม การณํ เทเสหิ, ยถาหํ นิสฺสํสโย ภเวยฺยนฺติ’’ฯ

    ‘‘Bhante, nāgasena, bhāsitampi hetaṃ bhagavatā – ‘aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ ekissā lokadhātuyā dve arahanto sammāsambuddhā apubbaṃ acarimaṃ uppajjeyyuṃ , netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’ti. Desentā ca, bhante nāgasena, sabbepi tathāgatā sattatiṃsa bodhipakkhiyadhamme desenti, kathayamānā ca cattāri ariyasaccāni kathenti, sikkhāpentā ca tīsu sikkhāsu sikkhāpenti, anusāsamānā ca appamādapaṭipattiyaṃ anusāsanti. Yadi, bhante nāgasena, sabbesampi tathāgatānaṃ eko uddeso ekā kathā ekā sikkhā ekā anusiṭṭhi, kena kāraṇena dve tathāgatā ekakkhaṇe na uppajjanti. Ekenapi tāva buddhuppādena ayaṃ loko obhāsajāto, yadi dutiyopi buddho bhaveyya, dvinnaṃ pabhāya ayaṃ loko bhiyyosomattāya obhāsajāto bhaveyya. Ovadamānā ca dve tathāgatā sukhaṃ ovadeyyuṃ, anusāsamānā ca sukhaṃ anusāseyyuṃ. Tattha me kāraṇaṃ desehi, yathāhaṃ nissaṃsayo bhaveyyanti’’.

    ‘‘อยํ, มหาราช, ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกพุทฺธธารณี, เอกเสฺสว ตถาคตสฺส คุณํ ธาเรติฯ ยทิ ทุติโย พุโทฺธ อุปฺปเชฺชยฺย, นายํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ ธาเรยฺย, จเลยฺย กเมฺปยฺย นเมยฺย โอนเมยฺย วินเมยฺย วิกิเรยฺย วิธเมยฺย วิทฺธํเสยฺย, น ฐานมุปคเจฺฉยฺยฯ

    ‘‘Ayaṃ, mahārāja, dasasahassī lokadhātu ekabuddhadhāraṇī, ekasseva tathāgatassa guṇaṃ dhāreti. Yadi dutiyo buddho uppajjeyya, nāyaṃ dasasahassī lokadhātu dhāreyya, caleyya kampeyya nameyya onameyya vinameyya vikireyya vidhameyya viddhaṃseyya, na ṭhānamupagaccheyya.

    ‘‘ยถา, มหาราช, นาวา เอกปุริสสนฺธารณี ภเวยฺยฯ เอกสฺมิํ ปุริเส อภิรูเฬฺห สา นาวา สมุปาทิกา ภเวยฺยฯ อถ ทุติโย ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ตาทิโส อายุนา วเณฺณน วเยน ปมาเณน กิสถูเลน สพฺพงฺคปจฺจเงฺคน, โส ตํ นาวํ อภิรุเหยฺยฯ อปิ นุ สา, มหาราช, นาวา ทฺวินฺนมฺปิ ธาเรยฺยาติ? น หิ, ภเนฺต, จเลยฺย กเมฺปยฺย นเมยฺย โอนเมยฺย วินเมยฺย วิกิเรยฺย วิธเมยฺย วิทฺธํเสยฺย, น ฐานมุปคเจฺฉยฺย, โอสีเทยฺย อุทเกติฯ เอวเมว โข, มหาราช, อยํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกพุทฺธธารณี, เอกเสฺสว ตถาคตสฺส คุณํ ธาเรติ, ยทิ ทุติโย พุโทฺธ อุปฺปเชฺชยฺย, นายํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ ธาเรยฺย, จเลยฺย…เป.… น ฐานมุปคเจฺฉยฺยฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, nāvā ekapurisasandhāraṇī bhaveyya. Ekasmiṃ purise abhirūḷhe sā nāvā samupādikā bhaveyya. Atha dutiyo puriso āgaccheyya tādiso āyunā vaṇṇena vayena pamāṇena kisathūlena sabbaṅgapaccaṅgena, so taṃ nāvaṃ abhiruheyya. Api nu sā, mahārāja, nāvā dvinnampi dhāreyyāti? Na hi, bhante, caleyya kampeyya nameyya onameyya vinameyya vikireyya vidhameyya viddhaṃseyya, na ṭhānamupagaccheyya, osīdeyya udaketi. Evameva kho, mahārāja, ayaṃ dasasahassī lokadhātu ekabuddhadhāraṇī, ekasseva tathāgatassa guṇaṃ dhāreti, yadi dutiyo buddho uppajjeyya, nāyaṃ dasasahassī lokadhātu dhāreyya, caleyya…pe… na ṭhānamupagaccheyya.

    ‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, ปุริโส ยาวทตฺถํ โภชนํ ภุเญฺชยฺย ฉาเทนฺตํ ยาว กณฺฐมภิปูรยิตฺวาฯ โส ธาโต ปีณิโต ปริปุโณฺณ นิรนฺตโร ตนฺทิกโต อโนนมิตทณฺฑชาโต ปุนเทว ตตฺตกํ โภชนํ ภุเญฺชยฺยฯ อปิ นุ โข โส, มหาราช, ปุริโส สุขิโต ภเวยฺยาติ? น หิ, ภเนฺต, สกิํภุโตฺตว มเรยฺยาติฯ เอวเมว โข, มหาราช, อยํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกพุทฺธธารณี…เป.… น ฐานมุปคเจฺฉยฺยาติฯ

    ‘‘Yathā vā pana, mahārāja, puriso yāvadatthaṃ bhojanaṃ bhuñjeyya chādentaṃ yāva kaṇṭhamabhipūrayitvā. So dhāto pīṇito paripuṇṇo nirantaro tandikato anonamitadaṇḍajāto punadeva tattakaṃ bhojanaṃ bhuñjeyya. Api nu kho so, mahārāja, puriso sukhito bhaveyyāti? Na hi, bhante, sakiṃbhuttova mareyyāti. Evameva kho, mahārāja, ayaṃ dasasahassī lokadhātu ekabuddhadhāraṇī…pe… na ṭhānamupagaccheyyāti.

    ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต นาคเสน, อติธมฺมภาเรน ปถวิ จลตีติ? อิธ, มหาราช, เทฺว สกฎา รตนปริปูริตา ภเวยฺยุํ ยาว มุขสมาฯ เอกสฺมา สกฎโต รตนํ คเหตฺวา เอกสฺมิํ สกเฎ อากิเรยฺยุํ, อปิ นุ ตํ, มหาราช, สกฎํ ทฺวินฺนมฺปิ สกฎานํ รตนํ ธาเรยฺยาติ? น หิ, ภเนฺต, นาภิปิ ตสฺส ผเลยฺย, อราปิ ตสฺส ภิเชฺชยฺยุํ, เนมีปิ ตสฺส โอปเตยฺยุํ, อโกฺขปิ ตสฺส ภิเชฺชยฺยาติฯ กิํ นุ โข, มหาราช, อติรตนภาเรน สกฎํ ภิชฺชตีติ ? อาม, ภเนฺตติฯ เอวเมว โข, มหาราช, อติธมฺมภาเรน ปถวี จลตีติฯ

    ‘‘Kiṃ nu kho, bhante nāgasena, atidhammabhārena pathavi calatīti? Idha, mahārāja, dve sakaṭā ratanaparipūritā bhaveyyuṃ yāva mukhasamā. Ekasmā sakaṭato ratanaṃ gahetvā ekasmiṃ sakaṭe ākireyyuṃ, api nu taṃ, mahārāja, sakaṭaṃ dvinnampi sakaṭānaṃ ratanaṃ dhāreyyāti? Na hi, bhante, nābhipi tassa phaleyya, arāpi tassa bhijjeyyuṃ, nemīpi tassa opateyyuṃ, akkhopi tassa bhijjeyyāti. Kiṃ nu kho, mahārāja, atiratanabhārena sakaṭaṃ bhijjatīti ? Āma, bhanteti. Evameva kho, mahārāja, atidhammabhārena pathavī calatīti.

    ‘‘อปิ จ, มหาราช, อิมํ การณํ พุทฺธพลปริทีปนาย โอสาริตํฯ อญฺญมฺปิ ตตฺถ อภิรูปํ การณํ สุโณหิ, เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ น อุปฺปชฺชนฺติฯ ยทิ, มหาราช, เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ปริสาย วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย, ‘ตุมฺหากํ พุโทฺธ, อมฺหากํ พุโทฺธ’ติ อุภโตปกฺขชาตา ภเวยฺยุํฯ ยถา, มหาราช, ทฺวินฺนํ พลวามจฺจานํ ปริสาย วิวาโท อุปฺปชฺชติ, ‘ตุมฺหากํ อมโจฺจ อมฺหากํ อมโจฺจ’ติ อุภโตปกฺขชาตา โหนฺติฯ เอวเมว โข, มหาราช, ยทิ เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ปริสาย วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย, ‘ตุมฺหากํ พุโทฺธ, อมฺหากํ พุโทฺธ’ติ อุภโตปกฺขชาตา ภเวยฺยุํฯ อิทํ ปฐมํ การณํ สุโณหิ, เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ น อุปฺปชฺชนฺติฯ

    ‘‘Api ca, mahārāja, imaṃ kāraṇaṃ buddhabalaparidīpanāya osāritaṃ. Aññampi tattha abhirūpaṃ kāraṇaṃ suṇohi, yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe na uppajjanti. Yadi, mahārāja, dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe uppajjeyyuṃ, parisāya vivādo uppajjeyya, ‘tumhākaṃ buddho, amhākaṃ buddho’ti ubhatopakkhajātā bhaveyyuṃ. Yathā, mahārāja, dvinnaṃ balavāmaccānaṃ parisāya vivādo uppajjati, ‘tumhākaṃ amacco amhākaṃ amacco’ti ubhatopakkhajātā honti. Evameva kho, mahārāja, yadi dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe uppajjeyyuṃ, parisāya vivādo uppajjeyya, ‘tumhākaṃ buddho, amhākaṃ buddho’ti ubhatopakkhajātā bhaveyyuṃ. Idaṃ paṭhamaṃ kāraṇaṃ suṇohi, yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe na uppajjanti.

    ‘‘อปรมฺปิ, มหาราช, อุตฺตริํ การณํ สุโณหิ, เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ น อุปฺปชฺชนฺติฯ ยทิ, มหาราช, เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, อโคฺค พุโทฺธติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉา ภเวยฺยฯ เชโฎฺฐ พุโทฺธติ…เป.… เสโฎฺฐ พุโทฺธติฯ วิสิโฎฺฐ พุโทฺธติ, อุตฺตโม พุโทฺธติ, ปวโร พุโทฺธติ, อสโม พุโทฺธติ, อสมสโม พุโทฺธติ, อปฺปฎิสโม พุโทฺธติ, อปฺปฎิภาโค พุโทฺธติ, อปฺปฎิปุคฺคโล พุโทฺธติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉา ภเวยฺยฯ อิมมฺปิ โข ตฺวํ, มหาราช, การณํ อตฺถโต สมฺปฎิจฺฉ, เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ น อุปฺปชฺชนฺติฯ

    ‘‘Aparampi, mahārāja, uttariṃ kāraṇaṃ suṇohi, yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe na uppajjanti. Yadi, mahārāja, dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe uppajjeyyuṃ, aggo buddhoti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā bhaveyya. Jeṭṭho buddhoti…pe… seṭṭho buddhoti. Visiṭṭho buddhoti, uttamo buddhoti, pavaro buddhoti, asamo buddhoti, asamasamo buddhoti, appaṭisamo buddhoti, appaṭibhāgo buddhoti, appaṭipuggalo buddhoti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā bhaveyya. Imampi kho tvaṃ, mahārāja, kāraṇaṃ atthato sampaṭiccha, yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe na uppajjanti.

    ‘‘อปิจ, มหาราช, พุทฺธานํ ภควนฺตานํ สภาวปกติกา เอสา, ยํ เอโกเยว พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชติฯ กสฺมา? การณมหนฺตตฺตา สพฺพญฺญุพุทฺธคุณานํฯ อญฺญมฺปิ, มหาราช, ยํ มหนฺตํ โหติ, ตํ เอกํเยว โหติฯ ปถวี, มหาราช, มหนฺตี, สา เอกาเยวฯ สาคโร มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ สิเนรุ คิริราช มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ อากาโส มหโนฺต, โส เอโกเยว ฯ สโกฺก มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ พฺรหฺมา มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ มหโนฺต, โส เอโกเยวฯ ยตฺถ เต อุปฺปชฺชนฺติ, ตตฺถ อเญฺญสํ โอกาโส น โหติฯ ตสฺมา ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ เอโกเยว โลเก อุปฺปชฺชตีติฯ สุกถิโต, ภเนฺต นาคเสน, ปโญฺห โอปเมฺมหิ การเณหี’’ติฯ

    ‘‘Apica, mahārāja, buddhānaṃ bhagavantānaṃ sabhāvapakatikā esā, yaṃ ekoyeva buddho loke uppajjati. Kasmā? Kāraṇamahantattā sabbaññubuddhaguṇānaṃ. Aññampi, mahārāja, yaṃ mahantaṃ hoti, taṃ ekaṃyeva hoti. Pathavī, mahārāja, mahantī, sā ekāyeva. Sāgaro mahanto, so ekoyeva. Sineru girirāja mahanto, so ekoyeva. Ākāso mahanto, so ekoyeva . Sakko mahanto, so ekoyeva. Brahmā mahanto, so ekoyeva. Tathāgato arahaṃ sammāsambuddho mahanto, so ekoyeva. Yattha te uppajjanti, tattha aññesaṃ okāso na hoti. Tasmā tathāgato arahaṃ sammāsambuddho ekoyeva loke uppajjatīti. Sukathito, bhante nāgasena, pañho opammehi kāraṇehī’’ti.

    เอกิสฺสา โลกธาตุยาติ เอกสฺมิํ จกฺกวาเฬฯ เหฎฺฐา อิมินาว ปเทน ทส จกฺกวาฬสหสฺสานิ คหิตานิ, ตานิปิ เอกจกฺกวาเฬเนว ปริจฺฉินฺทิตุํ วฎฺฎนฺติฯ พุทฺธา หิ อุปฺปชฺชมานา อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปชฺชนฎฺฐาเน ปน วาริเต อิโต อเญฺญสุ จกฺกวาเฬสุ น อุปฺปชฺชนฺตีติ วาริตเมว โหติฯ

    Ekissālokadhātuyāti ekasmiṃ cakkavāḷe. Heṭṭhā imināva padena dasa cakkavāḷasahassāni gahitāni, tānipi ekacakkavāḷeneva paricchindituṃ vaṭṭanti. Buddhā hi uppajjamānā imasmiṃyeva cakkavāḷe uppajjanti, uppajjanaṭṭhāne pana vārite ito aññesu cakkavāḷesu na uppajjantīti vāritameva hoti.

    ปฐมวคฺควณฺณนาฯ

    Paṭhamavaggavaṇṇanā.

    ๑๕. อฎฺฐานปาฬิ

    15. Aṭṭhānapāḷi

    (๑๕) ๒. อฎฺฐานปาฬิ-ทุติยวคฺควณฺณนา

    (15) 2. Aṭṭhānapāḷi-dutiyavaggavaṇṇanā

    ๒๗๘. อปุพฺพํ อจริมนฺติ เอตฺถ จกฺกรตนปาตุภาวโต ปุเพฺพ ปุพฺพํ, ตเสฺสว อนฺตรธานโต ปจฺฉา จริมํฯ ตตฺถ ทฺวิธา จกฺกรตนสฺส อนฺตรธานํ โหติ จกฺกวตฺติโน กาลกิริยาย วา ปพฺพชฺชาย วาฯ อนฺตรธายมานญฺจ ปน ตํ กาลกิริยโต วา ปพฺพชฺชโต วา สตฺตเม ทิวเส อนฺตรธายติ, ตโต ปรํ จกฺกวตฺติโน ปาตุภาโว อวาริโตฯ

    278.Apubbaṃacarimanti ettha cakkaratanapātubhāvato pubbe pubbaṃ, tasseva antaradhānato pacchā carimaṃ. Tattha dvidhā cakkaratanassa antaradhānaṃ hoti cakkavattino kālakiriyāya vā pabbajjāya vā. Antaradhāyamānañca pana taṃ kālakiriyato vā pabbajjato vā sattame divase antaradhāyati, tato paraṃ cakkavattino pātubhāvo avārito.

    กสฺมา ปน เอกจกฺกวาเฬ เทฺว จกฺกวตฺติโน น อุปฺปชฺชนฺตีติ? วิวาทุปเจฺฉทโต, อจฺฉริยภาวโต, จกฺกรตนสฺส มหานุภาวโต จฯ ทฺวีสุ หิ อุปฺปชฺชเนฺตสุ ‘‘อมฺหากํ ราชา มหโนฺต, อมฺหากํ ราชา มหโนฺต’’ติ วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย, ‘‘เอกสฺมิํ ทีเป จกฺกวตฺตี, เอกสฺมิํ ทีเป จกฺกวตฺตี’’ติ จ อนจฺฉริโย ภเวยฺยฯ โย จายํ จกฺกรตนสฺส ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ อิสฺสริยานุปฺปทานสมโตฺถ มหานุภาโว, โสปิ ปริหาเยถฯ อิติ วิวาทุปเจฺฉทโต อจฺฉริยภาวโต จกฺกรตนสฺส มหานุภาวโต จ น เอกจกฺกวาเฬ เทฺว อุปฺปชฺชนฺติฯ

    Kasmā pana ekacakkavāḷe dve cakkavattino na uppajjantīti? Vivādupacchedato, acchariyabhāvato, cakkaratanassa mahānubhāvato ca. Dvīsu hi uppajjantesu ‘‘amhākaṃ rājā mahanto, amhākaṃ rājā mahanto’’ti vivādo uppajjeyya, ‘‘ekasmiṃ dīpe cakkavattī, ekasmiṃ dīpe cakkavattī’’ti ca anacchariyo bhaveyya. Yo cāyaṃ cakkaratanassa dvisahassadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu issariyānuppadānasamattho mahānubhāvo, sopi parihāyetha. Iti vivādupacchedato acchariyabhāvato cakkaratanassa mahānubhāvato ca na ekacakkavāḷe dve uppajjanti.

    ๒๗๙. ยํ อิตฺถี อรหํ อสฺส สมฺมาสมฺพุโทฺธติ เอตฺถ ติฎฺฐตุ ตาว สพฺพญฺญุคุเณ นิพฺพเตฺตตฺวา โลกนิตฺถรณสมโตฺถ พุทฺธภาโว, ปณิธานมตฺตมฺปิ อิตฺถิยา น สมฺปชฺชติฯ

    279.Yaṃ itthī arahaṃ assa sammāsambuddhoti ettha tiṭṭhatu tāva sabbaññuguṇe nibbattetvā lokanittharaṇasamattho buddhabhāvo, paṇidhānamattampi itthiyā na sampajjati.

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;

    ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา;

    Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā;

    อฎฺฐ ธมฺมสโมธานา, อภินีหาโร สมิชฺฌตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙) –

    Aṭṭha dhammasamodhānā, abhinīhāro samijjhatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.59) –

    อิมานิ หิ ปณิธานสมฺปตฺติการณานิฯ อิติ ปณิธานมฺปิ สมฺปาเทตุํ อสมตฺถาย อิตฺถิยา กุโต พุทฺธภาโวติฯ ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ อิตฺถี อรหํ อสฺส สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ วุตฺตํ ฯ สพฺพาการปริปูโรว ปุญฺญุสฺสโย สพฺพาการปริปูรเมว อตฺตภาวํ นิพฺพเตฺตตีติ ปุริโสว อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, น อิตฺถีฯ

    Imāni hi paṇidhānasampattikāraṇāni. Iti paṇidhānampi sampādetuṃ asamatthāya itthiyā kuto buddhabhāvoti. ‘‘Aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ itthī arahaṃ assa sammāsambuddho’’ti vuttaṃ . Sabbākāraparipūrova puññussayo sabbākāraparipūrameva attabhāvaṃ nibbattetīti purisova arahaṃ hoti sammāsambuddho, na itthī.

    ๒๘๐. ราชา อสฺส จกฺกวตฺตีติอาทีสุปิ ยสฺมา อิตฺถิยา โกโสหิตวตฺถคุยฺหตาทีนํ อภาเวน ลกฺขณานิ น ปริปูรนฺติ, อิตฺถิรตนาภาเวน สตฺตรตนสมงฺคิตา น สมฺปชฺชติ, สพฺพมนุเสฺสหิ จ อธิโก อตฺตภาโว น โหติฯ ตสฺมา ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส ยํ อิตฺถี ราชา อสฺส จกฺกวตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ

    280.Rājā assa cakkavattītiādīsupi yasmā itthiyā kosohitavatthaguyhatādīnaṃ abhāvena lakkhaṇāni na paripūranti, itthiratanābhāvena sattaratanasamaṅgitā na sampajjati, sabbamanussehi ca adhiko attabhāvo na hoti. Tasmā ‘‘aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso yaṃ itthī rājā assa cakkavattī’’ti vuttaṃ.

    ๒๘๑. ยสฺมา จ สกฺกตฺตาทีนิ ตีณิ ฐานานิ อุตฺตมานิ, อิตฺถิลิงฺคญฺจ หีนํ, ตสฺมา จสฺสา สกฺกตฺตาทีนิปิ ปฎิสิทฺธานิฯ

    281. Yasmā ca sakkattādīni tīṇi ṭhānāni uttamāni, itthiliṅgañca hīnaṃ, tasmā cassā sakkattādīnipi paṭisiddhāni.

    นนุ จ ยถา อิตฺถิลิงฺคํ, เอวํ ปุริสลิงฺคมฺปิ พฺรหฺมโลเก นตฺถิฯ ตสฺมา ‘‘ยํ ปุริโส พฺรหฺมตฺตํ กาเรยฺย, ฐานเมตํ วิชฺชตี’’ติปิ น วตฺตพฺพํ สิยาติฯ โน น วตฺตพฺพํฯ กสฺมา? อิธ ปุริสสฺส ตตฺถ นิพฺพตฺตนโตฯ พฺรหฺมตฺตนฺติ หิ มหาพฺรหฺมตฺตํ อธิเปฺปตํฯ อิตฺถี จ อิธ ฌานํ ภาเวตฺวา กาลํ กตฺวา พฺรหฺมปาริสชฺชานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ, น มหาพฺรหฺมานํฯ ปุริโส ปน ตตฺถ นุปฺปชฺชตีติ น วตฺตโพฺพฯ สมาเนปิ เจตฺถ อุภยลิงฺคาภาเว ปุริสสณฺฐานาว พฺรหฺมาโน, น อิตฺถิสณฺฐานาฯ ตสฺมา สุวุตฺตเมเวตํฯ

    Nanu ca yathā itthiliṅgaṃ, evaṃ purisaliṅgampi brahmaloke natthi. Tasmā ‘‘yaṃ puriso brahmattaṃ kāreyya, ṭhānametaṃ vijjatī’’tipi na vattabbaṃ siyāti. No na vattabbaṃ. Kasmā? Idha purisassa tattha nibbattanato. Brahmattanti hi mahābrahmattaṃ adhippetaṃ. Itthī ca idha jhānaṃ bhāvetvā kālaṃ katvā brahmapārisajjānaṃ sahabyataṃ upapajjati, na mahābrahmānaṃ. Puriso pana tattha nuppajjatīti na vattabbo. Samānepi cettha ubhayaliṅgābhāve purisasaṇṭhānāva brahmāno, na itthisaṇṭhānā. Tasmā suvuttamevetaṃ.

    ๒๘๔. กายทุจฺจริตสฺสาติอาทีสุ ยถา นิมฺพพีชโกสาตกิพีชาทีนิ มธุรํ ผลํ น นิพฺพเตฺตนฺติ, อสาตํ อมธุรเมว นิพฺพเตฺตนฺติ, เอวํ กายทุจฺจริตาทีนิ มธุรํ วิปากํ น นิพฺพเตฺตนฺติ, อมธุรเมว นิพฺพเตฺตนฺติฯ ยถา จ อุจฺฉุพีชสาลิพีชาทีนิ มธุรํ สาทุรสเมว ผลํ นิพฺพเตฺตนฺติ, น อสาตํ กฎุกํฯ เอวํ กายสุจริตาทีนิ มธุรเมว วิปากํ นิพฺพเตฺตนฺติ, น อมธุรํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    284.Kāyaduccaritassātiādīsu yathā nimbabījakosātakibījādīni madhuraṃ phalaṃ na nibbattenti, asātaṃ amadhurameva nibbattenti, evaṃ kāyaduccaritādīni madhuraṃ vipākaṃ na nibbattenti, amadhurameva nibbattenti. Yathā ca ucchubījasālibījādīni madhuraṃ sādurasameva phalaṃ nibbattenti, na asātaṃ kaṭukaṃ. Evaṃ kāyasucaritādīni madhurameva vipākaṃ nibbattenti, na amadhuraṃ. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ยาทิสํ วปเต พีชํ, ตาทิสํ หรเต ผลํ;

    ‘‘Yādisaṃ vapate bījaṃ, tādisaṃ harate phalaṃ;

    กลฺยาณการี กลฺยาณํ, ปาปการี จ ปาปก’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๕๖);

    Kalyāṇakārī kalyāṇaṃ, pāpakārī ca pāpaka’’nti. (saṃ. ni. 1.256);

    ตสฺมา ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ กายทุจฺจริตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Tasmā ‘‘aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ kāyaduccaritassā’’tiādi vuttaṃ.

    ๒๙๐-๒๙๕. กายทุจฺจริตสมงฺคีติอาทีสุ สมงฺคีติ ปญฺจวิธา สมงฺคิตา – อายูหนสมงฺคิตา, เจตนาสมงฺคิตา, กมฺมสมงฺคิตา, วิปากสมงฺคิตา, อุปฎฺฐานสมงฺคิตาติฯ ตตฺถ กุสลากุสลกมฺมายูหนกฺขเณ อายูหนสมงฺคิตาติ วุจฺจติฯ ตถา เจตนาสมงฺคิตาฯ ยาว ปน สตฺตา อรหตฺตํ น ปาปุณนฺติ, ตาว สเพฺพปิ สตฺตา ปุเพฺพ อุปจิตเจตนาย สมงฺคิตาย เจตนาสมงฺคิโนติ วุจฺจนฺติฯ เอสา เจตนาสมงฺคิตาฯ ยาว อรหตฺตํ น ปาปุณนฺติ, ตาว สเพฺพปิ สตฺตา ปุเพฺพ อุปจิตํ วิปาการหํ กมฺมํ สนฺธาย ‘‘กมฺมสมงฺคิโน’’ติ วุจฺจนฺติฯ เอสา กมฺมสมงฺคิตาฯ วิปากสมงฺคิตา วิปากกฺขเณเยว เวทิตพฺพาฯ ยาว ปน สตฺตา อรหตฺตํ น ปาปุณนฺติ, ตาว เตสํ ตโต ตโต จวิตฺวา นิรเย อุปฺปชฺชมานานํ อคฺคิชาลาโลหกุมฺภิอาทีหิ อุปฎฺฐานากาเรหิ นิรโย, คพฺภเสยฺยกตฺตํ อาปชฺชมานานํ มาตุกุจฺฉิ, เทเวสุ อุปฺปชฺชมานานํ กปฺปรุกฺขวิมานาทีหิ อุปฎฺฐานากาเรหิ เทวโลโกติ เอวํ อุปปตฺตินิมิตฺตํ อุปฎฺฐาติฯ อิติ เนสํ อิมินา อุปปตฺตินิมิตฺตอุปฎฺฐาเนน อปริมุตฺตตา อุปฎฺฐานสมงฺคิตา นามฯ สา จลติ, เสสา นิจฺจลาฯ นิรเย หิ อุปฎฺฐิเตปิ เทวโลโก อุปฎฺฐาติ, เทวโลเก อุปฎฺฐิเตปิ นิรโย อุปฎฺฐาติ, มนุสฺสโลเก อุปฎฺฐิเตปิ ติรจฺฉานโยนิ อุปฎฺฐาติ, ติรจฺฉานโยนิยา จ อุปฎฺฐิตายปิ มนุสฺสโลโก อุปฎฺฐาติเยวฯ

    290-295.Kāyaduccaritasamaṅgītiādīsu samaṅgīti pañcavidhā samaṅgitā – āyūhanasamaṅgitā, cetanāsamaṅgitā, kammasamaṅgitā, vipākasamaṅgitā, upaṭṭhānasamaṅgitāti. Tattha kusalākusalakammāyūhanakkhaṇe āyūhanasamaṅgitāti vuccati. Tathā cetanāsamaṅgitā. Yāva pana sattā arahattaṃ na pāpuṇanti, tāva sabbepi sattā pubbe upacitacetanāya samaṅgitāya cetanāsamaṅginoti vuccanti. Esā cetanāsamaṅgitā. Yāva arahattaṃ na pāpuṇanti, tāva sabbepi sattā pubbe upacitaṃ vipākārahaṃ kammaṃ sandhāya ‘‘kammasamaṅgino’’ti vuccanti. Esā kammasamaṅgitā. Vipākasamaṅgitā vipākakkhaṇeyeva veditabbā. Yāva pana sattā arahattaṃ na pāpuṇanti, tāva tesaṃ tato tato cavitvā niraye uppajjamānānaṃ aggijālālohakumbhiādīhi upaṭṭhānākārehi nirayo, gabbhaseyyakattaṃ āpajjamānānaṃ mātukucchi, devesu uppajjamānānaṃ kapparukkhavimānādīhi upaṭṭhānākārehi devalokoti evaṃ upapattinimittaṃ upaṭṭhāti. Iti nesaṃ iminā upapattinimittaupaṭṭhānena aparimuttatā upaṭṭhānasamaṅgitā nāma. Sā calati, sesā niccalā. Niraye hi upaṭṭhitepi devaloko upaṭṭhāti, devaloke upaṭṭhitepi nirayo upaṭṭhāti, manussaloke upaṭṭhitepi tiracchānayoni upaṭṭhāti, tiracchānayoniyā ca upaṭṭhitāyapi manussaloko upaṭṭhātiyeva.

    ตตฺริทํ วตฺถุ – โสณคิริปาเท กิร อเจลวิหาเร โสณเตฺถโร นาม เอโก ธมฺมกถิโกฯ ตสฺส ปิตา สุนขวาชิโก นาม อโหสิ, เถโร ตํ ปฎิพาหโนฺตปิ สํวเร ฐเปตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘มา นสฺสิ วราโก’’ติ มหลฺลกกาเล อกามกํ นํ ปพฺพาเชสิฯ ตสฺส คิลานเสยฺยาย นิปนฺนสฺส นิรโย อุปฎฺฐาสิฯ โสณคิริปาทโต มหนฺตา สุนขา อาคนฺตฺวา ขาทิตุกามา วิย สมฺปริวาเรสุํฯ โส มหาภยภีโต ‘‘วาเรหิ, ตาต โสณ, วาเรหิ, ตาต โสณา’’ติ อาหฯ กิํ มหาเถราติ? น ปสฺสสิ, ตาตาติ ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ โสณเตฺถโร ‘‘กถญฺหิ นาม มาทิสสฺส ปิตา นิรเย นิพฺพตฺติสฺสติ , ปติฎฺฐาสฺส ภวิสฺสามี’’ติ สามเณเรหิ นานาปุปฺผานิ อาหราเปตฺวา เจติยงฺคณโพธิยงฺคเณสุ ตลสนฺถรณปูชํ อาสนปูชญฺจ กาเรตฺวา ปิตรํ มญฺจเกน เจติยงฺคณํ หริตฺวา มเญฺจ นิสีทาเปตฺวา ‘‘อยํ, มหาเถร, ปูชา ตุมฺหากํ อตฺถาย กตา, ‘อยํ เม ภควา ทุคฺคตปณฺณากาโร’ติ วตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา จิตฺตํ ปสาเทหี’’ติ อาหฯ สา มหาเถโร ปูชํ ทิสฺวา ตถา กโรโนฺต จิตฺตํ ปสาเทสิฯ ตาวเทวสฺส เทวโลโก อุปฎฺฐาสิฯ นนฺทนวน-จิตฺตลตาวน-มิสฺสกวน-ผารุสกวน-วิมานานิ เจว เทวนาฎกานิ จ ปริวาเรตฺวา ฐิตานิ วิย อเหสุํฯ โส ‘‘อเปถ, โสณ, อเปถ, โสณา’’ติ เถรํ อาหฯ กิมิทํ, มหาเถราติ? เอตา เต มาตโร อาคจฺฉนฺตีติฯ เถโร ‘‘สโคฺค อุปฎฺฐิโต มหาเถรสฺสา’’ติ จิเนฺตสิฯ เอวํ อุปฎฺฐานสมงฺคิตา จลตีติ เวทิตพฺพาฯ เอตาสุ สมงฺคิตาสุ อิธ อายูหนเจตนากมฺม-สมงฺคิตาวเสน ‘‘กายทุจฺจริตสมงฺคี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Tatridaṃ vatthu – soṇagiripāde kira acelavihāre soṇatthero nāma eko dhammakathiko. Tassa pitā sunakhavājiko nāma ahosi, thero taṃ paṭibāhantopi saṃvare ṭhapetuṃ asakkonto ‘‘mā nassi varāko’’ti mahallakakāle akāmakaṃ naṃ pabbājesi. Tassa gilānaseyyāya nipannassa nirayo upaṭṭhāsi. Soṇagiripādato mahantā sunakhā āgantvā khāditukāmā viya samparivāresuṃ. So mahābhayabhīto ‘‘vārehi, tāta soṇa, vārehi, tāta soṇā’’ti āha. Kiṃ mahātherāti? Na passasi, tātāti taṃ pavattiṃ ācikkhi. Soṇatthero ‘‘kathañhi nāma mādisassa pitā niraye nibbattissati , patiṭṭhāssa bhavissāmī’’ti sāmaṇerehi nānāpupphāni āharāpetvā cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇesu talasantharaṇapūjaṃ āsanapūjañca kāretvā pitaraṃ mañcakena cetiyaṅgaṇaṃ haritvā mañce nisīdāpetvā ‘‘ayaṃ, mahāthera, pūjā tumhākaṃ atthāya katā, ‘ayaṃ me bhagavā duggatapaṇṇākāro’ti vatvā bhagavantaṃ vanditvā cittaṃ pasādehī’’ti āha. Sā mahāthero pūjaṃ disvā tathā karonto cittaṃ pasādesi. Tāvadevassa devaloko upaṭṭhāsi. Nandanavana-cittalatāvana-missakavana-phārusakavana-vimānāni ceva devanāṭakāni ca parivāretvā ṭhitāni viya ahesuṃ. So ‘‘apetha, soṇa, apetha, soṇā’’ti theraṃ āha. Kimidaṃ, mahātherāti? Etā te mātaro āgacchantīti. Thero ‘‘saggo upaṭṭhito mahātherassā’’ti cintesi. Evaṃ upaṭṭhānasamaṅgitā calatīti veditabbā. Etāsu samaṅgitāsu idha āyūhanacetanākamma-samaṅgitāvasena ‘‘kāyaduccaritasamaṅgī’’tiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ เอเก อาจริยา ‘‘ยสฺมิํ ขเณ กมฺมํ อายูหติ, ตสฺมิํเยว ขเณ ตสฺส สโคฺค วาริโต’’ติ วทนฺติฯ อปเร ปน ‘‘อายูหิตกมฺมํ นาม วิปากวารํ ลภนฺตมฺปิ อตฺถิ อลภนฺตมฺปิฯ ตตฺถ ยทา กมฺมํ วิปากวารํ ลภติ, ตสฺมิํเยว กาเล ตสฺส สโคฺค วาริโต’’ติ วทนฺติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Tattha eke ācariyā ‘‘yasmiṃ khaṇe kammaṃ āyūhati, tasmiṃyeva khaṇe tassa saggo vārito’’ti vadanti. Apare pana ‘‘āyūhitakammaṃ nāma vipākavāraṃ labhantampi atthi alabhantampi. Tattha yadā kammaṃ vipākavāraṃ labhati, tasmiṃyeva kāle tassa saggo vārito’’ti vadanti. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.

    อฎฺฐานปาฬิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṭṭhānapāḷivaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๕. อฎฺฐานปาฬิ • 15. Aṭṭhānapāḷi

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๕. อฎฺฐานปาฬิ (ปฐมวคฺค) • 15. Aṭṭhānapāḷi (paṭhamavagga)


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact