Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā |
๗. อาวฎฺฎหารวิภงฺควณฺณนา
7. Āvaṭṭahāravibhaṅgavaṇṇanā
๒๙. ตตฺถ กตโม อาวโฎฺฎ หาโรติ อาวฎฺฎหารวิภโงฺคฯ ตตฺถ อารมฺภถาติ อารมฺภธาตุสงฺขาตํ วีริยํ กโรถฯ นิกฺกมถาติ โกสชฺชปกฺขโต นิกฺขนฺตตฺตา นิกฺกมธาตุสงฺขาตํ ตทุตฺตริวีริยํ กโรถฯ ยุญฺชถ พุทฺธสาสเนติ ยสฺมา สีลสํวโร อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา โภชเน มตฺตญฺญุตา สติสมฺปชญฺญนฺติ อิเมสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐิตานํ ชาคริยานุโยควเสน อารมฺภนิกฺกมธาตุโย สมฺปชฺชนฺติ, ตสฺมา ตถาภูตสมถวิปสฺสนาสงฺขาเต ภควโต สาสเน ยุตฺตปฺปยุตฺตา โหถฯ ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโรติ เอวํ ปฎิปชฺชนฺตา จ เตธาตุอิสฺสรสฺส มจฺจุราชสฺส วสํ สเตฺต เนตีติ ตสฺส เสนาสงฺขาตํ อพลํ ทุพฺพลํ ยถา นาม พลูปปโนฺน กุญฺชโร นเฬหิ กตํ อคารํ ขเณเนว วิทฺธํเสติ, เอวเมว กิเลสคณํ ธุนาถ วิธมถ วิทฺธํเสถาติ อโตฺถ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๘๕)ฯ
29.Tatthakatamo āvaṭṭo hāroti āvaṭṭahāravibhaṅgo. Tattha ārambhathāti ārambhadhātusaṅkhātaṃ vīriyaṃ karotha. Nikkamathāti kosajjapakkhato nikkhantattā nikkamadhātusaṅkhātaṃ taduttarivīriyaṃ karotha. Yuñjatha buddhasāsaneti yasmā sīlasaṃvaro indriyesu guttadvāratā bhojane mattaññutā satisampajaññanti imesu dhammesu patiṭṭhitānaṃ jāgariyānuyogavasena ārambhanikkamadhātuyo sampajjanti, tasmā tathābhūtasamathavipassanāsaṅkhāte bhagavato sāsane yuttappayuttā hotha. Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaroti evaṃ paṭipajjantā ca tedhātuissarassa maccurājassa vasaṃ satte netīti tassa senāsaṅkhātaṃ abalaṃ dubbalaṃ yathā nāma balūpapanno kuñjaro naḷehi kataṃ agāraṃ khaṇeneva viddhaṃseti, evameva kilesagaṇaṃ dhunātha vidhamatha viddhaṃsethāti attho (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.185).
อิทานิ ยทตฺถํ อยํ คาถา นิกฺขิตฺตา, ตํ โยเชตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถาติ วีริยสฺส ปทฎฺฐาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อารมฺภถ นิกฺกมถาติ อิทํ วจนํ วีริยสฺส ปทฎฺฐานํ วีริยปโยคสฺส การณํ วีริยารเมฺภ นิโยชนโต, ‘‘โยคา เว ชายตี ภูรี’’ติ (ธ. ป. ๒๘๒) วจนโต โยโค ภาวนาฯ ตตฺถ วิปสฺสนาภาวนาย วกฺขมานตฺตา สมาธิภาวนา อิธาธิเปฺปตาติ วุตฺตํ – ‘‘ยุญฺชถ พุทฺธสาสเนติ สมาธิสฺส ปทฎฺฐาน’’นฺติฯ ‘‘มจฺจุโน เสน’’นฺติ วุตฺตาย กิเลสเสนาย สมฺมา ธุนนํ ญาเณเนว โหตีติ อาห – ‘‘ธุนาถ…เป.… ปทฎฺฐาน’’นฺติฯ ปุน ยถาวุตฺตวีริยสมาธิปญฺญาสมฺปยุเตฺตสุ อาธิปจฺจกิจฺจตาย ปปญฺจปฺปหานสมตฺถา วฎฺฎมูลํ ฉินฺทิตฺวา วิวฎฺฎํ ปาเปนฺติ จาติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถาติ วีริยินฺทฺริยสฺส ปทฎฺฐาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อิมานิ ปทฎฺฐานานิ เทสนาติ ‘‘ยานิมานิ วีริยสฺส ปทฎฺฐาน’’นฺติอาทินา วีริยาทีนํ ปทฎฺฐานานิ วุตฺตานิ, สา อารมฺภถ นิกฺกมถาติ อาทิเทสนา, น วีริยารมฺภวตฺถุอาทีนีติ อโตฺถฯ ตถา เจว สํวณฺณิตํฯ
Idāni yadatthaṃ ayaṃ gāthā nikkhittā, taṃ yojetvā dassetuṃ ‘‘ārambhatha nikkamathāti vīriyassa padaṭṭhāna’’ntiādi vuttaṃ. Tattha ārambhatha nikkamathāti idaṃ vacanaṃ vīriyassa padaṭṭhānaṃ vīriyapayogassa kāraṇaṃ vīriyārambhe niyojanato, ‘‘yogā ve jāyatī bhūrī’’ti (dha. pa. 282) vacanato yogo bhāvanā. Tattha vipassanābhāvanāya vakkhamānattā samādhibhāvanā idhādhippetāti vuttaṃ – ‘‘yuñjatha buddhasāsaneti samādhissa padaṭṭhāna’’nti. ‘‘Maccuno sena’’nti vuttāya kilesasenāya sammā dhunanaṃ ñāṇeneva hotīti āha – ‘‘dhunātha…pe… padaṭṭhāna’’nti. Puna yathāvuttavīriyasamādhipaññāsampayuttesu ādhipaccakiccatāya papañcappahānasamatthā vaṭṭamūlaṃ chinditvā vivaṭṭaṃ pāpenti cāti dassanatthaṃ ‘‘ārambhatha nikkamathāti vīriyindriyassa padaṭṭhāna’’ntiādi vuttaṃ. Imāni padaṭṭhānāni desanāti ‘‘yānimāni vīriyassa padaṭṭhāna’’ntiādinā vīriyādīnaṃ padaṭṭhānāni vuttāni, sā ārambhatha nikkamathāti ādidesanā, na vīriyārambhavatthuādīnīti attho. Tathā ceva saṃvaṇṇitaṃ.
เอวํ ยถานิกฺขิตฺตาย เทสนาย ปทฎฺฐานวเสน อตฺถํ นิทฺธาเรตฺวา อิทานิ ตํ สภาควิสภาคธมฺมวเสน อาวเฎฺฎตุกาโม ตสฺส ภูมิํ ทเสฺสตุํ ‘‘อยุญฺชนฺตานํ วา สตฺตานํ โยเค ยุญฺชนฺตานํ วา อารโมฺภ’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – โยเค ภาวนายํ ตํ อยุญฺชนฺตานํ วา สตฺตานํ อปริปกฺกญาณานํ วาสนาภาเคน อายติํ วิชานนตฺถํ อยํ เทสนารโมฺภ ยุญฺชนฺตานํ วา ปริปกฺกญาณานนฺติฯ
Evaṃ yathānikkhittāya desanāya padaṭṭhānavasena atthaṃ niddhāretvā idāni taṃ sabhāgavisabhāgadhammavasena āvaṭṭetukāmo tassa bhūmiṃ dassetuṃ ‘‘ayuñjantānaṃ vā sattānaṃ yoge yuñjantānaṃ vā ārambho’’tiādimāha. Tassattho – yoge bhāvanāyaṃ taṃ ayuñjantānaṃ vā sattānaṃ aparipakkañāṇānaṃ vāsanābhāgena āyatiṃ vijānanatthaṃ ayaṃ desanārambho yuñjantānaṃ vā paripakkañāṇānanti.
โส ปมาโท ทุวิโธติ เยน ปมาเทน ภาวนํ นานุยุญฺชนฺติ, โส ปมาโท อตฺตโน การณเภเทน ทุวิโธฯ อญฺญาเณนาติ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ สลกฺขณสามญฺญลกฺขณปฎิจฺฉาทเกน สโมฺมเหนฯ นิวุโตติ ฉาทิโตฯ เญยฺยฎฺฐานนฺติ เญยฺยญฺจ ตํ ‘‘อิติ รูปํ, อิติ รูปสฺส สมุทโย’’ติอาทินา ญาณสฺส ปวตฺตนฎฺฐานญฺจาติ เญยฺยฎฺฐานํฯ อเนกเภทตฺตา ปาปธมฺมานํ ตพฺพเสน อเนกเภโทปิ ปมาโท มูลภูตาย อวิชฺชาย วเสน เอโก เอวาติ อาห – ‘‘เอกวิโธ อวิชฺชายา’’ติฯ ลาภวินิจฺฉยปริคฺคหมจฺฉริยานิ ปริเยสนาอารกฺขาปริโภเคสุ อโนฺตคธานิฯ ฉนฺทราคโชฺฌสานา ตณฺหา เอวาติ ตณฺหามูลเกปิ ธเมฺม เอเตฺถว ปกฺขิปิตฺวา ‘‘ติวิโธ ตณฺหายา’’ติ วุตฺตํฯ
So pamādo duvidhoti yena pamādena bhāvanaṃ nānuyuñjanti, so pamādo attano kāraṇabhedena duvidho. Aññāṇenāti pañcannaṃ khandhānaṃ salakkhaṇasāmaññalakkhaṇapaṭicchādakena sammohena. Nivutoti chādito. Ñeyyaṭṭhānanti ñeyyañca taṃ ‘‘iti rūpaṃ, iti rūpassa samudayo’’tiādinā ñāṇassa pavattanaṭṭhānañcāti ñeyyaṭṭhānaṃ. Anekabhedattā pāpadhammānaṃ tabbasena anekabhedopi pamādo mūlabhūtāya avijjāya vasena eko evāti āha – ‘‘ekavidho avijjāyā’’ti. Lābhavinicchayapariggahamacchariyāni pariyesanāārakkhāparibhogesu antogadhāni. Chandarāgajjhosānā taṇhā evāti taṇhāmūlakepi dhamme ettheva pakkhipitvā ‘‘tividho taṇhāyā’’ti vuttaṃ.
รูปีสุ ภเวสูติ รูปธเมฺมสุฯ อโชฺฌสานนฺติ ตณฺหาภินิเวโสฯ เอเตน ‘‘ตณฺหาย รูปกาโย ปทฎฺฐาน’’นฺติ ปทสฺส อตฺถํ วิวรติฯ อนาทิมติ หิ สํสาเร อิตฺถิปุริสา อญฺญมญฺญรูปาภิรามา, อยญฺจโตฺถ จิตฺตปริยาทานสุเตฺตน (อ. นิ. ๑.๑-๑๐) ทีเปตโพฺพฯ อรูปีสุ สโมฺมโหติ ผสฺสาทีนํ อติสุขุมสภาวตฺตา สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณฆนวินิโพฺภคสฺส ทุกฺกรตฺตา จ อรูปธเมฺมสุ สโมฺมโห, สตฺตานํ ปติฎฺฐิโตติ วจนเสโสฯ เอวํ นิทฺธาริเต รูปกายนามกายสงฺขาเต อุปาทานกฺขนฺธปญฺจเก อารมฺมณกรณวเสน ปวตฺตํ ตณฺหญฺจ อวิชฺชญฺจ อวิเสเสน วุตฺตํ จตุปาทานานํ วเสน วิภชิตฺวา เตสํ ขนฺธานํ อุปาทานานญฺจ ทุกฺขสมุทยภาเวน สหปริเญฺญยฺยปหาตพฺพภาวํ ทเสฺสติ ‘‘ตตฺถ รูปกาโย’’ติอาทินาฯ
Rūpīsu bhavesūti rūpadhammesu. Ajjhosānanti taṇhābhiniveso. Etena ‘‘taṇhāya rūpakāyo padaṭṭhāna’’nti padassa atthaṃ vivarati. Anādimati hi saṃsāre itthipurisā aññamaññarūpābhirāmā, ayañcattho cittapariyādānasuttena (a. ni. 1.1-10) dīpetabbo. Arūpīsu sammohoti phassādīnaṃ atisukhumasabhāvattā santatisamūhakiccārammaṇaghanavinibbhogassa dukkarattā ca arūpadhammesu sammoho, sattānaṃ patiṭṭhitoti vacanaseso. Evaṃ niddhārite rūpakāyanāmakāyasaṅkhāte upādānakkhandhapañcake ārammaṇakaraṇavasena pavattaṃ taṇhañca avijjañca avisesena vuttaṃ catupādānānaṃ vasena vibhajitvā tesaṃ khandhānaṃ upādānānañca dukkhasamudayabhāvena sahapariññeyyapahātabbabhāvaṃ dasseti ‘‘tattha rūpakāyo’’tiādinā.
๓๐. เอวํ ปมาทมุเขน ปุริมสจฺจทฺวยํ นิทฺธาเรตฺวา ปมาทมุเขเนว อปรมฺปิ สจฺจทฺวยํ นิทฺธาเรตุํ ‘‘ตตฺถ โย’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตสฺสาติ ตสฺส ปมาทสฺสฯ สมฺปฎิเวเธนาติ สมฺมา ปริชานเนน อสฺสาทาทีนํ ชานเนนฯ รกฺขณา ปฎิสํหรณาติ อตฺตโน จิตฺตสฺส รกฺขณสงฺขาตา ปมาทสฺส ปฎิสํหรณา, ตปฺปฎิปเกฺขน สโงฺกจนา อปฺปมาทานุโยเคน ยา เขปนาฯ อยํ สมโถติ กิเจฺจน สมาธิํ ทเสฺสติฯ อยํ โวทานปกฺขวิสภาคธมฺมวเสน อาวฎฺฎนาฯ ‘‘ยทา ชานาติ กามานํ…เป.… อานิสํส’’นฺติ อิมินา สมถาธิคมสฺส อุปายํ ทเสฺสติฯ
30. Evaṃ pamādamukhena purimasaccadvayaṃ niddhāretvā pamādamukheneva aparampi saccadvayaṃ niddhāretuṃ ‘‘tattha yo’’tiādi vuttaṃ. Tattha tassāti tassa pamādassa. Sampaṭivedhenāti sammā parijānanena assādādīnaṃ jānanena. Rakkhaṇā paṭisaṃharaṇāti attano cittassa rakkhaṇasaṅkhātā pamādassa paṭisaṃharaṇā, tappaṭipakkhena saṅkocanā appamādānuyogena yā khepanā. Ayaṃ samathoti kiccena samādhiṃ dasseti. Ayaṃ vodānapakkhavisabhāgadhammavasena āvaṭṭanā. ‘‘Yadā jānāti kāmānaṃ…pe… ānisaṃsa’’nti iminā samathādhigamassa upāyaṃ dasseti.
ตตฺถ กามานนฺติ วตฺถุกามานญฺจ กิเลสกามานญฺจฯ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโตติ กาเม ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชมานํ สุขโสมนสฺสสงฺขาตํ อสฺสาทํ อสฺสาทตาย อสฺสาทมตฺตโตฯ อาทีนวนฺติ ‘‘อปฺปสฺสาทา กามา พหุทุกฺขา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓๖) วุตฺตํ อาทีนวํ โทสํฯ นิสฺสรณนฺติ ปฐมชฺฌานํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘กามานเมตํ นิสฺสรณํ ยทิทํ เนกฺขมฺม’’นฺติ (อิติวุ. ๗๒)ฯ โอการนฺติ ลามกภาวํฯ สํกิเลสนฺติ สํกิลิสฺสนํฯ กามเหตุ หิ สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติฯ โวทานนฺติ วิสุชฺฌนํฯ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสนฺติ นีวรณปฺปหานาทิคุณวิเสสโยคํฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ยถาวุเตฺต สมเถ สติฯ ยา วีมํสาติ ยา ปญฺญาฯ ‘‘สมาหิโต, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๗๑) หิ วุตฺตํฯ ยถา ตณฺหาสหิตาว อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย, เอวํ อวิชฺชาสหิตาว ตณฺหา อุปาทานานํ ปจฺจโยฯ ตาสุ นิรุทฺธาสุ อุปาทานาทีนํ อภาโว เอวาติ ตณฺหาอวิชฺชาปหาเนน สกลวฎฺฎทุกฺขนิโรธํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิเมสุ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ปหีเนสู’’ติอาทิมาหฯ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานิ วิสภาคสภาคธมฺมาวฎฺฎนวเสน นิทฺธาริตานีติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha kāmānanti vatthukāmānañca kilesakāmānañca. Assādañca assādatoti kāme paṭicca uppajjamānaṃ sukhasomanassasaṅkhātaṃ assādaṃ assādatāya assādamattato. Ādīnavanti ‘‘appassādā kāmā bahudukkhā’’tiādinā (ma. ni. 1.236) vuttaṃ ādīnavaṃ dosaṃ. Nissaraṇanti paṭhamajjhānaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘kāmānametaṃ nissaraṇaṃ yadidaṃ nekkhamma’’nti (itivu. 72). Okāranti lāmakabhāvaṃ. Saṃkilesanti saṃkilissanaṃ. Kāmahetu hi sattā saṃkilissanti. Vodānanti visujjhanaṃ. Nekkhamme ca ānisaṃsanti nīvaraṇappahānādiguṇavisesayogaṃ. Tatthāti tasmiṃ yathāvutte samathe sati. Yā vīmaṃsāti yā paññā. ‘‘Samāhito, bhikkhave, bhikkhu yathābhūtaṃ pajānātī’’ti (saṃ. ni. 5.1071) hi vuttaṃ. Yathā taṇhāsahitāva avijjā saṅkhārānaṃ paccayo, evaṃ avijjāsahitāva taṇhā upādānānaṃ paccayo. Tāsu niruddhāsu upādānādīnaṃ abhāvo evāti taṇhāavijjāpahānena sakalavaṭṭadukkhanirodhaṃ dassento ‘‘imesu dvīsu dhammesu pahīnesū’’tiādimāha. Imāni cattāri saccāni visabhāgasabhāgadhammāvaṭṭanavasena niddhāritānīti adhippāyo.
เอวํ โวทานปกฺขํ นิกฺขิปิตฺวา ตสฺส วิสภาคธมฺมวเสน สภาคธมฺมวเสน จ อาวฎฺฎนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สํกิเลสปกฺขํ นิกฺขิปิตฺวา ตสฺส วิสภาคธมฺมวเสน สภาคธมฺมวเสน จ อาวฎฺฎนํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยถาปิ มูเล’’ติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยถา นาม ปติฎฺฐาเหตุภาเวน มูลนฺติ ลทฺธโวหาเร ภูมิคเต รุกฺขสฺส อวยเว ผรสุเฉทาทิอนฺตรายาภาเวน อนุปทฺทเว ตโต เอว ทเฬฺห ถิเร สติ ขเนฺธ ฉิเนฺนปิ อสฺสตฺถาทิรุโกฺข รุหติ, เอวเมว ตณฺหานุสยสงฺขาเต อตฺตภาวรุกฺขสฺส มูเล มคฺคญาณผรสุนา อนุปจฺฉิเนฺน ตยิทํ ทุกฺขํ ปุนปฺปุนํ อปราปรภาเวน นิพฺพตฺตติ น นิรุชฺฌตีติฯ กามตณฺหาทินิวตฺตนตฺถํ ‘‘ภวตณฺหายา’’ติ วุตฺตํฯ เอตสฺส ธมฺมสฺส ปจฺจโยติ เอตสฺส ภวตณฺหาสงฺขาตสฺส ธมฺมสฺส ภเวสุ อาทีนวปฺปฎิจฺฉาทนาทิวเสน อสฺสาทคฺคหณสฺส ปจฺจโยฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สํโยชนีเยสุ, ภิกฺขเว, ธเมฺมสุ อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๕๗)ฯ เตเนวาห – ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา หิ ภวตณฺหา’’ติฯ อิธ สมโถ วิปสฺสนา จ มคฺคสมาธิ มคฺคปญฺญา จ อธิเปฺปตาติ อาห – ‘‘เยน ตณฺหานุสยํ สมูหนตี’’ติอาทิฯ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานีติ วิสภาคสภาคธมฺมาวฎฺฎนวเสน นิทฺธาริตานีติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Evaṃ vodānapakkhaṃ nikkhipitvā tassa visabhāgadhammavasena sabhāgadhammavasena ca āvaṭṭanaṃ dassetvā idāni saṃkilesapakkhaṃ nikkhipitvā tassa visabhāgadhammavasena sabhāgadhammavasena ca āvaṭṭanaṃ dassetuṃ ‘‘yathāpi mūle’’ti gāthamāha. Tassattho – yathā nāma patiṭṭhāhetubhāvena mūlanti laddhavohāre bhūmigate rukkhassa avayave pharasuchedādiantarāyābhāvena anupaddave tato eva daḷhe thire sati khandhe chinnepi assatthādirukkho ruhati, evameva taṇhānusayasaṅkhāte attabhāvarukkhassa mūle maggañāṇapharasunā anupacchinne tayidaṃ dukkhaṃ punappunaṃ aparāparabhāvena nibbattati na nirujjhatīti. Kāmataṇhādinivattanatthaṃ ‘‘bhavataṇhāyā’’ti vuttaṃ. Etassa dhammassa paccayoti etassa bhavataṇhāsaṅkhātassa dhammassa bhavesu ādīnavappaṭicchādanādivasena assādaggahaṇassa paccayo. Vuttañhetaṃ – ‘‘saṃyojanīyesu, bhikkhave, dhammesu assādānupassino taṇhā pavaḍḍhatī’’ti (saṃ. ni. 2.57). Tenevāha – ‘‘avijjāpaccayā hi bhavataṇhā’’ti. Idha samatho vipassanā ca maggasamādhi maggapaññā ca adhippetāti āha – ‘‘yena taṇhānusayaṃ samūhanatī’’tiādi. Imāni cattāri saccānīti visabhāgasabhāgadhammāvaṭṭanavasena niddhāritānīti. Sesaṃ vuttanayameva.
อิทานิ น เกวลํ นิทฺธาริเตเหว วิสภาคสภาคธเมฺมหิ อาวฎฺฎนํ, อถ โข ปาฬิอาคเตหิปิ เตหิ อาวฎฺฎนํ อาวฎฺฎหาโรติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติ คาถมาห ฯ ตตฺถ สพฺพปาปสฺสาติ สพฺพากุสลสฺสฯ อกรณนฺติ อนุปฺปาทนํฯ กุสลสฺสาติ จตุภูมกกุสลสฺสฯ อุปสมฺปทาติ ปฎิลาโภฯ สจิตฺตปริโยทาปนนฺติ อตฺตโน จิตฺตโวทานํ, ตํ ปน อรหเตฺตน โหติฯ อิติ สีลสํวเรน สพฺพปาปํ ปหาย สมถวิปสฺสนาหิ กุสลํ สมฺปาเทตฺวา อรหตฺตผเลน จิตฺตํ ปริโยทเปตพฺพนฺติ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ โอวาโท อนุสิฎฺฐีติ อยํ สเงฺขปโตฺถ, วิตฺถารโต ปน อโตฺถ ปาฬิโต เอว วิญฺญายติฯ
Idāni na kevalaṃ niddhāriteheva visabhāgasabhāgadhammehi āvaṭṭanaṃ, atha kho pāḷiāgatehipi tehi āvaṭṭanaṃ āvaṭṭahāroti dassanatthaṃ ‘‘sabbapāpassa akaraṇa’’nti gāthamāha . Tattha sabbapāpassāti sabbākusalassa. Akaraṇanti anuppādanaṃ. Kusalassāti catubhūmakakusalassa. Upasampadāti paṭilābho. Sacittapariyodāpananti attano cittavodānaṃ, taṃ pana arahattena hoti. Iti sīlasaṃvarena sabbapāpaṃ pahāya samathavipassanāhi kusalaṃ sampādetvā arahattaphalena cittaṃ pariyodapetabbanti etaṃ buddhāna sāsanaṃ ovādo anusiṭṭhīti ayaṃ saṅkhepattho, vitthārato pana attho pāḷito eva viññāyati.
ตตฺถ ‘‘สพฺพปาปํ นามา’’ติอาทีสุ โทสสมุฎฺฐานนฺติ โทโส สมุฎฺฐานเมว เอตสฺสาติ โทสสมุฎฺฐานํ, น โทโส เอว สมุฎฺฐานนฺติฯ โลภสมุฎฺฐานายปิ ปิสุณวาจาย สมฺภวโตฯ กายทุจฺจริตนฺติ ปทํ อเปกฺขิตฺวา ‘‘โทสสมุฎฺฐาน’’นฺติ นปุํสกนิเทฺทโสฯ โลภสมุฎฺฐานํ โมหสมุฎฺฐานนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สมฺผปฺปลาโป อุทฺธจฺจจิเตฺตน ปวตฺตยตีติ อธิปฺปาเยน ตสฺส โมหสมุฎฺฐานตา วุตฺตาฯ
Tattha ‘‘sabbapāpaṃ nāmā’’tiādīsu dosasamuṭṭhānanti doso samuṭṭhānameva etassāti dosasamuṭṭhānaṃ, na doso eva samuṭṭhānanti. Lobhasamuṭṭhānāyapi pisuṇavācāya sambhavato. Kāyaduccaritanti padaṃ apekkhitvā ‘‘dosasamuṭṭhāna’’nti napuṃsakaniddeso. Lobhasamuṭṭhānaṃ mohasamuṭṭhānanti etthāpi eseva nayo. Samphappalāpo uddhaccacittena pavattayatīti adhippāyena tassa mohasamuṭṭhānatā vuttā.
เอวํ ทุจฺจริตอกุสลกมฺมปถกมฺมวิภาเคน ‘‘สพฺพปาป’’นฺติ เอตฺถ วุตฺตปาปํ วิภชิตฺวา อิทานิสฺส อกุสลมูลวเสน อคติคมนวิภาคมฺปิ ทเสฺสตุํ ‘‘อกุสลมูล’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อกุสลมูลํ ปโยคํ คจฺฉนฺตนฺติ โลภาทิอกุสลานิ กายวจีปโยคํ คจฺฉนฺตานิ, กายวจีปโยคํ สมุฎฺฐาเปนฺตานีติ อโตฺถฯ ฉนฺทาติ ฉนฺทเหตุฯ ยํ ฉนฺทา อคติํ คจฺฉติ, อิทํ โลภสมุฎฺฐานนฺติ ฉนฺทา อคติํ คจฺฉตีติ ยเทตํ อคติคมนํ, อิทํ โลภสมุฎฺฐานนฺติฯ เอวํ เสเสสุปิ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอตฺตาวตา ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติ เอตฺถ ปาปํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตสฺส อกรณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โลโภ…เป.… ปญฺญายา’’ติ ตีหิ กุสลมูเลหิ ติณฺณํ อกุสลมูลานํ ปหานวเสน สพฺพปาปสฺส อกรณํ อนุปฺปาทนมาหฯ ตถา โลโภ อุเปกฺขายาติอาทินา พฺรหฺมวิหาเรหิฯ ตตฺถ อรติํ วูปสเมนฺตี มุทิตา ตสฺสา มูลภูตํ โมหํ ปชหตีติ กตฺวา วุตฺตํ – ‘‘โมโห มุทิตาย ปหานํ อพฺภตฺถํ คจฺฉตี’’ติฯ
Evaṃ duccaritaakusalakammapathakammavibhāgena ‘‘sabbapāpa’’nti ettha vuttapāpaṃ vibhajitvā idānissa akusalamūlavasena agatigamanavibhāgampi dassetuṃ ‘‘akusalamūla’’ntiādi vuttaṃ. Tattha akusalamūlaṃ payogaṃ gacchantanti lobhādiakusalāni kāyavacīpayogaṃ gacchantāni, kāyavacīpayogaṃ samuṭṭhāpentānīti attho. Chandāti chandahetu. Yaṃ chandā agatiṃ gacchati, idaṃ lobhasamuṭṭhānanti chandā agatiṃ gacchatīti yadetaṃ agatigamanaṃ, idaṃ lobhasamuṭṭhānanti. Evaṃ sesesupi attho daṭṭhabbo. Ettāvatā ‘‘sabbapāpassa akaraṇa’’nti ettha pāpaṃ dassetvā idāni tassa akaraṇaṃ dassento ‘‘lobho…pe… paññāyā’’ti tīhi kusalamūlehi tiṇṇaṃ akusalamūlānaṃ pahānavasena sabbapāpassa akaraṇaṃ anuppādanamāha. Tathā lobho upekkhāyātiādinā brahmavihārehi. Tattha aratiṃ vūpasamentī muditā tassā mūlabhūtaṃ mohaṃ pajahatīti katvā vuttaṃ – ‘‘moho muditāya pahānaṃ abbhatthaṃ gacchatī’’ti.
๓๑. อิทานิ อเญฺญนปิ ปริยาเยน ปาปํ ตสฺส อกรณญฺจ ทเสฺสตฺวา เสสปทานญฺจ อตฺถวิภาวนมุเขน สภาควิสภาคธมฺมาวฎฺฎนํ ทเสฺสตุํ ‘‘สพฺพปาปํ นาม อฎฺฐ มิจฺฉตฺตานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อกิริยา อกรณํ อนชฺฌาจาโรติ ตีหิปิ ปเทหิ มิจฺฉตฺตานํ อนุปฺปาทนเมว วทติฯ ตถา กิริยา กรณํ อชฺฌาจาโรติ ตีหิปิ ปเทหิ อุปฺปาทนเมว วทติฯ อชฺฌาจาโรติ อธิฎฺฐหิตฺวา อาจรณํฯ อตีตสฺสาติ จิรกาลปฺปวตฺติวเสน ปุราณสฺสฯ มคฺคสฺสาติ อริยมคฺคสฺสฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ปุราณมคฺคํ ปุราณํ อญฺชสนฺติ โข อริยเสฺสตํ อฎฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส อธิวจน’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๖๕ อตฺถโต สมานํ)ฯ อตีเตน วา วิปสฺสินา ภควตา ยถาธิคตํ เทสิตภาวํ สนฺธาย ‘‘อตีตสฺส มคฺคสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ วิปสฺสิโน หิ อยํ ภควโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปาติโมกฺขุเทฺทสคาถาติฯ
31. Idāni aññenapi pariyāyena pāpaṃ tassa akaraṇañca dassetvā sesapadānañca atthavibhāvanamukhena sabhāgavisabhāgadhammāvaṭṭanaṃ dassetuṃ ‘‘sabbapāpaṃ nāma aṭṭha micchattānī’’tiādi vuttaṃ. Akiriyā akaraṇaṃ anajjhācāroti tīhipi padehi micchattānaṃ anuppādanameva vadati. Tathā kiriyā karaṇaṃ ajjhācāroti tīhipi padehi uppādanameva vadati. Ajjhācāroti adhiṭṭhahitvā ācaraṇaṃ. Atītassāti cirakālappavattivasena purāṇassa. Maggassāti ariyamaggassa. Vuttañhetaṃ – ‘‘purāṇamaggaṃ purāṇaṃ añjasanti kho ariyassetaṃ aṭṭhaṅgikassa maggassa adhivacana’’nti (saṃ. ni. 2.65 atthato samānaṃ). Atītena vā vipassinā bhagavatā yathādhigataṃ desitabhāvaṃ sandhāya ‘‘atītassa maggassā’’ti vuttaṃ. Vipassino hi ayaṃ bhagavato sammāsambuddhassa pātimokkhuddesagāthāti.
ยํ ปฎิเวเธนาติ ยสฺส ปริญฺญาภิสมเยนฯ ยํ ปริโยทาปิตํ, อยํ นิโรโธติ ยทิปิ อสงฺขตา ธาตุ เกนจิ สํกิเลเสน น สํกิลิสฺสติ, อธิคจฺฉนฺตสฺส ปน ปุคฺคลสฺส วเสน เอวํ วุตฺตํฯ ตสฺส หิ ยาว สํกิเลสา น วิคจฺฉนฺติ, ตาว อสงฺขตา ธาตุ อปริโยทปิตาติ วุจฺจติฯ ยถา นิพฺพานาธิคเมน เย ขนฺธา วูปสเมตพฺพา, เตสํ เสสภาเวน อเสสภาเวน จ ‘‘สอุปาทิเสสา’’ติ จ, ‘‘อนุปาทิเสสา’’ติ จ วุจฺจติ, เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Yaṃ paṭivedhenāti yassa pariññābhisamayena. Yaṃ pariyodāpitaṃ, ayaṃ nirodhoti yadipi asaṅkhatā dhātu kenaci saṃkilesena na saṃkilissati, adhigacchantassa pana puggalassa vasena evaṃ vuttaṃ. Tassa hi yāva saṃkilesā na vigacchanti, tāva asaṅkhatā dhātu apariyodapitāti vuccati. Yathā nibbānādhigamena ye khandhā vūpasametabbā, tesaṃ sesabhāvena asesabhāvena ca ‘‘saupādisesā’’ti ca, ‘‘anupādisesā’’ti ca vuccati, evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ.
อิมานิ ปาฬิอาคตธมฺมานํ สภาควิสภาคธมฺมาวฎฺฎนวเสน นิทฺธาริตานิ จตฺตาริ สจฺจานิ ปุนปิ ปาฬิอาคตธมฺมานํ สภาควิสภาคธมฺมาวฎฺฎเนน อาวฎฺฎหารํ ทเสฺสตุํ ‘‘ธโมฺม หเว รกฺขตี’’ติ คาถมาหฯ ตสฺสา ปทโตฺถ ปุเพฺพ วุโตฺต เอวฯ ธโมฺมติ ปุญฺญธโมฺม อิธาธิเปฺปโตฯ ตํ วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ธโมฺม นาม ทุวิโธ อินฺทฺริยสํวโร มโคฺค จา’’ติ อาหฯ อินฺทฺริยสํวรสีเสน เจตฺถ สพฺพมฺปิ สีลํ คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํ ฯ สพฺพา อุปปตฺติโย ทุคฺคติ ทุกฺขทุกฺขตาทิโยเคน ทุกฺขา คติโยติ กตฺวาฯ ยถาวุเตฺต ทุวิเธ ธเมฺม ปฐโม ธโมฺม ยถา สุจิโณฺณ โหติ, ยโต จ โส รกฺขติ, ยตฺถ จ ปติฎฺฐาเปติ, ตํ สพฺพํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ยา สํวรสีเล อขณฺฑการิตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิทานิ ตสฺส ธมฺมสฺส อปายโต รกฺขเณ เอกนฺติกภาวํ วิภาเวตุํ คามณิสํยุเตฺต (สํ. นิ. ๔.๓๕๘) อสิพนฺธกปุตฺตสุตฺตํ อาภตํฯ
Imāni pāḷiāgatadhammānaṃ sabhāgavisabhāgadhammāvaṭṭanavasena niddhāritāni cattāri saccāni punapi pāḷiāgatadhammānaṃ sabhāgavisabhāgadhammāvaṭṭanena āvaṭṭahāraṃ dassetuṃ ‘‘dhammo have rakkhatī’’ti gāthamāha. Tassā padattho pubbe vutto eva. Dhammoti puññadhammo idhādhippeto. Taṃ vibhajitvā dassento ‘‘dhammo nāma duvidho indriyasaṃvaro maggo cā’’ti āha. Indriyasaṃvarasīsena cettha sabbampi sīlaṃ gahitanti daṭṭhabbaṃ . Sabbā upapattiyo duggati dukkhadukkhatādiyogena dukkhā gatiyoti katvā. Yathāvutte duvidhe dhamme paṭhamo dhammo yathā suciṇṇo hoti, yato ca so rakkhati, yattha ca patiṭṭhāpeti, taṃ sabbaṃ dassetuṃ ‘‘tattha yā saṃvarasīle akhaṇḍakāritā’’tiādi vuttaṃ. Idāni tassa dhammassa apāyato rakkhaṇe ekantikabhāvaṃ vibhāvetuṃ gāmaṇisaṃyutte (saṃ. ni. 4.358) asibandhakaputtasuttaṃ ābhataṃ.
ตตฺถ เอวนฺติ ปกาเรนฯ จ-สโทฺท สมฺปิณฺฑเน, อิมินาปิ ปกาเรน อยมโตฺถ เวทิตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ อสิพนฺธกปุโตฺตติ อสิพนฺธกสฺส นาม ปุโตฺตฯ คาเม เชฎฺฐกตาย คามณีฯ ปจฺฉาภูมกาติ ปจฺฉาภูมิวาสิโนฯ กามณฺฑลุกาติ สกมณฺฑลุโนฯ เสวาลมาลิกาติ ปาโตว อุทกโต เสวาลเญฺจว อุปฺปลาทีนิ จ คเหตฺวา อุทกสุทฺธิภาวชานนตฺถํ มาลํ กตฺวา ปิฬนฺธนกาฯ อุทโกโรหกาติ สายํ ปาตํ อุทกํ โอโรหณกาฯ อุยฺยาเปนฺตีติ อุปริยาเปนฺติฯ สญฺญาเปนฺตีติ สมฺมา ยาเปนฺติฯ สคฺคํ นาม โอกฺกาเมนฺตีติ ปริวาเรตฺวา ฐิตาว ‘‘คจฺฉ, โภ, พฺรหฺมโลกํ, คจฺฉ, โภ, พฺรหฺมโลก’’นฺติ วทนฺตา สคฺคํ ปเวเสนฺติฯ
Tattha evanti pakārena. Ca-saddo sampiṇḍane, imināpi pakārena ayamattho veditabboti adhippāyo. Asibandhakaputtoti asibandhakassa nāma putto. Gāme jeṭṭhakatāya gāmaṇī. Pacchābhūmakāti pacchābhūmivāsino. Kāmaṇḍalukāti sakamaṇḍaluno. Sevālamālikāti pātova udakato sevālañceva uppalādīni ca gahetvā udakasuddhibhāvajānanatthaṃ mālaṃ katvā piḷandhanakā. Udakorohakāti sāyaṃ pātaṃ udakaṃ orohaṇakā. Uyyāpentīti upariyāpenti. Saññāpentīti sammā yāpenti. Saggaṃ nāma okkāmentīti parivāretvā ṭhitāva ‘‘gaccha, bho, brahmalokaṃ, gaccha, bho, brahmaloka’’nti vadantā saggaṃ pavesenti.
อนุปริสเกฺกยฺยาติ อนุปริคเจฺฉยฺยฯ อุมฺมุชฺชาติ อุฎฺฐหฯ อุปฺลวาติ ชลสฺส อุปริปฺลวฯ ถลมุปฺลวาติ ถลํ อภิรุหฯ ตตฺร ยาสฺสาติ ตตฺร ยํ อสฺส, ยํ ภเวยฺยฯ สกฺขรกฐลนฺติ สกฺขรา วา กฐลา วาฯ สา อโธคามี อสฺสาติ สา อโธ คเจฺฉยฺย, เหฎฺฐาคามี ภเวยฺยฯ อโธ คเจฺฉยฺยาติ เหฎฺฐา คเจฺฉยฺยฯ มคฺคสฺสาติ อริยมคฺคสฺสฯ ติกฺขตาติ ติขิณตาฯ สา จ โข น สตฺถกสฺส วิย นิสิตกรณตา, อถ โข อินฺทฺริยานํ ปฎุภาโวติ ทเสฺสตุํ ‘‘อธิมตฺตตา’’ติ อาหฯ นนุ จ อริยมโคฺค อตฺตนา ปหาตพฺพกิเลเส อนวเสสํ สมุจฺฉินฺทตีติ อติขิโณ นาม นตฺถีติ? สจฺจเมตํ, ตถาปิ โน จ โข ‘‘ยถา ทิฎฺฐิปฺปตฺตสฺสา’’ติ วจนโต สทฺธาวิมุตฺตทิฎฺฐิปฺปตฺตานํ กิเลสปฺปหานํ ปติ อตฺถิ กาจิ วิเสสมตฺตาติ สกฺกา วตฺตุํฯ อยํ ปน วิเสโส น อิธาธิเปฺปโต, สพฺพุปปตฺติสมติกฺกมนสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ ยสฺมา ปน อริยมเคฺคน โอธิโส กิเลสา ปหียนฺติ, ตญฺจ เนสํ ตถาปหานํ มคฺคธเมฺมสุ อินฺทฺริยานํ อปาฎวปาฎวตรปาฎวตมภาเวน โหตีติ โย วชิรูปมธเมฺมสุ มตฺถกปฺปตฺตานํ อคฺคมคฺคธมฺมานํ ปฎุตมภาโวฯ อยํ อิธ มคฺคสฺส ติกฺขตาติ อธิเปฺปตาฯ เตเนวาห – ‘‘อยํ ธโมฺม สุจิโณฺณ สพฺพาหิ อุปปตฺตีหิ รกฺขตี’’ติฯ ‘‘ตสฺมา รกฺขิตจิตฺตสฺสา’’ติอาทินา สุตฺตนฺตเรน (อุทา. ๓๒) สุคติสญฺญิตานมฺปิ อุปปตฺตีนํ ทุคฺคติภาวํ สาเธติฯ
Anuparisakkeyyāti anuparigaccheyya. Ummujjāti uṭṭhaha. Uplavāti jalassa upariplava. Thalamuplavāti thalaṃ abhiruha. Tatra yāssāti tatra yaṃ assa, yaṃ bhaveyya. Sakkharakaṭhalanti sakkharā vā kaṭhalā vā. Sā adhogāmī assāti sā adho gaccheyya, heṭṭhāgāmī bhaveyya. Adho gaccheyyāti heṭṭhā gaccheyya. Maggassāti ariyamaggassa. Tikkhatāti tikhiṇatā. Sā ca kho na satthakassa viya nisitakaraṇatā, atha kho indriyānaṃ paṭubhāvoti dassetuṃ ‘‘adhimattatā’’ti āha. Nanu ca ariyamaggo attanā pahātabbakilese anavasesaṃ samucchindatīti atikhiṇo nāma natthīti? Saccametaṃ, tathāpi no ca kho ‘‘yathā diṭṭhippattassā’’ti vacanato saddhāvimuttadiṭṭhippattānaṃ kilesappahānaṃ pati atthi kāci visesamattāti sakkā vattuṃ. Ayaṃ pana viseso na idhādhippeto, sabbupapattisamatikkamanassa adhippetattā. Yasmā pana ariyamaggena odhiso kilesā pahīyanti, tañca nesaṃ tathāpahānaṃ maggadhammesu indriyānaṃ apāṭavapāṭavatarapāṭavatamabhāvena hotīti yo vajirūpamadhammesu matthakappattānaṃ aggamaggadhammānaṃ paṭutamabhāvo. Ayaṃ idha maggassa tikkhatāti adhippetā. Tenevāha – ‘‘ayaṃ dhammo suciṇṇo sabbāhi upapattīhi rakkhatī’’ti. ‘‘Tasmā rakkhitacittassā’’tiādinā suttantarena (udā. 32) sugatisaññitānampi upapattīnaṃ duggatibhāvaṃ sādheti.
๓๒. อิทานิ ยถาวุตฺตสฺส ธมฺมสฺส วิสภาคธมฺมานํ ตณฺหาวิชฺชาทีนํ สภาคธมฺมานญฺจ สมถวิปสฺสนาทีนํ นิทฺธารณวเสน อาวฎฺฎหารํ โยเชตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ทุคฺคตีนํ เหตุ ตณฺหา จ อวิชฺชา จา’’ติอาทิมาหฯ ตํ ปุเพฺพ วุตฺตนยตฺตา สุวิเญฺญยฺยเมวฯ อิทํ วุจฺจติ พฺรหฺมจริยนฺติ อิทํ อริยํ สมถวิปสฺสนาสงฺขาตํ มคฺคพฺรหฺมจริยนฺติ วุจฺจติฯ ยํ รกฺขตีติ สพฺพาหิ ทุคฺคตีหิ รกฺขนฺตสฺส อริยมคฺคสฺส อารมฺมณภูโต นิโรโธ รกฺขโนฺต วิย วุโตฺต, นิมิตฺตสฺส กตฺตุภาเวน อุปจริตตฺตาฯ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานิ วิสภาคสภาคธมฺมาวฎฺฎนวเสน นิทฺธาริตานีติ อธิปฺปาโยฯ
32. Idāni yathāvuttassa dhammassa visabhāgadhammānaṃ taṇhāvijjādīnaṃ sabhāgadhammānañca samathavipassanādīnaṃ niddhāraṇavasena āvaṭṭahāraṃ yojetvā dassetuṃ ‘‘tattha duggatīnaṃ hetu taṇhā ca avijjā cā’’tiādimāha. Taṃ pubbe vuttanayattā suviññeyyameva. Idaṃ vuccati brahmacariyanti idaṃ ariyaṃ samathavipassanāsaṅkhātaṃ maggabrahmacariyanti vuccati. Yaṃ rakkhatīti sabbāhi duggatīhi rakkhantassa ariyamaggassa ārammaṇabhūto nirodho rakkhanto viya vutto, nimittassa kattubhāvena upacaritattā. Imāni cattāri saccāni visabhāgasabhāgadhammāvaṭṭanavasena niddhāritānīti adhippāyo.
อาวฎฺฎหารวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Āvaṭṭahāravibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / ๗. อาวฎฺฎหารวิภโงฺค • 7. Āvaṭṭahāravibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / ๗. อาวฎฺฎหารวิภงฺควณฺณนา • 7. Āvaṭṭahāravibhaṅgavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī / ๗. อาวฎฺฎหารวิภงฺควิภาวนา • 7. Āvaṭṭahāravibhaṅgavibhāvanā