Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī

    ๗. อาวฎฺฎหารวิภงฺควิภาวนา

    7. Āvaṭṭahāravibhaṅgavibhāvanā

    ๒๙. เยน เยน สํวณฺณนาวิเสสภูเตน จตุพฺยูหหารวิภเงฺคน เนรุตฺตาทโย วิภตฺตา, โส…เป.… จตุพฺยูหหารวิภโงฺค ปริปุโณฺณ, ‘‘กตโม อาวโฎฺฎ หารวิภโงฺค’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ตตฺถ กตโม อาวโฎฺฎ หาโร’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถาติ เตสุ นิทฺทิเฎฺฐสุ โสฬสสุ เทสนาหาราทีสุ กตโม สํวณฺณนาวิเสโส อาวโฎฺฎ หาโร อาวฎฺฎหารวิภโงฺค นามาติ ปุจฺฉติฯ ‘‘เอกมฺหิ ปทฎฺฐาเน’’นฺติอาทินิเทฺทสสฺส อิทานิ มยา วุจฺจมาโน ‘‘อารมฺภถา’’ติอาทิโก วิตฺถารสํวณฺณนาวิเสโส อาวฎฺฎหารวิภโงฺค นามาติ คหิโตฯ ‘‘ตตฺถ เทสนายํ เอกสฺมิํ ปทฎฺฐาเน เทสนารุเฬฺห เสสกํ ปทฎฺฐานํ ปริเยสติ, ปริเยสิตฺวา กถํ ปฎิปเกฺข อาวเฎฺฎตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา –

    29. Yena yena saṃvaṇṇanāvisesabhūtena catubyūhahāravibhaṅgena neruttādayo vibhattā, so…pe… catubyūhahāravibhaṅgo paripuṇṇo, ‘‘katamo āvaṭṭo hāravibhaṅgo’’ti pucchitabbattā tattha katamo āvaṭṭo hāro’’tiādi vuttaṃ. Tattha tatthāti tesu niddiṭṭhesu soḷasasu desanāhārādīsu katamo saṃvaṇṇanāviseso āvaṭṭo hāro āvaṭṭahāravibhaṅgo nāmāti pucchati. ‘‘Ekamhi padaṭṭhāne’’ntiādiniddesassa idāni mayā vuccamāno ‘‘ārambhathā’’tiādiko vitthārasaṃvaṇṇanāviseso āvaṭṭahāravibhaṅgo nāmāti gahito. ‘‘Tattha desanāyaṃ ekasmiṃ padaṭṭhāne desanāruḷhe sesakaṃ padaṭṭhānaṃ pariyesati, pariyesitvā kathaṃ paṭipakkhe āvaṭṭetī’’ti vattabbattā –

    ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถ, ยุญฺชถ พุทฺธสาสเน;

    ‘‘Ārambhatha nikkamatha, yuñjatha buddhasāsane;

    ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโร’’ติฯ –

    Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaro’’ti. –

    คาถา วุตฺตาฯ อิธ คาถายํ เอกสฺมิํ ปทฎฺฐาเน เทสนารุเฬฺห เสสกํ ปทฎฺฐานํ ปริเยสตีติ วุตฺตํ โหติฯ คาถาโตฺถ ปน อฎฺฐกถายํ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๒๙) วุโตฺตฯ

    Gāthā vuttā. Idha gāthāyaṃ ekasmiṃ padaṭṭhāne desanāruḷhe sesakaṃ padaṭṭhānaṃ pariyesatīti vuttaṃ hoti. Gāthāttho pana aṭṭhakathāyaṃ (netti. aṭṭha. 29) vutto.

    ‘‘อารมฺภถา’ติอาทิคาถายํ กตรสฺมิํ ปทฎฺฐาเน เทสนารุเฬฺห กตมํ เสสกํ ปทฎฺฐานํ ปริเยสตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถาติ วีริยสฺส ปทฎฺฐาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘วีริยสฺส ปทฎฺฐาน’’นฺติ สามญฺญวเสน วุตฺตมฺปิ อารมฺภธาตุสงฺขาตํ วีริยํ นิกฺกมธาตุสงฺขาตสฺส วีริยสฺส ปทฎฺฐานํ, นิกฺกมธาตุสงฺขาตํ วีริยํ ปรกฺกมธาตุสงฺขาตสฺส วีริยสฺส ปทฎฺฐานํ, ปรกฺกมธาตุสงฺขาตํ วีริยํ สมถภาวนาสหิตสฺส วีริยสฺส ปทฎฺฐานนฺติอาทินา ปริเยสิตพฺพนฺติ คเหตพฺพํฯ ‘‘ยุญฺชถา’’ติ อิมินา วุตฺตํ สมถภาวนาสหิตํ วีริยํ ‘‘พุทฺธสาสเน’’ติ อิมินา วุตฺตสฺส มหคฺคตสมาธิสฺส ปทฎฺฐานํ, เทสนารุฬฺหํ สุขาทิกํ เสสกมฺปิ ปทฎฺฐานํ ปริเยสิตพฺพํฯ ‘‘ธุนาถ มจฺจุโน เสน’’นฺติ ปเทน คหิตํ วิปสฺสนาสหิตํ วีริยํ กิเลสธุนเน สมตฺถาย ปญฺญาย ปทฎฺฐานํ, เทสนารุฬฺหํ สมาธิอาทิกํ เสสกมฺปิ ปทฎฺฐานํ ปริเยสิตพฺพํฯ

    ‘‘Ārambhathā’tiādigāthāyaṃ katarasmiṃ padaṭṭhāne desanāruḷhe katamaṃ sesakaṃ padaṭṭhānaṃ pariyesatī’’ti vattabbattā ‘‘ārambhatha nikkamathāti vīriyassa padaṭṭhāna’’ntiādi vuttaṃ. Tattha ‘‘vīriyassa padaṭṭhāna’’nti sāmaññavasena vuttampi ārambhadhātusaṅkhātaṃ vīriyaṃ nikkamadhātusaṅkhātassa vīriyassa padaṭṭhānaṃ, nikkamadhātusaṅkhātaṃ vīriyaṃ parakkamadhātusaṅkhātassa vīriyassa padaṭṭhānaṃ, parakkamadhātusaṅkhātaṃ vīriyaṃ samathabhāvanāsahitassa vīriyassa padaṭṭhānantiādinā pariyesitabbanti gahetabbaṃ. ‘‘Yuñjathā’’ti iminā vuttaṃ samathabhāvanāsahitaṃ vīriyaṃ ‘‘buddhasāsane’’ti iminā vuttassa mahaggatasamādhissa padaṭṭhānaṃ, desanāruḷhaṃ sukhādikaṃ sesakampi padaṭṭhānaṃ pariyesitabbaṃ. ‘‘Dhunātha maccuno sena’’nti padena gahitaṃ vipassanāsahitaṃ vīriyaṃ kilesadhunane samatthāya paññāya padaṭṭhānaṃ, desanāruḷhaṃ samādhiādikaṃ sesakampi padaṭṭhānaṃ pariyesitabbaṃ.

    ‘‘ยทิ ‘อารมฺภถา’ติอาทิกํ วุตฺตํ วีริยํ สามญฺญภูตานํ วีริยสมาธิปญฺญานํเยว ปทฎฺฐานํ สิยา, เอวํ สติ กถํ วฎฺฎมูลํ ฉินฺทิตฺวา วิวฎฺฎํ ปาเปสฺสนฺตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ปุน ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถาติ วีริยินฺทฺริยสฺส ปทฎฺฐาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อาธิปจฺจกิจฺจตาย ยุตฺตสฺสาปิ วีริยาธิกสฺส ปทฎฺฐานตฺตา อารภนฺตา โยคาวจรปุคฺคลา วฎฺฎมูลํ ฉินฺทิตฺวา วิวฎฺฎํ ปาเปนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อารมฺภถา’’ติอาทิกา ปน ยสฺมา วีริยารมฺภวตฺถุอาทิเทสนา โหติ, ตสฺมา อารมฺภวตฺถุอาทีนิเยว สํวณฺณิตานิ ปทฎฺฐานนฺติ โจทนํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘อิมานิ ปทฎฺฐานานิ เทสนา’’ติฯ ‘‘อารมฺภถา’’ติอาทิกา ยถาวุตฺตปทฎฺฐานานิ เทสนา โหติ, น วีริยารมฺภวตฺถุอาทีนิ, ตสฺมา ปทฎฺฐานํเยว สํวณฺณิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    ‘‘Yadi ‘ārambhathā’tiādikaṃ vuttaṃ vīriyaṃ sāmaññabhūtānaṃ vīriyasamādhipaññānaṃyeva padaṭṭhānaṃ siyā, evaṃ sati kathaṃ vaṭṭamūlaṃ chinditvā vivaṭṭaṃ pāpessantī’’ti vattabbattā puna ‘‘ārambhatha nikkamathāti vīriyindriyassa padaṭṭhāna’’ntiādi vuttaṃ. Ādhipaccakiccatāya yuttassāpi vīriyādhikassa padaṭṭhānattā ārabhantā yogāvacarapuggalā vaṭṭamūlaṃ chinditvā vivaṭṭaṃ pāpentīti vuttaṃ hoti. ‘‘Ārambhathā’’tiādikā pana yasmā vīriyārambhavatthuādidesanā hoti, tasmā ārambhavatthuādīniyeva saṃvaṇṇitāni padaṭṭhānanti codanaṃ manasi katvā āha ‘‘imāni padaṭṭhānāni desanā’’ti. ‘‘Ārambhathā’’tiādikā yathāvuttapadaṭṭhānāni desanā hoti, na vīriyārambhavatthuādīni, tasmā padaṭṭhānaṃyeva saṃvaṇṇitanti daṭṭhabbaṃ.

    เอวํ ‘‘อารมฺภถา’’ติอาทิเทสนาย ปทฎฺฐานวเสน อโตฺถ วิภโตฺต, อเมฺหหิ จ ญาโต, ‘‘กถํ ตสฺสาเยว เทสนาย ปฎิปกฺขวเสน อโตฺถ วิภชิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อยุญฺชนฺตานํ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ โยเค ภาวนายํ อยุญฺชนฺตานํ สตฺตานํ อปริปกฺกญาณานํ โยเค โยคเหตุ วาสนาภาคิยวเสน อายติํ ชานนตฺถาย ‘‘อารมฺภถา’’ติอาทิเทสนา อารทฺธาฯ ยุญฺชนฺตานํ ปริปกฺกญาณานํ สตฺตานํ อารเมฺภ อารมฺภเหตุ ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปริชานนตฺถาย ‘‘อารมฺภถา’’ติอาทิเทสนา อารทฺธาฯ

    Evaṃ ‘‘ārambhathā’’tiādidesanāya padaṭṭhānavasena attho vibhatto, amhehi ca ñāto, ‘‘kathaṃ tassāyeva desanāya paṭipakkhavasena attho vibhajitabbo’’ti vattabbattā ‘‘ayuñjantānaṃ vā’’tiādi vuttaṃ. Tattha yoge bhāvanāyaṃ ayuñjantānaṃ sattānaṃ aparipakkañāṇānaṃ yoge yogahetu vāsanābhāgiyavasena āyatiṃ jānanatthāya ‘‘ārambhathā’’tiādidesanā āraddhā. Yuñjantānaṃ paripakkañāṇānaṃ sattānaṃ ārambhe ārambhahetu diṭṭheva dhamme parijānanatthāya ‘‘ārambhathā’’tiādidesanā āraddhā.

    ตตฺถ เตสุ ยุญฺชนฺตายุญฺชเนฺตสุ ปริปกฺกาปริปกฺกญาเณสุ เย อปริปกฺกญาณา สตฺตา น ยุญฺชนฺติ, เต อปริปกฺกญาณา สตฺตา ปมาทมูลกา หุตฺวา โยเค ภาวนายํ เยน ปมาเทน น ยุญฺชนฺติ, โส ปมาโท ตณฺหามูลโก ปมาโท, อวิชฺชามูลโก ปมาโทติ ทุพฺพิโธ โหติฯ ตตฺถ ตสฺมิํ ทุพฺพิเธ ปมาเท อญฺญาเณน นิวุโต อวิชฺชามูลโก สโตฺต เยน ปมาเทน เญยฺยฎฺฐานํ ‘‘อิเม อุปฺปาทวยธมฺมา ปญฺจกฺขนฺธา เญยฺยฎฺฐานํ นามา’’ติ นปฺปชานาติ, อยํ อญฺญาณเหตุโก ปมาโท อวิชฺชามูลโก ปมาทา นามฯ โย ปมาโท ตณฺหามูลโก, โส ปมาโท ติวิโธ อนุปฺปนฺนานํ โภคานํ อุปฺปาทาย ปริเยสโนฺต ตณฺหิโก สโตฺต ยํ ปมาทํ อาปชฺชติ, อยํ ปมาโท จ, อุปฺปนฺนานํ โภคานํ ฐิตตฺถาย รกฺขโนฺต ตณฺหิโก สโตฺต อารกฺขนิมิตฺตํ ยํ ปมาทํ อาปชฺชติ, อยํ ปมาโท จ, ฐิตํ โภคํ ปริภุญฺชโนฺต ตณฺหิโก สโตฺต ปริโภคนิมิตฺตํ ยํ ปมาทํ อาปชฺชติ, อยํ ปมาโท จาติ ติวิโธ โหติฯ อิติ โลเก อยํ ปมาโท จตุพฺพิโธ อวิชฺชาปทฎฺฐาโน เอกวิโธ ปมาโท, ตณฺหาปทฎฺฐาโน ติวิโธ ปมาโทติ จตุพฺพิโธ โหติฯ ตตฺถ ตาสุ อวิชฺชาตณฺหาสุ นามกาโย ผสฺสาทินามสมูโห อวิชฺชาย ปทฎฺฐานํ, รูปกาโย ปถวีอาทิรูปสมูโห ตณฺหาย ปทฎฺฐานํ โหติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อารมฺภธาตุนิกฺกมธาตุสงฺขาตสฺส วีริยสฺส ปฎิปโกฺข จตุพฺพิโธ ปมาโท นิทฺธาเรตโพฺพ, นิทฺธาเรตฺวา เอกวิธสฺส ปมาทสฺส อวิชฺชา ปทฎฺฐานํ, ติวิธสฺส ปมาทสฺส ตณฺหา ปทฎฺฐานํฯ อวิชฺชาย นามกาโย ปทฎฺฐานํ, ตณฺหาย รูปกาโย ปทฎฺฐานนฺติ ปฎิปเกฺข อาวเฎฺฎตฺวา ปทฎฺฐานํ ปริเยสิตพฺพนฺติฯ

    Tattha tesu yuñjantāyuñjantesu paripakkāparipakkañāṇesu ye aparipakkañāṇā sattā na yuñjanti, te aparipakkañāṇā sattā pamādamūlakā hutvā yoge bhāvanāyaṃ yena pamādena na yuñjanti, so pamādo taṇhāmūlako pamādo, avijjāmūlako pamādoti dubbidho hoti. Tattha tasmiṃ dubbidhe pamāde aññāṇena nivuto avijjāmūlako satto yena pamādena ñeyyaṭṭhānaṃ ‘‘ime uppādavayadhammā pañcakkhandhā ñeyyaṭṭhānaṃ nāmā’’ti nappajānāti, ayaṃ aññāṇahetuko pamādo avijjāmūlako pamādā nāma. Yo pamādo taṇhāmūlako, so pamādo tividho anuppannānaṃ bhogānaṃ uppādāya pariyesanto taṇhiko satto yaṃ pamādaṃ āpajjati, ayaṃ pamādo ca, uppannānaṃ bhogānaṃ ṭhitatthāya rakkhanto taṇhiko satto ārakkhanimittaṃ yaṃ pamādaṃ āpajjati, ayaṃ pamādo ca, ṭhitaṃ bhogaṃ paribhuñjanto taṇhiko satto paribhoganimittaṃ yaṃ pamādaṃ āpajjati, ayaṃ pamādo cāti tividho hoti. Iti loke ayaṃ pamādo catubbidho avijjāpadaṭṭhāno ekavidho pamādo, taṇhāpadaṭṭhāno tividho pamādoti catubbidho hoti. Tattha tāsu avijjātaṇhāsu nāmakāyo phassādināmasamūho avijjāya padaṭṭhānaṃ, rūpakāyo pathavīādirūpasamūho taṇhāya padaṭṭhānaṃ hoti. Idaṃ vuttaṃ hoti – ārambhadhātunikkamadhātusaṅkhātassa vīriyassa paṭipakkho catubbidho pamādo niddhāretabbo, niddhāretvā ekavidhassa pamādassa avijjā padaṭṭhānaṃ, tividhassa pamādassa taṇhā padaṭṭhānaṃ. Avijjāya nāmakāyo padaṭṭhānaṃ, taṇhāya rūpakāyo padaṭṭhānanti paṭipakkhe āvaṭṭetvā padaṭṭhānaṃ pariyesitabbanti.

    ‘‘กสฺมา นามกาโย อวิชฺชาย ปทฎฺฐานํ ภวติ, รูปกาโย ตณฺหาย ปทฎฺฐานํ ภวตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตํ กิสฺส เหตู’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘รูปีสุ ภเวสุ อโชฺฌสานํ, อรูปีสุ สโมฺมโห’’ติ วุตฺตํฯ รูปีสุ ภเวสุ รูปธเมฺมสุ อหํมมาทิวเสน อโชฺฌสานํ ตณฺหาภินิเวโส สเตฺตสุ ปติฎฺฐิโต ยสฺมา โหติ, ตสฺมา รูปกาโย ตณฺหาย ปทฎฺฐานํ ภวติฯ อนมตเคฺค หิ สํสาเร อิตฺถิปุริสา อญฺญมญฺญรูปาภิรามา ภวนฺติฯ อรูปีสุ ผสฺสาทีสุ สุขุมภาวโต สโมฺมโห สเตฺตสุ ปติฎฺฐิโต ยสฺมา โหติ, ตสฺมา นามกาโย อวิชฺชาย ปทฎฺฐานํ ภวตีติ โยชนา กาตพฺพาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – รูปกายนามกาเยสุ อารมฺมณกรณวเสน ตณฺหาย จ อวิชฺชาย จ อุปฺปชฺชนโต รูปกาโย ตณฺหาย ปทฎฺฐานํ, นามกาโย อวิชฺชาย ปทฎฺฐานนฺติ นีหริตพฺพาวาติฯ

    ‘‘Kasmā nāmakāyo avijjāya padaṭṭhānaṃ bhavati, rūpakāyo taṇhāya padaṭṭhānaṃ bhavatī’’ti pucchitabbattā ‘‘taṃ kissa hetū’’ti pucchitvā ‘‘rūpīsu bhavesu ajjhosānaṃ, arūpīsu sammoho’’ti vuttaṃ. Rūpīsu bhavesu rūpadhammesu ahaṃmamādivasena ajjhosānaṃ taṇhābhiniveso sattesu patiṭṭhito yasmā hoti, tasmā rūpakāyo taṇhāya padaṭṭhānaṃ bhavati. Anamatagge hi saṃsāre itthipurisā aññamaññarūpābhirāmā bhavanti. Arūpīsu phassādīsu sukhumabhāvato sammoho sattesu patiṭṭhito yasmā hoti, tasmā nāmakāyo avijjāya padaṭṭhānaṃ bhavatīti yojanā kātabbā. Idaṃ vuttaṃ hoti – rūpakāyanāmakāyesu ārammaṇakaraṇavasena taṇhāya ca avijjāya ca uppajjanato rūpakāyo taṇhāya padaṭṭhānaṃ, nāmakāyo avijjāya padaṭṭhānanti nīharitabbāvāti.

    ‘‘กตโม รูปกาโย, กตโม นามกาโย’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ รูปกาโย รูปกฺขโนฺธ, นามกาโย จตฺตาโร อรูปิโน ขนฺธา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ เตสุ รูปกายนามกาเยสุ รูปกาโย รูปสมูโห นาม รูปกฺขโนฺธ โหติ, นามกาโย นามสมูโห นาม จตฺตาโร อรูปิโน ขนฺธาติฯ อิเม ปญฺจกฺขนฺธา อวิชฺชาตณฺหานํ อารมฺมณตฺตา สอุปาทานา ภเวยฺยุํ, ‘‘กตเมน อุปาทาเนน สอุปาทานา ภวนฺตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ตเถว ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสเชฺชตุํ ‘‘อิเม ปญฺจกฺขนฺธา กตเมน อุปาทาเนน สอุปาทานา? ตณฺหาย จ อวิชฺชาย จา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุปาทานภูตาย ตณฺหาย จ อุปาทานภูตาย อวิชฺชาย จ อิเม ปญฺจกฺขนฺธา สอุปาทานา นาม ภวนฺตีติ โยชนา กาตพฺพาฯ

    ‘‘Katamo rūpakāyo, katamo nāmakāyo’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha rūpakāyo rūpakkhandho, nāmakāyo cattāro arūpino khandhā’’ti vuttaṃ. Tattha tesu rūpakāyanāmakāyesu rūpakāyo rūpasamūho nāma rūpakkhandho hoti, nāmakāyo nāmasamūho nāma cattāro arūpino khandhāti. Ime pañcakkhandhā avijjātaṇhānaṃ ārammaṇattā saupādānā bhaveyyuṃ, ‘‘katamena upādānena saupādānā bhavantī’’ti pucchitabbattā tatheva pucchitvā vissajjetuṃ ‘‘ime pañcakkhandhā katamena upādānena saupādānā? Taṇhāya ca avijjāya cā’’ti vuttaṃ. Tattha upādānabhūtāya taṇhāya ca upādānabhūtāya avijjāya ca ime pañcakkhandhā saupādānā nāma bhavantīti yojanā kātabbā.

    ‘‘กิตฺตกานิ อุปาทานานิ ตณฺหา นาม ภวนฺติ, กิตฺตกานิ อุปาทานานิ อวิชฺชา นาม ภวนฺตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ตณฺหา เทฺว’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ ตาสุ ตณฺหาอวิชฺชาสุฯ กามุปาทานญฺจ สีลพฺพตุปาทานญฺจ เทฺว อุปาทานานิ ตณฺหา นาม ภวนฺติฯ ตณฺหาวเสน หิ ‘‘มม สีลํ, มม วต’’นฺติ ปรามสนํ ภวติฯ ทิฎฺฐุปาทานญฺจ อตฺตวาทุปาทานญฺจ เทฺว อุปาทานานิ อวิชฺชา นาม ภวนฺติฯ อวิชฺชาวเสน หิ สสฺสตทิฎฺฐิ เจว อหํมมาทิทิฎฺฐิ จ ภวนฺติฯ ‘‘อิเมหิ จตูหิ อุปาทาเนหิ สอุปาทานกฺขนฺธา จตูสุ สเจฺจสุ กิตฺตกํ สจฺจํ นามา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘อิเมหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เย โลกิยกฺขนฺธา สอุปาทานา ขนฺธา ภวนฺติ, อุปาทาเนน หิ อุปาทานานิปิ ภวนฺติ, อิทํ สอุปาทานกฺขนฺธปญฺจกํ ทุกฺขํ ทุกฺขสจฺจํ นามฯ ยานิ จตฺตาริ อุปาทานานิ ทุกฺขการณานิ ภวนฺติ, อยํ อุปาทานจตุโกฺก สมุทโย สมุทยสจฺจํ นาม ภวติฯ ปญฺจกฺขนฺธาติ สอุปาทานา ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขวตฺถุภาวโต ทุกฺขํฯ เตสนฺติ สอุปาทานานํ ปญฺจกฺขนฺธานํฯ ธมฺมํ เทเสตีติ ‘‘อารมฺภถา’’ติอาทิกํ ธมฺมํ เวเนยฺยานุรูปํ ภควา เทเสติฯ สามเญฺญน ปุเพฺพ วุตฺตมฺปิ อตฺถวเสน วิเสสํ ทเสฺสตุํ ปุน ‘‘ทุกฺขสฺส ปริญฺญาย, สมุทยสฺส ปหานายา’’ติ วุตฺตํฯ

    ‘‘Kittakāni upādānāni taṇhā nāma bhavanti, kittakāni upādānāni avijjā nāma bhavantī’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha taṇhā dve’’tiādi vuttaṃ. Tatthāti tāsu taṇhāavijjāsu. Kāmupādānañca sīlabbatupādānañca dve upādānāni taṇhā nāma bhavanti. Taṇhāvasena hi ‘‘mama sīlaṃ, mama vata’’nti parāmasanaṃ bhavati. Diṭṭhupādānañca attavādupādānañca dve upādānāni avijjā nāma bhavanti. Avijjāvasena hi sassatadiṭṭhi ceva ahaṃmamādidiṭṭhi ca bhavanti. ‘‘Imehi catūhi upādānehi saupādānakkhandhā catūsu saccesu kittakaṃ saccaṃ nāmā’’ti pucchitabbattā ‘‘imehī’’tiādi vuttaṃ. Ye lokiyakkhandhā saupādānā khandhā bhavanti, upādānena hi upādānānipi bhavanti, idaṃ saupādānakkhandhapañcakaṃ dukkhaṃ dukkhasaccaṃ nāma. Yāni cattāri upādānāni dukkhakāraṇāni bhavanti, ayaṃ upādānacatukko samudayo samudayasaccaṃ nāma bhavati. Pañcakkhandhāti saupādānā pañcakkhandhā dukkhavatthubhāvato dukkhaṃ. Tesanti saupādānānaṃ pañcakkhandhānaṃ. Dhammaṃ desetīti ‘‘ārambhathā’’tiādikaṃ dhammaṃ veneyyānurūpaṃ bhagavā deseti. Sāmaññena pubbe vuttampi atthavasena visesaṃ dassetuṃ puna ‘‘dukkhassa pariññāya, samudayassa pahānāyā’’ti vuttaṃ.

    ๓๐. อารมฺภปฎิปกฺขภูตปมาทวเสน ปุริมสจฺจทฺวยํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘อิตรสจฺจทฺวยํ กถํ นิทฺธาริตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ตํ ทฺวยมฺปิ ปมาทมุเขเนว นิทฺธาริตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ โย ติวิโธ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถาติ เตสุ ตณฺหามูลกอวิชฺชามูลเกสุ ปมาเทสุฯ ตสฺสาติ ติวิธสฺส ตณฺหามูลกสฺส ปมาทสฺสฯ สมฺปฎิเวเธนาติ อสฺสาทาทีนํ ปริชานเนนฯ รกฺขณาติ อตฺตจิตฺตสฺส รกฺขณสงฺขาตาฯ ปฎิสํหรณาติ ‘‘ตสฺสา’’ติ อิมินา วุตฺตสฺส ปมาทสฺส ปฎิปกฺขภูเตน อปฺปมาทานนุโยเคน สํหรณา ยา เขปนา อตฺถิ, อยํ ปมาทสฺส ปฎิปกฺขภูเตน อปฺปมาทานุโยเคน ปวตฺตา เขปนสงฺขาตา ภาวนา สมโถ นามาติ ปมาทสฺส ปฎิปกฺขมุเขน ปุน อาวเฎฺฎตฺวา สมโถ นิทฺธาริโตติฯ

    30. Ārambhapaṭipakkhabhūtapamādavasena purimasaccadvayaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘itarasaccadvayaṃ kathaṃ niddhāritabba’’nti vattabbattā taṃ dvayampi pamādamukheneva niddhāritabbanti dassetuṃ ‘‘tattha yo tividho’’tiādi vuttaṃ. Tattha tatthāti tesu taṇhāmūlakaavijjāmūlakesu pamādesu. Tassāti tividhassa taṇhāmūlakassa pamādassa. Sampaṭivedhenāti assādādīnaṃ parijānanena. Rakkhaṇāti attacittassa rakkhaṇasaṅkhātā. Paṭisaṃharaṇāti ‘‘tassā’’ti iminā vuttassa pamādassa paṭipakkhabhūtena appamādānanuyogena saṃharaṇā yā khepanā atthi, ayaṃ pamādassa paṭipakkhabhūtena appamādānuyogena pavattā khepanasaṅkhātā bhāvanā samatho nāmāti pamādassa paṭipakkhamukhena puna āvaṭṭetvā samatho niddhāritoti.

    ‘‘โส สมโถ กถํ เกน อุปาเยน ภวตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ตถา ปุจฺฉิตฺวา อุปายํ ทเสฺสตุํ ‘‘โส กถ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กถนฺติ เกน อุปาเยนฯ ‘‘กาเมนฺตีติ กามา, กามียนฺตีติ วา กามา’’ติ วุตฺตานํ ทฺวินฺนํ กามานํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชมานํ อสฺสาทญฺจ, ‘‘อปฺปสฺสาทา กามา พหุทุกฺขา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๓๕) วจนโต อปฺปสฺสาทนียานํ กามานํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชมานํ อาทีนวญฺจฯ กามานนฺติ จ กมฺมเตฺถ สามิวจนํฯ เตน วุตฺตํ –‘‘กาเม ปฎิจฺจา’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๓๐)ฯ ‘‘กามานเมตํ นิสฺสรณํ, ยทิทํ เนกฺขมฺม’’นฺติ (อิติวุ. ๗๒) วจนโต นิสฺสรณนฺติ อิธ ปฐมชฺฌานํ อธิเปฺปตํฯ โวการนฺติ เอตฺถ -กาโร อาคโม, โอ-การํ ลามกภาวํฯ อานิสํสนฺติ จตุปาริสุทฺธิสีลาทิกํฯ ยทา ชานาติ, ตทา เตน อุปาเยน สมโถ ภวตีติ อโตฺถฯ

    ‘‘So samatho kathaṃ kena upāyena bhavatī’’ti pucchitabbattā tathā pucchitvā upāyaṃ dassetuṃ ‘‘so katha’’ntiādi vuttaṃ. Tattha kathanti kena upāyena. ‘‘Kāmentīti kāmā, kāmīyantīti vā kāmā’’ti vuttānaṃ dvinnaṃ kāmānaṃ paṭicca uppajjamānaṃ assādañca, ‘‘appassādā kāmā bahudukkhā’’tiādi (ma. ni. 1.235) vacanato appassādanīyānaṃ kāmānaṃ paṭicca uppajjamānaṃ ādīnavañca. Kāmānanti ca kammatthe sāmivacanaṃ. Tena vuttaṃ –‘‘kāme paṭiccā’’ti (netti. aṭṭha. 30). ‘‘Kāmānametaṃ nissaraṇaṃ, yadidaṃ nekkhamma’’nti (itivu. 72) vacanato nissaraṇanti idha paṭhamajjhānaṃ adhippetaṃ. Vokāranti ettha va-kāro āgamo, o-kāraṃ lāmakabhāvaṃ. Ānisaṃsanti catupārisuddhisīlādikaṃ. Yadā jānāti, tadā tena upāyena samatho bhavatīti attho.

    สมโถ อาจริเยน วิภโตฺต, อเมฺหหิ จ ญาโต, ‘‘กตมา วิปสฺสนา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา วิปสฺสนํ วิภชิตุํ ‘‘ตตฺถ ยา วีมํสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อถ วา กามานํ อสฺสาทาทโย ยทา ชานาติ, ตทา สมโถ ภวตีติ วุโตฺต, ‘‘ตสฺมิํ สมเถ ภวมาเน สติ กตมา ภวตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ยา วีมํสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ตสฺมิํ สมเถ ภวมาเน สติ อสฺสาทาทีนํ ยา อนิจฺจาทิวีมํสา อุปปริกฺขา ปญฺญา ภวติ, อยํ วีมํสา อุปปริกฺขา ปญฺญา วิเสเสน ปสฺสนโต วิปสฺสนา นามฯ อถ วา ติวิธสฺส ตณฺหามูลกสฺส ปมาทสฺส สมฺปฎิเวเธน รกฺขณา ปฎิสํหรณา, อยํ สมโถติ อาจริเยน วุโตฺต, ‘‘กตมา วิปสฺสนา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ยา วีมํสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ยถาวุเตฺต สมเถ สติ ยถาวุตฺตสฺส ปมาทสฺส อนิจฺจาทิวเสน ยา วีมํสา อุปปริกฺขา ปญฺญา อุปฺปนฺนา, อยํ วีมํสา อุปปริกฺขา ปญฺญา วิเสเสน ปสฺสนโต วิปสฺสนา นามฯ วีมํสาว ทุพฺพลา, อุปปริกฺขา พลวตีติ วิเสโสฯ

    Samatho ācariyena vibhatto, amhehi ca ñāto, ‘‘katamā vipassanā’’ti pucchitabbattā vipassanaṃ vibhajituṃ ‘‘tattha yā vīmaṃsā’’tiādi vuttaṃ. Atha vā kāmānaṃ assādādayo yadā jānāti, tadā samatho bhavatīti vutto, ‘‘tasmiṃ samathe bhavamāne sati katamā bhavatī’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha yā vīmaṃsā’’tiādi vuttaṃ. Tattha tatthāti tasmiṃ samathe bhavamāne sati assādādīnaṃ aniccādivīmaṃsā upaparikkhā paññā bhavati, ayaṃ vīmaṃsā upaparikkhā paññā visesena passanato vipassanā nāma. Atha vā tividhassa taṇhāmūlakassa pamādassa sampaṭivedhena rakkhaṇā paṭisaṃharaṇā, ayaṃ samathoti ācariyena vutto, ‘‘katamā vipassanā’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha yā vīmaṃsā’’tiādi vuttaṃ. Tattha tatthāti tasmiṃ yathāvutte samathe sati yathāvuttassa pamādassa aniccādivasena yā vīmaṃsā upaparikkhā paññā uppannā, ayaṃ vīmaṃsā upaparikkhā paññā visesena passanato vipassanā nāma. Vīmaṃsāva dubbalā, upaparikkhā balavatīti viseso.

    สมโถ เจว วิปสฺสนา จ เทฺว ธมฺมา อาจริเยน นิทฺธาริตา, ‘‘อิเม นิทฺธาริตา เทฺว ธมฺมา กิํ คจฺฉนฺตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อิเม เทฺว’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สมโถ สมถภาวนาปาริปูริํ คจฺฉติ, วิปสฺสนา วิปสฺสนาภาวนาปาริปูริํ คจฺฉติฯ ‘‘อิเมสุ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ภาวิยมาเนสุ กตเม โยคาวจเรน ปหียนฺตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อิเมสู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สมเถ ธเมฺม ภาวิยมาเน ตณฺหา โยคาวจเรน ปหียติ, วิปสฺสนาย ภาวิยมานาย อวิชฺชา โยคาวจเรน ปหียตีติ อิเม เทฺว ปหาตพฺพา ธมฺมา ปหียนฺติ ตณฺหา เจว อวิชฺชา จฯ ‘‘อิเมสุ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ปหียมาเนสุ กตเม ธมฺมา นิรุชฺฌนฺตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา อุปาทานาทโยปิ นิรุชฺฌนฺตีติ สกลวฎฺฎทุกฺขนิโรธํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิเมสุ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ปหีเนสู’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตณฺหาย สมถภาวนาย ปหียมานาย, อวิชฺชาย วิปสฺสนาภาวนาย ปหียมานาย อิเมสุ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ทฺวีหิ ภาวนาหิ ปหีเนสุ กามุปาทานาทีนิ จตฺตาริ อุปาทานานิ วิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทวเสน นิรุชฺฌนฺติ, น ภงฺคกฺขณวเสนฯ

    Samatho ceva vipassanā ca dve dhammā ācariyena niddhāritā, ‘‘ime niddhāritā dve dhammā kiṃ gacchantī’’ti vattabbattā ‘‘ime dve’’tiādi vuttaṃ. Samatho samathabhāvanāpāripūriṃ gacchati, vipassanā vipassanābhāvanāpāripūriṃ gacchati. ‘‘Imesu dvīsu dhammesu bhāviyamānesu katame yogāvacarena pahīyantī’’ti vattabbattā ‘‘imesū’’tiādi vuttaṃ. Samathe dhamme bhāviyamāne taṇhā yogāvacarena pahīyati, vipassanāya bhāviyamānāya avijjā yogāvacarena pahīyatīti ime dve pahātabbā dhammā pahīyanti taṇhā ceva avijjā ca. ‘‘Imesu dvīsu dhammesu pahīyamānesu katame dhammā nirujjhantī’’ti pucchitabbattā upādānādayopi nirujjhantīti sakalavaṭṭadukkhanirodhaṃ dassento ‘‘imesu dvīsu dhammesu pahīnesū’’tiādimāha. Tattha taṇhāya samathabhāvanāya pahīyamānāya, avijjāya vipassanābhāvanāya pahīyamānāya imesu dvīsu dhammesu dvīhi bhāvanāhi pahīnesu kāmupādānādīni cattāri upādānāni vikkhambhanasamucchedavasena nirujjhanti, na bhaṅgakkhaṇavasena.

    เอตฺถาห – ‘‘ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘ตณฺหาย ปหียมานาย อุปาทานานิ นิรุชฺฌนฺตี’’ติ วจนํ ยุตฺตํ โหตุ, กถํ อวิชฺชาย ปหียมานาย อุปาทานานิ นิรุชฺฌนฺตีติ? ‘‘ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ’’ติ ปาเฐ อวิชฺชาสหิตตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธติ อตฺถสมฺภวโตฯ ยถา หิ ตณฺหาสหิตาว อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย, เอวํ อวิชฺชาสหิตาว ตณฺหา อุปาทานานํ ปจฺจโย โหตีติ อวิชฺชาสหิตตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธติ อโตฺถ สมฺภวตีติ คเหตโพฺพฯ วิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทวเสน อุปาทานนิโรธา ตเถว ภวนิโรโธติ เอส นโย เสเสสุปิฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธติ เอตฺถาปิ ตณฺหาสหิตอวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธติอาทิโก คหิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ อิตีติ เอวํ วิสภาคสภาคธมฺมานํ อาวฎฺฎนวเสน นิทฺธาริตานิ จ ปุริมกานิ เทฺว สจฺจานิ จ, สมโถ จ วิปสฺสนา จ อิเม เทฺว ธมฺมา มโคฺค จ มคฺคสจฺจญฺจ, วฎฺฎนิโรโธ วฎฺฎนิโรธสจฺจญฺจ นิพฺพานนฺติ จตฺตาริ สจฺจานิ นิทฺธาริตานิฯ

    Etthāha – ‘‘taṇhānirodhā upādānanirodho’’ti vuttattā ‘‘taṇhāya pahīyamānāya upādānāni nirujjhantī’’ti vacanaṃ yuttaṃ hotu, kathaṃ avijjāya pahīyamānāya upādānāni nirujjhantīti? ‘‘Taṇhānirodhā upādānanirodho’’ti pāṭhe avijjāsahitataṇhānirodhā upādānanirodhoti atthasambhavato. Yathā hi taṇhāsahitāva avijjā saṅkhārānaṃ paccayo, evaṃ avijjāsahitāva taṇhā upādānānaṃ paccayo hotīti avijjāsahitataṇhānirodhā upādānanirodhoti attho sambhavatīti gahetabbo. Vikkhambhanasamucchedavasena upādānanirodhā tatheva bhavanirodhoti esa nayo sesesupi. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa nirodhoti etthāpi taṇhāsahitaavijjānirodhā saṅkhāranirodhotiādiko gahitoti daṭṭhabbo. Itīti evaṃ visabhāgasabhāgadhammānaṃ āvaṭṭanavasena niddhāritāni ca purimakāni dve saccāni ca, samatho ca vipassanā ca ime dve dhammā maggo ca maggasaccañca, vaṭṭanirodho vaṭṭanirodhasaccañca nibbānanti cattāri saccāni niddhāritāni.

    ‘‘วีริยปฎิปกฺขภูตสฺส ปมาทาทิธมฺมสฺส วเสน วา สภาคภูตสฺส ปมาทาทิธมฺมสฺส วเสน วา อาวเฎฺฎตฺวา จตุนฺนํ สจฺจานํ นิทฺธาริตพฺพภาโว อเมฺหหิ เกน สทฺทหิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เตนาหา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตน ตถา นิทฺธาริตพฺพภาเวน ภควา ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถา’’ติอาทิคาถาวจนํ อาห, เตน ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถา’’ติอาทิคาถาวจเนน ตถา จตุนฺนํ สจฺจานํ นิทฺธาริตพฺพภาโว ตุเมฺหหิ สทฺทหิตโพฺพติ วุตฺตํ โหติฯ

    ‘‘Vīriyapaṭipakkhabhūtassa pamādādidhammassa vasena vā sabhāgabhūtassa pamādādidhammassa vasena vā āvaṭṭetvā catunnaṃ saccānaṃ niddhāritabbabhāvo amhehi kena saddahitabbo’’ti vattabbattā ‘‘tenāhā’’tiādi vuttaṃ. Tena tathā niddhāritabbabhāvena bhagavā ‘‘ārambhatha nikkamathā’’tiādigāthāvacanaṃ āha, tena ‘‘ārambhatha nikkamathā’’tiādigāthāvacanena tathā catunnaṃ saccānaṃ niddhāritabbabhāvo tumhehi saddahitabboti vuttaṃ hoti.

    ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถา’ติอาทินา โวทานปกฺขํเยว นิกฺขิปิตฺวา ตเสฺสว โวทานปกฺขสฺส วิสภาคธมฺมสภาคธมฺมวเสเนว อาวเฎฺฎตฺวา จตุสจฺจนิทฺธารณํ กาตพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา สํกิเลสปกฺขมฺปิ นิกฺขิปิตฺวา ตเสฺสว สํกิเลสสฺส วิสภาคธมฺมสภาคธมฺมวเสนปิ อาวเฎฺฎตฺวา จตุสจฺจนิทฺธารณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถาปิ มูเล’’ติอาทิคาถาวจนมาหฯ อฎฺฐกถายํ ปน –

    ‘‘Ārambhatha nikkamathā’tiādinā vodānapakkhaṃyeva nikkhipitvā tasseva vodānapakkhassa visabhāgadhammasabhāgadhammavaseneva āvaṭṭetvā catusaccaniddhāraṇaṃ kātabba’’nti pucchitabbattā saṃkilesapakkhampi nikkhipitvā tasseva saṃkilesassa visabhāgadhammasabhāgadhammavasenapi āvaṭṭetvā catusaccaniddhāraṇaṃ dassento ‘‘yathāpi mūle’’tiādigāthāvacanamāha. Aṭṭhakathāyaṃ pana –

    ‘‘เอวํ โวทานปกฺขํ นิกฺขิปิตฺวา ตสฺส วิสภาคธมฺมวเสน, สภาคธมฺมวเสน จ อาวฎฺฎนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สํกิเลสปกฺขํ นิกฺขิปิตฺวา ตสฺส วิสภาคธมฺมวเสน, สภาคธมฺมวเสน จ อาวฎฺฎนํ ทเสฺสตุํ ‘ยถาปิ มูเล’ติ คาถมาหา’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๓๐) –

    ‘‘Evaṃ vodānapakkhaṃ nikkhipitvā tassa visabhāgadhammavasena, sabhāgadhammavasena ca āvaṭṭanaṃ dassetvā idāni saṃkilesapakkhaṃ nikkhipitvā tassa visabhāgadhammavasena, sabhāgadhammavasena ca āvaṭṭanaṃ dassetuṃ ‘yathāpi mūle’ti gāthamāhā’’ti (netti. aṭṭha. 30) –

    วุตฺตํฯ คาถาโตฺถปิ อฎฺฐกถายํ วุโตฺตฯ ตถาปิ ยติโปตานํ อตฺถาย อฎฺฐกถานุสาเรเนว กถยิสฺสามฯ

    Vuttaṃ. Gāthātthopi aṭṭhakathāyaṃ vutto. Tathāpi yatipotānaṃ atthāya aṭṭhakathānusāreneva kathayissāma.

    สมูโห รุโกฺข มูลติ ปติฎฺฐาติ เอเตน อวยเวน ภูมิภาเค ฐิเตนาติ มูลํ, กิํ ตํ? ภูมิภาเค ฐิโต มูลสงฺขาโต รุกฺขาวยโว, ตสฺมิํ มูเลฯ นตฺถิ อุปทฺทโว ผรสุเฉทาทิอนฺตราโย อสฺส มูลสฺสาติ อนุปทฺทโวฯ ทเฬฺหติ อุปทฺทวาภาเวน สภาวโต ถิเร สติฯ ฉินฺทียตีติ ฉิโนฺน, โก โส? ภูมิยํ ปติฎฺฐิตมูลสหิโต รุกฺขาวยโว, น ฉินฺทิตฺวา คหิโต รุกฺขาวยโวฯ รุหติ วฑฺฒตีติ รุโกฺขฯ โส จ ภูมิยํ ปติฎฺฐิตมูลสหิโต รุกฺขาวยโว รุโกฺขติ วุโตฺต ยถา ‘‘สมุโทฺท ทิโฎฺฐ’’ติฯ ปุนเรว รูหตีติ ปุน องฺกุรุปฺปาทนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตณฺหานุสเยติ อตฺตภาวสงฺขาตสฺส รุกฺขสฺส มูเลฯ อนูหเตติ อรหตฺตมคฺคญาเณน อนุปจฺฉิเนฺน สติ อิทํ อตฺตภาวสงฺขาตํ ทุกฺขํ ทุกฺขเหตุ ปุนปฺปุนํ อโพฺพจฺฉินฺนํ นิพฺพตฺตติ น นิรุชฺฌติเยวาติ คาถาโตฺถฯ

    Samūho rukkho mūlati patiṭṭhāti etena avayavena bhūmibhāge ṭhitenāti mūlaṃ, kiṃ taṃ? Bhūmibhāge ṭhito mūlasaṅkhāto rukkhāvayavo, tasmiṃ mūle. Natthi upaddavo pharasuchedādiantarāyo assa mūlassāti anupaddavo. Daḷheti upaddavābhāvena sabhāvato thire sati. Chindīyatīti chinno, ko so? Bhūmiyaṃ patiṭṭhitamūlasahito rukkhāvayavo, na chinditvā gahito rukkhāvayavo. Ruhati vaḍḍhatīti rukkho. So ca bhūmiyaṃ patiṭṭhitamūlasahito rukkhāvayavo rukkhoti vutto yathā ‘‘samuddo diṭṭho’’ti. Punareva rūhatīti puna aṅkuruppādanaṃ sandhāya vuttaṃ. Taṇhānusayeti attabhāvasaṅkhātassa rukkhassa mūle. Anūhateti arahattamaggañāṇena anupacchinne sati idaṃ attabhāvasaṅkhātaṃ dukkhaṃ dukkhahetu punappunaṃ abbocchinnaṃ nibbattati na nirujjhatiyevāti gāthāttho.

    ‘‘อิธ คาถายํ โย ตณฺหานุสโย อนูหตภาเวน ทุกฺขสฺส นิพฺพตฺตนสฺส มูลนฺติ วุโตฺต, อยํ ตณฺหานุสโย กตมสฺสา ตณฺหาย อนุสโย’’ติ ปุจฺฉติ, ‘‘ตณฺหาย กามตณฺหาทิวเสน พหุวิธตฺตา ภวตณฺหาย อนุสโย’’ติ วิสฺสเชฺชติ ภวสฺสาทตณฺหาภาวโตฯ โย อนุสโย เอตสฺส ภวตณฺหาสงฺขาตสฺส ธมฺมสฺส ปจฺจโย โหติ, อยํ อนุสโย อวิชฺชานุสโย โหติฯ ‘‘อนุสโย พหุวิโธ, กสฺมา อวิชฺชานุสโยติ สทฺทหิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา หิ ภวตณฺหา’’ติ วุตฺตํฯ อวิชฺชาย ภวตณฺหาย ปจฺจยตฺตา อวิชฺชานุสโย สทฺทหิตโพฺพฯ อวิชฺชาย หิ ภเวสุ อาทีนวสฺส อทสฺสนวเสน ภวสฺสาทตณฺหา ภวตีติฯ อิเม เทฺว กิเลสาติอาทิมฺหิ เหฎฺฐา วุตฺตนยานุสาเรน จตฺตาริ สจฺจานิ นิทฺธาเรตฺวา วิสภาคสภาคธมฺมาวฎฺฎนํ วิญฺญาตพฺพํ, สมถวิปสฺสนา ปน มคฺคสมฺปยุตฺตาว คเหตพฺพาฯ

    ‘‘Idha gāthāyaṃ yo taṇhānusayo anūhatabhāvena dukkhassa nibbattanassa mūlanti vutto, ayaṃ taṇhānusayo katamassā taṇhāya anusayo’’ti pucchati, ‘‘taṇhāya kāmataṇhādivasena bahuvidhattā bhavataṇhāya anusayo’’ti vissajjeti bhavassādataṇhābhāvato. Yo anusayo etassa bhavataṇhāsaṅkhātassa dhammassa paccayo hoti, ayaṃ anusayo avijjānusayo hoti. ‘‘Anusayo bahuvidho, kasmā avijjānusayoti saddahitabbo’’ti vattabbattā ‘‘avijjāpaccayā hi bhavataṇhā’’ti vuttaṃ. Avijjāya bhavataṇhāya paccayattā avijjānusayo saddahitabbo. Avijjāya hi bhavesu ādīnavassa adassanavasena bhavassādataṇhā bhavatīti. Ime dve kilesātiādimhi heṭṭhā vuttanayānusārena cattāri saccāni niddhāretvā visabhāgasabhāgadhammāvaṭṭanaṃ viññātabbaṃ, samathavipassanā pana maggasampayuttāva gahetabbā.

    ‘‘สพฺพปาปสฺสา’’ติอาทิกสฺส อนุสนฺธฺยโตฺถ อฎฺฐกถายํ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๓๐) วุโตฺตฯ สพฺพปาปสฺสาติ กมฺมปถภาวปฺปตฺตาปตฺตสฺส นิรวเสสสฺส อกุสลสฺสฯ อกรณนฺติ สปรสนฺตาเนสุ อนุปฺปาทนํ ฯ กุสลสฺสาติ กมฺมปถภาวปฺปตฺตาปตฺตสฺส เตภูมกกุสลสฺส เจว โลกุตฺตรกุสลสฺส จฯ อุปสมฺปทาติ สนฺตาเน อุปฺปาทนวเสน สมฺปทาฯ สสฺส อตฺตโน จิตฺตนฺติ สจิตฺตํ, สจิตฺตสฺส ปริโยทาปนํ โวทานํ อรหตฺตผลุปฺปตฺติยาติ สจิตฺตปริโยทาปนํ ฯ อรหตฺตมคฺคุปฺปาโท ปน ‘‘กุสลสฺส อุปสมฺปทา’’ติ ปเทน คหิโตฯ เอตํ อกรณาทิตฺตยทีปนํ พุทฺธานํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ สาสนํ โอวาโทติ คาถาโตฺถฯ

    ‘‘Sabbapāpassā’’tiādikassa anusandhyattho aṭṭhakathāyaṃ (netti. aṭṭha. 30) vutto. Sabbapāpassāti kammapathabhāvappattāpattassa niravasesassa akusalassa. Akaraṇanti saparasantānesu anuppādanaṃ . Kusalassāti kammapathabhāvappattāpattassa tebhūmakakusalassa ceva lokuttarakusalassa ca. Upasampadāti santāne uppādanavasena sampadā. Sassa attano cittanti sacittaṃ, sacittassa pariyodāpanaṃ vodānaṃ arahattaphaluppattiyāti sacittapariyodāpanaṃ. Arahattamagguppādo pana ‘‘kusalassa upasampadā’’ti padena gahito. Etaṃ akaraṇādittayadīpanaṃ buddhānaṃ sammāsambuddhānaṃ sāsanaṃ ovādoti gāthāttho.

    คาถายํ ยสฺส ปาปสฺส อกรณํ วุตฺตํ, ตํ ปาปํ ทุจฺจริตกมฺมปถวเสน วิภชิตุํ ‘‘สพฺพปาปํ นามา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ โทสสมุฎฺฐานนฺติ เยภุยฺยวเสน วุตฺตํ, โลภสมุฎฺฐานมฺปิ ภวติฯ โลภสมุฎฺฐานนฺติปิ เยภุยฺยวเสน วุตฺตํ, โทสสมุฎฺฐานมฺปิ ภวติฯ โมหสมุฎฺฐานมฺปิ ตเถว วุตฺตํฯ โลภสมุฎฺฐานโทสสมุฎฺฐานมฺปิ สมฺภวตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ สพฺพปาโป ทุจฺจริตกมฺมปถปฺปเภเทน วิภโตฺต, ‘‘เอตฺตเกเนว วิภชิตโพฺพ, อุทาหุ อเญฺญน วิภชิตโพฺพ’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา อเญฺญน อกุสลมูลอคติคมนเภเทนปิ วิภชิตุํ ‘‘ยา อภิชฺฌา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘เอวํ ทุจฺจริตอกุสลกมฺมปถกมฺมวิภาเคน ‘สพฺพปาป’นฺติ เอตฺถ วุตฺตปาปํ วิภชิตฺวา อิทานิสฺส อกุสลมูลวเสน อคติคมนวิภาคมฺปิ ทเสฺสตุํ ‘อกุสลมูล’นฺติอาทิ วุตฺต’’นฺติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๓๐) อนุสนฺธฺยโตฺถ วุโตฺตฯ โมหวเสน สภาวํ อชานนฺตสฺส ภยสมฺภวโต ยํ ภยา จ โมหา จ อคติํ คจฺฉติ, อิทํ โมหสมุฎฺฐานนฺติ วุตฺตํฯ

    Gāthāyaṃ yassa pāpassa akaraṇaṃ vuttaṃ, taṃ pāpaṃ duccaritakammapathavasena vibhajituṃ ‘‘sabbapāpaṃ nāmā’’tiādi vuttaṃ. Dosasamuṭṭhānanti yebhuyyavasena vuttaṃ, lobhasamuṭṭhānampi bhavati. Lobhasamuṭṭhānantipi yebhuyyavasena vuttaṃ, dosasamuṭṭhānampi bhavati. Mohasamuṭṭhānampi tatheva vuttaṃ. Lobhasamuṭṭhānadosasamuṭṭhānampi sambhavatīti daṭṭhabbaṃ. Sabbapāpo duccaritakammapathappabhedena vibhatto, ‘‘ettakeneva vibhajitabbo, udāhu aññena vibhajitabbo’’ti pucchitabbattā aññena akusalamūlaagatigamanabhedenapi vibhajituṃ ‘‘yā abhijjhā’’tiādi vuttaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘evaṃ duccaritaakusalakammapathakammavibhāgena ‘sabbapāpa’nti ettha vuttapāpaṃ vibhajitvā idānissa akusalamūlavasena agatigamanavibhāgampi dassetuṃ ‘akusalamūla’ntiādi vutta’’nti (netti. aṭṭha. 30) anusandhyattho vutto. Mohavasena sabhāvaṃ ajānantassa bhayasambhavato yaṃ bhayā ca mohā ca agatiṃ gacchati, idaṃ mohasamuṭṭhānanti vuttaṃ.

    สพฺพปาโป อาจริเยน วิภโตฺต, อเมฺหหิ จ ญาโต, ‘‘กตมํ สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ตตฺถ โลโภ อสุภายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถายํ ปน –

    Sabbapāpo ācariyena vibhatto, amhehi ca ñāto, ‘‘katamaṃ sabbapāpassa akaraṇa’’nti pucchitabbattā tattha lobho asubhāyā’’tiādi vuttaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana –

    ‘‘เอตฺตาวตา ‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’นฺติ เอตฺถ ปาปํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตสฺส อกรณํ ทเสฺสโนฺต ‘โลโภ…เป.… ปญฺญายา’ติ ตีหิ กุสลมูเลหิ ติณฺณํ อกุสลมูลานํ ปหานวเสน สพฺพปาปสฺส อกรณํ อนุปฺปาทนมาหา’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๓๐) –

    ‘‘Ettāvatā ‘sabbapāpassa akaraṇa’nti ettha pāpaṃ dassetvā idāni tassa akaraṇaṃ dassento ‘lobho…pe… paññāyā’ti tīhi kusalamūlehi tiṇṇaṃ akusalamūlānaṃ pahānavasena sabbapāpassa akaraṇaṃ anuppādanamāhā’’ti (netti. aṭṭha. 30) –

    วุตฺตํฯ สุภาธิมุตฺตวเสน ปวโตฺต โลโภ อสุภาย อสุภภาวนาย ตถาปวเตฺตน อโลเภน ตทงฺควิกฺขมฺภนปฺปหาเนน ปหียติ, สเตฺตสุ กุชฺฌนทุสฺสนวเสน ปวโตฺต โทโส เมตฺตาย เมตฺตาภาวนาย ตถาปวเตฺตน อโทเสน จ ตทงฺควิกฺขมฺภนปฺปหาเนน ปหียติ, สเตฺตสุ เจว สงฺขาเรสุ จ มุยฺหนวเสน ปวโตฺต โมโห ปญฺญาย วิจารณปญฺญาย จ ภาวนามคฺคปญฺญาย จ ตทงฺควิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทปฺปหาเนน ปหียติ

    Vuttaṃ. Subhādhimuttavasena pavatto lobho asubhāya asubhabhāvanāya tathāpavattena alobhena tadaṅgavikkhambhanappahānena pahīyati, sattesu kujjhanadussanavasena pavatto doso mettāya mettābhāvanāya tathāpavattena adosena ca tadaṅgavikkhambhanappahānena pahīyati, sattesu ceva saṅkhāresu ca muyhanavasena pavatto moho paññāya vicāraṇapaññāya ca bhāvanāmaggapaññāya ca tadaṅgavikkhambhanasamucchedappahānena pahīyati.

    ‘‘ยทิ ตีหิ กุสลมูเลเหว อกุสลมูลานิ ปหียนฺติ, เอวํ สติ อุเปกฺขากรุณามุทิตา นิรตฺถกา ภเวยฺยุ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตถา โลโภ อุเปกฺขายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อุเปกฺขายาติ ‘‘สเพฺพ สตฺตา กมฺมสฺสกา’’ติอาทินา ภาวิตาย อุเปกฺขายฯ มุทิตา อรติํ วูปสเมตฺวา อรติยา มูลภูตํ โมหมฺปิ ปชหตีติ มนสิ กตฺวา ‘‘โมโห มุทิตาย ปหานํ อพฺภตฺถํ คจฺฉตี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘อกุสลมูลานํ กุสลมูลาทีหิ ปหาตพฺพตฺตํ เกน อเมฺหหิ สทฺทหิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เตนาหา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตน ตถา ปหาตพฺพเตฺตน ภควา ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติ วจนํ อาห, เตน ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติ วจเนน ตถา ปหาตพฺพตฺตํ ตุเมฺหหิ สทฺทหิตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    ‘‘Yadi tīhi kusalamūleheva akusalamūlāni pahīyanti, evaṃ sati upekkhākaruṇāmuditā niratthakā bhaveyyu’’nti vattabbattā ‘‘tathā lobho upekkhāyā’’tiādi vuttaṃ. Upekkhāyāti ‘‘sabbe sattā kammassakā’’tiādinā bhāvitāya upekkhāya. Muditā aratiṃ vūpasametvā aratiyā mūlabhūtaṃ mohampi pajahatīti manasi katvā ‘‘moho muditāya pahānaṃ abbhatthaṃ gacchatī’’ti vuttaṃ. ‘‘Akusalamūlānaṃ kusalamūlādīhi pahātabbattaṃ kena amhehi saddahitabba’’nti vattabbattā ‘‘tenāhā’’tiādi vuttaṃ. Tena tathā pahātabbattena bhagavā ‘‘sabbapāpassa akaraṇa’’nti vacanaṃ āha, tena ‘‘sabbapāpassa akaraṇa’’nti vacanena tathā pahātabbattaṃ tumhehi saddahitabbanti vuttaṃ hoti.

    ๓๑. ‘‘เอตฺตาวตา จ สพฺพปาโป วิภโตฺต, ตสฺส อกรณญฺจ วิภตฺตํ สิยา, เอวํ สติ อฎฺฐมิจฺฉตฺตานํ อกรณํ อนิวาริตํ สิยา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘สพฺพปาปํ นาม อฎฺฐ มิจฺฉตฺตานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ มิจฺฉาสตีติ อนิจฺจาทีสุ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ อนุสฺสรณจินฺตนาทิวเสน ปวตฺตอกุสลปฺปวตฺติฯ

    31. ‘‘Ettāvatā ca sabbapāpo vibhatto, tassa akaraṇañca vibhattaṃ siyā, evaṃ sati aṭṭhamicchattānaṃ akaraṇaṃ anivāritaṃ siyā’’ti vattabbattā ‘‘sabbapāpaṃ nāma aṭṭha micchattānī’’tiādi vuttaṃ. Micchāsatīti aniccādīsu ‘‘nicca’’nti anussaraṇacintanādivasena pavattaakusalappavatti.

    สพฺพปาปสฺส อกรณํ พหุธา อาจริเยน วิภตฺตํ, อเมฺหหิ จ วิญฺญาตํ, ‘‘กถํ กุสลสฺส สมฺปทา วิภชิตพฺพา วิญฺญาตพฺพา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา กุสลสฺส สมฺปทํ วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘อฎฺฐสุ มิจฺฉเตฺตสุ ปหีเนสู’’ติอาทิมาหฯ อฎฺฐ สมฺมตฺตานีติ สมฺมาทิฎฺฐิ สมฺมาสงฺกโปฺป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมโนฺต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธีติ อฎฺฐสมฺมตฺตานิ วิสภาคปริวตฺตนธมฺมวเสน สมฺปชฺชนฺติฯ อตีตสฺสาติ อตีเตน สมฺมาสมฺพุเทฺธน เทสิตสฺสฯ วิปสฺสิโน หิ ภควโต อยํ ปาติโมกฺขุเทฺทสคาถาฯ จิเตฺต ปริโยทาปิเตติ จิตฺตปฎิพทฺธา ปญฺจกฺขนฺธาปิ ปริโยทาปิตา ภวนฺติฯ ‘‘จิตฺตปริโยทาปิเตน ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ ปริโยทาปิตภาโว กถํ อเมฺหหิ สทฺทหิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เอวญฺหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอวํ วุตฺตปฺปกาเรน ภควา ยํ ‘‘เจโตวิสุทฺธตฺถํ ภิกฺขเว ตถาคเต พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ วจนํ อาห, เตน ‘‘เจโต…เป.… วุสฺสตี’’ติ วจเนน ตุเมฺหหิ สทฺทหิตโพฺพติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ปริโยทาปนา กติวิธา ภวนฺตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ทุวิธา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สมถวิปสฺสนาย นีวรณปฺปหานญฺจ อริยมคฺคภาวนาย อนุสยสมุคฺฆาโต จาติ ปริโยทาปนสฺส ทุวิธตฺตา ปญฺจกฺขนฺธา ปริโยทาปิตา ภวนฺตีติ อโตฺถฯ ปหีนนีวรณานุสยา หิ ปุคฺคลา ปสาทนียวณฺณา โหนฺติฯ

    Sabbapāpassa akaraṇaṃ bahudhā ācariyena vibhattaṃ, amhehi ca viññātaṃ, ‘‘kathaṃ kusalassa sampadā vibhajitabbā viññātabbā’’ti vattabbattā kusalassa sampadaṃ vibhajitvā dassento ‘‘aṭṭhasu micchattesu pahīnesū’’tiādimāha. Aṭṭha sammattānīti sammādiṭṭhi sammāsaṅkappo sammāvācā sammākammanto sammāājīvo sammāvāyāmo sammāsati sammāsamādhīti aṭṭhasammattāni visabhāgaparivattanadhammavasena sampajjanti. Atītassāti atītena sammāsambuddhena desitassa. Vipassino hi bhagavato ayaṃ pātimokkhuddesagāthā. Citte pariyodāpiteti cittapaṭibaddhā pañcakkhandhāpi pariyodāpitā bhavanti. ‘‘Cittapariyodāpitena pañcannaṃ khandhānaṃ pariyodāpitabhāvo kathaṃ amhehi saddahitabbo’’ti vattabbattā ‘‘evañhī’’tiādi vuttaṃ. Evaṃ vuttappakārena bhagavā yaṃ ‘‘cetovisuddhatthaṃ bhikkhave tathāgate brahmacariyaṃ vussatī’’ti vacanaṃ āha, tena ‘‘ceto…pe… vussatī’’ti vacanena tumhehi saddahitabboti vuttaṃ hoti. ‘‘Pariyodāpanā katividhā bhavantī’’ti vattabbattā ‘‘duvidhā hī’’tiādi vuttaṃ. Samathavipassanāya nīvaraṇappahānañca ariyamaggabhāvanāya anusayasamugghāto cāti pariyodāpanassa duvidhattā pañcakkhandhā pariyodāpitā bhavantīti attho. Pahīnanīvaraṇānusayā hi puggalā pasādanīyavaṇṇā honti.

    ‘‘ปริโยทาปนสฺส กิตฺติกา ภูมิโย’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘เทฺว ปริโยทาปนภูมิโย’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’นฺติอาทิคาถาย เทสิเตสุ ธเมฺมสุ กตมํ ทุกฺขสจฺจํ, กตมํ สมุทยสจฺจํ , กตมํ มคฺคสจฺจํ, กตมํ นิโรธสจฺจ’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ยํ ปฎิเวเธนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ คาถาย เทสิเตสุ ธเมฺมสุ ยํ ขนฺธปญฺจกํ ปฎิเวเธน ปริญฺญาภิสมเยน ปริโยทาเปติ, อิทํ ขนฺธปญฺจกํ ทุกฺขํ ทุกฺขสจฺจํ ภเวฯ ยโต ตณฺหาสํกิเลสโต ขนฺธปญฺจกํ ปริโยทาเปติ, อยํ ตณฺหาสํกิเลโส สมุทโย สมุทยสจฺจํฯ เยน อริยมคฺคเงฺคน ปริโยทาเปติ, อยํ อริยมโคฺค มคฺคสจฺจํฯ ยํ อสงฺขตธาตุํ อธิคเตน ปุคฺคเลน ปริโยทาปิตํ, อยํ อสงฺขตธาตุธโมฺม นิโรโธ นิโรธสจฺจํ ภเวฯ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานิ คาถาย เทสิตธมฺมานํ สภาควิสภาคธมฺมาวฎฺฎนวเสน นิทฺธาริตานิฯ ‘‘เตนาหา’’ติอาทิกสฺส อโตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ

    ‘‘Pariyodāpanassa kittikā bhūmiyo’’ti pucchitabbattā ‘‘dve pariyodāpanabhūmiyo’’tiādi vuttaṃ. ‘‘‘Sabbapāpassa akaraṇa’ntiādigāthāya desitesu dhammesu katamaṃ dukkhasaccaṃ, katamaṃ samudayasaccaṃ , katamaṃ maggasaccaṃ, katamaṃ nirodhasacca’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha yaṃ paṭivedhenā’’tiādi vuttaṃ. Tatthāti gāthāya desitesu dhammesu yaṃ khandhapañcakaṃ paṭivedhena pariññābhisamayena pariyodāpeti, idaṃ khandhapañcakaṃ dukkhaṃ dukkhasaccaṃ bhave. Yato taṇhāsaṃkilesato khandhapañcakaṃ pariyodāpeti, ayaṃ taṇhāsaṃkileso samudayo samudayasaccaṃ. Yena ariyamaggaṅgena pariyodāpeti, ayaṃ ariyamaggo maggasaccaṃ. Yaṃ asaṅkhatadhātuṃ adhigatena puggalena pariyodāpitaṃ, ayaṃ asaṅkhatadhātudhammo nirodho nirodhasaccaṃ bhave. Imāni cattāri saccāni gāthāya desitadhammānaṃ sabhāgavisabhāgadhammāvaṭṭanavasena niddhāritāni. ‘‘Tenāhā’’tiādikassa attho heṭṭhā vuttanayena veditabbo.

    ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติอาทิคาถาย เทสิตานํ ธมฺมานํ สภาควิสภาคธมฺมาวฎฺฎนวเสน จตฺตาริ สจฺจานิ อาจริเยน นิทฺธาริตานิ, อเมฺหหิ จ วิญฺญาตานิฯ

    ‘‘Sabbapāpassa akaraṇa’’ntiādigāthāya desitānaṃ dhammānaṃ sabhāgavisabhāgadhammāvaṭṭanavasena cattāri saccāni ācariyena niddhāritāni, amhehi ca viññātāni.

    ‘‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ, ฉตฺตํ มหนฺตํ ยถ วสฺสกาเล;

    ‘‘‘Dhammo have rakkhati dhammacāriṃ, chattaṃ mahantaṃ yatha vassakāle;

    เอสานิสํโส ธเมฺม สุจิเณฺณ, น ทุคฺคติํ คจฺฉติ ธมฺมจารี’ติ –

    Esānisaṃso dhamme suciṇṇe, na duggatiṃ gacchati dhammacārī’ti –

    คาถาย เทสิตานํ ธมฺมานํ วิสภาคสภาคธมฺมานํ อาวฎฺฎนวเสน กถํ จตฺตาริ สจฺจานิ นิทฺธาริตานี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ธโมฺม หเว’’ติอาทิมาหฯ ตาย คาถาย เทสิเต ธเมฺม วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ธโมฺม นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ธโมฺม นามาติ ปุญฺญธโมฺม นามฯ อินฺทฺริยสํวโรติ มนจฺฉฎฺฐินฺทฺริยสํวรสีลาทิโก สโพฺพ สํวโรฯ เตน วุตฺตํ –‘‘อินฺทฺริยสํวรสีเสน เจตฺถ สพฺพมฺปิ สีลํ คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพ’’นฺติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๓๑)ฯ จตฺตาโร อปายา ทุกฺกฎกมฺมการีนํ คติภูตตฺตา ทุคฺคติฯ สพฺพา อุปปตฺติโย ปน ทุกฺขทุกฺขสงฺขารทุกฺขวิปริณามทุกฺขสมงฺคีนํ คติภูตตฺตา ทุคฺคติ นามฯ

    Gāthāya desitānaṃ dhammānaṃ visabhāgasabhāgadhammānaṃ āvaṭṭanavasena kathaṃ cattāri saccāni niddhāritānī’’ti vattabbattā ‘‘dhammo have’’tiādimāha. Tāya gāthāya desite dhamme vibhajitvā dassento ‘‘dhammo nāmā’’tiādimāha. Tattha dhammo nāmāti puññadhammo nāma. Indriyasaṃvaroti manacchaṭṭhindriyasaṃvarasīlādiko sabbo saṃvaro. Tena vuttaṃ –‘‘indriyasaṃvarasīsena cettha sabbampi sīlaṃ gahitanti daṭṭhabba’’nti (netti. aṭṭha. 31). Cattāro apāyā dukkaṭakammakārīnaṃ gatibhūtattā duggati. Sabbā upapattiyo pana dukkhadukkhasaṅkhāradukkhavipariṇāmadukkhasamaṅgīnaṃ gatibhūtattā duggati nāma.

    ‘‘ตสฺมิํ ทุวิเธ ธเมฺม อินฺทฺริยสํวรธโมฺม กตฺถ ฐิโต, กถํ สุจิโณฺณ, กุโต รกฺขตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ยา สํวรสีเล’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ทุวิเธ ธเมฺมฯ สํวรสีเล ฐิตา ยา อขณฺฑการิตา โหติ, อยํ อขณฺฑวเสน กาตโพฺพ สํวรสีเล ฐิโต สุฎฺฐุ อาจิณฺณปริจิโณฺณ ปุญฺญธโมฺม จตูหิ อปาเยหิ อตฺตโน อาธารํ อตฺตานํ รกฺขนฺตํ ปุคฺคลํ เอกนฺติกภาเวน รกฺขติ, อเนกนฺติกภาเวน ปน รกฺขิตมโตฺต ปุญฺญธโมฺมปิ รกฺขตีติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ อปาเยหีติ จ ปธานวเสน วุตฺตํ, โรคาทิอนฺตรายโตปิ รกฺขติฯ โรคาทิอนฺตราโย วา อยโต อปคตตฺตา อปายโนฺตคโธติ ทฎฺฐโพฺพฯ

    ‘‘Tasmiṃ duvidhe dhamme indriyasaṃvaradhammo kattha ṭhito, kathaṃ suciṇṇo, kuto rakkhatī’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha yā saṃvarasīle’’tiādi vuttaṃ. Tatthāti tasmiṃ duvidhe dhamme. Saṃvarasīle ṭhitā yā akhaṇḍakāritā hoti, ayaṃ akhaṇḍavasena kātabbo saṃvarasīle ṭhito suṭṭhu āciṇṇapariciṇṇo puññadhammo catūhi apāyehi attano ādhāraṃ attānaṃ rakkhantaṃ puggalaṃ ekantikabhāvena rakkhati, anekantikabhāvena pana rakkhitamatto puññadhammopi rakkhatīti attho gahetabbo. Apāyehīti ca padhānavasena vuttaṃ, rogādiantarāyatopi rakkhati. Rogādiantarāyo vā ayato apagatattā apāyantogadhoti daṭṭhabbo.

    ‘‘ตถา รกฺขตีติ เกน อเมฺหหิ สทฺทหิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เอวํ ภควา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอวํ วุตฺตปฺปกาเรน ลกฺขณปการทสฺสนํ ภควา ‘‘เทฺวมา, ภิกฺขเว, สีลวโต คติโย เทวา จ มนุสฺสา จา’’ติ ยํ วจนํ อาห, เตน ‘‘เทฺวมา…เป.… มนุสฺสา จา’’ติ วจเนน ตุเมฺหหิ สทฺทหิตโพฺพติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘สํวรสีเล ฐิตสฺส อขณฺฑกาตพฺพสฺส สุจิณฺณสฺส ปุญฺญธมฺมสฺส อปาเยหิ รกฺขเณ เอกนฺติกภาโว เกน สุเตฺตน ทีเปตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เอวญฺจ นาฬนฺทาย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เอวญฺจาติ อิมินา อิทานิ วุจฺจมาเนน ปกาเรนปิ วุตฺตปฺปกาโร อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ นาฬนฺทายนฺติ นาฬนฺทนามเก นิคเม นิสิโนฺน อสิพนฺธกนามสฺส ปุโตฺต คามณิ คามเชฎฺฐโก ภควนฺตํ เอตํ วุจฺจมานํ ‘‘พฺราหฺมณา, ภเนฺต’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ

    ‘‘Tathā rakkhatīti kena amhehi saddahitabbo’’ti vattabbattā ‘‘evaṃ bhagavā’’tiādi vuttaṃ. Evaṃ vuttappakārena lakkhaṇapakāradassanaṃ bhagavā ‘‘dvemā, bhikkhave, sīlavato gatiyo devā ca manussā cā’’ti yaṃ vacanaṃ āha, tena ‘‘dvemā…pe… manussā cā’’ti vacanena tumhehi saddahitabboti vuttaṃ hoti. ‘‘Saṃvarasīle ṭhitassa akhaṇḍakātabbassa suciṇṇassa puññadhammassa apāyehi rakkhaṇe ekantikabhāvo kena suttena dīpetabbo’’ti vattabbattā ‘‘evañca nāḷandāya’’ntiādi vuttaṃ. Tattha evañcāti iminā idāni vuccamānena pakārenapi vuttappakāro attho veditabbo. Nāḷandāyanti nāḷandanāmake nigame nisinno asibandhakanāmassa putto gāmaṇi gāmajeṭṭhako bhagavantaṃ etaṃ vuccamānaṃ ‘‘brāhmaṇā, bhante’’tiādivacanaṃ avoca.

    พฺราหฺมณาติ พาหิรกา พฺราหฺมณาฯ ภเนฺตติ ภควนฺตํ คามณิ อาลปติฯ ปจฺฉาภูมกาติ ปจฺฉิมทิสาย นิสินฺนกาฯ อุยฺยาเปนฺตีติ มนุสฺสโลกโต อุทฺธํ เทวโลกํ ยาเปนฺติ ปาเปนฺติฯ

    Brāhmaṇāti bāhirakā brāhmaṇā. Bhanteti bhagavantaṃ gāmaṇi ālapati. Pacchābhūmakāti pacchimadisāya nisinnakā. Uyyāpentīti manussalokato uddhaṃ devalokaṃ yāpenti pāpenti.

    อิธสฺสาติ อิธโลเก อสฺส ภเวยฺยฯ ปุริโส ปาณาติปาตี…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐิโก อสฺส ภเวยฺยาติ โยชนาฯ เสสํ ปาฬิโต เจว วุตฺตานุสาเรน จ เญยฺยํฯ

    Idhassāti idhaloke assa bhaveyya. Puriso pāṇātipātī…pe… micchādiṭṭhiko assa bhaveyyāti yojanā. Sesaṃ pāḷito ceva vuttānusārena ca ñeyyaṃ.

    ๓๒. ‘‘วิสภาคธมฺมสภาคธมฺมาวฎฺฎนวเสน จตุนฺนํ สจฺจานํ นิทฺธาริตภาโว เกน อเมฺหหิ สทฺทหิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เตนาห มหากจฺจาโน เอกมฺหิ ปทฎฺฐาเน’’ติ วุตฺตํฯ

    32. ‘‘Visabhāgadhammasabhāgadhammāvaṭṭanavasena catunnaṃ saccānaṃ niddhāritabhāvo kena amhehi saddahitabbo’’ti vattabbattā ‘‘tenāha mahākaccāno ekamhi padaṭṭhāne’’ti vuttaṃ.

    ‘‘เอตฺตาวตา จ อาวโฎฺฎ หาโร ปริปุโณฺณ, อโญฺญ นิยุโตฺต นตฺถี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘นิยุโตฺต อาวโฎฺฎ หาโร’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺสํ ยสฺสํ ปาฬิยํ โย โย อาวโฎฺฎ หาโร ยถาลาภวเสน โยชิโต, ตสฺสํ ตสฺสํ ปาฬิยํ โส โส อาวโฎฺฎ หาโร ตถา นิทฺธาเรตฺวา ยุโตฺต โยชิโตติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    ‘‘Ettāvatā ca āvaṭṭo hāro paripuṇṇo, añño niyutto natthī’’ti vattabbattā ‘‘niyutto āvaṭṭo hāro’’ti vuttaṃ. Yassaṃ yassaṃ pāḷiyaṃ yo yo āvaṭṭo hāro yathālābhavasena yojito, tassaṃ tassaṃ pāḷiyaṃ so so āvaṭṭo hāro tathā niddhāretvā yutto yojitoti attho daṭṭhabbo.

    อิติ อาวฎฺฎหารวิภเงฺค สตฺติพลานุรูปา รจิตา

    Iti āvaṭṭahāravibhaṅge sattibalānurūpā racitā

    วิภาวนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vibhāvanā niṭṭhitā.

    ปณฺฑิเตหิ ปน อฎฺฐกถาฎีกานุสาเรเนว คมฺภีรโตฺถ วิตฺถารโต วิภชิตฺวา คเหตโพฺพติฯ

    Paṇḍitehi pana aṭṭhakathāṭīkānusāreneva gambhīrattho vitthārato vibhajitvā gahetabboti.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / ๗. อาวฎฺฎหารวิภโงฺค • 7. Āvaṭṭahāravibhaṅgo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ขุทฺทกนิกาย (อฎฺฐกถา) • Khuddakanikāya (aṭṭhakathā) / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā / ๗. อาวฎฺฎหารวิภงฺควณฺณนา • 7. Āvaṭṭahāravibhaṅgavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / ๗. อาวฎฺฎหารวิภงฺควณฺณนา • 7. Āvaṭṭahāravibhaṅgavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact