Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi |
๗. อาวฎฺฎหารวิภโงฺค
7. Āvaṭṭahāravibhaṅgo
๒๙. ตตฺถ กตโม อาวโฎฺฎ หาโร? ‘‘เอกมฺหิ ปทฎฺฐาเน’’ติ อยํฯ
29. Tattha katamo āvaṭṭo hāro? ‘‘Ekamhi padaṭṭhāne’’ti ayaṃ.
ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโร’’ติฯ
Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaro’’ti.
‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถา’’ติ วีริยสฺส ปทฎฺฐานํฯ ‘‘ยุญฺชถ พุทฺธสาสเน’’ติ สมาธิสฺส ปทฎฺฐานํฯ ‘‘ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโร’’ติ ปญฺญาย ปทฎฺฐานํฯ ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถา’’ติ วีริยินฺทฺริยสฺส ปทฎฺฐานํฯ ‘‘ยุญฺชถ พุทฺธสาสเน’’ติ สมาธินฺทฺริยสฺส ปทฎฺฐานํฯ ‘‘ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กุญฺชโร’’ติ ปญฺญินฺทฺริยสฺส ปทฎฺฐานํฯ อิมานิ ปทฎฺฐานานิ เทสนาฯ
‘‘Ārambhatha nikkamathā’’ti vīriyassa padaṭṭhānaṃ. ‘‘Yuñjatha buddhasāsane’’ti samādhissa padaṭṭhānaṃ. ‘‘Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaro’’ti paññāya padaṭṭhānaṃ. ‘‘Ārambhatha nikkamathā’’ti vīriyindriyassa padaṭṭhānaṃ. ‘‘Yuñjatha buddhasāsane’’ti samādhindriyassa padaṭṭhānaṃ. ‘‘Dhunātha maccuno senaṃ, naḷāgāraṃva kuñjaro’’ti paññindriyassa padaṭṭhānaṃ. Imāni padaṭṭhānāni desanā.
อยุญฺชนฺตานํ วา สตฺตานํ โยเค, ยุญฺชนฺตานํ วา อารโมฺภฯ
Ayuñjantānaṃ vā sattānaṃ yoge, yuñjantānaṃ vā ārambho.
ตตฺถ เย น ยุญฺชนฺติ, เต ปมาทมูลกา น ยุญฺชนฺติฯ โส ปมาโท ทุวิโธ ตณฺหามูลโก อวิชฺชามูลโก จฯ ตตฺถ อวิชฺชามูลโก เยน อญฺญาเณน นิวุโต เญยฺยฎฺฐานํ นปฺปชานาติ ปญฺจกฺขนฺธา อุปฺปาทวยธมฺมาติ, อยํ อวิชฺชามูลโกฯ โย ตณฺหามูลโก, โส ติวิโธ อนุปฺปนฺนานํ โภคานํ อุปฺปาทาย ปริเยสโนฺต ปมาทํ อาปชฺชติ, อุปฺปนฺนานํ โภคานํ อารกฺขนิมิตฺตํ ปริโภคนิมิตฺตญฺจ ปมาทํ อาปชฺชติ อยํ โลเก จตุพฺพิโธ ปมาโท เอกวิโธ อวิชฺชาย ติวิโธ ตณฺหายฯ ตตฺถ อวิชฺชาย นามกาโย ปทฎฺฐานํฯ ตณฺหาย รูปกาโย ปทฎฺฐานํฯ ตํ กิสฺส เหตุ, รูปีสุ ภเวสุ อโชฺฌสานํ, อรูปีสุ สโมฺมโห? ตตฺถ รูปกาโย รูปกฺขโนฺธ นามกาโย จตฺตาโร อรูปิโน ขนฺธาฯ อิเม ปญฺจกฺขนฺธา กตเมน อุปาทาเนน สอุปาทานา, ตณฺหาย จ อวิชฺชาย จ? ตตฺถ ตณฺหา เทฺว อุปาทานานิ กามุปาทานญฺจ สีลพฺพตุปาทานญฺจฯ อวิชฺชา เทฺว อุปาทานานิ ทิฎฺฐุปาทานญฺจ อตฺตวาทุปาทานญฺจฯ อิเมหิ จตูหิ อุปาทาเนหิ เย สอุปาทานา ขนฺธา, อิทํ ทุกฺขํฯ จตฺตาริ อุปาทานานิ, อยํ สมุทโยฯ ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขํฯ เตสํ ภควา ปริญฺญาย ปหานาย จ ธมฺมํ เทเสติ ทุกฺขสฺส ปริญฺญาย สมุทยสฺส ปหานายฯ
Tattha ye na yuñjanti, te pamādamūlakā na yuñjanti. So pamādo duvidho taṇhāmūlako avijjāmūlako ca. Tattha avijjāmūlako yena aññāṇena nivuto ñeyyaṭṭhānaṃ nappajānāti pañcakkhandhā uppādavayadhammāti, ayaṃ avijjāmūlako. Yo taṇhāmūlako, so tividho anuppannānaṃ bhogānaṃ uppādāya pariyesanto pamādaṃ āpajjati, uppannānaṃ bhogānaṃ ārakkhanimittaṃ paribhoganimittañca pamādaṃ āpajjati ayaṃ loke catubbidho pamādo ekavidho avijjāya tividho taṇhāya. Tattha avijjāya nāmakāyo padaṭṭhānaṃ. Taṇhāya rūpakāyo padaṭṭhānaṃ. Taṃ kissa hetu, rūpīsu bhavesu ajjhosānaṃ, arūpīsu sammoho? Tattha rūpakāyo rūpakkhandho nāmakāyo cattāro arūpino khandhā. Ime pañcakkhandhā katamena upādānena saupādānā, taṇhāya ca avijjāya ca? Tattha taṇhā dve upādānāni kāmupādānañca sīlabbatupādānañca. Avijjā dve upādānāni diṭṭhupādānañca attavādupādānañca. Imehi catūhi upādānehi ye saupādānā khandhā, idaṃ dukkhaṃ. Cattāri upādānāni, ayaṃ samudayo. Pañcakkhandhā dukkhaṃ. Tesaṃ bhagavā pariññāya pahānāya ca dhammaṃ deseti dukkhassa pariññāya samudayassa pahānāya.
๓๐. ตตฺถ โย ติวิโธ ตณฺหามูลโก ปมาโท อนุปฺปนฺนานํ โภคานํ อุปฺปาทาย ปริเยสติ, อุปฺปนฺนานํ โภคานํ อารกฺขณญฺจ กโรติ ปริโภคนิมิตฺตญฺจ, ตสฺส สมฺปฎิเวเธน รกฺขณา ปฎิสํหรณา, อยํ สมโถฯ
30. Tattha yo tividho taṇhāmūlako pamādo anuppannānaṃ bhogānaṃ uppādāya pariyesati, uppannānaṃ bhogānaṃ ārakkhaṇañca karoti paribhoganimittañca, tassa sampaṭivedhena rakkhaṇā paṭisaṃharaṇā, ayaṃ samatho.
โส กถํ ภวติ? ยทา ชานาติ กามานํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต อาทีนวญฺจ อาทีนวโต นิสฺสรณญฺจ นิสฺสรณโต โอการญฺจ สํกิเลสญฺจ โวทานญฺจ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํฯ ตตฺถ ยา วีมํสา อุปปริกฺขา อยํ วิปสฺสนาฯ อิเม เทฺว ธมฺมา ภาวนาปาริปูริํ คจฺฉนฺติ สมโถ จ วิปสฺสนา จฯ อิเมสุ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ภาวิยมาเนสุ เทฺว ธมฺมา ปหียนฺติ ตณฺหา จ อวิชฺชา จ, อิเมสุ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ ปหีเนสุ จตฺตาริ อุปาทานานิ นิรุชฺฌนฺติฯ อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติฯ อิติ ปุริมกานิ จ เทฺว สจฺจานิ ทุกฺขํ สมุทโย จ, สมโถ จ วิปสฺสนา จ มโคฺคฯ ภวนิโรโธ นิพฺพานํ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานิฯ เตนาห ภควา ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถา’’ติฯ
So kathaṃ bhavati? Yadā jānāti kāmānaṃ assādañca assādato ādīnavañca ādīnavato nissaraṇañca nissaraṇato okārañca saṃkilesañca vodānañca nekkhamme ca ānisaṃsaṃ. Tattha yā vīmaṃsā upaparikkhā ayaṃ vipassanā. Ime dve dhammā bhāvanāpāripūriṃ gacchanti samatho ca vipassanā ca. Imesu dvīsu dhammesu bhāviyamānesu dve dhammā pahīyanti taṇhā ca avijjā ca, imesu dvīsu dhammesu pahīnesu cattāri upādānāni nirujjhanti. Upādānanirodhā bhavanirodho, bhavanirodhā jātinirodho, jātinirodhā jarāmaraṇaṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā nirujjhanti. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa nirodho hoti. Iti purimakāni ca dve saccāni dukkhaṃ samudayo ca, samatho ca vipassanā ca maggo. Bhavanirodho nibbānaṃ imāni cattāri saccāni. Tenāha bhagavā ‘‘ārambhatha nikkamathā’’ti.
ยถาปิ มูเล อนุปทฺทเว ทเฬฺห, ฉิโนฺนปิ รุโกฺข ปุนเรว 3 รูหติ;
Yathāpi mūle anupaddave daḷhe, chinnopi rukkho punareva 4 rūhati;
เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต, นิพฺพตฺตตี ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุนํฯ
Evampi taṇhānusaye anūhate, nibbattatī dukkhamidaṃ punappunaṃ.
อยํ ตณฺหานุสโยฯ กตมสฺสา ตณฺหาย? ภวตณฺหายฯ โย เอตสฺส ธมฺมสฺส ปจฺจโย อยํ อวิชฺชาฯ อวิชฺชาปจฺจยา หิ ภวตณฺหาฯ อิเม เทฺว กิเลสา ตณฺหา จ อวิชฺชา จฯ ตานิ จตฺตาริ อุปาทานานิ เตหิ จตูหิ อุปาทาเนหิ เย สอุปาทานา ขนฺธา, อิทํ ทุกฺขํฯ จตฺตาริ อุปาทานานิ อยํ สมุทโยฯ ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขํฯ เตสํ ภควา ปริญฺญาย จ ปหานาย จ ธมฺมํ เทเสติ ทุกฺขสฺส ปริญฺญาย สมุทยสฺส ปหานายฯ
Ayaṃ taṇhānusayo. Katamassā taṇhāya? Bhavataṇhāya. Yo etassa dhammassa paccayo ayaṃ avijjā. Avijjāpaccayā hi bhavataṇhā. Ime dve kilesā taṇhā ca avijjā ca. Tāni cattāri upādānāni tehi catūhi upādānehi ye saupādānā khandhā, idaṃ dukkhaṃ. Cattāri upādānāni ayaṃ samudayo. Pañcakkhandhā dukkhaṃ. Tesaṃ bhagavā pariññāya ca pahānāya ca dhammaṃ deseti dukkhassa pariññāya samudayassa pahānāya.
เยน ตณฺหานุสยํ สมูหนติ 5, อยํ สมโถฯ เยน ตณฺหานุสยสฺส ปจฺจยํ อวิชฺชํ วารยติ, อยํ วิปสฺสนาฯ อิเม เทฺว ธมฺมา ภาวนาปาริปูริํ คจฺฉนฺติ สมโถ จ วิปสฺสนา จฯ ตตฺถ สมถสฺส ผลํ ราควิราคา เจโตวิมุตฺติ, วิปสฺสนาย ผลํ อวิชฺชาวิราคา ปญฺญาวิมุตฺติฯ อิติ ปุริมกานิ จ เทฺว สจฺจานิ ทุกฺขํ สมุทโย จ, สมโถ วิปสฺสนา จ มโคฺค, เทฺว จ วิมุตฺติโย นิโรโธฯ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานิฯ เตนาห ภควา ‘‘ยถาปิ มูเล’’ติฯ
Yena taṇhānusayaṃ samūhanati 6, ayaṃ samatho. Yena taṇhānusayassa paccayaṃ avijjaṃ vārayati, ayaṃ vipassanā. Ime dve dhammā bhāvanāpāripūriṃ gacchanti samatho ca vipassanā ca. Tattha samathassa phalaṃ rāgavirāgā cetovimutti, vipassanāya phalaṃ avijjāvirāgā paññāvimutti. Iti purimakāni ca dve saccāni dukkhaṃ samudayo ca, samatho vipassanā ca maggo, dve ca vimuttiyo nirodho. Imāni cattāri saccāni. Tenāha bhagavā ‘‘yathāpi mūle’’ti.
‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทา;
‘‘Sabbapāpassa akaraṇaṃ, kusalassa upasampadā;
สพฺพปาปํ นาม ตีณิ ทุจฺจริตานิ กายทุจฺจริตํ วจีทุจฺจริตํ มโนทุจฺจริตํ, เต ทส อกุสลกมฺมปถา ปาณาติปาโต อทินฺนาทานํ กาเมสุมิจฺฉาจาโร มุสาวาโท ปิสุณา วาจา ผรุสา วาจา สมฺผปฺปลาโป อภิชฺฌา พฺยาปาโท มิจฺฉาทิฎฺฐิ, ตานิ เทฺว กมฺมานิ เจตนา เจตสิกญฺจฯ ตตฺถ โย จ ปาณาติปาโต ยา จ ปิสุณา วาจา ยา จ ผรุสา วาจา, อิทํ โทสสมุฎฺฐานํฯ ยญฺจ อทินฺนาทานํ โย จ กาเมสุมิจฺฉาจาโร โย จ มุสาวาโท, อิทํ โลภสมุฎฺฐานํ, โย สมฺผปฺปลาโป, อิทํ โมหสมุฎฺฐานํฯ อิมานิ สตฺต การณานิ เจตนากมฺมํฯ ยา อภิชฺฌา, อยํ โลโภ อกุสลมูลํฯ โย พฺยาปาโท, อยํ โทโส อกุสลมูลํฯ ยา มิจฺฉาทิฎฺฐิ, อยํ มิจฺฉามโคฺคฯ อิมานิ ตีณิ การณานิ เจตสิกกมฺมํฯ เตนาห ‘‘เจตนากมฺมํ เจตสิกกมฺม’’นฺติฯ
Sabbapāpaṃ nāma tīṇi duccaritāni kāyaduccaritaṃ vacīduccaritaṃ manoduccaritaṃ, te dasa akusalakammapathā pāṇātipāto adinnādānaṃ kāmesumicchācāro musāvādo pisuṇā vācā pharusā vācā samphappalāpo abhijjhā byāpādo micchādiṭṭhi, tāni dve kammāni cetanā cetasikañca. Tattha yo ca pāṇātipāto yā ca pisuṇā vācā yā ca pharusā vācā, idaṃ dosasamuṭṭhānaṃ. Yañca adinnādānaṃ yo ca kāmesumicchācāro yo ca musāvādo, idaṃ lobhasamuṭṭhānaṃ, yo samphappalāpo, idaṃ mohasamuṭṭhānaṃ. Imāni satta kāraṇāni cetanākammaṃ. Yā abhijjhā, ayaṃ lobho akusalamūlaṃ. Yo byāpādo, ayaṃ doso akusalamūlaṃ. Yā micchādiṭṭhi, ayaṃ micchāmaggo. Imāni tīṇi kāraṇāni cetasikakammaṃ. Tenāha ‘‘cetanākammaṃ cetasikakamma’’nti.
อกุสลมูลํ ปโยคํ คจฺฉนฺตํ จตุพฺพิธํ อคติํ คจฺฉติ ฉนฺทา โทสา ภยา โมหาฯ ตตฺถ ยํ ฉนฺทา อคติํ คจฺฉติ, อิทํ โลภสมุฎฺฐานํฯ ยํ โทสา อคติํ คจฺฉติ, อิทํ โทสสมุฎฺฐานํฯ ยํ ภยา จ โมหา จ อคติํ คจฺฉติ, อิทํ โมหสมุฎฺฐานํฯ ตตฺถ โลโภ อสุภาย ปหียติฯ โทโส เมตฺตายฯ โมโห ปญฺญายฯ ตถา โลโภ อุเปกฺขาย ปหียติฯ โทโส เมตฺตาย จ กรุณาย จฯ โมโห มุทิตาย ปหานํ อพฺภตฺถํ คจฺฉติฯ เตนาห ภควา ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติฯ
Akusalamūlaṃ payogaṃ gacchantaṃ catubbidhaṃ agatiṃ gacchati chandā dosā bhayā mohā. Tattha yaṃ chandā agatiṃ gacchati, idaṃ lobhasamuṭṭhānaṃ. Yaṃ dosā agatiṃ gacchati, idaṃ dosasamuṭṭhānaṃ. Yaṃ bhayā ca mohā ca agatiṃ gacchati, idaṃ mohasamuṭṭhānaṃ. Tattha lobho asubhāya pahīyati. Doso mettāya. Moho paññāya. Tathā lobho upekkhāya pahīyati. Doso mettāya ca karuṇāya ca. Moho muditāya pahānaṃ abbhatthaṃ gacchati. Tenāha bhagavā ‘‘sabbapāpassa akaraṇa’’nti.
๓๑. สพฺพปาปํ นาม อฎฺฐ มิจฺฉตฺตานิ มิจฺฉาทิฎฺฐิ มิจฺฉาสงฺกโปฺป มิจฺฉาวาจา มิจฺฉากมฺมโนฺต มิจฺฉาอาชีโว มิจฺฉาวายาโม มิจฺฉาสติ มิจฺฉาสมาธิ, อิทํ วุจฺจติ สพฺพปาปํฯ อิเมสํ อฎฺฐนฺนํ มิจฺฉตฺตานํ ยา อกิริยา อกรณํ อนชฺฌาจาโร, อิทํ วุจฺจติ สพฺพปาปสฺส อกรณํฯ
31. Sabbapāpaṃ nāma aṭṭha micchattāni micchādiṭṭhi micchāsaṅkappo micchāvācā micchākammanto micchāājīvo micchāvāyāmo micchāsati micchāsamādhi, idaṃ vuccati sabbapāpaṃ. Imesaṃ aṭṭhannaṃ micchattānaṃ yā akiriyā akaraṇaṃ anajjhācāro, idaṃ vuccati sabbapāpassa akaraṇaṃ.
อฎฺฐสุ มิจฺฉเตฺตสุ ปหีเนสุ อฎฺฐ สมฺมตฺตานิ สมฺปชฺชนฺติฯ อฎฺฐนฺนํ สมฺมตฺตานํ ยา กิริยา กรณํ สมฺปาทนํ, อยํ วุจฺจติ กุสลสฺส อุปสมฺปทาฯ สจิตฺตปริโยทาปนนฺติ อตีตสฺส มคฺคสฺส ภาวนากิริยํ ทสฺสยติ, จิเตฺต ปริโยทาปิเต 9 ปญฺจกฺขนฺธา ปริโยทาปิตา ภวนฺติ, เอวญฺหิ ภควา อาห ‘‘เจโตวิสุทฺธตฺถํ, ภิกฺขเว, ตถาคเต พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติฯ ทุวิธา หิ ปริโยทาปนา นีวรณปฺปหานญฺจ อนุสยสมุคฺฆาโต จฯ เทฺว ปริโยทาปนภูมิโย ทสฺสนภูมิ จ, ภาวนาภูมิ จ, ตตฺถ ยํ ปฎิเวเธน ปริโยทาเปติ, อิทํ ทุกฺขํฯ ยโต ปริโยทาเปติ, อยํ สมุทโยฯ เยน ปริโยทาเปติ, อยํ มโคฺคฯ ยํ ปริโยทาปิตํ, อยํ นิโรโธฯ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานิฯ เตนาห ภควา ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติฯ
Aṭṭhasu micchattesu pahīnesu aṭṭha sammattāni sampajjanti. Aṭṭhannaṃ sammattānaṃ yā kiriyā karaṇaṃ sampādanaṃ, ayaṃ vuccati kusalassa upasampadā. Sacittapariyodāpananti atītassa maggassa bhāvanākiriyaṃ dassayati, citte pariyodāpite 10 pañcakkhandhā pariyodāpitā bhavanti, evañhi bhagavā āha ‘‘cetovisuddhatthaṃ, bhikkhave, tathāgate brahmacariyaṃ vussatī’’ti. Duvidhā hi pariyodāpanā nīvaraṇappahānañca anusayasamugghāto ca. Dve pariyodāpanabhūmiyo dassanabhūmi ca, bhāvanābhūmi ca, tattha yaṃ paṭivedhena pariyodāpeti, idaṃ dukkhaṃ. Yato pariyodāpeti, ayaṃ samudayo. Yena pariyodāpeti, ayaṃ maggo. Yaṃ pariyodāpitaṃ, ayaṃ nirodho. Imāni cattāri saccāni. Tenāha bhagavā ‘‘sabbapāpassa akaraṇa’’nti.
‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ, ฉตฺตํ มหนฺตํ ยถ วสฺสกาเล;
‘‘Dhammo have rakkhati dhammacāriṃ, chattaṃ mahantaṃ yatha vassakāle;
เอสานิสํโส ธเมฺม สุจิเณฺณ, น ทุคฺคติํ คจฺฉติ ธมฺมจารี’’ติฯ
Esānisaṃso dhamme suciṇṇe, na duggatiṃ gacchati dhammacārī’’ti.
ธโมฺม นาม ทุวิโธ อินฺทฺริยสํวโร มโคฺค จฯ ทุคฺคติ นาม ทุวิธา เทวมนุเสฺส วา อุปนิธาย อปายา ทุคฺคติ, นิพฺพานํ วา อุปนิธาย สพฺพา อุปปตฺติโย ทุคฺคติฯ ตตฺถ ยา สํวรสีเล อขณฺฑการิตา, อยํ ธโมฺม สุจิโณฺณ อปาเยหิ รกฺขติฯ เอวํ ภควา อาห – เทฺวมา, ภิกฺขเว, สีลวโต คติโย เทวา จ มนุสฺสา จฯ เอวญฺจ นาฬนฺทายํ นิคเม อสิพนฺธกปุโตฺต คามณิ ภควนฺตํ เอตทโวจ –
Dhammo nāma duvidho indriyasaṃvaro maggo ca. Duggati nāma duvidhā devamanusse vā upanidhāya apāyā duggati, nibbānaṃ vā upanidhāya sabbā upapattiyo duggati. Tattha yā saṃvarasīle akhaṇḍakāritā, ayaṃ dhammo suciṇṇo apāyehi rakkhati. Evaṃ bhagavā āha – dvemā, bhikkhave, sīlavato gatiyo devā ca manussā ca. Evañca nāḷandāyaṃ nigame asibandhakaputto gāmaṇi bhagavantaṃ etadavoca –
‘‘พฺราหฺมณา, ภเนฺต, ปจฺฉาภูมกา กามณฺฑลุกา เสวาลมาลิกา อุทโกโรหกา อคฺคิปริจารกา, เต มตํ กาลงฺกตํ อุยฺยาเปนฺติ นาม, สญฺญาเปนฺติ นาม, สคฺคํ นาม โอกฺกาเมนฺติ 11ฯ ภควา ปน, ภเนฺต, อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปโหติ ตถา กาตุํ, ยถา สโพฺพ โลโก กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปเชฺชยฺยา’’ติฯ
‘‘Brāhmaṇā, bhante, pacchābhūmakā kāmaṇḍalukā sevālamālikā udakorohakā aggiparicārakā, te mataṃ kālaṅkataṃ uyyāpenti nāma, saññāpenti nāma, saggaṃ nāma okkāmenti 12. Bhagavā pana, bhante, arahaṃ sammāsambuddho pahoti tathā kātuṃ, yathā sabbo loko kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjeyyā’’ti.
‘‘เตน หิ, คามณิ, ตเญฺญเวตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามิ, ยถา เต ขเมยฺย, ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสีติฯ
‘‘Tena hi, gāmaṇi, taññevettha paṭipucchissāmi, yathā te khameyya, tathā naṃ byākareyyāsīti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, อิธสฺส ปุริโส ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี กาเมสุมิจฺฉาจารี มุสาวาที ปิสุณวาโจ ผรุสวาโจ สมฺผปฺปลาปี อภิชฺฌาลุ พฺยาปนฺนจิโตฺต มิจฺฉาทิฎฺฐิโก, ตเมนํ มหาชนกาโย สงฺคมฺม สมาคมฺม อายาเจยฺย โถเมยฺย ปญฺชลิโก อนุปริสเกฺกยฺย ‘อยํ ปุริโส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตู’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, อปิ นุ โส ปุริโส มหโต ชนกายสฺส อายาจนเหตุ วา โถมนเหตุวา ปญฺชลิกํ 13 อนุปริสกฺกนเหตุ วา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปเชฺชยฺยา’’ติฯ ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, idhassa puriso pāṇātipātī adinnādāyī kāmesumicchācārī musāvādī pisuṇavāco pharusavāco samphappalāpī abhijjhālu byāpannacitto micchādiṭṭhiko, tamenaṃ mahājanakāyo saṅgamma samāgamma āyāceyya thomeyya pañjaliko anuparisakkeyya ‘ayaṃ puriso kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjatū’ti. Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, api nu so puriso mahato janakāyassa āyācanahetu vā thomanahetuvā pañjalikaṃ 14 anuparisakkanahetu vā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjeyyā’’ti. ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘เสยฺยถาปิ, คามณิ, ปุริโส มหติํ ปุถุสิลํ คมฺภีเร อุทกรหเท 15 ปกฺขิเปยฺย, ตเมนํ มหาชนกาโย สงฺคมฺม สมาคมฺม อายาเจยฺย โถเมยฺย ปญฺชลิโก อนุปริสเกฺกยฺย ‘อุมฺมุชฺช, โภ, ปุถุสิเล, อุปฺลว โภ ปุถุสิเล, ถลมุปฺลว, โภ ปุถุสิเล’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ คามณิ, อปิ นุ สา มหตี ปุถุสิลา มหโต ชนกายสฺส อายาจนเหตุ วา โถมนเหตุ วา ปญฺชลิกํ อนุปริสกฺกนเหตุ วา อุมฺมุเชฺชยฺย วา อุปฺลเวยฺย วา ถลํ วา อุปฺลเวยฺยา’’ติฯ ‘‘โน เหตํ , ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวเมว โข, คามณิ, โย โส ปุริโส ปาณาติปาตี…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐิโก, กิญฺจาปิ นํ มหาชนกาโย สงฺคมฺม สมาคมฺม อายาเจยฺย โถเมยฺย ปญฺชลิโก อนุปริสเกฺกยฺย ‘อยํ ปุริโส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตู’ติฯ อถ โข โส ปุริโส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปเชฺชยฺยฯ
‘‘Seyyathāpi, gāmaṇi, puriso mahatiṃ puthusilaṃ gambhīre udakarahade 16 pakkhipeyya, tamenaṃ mahājanakāyo saṅgamma samāgamma āyāceyya thomeyya pañjaliko anuparisakkeyya ‘ummujja, bho, puthusile, uplava bho puthusile, thalamuplava, bho puthusile’ti. Taṃ kiṃ maññasi gāmaṇi, api nu sā mahatī puthusilā mahato janakāyassa āyācanahetu vā thomanahetu vā pañjalikaṃ anuparisakkanahetu vā ummujjeyya vā uplaveyya vā thalaṃ vā uplaveyyā’’ti. ‘‘No hetaṃ , bhante’’. ‘‘Evameva kho, gāmaṇi, yo so puriso pāṇātipātī…pe… micchādiṭṭhiko, kiñcāpi naṃ mahājanakāyo saṅgamma samāgamma āyāceyya thomeyya pañjaliko anuparisakkeyya ‘ayaṃ puriso kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjatū’ti. Atha kho so puriso kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjeyya.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, อิธสฺส ปุริโส ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฎิวิรโต มุสาวาทา ปฎิวิรโต ปิสุณาย วาจาย ปฎิวิรโต ผรุสาย วาจาย ปฎิวิรโต สมฺผปฺปลาปา ปฎิวิรโต อนภิชฺฌาลุ อพฺยาปนฺนจิโตฺต สมฺมาทิฎฺฐิโก, ตเมนํ มหาชนกาโย สงฺคมฺม สมาคมฺม อายาเจยฺย โถเมยฺย ปญฺชลิโก อนุปริสเกฺกยฺย ‘อยํ ปุริโส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตู’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, อปิ นุ โส ปุริโส มหโต ชนกายสฺส อายาจนเหตุ วา โถมนเหตุ วา ปญฺชลิกํ อนุปริสกฺกนเหตุ วา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปเชฺชยฺยา’’ติฯ ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, idhassa puriso pāṇātipātā paṭivirato adinnādānā paṭivirato kāmesumicchācārā paṭivirato musāvādā paṭivirato pisuṇāya vācāya paṭivirato pharusāya vācāya paṭivirato samphappalāpā paṭivirato anabhijjhālu abyāpannacitto sammādiṭṭhiko, tamenaṃ mahājanakāyo saṅgamma samāgamma āyāceyya thomeyya pañjaliko anuparisakkeyya ‘ayaṃ puriso kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjatū’ti. Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, api nu so puriso mahato janakāyassa āyācanahetu vā thomanahetu vā pañjalikaṃ anuparisakkanahetu vā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjeyyā’’ti. ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘เสยฺยถาปิ, คามณิ, ปุริโส สปฺปิกุมฺภํ วา เตลกุมฺภํ วา คมฺภีเร 17 อุทกรหเท โอคาเหตฺวา ภิเนฺทยฺยฯ ตตฺร ยาสฺส สกฺขรา วา กฐลา 18, สา อโธคามี อสฺสฯ ยญฺจ ขฺวสฺส ตตฺร สปฺปิ วา เตลํ วา, ตํ อุทฺธํคามิ อสฺสฯ ตเมนํ มหาชนกาโย สงฺคมฺม สมาคมฺม อายาเจยฺย โถเมยฺย ปญฺชลิโก อนุปริสเกฺกยฺย ‘โอสีท, โภ สปฺปิเตล, สํสีท, โภ สปฺปิเตล, อโธ คจฺฉ 19‘โภ สปฺปิเตลา’ติฯ ตํ กิํ มญฺญสิ คามณิ, อปิ นุ ตํ สปฺปิเตลํ มหโต ชนกายสฺส อายาจนเหตุ วา โถมนเหตุ วา ปญฺชลิกํ อนุปริสกฺกนเหตุ วา ‘โอสีเทยฺย วา สํสีเทยฺย วา อโธ วา คเจฺฉยฺยา’ติฯ ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Seyyathāpi, gāmaṇi, puriso sappikumbhaṃ vā telakumbhaṃ vā gambhīre 20 udakarahade ogāhetvā bhindeyya. Tatra yāssa sakkharā vā kaṭhalā 21, sā adhogāmī assa. Yañca khvassa tatra sappi vā telaṃ vā, taṃ uddhaṃgāmi assa. Tamenaṃ mahājanakāyo saṅgamma samāgamma āyāceyya thomeyya pañjaliko anuparisakkeyya ‘osīda, bho sappitela, saṃsīda, bho sappitela, adho gaccha 22‘bho sappitelā’ti. Taṃ kiṃ maññasi gāmaṇi, api nu taṃ sappitelaṃ mahato janakāyassa āyācanahetu vā thomanahetu vā pañjalikaṃ anuparisakkanahetu vā ‘osīdeyya vā saṃsīdeyya vā adho vā gaccheyyā’ti. ‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘เอวเมว โข, คามณิ, โย โส ปุริโส ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต…เป.… สมฺมาทิฎฺฐิโก, กิญฺจาปิ นํ มหาชนกาโย สงฺคมฺม สมาคมฺม อายาเจยฺย โถเมยฺย ปญฺชลิโก อนุปริสเกฺกยฺย ‘อยํ ปุริโส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตู’’’ติฯ อถ โข โส ปุริโส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปเชฺชยฺยฯ อิติ ธโมฺม สุจิโณฺณ อปาเยหิ รกฺขติฯ ตตฺถ ยา มคฺคสฺส ติกฺขตา อธิมตฺตตา, อยํ ธโมฺม สุจิโณฺณ สพฺพาหิ อุปปตฺตีหิ รกฺขติฯ เอวํ ภควา อาห –
‘‘Evameva kho, gāmaṇi, yo so puriso pāṇātipātā paṭivirato…pe… sammādiṭṭhiko, kiñcāpi naṃ mahājanakāyo saṅgamma samāgamma āyāceyya thomeyya pañjaliko anuparisakkeyya ‘ayaṃ puriso kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjatū’’’ti. Atha kho so puriso kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjeyya. Iti dhammo suciṇṇo apāyehi rakkhati. Tattha yā maggassa tikkhatā adhimattatā, ayaṃ dhammo suciṇṇo sabbāhi upapattīhi rakkhati. Evaṃ bhagavā āha –
สมฺมาทิฎฺฐิปุเรกฺขาโร, ญตฺวาน อุทยพฺพยํ;
Sammādiṭṭhipurekkhāro, ñatvāna udayabbayaṃ;
ถินมิทฺธาภิภู ภิกฺขุ, สพฺพา ทุคฺคติโย ชเห’’ติฯ
Thinamiddhābhibhū bhikkhu, sabbā duggatiyo jahe’’ti.
๓๒. ตตฺถ ทุคฺคตีนํ เหตุ ตณฺหา จ อวิชฺชา จ, ตานิ จตฺตาริ อุปาทานานิ, เตหิ จตูหิ อุปาทาเนหิ เย สอุปาทานา ขนฺธา, อิทํ ทุกฺขํฯ จตฺตาริ อุปาทานานิ, อยํ สมุทโยฯ ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขํ, เตสํ ภควา ปริญฺญาย จ ปหานาย จ ธมฺมํ เทเสติ ทุกฺขสฺส ปริญฺญาย สมุทยสฺส ปหานายฯ ตตฺถ ตณฺหาย ปญฺจินฺทฺริยานิ รูปีนิ ปทฎฺฐานํฯ อวิชฺชาย มนินฺทฺริยํ ปทฎฺฐานํฯ ปญฺจินฺทฺริยานิ รูปีนิ รกฺขโนฺต สมาธิํ ภาวยติ, ตณฺหญฺจ นิคฺคณฺหาติฯ มนินฺทฺริยํ รกฺขโนฺต วิปสฺสนํ ภาวยติ, อวิชฺชญฺจ นิคฺคณฺหาติฯ ตณฺหานิคฺคเหน เทฺว อุปาทานานิ ปหียนฺติ กามุปาทานญฺจ สีลพฺพตุปาทานญฺจฯ อวิชฺชานิคฺคเหน เทฺว อุปาทานานิ ปหียนฺติ ทิฎฺฐุปาทานญฺจ อตฺตวาทุปาทานญฺจฯ จตูสุ อุปาทาเนสุ ปหีเนสุ เทฺว ธมฺมา ภาวนาปาริปูริํ คจฺฉนฺติ สมโถ จ วิปสฺสนา จฯ อิทํ วุจฺจติ พฺรหฺมจริยนฺติฯ
32. Tattha duggatīnaṃ hetu taṇhā ca avijjā ca, tāni cattāri upādānāni, tehi catūhi upādānehi ye saupādānā khandhā, idaṃ dukkhaṃ. Cattāri upādānāni, ayaṃ samudayo. Pañcakkhandhā dukkhaṃ, tesaṃ bhagavā pariññāya ca pahānāya ca dhammaṃ deseti dukkhassa pariññāya samudayassa pahānāya. Tattha taṇhāya pañcindriyāni rūpīni padaṭṭhānaṃ. Avijjāya manindriyaṃ padaṭṭhānaṃ. Pañcindriyāni rūpīni rakkhanto samādhiṃ bhāvayati, taṇhañca niggaṇhāti. Manindriyaṃ rakkhanto vipassanaṃ bhāvayati, avijjañca niggaṇhāti. Taṇhāniggahena dve upādānāni pahīyanti kāmupādānañca sīlabbatupādānañca. Avijjāniggahena dve upādānāni pahīyanti diṭṭhupādānañca attavādupādānañca. Catūsu upādānesu pahīnesu dve dhammā bhāvanāpāripūriṃ gacchanti samatho ca vipassanā ca. Idaṃ vuccati brahmacariyanti.
ตตฺถ พฺรหฺมจริยสฺส ผลํ จตฺตาริ สามญฺญผลานิ โสตาปตฺติผลํ สกทาคามิผลํ อนาคามิผลํ อรหตฺตํ 25 อคฺคผลํฯ อิมานิ จตฺตาริ พฺรหฺมจริยสฺส ผลานิ 26ฯ อิติ ปุริมกานิ จ เทฺว สจฺจานิ ทุกฺขํ สมุทโย จฯ สมโถ จ วิปสฺสนา จ พฺรหฺมจริยญฺจ มโคฺค, พฺรหฺมจริยสฺส ผลานิ จ ตทารมฺมณา จ อสงฺขตาธาตุ นิโรโธฯ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานิฯ เตนาห ภควา ‘‘ธโมฺม หเว รกฺขตี’’ติฯ
Tattha brahmacariyassa phalaṃ cattāri sāmaññaphalāni sotāpattiphalaṃ sakadāgāmiphalaṃ anāgāmiphalaṃ arahattaṃ 27 aggaphalaṃ. Imāni cattāri brahmacariyassa phalāni 28. Iti purimakāni ca dve saccāni dukkhaṃ samudayo ca. Samatho ca vipassanā ca brahmacariyañca maggo, brahmacariyassa phalāni ca tadārammaṇā ca asaṅkhatādhātu nirodho. Imāni cattāri saccāni. Tenāha bhagavā ‘‘dhammo have rakkhatī’’ti.
ตตฺถ ยํ ปฎิเวเธน รกฺขติ, อิทํ ทุกฺขํฯ ยโต รกฺขติ, อยํ สมุทโยฯ เยน รกฺขติ, อยํ มโคฺคฯ ยํ รกฺขติ, อยํ นิโรโธฯ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานิฯ เตนาห อายสฺมา มหากจฺจายโน ‘‘เอกมฺหิ ปทฎฺฐาเน’’ติฯ
Tattha yaṃ paṭivedhena rakkhati, idaṃ dukkhaṃ. Yato rakkhati, ayaṃ samudayo. Yena rakkhati, ayaṃ maggo. Yaṃ rakkhati, ayaṃ nirodho. Imāni cattāri saccāni. Tenāha āyasmā mahākaccāyano ‘‘ekamhi padaṭṭhāne’’ti.
นิยุโตฺต อาวโฎฺฎ หาโรฯ
Niyutto āvaṭṭo hāro.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ขุทฺทกนิกาย (อฎฺฐกถา) • Khuddakanikāya (aṭṭhakathā) / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā / ๗. อาวฎฺฎหารวิภงฺควณฺณนา • 7. Āvaṭṭahāravibhaṅgavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / ๗. อาวฎฺฎหารวิภงฺควณฺณนา • 7. Āvaṭṭahāravibhaṅgavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī / ๗. อาวฎฺฎหารวิภงฺควิภาวนา • 7. Āvaṭṭahāravibhaṅgavibhāvanā