Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
(๗) ๒. ยมกวโคฺค
(7) 2. Yamakavaggo
๑-๗. อวิชฺชาสุตฺตาทิวณฺณนา
1-7. Avijjāsuttādivaṇṇanā
๖๑-๖๗. ทุติยสฺส ปฐมาทีนิ อุตฺตานตฺถานิฯ สตฺตเม นฬกปานเกติ เอวํนามเก นิคเมฯ ปุเพฺพ กิร (ชา. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๙ อาทโย) อมฺหากํ โพธิสโตฺต กปิโยนิยํ นิพฺพโตฺต มหากาโย กปิราชา หุตฺวา อเนกสตวานรสหสฺสปริวุโต ปพฺพตปาเท วิจริ, ปญฺญวา โข ปน โหติ มหาปโญฺญฯ โส ปริสํ เอวํ โอวทติ, ‘‘ตาตา, อิมสฺมิํ ปพฺพตปาเท วิสผลานิ โหนฺติ, อมนุสฺสปริคฺคหิตา โปกฺขรณิกา นาม โหนฺติ, ตุเมฺห ปุเพฺพ ขาทิตปุพฺพาเนว ผลานิ ขาทถ, ปีตปุพฺพาเนว ปานียานิ ปิวถ, เอตฺถ โว ปฎิปุจฺฉิตกิจฺจํ นตฺถี’’ติฯ เต อปีตปุพฺพํ ทิสฺวา สหสาว อปิวิตฺวา สมนฺตา ปริธาวิตฺวา มหาสตฺตสฺส อาคมนํ โอโลกยมานา นิสีทิํสุฯ มหาสโตฺต อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ, ตาตา, ปานียํ น ปิวถา’’ติ อาหฯ ตุมฺหากํ อาคมนํ โอโลเกมาติฯ ‘‘สาธุ, ตาตา’’ติ สมนฺตา ปทํ ปริเยสมาโน โอติณฺณปทํเยว อทฺทส, น อุตฺติณฺณปทํฯ อทิสฺวา ‘‘สปริสฺสยา’’ติ อญฺญาสิฯ ตาวเทว จ ตตฺถ อภินิพฺพตฺตอมนุโสฺส อุทกํ เทฺวธา กตฺวา อุฎฺฐาสิ – เสตมุโข, นีลกุจฺฉิ, รตฺตหตฺถปาโท, มหาทาฐิโก, วนฺตทาโฐ, วิรูโป, พีภโจฺฉ, อุทกรกฺขโสฯ โส เอวมาห – ‘‘กสฺมา ปานียํ น ปิวถ, มธุรํ อุทกํ ปิวถ, กิํ ตุเมฺห เอตสฺส วจนํ สุณาถา’’ติฯ มหาสโตฺต อาห ‘‘ตฺวํ อธิวโตฺถ อมนุโสฺส’’ติ? อามาหนฺติฯ ‘‘ตฺวํ อิธ โอติเณฺณ ลภสี’’ติ อาหฯ อาม, ตุเมฺห ปน สเพฺพ ขาทิสฺสามีติฯ น สกฺขิสฺสสิ ยกฺขาติฯ ปานียํ ปน ปิวิสฺสถาติฯ อาม, ปิวิสฺสามาติฯ เอวํ สเนฺต เอกมฺปิ วานรํ น มุญฺจิสฺสนฺติฯ ‘‘ปานียญฺจ ปิวิสฺสาม, น จ เต วสํ คมิสฺสามา’’ติ นฬํ อาหราเปตฺวา โกฎิยํ คเหตฺวา ธมิฯ สโพฺพ เอกจฺฉิโทฺท อโหสิฯ ตีเร นิสีทิตฺวาว ปานียํ ปิวิฯ เสสวานรานมฺปิ ปาฎิเยกฺกํ นฬํ อาหราเปตฺวา ธมิตฺวา อทาสิฯ สเพฺพ เต ปสฺสนฺตเสฺสว ปานียํ ปิวิํสุฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
61-67. Dutiyassa paṭhamādīni uttānatthāni. Sattame naḷakapānaketi evaṃnāmake nigame. Pubbe kira (jā. aṭṭha. 1.1.19 ādayo) amhākaṃ bodhisatto kapiyoniyaṃ nibbatto mahākāyo kapirājā hutvā anekasatavānarasahassaparivuto pabbatapāde vicari, paññavā kho pana hoti mahāpañño. So parisaṃ evaṃ ovadati, ‘‘tātā, imasmiṃ pabbatapāde visaphalāni honti, amanussapariggahitā pokkharaṇikā nāma honti, tumhe pubbe khāditapubbāneva phalāni khādatha, pītapubbāneva pānīyāni pivatha, ettha vo paṭipucchitakiccaṃ natthī’’ti. Te apītapubbaṃ disvā sahasāva apivitvā samantā paridhāvitvā mahāsattassa āgamanaṃ olokayamānā nisīdiṃsu. Mahāsatto āgantvā ‘‘kiṃ, tātā, pānīyaṃ na pivathā’’ti āha. Tumhākaṃ āgamanaṃ olokemāti. ‘‘Sādhu, tātā’’ti samantā padaṃ pariyesamāno otiṇṇapadaṃyeva addasa, na uttiṇṇapadaṃ. Adisvā ‘‘saparissayā’’ti aññāsi. Tāvadeva ca tattha abhinibbattaamanusso udakaṃ dvedhā katvā uṭṭhāsi – setamukho, nīlakucchi, rattahatthapādo, mahādāṭhiko, vantadāṭho, virūpo, bībhaccho, udakarakkhaso. So evamāha – ‘‘kasmā pānīyaṃ na pivatha, madhuraṃ udakaṃ pivatha, kiṃ tumhe etassa vacanaṃ suṇāthā’’ti. Mahāsatto āha ‘‘tvaṃ adhivattho amanusso’’ti? Āmāhanti. ‘‘Tvaṃ idha otiṇṇe labhasī’’ti āha. Āma, tumhe pana sabbe khādissāmīti. Na sakkhissasi yakkhāti. Pānīyaṃ pana pivissathāti. Āma, pivissāmāti. Evaṃ sante ekampi vānaraṃ na muñcissanti. ‘‘Pānīyañca pivissāma, na ca te vasaṃ gamissāmā’’ti naḷaṃ āharāpetvā koṭiyaṃ gahetvā dhami. Sabbo ekacchiddo ahosi. Tīre nisīditvāva pānīyaṃ pivi. Sesavānarānampi pāṭiyekkaṃ naḷaṃ āharāpetvā dhamitvā adāsi. Sabbe te passantasseva pānīyaṃ piviṃsu. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ทิสฺวา ปทมนุตฺติณฺณํ, ทิสฺวาโนตริตํ ปทํ;
‘‘Disvā padamanuttiṇṇaṃ, disvānotaritaṃ padaṃ;
นเฬน วาริํ ปิสฺสาม, เนว มํ ตฺวํ วธิสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๒๐);
Naḷena vāriṃ pissāma, neva maṃ tvaṃ vadhissasī’’ti. (jā. 1.1.20);
ตโต ปฎฺฐาย ยาว อชฺชทิวสา ตสฺมิํ ฐาเน นฬา เอกจฺฉิทฺทาว โหนฺติฯ อิมสฺมิญฺหิ กเปฺป กปฺปฎฺฐิยปาฎิหาริยานิ นาม จเนฺท สสลกฺขณํ (ชา. ๑.๔.๖๑ อาทโย), วฎฺฎชาตเก (ชา. ๑.๑.๓๕) สจฺจกิริยฎฺฐาเน อคฺคิชาลสฺส อาคมนุปเจฺฉโท, ฆฎีการสฺส มาตาปิตูนํ วสนฎฺฐาเน อโนวสฺสนํ (ม. นิ. ๒.๒๙๑), โปกฺขรณิยา ตีเร นฬานํ เอกจฺฉิทฺทภาโวติฯ อิติ สา โปกฺขรณี นเฬน ปานียสฺส ปิวิตตฺตา ‘‘นฬกปานกา’’ติ นามํ ลภิฯ อปรภาเค ตํ โปกฺขรณิํ นิสฺสาย นิคโม ปติฎฺฐาสิ, ตสฺสปิ ‘‘นฬกปาน’’เนฺตฺวว นามํ ชาตํฯ ตํ ปน สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘นฬกปาเน’’ติฯ ปลาสวเนติ กิํสุกวเนฯ
Tato paṭṭhāya yāva ajjadivasā tasmiṃ ṭhāne naḷā ekacchiddāva honti. Imasmiñhi kappe kappaṭṭhiyapāṭihāriyāni nāma cande sasalakkhaṇaṃ (jā. 1.4.61 ādayo), vaṭṭajātake (jā. 1.1.35) saccakiriyaṭṭhāne aggijālassa āgamanupacchedo, ghaṭīkārassa mātāpitūnaṃ vasanaṭṭhāne anovassanaṃ (ma. ni. 2.291), pokkharaṇiyā tīre naḷānaṃ ekacchiddabhāvoti. Iti sā pokkharaṇī naḷena pānīyassa pivitattā ‘‘naḷakapānakā’’ti nāmaṃ labhi. Aparabhāge taṃ pokkharaṇiṃ nissāya nigamo patiṭṭhāsi, tassapi ‘‘naḷakapāna’’ntveva nāmaṃ jātaṃ. Taṃ pana sandhāya vuttaṃ ‘‘naḷakapāne’’ti. Palāsavaneti kiṃsukavane.
ตุณฺหีภูตํ ตุณฺหีภูตนฺติ พฺยาปนิจฺฉายํ อิทํ อาเมฑิตวจนนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยํ ยํ ทิส’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อนุวิโลเกตฺวาติ เอตฺถ อนุ-สโทฺท ‘‘ปรี’’ติ อิมินา สมานโตฺถติ อาห ‘‘ตโต ตโต วิโลเกตฺวา’’ติฯ กสฺมา อาคิลายติ โกฎิสหสฺสหตฺถินาคานํ พลํ ธาเรนฺตสฺสาติ โจทกสฺส อธิปฺปาโยฯ อาจริโย ปนสฺส ‘‘เอส สงฺขารานํ สภาโว, ยทิทํ อนิจฺจตาฯ เย ปน อนิจฺจา, เต เอกเนฺตเนว อุทยวยปฺปฎิปีฬิตตาย ทุกฺขา เอวฯ ทุกฺขสภาเวสุ เตสุ สตฺถุกาเย ทุกฺขุปฺปตฺติยา อยํ ปจฺจโย’’ติ ทเสฺสตุํ ‘‘ภควโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปิฎฺฐิวาโต อุปฺปชฺชิ, โส จ โข ปุเพฺพกตกมฺมปจฺจยาฯ เอตฺถาห ‘‘กิํ ปน ตํ กมฺมํ, เยน อปริมาณกาลํ สกฺกจฺจํ อุปจิตวิปุลปุญฺญสมฺภาโร สตฺถา เอวรูปํ ทุกฺขวิปากมนุภวตี’’ติ? วุจฺจเต – อยเมว ภควา โพธิสตฺตภูโต อตีตชาติยํ มลฺลปุโตฺต หุตฺวา ปาปชนเสวี อโยนิโสมนสิการพหุโล จรติฯ โส เอกทิวสํ นิพฺพุเทฺธ วตฺตมาเน เอกํ มลฺลปุตฺตํ คเหตฺวา คาฬฺหตรํ นิปฺปีเฬสิฯ เตน กเมฺมน อิทานิ พุโทฺธ หุตฺวาปิ ทุกฺขมนุภวิฯ ยถา เจตํ, เอวํ จิญฺจมาณวิกาทีนมิตฺถีนํ ยานิ ภควโต อพฺภกฺขานาทีนิ ทุกฺขานิ, สพฺพานิ ปุเพฺพกตสฺส วิปากาวเสสานิ, ยานิ กมฺมปิโลติกานีติ วุจฺจนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๓๙.๖๔-๙๖) –
Tuṇhībhūtaṃ tuṇhībhūtanti byāpanicchāyaṃ idaṃ āmeḍitavacananti dassetuṃ ‘‘yaṃ yaṃ disa’’ntiādi vuttaṃ. Anuviloketvāti ettha anu-saddo ‘‘parī’’ti iminā samānatthoti āha ‘‘tato tato viloketvā’’ti. Kasmā āgilāyati koṭisahassahatthināgānaṃ balaṃ dhārentassāti codakassa adhippāyo. Ācariyo panassa ‘‘esa saṅkhārānaṃ sabhāvo, yadidaṃ aniccatā. Ye pana aniccā, te ekanteneva udayavayappaṭipīḷitatāya dukkhā eva. Dukkhasabhāvesu tesu satthukāye dukkhuppattiyā ayaṃ paccayo’’ti dassetuṃ ‘‘bhagavato’’tiādi vuttaṃ. Piṭṭhivāto uppajji, so ca kho pubbekatakammapaccayā. Etthāha ‘‘kiṃ pana taṃ kammaṃ, yena aparimāṇakālaṃ sakkaccaṃ upacitavipulapuññasambhāro satthā evarūpaṃ dukkhavipākamanubhavatī’’ti? Vuccate – ayameva bhagavā bodhisattabhūto atītajātiyaṃ mallaputto hutvā pāpajanasevī ayonisomanasikārabahulo carati. So ekadivasaṃ nibbuddhe vattamāne ekaṃ mallaputtaṃ gahetvā gāḷhataraṃ nippīḷesi. Tena kammena idāni buddho hutvāpi dukkhamanubhavi. Yathā cetaṃ, evaṃ ciñcamāṇavikādīnamitthīnaṃ yāni bhagavato abbhakkhānādīni dukkhāni, sabbāni pubbekatassa vipākāvasesāni, yāni kammapilotikānīti vuccanti. Vuttañhetaṃ apadāne (apa. thera 1.39.64-96) –
‘‘อโนตตฺตสราสเนฺน, รมณีเย สิลาตเล;
‘‘Anotattasarāsanne, ramaṇīye silātale;
นานารตนปโชฺชเต, นานาคนฺธวนนฺตเรฯ
Nānāratanapajjote, nānāgandhavanantare.
‘‘มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน, ปเรโต โลกนายโก;
‘‘Mahatā bhikkhusaṅghena, pareto lokanāyako;
อาสีโน พฺยากรี ตตฺถ, ปุพฺพกมฺมานิ อตฺตโนฯ
Āsīno byākarī tattha, pubbakammāni attano.
‘‘สุณาถ ภิกฺขโว มยฺหํ, ยํ กมฺมํ ปกตํ มยา;
‘‘Suṇātha bhikkhavo mayhaṃ, yaṃ kammaṃ pakataṃ mayā;
ปิโลติกสฺส กมฺมสฺส, พุทฺธเตฺตปิ วิปจฺจติฯ
Pilotikassa kammassa, buddhattepi vipaccati.
๑.
1.
‘‘มุนาฬิ นามหํ ธุโตฺต, ปุเพฺพ อญฺญาสุ ชาติสุ;
‘‘Munāḷi nāmahaṃ dhutto, pubbe aññāsu jātisu;
ปเจฺจกพุทฺธํ สุรภิํ, อพฺภาจิกฺขิํ อทูสกํฯ
Paccekabuddhaṃ surabhiṃ, abbhācikkhiṃ adūsakaṃ.
‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, นิรเย สํสริํ จิรํ;
‘‘Tena kammavipākena, niraye saṃsariṃ ciraṃ;
พหู วสฺสสหสฺสานิ, ทุกฺขํ เวเทสิ เวทนํฯ
Bahū vassasahassāni, dukkhaṃ vedesi vedanaṃ.
‘‘เตน กมฺมาวเสเสน, อิธ ปจฺฉิมเก ภเว;
‘‘Tena kammāvasesena, idha pacchimake bhave;
อพฺภกฺขานํ มยา ลทฺธํ, สุนฺทริกาย การณาฯ
Abbhakkhānaṃ mayā laddhaṃ, sundarikāya kāraṇā.
๒.
2.
‘‘สพฺพาภิภุสฺส พุทฺธสฺส, นโนฺท นามาสิ สาวโก;
‘‘Sabbābhibhussa buddhassa, nando nāmāsi sāvako;
ตํ อพฺภกฺขาย นิรเย, จิรํ สํสริตํ มยาฯ
Taṃ abbhakkhāya niraye, ciraṃ saṃsaritaṃ mayā.
‘‘ทส วสฺสสหสฺสานิ, นิรเย สํสริํ จิรํ;
‘‘Dasa vassasahassāni, niraye saṃsariṃ ciraṃ;
มนุสฺสภาวํ ลทฺธาหํ, อพฺภกฺขานํ พหุํ ลภิํฯ
Manussabhāvaṃ laddhāhaṃ, abbhakkhānaṃ bahuṃ labhiṃ.
‘‘เตน กมฺมาวเสเสน, จิญฺจมาณวิกา มมํ;
‘‘Tena kammāvasesena, ciñcamāṇavikā mamaṃ;
อพฺภาจิกฺขิ อภูเตน, ชนกายสฺส อคฺคโตฯ
Abbhācikkhi abhūtena, janakāyassa aggato.
๓.
3.
‘‘พฺราหฺมโณ สุตวา อาสิํ, อหํ สกฺกตปูชิโต;
‘‘Brāhmaṇo sutavā āsiṃ, ahaṃ sakkatapūjito;
มหาวเน ปญฺจสเต, มเนฺต วาเจสิ มาณเวฯ
Mahāvane pañcasate, mante vācesi māṇave.
‘‘ตตฺถาคโต อิสิ ภีโม, ปญฺจาภิโญฺญ มหิทฺธิโก;
‘‘Tatthāgato isi bhīmo, pañcābhiñño mahiddhiko;
ตญฺจาหํ อาคตํ ทิสฺวา, อพฺภาจิกฺขิํ อทูสกํฯ
Tañcāhaṃ āgataṃ disvā, abbhācikkhiṃ adūsakaṃ.
‘‘ตโตหํ อวจํ สิเสฺส, กามโภคี อยํ อิสิ;
‘‘Tatohaṃ avacaṃ sisse, kāmabhogī ayaṃ isi;
มยฺหมฺปิ ภาสมานสฺส, อนุโมทิํสุ มาณวาฯ
Mayhampi bhāsamānassa, anumodiṃsu māṇavā.
‘‘ตโต มาณวกา สเพฺพ, ภิกฺขมานํ กุเล กุเล;
‘‘Tato māṇavakā sabbe, bhikkhamānaṃ kule kule;
มหาชนสฺส อาหํสุ, กามโภคี อยํ อิสิฯ
Mahājanassa āhaṃsu, kāmabhogī ayaṃ isi.
‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, ปญฺจ ภิกฺขุสตา อิเม;
‘‘Tena kammavipākena, pañca bhikkhusatā ime;
อพฺภกฺขานํ ลภุํ สเพฺพ, สุนฺทริกาย การณาฯ
Abbhakkhānaṃ labhuṃ sabbe, sundarikāya kāraṇā.
๔.
4.
‘‘เวมาตุภาตรํ ปุเพฺพ, ธนเหตุ หนิํ อหํ;
‘‘Vemātubhātaraṃ pubbe, dhanahetu haniṃ ahaṃ;
ปกฺขิปิํ คิริทุคฺคสฺมิํ, สิลาย จ อปิํสยิํฯ
Pakkhipiṃ giriduggasmiṃ, silāya ca apiṃsayiṃ.
‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, เทวทโตฺต สิลํ ขิปิ;
‘‘Tena kammavipākena, devadatto silaṃ khipi;
องฺคุฎฺฐํ ปิํสยี ปาเท, มม ปาสาณสกฺขราฯ
Aṅguṭṭhaṃ piṃsayī pāde, mama pāsāṇasakkharā.
๕.
5.
‘‘ปุเรหํ ทารโก หุตฺวา, กีฬมาโน มหาปเถ;
‘‘Purehaṃ dārako hutvā, kīḷamāno mahāpathe;
ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวาน, มเคฺค สกลิกํ ขิปิํฯ
Paccekabuddhaṃ disvāna, magge sakalikaṃ khipiṃ.
‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, อิธ ปจฺฉิมเก ภเว;
‘‘Tena kammavipākena, idha pacchimake bhave;
วธตฺถํ มํ เทวทโตฺต, อภิมาเร ปโยชยิฯ
Vadhatthaṃ maṃ devadatto, abhimāre payojayi.
๖.
6.
‘‘หตฺถาโรโห ปุเร อาสิํ, ปเจฺจกมุนิมุตฺตมํ;
‘‘Hatthāroho pure āsiṃ, paccekamunimuttamaṃ;
ปิณฺฑาย วิจรนฺตํ ตํ, อาสาเทสิํ คเชนหํฯ
Piṇḍāya vicarantaṃ taṃ, āsādesiṃ gajenahaṃ.
‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, ภโนฺต นาฬาคิรี คโช;
‘‘Tena kammavipākena, bhanto nāḷāgirī gajo;
คิริพฺพเช ปุรวเร, ทารุโณ สมุปาคมิฯ
Giribbaje puravare, dāruṇo samupāgami.
๗.
7.
‘‘ราชาหํ ปตฺถิโว อาสิํ, สตฺติยา ปุริสํ หนิํ;
‘‘Rājāhaṃ patthivo āsiṃ, sattiyā purisaṃ haniṃ;
เตน กมฺมวิปาเกน, นิรเย ปจฺจิสํ ภุสํฯ
Tena kammavipākena, niraye paccisaṃ bhusaṃ.
‘‘กมฺมุโน ตสฺส เสเสน, อิทานิ สกลํ มม;
‘‘Kammuno tassa sesena, idāni sakalaṃ mama;
ปาเท ฉวิํ ปกเปฺปสิ, น หิ กมฺมํ วินสฺสติฯ
Pāde chaviṃ pakappesi, na hi kammaṃ vinassati.
๘.
8.
‘‘อหํ เกวฎฺฎคามสฺมิํ, อหุํ เกวฎฺฎทารโก;
‘‘Ahaṃ kevaṭṭagāmasmiṃ, ahuṃ kevaṭṭadārako;
มจฺฉเก ฆาติเต ทิสฺวา, ชนยิํ โสมนสฺสกํฯ
Macchake ghātite disvā, janayiṃ somanassakaṃ.
‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, สีสทุกฺขํ อหู มม;
‘‘Tena kammavipākena, sīsadukkhaṃ ahū mama;
สเพฺพ สกฺกา จ หญฺญิํสุ, ยทา หนิ วิฎฎูโภฯ
Sabbe sakkā ca haññiṃsu, yadā hani viṭaṭūbho.
๙.
9.
‘‘ผุสฺสสฺสาหํ ปาวจเน, สาวเก ปริภาสยิํ;
‘‘Phussassāhaṃ pāvacane, sāvake paribhāsayiṃ;
ยวํ ขาทถ ภุญฺชถ, มา จ ภุญฺชถ สาลโยฯ
Yavaṃ khādatha bhuñjatha, mā ca bhuñjatha sālayo.
‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, เตมาสํ ขาทิตํ ยวํ;
‘‘Tena kammavipākena, temāsaṃ khāditaṃ yavaṃ;
นิมนฺติโต พฺราหฺมเณน, เวรญฺชายํ วสิํ ตทาฯ
Nimantito brāhmaṇena, verañjāyaṃ vasiṃ tadā.
๑๐.
10.
‘‘นิพฺพุเทฺธ วตฺตมานมฺหิ, มลฺลปุตฺตํ นิเหฐยิํ;
‘‘Nibbuddhe vattamānamhi, mallaputtaṃ niheṭhayiṃ;
เตน กมฺมวิปาเกน, ปิฎฺฐิทุกฺขํ อหู มมฯ
Tena kammavipākena, piṭṭhidukkhaṃ ahū mama.
๑๑.
11.
‘‘ติกิจฺฉโก อหํ อาสิํ, เสฎฺฐิปุตฺตํ วิเรจยิํ;
‘‘Tikicchako ahaṃ āsiṃ, seṭṭhiputtaṃ virecayiṃ;
เตน กมฺมวิปาเกน, โหติ ปกฺขนฺทิกา มมฯ
Tena kammavipākena, hoti pakkhandikā mama.
๑๒.
12.
‘‘อวจาหํ โชติปาโล, สุคตํ กสฺสปํ ตทา;
‘‘Avacāhaṃ jotipālo, sugataṃ kassapaṃ tadā;
กุโต นุ โพธิ มุณฺฑสฺส, โพธิ ปรมทุลฺลภาฯ
Kuto nu bodhi muṇḍassa, bodhi paramadullabhā.
‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, อจริํ ทุกฺกรํ พหุํ;
‘‘Tena kammavipākena, acariṃ dukkaraṃ bahuṃ;
ฉพฺพสฺสานุรุเวลายํ, ตโต โพธิมปาปุณิํฯ
Chabbassānuruvelāyaṃ, tato bodhimapāpuṇiṃ.
‘‘นาหํ เอเตน มเคฺคน, ปาปุณิํ โพธิมุตฺตมํ;
‘‘Nāhaṃ etena maggena, pāpuṇiṃ bodhimuttamaṃ;
กุมฺมเคฺคน คเวสิสฺสํ, ปุพฺพกเมฺมน วาริโตฯ
Kummaggena gavesissaṃ, pubbakammena vārito.
‘‘ปุญฺญปาปปริกฺขีโณ, สพฺพสนฺตาปวชฺชิโต;
‘‘Puññapāpaparikkhīṇo, sabbasantāpavajjito;
อโสโก อนุปายาโส, นิพฺพายิสฺสมนาสโวฯ
Asoko anupāyāso, nibbāyissamanāsavo.
‘‘เอวํ ชิโน วิยากาสิ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส อคฺคโต;
‘‘Evaṃ jino viyākāsi, bhikkhusaṅghassa aggato;
สพฺพาภิญฺญาพลปฺปโตฺต, อโนตเตฺต มหาสเร’’ติฯ (อป. เถร ๑.๓๙.๖๔-๙๖);
Sabbābhiññābalappatto, anotatte mahāsare’’ti. (apa. thera 1.39.64-96);
อวิชฺชาสุตฺตาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Avijjāsuttādivaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
๑. กิมตฺถิยสุตฺตํ • 1. Kimatthiyasuttaṃ
๒. เจตนากรณียสุตฺตํ • 2. Cetanākaraṇīyasuttaṃ
๓. ปฐมอุปนิสสุตฺตํ • 3. Paṭhamaupanisasuttaṃ
๔. ทุติยอุปนิสสุตฺตํ • 4. Dutiyaupanisasuttaṃ
๕. ตติยอุปนิสสุตฺตํ • 5. Tatiyaupanisasuttaṃ
๖. สมาธิสุตฺตํ • 6. Samādhisuttaṃ
๗. สาริปุตฺตสุตฺตํ • 7. Sāriputtasuttaṃ
๘. ฌานสุตฺตํ • 8. Jhānasuttaṃ
๙. สนฺตวิโมกฺขสุตฺตํ • 9. Santavimokkhasuttaṃ
๑๐. วิชฺชาสุตฺตํ • 10. Vijjāsuttaṃ
๑. เสนาสนสุตฺตํ • 1. Senāsanasuttaṃ
๒. ปญฺจงฺคสุตฺตํ • 2. Pañcaṅgasuttaṃ
๑. กิมตฺถิยสุตฺตวณฺณนา • 1. Kimatthiyasuttavaṇṇanā
๒. เจตนากรณียสุตฺตวณฺณนา • 2. Cetanākaraṇīyasuttavaṇṇanā
๓-๕. อุปนิสสุตฺตตฺตยวณฺณนา • 3-5. Upanisasuttattayavaṇṇanā
๖. สมาธิสุตฺตวณฺณนา • 6. Samādhisuttavaṇṇanā
๗. สาริปุตฺตสุตฺตวณฺณนา • 7. Sāriputtasuttavaṇṇanā
๘. ฌานสุตฺตวณฺณนา • 8. Jhānasuttavaṇṇanā
๙. สนฺตวิโมกฺขสุตฺตวณฺณนา • 9. Santavimokkhasuttavaṇṇanā
๑. เสนาสนสุตฺตวณฺณนา • 1. Senāsanasuttavaṇṇanā
๒. ปญฺจงฺคสุตฺตวณฺณนา • 2. Pañcaṅgasuttavaṇṇanā