Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๖. ฉกฺกนิปาโต
6. Chakkanipāto
๑. อวาริยวโคฺค
1. Avāriyavaggo
[๓๗๖] ๑. อวาริยชาตกวณฺณนา
[376] 1. Avāriyajātakavaṇṇanā
มาสุ กุชฺฌ ภูมิปตีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ ติตฺถนาวิกํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร พาโล อโหสิ อญฺญาโณ, เนว โส พุทฺธาทีนํ รตนานํ, น อเญฺญสํ ปุคฺคลานํ คุณํ ชานาติ, จโณฺฑ ผรุโส สาหสิโกฯ อเถโก ชานปโท ภิกฺขุ ‘‘พุทฺธุปฎฺฐานํ กริสฺสามี’’ติ อาคจฺฉโนฺต สายํ อจิรวตีติตฺถํ ปตฺวา ตํ เอวมาห ‘‘อุปาสก, ปรตีรํ คมิสฺสามิ, นาวํ เม เทหี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, อิทานิ อกาโล, เอกสฺมิํ ฐาเน วสสฺสู’’ติฯ ‘‘อุปาสก, อิธ กุหิํ วสิสฺสามิ, มํ คณฺหิตฺวา คจฺฉา’’ติฯ โส กุชฺฌิตฺวา ‘‘เอหิ เร สมณ, วหามี’’ติ เถรํ นาวํ อาโรเปตฺวา อุชุกํ อคนฺตฺวา เหฎฺฐา นาวํ เนตฺวา อุโลฺลฬํ กตฺวา ตสฺส ปตฺตจีวรํ เตเมตฺวา กิลเมตฺวา ตีรํ ปตฺวา อนฺธการเวลายํ อุโยฺยเชสิฯ อถ โส วิหารํ คนฺตฺวา ตํ ทิวสํ พุทฺธุปฎฺฐานสฺส โอกาสํ อลภิตฺวา ปุนทิวเส สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา สตฺถารา กตปฎิสนฺถาโร ‘‘กทา อาคโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘หิโยฺย, ภเนฺต’’ติ วตฺวา ‘‘อถ กสฺมา อชฺช พุทฺธุปฎฺฐานํ อาคโตสี’’ติ วุเตฺต ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ตํ สุตฺวา สตฺถา ‘‘น โข ภิกฺขุ อิทาเนว, ปุเพฺพเปส จโณฺฑ ผรุโส สาหสิโก, อิทานิ ปน เตน ตฺวํ กิลมิโต, ปุเพฺพเปส ปณฺฑิเต กิลเมสี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Māsukujjha bhūmipatīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ titthanāvikaṃ ārabbha kathesi. So kira bālo ahosi aññāṇo, neva so buddhādīnaṃ ratanānaṃ, na aññesaṃ puggalānaṃ guṇaṃ jānāti, caṇḍo pharuso sāhasiko. Atheko jānapado bhikkhu ‘‘buddhupaṭṭhānaṃ karissāmī’’ti āgacchanto sāyaṃ aciravatītitthaṃ patvā taṃ evamāha ‘‘upāsaka, paratīraṃ gamissāmi, nāvaṃ me dehī’’ti. ‘‘Bhante, idāni akālo, ekasmiṃ ṭhāne vasassū’’ti. ‘‘Upāsaka, idha kuhiṃ vasissāmi, maṃ gaṇhitvā gacchā’’ti. So kujjhitvā ‘‘ehi re samaṇa, vahāmī’’ti theraṃ nāvaṃ āropetvā ujukaṃ agantvā heṭṭhā nāvaṃ netvā ulloḷaṃ katvā tassa pattacīvaraṃ temetvā kilametvā tīraṃ patvā andhakāravelāyaṃ uyyojesi. Atha so vihāraṃ gantvā taṃ divasaṃ buddhupaṭṭhānassa okāsaṃ alabhitvā punadivase satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisīditvā satthārā katapaṭisanthāro ‘‘kadā āgatosī’’ti vutte ‘‘hiyyo, bhante’’ti vatvā ‘‘atha kasmā ajja buddhupaṭṭhānaṃ āgatosī’’ti vutte tamatthaṃ ārocesi. Taṃ sutvā satthā ‘‘na kho bhikkhu idāneva, pubbepesa caṇḍo pharuso sāhasiko, idāni pana tena tvaṃ kilamito, pubbepesa paṇḍite kilamesī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ทีฆมทฺธานํ หิมวเนฺต ผลาผเลน ยาเปตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถาย พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิตฺวา ปุนทิวเส นครํ ภิกฺขาย ปาวิสิฯ อถ นํ ราชงฺคณปฺปตฺตํ ราชา ทิสฺวา ตสฺส อิริยาปเถ ปสีทิตฺวา อเนฺตปุรํ อาเนตฺวา โภเชตฺวา ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ราชุยฺยาเน วสาเปสิ, เทวสิกํ อุปฎฺฐานํ อคมาสิฯ ตเมนํ โพธิสโตฺต ‘‘รญฺญา นาม, มหาราช, จตฺตาริ อคติคมนานิ วเชฺชตฺวา อปฺปมเตฺตน ขนฺติเมตฺตานุทฺทยสมฺปเนฺนน หุตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตพฺพ’’นฺติ วตฺวา เทวสิกํ โอวทโนฺต –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā dīghamaddhānaṃ himavante phalāphalena yāpetvā loṇambilasevanatthāya bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasitvā punadivase nagaraṃ bhikkhāya pāvisi. Atha naṃ rājaṅgaṇappattaṃ rājā disvā tassa iriyāpathe pasīditvā antepuraṃ ānetvā bhojetvā paṭiññaṃ gahetvā rājuyyāne vasāpesi, devasikaṃ upaṭṭhānaṃ agamāsi. Tamenaṃ bodhisatto ‘‘raññā nāma, mahārāja, cattāri agatigamanāni vajjetvā appamattena khantimettānuddayasampannena hutvā dhammena rajjaṃ kāretabba’’nti vatvā devasikaṃ ovadanto –
๑.
1.
‘‘มาสุ กุชฺฌ ภูมิปติ, มาสุ กุชฺฌ รเถสภ;
‘‘Māsu kujjha bhūmipati, māsu kujjha rathesabha;
กุทฺธํ อปฺปฎิกุชฺฌโนฺต, ราชา รฎฺฐสฺส ปูชิโตฯ
Kuddhaṃ appaṭikujjhanto, rājā raṭṭhassa pūjito.
๒.
2.
‘‘คาเม วา ยทิ วารเญฺญ, นิเนฺน วา ยทิ วา ถเล;
‘‘Gāme vā yadi vāraññe, ninne vā yadi vā thale;
สพฺพตฺถ อนุสาสามิ, มาสุ กุชฺฌ รเถสภา’’ติฯ – เทฺว คาถา อภาสิ;
Sabbattha anusāsāmi, māsu kujjha rathesabhā’’ti. – dve gāthā abhāsi;
ตตฺถ รฎฺฐสฺส ปูชิโตติ เอวรูโป ราชา รฎฺฐสฺส ปูชนีโย โหตีติ อโตฺถฯ สพฺพตฺถ อนุสาสามีติ เอเตสุ คามาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺตปาหํ มหาราช, อิมาย เอว อนุสิฎฺฐิยา ตมนุสาสามิ, เอเตสุ วา คามาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ เอกสฺมิมฺปิ เอกสเตฺตปิ อนุสาสามิฯ มาสุ กุชฺฌ รเถสภาติ เอวเมวาหํ ตํ อนุสาสามิ, รญฺญา นาม กุชฺฌตุํ น วฎฺฎติฯ กิํการณา? ราชาโน นาม วาจาวุธา, เตสํ กุทฺธานํ วจนมเตฺตเนว พหู ชีวิตกฺขยํ ปาปุณนฺตีติฯ
Tattha raṭṭhassa pūjitoti evarūpo rājā raṭṭhassa pūjanīyo hotīti attho. Sabbattha anusāsāmīti etesu gāmādīsu yattha katthaci vasantopāhaṃ mahārāja, imāya eva anusiṭṭhiyā tamanusāsāmi, etesu vā gāmādīsu yattha katthaci ekasmimpi ekasattepi anusāsāmi. Māsu kujjha rathesabhāti evamevāhaṃ taṃ anusāsāmi, raññā nāma kujjhatuṃ na vaṭṭati. Kiṃkāraṇā? Rājāno nāma vācāvudhā, tesaṃ kuddhānaṃ vacanamatteneva bahū jīvitakkhayaṃ pāpuṇantīti.
เอวํ โพธิสโตฺต รโญฺญ อาคตาคตทิวเส อิมา เทฺว คาถา อภาสิฯ ราชา อนุสิฎฺฐิยา ปสนฺนจิโตฺต มหาสตฺตสฺส สตสหสฺสุฎฺฐานกํ เอกํ คามวรํ อทาสิ, โพธิสโตฺต ปฎิกฺขิปิฯ อิติ โส ตเตฺถว ทฺวาทสสํวจฺฉรํ วสิตฺวา ‘‘อติจิรํ นิวุโตฺถมฺหิ, ชนปทจาริกํ ตาว จริตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติ รโญฺญ อกเถตฺวาว อุยฺยานปาลํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาต, อุกฺกณฺฐิตรูโปสฺมิ, ชนปทํ จริตฺวา อาคมิสฺสามิ, ตฺวํ รโญฺญ กเถยฺยาสี’’ติ วตฺวา ปกฺกโนฺต คงฺคาย นาวาติตฺถํ ปาปุณิฯ ตตฺถ อวาริยปิตา นาม นาวิโก อโหสิฯ โส พาโล เนว คุณวนฺตานํ คุณํ ชานาติ, น อตฺตโน อายาปายํ ชานาติ, โส คงฺคํ ตริตุกามํ ชนํ ปฐมํ ตาเรตฺวา ปจฺฉา เวตนํ ยาจติ, เวตนํ อเทเนฺตหิ สทฺธิํ กลหํ กโรโนฺต อโกฺกสปฺปหาเรเยว พหู ลภติ, อปฺปํ ลาภํ, เอวรูโป อนฺธพาโลฯ ตํ สนฺธาย สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ตติยํ คาถมาห –
Evaṃ bodhisatto rañño āgatāgatadivase imā dve gāthā abhāsi. Rājā anusiṭṭhiyā pasannacitto mahāsattassa satasahassuṭṭhānakaṃ ekaṃ gāmavaraṃ adāsi, bodhisatto paṭikkhipi. Iti so tattheva dvādasasaṃvaccharaṃ vasitvā ‘‘aticiraṃ nivutthomhi, janapadacārikaṃ tāva caritvā āgamissāmī’’ti rañño akathetvāva uyyānapālaṃ āmantetvā ‘‘tāta, ukkaṇṭhitarūposmi, janapadaṃ caritvā āgamissāmi, tvaṃ rañño katheyyāsī’’ti vatvā pakkanto gaṅgāya nāvātitthaṃ pāpuṇi. Tattha avāriyapitā nāma nāviko ahosi. So bālo neva guṇavantānaṃ guṇaṃ jānāti, na attano āyāpāyaṃ jānāti, so gaṅgaṃ taritukāmaṃ janaṃ paṭhamaṃ tāretvā pacchā vetanaṃ yācati, vetanaṃ adentehi saddhiṃ kalahaṃ karonto akkosappahāreyeva bahū labhati, appaṃ lābhaṃ, evarūpo andhabālo. Taṃ sandhāya satthā abhisambuddho hutvā tatiyaṃ gāthamāha –
๓.
3.
‘‘อวาริยปิตา นาม, อหุ คงฺคาย นาวิโก;
‘‘Avāriyapitā nāma, ahu gaṅgāya nāviko;
ปุเพฺพ ชนํ ตาเรตฺวาน, ปจฺฉา ยาจติ เวตนํ;
Pubbe janaṃ tāretvāna, pacchā yācati vetanaṃ;
เตนสฺส ภณฺฑนํ โหติ, น จ โภเคหิ วฑฺฒตี’’ติฯ
Tenassa bhaṇḍanaṃ hoti, na ca bhogehi vaḍḍhatī’’ti.
ตตฺถ อวาริยปิตา นามาติ อวาริยา นาม ตสฺส ธีตา, ตสฺสา วเสน อวาริยปิตา นาม ชาโตฯ เตนสฺส ภณฺฑนนฺติ เตน การเณน, เตน วา ปจฺฉา ยาจิยมาเนน ชเนน สทฺธิํ ตสฺส ภณฺฑนํ โหติฯ
Tattha avāriyapitā nāmāti avāriyā nāma tassa dhītā, tassā vasena avāriyapitā nāma jāto. Tenassa bhaṇḍananti tena kāraṇena, tena vā pacchā yāciyamānena janena saddhiṃ tassa bhaṇḍanaṃ hoti.
โพธิสโตฺต ตํ นาวิกํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อาวุโส, ปรตีรํ มํ เนหี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา โส อาห ‘‘สมณ, กิํ เม นาวาเวตนํ ทสฺสสี’’ติ? ‘‘อาวุโส, อหํ โภควฑฺฒิํ อตฺถวฑฺฒิํ ธมฺมวฑฺฒิํ นาม เต กเถสฺสามี’’ติฯ ตํ สุตฺวา นาวิโก ‘‘ธุวํ เอส มยฺหํ กิญฺจิ ทสฺสตี’’ติ ตํ ปรตีรํ เนตฺวา ‘‘เทหิ เม นาวาย เวตน’’นฺติ อาหฯ โส ตสฺส ‘‘สาธุ, อาวุโส’’ติ ปฐมํ โภควฑฺฒิํ กเถโนฺต –
Bodhisatto taṃ nāvikaṃ upasaṅkamitvā ‘‘āvuso, paratīraṃ maṃ nehī’’ti āha. Taṃ sutvā so āha ‘‘samaṇa, kiṃ me nāvāvetanaṃ dassasī’’ti? ‘‘Āvuso, ahaṃ bhogavaḍḍhiṃ atthavaḍḍhiṃ dhammavaḍḍhiṃ nāma te kathessāmī’’ti. Taṃ sutvā nāviko ‘‘dhuvaṃ esa mayhaṃ kiñci dassatī’’ti taṃ paratīraṃ netvā ‘‘dehi me nāvāya vetana’’nti āha. So tassa ‘‘sādhu, āvuso’’ti paṭhamaṃ bhogavaḍḍhiṃ kathento –
๔.
4.
‘‘อติณฺณํเยว ยาจสฺสุ, อปารํ ตาต นาวิก;
‘‘Atiṇṇaṃyeva yācassu, apāraṃ tāta nāvika;
อโญฺญ หิ ติณฺณสฺส มโน, อโญฺญ โหติ ปาเรสิโน’’ติฯ – คาถมาห;
Añño hi tiṇṇassa mano, añño hoti pāresino’’ti. – gāthamāha;
ตตฺถ อปารนฺติ ตาต, นาวิก ปรตีรํ อติณฺณเมว ชนํ โอริมตีเร ฐิตเญฺญว เวตนํ ยาจสฺสุ, ตโต ลทฺธญฺจ คเหตฺวา คุตฺตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปจฺฉา มนุเสฺส ปรตีรํ เนยฺยาสิ, เอวํ เต โภควฑฺฒิ ภวิสฺสติฯ อโญฺญ หิ ติณฺณสฺส มโนติ ตาต นาวิก, ปรตีรํ คตสฺส อโญฺญ มโน ภวติ, อทตฺวาว คนฺตุกาโม โหติฯ โย ปเนส ปาเรสี นาม ปรตีรํ เอสติ, ปรตีรํ คนฺตุกาโม โหติ, โส อติเรกมฺปิ ทตฺวา คนฺตุกาโม โหติ, อิติ ปาเรสิโน อโญฺญ มโน โหติ, ตสฺมา ตฺวํ อติณฺณเมว ยาเจยฺยาสิ, อยํ ตาว เต โภคานํ วฑฺฒิ นามาติฯ
Tattha apāranti tāta, nāvika paratīraṃ atiṇṇameva janaṃ orimatīre ṭhitaññeva vetanaṃ yācassu, tato laddhañca gahetvā guttaṭṭhāne ṭhapetvā pacchā manusse paratīraṃ neyyāsi, evaṃ te bhogavaḍḍhi bhavissati. Añño hi tiṇṇassa manoti tāta nāvika, paratīraṃ gatassa añño mano bhavati, adatvāva gantukāmo hoti. Yo panesa pāresī nāma paratīraṃ esati, paratīraṃ gantukāmo hoti, so atirekampi datvā gantukāmo hoti, iti pāresino añño mano hoti, tasmā tvaṃ atiṇṇameva yāceyyāsi, ayaṃ tāva te bhogānaṃ vaḍḍhi nāmāti.
ตํ สุตฺวา นาวิโก จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ตาว เม โอวาโท ภวิสฺสติ, อิทานิ ปเนส อญฺญํ กิญฺจิ มยฺหํ ทสฺสตี’’ติฯ อถ นํ โพธิสโตฺต ‘‘อยํ ตาว เต, อาวุโส, โภควฑฺฒิ, อิทานิ อตฺถธมฺมวฑฺฒิํ สุณาหี’’ติ วตฺวา โอวทโนฺต –
Taṃ sutvā nāviko cintesi ‘‘ayaṃ tāva me ovādo bhavissati, idāni panesa aññaṃ kiñci mayhaṃ dassatī’’ti. Atha naṃ bodhisatto ‘‘ayaṃ tāva te, āvuso, bhogavaḍḍhi, idāni atthadhammavaḍḍhiṃ suṇāhī’’ti vatvā ovadanto –
๕.
5.
‘‘คาเม วา ยทิ วารเญฺญ, นิเนฺน วา ยทิ วา ถเล;
‘‘Gāme vā yadi vāraññe, ninne vā yadi vā thale;
สพฺพตฺถ อนุสาสามิ, มาสุ กุชฺฌิตฺถ นาวิกา’’ติฯ – คาถมาห;
Sabbattha anusāsāmi, māsu kujjhittha nāvikā’’ti. – gāthamāha;
อิติสฺส อิมาย คาถาย อตฺถธมฺมวฑฺฒิํ กเถตฺวา ‘‘อยํ เต อตฺถวฑฺฒิ จ ธมฺมวฑฺฒิ จา’’ติ อาหฯ โส ปน ทนฺธปุริโส ตํ โอวาทํ น กิญฺจิ มญฺญมาโน ‘‘อิทํ, สมณ, ตยา มยฺหํ ทินฺนํ นาวาเวตน’’นฺติ อาหฯ ‘‘อามาวุโส’’ติฯ ‘‘มยฺหํ อิมินา กมฺมํ นตฺถิ, อญฺญํ เม เทหี’’ติฯ ‘‘อาวุโส, อิทํ ฐเปตฺวา มยฺหํ อญฺญํ นตฺถี’’ติฯ ‘‘อถ ตฺวํ กสฺมา มม นาวํ อารุโฬฺหสี’’ติ ตาปสํ คงฺคาตีเร ปาเตตฺวา อุเร นิสีทิตฺวา มุขเมวสฺส โปเถสิฯ
Itissa imāya gāthāya atthadhammavaḍḍhiṃ kathetvā ‘‘ayaṃ te atthavaḍḍhi ca dhammavaḍḍhi cā’’ti āha. So pana dandhapuriso taṃ ovādaṃ na kiñci maññamāno ‘‘idaṃ, samaṇa, tayā mayhaṃ dinnaṃ nāvāvetana’’nti āha. ‘‘Āmāvuso’’ti. ‘‘Mayhaṃ iminā kammaṃ natthi, aññaṃ me dehī’’ti. ‘‘Āvuso, idaṃ ṭhapetvā mayhaṃ aññaṃ natthī’’ti. ‘‘Atha tvaṃ kasmā mama nāvaṃ āruḷhosī’’ti tāpasaṃ gaṅgātīre pātetvā ure nisīditvā mukhamevassa pothesi.
สตฺถา ‘‘อิติ โส, ภิกฺขเว, ตาปโส ยํ โอวาทํ ทตฺวา รโญฺญ สนฺติกา คามวรํ ลภิ, ตเมว โอวาทํ อนฺธพาลสฺส นาวิกสฺส กเถตฺวา มุขโปถนํ ปาปุณิ, ตสฺมา โอวาทํ เทเนฺตน ยุตฺตชนเสฺสว ทาตโพฺพ, น อยุตฺตชนสฺสา’’ติ วตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ตทนนฺตรํ คาถมาห –
Satthā ‘‘iti so, bhikkhave, tāpaso yaṃ ovādaṃ datvā rañño santikā gāmavaraṃ labhi, tameva ovādaṃ andhabālassa nāvikassa kathetvā mukhapothanaṃ pāpuṇi, tasmā ovādaṃ dentena yuttajanasseva dātabbo, na ayuttajanassā’’ti vatvā abhisambuddho hutvā tadanantaraṃ gāthamāha –
๖.
6.
‘‘ยาเยวานุสาสนิยา, ราชา คามวรํ อทา;
‘‘Yāyevānusāsaniyā, rājā gāmavaraṃ adā;
ตาเยวานุสาสนิยา, นาวิโก ปหรี มุข’’นฺติฯ
Tāyevānusāsaniyā, nāviko paharī mukha’’nti.
ตสฺส ตํ ปหรนฺตเสฺสว ภริยา ภตฺตํ คเหตฺวา อาคตา ปาปปุริสํ ทิสฺวา ‘‘สามิ, อยํ ตาปโส นาม ราชกุลูปโก, มา ปหรี’’ติ อาหฯ โส กุชฺฌิตฺวา ‘‘ตฺวํ เม อิมํ กูฎตาปสํ ปหริตุํ น เทสี’’ติ อุฎฺฐาย ตํ ปหริตฺวา ปาเตสิฯ อถ ภตฺตปาติ ปติตฺวา ภิชฺชิ, ตสฺสา จ ปน ครุคพฺภาย คโพฺภ ภูมิยํ ปติฯ อถ นํ มนุสฺสา สมฺปริวาเรตฺวา ‘‘ปุริสฆาตกโจโร’’ติ คเหตฺวา พนฺธิตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ ราชา วินิจฺฉินิตฺวา ตสฺส ราชาณํ กาเรสิฯ สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต โอสานคาถมาห –
Tassa taṃ paharantasseva bhariyā bhattaṃ gahetvā āgatā pāpapurisaṃ disvā ‘‘sāmi, ayaṃ tāpaso nāma rājakulūpako, mā paharī’’ti āha. So kujjhitvā ‘‘tvaṃ me imaṃ kūṭatāpasaṃ paharituṃ na desī’’ti uṭṭhāya taṃ paharitvā pātesi. Atha bhattapāti patitvā bhijji, tassā ca pana garugabbhāya gabbho bhūmiyaṃ pati. Atha naṃ manussā samparivāretvā ‘‘purisaghātakacoro’’ti gahetvā bandhitvā rañño dassesuṃ. Rājā vinicchinitvā tassa rājāṇaṃ kāresi. Satthā abhisambuddho hutvā tamatthaṃ pakāsento osānagāthamāha –
๗.
7.
‘‘ภตฺตํ ภินฺนํ หตา ภริยา, คโพฺภ จ ปติโต ฉมา;
‘‘Bhattaṃ bhinnaṃ hatā bhariyā, gabbho ca patito chamā;
มิโคว ชาตรูเปน, น เตนตฺถํ อพนฺธิ สู’’ติฯ
Migova jātarūpena, na tenatthaṃ abandhi sū’’ti.
ตตฺถ ภตฺตํ ภินฺนนฺติ ภตฺตปาติ ภินฺนาฯ หตาติ ปหตาฯ ฉมาติ ภูมิยํฯ มิโคว ชาตรูเปนาติ ยถา มิโค สุวณฺณํ วา หิรญฺญํ วา มุตฺตามณิอาทีนิ วา มทฺทิตฺวา คจฺฉโนฺตปิ อตฺถริตฺวา นิปชฺชโนฺตปิ เตน ชาตรูเปน อตฺตโน อตฺถํ วเฑฺฒตุํ นิพฺพเตฺตตุํ น สโกฺกติ, เอวเมว โส อนฺธพาโล ปณฺฑิเตหิ ทินฺนํ โอวาทํ สุตฺวาปิ อตฺตโน อตฺถํ วเฑฺฒตุํ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขีติ วุตฺตํ โหติฯ อพนฺธิ สูติ เอตฺถ อพนฺธิ โสติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ส-โออิติ อิเมสํ ปทานญฺหิ สูติ สนฺธิ โหติฯ
Tattha bhattaṃ bhinnanti bhattapāti bhinnā. Hatāti pahatā. Chamāti bhūmiyaṃ. Migova jātarūpenāti yathā migo suvaṇṇaṃ vā hiraññaṃ vā muttāmaṇiādīni vā madditvā gacchantopi attharitvā nipajjantopi tena jātarūpena attano atthaṃ vaḍḍhetuṃ nibbattetuṃ na sakkoti, evameva so andhabālo paṇḍitehi dinnaṃ ovādaṃ sutvāpi attano atthaṃ vaḍḍhetuṃ nibbattetuṃ nāsakkhīti vuttaṃ hoti. Abandhi sūti ettha abandhi soti evamattho daṭṭhabbo. Sa-oiti imesaṃ padānañhi sūti sandhi hoti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา นาวิโก อิทานิ นาวิโกว อโหสิ, ราชา อานโนฺท, ตาปโส ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne so bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā nāviko idāni nāvikova ahosi, rājā ānando, tāpaso pana ahameva ahosinti.
อวาริยชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Avāriyajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๗๖. อวาริยชาตกํ • 376. Avāriyajātakaṃ