Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๒-๑๐. อฎฺฐสตสุตฺตาทิวณฺณนา
2-10. Aṭṭhasatasuttādivaṇṇanā
๒๗๐-๒๗๘. ทุติเย อฎฺฐสตปริยายนฺติ อฎฺฐสตสฺส การณภูตํฯ ธมฺมปริยายนฺติ ธมฺมการณํฯ กายิกา จ เจตสิกา จาติ เอตฺถ กายิกา กามาวจเรเยว ลพฺภนฺติ, เจตสิกา จตุภูมิกาปิ ฯ สุขาติอาทีสุ สุขา เวทนา อรูปาวจเร นตฺถิ, เสสาสุ ตีสุ ภูมีสุ ลพฺภนฺติ, ทุกฺขา กามาวจราว, อิตรา จตุภูมิกาฯ ปญฺจเก สุขินฺทฺริยทุกฺขินฺทฺริยโทมนสฺสินฺทฺริยานิ กามาวจราเนว, โสมนสฺสินฺทฺริยํ เตภูมกํ, อุเปกฺขินฺทฺริยํ จตุภูมกํฯ ฉเกฺก ปญฺจสุ ทฺวาเรสุ เวทนา กามาวจราว, มโนทฺวาเร จตุภูมิกา, อฎฺฐารสเก ฉสุ อิฎฺฐารมฺมเณสุ โสมนเสฺสน สห อุปวิจรนฺตีติ โสมนสฺสูปวิจาราฯ เสสทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ อิติ อยํ เทสนา วิจารวเสน อาคตา, ตํสมฺปยุตฺตานํ ปน โสมนสฺสาทีนํ วเสน อิธ อฎฺฐารส เวทนา เวทิตพฺพาฯ
270-278. Dutiye aṭṭhasatapariyāyanti aṭṭhasatassa kāraṇabhūtaṃ. Dhammapariyāyanti dhammakāraṇaṃ. Kāyikā ca cetasikā cāti ettha kāyikā kāmāvacareyeva labbhanti, cetasikā catubhūmikāpi . Sukhātiādīsu sukhā vedanā arūpāvacare natthi, sesāsu tīsu bhūmīsu labbhanti, dukkhā kāmāvacarāva, itarā catubhūmikā. Pañcake sukhindriyadukkhindriyadomanassindriyāni kāmāvacarāneva, somanassindriyaṃ tebhūmakaṃ, upekkhindriyaṃ catubhūmakaṃ. Chakke pañcasu dvāresu vedanā kāmāvacarāva, manodvāre catubhūmikā, aṭṭhārasake chasu iṭṭhārammaṇesu somanassena saha upavicarantīti somanassūpavicārā. Sesadvayepi eseva nayo. Iti ayaṃ desanā vicāravasena āgatā, taṃsampayuttānaṃ pana somanassādīnaṃ vasena idha aṭṭhārasa vedanā veditabbā.
ฉ เคหสิตานิ โสมนสฺสานีติอาทีสุ ‘‘จกฺขุวิเญฺญยฺยานํ รูปานํ อิฎฺฐานํ กนฺตานํ มนาปานํ มโนรมานํ โลกามิสปฎิสํยุตฺตานํ ปฎิลาภํ วา ปฎิลาภโต สมนุปสฺสโต ปุเพฺพ วา ปฎิลทฺธปุพฺพํ อตีตํ นิรุทฺธํ วิปริณตํ สมนุสฺสรโต อุปฺปชฺชติ โสมนสฺสํฯ ยํ เอวรูปํ โสมนสฺสํ, อิทํ วุจฺจติ เคหสิตํ โสมนสฺส’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๓๐๖)ฯ เอวํ ฉสุ ทฺวาเรสุ วุตฺตกามคุณนิสฺสิตานิ โสมนสฺสานิ ฉ เคหสิตโสมนสฺสานิ นามฯ
Cha gehasitāni somanassānītiādīsu ‘‘cakkhuviññeyyānaṃ rūpānaṃ iṭṭhānaṃ kantānaṃ manāpānaṃ manoramānaṃ lokāmisapaṭisaṃyuttānaṃ paṭilābhaṃ vā paṭilābhato samanupassato pubbe vā paṭiladdhapubbaṃ atītaṃ niruddhaṃ vipariṇataṃ samanussarato uppajjati somanassaṃ. Yaṃ evarūpaṃ somanassaṃ, idaṃ vuccati gehasitaṃ somanassa’’nti (ma. ni. 3.306). Evaṃ chasu dvāresu vuttakāmaguṇanissitāni somanassāni cha gehasitasomanassāni nāma.
‘‘รูปานํ เตฺวว อนิจฺจตํ วิทิตฺวา วิปริณามวิราคนิโรธํ ‘ปุเพฺพ เจว รูปา เอตรหิ จ, สเพฺพ เต รูปา อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา’ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสโต อุปฺปชฺชติ โสมนสฺสํฯ ยํ เอวรูปํ โสมนสฺสํ, อิทํ วุจฺจติ เนกฺขมฺมสิตํ โสมนสฺส’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๓๐๖) เอวํ ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐารมฺมเณ อาปาถคเต อนิจฺจตาทิวเสน วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อุสฺสุกฺกาเปตุํ สโกฺกนฺตสฺส ‘‘อุสฺสุกฺกิตา เม วิปสฺสนา’’ติ โสมนสฺสชาตสฺส อุปฺปนฺนโสมนสฺสานิ ฉ เนกฺขมฺมสิตโสมนสฺสานิ นามฯ
‘‘Rūpānaṃ tveva aniccataṃ viditvā vipariṇāmavirāganirodhaṃ ‘pubbe ceva rūpā etarahi ca, sabbe te rūpā aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā’ti evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya passato uppajjati somanassaṃ. Yaṃ evarūpaṃ somanassaṃ, idaṃ vuccati nekkhammasitaṃ somanassa’’nti (ma. ni. 3.306) evaṃ chasu dvāresu iṭṭhārammaṇe āpāthagate aniccatādivasena vipassanaṃ paṭṭhapetvā ussukkāpetuṃ sakkontassa ‘‘ussukkitā me vipassanā’’ti somanassajātassa uppannasomanassāni cha nekkhammasitasomanassāni nāma.
‘‘จกฺขุวิเญฺญยฺยานํ รูปานํ อิฎฺฐานํ กนฺตานํ มนาปานํ มโนรมานํ โลกามิสปฎิสํยุตฺตานํ อปฺปฎิลาภํ วา อปฺปฎิลาภโต สมนุปสฺสโต ปุเพฺพ วา ปฎิลทฺธปุพฺพํ อตีตํ นิรุทฺธํ วิปริณตํ สมนุสฺสรโต อุปฺปชฺชติ โทมนสฺสํฯ ยํ เอวรูปํ โทมนสฺสํ, อิทํ วุจฺจติ เคหสิตํ โทมนสฺส’’นฺติฯ เอวํ ฉสุ ทฺวาเรสุ ‘‘อิฎฺฐารมฺมณํ นานุภวิสฺสามิ นานุภวามี’’ติ วิตกฺกยโต อุปฺปนฺนานิ กามคุณนิสฺสิตโทมนสฺสานิ ฉ เคหสิตโทมนสฺสานิ นามฯ
‘‘Cakkhuviññeyyānaṃ rūpānaṃ iṭṭhānaṃ kantānaṃ manāpānaṃ manoramānaṃ lokāmisapaṭisaṃyuttānaṃ appaṭilābhaṃ vā appaṭilābhato samanupassato pubbe vā paṭiladdhapubbaṃ atītaṃ niruddhaṃ vipariṇataṃ samanussarato uppajjati domanassaṃ. Yaṃ evarūpaṃ domanassaṃ, idaṃ vuccati gehasitaṃ domanassa’’nti. Evaṃ chasu dvāresu ‘‘iṭṭhārammaṇaṃ nānubhavissāmi nānubhavāmī’’ti vitakkayato uppannāni kāmaguṇanissitadomanassāni cha gehasitadomanassāni nāma.
‘‘รูปานํ เตฺวว อนิจฺจตํ วิทิตฺวา วิปริณามวิราคนิโรธํ ‘ปุเพฺพ เจว รูปา เอตรหิ จ , สเพฺพ เต รูปา อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา’ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา อนุตฺตเรสุ วิโมเกฺขสุ ปิหํ อุปฎฺฐาเปติ ‘กุทาสฺสุ นามาหํ ตทายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสามิ, ยทริยา เอตรหิ อายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรนฺตี’’ติฯ อิติ อนุตฺตเรสุ วิโมเกฺขสุ ปิหํ อุปฎฺฐาปยโต อุปฺปชฺชติ ปิหปจฺจยา โทมนสฺสํฯ ยํ เอวรูปํ โทมนสฺสํ, อิทํ วุจฺจติ เนกฺขมฺมสิตํ โทมนสฺสนฺติ; เอวํ ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐารมฺมเณ อาปาถคเต อนุตฺตรวิโมกฺขสงฺขาตอริยผลธเมฺมสุ ปิหํ อุปฎฺฐาเปตฺวา ตทธิคมาย อนิจฺจตาทิวเสน วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อุสฺสุกฺกาเปตุํ อสโกฺกนฺตสฺส ‘‘อิมมฺปิ ปกฺขํ อิมมฺปิ มาสํ อิมมฺปิ สํวจฺฉรํ วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อริยภูมิํ ปาปุณิตุํ นาสกฺขิ’’นฺติ อนุโสจโต อุปฺปนฺนานิ โทมนสฺสานิ ฉ เนกฺขมฺมสิตโทมนสฺสานิ นามฯ
‘‘Rūpānaṃ tveva aniccataṃ viditvā vipariṇāmavirāganirodhaṃ ‘pubbe ceva rūpā etarahi ca , sabbe te rūpā aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā’ti evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā anuttaresu vimokkhesu pihaṃ upaṭṭhāpeti ‘kudāssu nāmāhaṃ tadāyatanaṃ upasampajja viharissāmi, yadariyā etarahi āyatanaṃ upasampajja viharantī’’ti. Iti anuttaresu vimokkhesu pihaṃ upaṭṭhāpayato uppajjati pihapaccayā domanassaṃ. Yaṃ evarūpaṃ domanassaṃ, idaṃ vuccati nekkhammasitaṃ domanassanti; evaṃ chasu dvāresu iṭṭhārammaṇe āpāthagate anuttaravimokkhasaṅkhātaariyaphaladhammesu pihaṃ upaṭṭhāpetvā tadadhigamāya aniccatādivasena vipassanaṃ paṭṭhapetvā ussukkāpetuṃ asakkontassa ‘‘imampi pakkhaṃ imampi māsaṃ imampi saṃvaccharaṃ vipassanaṃ ussukkāpetvā ariyabhūmiṃ pāpuṇituṃ nāsakkhi’’nti anusocato uppannāni domanassāni cha nekkhammasitadomanassāni nāma.
‘‘จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา อุปฺปชฺชติ อุเปกฺขา พาลสฺส มูฬฺหสฺส ปุถุชฺชนสฺส อโนธิชินสฺส อวิปากชินสฺส อนาทีนวทสฺสาวิโน อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส ฯ ยา เอวรูปา อุเปกฺขา, รูปํ สา นาติวตฺตติ, ตสฺมา สา อุเปกฺขา เคหสิตาติ วุจฺจตี’’ติ; เอวํ ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐารมฺมเณ อาปาถคเต คุฬปิณฺฑเก นิลีนมกฺขิกา วิย รูปาทีนิ อนติวตฺตมานา ตเตฺถว ลคฺคา ลคฺคิตา หุตฺวา อุปฺปนฺนกามคุณนิสฺสิตา อุเปกฺขา ฉ เคหสิตอุเปกฺขา นามฯ
‘‘Cakkhunā rūpaṃ disvā uppajjati upekkhā bālassa mūḷhassa puthujjanassa anodhijinassa avipākajinassa anādīnavadassāvino assutavato puthujjanassa . Yā evarūpā upekkhā, rūpaṃ sā nātivattati, tasmā sā upekkhā gehasitāti vuccatī’’ti; evaṃ chasu dvāresu iṭṭhārammaṇe āpāthagate guḷapiṇḍake nilīnamakkhikā viya rūpādīni anativattamānā tattheva laggā laggitā hutvā uppannakāmaguṇanissitā upekkhā cha gehasitaupekkhā nāma.
‘‘รูปานํ เตฺวว อนิจฺจตํ วิทิตฺวา วิปริณามวิราคนิโรธํ ปุเพฺพ เจว รูปา เอตรหิ จ, ‘สเพฺพ เต รูปา อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา’ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสโต อุปฺปชฺชติ อุเปกฺขาฯ ยา เอวรูปา อุเปกฺขา, รูปํ สา อติวตฺตติ, ตสฺมา สา อุเปกฺขา เนกฺขมฺมสิตาติ วุจฺจตี’’ติ; เอวํ ฉสุ ทฺวาเรสุ อิฎฺฐาทิอารมฺมเณ อาปาถคเต อิเฎฺฐ อรชฺชนฺตสฺส อนิเฎฺฐ อทุสฺสนฺตสฺส อสมเปกฺขเน อมุยฺหนฺตสฺส อุปฺปนฺนา วิปสฺสนาญาณสมฺปยุตฺตา อุเปกฺขา เนกฺขมฺมสิตอุเปกฺขา นามฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต สพฺพสงฺคาหโก จตุภูมกธมฺมปริเจฺฉโท กถิโตฯ ตติยาทีนิ อุตฺตานตฺถาเนวฯ
‘‘Rūpānaṃ tveva aniccataṃ viditvā vipariṇāmavirāganirodhaṃ pubbe ceva rūpā etarahi ca, ‘sabbe te rūpā aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā’ti evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya passato uppajjati upekkhā. Yā evarūpā upekkhā, rūpaṃ sā ativattati, tasmā sā upekkhā nekkhammasitāti vuccatī’’ti; evaṃ chasu dvāresu iṭṭhādiārammaṇe āpāthagate iṭṭhe arajjantassa aniṭṭhe adussantassa asamapekkhane amuyhantassa uppannā vipassanāñāṇasampayuttā upekkhā nekkhammasitaupekkhā nāma. Imasmiṃ sutte sabbasaṅgāhako catubhūmakadhammaparicchedo kathito. Tatiyādīni uttānatthāneva.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya
๒. อฎฺฐสตสุตฺตํ • 2. Aṭṭhasatasuttaṃ
๓. อญฺญตรภิกฺขุสุตฺตํ • 3. Aññatarabhikkhusuttaṃ
๔. ปุพฺพสุตฺตํ • 4. Pubbasuttaṃ
๕. ญาณสุตฺตํ • 5. Ñāṇasuttaṃ
๖. สมฺพหุลภิกฺขุสุตฺตํ • 6. Sambahulabhikkhusuttaṃ
๗. ปฐมสมณพฺราหฺมณสุตฺตํ • 7. Paṭhamasamaṇabrāhmaṇasuttaṃ
๘. ทุติยสมณพฺราหฺมณสุตฺตํ • 8. Dutiyasamaṇabrāhmaṇasuttaṃ
๙. ตติยสมณพฺราหฺมณสุตฺตํ • 9. Tatiyasamaṇabrāhmaṇasuttaṃ
๑๐. สุทฺธิกสุตฺตํ • 10. Suddhikasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๒-๑๐. อฎฺฐสตสุตฺตาทิวณฺณนา • 2-10. Aṭṭhasatasuttādivaṇṇanā