Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๑๘] ๒. อฎฺฐสทฺทชาตกวณฺณนา

    [418] 2. Aṭṭhasaddajātakavaṇṇanā

    อิทํ ปุเร นินฺนมาหูติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โกสลรโญฺญ อฑฺฒรตฺตสมเย สุตํ ภิํสนกํ อวินิโพฺภคสทฺทํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ เหฎฺฐา โลหกุมฺภิชาตเก (ชา. ๑.๔.๕๓ อาทโย) กถิตสทิสเมวฯ อิธ ปน สตฺถา ‘‘มยฺหํ, ภเนฺต, อิเมสํ สทฺทานํ สุตตฺตา กินฺติ ภวิสฺสตี’’ติ วุเตฺต ‘‘มา ภายิ, มหาราช, น เต เอเตสํ สุตปจฺจยา โกจิ อนฺตราโย ภวิสฺสติ, น หิ, มหาราช, เอวรูปํ ภยานกํ อวินิโพฺภคสทฺทํ ตฺวเมเวโก สุณิ, ปุเพฺพปิ ราชาโน เอวรูปํ สทฺทํ สุตฺวา พฺราหฺมณานํ กถํ คเหตฺวา สพฺพจตุกฺกยญฺญํ ยชิตุกามา ปณฺฑิตานํ วจนํ สุตฺวา ยญฺญหรณตฺถาย คหิตสเตฺต วิสฺสเชฺชตฺวา นคเร มาฆาตเภริํ จราเปสุ’’นฺติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Idaṃ pure ninnamāhūti idaṃ satthā jetavane viharanto kosalarañño aḍḍharattasamaye sutaṃ bhiṃsanakaṃ avinibbhogasaddaṃ ārabbha kathesi. Vatthu heṭṭhā lohakumbhijātake (jā. 1.4.53 ādayo) kathitasadisameva. Idha pana satthā ‘‘mayhaṃ, bhante, imesaṃ saddānaṃ sutattā kinti bhavissatī’’ti vutte ‘‘mā bhāyi, mahārāja, na te etesaṃ sutapaccayā koci antarāyo bhavissati, na hi, mahārāja, evarūpaṃ bhayānakaṃ avinibbhogasaddaṃ tvameveko suṇi, pubbepi rājāno evarūpaṃ saddaṃ sutvā brāhmaṇānaṃ kathaṃ gahetvā sabbacatukkayaññaṃ yajitukāmā paṇḍitānaṃ vacanaṃ sutvā yaññaharaṇatthāya gahitasatte vissajjetvā nagare māghātabheriṃ carāpesu’’nti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อสีติโกฎิวิภเว พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ อุคฺคหิตสิโปฺป มาตาปิตูนํ อจฺจเยน รตนวิโลกนํ กตฺวา สพฺพํ วิภวชาตํ ทานมุเข วิสฺสเชฺชตฺวา กาเม ปหาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา อปรภาเค โลณมฺพิลเสวนตฺถาย มนุสฺสปถํ จรโนฺต พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิฯ ตทา พาราณสิราชา สิริสยเน นิสิโนฺน อฑฺฒรตฺตสมเย อฎฺฐ สเทฺท อโสฺสสิ – ปฐมํ ราชนิเวสนสามนฺตา อุยฺยาเน เอโก พโก สทฺทมกาสิ, ทุติยํ ตสฺมิํ สเทฺท อนุปจฺฉิเนฺนเยว หตฺถิสาลาย โตรณนิวาสินี กากี สทฺทมกาสิ, ตติยํ ราชเคเห กณฺณิกายํ นิวุตฺถฆุณปาณโก สทฺทมกาสิ, จตุตฺถํ ราชเคเห โปสาวนิยโกกิโล สทฺทมกาสิ, ปญฺจมํ ตเตฺถว โปสาวนิยมิโค สทฺทมกาสิ, ฉฎฺฐํ ตเตฺถว โปสาวนิยวานโร สทฺทมกาสิ, สตฺตมํ ตเตฺถว โปสาวนิยกินฺนโร สทฺทมกาสิ, อฎฺฐมํ ตสฺมิํ สเทฺท อนุปจฺฉิเนฺนเยว ราชนิเวสนมตฺถเกน อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต ปเจฺจกพุโทฺธ เอกํ อุทานํ อุทาเนโนฺต สทฺทมกาสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto asītikoṭivibhave brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ uggahitasippo mātāpitūnaṃ accayena ratanavilokanaṃ katvā sabbaṃ vibhavajātaṃ dānamukhe vissajjetvā kāme pahāya himavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā jhānābhiññāyo nibbattetvā aparabhāge loṇambilasevanatthāya manussapathaṃ caranto bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasi. Tadā bārāṇasirājā sirisayane nisinno aḍḍharattasamaye aṭṭha sadde assosi – paṭhamaṃ rājanivesanasāmantā uyyāne eko bako saddamakāsi, dutiyaṃ tasmiṃ sadde anupacchinneyeva hatthisālāya toraṇanivāsinī kākī saddamakāsi, tatiyaṃ rājagehe kaṇṇikāyaṃ nivutthaghuṇapāṇako saddamakāsi, catutthaṃ rājagehe posāvaniyakokilo saddamakāsi, pañcamaṃ tattheva posāvaniyamigo saddamakāsi, chaṭṭhaṃ tattheva posāvaniyavānaro saddamakāsi, sattamaṃ tattheva posāvaniyakinnaro saddamakāsi, aṭṭhamaṃ tasmiṃ sadde anupacchinneyeva rājanivesanamatthakena uyyānaṃ gacchanto paccekabuddho ekaṃ udānaṃ udānento saddamakāsi.

    พาราณสิราชา อิเม อฎฺฐ สเทฺท สุตฺวา ภีตตสิโต ปุนทิวเส พฺราหฺมเณ ปุจฺฉิฯ พฺราหฺมณา ‘‘อนฺตราโย เต, มหาราช, ภวิสฺสติ, สพฺพจตุกฺกยญฺญํ ยชิสฺสามา’’ติ วตฺวา รญฺญา ‘‘ยถารุจิตํ กโรถา’’ติ อนุญฺญาตา หฎฺฐปหฎฺฐา ราชกุลโต นิกฺขมิตฺวา ยญฺญกมฺมํ อารภิํสุฯ อถ เนสํ เชฎฺฐกสฺส ยญฺญการพฺราหฺมณสฺส อเนฺตวาสี มาณโว ปณฺฑิโต พฺยโตฺต อาจริยํ อาห – ‘‘อาจริย, เอวรูปํ กกฺขฬํ ผรุสํ อสาตํ พหูนํ สตฺตานํ วินาสกมฺมํ มา กรี’’ติฯ ‘‘ตาต, ตฺวํ กิํ ชานาสิ, สเจปิ อญฺญํ กิญฺจิ น ภวิสฺสติ, มจฺฉมํสํ ตาว พหุํ ขาทิตุํ ลภิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อาจริย, กุจฺฉิํ นิสฺสาย นิรเย นิพฺพตฺตนกมฺมํ มา กโรถา’’ติฯ ตํ สุตฺวา เสสพฺราหฺมณา ‘‘อยํ อมฺหากํ ลาภนฺตรายํ กโรตี’’ติ ตสฺส กุชฺฌิํสุฯ มาณโว เตสํ ภเยน ‘‘เตน หิ ตุเมฺหว มจฺฉมํสขาทนูปายํ กโรถา’’ติ วตฺวา นิกฺขมิตฺวา พหินคเร ราชานํ นิวาเรตุํ สมตฺถํ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณํ อุปธาเรโนฺต ราชุยฺยานํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, กิํ ตุมฺหากํ สเตฺตสุ อนุกมฺปา นตฺถิ, ราชา พหู สเตฺต มาเรตฺวา ยญฺญํ ยชาเปติ, กิํ โว มหาชนสฺส พนฺธนโมกฺขํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ‘‘มาณว, เอตฺถ เนว ราชา อเมฺห ชานาติ, น มยํ ราชานํ ชานามา’’ติฯ ‘‘ชานาถ ปน, ภเนฺต, รญฺญา สุตสทฺทานํ นิปฺผตฺติ’’นฺติ? ‘‘อาม, ชานามี’’ติฯ ‘‘ชานนฺตา รโญฺญ กสฺมา น กเถถา’’ติ? ‘‘มาณว กิํ สกฺกา ‘อหํ ชานามี’ติ นลาเฎ สิงฺคํ พนฺธิตฺวา จริตุํ, สเจ อิธาคนฺตฺวา ปุจฺฉิสฺสติ, กเถสฺสามี’’ติฯ

    Bārāṇasirājā ime aṭṭha sadde sutvā bhītatasito punadivase brāhmaṇe pucchi. Brāhmaṇā ‘‘antarāyo te, mahārāja, bhavissati, sabbacatukkayaññaṃ yajissāmā’’ti vatvā raññā ‘‘yathārucitaṃ karothā’’ti anuññātā haṭṭhapahaṭṭhā rājakulato nikkhamitvā yaññakammaṃ ārabhiṃsu. Atha nesaṃ jeṭṭhakassa yaññakārabrāhmaṇassa antevāsī māṇavo paṇḍito byatto ācariyaṃ āha – ‘‘ācariya, evarūpaṃ kakkhaḷaṃ pharusaṃ asātaṃ bahūnaṃ sattānaṃ vināsakammaṃ mā karī’’ti. ‘‘Tāta, tvaṃ kiṃ jānāsi, sacepi aññaṃ kiñci na bhavissati, macchamaṃsaṃ tāva bahuṃ khādituṃ labhissāmā’’ti. ‘‘Ācariya, kucchiṃ nissāya niraye nibbattanakammaṃ mā karothā’’ti. Taṃ sutvā sesabrāhmaṇā ‘‘ayaṃ amhākaṃ lābhantarāyaṃ karotī’’ti tassa kujjhiṃsu. Māṇavo tesaṃ bhayena ‘‘tena hi tumheva macchamaṃsakhādanūpāyaṃ karothā’’ti vatvā nikkhamitvā bahinagare rājānaṃ nivāretuṃ samatthaṃ dhammikasamaṇabrāhmaṇaṃ upadhārento rājuyyānaṃ gantvā bodhisattaṃ disvā vanditvā ‘‘bhante, kiṃ tumhākaṃ sattesu anukampā natthi, rājā bahū satte māretvā yaññaṃ yajāpeti, kiṃ vo mahājanassa bandhanamokkhaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti āha. ‘‘Māṇava, ettha neva rājā amhe jānāti, na mayaṃ rājānaṃ jānāmā’’ti. ‘‘Jānātha pana, bhante, raññā sutasaddānaṃ nipphatti’’nti? ‘‘Āma, jānāmī’’ti. ‘‘Jānantā rañño kasmā na kathethā’’ti? ‘‘Māṇava kiṃ sakkā ‘ahaṃ jānāmī’ti nalāṭe siṅgaṃ bandhitvā carituṃ, sace idhāgantvā pucchissati, kathessāmī’’ti.

    มาณโว เวเคน ราชกุลํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ, ตาตา’’ติ วุเตฺต ‘‘มหาราช, ตุเมฺหหิ สุตสทฺทานํ นิปฺผตฺติํ ชานนโก เอโก ตาปโส ตุมฺหากํ อุยฺยาเน มงฺคลสิลายํ นิสิโนฺน ‘สเจ มํ ปุจฺฉิสฺสติ, กเถสฺสามี’ติ วทติ, คนฺตฺวา ตํ ปุจฺฉิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ราชา เวเคน ตตฺถ คนฺตฺวา ตาปสํ วนฺทิตฺวา กตปฎิสนฺถาโร นิสีทิตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร, ภเนฺต, ตุเมฺห มยา สุตสทฺทานํ นิปฺผตฺติํ ชานาถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ กเถถ ตํ เม’’ติฯ ‘‘มหาราช, เตสํ สุตปจฺจยา ตว โกจิ อนฺตราโย นตฺถิ , โปราณุยฺยาเน ปน เต เอโก พโก อตฺถิ, โส โคจรํ อลภโนฺต ชิฆจฺฉาย ปเรโต ปฐมํ สทฺทมกาสี’’ติ ตสฺส กิริยํ อตฺตโน ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Māṇavo vegena rājakulaṃ gantvā ‘‘kiṃ, tātā’’ti vutte ‘‘mahārāja, tumhehi sutasaddānaṃ nipphattiṃ jānanako eko tāpaso tumhākaṃ uyyāne maṅgalasilāyaṃ nisinno ‘sace maṃ pucchissati, kathessāmī’ti vadati, gantvā taṃ pucchituṃ vaṭṭatī’’ti āha. Rājā vegena tattha gantvā tāpasaṃ vanditvā katapaṭisanthāro nisīditvā ‘‘saccaṃ kira, bhante, tumhe mayā sutasaddānaṃ nipphattiṃ jānāthā’’ti pucchi. ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi kathetha taṃ me’’ti. ‘‘Mahārāja, tesaṃ sutapaccayā tava koci antarāyo natthi , porāṇuyyāne pana te eko bako atthi, so gocaraṃ alabhanto jighacchāya pareto paṭhamaṃ saddamakāsī’’ti tassa kiriyaṃ attano ñāṇena paricchinditvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๐.

    10.

    ‘‘อิทํ ปุเร นินฺนมาหุ, พหุมจฺฉํ มโหทกํ;

    ‘‘Idaṃ pure ninnamāhu, bahumacchaṃ mahodakaṃ;

    อาวาโส พกราชสฺส, เปตฺติกํ ภวนํ มม;

    Āvāso bakarājassa, pettikaṃ bhavanaṃ mama;

    ตฺยชฺช เภเกน ยาเปม, โอกํ น วิชหามเส’’ติฯ

    Tyajja bhekena yāpema, okaṃ na vijahāmase’’ti.

    ตตฺถ อิทนฺติ มงฺคลโปกฺขรณิํ สนฺธาย วทติฯ สา หิ ปุเพฺพ อุทกตุเมฺพน อุทเก ปวิสเนฺต มโหทกา พหุมจฺฉา, อิทานิ ปน อุทกสฺส ปจฺฉินฺนตฺตา น มโหทกา ชาตาฯ ตฺยชฺช เภเกนาติ เต มยํ อชฺช มเจฺฉ อลภนฺตา มณฺฑูกมเตฺตน ยาเปมฯ โอกนฺติ เอวํ ชิฆจฺฉาย ปีฬิตาปิ วสนฎฺฐานํ น วิชหามฯ

    Tattha idanti maṅgalapokkharaṇiṃ sandhāya vadati. Sā hi pubbe udakatumbena udake pavisante mahodakā bahumacchā, idāni pana udakassa pacchinnattā na mahodakā jātā. Tyajja bhekenāti te mayaṃ ajja macche alabhantā maṇḍūkamattena yāpema. Okanti evaṃ jighacchāya pīḷitāpi vasanaṭṭhānaṃ na vijahāma.

    อิติ, มหาราช, โส พโก ชิฆจฺฉาปีฬิโต สทฺทมกาสิฯ สเจปิ ตํ ชิฆจฺฉาโต โมเจตุกาโม, ตํ อุยฺยานํ โสธาเปตฺวา โปกฺขรณิํ อุทกสฺส ปูเรหีติฯ ราชา ตถา กาเรตุํ เอกํ อมจฺจํ อาณาเปสิฯ

    Iti, mahārāja, so bako jighacchāpīḷito saddamakāsi. Sacepi taṃ jighacchāto mocetukāmo, taṃ uyyānaṃ sodhāpetvā pokkharaṇiṃ udakassa pūrehīti. Rājā tathā kāretuṃ ekaṃ amaccaṃ āṇāpesi.

    ‘‘หตฺถิสาลโตรเณ ปน เต, มหาราช, เอกา กากี วสมานา อตฺตโน ปุตฺตโสเกน ทุติยํ สทฺทมกาสิ, ตโตปิ เต ภยํ นตฺถี’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    ‘‘Hatthisālatoraṇe pana te, mahārāja, ekā kākī vasamānā attano puttasokena dutiyaṃ saddamakāsi, tatopi te bhayaṃ natthī’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๑.

    11.

    ‘‘โก ทุติยํ อสีลิสฺส, พนฺธรสฺสกฺขิ เภจฺฉติ;

    ‘‘Ko dutiyaṃ asīlissa, bandharassakkhi bhecchati;

    โก เม ปุเตฺต กุลาวกํ, มญฺจ โสตฺถิํ กริสฺสตี’’ติฯ

    Ko me putte kulāvakaṃ, mañca sotthiṃ karissatī’’ti.

    วตฺวา จ ปน ‘‘โก นาม เต, มหาราช, หตฺถิสาลาย หตฺถิเมโณฺฑ’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พนฺธโร นาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เอกกฺขิกาโณ โส, มหาราชา’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ มหาราช, หตฺถิสาลาย เต ทฺวารโตรเณ เอกา กากี กุลาวกํ กตฺวา อณฺฑกานิ นิกฺขิปิฯ ตานิ ปริณตานิ กากโปตกา นิกฺขนฺตา, หตฺถิเมโณฺฑ หตฺถิํ อารุยฺห สาลโต นิกฺขมโนฺต จ ปวิสโนฺต จ องฺกุสเกน กากิมฺปิ ปุตฺตเกปิสฺสา ปหรติ, กุลาวกมฺปิ วิทฺธํเสติฯ สา เตน ทุเกฺขน ปีฬิตา ตสฺส อกฺขิเภทนํ อายาจนฺตี เอวมาห, สเจ เต กากิยา เมตฺตจิตฺตํ อตฺถิ, เอตํ พนฺธรํ ปโกฺกสาเปตฺวา กุลาวกวิทฺธํสนโต วาเรหีติ ฯ ราชา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ปริภาสิตฺวา หาเรตฺวา อญฺญสฺส ตํ หตฺถิํ อทาสิฯ

    Vatvā ca pana ‘‘ko nāma te, mahārāja, hatthisālāya hatthimeṇḍo’’ti pucchi. ‘‘Bandharo nāma, bhante’’ti. ‘‘Ekakkhikāṇo so, mahārājā’’ti? ‘‘Āma, bhante’’ti. Mahārāja, hatthisālāya te dvāratoraṇe ekā kākī kulāvakaṃ katvā aṇḍakāni nikkhipi. Tāni pariṇatāni kākapotakā nikkhantā, hatthimeṇḍo hatthiṃ āruyha sālato nikkhamanto ca pavisanto ca aṅkusakena kākimpi puttakepissā paharati, kulāvakampi viddhaṃseti. Sā tena dukkhena pīḷitā tassa akkhibhedanaṃ āyācantī evamāha, sace te kākiyā mettacittaṃ atthi, etaṃ bandharaṃ pakkosāpetvā kulāvakaviddhaṃsanato vārehīti . Rājā taṃ pakkosāpetvā paribhāsitvā hāretvā aññassa taṃ hatthiṃ adāsi.

    ‘‘ปาสาทกณฺณิกาย ปน เต, มหาราช, เอโก ฆุณปาณโก วสติฯ โส ตตฺถ เผคฺคุํ ขาทิตฺวา ตสฺมิํ ขีเณ สารํ ขาทิตุํ นาสกฺขิ, โส ภกฺขํ อลภิตฺวา นิกฺขมิตุมฺปิ อสโกฺกโนฺต ปริเทวมาโน ตติยํ สทฺทมกาสิ, ตโตปิ เต ภยํ นตฺถี’’ติ วตฺวา ตสฺส กิริยํ อตฺตโน ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ตติยํ คาถมาห –

    ‘‘Pāsādakaṇṇikāya pana te, mahārāja, eko ghuṇapāṇako vasati. So tattha phegguṃ khāditvā tasmiṃ khīṇe sāraṃ khādituṃ nāsakkhi, so bhakkhaṃ alabhitvā nikkhamitumpi asakkonto paridevamāno tatiyaṃ saddamakāsi, tatopi te bhayaṃ natthī’’ti vatvā tassa kiriyaṃ attano ñāṇena paricchinditvā tatiyaṃ gāthamāha –

    ๑๒.

    12.

    ‘‘สพฺพา ปริกฺขตา เผคฺคุ, ยาว ตสฺสา คตี อหุ;

    ‘‘Sabbā parikkhatā pheggu, yāva tassā gatī ahu;

    ขีณภโกฺข มหาราช, สาเร น รมตี ฆุโณ’’ติฯ

    Khīṇabhakkho mahārāja, sāre na ramatī ghuṇo’’ti.

    ตตฺถ ยาว ตสฺสา คตี อหูติ ยาว ตสฺสา เผคฺคุยา นิปฺผตฺติ อโหสิ, สา สพฺพา ขาทิตาฯ น รมตีติ ‘‘มหาราช, โส ปาณโก ตโต นิกฺขมิตฺวา คมนฎฺฐานมฺปิ อปสฺสโนฺต ปริเทวติ, นีหราเปหิ น’’นฺติ อาหฯ ราชา เอกํ ปุริสํ อาณาเปตฺวา อุปาเยน นํ นีหราเปสิฯ

    Tattha yāva tassā gatī ahūti yāva tassā phegguyā nipphatti ahosi, sā sabbā khāditā. Na ramatīti ‘‘mahārāja, so pāṇako tato nikkhamitvā gamanaṭṭhānampi apassanto paridevati, nīharāpehi na’’nti āha. Rājā ekaṃ purisaṃ āṇāpetvā upāyena naṃ nīharāpesi.

    ‘‘นิเวสเน ปน เต, มหาราช, เอกา โปสาวนิยา โกกิลา อตฺถี’’ติ? ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘มหาราช, สา อตฺตนา นิวุตฺถปุพฺพํ วนสณฺฑํ สริตฺวา อุกฺกณฺฐิตฺวา ‘กทา นุ โข อิมมฺหา ปญฺชรา มุจฺจิตฺวา รมณียํ วนสณฺฑํ คจฺฉิสฺสามี’ติ จตุตฺถํ สทฺทมกาสิ, ตโตปิ เต ภยํ นตฺถี’’ติ วตฺวา จตุตฺถํ คาถมาห –

    ‘‘Nivesane pana te, mahārāja, ekā posāvaniyā kokilā atthī’’ti? ‘‘Atthi, bhante’’ti. ‘‘Mahārāja, sā attanā nivutthapubbaṃ vanasaṇḍaṃ saritvā ukkaṇṭhitvā ‘kadā nu kho imamhā pañjarā muccitvā ramaṇīyaṃ vanasaṇḍaṃ gacchissāmī’ti catutthaṃ saddamakāsi, tatopi te bhayaṃ natthī’’ti vatvā catutthaṃ gāthamāha –

    ๑๓.

    13.

    ‘‘สา นูนาหํ อิโต คนฺตฺวา, รโญฺญ มุตฺตา นิเวสนา;

    ‘‘Sā nūnāhaṃ ito gantvā, rañño muttā nivesanā;

    อตฺตานํ รมยิสฺสามิ, ทุมสาขนิเกตินี’’ติฯ

    Attānaṃ ramayissāmi, dumasākhaniketinī’’ti.

    ตตฺถ ทุมสาขนิเกตินีติ สุปุปฺผิตาสุ รุกฺขสาขาสุ สกนิเกตา หุตฺวาฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘อุกฺกณฺฐิตา, มหาราช, สา โกกิลา, วิสฺสเชฺชหิ น’’นฺติ อาหฯ ราชา ตถา กาเรสิฯ

    Tattha dumasākhaniketinīti supupphitāsu rukkhasākhāsu sakaniketā hutvā. Evañca pana vatvā ‘‘ukkaṇṭhitā, mahārāja, sā kokilā, vissajjehi na’’nti āha. Rājā tathā kāresi.

    ‘‘นิเวสเน ปน เต, มหาราช, เอโก โปสาวนิโย มิโค อตฺถี’’ติ? ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘มหาราช, โส เอโก ยูถปติ อตฺตโน มิคิํ อนุสฺสริตฺวา กิเลสวเสน อุกฺกณฺฐิโต ปญฺจมํ สทฺทมกาสิ, ตโตปิ เต ภยํ นตฺถี’’ติ วตฺวา ปญฺจมํ คาถมาห –

    ‘‘Nivesane pana te, mahārāja, eko posāvaniyo migo atthī’’ti? ‘‘Atthi, bhante’’ti. ‘‘Mahārāja, so eko yūthapati attano migiṃ anussaritvā kilesavasena ukkaṇṭhito pañcamaṃ saddamakāsi, tatopi te bhayaṃ natthī’’ti vatvā pañcamaṃ gāthamāha –

    ๑๔.

    14.

    ‘‘โส นูนาหํ อิโต คนฺตฺวา, รโญฺญ มุโตฺต นิเวสนา;

    ‘‘So nūnāhaṃ ito gantvā, rañño mutto nivesanā;

    อโคฺคทกานิ ปิสฺสามิ, ยูถสฺส ปุรโต วช’’นฺติฯ

    Aggodakāni pissāmi, yūthassa purato vaja’’nti.

    ตตฺถ อโคฺคทกานีติ อคฺคอุทกานิ, อเญฺญหิ มิเคหิ ปฐมตรํ อปีตานิ อนุจฺฉิโฎฺฐทกานิ ยูถสฺส ปุรโต คจฺฉโนฺต กทา นุ โข ปิวิสฺสามีติฯ

    Tattha aggodakānīti aggaudakāni, aññehi migehi paṭhamataraṃ apītāni anucchiṭṭhodakāni yūthassa purato gacchanto kadā nu kho pivissāmīti.

    มหาสโตฺต ตมฺปิ มิคํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา ‘‘นิเวสเน ปน เต, มหาราช, โปสาวนิโย มกฺกโฎ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘โสปิ, มหาราช, หิมวนฺตปเทเส ยูถปติ มกฺกฎีหิ สทฺธิํ กามคิโทฺธ หุตฺวา วิจรโนฺต ภรเตน นาม ลุเทฺทน อิธ อานีโต, อิทานิ อุกฺกณฺฐิตฺวา ตเตฺถว คนฺตุกาโม ฉฎฺฐํ สทฺทมกาสิ, ตโตปิ เต ภยํ นตฺถี’’ติ วตฺวา ฉฎฺฐํ คาถมาห –

    Mahāsatto tampi migaṃ vissajjāpetvā ‘‘nivesane pana te, mahārāja, posāvaniyo makkaṭo atthī’’ti pucchi. ‘‘Atthi, bhante’’ti vutte ‘‘sopi, mahārāja, himavantapadese yūthapati makkaṭīhi saddhiṃ kāmagiddho hutvā vicaranto bharatena nāma luddena idha ānīto, idāni ukkaṇṭhitvā tattheva gantukāmo chaṭṭhaṃ saddamakāsi, tatopi te bhayaṃ natthī’’ti vatvā chaṭṭhaṃ gāthamāha –

    ๑๕.

    15.

    ‘‘ตํ มํ กาเมหิ สมฺมตฺตํ, รตฺตํ กาเมสุ มุจฺฉิตํ;

    ‘‘Taṃ maṃ kāmehi sammattaṃ, rattaṃ kāmesu mucchitaṃ;

    อานยี ภรโต ลุโทฺท, พาหิโก ภทฺทมตฺถุ เต’’ติฯ

    Ānayī bharato luddo, bāhiko bhaddamatthu te’’ti.

    ตตฺถ พาหิโกติ พาหิกรฎฺฐวาสีฯ ภทฺทมตฺถุ เตติ อิมมตฺถํ โส วานโร อาห, ตุยฺหํ ปน ภทฺทมตฺถุ, วิสฺสเชฺชหิ นนฺติฯ

    Tattha bāhikoti bāhikaraṭṭhavāsī. Bhaddamatthu teti imamatthaṃ so vānaro āha, tuyhaṃ pana bhaddamatthu, vissajjehi nanti.

    มหาสโตฺต ตํ วานรํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา ‘‘นิเวสเน ปน เต, มหาราช, โปสาวนิโย กินฺนโร อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อตฺถี’’ติ วุเตฺต ‘‘โส, มหาราช, อตฺตโน กินฺนริยา กตคุณํ อนุสฺสริตฺวา กิเลสาตุโร สทฺทมกาสิฯ โส หิ ตาย สทฺธิํ เอกทิวสํ ตุงฺคปพฺพตสิขรํ อารุหิฯ เต ตตฺถ วณฺณคนฺธรสสมฺปนฺนานิ นานาปุปฺผานิ โอจินนฺตา ปิฬนฺธนฺตา สูริยํ อตฺถงฺคตํ น สลฺลเกฺขสุํ, อตฺถงฺคเต สูริเย โอตรนฺตานํ อนฺธกาโร อโหสิฯ ตตฺร นํ กินฺนรี ‘สามิ, อนฺธกาโร วตฺตติ, อปกฺขลโนฺต อปฺปมาเทน โอตราหี’ติ วตฺวา หเตฺถ คเหตฺวา โอตาเรสิ, โส ตาย ตํ วจนํ อนุสฺสริตฺวา สทฺทมกาสิ, ตโตปิ เต ภยํ นตฺถี’’ติ ตํ การณํ อตฺตโน ญาณพเลน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ปากฎํ กโรโนฺต สตฺตมํ คาถมาห –

    Mahāsatto taṃ vānaraṃ vissajjāpetvā ‘‘nivesane pana te, mahārāja, posāvaniyo kinnaro atthī’’ti pucchitvā ‘‘atthī’’ti vutte ‘‘so, mahārāja, attano kinnariyā kataguṇaṃ anussaritvā kilesāturo saddamakāsi. So hi tāya saddhiṃ ekadivasaṃ tuṅgapabbatasikharaṃ āruhi. Te tattha vaṇṇagandharasasampannāni nānāpupphāni ocinantā piḷandhantā sūriyaṃ atthaṅgataṃ na sallakkhesuṃ, atthaṅgate sūriye otarantānaṃ andhakāro ahosi. Tatra naṃ kinnarī ‘sāmi, andhakāro vattati, apakkhalanto appamādena otarāhī’ti vatvā hatthe gahetvā otāresi, so tāya taṃ vacanaṃ anussaritvā saddamakāsi, tatopi te bhayaṃ natthī’’ti taṃ kāraṇaṃ attano ñāṇabalena paricchinditvā pākaṭaṃ karonto sattamaṃ gāthamāha –

    ๑๖.

    16.

    ‘‘อนฺธการติมิสายํ, ตุเงฺค อุปริปพฺพเต;

    ‘‘Andhakāratimisāyaṃ, tuṅge uparipabbate;

    สา มํ สเณฺหน มุทุนา, มา ปาทํ ขลิ ยสฺมนี’’ติฯ

    Sā maṃ saṇhena mudunā, mā pādaṃ khali yasmanī’’ti.

    ตตฺถ อนฺธการติมิสายนฺติ อนฺธภาวการเก ตเมฯ ตุเงฺคติ ติขิเณฯ สเณฺหน มุทุนาติ มเฎฺฐน มุทุเกน วจเนนฯ มา ปาทํ ขลิ ยสฺมนีติ ย-กาโร พฺยญฺชนสนฺธิวเสน คหิโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สา มํ กินฺนรี สเณฺหน มุทเกน วจเนน ‘‘สามิ, อปฺปมโตฺต โหหิ, มา ปาทํ ขลิ อสฺมนิ, ยถา เต อุปกฺขลิตฺวา ปาโท ปาสาณสฺมิํ น ขลติ, ตถา โอตรา’’ติ วตฺวา หเตฺถน คเหตฺวา โอตาเรสีติฯ

    Tattha andhakāratimisāyanti andhabhāvakārake tame. Tuṅgeti tikhiṇe. Saṇhena mudunāti maṭṭhena mudukena vacanena. Mā pādaṃ khali yasmanīti ya-kāro byañjanasandhivasena gahito. Idaṃ vuttaṃ hoti – sā maṃ kinnarī saṇhena mudakena vacanena ‘‘sāmi, appamatto hohi, mā pādaṃ khali asmani, yathā te upakkhalitvā pādo pāsāṇasmiṃ na khalati, tathā otarā’’ti vatvā hatthena gahetvā otāresīti.

    อิติ มหาสโตฺต กินฺนเรน กตสทฺทการณํ กเถตฺวา ตํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา ‘‘มหาราช, อฎฺฐโม อุทานสโทฺท อโหสิฯ นนฺทมูลกปพฺภารสฺมิํ กิร เอโก ปเจฺจกพุโทฺธ อตฺตโน อายุสงฺขารปริกฺขยํ ญตฺวา ‘มนุสฺสปถํ คนฺตฺวา พาราณสิรโญฺญ อุยฺยาเน ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ตสฺส เม มนุสฺสา สรีรนิเกฺขปํ กาเรตฺวา สาธุกีฬํ กีฬิตฺวา ธาตุปูชํ กตฺวา สคฺคปถํ ปูเรสฺสนฺตี’ติ อิทฺธานุภาเวน อาคจฺฉโนฺต ตว ปาสาทสฺส มตฺถกํ ปตฺตกาเล ขนฺธภารํ โอตาเรตฺวา นิพฺพานปุรปเวสนทีปนํ อุทานํ อุทาเนสี’’ติ ปเจฺจกพุเทฺธน วุตฺตํ คาถมาห –

    Iti mahāsatto kinnarena katasaddakāraṇaṃ kathetvā taṃ vissajjāpetvā ‘‘mahārāja, aṭṭhamo udānasaddo ahosi. Nandamūlakapabbhārasmiṃ kira eko paccekabuddho attano āyusaṅkhāraparikkhayaṃ ñatvā ‘manussapathaṃ gantvā bārāṇasirañño uyyāne parinibbāyissāmi, tassa me manussā sarīranikkhepaṃ kāretvā sādhukīḷaṃ kīḷitvā dhātupūjaṃ katvā saggapathaṃ pūressantī’ti iddhānubhāvena āgacchanto tava pāsādassa matthakaṃ pattakāle khandhabhāraṃ otāretvā nibbānapurapavesanadīpanaṃ udānaṃ udānesī’’ti paccekabuddhena vuttaṃ gāthamāha –

    ๑๗.

    17.

    ‘‘อสํสยํ ชาติขยนฺตทสฺสี, น คพฺภเสยฺยํ ปุนราวชิสฺสํ;

    ‘‘Asaṃsayaṃ jātikhayantadassī, na gabbhaseyyaṃ punarāvajissaṃ;

    อยมนฺติมา ปจฺฉิมา คพฺภเสยฺยา, ขีโณ เม สํสาโร ปุนพฺภวายา’’ติฯ

    Ayamantimā pacchimā gabbhaseyyā, khīṇo me saṃsāro punabbhavāyā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ชาติยา ขยนฺตสงฺขาตสฺส นิพฺพานสฺส ทิฎฺฐตฺตา ชาติขยนฺตทสฺสี อหํ อสํสยํ ปุน คพฺภเสยฺยํ น อาวชิสฺสํ, อยํ เม อนฺติมา ชาติ, ปจฺฉิมา คพฺภเสยฺยา, ขีโณ เม ปุนพฺภวาย ขนฺธปฎิปาฎิสงฺขาโต สํสาโรติฯ

    Tassattho – jātiyā khayantasaṅkhātassa nibbānassa diṭṭhattā jātikhayantadassī ahaṃ asaṃsayaṃ puna gabbhaseyyaṃ na āvajissaṃ, ayaṃ me antimā jāti, pacchimā gabbhaseyyā, khīṇo me punabbhavāya khandhapaṭipāṭisaṅkhāto saṃsāroti.

    ‘‘อิทญฺจ ปน โส อุทานํ วตฺวา อิมํ อุยฺยานวนํ อาคมฺม เอกสฺส สุปุปฺผิตสฺส สาลสฺส มูเล ปรินิพฺพุโต, เอหิ, มหาราช, สรีรกิจฺจมสฺส กริสฺสามา’’ติ มหาสโตฺต ราชานํ คเหตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปรินิพฺพุตฎฺฐานํ คนฺตฺวา สรีรํ ทเสฺสสิฯ ราชา ตสฺส สรีรํ ทิสฺวา สทฺธิํ พลกาเยน คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา โพธิสตฺตสฺส วจนํ นิสฺสาย ยญฺญํ หาเรตฺวา สพฺพสตฺตานํ ชีวิตทานํ ทตฺวา นคเร มาฆาตเภริํ จราเปตฺวา สตฺตาหํ สาธุกีฬํ กีฬิตฺวา สพฺพคนฺธจิตเก มหเนฺตน สกฺกาเรน ปเจฺจกพุทฺธสฺส สรีรํ ฌาเปตฺวา ธาตุโย จตุมหาปเถ ถูปํ กาเรสิฯ โพธิสโตฺตปิ รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ โอวทิตฺวา หิมวนฺตเมว ปวิสิตฺวา พฺรหฺมวิหาเรสุ ปริกมฺมํ กตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ

    ‘‘Idañca pana so udānaṃ vatvā imaṃ uyyānavanaṃ āgamma ekassa supupphitassa sālassa mūle parinibbuto, ehi, mahārāja, sarīrakiccamassa karissāmā’’ti mahāsatto rājānaṃ gahetvā paccekabuddhassa parinibbutaṭṭhānaṃ gantvā sarīraṃ dassesi. Rājā tassa sarīraṃ disvā saddhiṃ balakāyena gandhamālādīhi pūjetvā bodhisattassa vacanaṃ nissāya yaññaṃ hāretvā sabbasattānaṃ jīvitadānaṃ datvā nagare māghātabheriṃ carāpetvā sattāhaṃ sādhukīḷaṃ kīḷitvā sabbagandhacitake mahantena sakkārena paccekabuddhassa sarīraṃ jhāpetvā dhātuyo catumahāpathe thūpaṃ kāresi. Bodhisattopi rañño dhammaṃ desetvā ‘‘appamatto hohī’’ti ovaditvā himavantameva pavisitvā brahmavihāresu parikammaṃ katvā aparihīnajjhāno brahmalokaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘มหาราช, ตสฺส สทฺทสฺส สุตการณา ตว โกจิ อนฺตราโย นตฺถี’’ติ ยญฺญํ หราเปตฺวา ‘‘มหาชนสฺส ชีวิตํ เทหี’’ติ ชีวิตทานํ ทาเปตฺวา นคเร ธมฺมเภริํ จราเปตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, มาณโว สาริปุโตฺต, ตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘mahārāja, tassa saddassa sutakāraṇā tava koci antarāyo natthī’’ti yaññaṃ harāpetvā ‘‘mahājanassa jīvitaṃ dehī’’ti jīvitadānaṃ dāpetvā nagare dhammabheriṃ carāpetvā dhammaṃ desetvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā rājā ānando ahosi, māṇavo sāriputto, tāpaso pana ahameva ahosi’’nti.

    อฎฺฐสทฺทชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Aṭṭhasaddajātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๑๘. อฎฺฐสทฺทชาตกํ • 418. Aṭṭhasaddajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact